วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559

2559-04-30 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก

西元二○一六年歲次丙申三月二十四日                                                          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙         สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่

           ไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้                 ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามสัจธรรม
       แม้ฟ้ามืดลงต่ำจงมีธรรม                        เมื่อเผชิญชะตากรรมธรรมเตือนใจ
           เราคือ
     หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา                  ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา                    ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
      
           ก่อนเป็นเพชรถูกเจียระไนไม่ถนอม      เป็นเบ้าหลอมถูกทองสมประโยชน์
       ต่างพอดีจึงเป็นก้าวกระโดด                    จิตวิโรจน์พิสุทธิ์หากคนเคร่งครัด
       ออกแรงขัดการหยุดไม่ทุเลา                    จิตเกลี้ยงเกลาเพราะยากเข็ญขนาด
       รู้หรือไม่ความล้ำค่าต้องปฏิบัติ                เรื่องสารพัดพานพบดั่งกรวดเศษ
       บำเพ็ญดั่งควรเป็นคงได้เป็น                   ชีวิตเห็นทั่วทั่วหินหยกเพชร
       อย่าหลงเข้าไปในเหล่ากิเลส                   อารมณ์เจ็ด[๑]หลงก็บังดวงตา
       ชีวิตคนดุจแค่หนึ่งก้านธูป                      ยึดติดรูปนามลวงเสียเวลา
       หากมิใช่ปัญญาตาแห่งฟ้า                     หลายปัญหาอัตตาใจลวงหลอกตน
       เป็นคนอย่านิสัยอารมณ์เป็นใหญ่            มีทิฐิที่สูงไประวังหล่น
       มีสติไม่มีธรรมย่อมสับสน                      หรือเป็นคนจนใจไม่บำเพ็ญ
                                                                                                                                                      ฮา  ฮา  หยุด
         
      

อารมณ์เจ็ด    ๑.ความปิติยินดี  ๒.ความโกรธ    ๓.ความเศร้าเสียใจ   ๔.ความกลัว        ๕.ความรักใคร่   ๖.ความเกรี้ยวกราดดุดัน   ๗.ความอาลัยอาวรณ์ยึดติด
            

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่

วันนี้ฟังธรรมะด้วยความเข้าใจหรือฟังธรรมะด้วยความอดทน (เข้าใจ)  ถ้าใช้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องใช้ความอดทน แต่ถ้าพยายามใช้ความอดทน เราจะไม่เข้าใจ เช่นเดียวกัน เมื่อใดเราใช้ความอดทนเมื่อนั้นเราจะไม่เข้าใจใคร แต่ถ้าเมื่อใดเราใช้ความเข้าใจเราจะไม่ต้องอดทนอะไรกับใครเลยจริงหรือไม่  (จริง)  ที่ตอบว่าจริง ใช้ความอดทนหรือความเข้าใจ (เข้าใจ)  ไม่จริง เพราะที่แล้วมามีแต่ใช้ความอดทนกับคนใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เข้าใจอะไรก็อดทนไว้ อดทนไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันวันนี้เราฟังธรรมะ ถ้ายิ่งฟังแล้วเรายิ่งอดทนมากเท่าใด แปลว่าเราไม่คิดที่จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น ถ้ายิ่งฟังแล้วต้องยิ่งอดทนมากๆ แปลว่าเราไม่เคยยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่เคยยอมรับเลย เราแค่อดทนไว้ อดทนไว้ และเราก็ไม่เคยเปิดใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลยใช่หรือไม่ ถ้าเปิดใจต้องอดทนไหม (ไม่อดทน)  ยิ่งถ้าเปิดใจยอมรับมากเท่าไร คำว่าอดทนจะไม่มีเลย แต่ถ้าเราปิดใจ นั่นแหละเราต้องอดทน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเช่นนั้นวันนี้ท่านจะอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจหรือจะอยู่ร่วมกันอย่างพยายามอดทนอดกลั้น อะไรอยู่ได้นานกว่า (อยู่ด้วยความเข้าใจ)  และอะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขกว่า (ความเข้าใจ)  แล้วไยอยู่ข้างนอกจึงใช้แต่คำว่าอดทน ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ไม่มีใครหรอกที่อยู่ในโลกนี้แค่มองเห็นแล้วเข้าใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง ต้องค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้กันไป แต่ต้องเปิดใจสักนิดหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ไม่ทันไรก็เอาแต่อดทน ฉะนั้นถ้าบอกว่าตัวท่านลำบาก ไม่ต้องห่วง มีเรามาร่วมลำบากดีไหม (ดี)  คงยินดีต้อนรับเราบ้างไม่มากก็น้อยนะ อย่าพึ่งตั้งแง่รังเกียจกันเลยดีไหม เราอยู่ในโลกใครๆ ก็อยากให้คนรักไม่ใช่หรือ ไม่อยากให้ใครเกลียดเราไม่ใช่หรือ แต่ทำไมบางทีเราชอบตั้งแง่รังเกียจคนอื่นก่อนจริงไหม (จริง)  เหมือนคำพูดว่า “แค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตา”
“ไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้  ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามสัจธรรม
แม้ฟ้ามืดลงต่ำจงมีธรรม   เมื่อเผชิญชะตากรรมธรรมเตือนใจ”
ภัยที่เกิดจากธรรมชาติเรายังพอหลีกหนีได้ แต่ภัยที่เกิดจากความคิดการกระทำของตน หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ก่อนจะกลัวผู้อื่นควรกลัวใจตัวเองก่อน ก่อนที่จะระวังคนอื่นควรระวังใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมตอบว่า “ใช่” ทันทีเลย แสดงว่าใจท่านน่ากลัวละสิ ถูกหรือไม่
จะมองเราหรือมองธรรมะดีนะ มองข้ามความเป็นคนไม่พ้นก็ไม่มีวันเห็นธรรมนะ

มีคำกล่าวคำหนึ่ง “จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต อย่าล้อเล่นกับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดใหม่นะ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นทุกข์ จงดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท ถามว่าคนโดยส่วนใหญ่ในโลกนี้กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  เคยหาทางดับทุกข์ที่แท้จริงไหม หาแค่ความสบายใจแค่ชั่วคราวใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนล้วนกลัวความทุกข์ แต่ใครสักคนหนึ่งไหมที่หาการพ้นทุกข์ที่แท้จริง มนุษย์หาทางดับทุกข์แค่ไปหาความสุขแค่ชั่วคราว ไปหาความสบายใจ กราบพระเสร็จก็พอแล้ว แต่ถึงเวลาก็กลับมาทุกข์ไหม เหมือนไปกราบพระแต่เอาทุกข์ให้พระได้ไหม ทุกข์ก็ยังแขวนอยู่ที่ใจใช่หรือเปล่า ดังคำพูดที่ว่า “มนุษย์ไม่กลัวปัญหาแต่มนุษย์เหนื่อยกับการแก้ปัญหา” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ควรดับปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา แต่เรากลับไม่ดับที่ต้นเหตุของปัญหา เราดับที่ปลายเหตุ รอให้ปัญหามันตกผลแล้วเราค่อยไปแก้ เหมือนกันถ้ามนุษย์กลัวทุกข์ที่แท้จริงไยจึงไม่หาทาง ไยจึงเอาแต่ทุกข์และหาทางสบายใจแค่เพียงชั่วคราวเล่า
ฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้อย่างหนึ่งว่า “การเกิดเป็นมนุษย์เป็นภพภูมิที่ประเสริฐ เป็นภพภูมิที่สามารถพ้นทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้ด้วยตัวเอง แต่มนุษย์กลับดูถูกคุณค่าตัวเอง”  ดังคำกล่าวว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ คนไม่เห็นคุณค่าตัวตนเอง ชอบหวังพึ่งข้างนอกเพื่อดับทุกข์ข้างใน” จริงหรือไม่ (จริง)  ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วทุกข์ที่ข้างนอกหรือทุกข์ที่ข้างใน (ข้างใน)  ทุกข์ที่ไหน (ที่ใจ)  แล้วเราไปหาทางแก้ที่ข้างนอกแล้วเราจะแก้ที่ใจได้ไหม ซึ่งก็แก้ไม่ได้ใช่หรือไม่

เรามีดินแดนอยู่สองดินแดนให้ท่านเลือก ดินแดนหนึ่งคืออยากได้อะไรก็สมดังใจนึก กับอีกดินแดนหนึ่งไม่มีอะไรเลย เลือกดินแดนไหน
ใครเลือกดินแดนที่อยากได้อะไรก็ได้ดั่งหวัง ยกมือขึ้น  ใครเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ยกมือขึ้น   แล้วที่ไม่เลือกอะไร แปลว่าอย่างไรหรือ อยู่ตรงกลางปลอดภัยที่สุดใช่ไหม ไม่ถูกว่าผิดหรือถูกใช่ไหม (ใช่) แบบนี้เขาเรียกว่าเอาตัวรอดนะ  ใครเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ถึงเวลาไม่เห็นทำได้อย่างที่พูดเลย เห็นอะไรก็อยากมี อยากได้ อยากเป็นไปหมด จริงไหม (จริง)  ขอให้ท่านจำไว้อย่างหนึ่ง อย่าอยากมี อย่าอยากเป็น เพราะถ้าอยากมี อยากเป็นแล้ว ท่านจะหาทางพ้นไม่เจอ นั่นคือ ความทุกข์
ถามว่าอยากมีไหม (ไม่)  อยากเป็นไหม แต่ทำไมเวลาความทุกข์มา
ทีไรถึงเป็นทุกข์ทุกที  ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในดินแดนที่ไม่ต้องมีอะไร ไม่อยากอะไร เราต้องถามใจตัวเองก่อน ใจอยากอย่างหนึ่งแต่จริงๆ กลับกระทำอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยากเปลี่ยนชีวิต อยากเปลี่ยนชะตากรรม ไม่ใช่ไปให้หมอดูแก้ แต่มันต้องแก้ที่ความคิด นิสัย การกระทำของตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ในที่นี้กลัวทุกข์ไหม กลัวเคราะห์ไหม แล้วระหว่างที่กลัวทุกข์กับเคราะห์ กลัวอะไรมากกว่ากัน (ทุกข์)  แต่เราว่ากลัวเคราะห์มากกว่าทุกข์นะ  เมื่อเขาบอกว่าเราเคราะห์ร้ายรีบไปแก้ แต่เมื่อเรามีทุกข์เรารีบแก้ไหม (ไม่)  แล้วทำไมถึงคิดว่าตนเองจะเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ในเมื่อท่านยังไม่เข้าใจว่าตัวเรานั่นเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งมวล ถึงแม้เราอยากอยู่ในดินแดนที่ไม่ต้องมีอะไร แต่ถ้าการปฏิบัติเป็นอีกสิ่งหนึ่งเราก็คือคนที่ทำร้ายตัวเองจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราจะทำอย่างไร เราจึงจะสามารถอยู่ในดินแดนแห่งความไม่มีได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนอยากที่จะมี อยากจะได้และอยากจะเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) 

ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนง่ายๆ ว่า แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา ง่ายไหม (ง่าย) ทำได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไม่ได้เพราะอะไร เหมือนตอนนี้ขาของเราใช้ไม่ได้ เป็นคนที่พิการ แต่เราพิการแค่กาย ใจไม่พิการ เราเจ็บแค่ขาแต่ใจไม่เจ็บ นี่แหละแค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา แล้วท่านทำได้ไหม
ถ้าอย่างนั้นเราจะบอกให้ท่านรู้ว่า ขึ้นชื่อว่าตัวมนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าสังขาร แล้วในสังขารมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าใจ และในใจมีอีกสิ่งหนึ่งที่ลึกลงเข้าไปอีกคือจิต หรือถ้าเรียกให้เป็นธรรมะหน่อยก็คือ พุทธจิตธรรมญาณเดิม  ฉะนั้นสังขารเป็นสิ่งที่หนีความแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  หนีความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  หนีความทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเจ็บแค่สังขารอย่าเจ็บใจ ทุกข์แค่กายอย่าทุกข์ใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)  สังขารเจ็บได้ แต่ใจอย่าเจ็บ ยากไหม (ยาก) 

ถ้าใจของเรา หรือจิตของเรายังยึดกับความต้องมี ต้องเป็น ต้องได้ เราจะหนีไม่พ้นสัจธรรมที่เรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย และความทุกข์ ความไม่เที่ยง และความว่างเปล่า ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเรามองว่าสังขารนี้เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความว่างเปล่า มีใครหนีความแก่ได้ไหม หนีความเจ็บได้ไหม หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเรายอมรับ เข้าใจ จะทำให้เราทุกข์ไหม (ไม่)  แต่ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราแก่ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราเจ็บ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์ทั้งกายและทุกข์ทั้งใจ แล้วเราเป็นแบบ
นั้นไหม ยอมรับไหมว่าเราขี้เหร่ ยอมรับไหมว่าเราโง่ (ยอม)  ฉะนั้นก็คิดเสียว่าเป็นแค่กายไม่ใช่เป็นที่ใจ เป็นที่สังขารไม่ใช่เป็นที่จิตเดิมแท้ สังขารต้องการที่อยู่ สังขารต้องการคนดูแล สังขารต้องการความเอาใจใส่ แต่จิตเดิมแท้ที่เรียกว่าสภาวะธรรม ไม่ต้องการคนดูแล ไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการการเอาอกเอาใจ เพราะเป็นสภาวะธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้า ดินและผู้คน จึงยิ่งใหญ่  แต่ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงจิตเดิมแท้ยังยึดติดในตัวตนที่เรียกว่าสังขาร ก็จะหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่าย เพราะมีตัวตนจึงมีกิเลส เมื่อมีกิเลสจึงมีวิบากกรรม เมื่อมีวิบากกรรมจึงมีการเวียนว่ายตายเกิดชดใช้หนี้เวรกรรม แต่ถ้าเกิดทุกครั้งที่เราดำเนินชีวิตล้วนทำไปเพื่อหน้าที่และปล่อยวาง ทำไปตามหน้าที่ และความถูกต้องชอบธรรม และปล่อยวางไม่ยึดมั่น เราจะมีตัวตนให้ยึดถือไหม (ไม่)

ฉะนั้น มนุษย์จึงเห็นแต่สังขารแต่ไม่เคยเห็นถึงจิตเดิมแท้ ถ้าเราเข้าถึงจิตเดิมแท้ว่า จิตเดิมแท้คือสภาวะธรรม สภาวะธรรมไม่ต้องการคนยึดมั่นถือมั่น จึงยิ่งใหญ่ จึงอเนกอนันต์ จึงไร้การยึดติดครอบครอง ใช่ไหม (ใช่) จึงไม่มีมาไม่มีไป ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่เข้าใจใช่ไหม อย่างนั้นเรายกตัวอย่างง่ายๆ ท่านเคยเห็นต้นไม้ไหม (เคย)  มีต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ของเราเลย ต้นไม้จะเกิด จะตาย เราจะเดือดร้อนไหม ต้นไม้จะถูกแมลงกิน หรือต้นไม้ตกผลแล้วคนแย่งเอาไปกิน ถ้าไม่ใช่ต้นไม้ของเรา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ทำไมล่ะ (เพราะไม่ใช่ของเรา)  ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าสังขารนี้เป็นของเรา หล่อ สวยเพื่อสังขาร ดูดีเพื่อสังขารใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราก็หลงในสังขาร ใช่ไหม (ใช่)
พอสังขารเจ็บ ใจก็ (เจ็บ) พอสังขารทุกข์ ใจก็ (ทุกข์) ทั้งที่จริงๆ แล้วสังขารเป็นของดิน น้ำ ลม ไฟและธรรมชาติ หาใช่ของเราไม่

ฉะนั้นพระพุทธจึงสอนง่ายๆ แค่รู้ไม่จำเป็นต้องเป็น แค่เห็นทุกข์ไม่จำเป็นต้องเอามาทุกข์ แต่มนุษย์กลับทำไม่ได้ น่าเศร้าไหม (เศร้า) แล้วก็จมอยู่ในความทุกข์ เหมือนเราถามว่า ถ้าคิดแล้วทุกข์ คิดไหม (ไม่คิด, คิด)  คิดแล้วแย่คิดไหม เพราะความคิดเป็นต้นเหตุของการเกิดภพภูมิที่เรียกว่าตัวตนแห่งสังขาร เมื่อมีคิดจึงมีตัวรูป มีภพ ชาติ ชรา มรณา เหมือนกับเคยได้ยินไหมว่า “ถ้าเข้าใจไยต้องขบคิด ถ้าขบคิดแปลว่ายังไม่เข้าใจ” ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเราพูดง่ายๆ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นอะไร (สอง)  คิดไหม (ไม่คิด)  แทบจะไม่ต้องคิดก็ตอบได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหนึ่งบวกหนึ่งบวกสี่บวกห้า หารหกหารเจ็ดเท่ากับเท่าไร ต้องคิดไหม (คิด)  ก็แค่ตอบง่ายๆ ว่าตอบไม่ได้ ยากหรือ บางครั้งมนุษย์ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก เพราะยอมแพ้ไม่เป็น ผิดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า อยากหยุดทุกข์ อยากเอาชนะทุกข์ อยากพ้นทุกข์ ขอแค่รู้ ไม่ใช่รู้เขา แต่รู้เรา ทำได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ก็เลยทำไม่ได้ อย่างที่เราบอก เกิดเป็นคน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ คือภพภูมิที่ประเสริฐที่สุด แม้เทวดาก็ยังอยากเกิดเป็นมนุษย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์สามารถสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ได้ การฟังธรรมก็เป็นการสั่งสมบุญบารมีเหมือนกันนะ แล้วยิ่งถ้าฟังแล้วเกิดปัญญา บุญบารมีนั้นก็ยิ่งจะยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ถ้าฟังแล้วโง่งมก็คือทำร้ายตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์อยากพ้นทุกข์ แต่เมื่อตัวเองทำไม่ได้แล้ว ก็เลยพึ่งพระ พึ่งอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  เราถามนะว่า การพึ่งคน คนมีวันเปลี่ยนแปลงไหม (มี)  มีวันไม่ดีไหม (มี)  ถ้าอาจารย์ที่เราไปพึ่งเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์ ถ้าเขาไม่ดีเราก็เลยเสียศรัทธาในธรรม ช่างน่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยได้ยินเรื่องพระอานนท์ไหม (เคย)  พระอานนท์ตามพระพุทธเจ้ากี่ปี ตามจนพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์สำเร็จไหมทำไมไม่สำเร็จล่ะ ฟังก็มาก เพราะอะไร เพราะมัวแต่พึ่งพระพุทธองค์จนลืมพึ่งตัวเอง เพราะมัวแต่จะช่วยคนอื่นจนลืมช่วยตัวเอง มีพระองค์หนึ่งชื่อว่า พระวักกลิ หลงในรูปพระพุทธองค์มาก หลงในรูปลักษณะของท่านมาก เห็นแล้วชอบ สง่า ดู
เปล่งปลั่งรัศมีจังเลย ชื่นชมในตัวพระพุทธองค์ทุกๆ วัน วันไหนไม่เห็นพระพุทธองค์วันนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ จนวันหนึ่งพระพุทธองค์กล่าวกับพระวักกลิว่า “อย่ามัวแต่มองในรูปของเราเลย เพราะในรูปนี้ล้วนเน่าเปื่อยและไม่เที่ยง ไม่สามารถหาธรรมะแท้ในตัวเราได้ แม้เธอจะจับจีวรของเราแล้วเดินตามไปจนถึงที่สุดเธอก็ไม่สามารถพบธรรมได้” แต่ธรรมที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ที่ตัวพระพุทธองค์ แต่อยู่ที่ตัวของท่านทุกคน

ผู้ใดพบธรรม ผู้นั้นพบตถาคต ฉะนั้นอย่ามัวแต่มองออกเลย จงค้นหาธรรมในตน ธรรมนั้นจะทำให้ท่านตื่นรู้และเข้าถึงตถาคตได้ด้วยการมีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ดังคำกล่าวไว้ว่าอวิชชาก่อเกิดเป็นตัณหาอุปทาน ความไม่รู้ก่อเกิดเป็นความหลง ความอยาก ความยึดติด แต่ความรู้จะพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ แล้วรู้อะไร รู้ใจตัวเองใช่ไหม รู้ทุกขณะที่แม้กระทั่งคิด  ถ้ารู้ทันแม้ขณะที่กำลังคิดและหยุดความคิดได้ นั่นก็หยุดภพ ชาติ ชรา มรณา และการเกิดแห่งตัวตนได้ จริงไหม (จริง)  รู้ด้วยสติเท่าทันความคิด เพราะถ้ายังคิด ยังไม่เข้าใจแต่ถ้าเข้าใจ ไม่ต้องคิด เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม รู้รักษาใจให้ปกติ เรียกว่า ศีล รู้แล้วรักษาใจให้มั่นคง เรียกว่า สมาธิ   รู้แล้วกระจ่างแจ้ง เรียกว่า ปัญญา  เราเคยรู้แล้วจิตปกติไหม แต่เรามักรู้แล้วมีอารมณ์ ตัดสินดี ไม่มี รู้แล้วต้องมีเขามีเรา ใช่ไหม (ใช่) รู้แล้วเป็นตัวตน รู้แล้วเป็นกิเลส ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ที่เรียกว่า ทุกข์ บาป เวร กรรม แต่ถ้ารู้ นิ่ง วาง รู้ มั่นคง กระจ่างแจ้งและปล่อยวาง นี่แหละที่เรียกว่า หยุดการเกิด ไม่เกิดอีกแล้ว ตายตอนที่ถูกกระทบ ตายตั้งแต่ยังไม่ทันคิด แต่มนุษย์ชอบสร้างเหตุ โลภแล้วค่อยไปให้ทาน โกรธแล้วค่อยไปนั่งสมาธิ เหมือนที่เราพูดตั้งแต่ต้นว่า มนุษย์ไม่กลัวปัญหาแต่เหนื่อยกับการแก้ปัญหา มนุษย์กลัวทุกข์แต่ไม่หาทางดับทุกข์ ฉะนั้นคำว่านิ่งจนสะท้อนเงา ก็ยังมีสิ่งที่ให้ฝุ่นลงจับ แต่ถ้านิ่งจนไม่มีอะไรให้สะท้อน ฝุ่นจะลงจับอะไร
 มนุษย์มักจะพูดบอกว่าต้องจิตนิ่งเพื่อสะท้อนความเป็นจริง ถ้ายังต้องสะท้อนนั้นแปลว่ายังมีที่ให้ฝุ่นเกาะ ดังที่ท่านเว่ยหล่างกล่าวไว้ว่า “กระจกก็ไม่มี ต้นโพธิ์ก็ไม่มีแล้วฝุ่นจะเกาะอะไร” เฉกเช่นเดียวกันจิตเดิมแท้ไม่มีตัวไม่มีตน แต่มนุษย์หลงผิดยึดติดในสังขาร ติดในใจที่ตัวเองสร้างนิสัยชอบแบบนั้น ชอบแบบนี้แล้วก็มาบดบังจิตเดิมแท้ แล้วก็สร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอแค่รู้ ภพชาติหยุดทันที กรรมหยุดสร้างได้ทันที แต่เรารู้ไหม ฉะนั้นกฏเกณฑ์ของธรรมชาตินานาทั้งมวล ล้วนเริ่มต้นที่ใจและก็ต้องจบที่ใจ แก้คนอื่นไม่ได้ต้องแก้ที่ใจเรา เหมือนเราถามท่านว่า “ถ้าใจเราดีมองเห็นใครๆ ก็ดี” แต่ถ้าใจเราร้าย มองเห็นใครๆ ก็ไม่เห็นดีเลย ฉะนั้นเหมือนกัน ถ้าใจเราไม่มีอะไรเลย เราจะมองคนอื่นมีปัญหาไหม แต่ถ้าใจเรามีปัญหาคนอื่นก็เลยเป็นตัวปัญหา
เหมือนกันวันนี้ถ้าท่านเอาแต่มองเรา ท่านก็จะไม่เห็นธรรม เพราะมัวแต่ยึดติดคนจึงไม่เห็นธรรมในตัวบุคคล ยากไหม (ฟังง่าย)  ฟังง่ายแต่ทำยากใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเราจึงอยากให้ท่านรู้ว่า อย่าเอาแต่พึ่งคนอื่นจนดูถูกคุณค่าแห่งความเป็นคน อย่าเอาแต่พึ่งพระพุทธะ จนลืมพระพุทธะในใจตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่จะทำให้เราทุกข์ก็คือตัวเราเอง คนที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ก็คือ (ตัวเราเอง) ใช่หรือไม่ (ใช่) ยืมมือของคนอื่น เขาก็ช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่ถ้าเรารู้จักพึ่งตัวเอง นำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ดีกว่าไม่ใช่หรือ  (ใช่)
พระพุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ล้วนกล่าวไว้ว่า ธรรมแท้จริงไม่ใช่อยู่ที่คัมภีร์ ไม่ใช่อยู่ที่วัด แต่มีอยู่ในใจของทุกๆ คน แล้วธรรมที่ทำให้เราเข้าใจ และค้นพบธรรมได้นั่นคืออะไรรู้ไหม คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า ล้วนเรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วความเป็นเช่นนั้นเอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตถาคต จริงไหม ฉะนั้นผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต และธรรมที่พระตถาคตเห็นคืออะไร คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และถึงที่สุดจะดีจะร้ายอย่างไรก็แค่นั้นเอง และสิ่งที่ทำให้เราเห็น เข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตถาคต ฉะนั้นเมื่อไรเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง ก็คือเข้าใจความเป็นตถาคต เมื่อใดเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อนั้นก็เห็นตถาคต และเมื่อใดเห็นตถาคตเมื่อนั้นก็เห็นธรรม ยากตรงไหน
ยากตรงที่ไม่เคยมีสติจะมองเห็นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็เห็นความแก่ทุกวันใช่ไหม ยามตัวเองแก่เห็นไหม ยามตัวเองเจ็บเห็นไหม ยามตัวเองทุกข์เห็นไหม  แล้วยึดทำไม แค่เห็นไยต้องเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่รู้ไยต้องเอา ใช่หรือเปล่า (ใช่) 

เราจะสรุปตอนท้าย ถ้าวันนี้มีสองทางให้เลือก ทางหนึ่งพบพระพุทธองค์ ทางหนึ่งพบทางดับทุกข์ เลือกทางไหน (ทางดับทุกข์)  ขอดูหน้าคนเลือกทางดับทุกข์หน่อย ถึงเวลาจริงๆ ไปไหว้พระวัดสวยๆ ก่อน  ไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง แต่มีเวลาไปเที่ยว ใช่หรือเปล่า เพราะการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติได้ทุกที่ที่ใจเราคิด คิดร้ายตกนรก คิดดีขึ้นสวรรค์ แต่พ้นจากความคิด พระพุทธะเรียกว่าพระนิพพาน ใช่ไหม แล้วเราถึงไหม
วันนี้ถ้าเรามาผูกบุญสัมพันธ์แค่สั้นๆ กับท่านได้ไหม (ได้)  มากกว่านี้ก็ได้หรือ เราว่าใจท่านเริ่มรู้สึกจะรับไม่ไหว รู้สึกว่าฟังเยอะแล้วใช่ไหม
ไหวไหม (ไหว)  ใจของมนุษย์กว้างจนหาที่สุดไม่ได้ แต่บางครั้งก็แคบจนเหลือเล็กนิดเดียว อยู่ที่ว่าสู้หรือไม่สู้แค่นั้นเอง เอาหรือไม่เอา ถ้าเอาอะไรๆ ก็ไหว ถ้าสู้ยังไงๆ ก็ไป เราให้โอวาทจบแล้วนะ เราสรุปง่ายๆ สั้นๆ ก่อนจากกัน

อย่าลืมว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีพุทธจิตธรรมญานเดิม อย่ามัวหลงกับสังขารจนลืมจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ต้องการเจ้าของ ไม่ต้องการที่อยู่ ขอแค่เพียงเข้าถึงสภาวะธรรมที่เป็นเช่นนั้นเอง แต่มนุษย์กลับกลัวการบำเพ็ญธรรมที่เดินไปสู่ความว่างเปล่า ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนมุ่งสู่ความตาย ที่เรียกว่าปล่อยวางและว่างเปล่าอันเป็นจริง  ฉะนั้นถ้าไม่เรียนรู้ ฝึกฝน และมองให้เห็นธรรม ธรรมนั่นแหละจะกลับย้อนมาให้เราต้องรู้ ต้องเข้าใจ เหมือนขึ้นชื่อว่าชีวิต มีชีวิตใครบ้างไม่เปลี่ยนแปลงคงอยู่นิจนิรันดร์ ไม่เจ็บป่วย (ไม่มี) เมื่อถึงตอนนั้นค่อยไปทำใจ ทันไหม (ไม่ทัน) แล้วทำไมตอนนี้ไม่ฝึกไว้ล่ะ เจ็บกายไม่เจ็บใจ ทุกข์กายไม่ทุกข์ใจ
ฉะนั้นเราจึงเรียนรู้อีกว่า สติ คือ คุณธรรมอันอเนกอนันต์ ที่มีคุณค่ายิ่งนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงมีสติ แค่รู้อย่าเป็น แค่เห็นแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เท่านี้เองนะ ขอแค่ท่านเอาธรรมไป อย่าเอาตัวคนไป เจอเราเอาธรรมไป อย่าเอาตัวเราไป เพราะตัวเราไม่เที่ยงและมีทุกข์ อยากพบธรรมจึงต้องมีสติรู้เห็นธรรมในตัวคน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่าดูเบาธรรมในตนเอง  ธรรมในตัวเรามีคุณค่าและนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระพึ่งเจ้า เพราะถึงที่สุดแล้วเราต้องพึ่งตัวเราเอง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙        สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
           คนดีรู้ว่าตนผิดตรงไหน                      ไม่ว่าใครเพื่อให้ตนดีขึ้นหนา
       เห็นเขาผิดย้อนมองตนพิจารณา             ยามตนผิดจึงรู้ว่าเห็นใจกัน
         เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเบื่อฟังธรรมไหม

*ชีวิตคือการแบกรับ กำชับในหัวใจ ปัญหาเข้ามามากมาย เรียนรู้ไว้สอนตน
 บำเพ็ญธรรมจริงจริง บำเพ็ญใจเยี่ยงฟ้า เอิบอิ่มหัวใจ
 บำเพ็ญธรรมทำไม คำตอบมาจากไหน ที่จิตของตน ให้ธรรมคลายทุกข์ทน ทุกข์ทนหรือกังวล จิตใจเป็นของตน ไม่จับไม่ฝืนตนทน ไม่บำเพ็ญ
 ทำตัวตามสบาย ทำตัวตามสมัย ไม่กฎไม่เกณฑ์ ทำตัวตามจำเป็น บางทีก็ทะเล้น ขี้เกียจสนใจ เมื่อใดหยั่งรู้จริง ทุกสิ่งได้พบใจ เปลี่ยนตรงความเข้าใจ แล้วจะนิสัยเดิม ไม่มีทาง
**เหมือนกันกับทุกทุกวัน คล้ายผ่านอยู่ที่เดิม ไม่เบื่อกันบ้างหรือไร ถึงทำไม่สน แม้เบื่อในเรื่องร้อยพัน บำเพ็ญไม่ลืมย้อนตน การเปลี่ยนแปลงนิสัยตนทำได้เลย
 ทำไมยังดึงดัน ทำไมจะดื้อรั้น เก่งกาจไม่เกรง ทำไมทำตัวเองจนคนเบือนหน้าหนี  เรื่องแบบนี้ศิษย์คุ้น(กัน)บ้างหรือเปล่า  (ซ้ำ**, *)
ทำนองเพลง สองคนในร่างเดียว
ชื่อเพลง :  นิสัยคนชวนเบื่อ


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ดีใจไหมที่ได้พบกัน (ดีใจ)  นึกว่าดีใจที่ไม่ต้องฟังหัวข้อแล้ว เดินให้รอบๆ ศิษย์ อาจารย์จะได้เห็นหน้าชัดๆ นะ สบายดีกันไหม อาจารย์ถามหน่อยนั่งฟังวันที่สองแล้วรู้สึกเบาขึ้นไหม (เบา)  สบายขึ้นไหม (สบาย)  ถ้านั่งฟังธรรมแล้วยังรู้สึกหนัก ร้องเพลงก็หนัก ฟังธรรมะก็หนัก ฟังแล้วหนักหรือฟังแล้วเบา (เบา)  หมายความว่าถ้าฟังแล้วยึดถือ อันนั้นก็ถือ อันนี้ก็ยึด ฟังแล้วก็หนัก แต่ถ้าฟังธรรมแล้วไม่ถือ รู้แล้วไม่ถือ เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกเบา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ายิ่งฟังแล้วใจยิ่งโปร่ง ใจยิ่งโล่ง ใจยิ่งสบาย แปลว่าขณะที่ฟังแล้วไม่ยึดถืออะไร แต่ถ้าฟังแล้วรู้สึกหนัก ไม่สบายใจ ไม่โล่งใจ แปลว่า ขณะฟังใจแอบยึดถืออะไรไว้แล้วไม่ยอมจนสุดใจ   ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “มนุษย์หูตาไม่สว่างก็เพราะใจชอบยึดมั่นถือมั่น”  ฟังธรรมแล้วปลงได้ ปล่อยได้ มันก็อิสระ มันก็สบาย จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรามัวแต่คิดว่า “ดูคนพูดธรรมะก็รู้ว่ายังเด็กอยู่เลยมาพูดให้ฟัง ฉันอายุตั้งเท่าไรแล้ว”  เราคิดแบบนี้ฟังแล้วจะได้อะไรไหม ได้ความทุกข์หรือความสุข (ทุกข์)
              “คนดีรู้ว่าตนผิดตรงไหน               ไม่ว่าใครเพื่อให้ตนดีขึ้นหนา
            เห็นเขาผิดย้อนมองตนพิจารณา   ยามตนผิดจึงรู้ว่าเห็นใจกัน
ศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้เป็นคนดีไหม (ดี)  ดีที่หนึ่งเลยหรือไม่ (ดีที่หนึ่ง)  เวลามีใครมาว่าคนดีที่หนึ่ง ศิษย์จะโต้แย้งไหม (ไม่โต้แย้ง)  ไม่โต้แย้งหรือ อาจารย์เห็นเวลามีใครไม่ดีก็รีบว่าเขาเลย ใช่หรือไม่ 
ศิษย์เอย อาจารย์จะบอกให้ เรื่องราวในโลกใบนี้ เริ่มที่ไหนก็ต้องจบที่นั่น ปัญหาเกิดจากตรงไหน ก็ต้องแก้ที่ตรงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวไหนที่เป็นต้นเหตุทำให้เรามีเรื่องมีราว ก็คือตัวนั้นที่เราต้องรีบไปแก้ไข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตัวไหนล่ะ ที่ทำให้เราทุกข์จนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ทุกข์บ่อยๆ  ฉะนั้นก่อนจะโทษสิ่งใดไกลๆ โทษสิ่งใดว่าเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ลองถามใจเราก่อนว่าใจเราผิดหรือเปล่า จริงหรือไม่ (จริง)  อาจารย์ขอถามฝ่ายชาย เหล้ามันชั่วไหม  เหล้าไม่ชั่วแต่คนตกเป็นทาสของเหล้าชั่ว จริงหรือ (จริง)  อาจารย์ถามฝ่ายหญิงว่าผู้หญิงชั่วไหม (ไม่ชั่ว)  ผู้หญิงที่รักไม่เลือก ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของ แล้วก็ไปรักเขา ชั่วไหม (ชั่ว) ฉะนั้นก่อนจะไปว่าคนอื่นต้องถามใจเราก่อน ผู้หญิงที่ไปรักคนมีเจ้าของชั่วไหม บางทีเขาอาจจะไม่ชั่ว แต่สามีเรานั่นแหละที่ไปบอกเขาว่า “ฉันไม่มีใคร”  ก่อนไปว่าคนอื่นชั่ว ถามสามีเราก่อน อ้าปากเขาได้ไหม  อาจารย์ถามว่าโลภ โกรธ หลง เลวไหม แย่ไหม (ไม่) แต่ทำไมคนที่มีโลภ โกรธ หลง ทั้งเลวทั้งแย่ เพราะโลภ โกรธ หลง หรือเพราะคนที่ใช้โลภ โกรธ หลง (คนที่ใช้โลภ โกรธ หลง) บุหรี่เลวไหม หวยไม่ดีไหม (ไม่ใช่)  ศิษย์เอยก่อนจะไปว่าสังคมไม่ดี กิเลสไม่ดี ก่อนจะไปว่าคนอื่นไม่ดี ให้ถามตัวเราเองก่อนว่าตัวเราไปมีสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วเราปฏิบัติได้ดีหรือ ปฏิบัติได้ไม่ดี ก่อนจะไปชี้หน้าว่าคนอื่นจริงๆควรหันหลับมามองตัวเราก่อนใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มักจะอยากจะทำดี แต่หากคนที่เราจะทำดีด้วยไม่เห็นคุณค่า เราก็ด่าเขาเลยว่าเป็นคนไม่ดี ไม่เคยเห็นคุณค่าเราเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ทำดีก็เพราะอยากทำดีด้วยตัวเอง ศิษย์ไม่ได้ทำดีเพราะศิษย์ต้องการจะให้ใครมาชม ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าหากใครว่าเรากลับ ทำไมต้องโกรธเขา ก็ศิษย์ตั้งใจจะทำเอง จริงไหม (จริง) 
ศิษย์จำไว้นะว่าโลกใบนี้มีทางเลือกเสมอ ถ้าคิดชั่วแล้วไม่ดี ทำไม่จึงไม่คิดให้ดี และคิดให้พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคิดทางหนึ่งแล้วไม่รอด ทำไมไม่คิดอีกทางหนึ่งให้รอด  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่า ในที่ที่ศิษย์คิดว่าทุกข์ แต่พุทธะบอกว่าสามารถสิ้นทุกข์ได้  ในที่ที่ศิษย์บอกว่าเป็นกิเลส พุทธะบอกว่าสามารถทำให้ศิษย์เป็นพุทธะได้ และในที่ที่ศิษย์ว่าเลวร้าย พระพุทธะบอกว่าสามารถทำให้ศิษย์พบแสงสว่าง  ฉะนั้นแค่พลิกความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน แค่มองให้ชัด ความคิดการดำเนินชีวิตก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ใช่ไหม (ใช่) 
(ในตอนแรกพระอาจารย์เมตตาถามว่าศิษย์จะยืนกับพระอาจารย์ไหม ศิษย์ก็บอกจะยืนเป็นเพื่อนกับพระอาจารย์ พระอาจารย์บอกจะยืนสามชั่วโมง ศิษย์ก็บอกว่าจะยืนสามชั่วโมงด้วย ตอนนี้ทุกคนรู้สึกเมื่อยจึงขอเชิญพระอาจารย์นั่ง พระอาจารย์ยังไม่รับปากว่าจะนั่ง)
อยากนั่งไหม (อยาก)  อย่างนั้นอาจารย์ถามผู้มีปัญญา ทำอย่างไรตัวเราถึงจะได้นั่งโดยจะไม่ถูกเรียกว่ากลืนน้ำลายตัวเอง (ให้อาจารย์นั่ง)เพราะอาจารย์ยืนสามชั่วโมงศิษย์จะก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์สามชั่วโมง แต่ถ้าเมื่อไรอาจารย์นั่งศิษย์ก็จะได้นั่งใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดได้แค่นี้จริงๆ หรือ มีใครกล้าคิดต่างจากคนอื่นว่า “อาจารย์ ศิษย์ขอเสียสละยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ แทนทุกๆ คน แล้วขอให้ทุกๆ คนได้นั่ง ศิษย์ยอมยืนคนเดียว”  มีใครคิดแบบนี้ไหม  บางครั้งถ้าเราอยากจะก้าวให้คนอื่นมากกว่าหนึ่งก้าว เราต้องทำอะไร เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่ามนุษย์หูตาฝ้าฟางก็เพราะจิตใจยึดมั่นหมายแต่ถ้า เมื่อไรปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางความยึดมั่นเราจะเป็นอิสระจากทุกๆ สิ่ง
ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่าทุกคนต้องยืนแต่ถ้าศิษย์ก้าวออกมามากกว่าคนอื่น อาจารย์หนูขอยืนคนเดียว และยอมให้ทุกคนนั่ง และหนูจะยืนสามชั่วโมงเป็นเพื่อนอาจารย์ ขนาดพูดจนจบเป็นรอบที่สองยังไม่มีคนทำเลย  ยอมไหม (ยอม)  คนที่เหลือยอมหรือไม่ ศิษย์เอย ปลาตัวเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าปลาทุกตัวพร้อมใจกันยกมือ “หนูยอมค่ะอาจารย์”  ถามจริงๆ ว่าอาจารย์จะไม่เปลี่ยนใจหรือ มัวแต่ห่วงตัวเองเราจึงไม่สามารถแก้ปัญหา แก้ทุกข์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ตบมือให้คนยอมยกมือหน่อย
ใครจะยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ยกมือขึ้น ทำไมต้องรอให้อาจารย์บอก ในเมื่อเรากล้าทำ กล้ายอมรับ และเรากล้าเผชิญความจริง ทุกข์จะน่ากลัวอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์มีแต่อาจจะแปรร้ายให้กลายเป็นดี แปรหนักให้กลายเป็นเบา ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ตกลงยืนหรือไม่ (ยืน)  ศิษย์รักนั่งลงได้
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนยืนนั่ง ตามคำบอก) เพราะสิ่งสำคัญในการฝึกฝนเรียนรู้ธรรมคือต้องมีสติและก็ต้องมีปัญญาคิด พิจารณาไตร่ตรองตามด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นง่ายๆ ว่า ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีความสิ้นทุกข์  ที่ใดมีกิเลสที่นั่นก็มีที่ (สิ้นกิเลส) ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มที่นี่ ก็ต้องละที่นี่ และก็ต้องจบที่นี่ ถ้าอาจารย์บอกว่าตัวเราเป็นต้นเหตุของเรื่องราวนานา ศิษย์อาจจะแย้งอาจารย์ว่า “ไม่จริงหรอกคนอื่นต่างหากที่ทำให้หนูไม่ดี” ใช่หรือไม่ (ใช่,ไม่ใช่) 
บางคนก็บอกว่า ใช่ บางคนก็บอกว่าไม่ใช่ อย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์ดูง่ายๆ คนในโลกนั้นก็อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนมีเมตตา แต่คนบางคนทำไม่ได้ เหมือนทำความดีแล้วก็หวังได้อะไรจากเรา  คนบางคนทำดีกับเรามาก แต่ใจเราระแวงว่าไม่น่าจะใช่นะ เขาน่าจะไม่ได้หวังดีจริงๆ หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจริงๆ แล้ว เขาดีหรือไม่ (ดี)  แล้วใครที่ไม่ดี (ตัวเรา)  แต่หากเขาเป็นคนไม่ดีจริงๆ ศิษย์ก็จะบอกว่า “บอกแล้ว พ้นจากที่ฉันพูดที่ไหน เขาไม่ดีเลย” แล้วเราก็ชิงชังจนเขาไม่มีจะยืนอยู่ในโลกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนดีของอาจารย์เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเลย เห็นใครดีก็ระแวง พอใครผิดหน่อยก็เหยียบให้จมดิน ไม่ต้องมีที่ยืน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ก็เป็นคนที่ทำให้คนดีไม่มีกำลังใจ และไม่เคยให้โอกาสคนชั่ว อาจารย์จะบอกให้นะ ถ้าอยู่ในโลกแล้วไม่อยากผิดหวัง จงยอมรับว่าไม่มีใครดีที่สุด  เราจะได้ไม่เคืองโกรธ และให้ยอมรับว่าไม่มีใครแย่เกินรับได้  เราจะได้ไม่ขับไล่ไสส่งเขาจนไม่มีที่ยืนอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเจอใคร อย่าหลงในความดีเขามากเกินไป และอย่าเกลียดเขาจนเขาไม่มีที่ยืนอยู่
ถ้าศิษย์พบคนไม่ดี บางทีก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่า “คนคนนี้ไม่มีจิตสำนึกเลยหรืออย่างไร ถึงได้เลวร้ายขนาดนี้” ศิษย์เคยคิดแบบนี้หรือไม่ (เคย)  อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ผ้าที่ปล่อยให้สกปรกแล้วค่อยซักให้ขาว กับผ้าที่ไม่ยอมสกปรกเลย อะไรจะขาวกว่ากัน (ผ้าที่ไม่ยอมสกปรก)
คนบางคนเขาจะไม่มีจิตสำนึกแต่ถึงเวลาเขาเลือกทำอะไรก่อนและทำอะไรหลัง สมมุติว่าองค์มารดาเมตตาประทานผลไม้ทิพย์มาหนึ่งลูก และบอกให้อาจารย์จี้กงไปแจกทุกๆ คน ถามว่าถ้าศิษย์เป็นอาจารย์จี้กงศิษย์ว่าศิษย์จะรับผลไม้นั้นมาไหม (รับ) พระองค์มารดายังบอกอีกว่าผลไม้นี้เป็นผลไม้ทิพย์ ใครที่ป่วยกินแล้วจะแข็งแรง ใครที่ปัญญาไม่ดีจะมีปัญญาดี ถ้าผลไม้ทิพย์นั้นอยู่ในมือศิษย์ แล้วศิษย์จะเอาไปแบ่งใครหรือไม่ (แบ่ง) แบ่งให้ใคร ถามใจศิษย์ทุกคน อันดับแรกแบ่งไว้ให้ที่บ้านก่อน กินเองก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันใช่หรือไม่ เหมือนกับในโลกนี้ทางเลือกมีให้เดินแต่พอถึงเวลาคนทุกคนเลือกทางที่เสียสละ ไม่มีโลภ ไม่มีกิเลส ไม่มีหลง หรือว่าเลือกทางที่โลภ  โกรธ หลงให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยไปทำดีไถ่ทีหลัง ฉะนั้นถามว่าเขาไม่มีจิตสำนึกหรือ อาจารย์ว่าไม่ใช่นะ ถ้าตอนนี้ศิษย์มีโอกาสได้ผลไม้เป็นองุ่นหนึ่งเม็ดจากอาจารย์ ให้เอาไปแบ่งทุกคน
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ยึดมั่นหมายว่าผลไม้นั้นลูกเล็กหรือใหญ่ จะแบ่งได้ทุกคน ถ้าศิษย์ไม่ยึดมั่นหมายว่ามีอยู่แค่นี้ ศิษย์ว่าจะช่วยคนได้ทุกคนหรือไม่   อย่าดูเบาว่ามีแค่นี้ แต่ถ้ามีแค่นี้แล้วคิดอย่างคนมีปัญญาเราก็จะไม่มีวันทุกข์ อย่างนั้นคิดได้ไหมว่าทำอย่างไรถึงจะได้กินทุกคน ถ้าคิดได้จะได้นั่ง ถ้าคิดไม่ได้ก็ไม่ได้นั่ง มีใครคิดได้บ้าง (ให้เขาชิมคนละนิด,ให้ดมคนละหน่อย,องุ่นเม็ดนี้เป็นองุ่นวิเศษ เป็นองุ่นที่อาจารย์จี้กงมอบให้ ศิษย์ไม่รู้จะแบ่งปันกับใคร ขอเอาไปแช่ในน้ำหนึ่งถังแล้วเอามาแบ่งกันกินคนละแก้ว) 
ศิษย์เอยบางครั้งยาวิเศษก็ไม่สู้ใจที่วิเศษ ใจที่ประเสริฐ เจอทุกข์อย่างไร เจอปัญหาอย่างไรก็หาทางออกได้ น้ำกินเข้าไปเดี๋ยวก็ออก ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์จะให้ศิษย์อาจารย์ให้ปัญญาดีกว่าไหม ปัญญาที่ไปอยู่ที่ไหนไม่มีวันอับจน ถ้ากินแล้วคิดไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์จริงหรือไม่  เหมือนกันนะศิษย์ถ้าเขาชี้หน้าด่าเรา “แกมันโง่ แกมันไม่ได้เรื่อง แกมันดำ แกมันแย่” แต่ถ้าเราคิดได้ คิดเป็น พิจารณาหาทางออกได้ หาทางออกเป็น การถูกว่าแย่ การถูกว่าไม่ดี การถูกว่าดำก็ไม่ทำให้เราทุกข์จริงหรือไม่
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะที่ใดที่มีทุกข์ที่สุดที่นั้นศิษย์จะต้องหาทางพ้นทุกข์ให้ได้  ที่ใดทำให้ศิษย์เจ็บปวดที่สุดที่นั่นจะทำให้ศิษย์พ้นความเจ็บปวดได้  แล้วถ้าศิษย์พบตรงนั้นแล้ว โลกนี้จะมีอะไรที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์จี้กงทุกข์ได้อีกต่อไป ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ไม่สำคัญว่าคนอื่นเขาว่าเราอย่างไร แต่สำคัญตรงที่หลังจากโดนเขาว่าเราแล้วจะวางตัวเช่นไร ถ้าเราไม่ยึดติด เราไม่ถือมั่น ยิ่งเขาว่ามากเท่าไร ใจเรายิ่งกว้างมากเท่านั้น  ยิ่งให้อภัยได้มากเท่านั้น ยิ่งได้ปลดปลงตัวตนมากเท่านั้น นี่จึงเรียกว่า แปรร้ายให้เป็นดี แปรทุกข์ให้เป็นการพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่ใดที่ทุกข์ที่สุด ที่นั่นก็สามารถเป็นนิพพานที่สงบเย็นที่สุด จริงหรือไม่ (จริง)  ทำได้ไหม (ได้)  อย่างนั้นเดี๋ยวมาดูกันว่าจะได้จริงหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นและนักเรียนในชั้นออกมา)
สมมติว่ามีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง อาจารย์มีหัวหน้าอยู่คนหนึ่งแล้วอาจารย์ก็มีเพื่อนร่วมบำเพ็ญอยู่คนหนึ่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งที่แสดงบทบาทสมมติเป็นหัวหน้านั่งบนเก้าอี้ แล้วเอากระดานมาบัง)
สมมติว่าเราอยู่ในโลกเป็นธรรมดาที่เราจะอยู่ร่วมกับเพื่อนในสังคมถูกหรือ ไม่ (ถูก)  บางทีเราก็พยายามทำให้ดี แต่บางครั้งการพยายามทำให้ดีของเราก็มีผลกระทบต่อคนรอบข้าง จริงหรือไม่ (จริง)  เราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  เรื่องเสนอหน้าขอเอาก่อนคนแรก แต่เรื่องทำงานหนักโยนให้เพื่อนก่อน ใช่หรือไม่  เจอคนแบบนี้เป็นอย่างไร (เหนื่อย)  ถ้าเหนื่อยแล้ว คนก็ยังไม่เห็นคุณค่า ศิษย์รับได้ไหม (ต้องรับให้ได้)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้มีโอกาสก็อย่าว่าคนอื่นเลว อย่าว่าคนอื่นร้าย สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือใจของเราใช่หรือไม่ ที่น่ากลัวกว่าใครในโลกนี้ คนชั่วเราเห็นชัดว่าชั่ว แต่คนดีที่คิดชั่วน่ากลัวยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)   ฉะนั้นก่อนจะว่าคนอื่น ถามตัวเราว่าดีกับคนอื่นอย่างสุดจิตสุดใจหรือยัง ก่อนที่จะเรียกร้องให้คนอื่นเขาดีอย่างสุดจิตสุดใจ ใช่ไหม (ใช่)  เสียสละเพื่อคนอื่น แล้วให้คนอื่นได้หน้า แม้เราจะไม่ได้อะไรเลย ศิษย์จะทำใจได้ไหม (ได้)  ทำให้ได้นะ ถ้าทำได้ สละได้ ยอมให้ได้ ศิษย์จะเข้าใจคำว่า เข้าถึงธรรมและหัวใจที่ยิ่งใหญ่  แต่ถ้ายอมไม่ได้ สละไม่ได้ ศิษย์ก็จะพบแต่ความโกรธ ความเกลียดและนรกในใจ ใช่ไหม (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้กับนักเรียนที่ร่วมแสดงบทบาทสมมุติ)
เอาแอปเปิลไปทำอะไร (กิน)  ศิษย์เอ๋ยอยากได้ก็อย่าได้แค่ตัวเอง คุณค่าก็จะอยู่แค่ตัวเอง  อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักส่งต่อบุญที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บุญที่เข้าหาตนเอง  แต่เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้พ้นกรรมเวรพ้นการเวียนว่าย คือสละให้ไม่ยึดถือไม่หวังผลใดๆ  นั่นแหละยิ่งใหญ่กว่าทำบุญแล้วหวังผล  อาจารย์ถามศิษย์ว่าเอาแอปเปิลให้ใคร (เอาไปให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหาร, เพื่อนๆ, บูชา)  องุ่นเอาให้คนอื่น แอปเปิลจะเอาให้ใคร (เอาไปให้ลูกหลานที่บ้าน)  บางทีเอาไปให้เพื่อนบ้านอาจจะดีกว่าให้ลูกหลานนะ
ธรรมะคือสิ่งที่ศิษย์ทุกคนล้วนอยากจะมี อยากจะเข้าให้ถึง ก่อนจะเข้าถึงธรรมต้องถามศิษย์ว่าศิษย์ทุกคนอยากมีทุกข์หรืออยากสิ้น ทุกข์ (สิ้นทุกข์)  มีคำพูดว่าเมื่อไรเราสิ้นกิเลส เราก็สิ้นทุกข์จริงไหม (จริง)  ถึงว่าไม่เคยสิ้นทุกข์สักที
ถ้าเมื่อใดเราสิ้นกิเลสเราก็สิ้นทุกข์จริงไหม (จริง)   แต่มนุษย์มักจะแก้กลับกันว่าเมื่อไรเราสิ้นทุกข์ได้เราสิ้นกิเลสได้  ฉะนั้นจึงไม่มีวันสิ้นทุกข์ เพราะชอบไปควบคุมกิเลสแต่ลืมเข้าใจความทุกข์ว่ามันมาจากไหน ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามถ้าโลกคือสิ่งที่เรียกว่าดี ร้าย ได้ เสีย สุข ทุกข์ อย่างนั้นธรรมคืออะไร (ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ดี ไม่ร้าย ไม่ได้ ไม่เสีย)  แต่ถ้าเรามีความอยากเสียแล้ว ก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ ถูกต้องไหม (ถูก)  ถ้าเราเข้าใจโลกคืออะไร เราก็จะเข้าใจธรรมคืออะไร เมื่อเราเข้าใจธรรมเราก็จะหาเหตุดับทุกข์ได้ ศิษย์เคยเห็นตะเกียงหรือไม่ ตะเกียงมีไส้ มีน้ำมัน จุดแล้วก็สว่าง แต่ถ้ามีไส้ มีน้ำมัน จุดสว่างแล้วยังมีแก้วครอบอยู่ด้วย จุดแล้วจะเป็นอย่างไร (จุดได้นาน)
ถ้าศิษย์อยากสิ้นทุกข์เราก็ต้องหาทางหาธรรมดับทุกข์ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้า โลกคือ ดี-ร้าย ได้-เสีย สุข-ทุกข์ ดังนั้นความไม่มีดี-ไม่มีร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข นั้นเรียกว่าธรรม  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เข้าใจก็น่าจะสิ้นทุกข์ได้หรือไม่  แต่ทำไมรู้แล้วถึงไม่สิ้นทุกข์ (เข้าใจแต่ยังปฏิบัติไม่ได้, ยังไม่ได้ปฏิบัติ)  อาจารย์อยากจะชื่นชมว่าเขาตอบได้ดี เพราะเขามองเห็นจริงๆ  โลกคือสิ่งที่ดี-ร้าย ได้-เสีย ทุกข์-สุข  แต่ธรรมคือไม่มีดี-ไม่มีร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข ถ้าหยั่งถึงความเข้าใจธรรมอันนี้ ศิษย์เชื่อไหมว่าศิษย์จะสิ้นทุกข์ ศิษย์จะไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด ทันทีเลยนะ  แต่ที่ตอบมายังหยั่งไปไม่ถึงนะ (ไม่มีอะไร คือยังไม่รู้อะไร ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ ผมยังไม่รู้ว่า ถึงคืออะไร)  ถึงคือ ต้องลงแรง ใช่ไหมศิษย์ อย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ คำว่าธรรมคือ ไม่ดี-ไม่ร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์  แต่โลกคือสิ่งที่เรียกว่า ดี-ร้าย ได้-เสีย สุข-ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจถึงธรรมเราจะไม่ไขว่คว้าในเรื่องทางโลก ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ถ้าผู้ใดถึงธรรมผู้นั้นก็พบความเป็นเช่นนั้นเอง หรือพบความเป็นพุทธะ”
เราจะเข้าใจคำว่า ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ เป็นไปได้หรือไม่ (เป็นไปได้)  เหมือนอาจารย์ให้แอปเปิลศิษย์ ศิษย์คิดว่ากำลังได้หรือศิษย์กำลังเสีย (ขึ้นอยู่กับศิษย์จะรับหรือไม่ ถ้าศิษย์รับศิษย์กำลังได้) แล้วในช่วงที่ศิษย์กำลังได้ ศิษย์กำลังได้หรือกำลังเสีย (ได้)  ถ้าศิษย์เข้าใจตรงนี้ ศิษย์จะเข้าใจธรรม การได้มาคือการที่กำลังเสียไป ทุกครั้งที่ได้คือทุกครั้งที่เรากำลังเสีย กว่าจะได้แอปเปิลมา ศิษย์ได้เสียเวลาชีวิตที่ควรจะได้ไปโน่นไปนี่ มานั่งฟังตรงนี้ เพื่อจะได้แอปเปิลนี้มา ในโลกใบนี้ เหมือนเราได้ แต่จริงๆ แล้วเรากำลังเสีย เวลาเราได้อะไรจากใครมา เรารู้สึกว่าเราติดหนี้เขาหรือไม่ (รู้สึก) นั่นคือเรากำลังหาอะไรเพื่อเสียให้เขาไป เหมือนเราได้อะไรมากๆ เรารู้สึกว่าต้องเสียอะไรไปให้เขาบ้าง ฉะนั้นอย่าคิดว่าเราได้ เพราะโลกนี้ ไม่มีใครได้กำไร และไม่มีใครขาดทุน
ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นตัวกำหนดชะตากรรม และเมื่อใดที่มนุษย์ทำกรรมใดแล้ว กรรมนั้นก็ย่อมส่งผลให้คนนั้นต้องรับตามกรรมนั้นไป และก็ต้องติดตามกรรมนั้นไป มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้อาศัย และมีกรรมเป็นผลพวงของเรา ฉะนั้นเวลาศิษย์กระทำอะไรอย่างหนึ่ง ศิษย์เอาแต่รับ แล้วศิษย์ไม่ให้ เป็นไปได้ไหมฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์ได้มา ก็คือทุกขณะที่ศิษย์กำลังจะเสียอะไรไปจริงหรือไม่ (ครับ) เหมือนอาจารย์ ถามศิษย์ว่า คนเรามีเกิด ก็มี (ตาย) ฉะนั้นตอนนี้อายุคือขวบปีที่เกิดหรือ อายุคือขวบปีที่ตาย (ขวบปีที่ตาย) สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ได้มามากมายจริงๆ แล้วศิษย์ได้หรือศิษย์เสีย (เสียก็เยอะ) แล้วก็ถึงจะได้มา ใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่ได้ก็คือเสีย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจะบอกว่าเราได้อะไรไหม (ไม่ได้) เพราะถึงที่สุดสิ่งที่ได้ก็คือ สักวันก็ต้องเสียไป มีอะไรไม่เสีย (ถูกต้องครับ) เมื่อเรารู้ความเป็นจริงว่าสิ่งที่ได้ก็คือสิ่งที่เสีย สิ่งที่มีก็คือสิ่งที่ไร้ แล้วเราจะอยากอะไรในโลก (ไม่อยาก)  แล้วเราจะทุกข์อะไรในโลก (ไม่ทุกข์) แล้วเราจะหลงอะไรในโลก (ไม่หลง)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงธรรม ความโลภ โกรธ หลง ย่อมไม่มี เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
อาจารย์เพิ่งเคยเห็นคนเข้าใจธรรมที่ทำหน้าเฉยๆ  อาจารย์เคยเห็นแต่คนที่เข้าใจธรรมแล้วหน้าตาสว่าง สว่างบ้างหรือไม่ (ยินดีไปก็แค่นั้น) เพราะสิ่งที่น่ายินดีคือสิ่งที่ไม่น่ายินดี ใช่ไหม (ใช่) เอาผลไม้ไหม (ไม่เอาครับเพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลกนี้ ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ศิษย์ไม่เคยเห็นจริงสักครั้งหนึ่ง เหมือนอาจารย์หยิบเอาแอปเปิลมาสักแวบหนึ่ง ศิษย์เห็นอะไรไหม (เห็นอาจารย์หยิบแอปเปิลมาแล้วเก็บ) แต่สิ่งที่ศิษย์เห็นจริงๆ ทั้งหมดไม่ได้ครึ่งหนึ่งของแอปเปิลทั้งมวล เราเห็นแค่แอปเปิล เปรี้ยว หวาน  อยากได้ ไม่อยากได้ แต่ในแอปเปิลอาจารย์เห็นทั้งความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความไม่แน่นอน ความคาดหวัง ความยึดติด อาจารย์บอกต่อนะศิษย์ เมื่อไรเราจะพบธรรมได้ ไม่ว่าอะไรมากระทบกระเทือน จงพิจารณาให้พบธรรมว่าเรากำลังได้หรือเรากำลังเสีย กำลังจะเริ่มหรือกำลังจะจบ
ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์เข้าใจแล้ว ตอนนี้อาจารย์กำลังใช้ภาคปฏิบัติล่ะนะ  ฉะนั้นศิษย์กำลังได้หรือเสีย ศิษย์กำลังเริ่มหรือจบ ถ้าอาจารย์ตีแล้วศิษย์โกรธ ศิษย์กำลังไม่จบ ศิษย์กำลังเสียอารมณ์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ศิษย์ไม่จบคือกำลังเริ่มมีปัญหา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเราพิจารณาด้วยธรรม ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย (ศิษย์เข้าใจอย่างนี้ว่า ทุกอย่างเป็นที่ความคิดว่า อาจารย์ตบ ตี ศิษย์ไม่คิดก็เลยไม่มี)  อาจารย์ไม่ใช้คำว่าความคิดเพราะความคิดง่ายที่จะติดปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่ ชอบชัง แต่อาจารย์บอกว่าให้ศิษย์พิจารณาจนบังเกิดธรรม ความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะไหลเข้าข้างตัวเอง และง่ายที่จะยึดติดไปตามใจตัวเองถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนอาจารย์ตีหนึ่งทีศิษย์บอกไม่คิด ตีอีกที ตีอีกทีคิดหรือไม่ (คิด)  โลกมีได้มีเสียเพราะเรายึดถือ แต่ถ้าเราเข้าใจความจริงแห่งธรรม ไม่มีใครได้ไม่มีใครเสีย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันจบอยู่ในตัวมันเองทุกขณะ แต่เราไม่เคยจบอะไรง่าย เพราะฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าอยากจบจงสงบ ถ้าอยากจบจงมีศีล ถ้าอยากจบจงมีปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนั้นศิษย์จะมีศีลธรรมทันหรือไม่ เขาตบมาศิษย์ตบกลับ เขาเตะมาศิษย์เตะกลับ แต่ถ้าเราพิจารณาจนบังเกิดธรรมละ ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย และไม่ใครตีใคร เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไป แต่มนุษย์มักจะจมอยู่กับอดีตจนลืมมองปัจจุบัน เขาด่าศิษย์เมื่ออดีต มันจบแล้วแต่ศิษย์ไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมคือการอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่การเอาแต่คิดคือการจมอยู่กับความปรุงแต่งในอดีตและไม่วางเรื่องราว ฉะนั้นธรรมคือปล่อย ว่าง โล่ง แต่กิเลสคือยึดมั่นถือมั่นตัวตนของตนและแบ่งแยก ดี  เลว ร้าย 
เหมือนกันนะศิษย์ ถ้ารู้ว่านี่เป็นทุกข์ ศิษย์จะเอาหัวโหม่งรับ เอาใจรับ หรือปล่อยให้ทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็จบไป (ปล่อยให้เกิดแล้วจบไป แต่ถ้าคิดต่อเป็นแค้นก็ทุกข์กับเรา) ไม่จบ ถูกไหม แล้วอาจารย์ถามจริงๆ นะ ทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราไม่หยิบมาคิดเมื่อเริ่มก็จบ แต่ใครที่หยิบมาคิด (ตัวเราเอง)  ฉะนั้นแม้จะปาแอปเปิลใส่หัวศิษย์  จบหรือไม่ (จบ)  แต่คนส่วนใหญ่ไม่จบ แล้วก็เก็บมาคิดว่า อาจารย์จี้กง เด็กคนนี้ถ้าออกไปเมื่อใด เสร็จฉันแน่ ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ เกิดขึ้น หมุนเวียนไปต่างๆ นาๆ ถ้าเรายอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเกิดขึ้นก็ดับไป มีเกิดขึ้นก็จบลง เราไม่เก็บมาคิด เราไม่เอามายึดมั่น ความทุกข์จะมากัดกินใจศิษย์ได้ไหม (ไม่ได้) แต่ที่ทุกข์มากัดกิน เพราะเรา (คิด)  แต่ไม่เคยพิจารณาจนบังเกิดธรรม ถูกหรือไม่ (ครับ) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า อยู่ร่วมกับคนจงใช้คุณธรรม แต่เมื่อเจอทุกข์จงมองให้เห็นธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท  “นิสัยคนชวนเบื่อ”)
เคยไหมทำตัวแบบตามใจตัวเองจนคนอื่นเบือนหน้าหนี ศิษย์เคยเบือนหน้าหนีหรือเคยถูกคนเบือนหน้าหนีไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เพชรในตน”)
เราเป็นเพชรไหม (เป็น)  เป็นเพชรหรือเป็นหิน (เพชร)  ถ้าอยากเป็นเพชรในตน ศิษย์จะต้องหาคุณค่าที่แท้จริงในตัวเอง ไม่กลัวการถูกขัดเกลา ไม่กลัวการถูกหล่อหลอม แต่คนบางคนถึงแม้จะเป็นคนดี พอโดนขัดเกลานิดหน่อยก็ไม่อยากดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเป็นเพชรแท้จะกลัวความลำบากจากการถูกขัดเกลาไหม (ไม่กลัว) กลัวความลำบากในการนั่งฟังธรรมจนบังเกิดปัญญาไหม (ไม่กลัว)  ฉะนั้นถ้าเราไม่ยอมรับการขัดเกลา เราก็คงไม่รู้จักคุณค่าของหินที่กลายเป็นเพชร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่รับการขัดเกลา เราก็คงไม่รู้ว่าคุณค่าของตัวเราที่มีมากกว่ากายสังขาร นั่นคือพุทธจิตธรรมญาณ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากจะบอกว่า แค่หลงก็บังปัญญา รูปนามลวงตาลวงใจ อัตตาอารมณ์นิสัย อย่าสูงจนไม่มีธรรม เป็นคำที่อยู่ในโอวาทที่ศิษย์ช่วยอาจารย์ครอบนะ เข้าใจนะ อย่างนั้นศิษย์จงเอาไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม ดีไหม (ดี) 
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม มีกรรมเป็นของตน สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมแบ่งจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคยได้ยินไหมว่า ให้พิจารณาจนบังเกิดธรรม ด้วยการพิจารณาว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของตน และมนุษย์มีกรรมเป็นผลของตน ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มีกรรมเป็นแดนเกิด มนุษย์มีกรรมเป็นผู้อาศัย มนุษย์มีกรรมเป็นผู้ติดตาม
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม ศิษย์รู้ใช่ไหม พระพุทธะสอนว่าจงพิจารณาให้บังเกิดธรรมคือมนุษย์มีกรรมเป็นของตน มนุษย์หนีผลของกรรมที่ตนสร้างไว้ไม่พ้นและมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นผู้อาศัย ฉะนั้นใครทำกรรมใดคนนั้นต้องรับผลกรรมนั้น พระพุทธะสอนว่าอย่าดูถูกกรรมดีเล็กๆเพราะกรรมดีเล็กๆก็มีผลที่ยิ่งใหญ่ได้ อย่าดูถูกกรรมชั่วเล็กๆ เพราะกรรมชั่วถ้าตกผลก็ให้ผลที่ร้ายแรงได้ ถ้าเราเข้าใจว่าเรามีกรรมเป็นแดนเกิด กำลังอาศัยกรรมนี้และกรรมนี้ก็คอยติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง ฉะนั้นถ้าเราทำอะไร กรรมนี้เราก็ต้องรับเอง
มนุษย์มีกรรมเป็นของตน มนุษย์มีกรรมเป็นผล มนุษย์มีกรรมเป็นแดนเกิด มนุษย์มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มนุษย์มีกรรมเป็นผู้อาศัย ฉะนั้นตัวเราคือผลพวงของกรรม ซึ่งกรรมนี้เราสามารถเดาได้ไหมว่าต่อไปจะเป็นกรรมดีหรือชั่ว ได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นตัวเรานี้เรียกว่า ผลของกรรมในอดีต ซึ่งต่อไป กรรมจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ การกระทำในปัจจุบัน ฉะนั้นอาจารย์ถามว่า จะดีจะร้าย อยู่ที่ฟ้าหรืออยู่ที่กรรม (อยู่ที่เรากระทำ) กรรมเรียกอีกอย่างว่า การกระทำ 
อาจารย์วาดรูปคน คือตัวกรรม ตัวเราเกิดจากผลของกรรมที่เราเคยทำในอดีต  แล้วกรรมตัวนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับปัจจุบันว่าเราทำอะไร ถ้าทำกรรมดี เรียกว่า (บุญ,กรรมดี) ถ้าทำกรรมชั่วเรียกว่า (บาป,ชั่ว) 
ฉะนั้นตัวเราเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการกระทำปัจจุบัน  ถ้าทำดีเรียกกรรมดี ถ้าทำชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว  แล้วอะไรที่เรียกว่ากรรมชั่ว อะไรเรียกว่ากรรมดี
คนสมัยนี้ถ้าแยกไม่ออกว่าอะไรดีชั่วก็แย่แล้วนะศิษย์เอย แล้วอะไรที่เรียกว่าดี อะไรที่เรียกว่าชั่ว ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ตอบให้ง่ายๆ ว่าสิ่งใดที่ทำแล้วสบายใจแล้วเบิกบานใจ นั่นเรียกว่าดี สิ่งใดที่ทำแล้วหม่นหมอง หดหู่ มืดมน นั่นเรียกว่าชั่ว ฉะนั้นถ้าว่าแล้วทำให้เขาหม่นหมองดีหรือชั่ว (ชั่ว)  แล้วกรรมมันไปตามไหน กรรมไปตามสิ่งที่เรากระทำ ถ้าเราคิดไม่ดี  ทำไม่ดี เราก็ได้ผลคือความทุกข์ แต่ถ้าเรานั่งฟังด้วยความเบิกบานใจ สบายใจ อิ่มใจ กรรมนั้นก็ตกผลทันทีก็คือดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วที่นั่งฟังมานั้นดีหรือชั่ว (ดี)  ไม่มีใครตัดสินได้ แม้แต่ฟ้าก็ตัดสินไม่ได้ ตัวศิษย์เองรู้ดีที่สุดว่าที่นั่งมาดีหรือชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ขึ้นชื่อว่าคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้อาศัย และมีกรรมเป็นผู้ติดตาม ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์บอกว่าเริ่มที่ตน ก็สามารถจบที่ตนและละที่ตนได้ ถูกไหม (ถูก)  ในเมื่อเราทุกข์เพราะตัวตนนี้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเราไม่เข้าใจตัวตนนี้ ก็จะหาเหตุให้เราสร้างกรรมไม่จบสิ้น ถูกไหม แล้วแทนที่เราจะทุกข์แค่ชาตินี้ เราก็กลับจะต้องทุกข์หลายๆ ชาติ จองเวร จองกรรมไม่จบสิ้น ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราทำกรรมดี กรรมดีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญ กรรมชั่วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บาป  ถ้าทำบุญแล้วหวังผล ยึดติดในผล บุญนั้นก็ยังอิงแอบไปด้วยบาป ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราทำบุญหวังผลไหม (หวัง)  ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ทำบุญก็ต้องหวังนิดๆ หน่อย เป็นธรรมดา” ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ให้หวังเลยเป็นไปได้ไหม  ส่วนบาปเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหนทางที่เดินไปสู่ความมืดมน หรือมีสาวกเป็น โลภ โกรธ หลง  ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าใครเผลอมี โลภ โกรธ หลง เป็นทางมา แห่งบาป ใช่หรือไม่ หนีไม่พ้น ทุกข์ และหนีไม่พ้นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำดีมากเท่าใด แต่ศิษย์ยังอิงแอบไปด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง บุญนั้นก็ไม่เคยบริสุทธิ์ แล้วบุญนั้นยังเป็นบุญที่หวังผล บุญที่หวังผลนี้ยังเป็นกรรมดี ที่ต้องมารับผลของกรรมดี ถึงเวลาก็ต้องกลับมารับผลของบุญนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำบุญสิบบาท แต่ศิษย์ขอสักร้อยอย่าง มันใช้กันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วศิษย์จะบอกว่าทำดีเท่าไรแล้วไม่ได้ดีเพราะอะไร เพราะบุญนั้นอิงแอบไปด้วยบาป  ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าอยากทำดีแล้วไม่ต้องมารับผลของบุญนั้น เขาก็เลยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทำ กุศล  กุศลคือสิ่งที่ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ทำแล้วสามารถขัดเกลาให้เกลี้ยงซึ่งอัตตาตัวตน กุศลที่ไม่หวังผลเรียกว่าอกรรม ซึ่งเป็นหนทางที่ไม่ ต้องกลับมารับกรรมอีกต่อไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราไม่ใช่ เราติดแค่เพียงอารมณ์ดีก็ทำ อารมณ์ไม่ดีก็ไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์นั้นคืออะไร ก็คือกิเลส คือบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วกิเลสและบาปนี้ เราอยากอะไร อยากได้ อยากมี ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่เราอยากได้ อยากมี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร เรียกว่าธรรม และในธรรมนี้ หนีไม่พ้นสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่)  และในสัจธรรมนี้ หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง ทุกข์ และถึงที่สุดคือหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมถึงกลายเป็นธรรมล่ะ  เพราะพุทธะเรียกทุกสิ่งว่าธรรม ธรรมคือสภาวะความเป็นจริงที่เป็นธรรมชาติ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์ก็คือธรรม แอปเปิลก็คือธรรม พัดก็คือธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นธรรม เราจะไม่ลืมสัจธรรม เพราะธรรมนั้นมีสัจจะ ความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่งคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์และหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เหมือนกับศิษย์คนหนึ่ง ศิษย์หน้าตาอย่างนี้ คือหน้าตาเดิมเขาไหม (ไม่ใช่) และคือหน้าตาท้ายสุดของเขาไหม (ไม่ใช่)  และอันไหนคือหน้าตาท้ายสุด ไม่มี หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่สิ้นทุกข์ เราก็เวียนไปไม่จบสิ้นแล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้น เรากำลังโกรธหน้านี้หรือ เรากำลังอยากกับหน้านี้หรือ  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ที่อยู่ในธรรมของทุกชีวิต ความไม่เที่ยงจะทำให้เราไม่อยาก ความทุกข์จะทำให้เราไม่โกรธ และความหาตัวตนไม่ได้จะทำให้เราไม่หลง คนนี้หล่อไหม (หล่อ)
ในโลกนี้ไม่มีใครหล่อเพราะถึงที่สุดความหล่อเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยน)  แก่ไหม ตายไหม เหี่ยวไหม ที่คิดว่าหล่อคือใจเราที่คิดมั่นหมายนั่นแหละคิดว่าหล่อ ฉะนั้นอย่ามองแค่ผิวเผิน มองให้ถึงที่สุดแล้วเราจะอยากมีไหม จะเอากรรมมาแบกเพิ่มอีกไหม   ถ้าเรามองเห็นความจริงในธรรมที่มีสัจธรรมซ่อนอยู่ เราจะไม่อยาก เราจะไม่โกรธ เราจะไม่โลภและหลง  ถ้าตอนนี้ไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงแล้ว นั่นคือ กุศลกรรม แต่มนุษย์เมื่อเห็นแล้วยังอยาก ยังโลภ ยังโกรธ ยังหลง ทั้งที่จริงแล้วสวยไหม (ไม่สวย) ดีไหม (ไม่ดี)
ศิษย์เคยได้ยินที่พระพุทธองค์สอนให้เดินสายกลางไหม อาจารย์จะบอกว่าเราอยู่บนทางสายกลางอยู่แล้ว แต่ใจเราไม่เคยกลาง ถามว่าคนนี้หล่อไหม มีทั้งหล่อและไม่หล่อ ทั้งเหี่ยวและไม่เหี่ยวอยู่ที่ว่าเราเปรียบเทียบกับใคร ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงได้อย่างเด่นชัด เราก็จะมองเห็นธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยมองคนให้เห็นธรรม เราเคยมองคนจนหยั่งพิจารณาให้ถึงธรรมไหม
ถ้ายังไม่เคยมองคนจนหยั่งพิจารณาให้ถึงธรรม รู้ไปก็เท่านั้น ถ้าเอาแต่คิด แต่ไม่หยั่งให้ถึงธรรม เรายังอยากเวียนว่ายตายเกิดไหม (ไม่อยาก)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากเวียนว่าย ทุกขณะที่ทำอย่ายึดมั่นถือมั่น ทุกขณะที่ทำไม่ร้องขอ ยิ่งทำแล้วทิ้งความเป็นตัวตนได้ นั่นเรียกว่ากุศล แต่ถ้านั่งฟังธรรมแล้ว มีแต่ทำไมๆ มีแต่ไม่ใช่ๆ ไม่เอา นั่นคือยังยึดติดในตัวตน จริงไหม (จริง)  ฟังธรรมเพื่อคลายหรือฟังเพื่อยึด ฟังธรรมเพื่อปล่อยวางหรือฟังธรรมเพื่อยึดมั่นถือมั่น (ปล่อยวาง) 
มนุษย์จึงเรียนรู้กันเพียง ถ้ามีโลภมากๆ ก็ให้ทาน ก็จบแล้ว  ถ้ามีความโกรธเกลียดมากๆ ก็ให้รู้จักมีศีล มีธรรม ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามีความหลงมากๆ ก็ให้มีปัญญา ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ ถ้าเราไปตบเขาแล้ว ไปทำร้ายเขาแล้ว แล้วเราไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ชดใช้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้หรือ  แต่อาจารย์เห็นศิษย์ทำกันประจำเลย ไปว่าเขาอีกที่หนึ่ง ไปด่าเขาอีกที่หนึ่ง ไปโกงเขาอีกที่หนึ่ง แล้วก็ไปทำบุญให้ที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มาเบียดเบียนกันเลย” ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถามหน่อยคนที่โดนตบ เราจะไปแก้กรรมได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  เป็นอย่างหนัก เป็นอย่างแรง ไปกินเขาให้เต็มที่ ไปฆ่าเขาให้เต็มที่ แล้วมาอุทิศส่วนกุศลให้ “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขๆ เถิด เพี้ยงๆ” ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอย ไปตบเขาแล้วไปขอโทษหายไหม (ไม่หาย) คนบางคนหาย แต่คนบางคนไม่หาย จริงไหม (จริง)  แค่เหยียบหัวแม่โป้งถึงกับด่าถึงพ่อแม่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ไปสร้างกรรมมา แล้วก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมีศีลมีธรรมชดเชย ทันไหมศิษย์ เขาจะให้อภัยไหม แล้วทำไมศิษย์ถึงไม่หยุดตั้งแต่ตรงนี้ เข้าใจธรรม แล้วก็หยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลง ทุกสิ่งที่ศิษย์กระทำคือปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด
ศิษย์อยากรู้วิธีปฏิบัติธรรมหรือไม่ (อยาก)  การปฏิบัติธรรมก็คือ เมื่อเราต้องอยู่กับผู้คน จงรู้จักใช้คุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน อย่างเช่น ถ้าเป็นหัวหน้ามีลูกน้อง คุณธรรมในการปฏิบัติคือต้องรู้จักใช้เมตตา ถ้าเป็นพี่ก็ต้องรู้จักปฏิบัติต่อน้องด้วยการมีเมตตา ถ้าเป็นลูกต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่ด้วยการกตัญญู ถ้าเป็นลูกน้องก็ต้องปฏิบัติต่อหัวหน้าด้วยความเคารพ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ให้เกียรติ นี่คือวิธีการบำเพ็ญธรรม ก็คือต่อผู้คนเราใช้คุณธรรมไปดำเนินชีวิต การปฏิบัติต่อคนเราจงใช้ธรรมเพื่อพิจารณาแล้วหยั่งให้ถึง
ฉะนั้นจึงมีคำเปรียบเทียบไว้ว่า “ธรรมเหมือนไส้ตะเกียง คุณธรรมเหมือนแก้วครอบตะเกียง ถ้าการปฏิบัติของเราที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่สมบูรณ์ แก้วครอบตะเกียงนี้ก็จะทำให้ไส้ตะเกียงไม่สามารถลุกโชนได้”  แต่คนในโลกนี้บางทีปฏิบัติคุณธรรมได้ดี แต่ลืมเข้าใจหลักของธรรมจึงไม่สามารถยังความสว่างให้กับชีวิตและใครได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์ชอบพูดว่า “อาจารย์ศิษย์ก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะ ศิษย์ก็ให้เกียรติ ต่อคนอื่นศิษย์ก็เคารพ แต่ทำไมเขาทำกับศิษย์อย่างนี้ ทำไมเขามองศิษย์แบบนี้ ทำไมเขาดูถูกอย่างนี้” นั่นแปลว่าถ้าศิษย์ใช้คุณธรรมเป็น แต่เข้าถึงธรรมไม่เป็น ตะเกียงดวงนี้ไม่มีวันจุดสว่างให้กับชีวิตและผู้คนได้ ถูกหรือไม่
ถ้าเรารู้จักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม แล้วสามารถอยู่ร่วมกับคนโดยเข้าถึงธรรม เราจะสามารถเป็นตะเกียงที่นอกจากจุดให้ตัวเองสว่างแล้ว การกระทำของเราและการปฏิบัติของเรา ยังจุดแสงสว่างให้คนอื่นได้ด้วยใช่หรือไม่ เกิดเป็นคนอย่าแค่ดี ต้องดีและเข้าใจธรรม เราจึงจะสามารถเป็นประทีปแห่งเมตตาที่แท้จริง
อาจารย์ถามว่าชีวิตเรามีทางเลือกถูกไหม ทางเลือกหนึ่งคือเป็นประทีปแห่งเมตตา อีกทางเลือกหนึ่งคือชั่วร้ายไม่ดี  ฉะนั้นก่อนทำอะไรคิดให้ดีก่อน หรือไม่ต้องคิดแต่พิจารณาให้ถึงธรรมดีกว่าไหม เพราะจะไม่เป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายที่ เรียกว่า วัฏสงสาร ใช่หรือไม่ เราจึงสามารถสิ้นทุกข์ได้ขณะอยู่ร่วมกับคน ปฏิบัติธรรมได้ในขณะที่เราอยู่ร่วมกับคน จริงไหม  สมมุติเราทำอะไรจริงใจ ซื่อตรง รับผิดชอบต่อหน้าที ไม่ว่าจะโดนอะไรเราก็ยังรับผิดชอบต่อหน้าที่แม้หัวหน้าจะโขกจะสับ จะใช้งานเราหนักขนาดไหนเรายังจริงใจ ซื่อตรง ต่อหน้าที่ เราไม่เคยโกรธเคือง ไม่เคยด่าหัวหน้า แต่เรากลับคิดว่ายิ่งเขาทำกับเรา ยิ่งทำให้เราเห็นธรรมชัดในตน เขาไม่มีธรรมแต่ฉันจะมีธรรม เขาไม่ถูกต้องชอบธรรม ฉันจะถูกต้องชอบธรรม ถ้าทำได้เช่นนี้ สักวันแสงสว่างในตัวเราจะสะท้อนและจุดแสงสว่างในตัวเขาได้ ทำได้ไหม (ได้)  อย่าแค่ดี แต่ต้องเข้าให้ถึงธรรม แล้วตรงนี้แหละศิษย์จะปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ และทุกขณะที่ปฏิบัติธรรมก็หยุดสร้างกรรมและได้ชดใช้กรรม 
อาจารย์ยกตัวอย่างพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์มีศัตรูตัวร้าย คือ พระเทวทัต แล้วพระพุทธองค์เคยหนีพระเทวทัตไหม จะฆ่าก็ไม่หนี จ้างคนมาด่าเจ็ดวันก็ไม่หนี แล้วเราล่ะมีคนมาด่าหนึ่งวันก็หนีแล้วใช่ไหม นี่แหละพระพุทธเจ้าประจักษ์ให้ศิษย์ดูว่าเมื่อเจอทุกข์ที่สุด อย่าทำให้มันเป็นทุกข์แต่จงทำให้เป็นธรรม  อย่าทำให้เป็นการจองเวรจองกรรมแต่จงทำให้จบกรรม อย่าทำให้เวียนว่ายวนแต่จงทำให้พ้นการเวียนว่ายวน
ที่ใดที่เป็นกิเลสที่นั่นก็เป็นที่สิ้นกิเลส ที่ใดที่เป็นทุกข์ที่นั่นก็เป็นที่สิ้นทุกข์ ที่ใดมีมารที่นั่นก็เป็นที่เกิดพุทธะ
อยู่ที่ศิษย์เลือกแล้ว จะใช้คุณธรรมต่อกันหรือจะใช้อารมณ์กิเลสต่อกัน แต่จำไว้อารมณ์กิเลสคือกรรมชั่ว ที่ส่งผลร้ายที่สุดก็คือต้องตกนรก เดรัจฉาน เปรต  ฉะนั้นศิษย์เป็นคนเลือกและกำหนดชีวิต ฟ้าไม่ใช่เป็นผู้กำหนดชีวิต เราคือผู้กำหนดชีวิตของตัวเราเอง ว่าจะให้เป็นกรรม หรือจบกรรม ถูกไหม (ถูก)
อย่างนั้นอาจารย์สอนวิชาสุดท้าย วิชาที่ให้ไว้สำหรับคนที่อายุมากๆ จำไว้เลยนะ คาถานี้ท่องไว้ให้แม่น สังขารเป็นของดิน จิตเป็นของฟ้า ไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา พิจารณาอยู่เนื่องๆ เพื่อเข้าถึงธรรมนะศิษย์ สังขารเป็นของดิน จิตเดิมแท้เป็นของฟ้า ใดๆ ในโลกล้วนไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากกลับสู่ภาวะหนักก็คือนรก  แต่ถ้าศิษย์อยากกลับคืนสู่ภาวะใสก็คือเบื้องบน และจิตที่รู้ด้วยสติคือจิตญาณเดิมแท้ จริงไหม (จริง)
ตอบอาจารย์ให้ชื่นใจหน่อย สังขารเป็นของดิน จิตเดิมแท้เป็นของฟ้า ไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา  ฉะนั้นสิ่งใดหรือที่ศิษย์พยายามยึดถือเป็นของเรา มีไหม (ไม่มี) ไม่มีสักสิ่งหนึ่ง  แม้แต่ตัวเองก็เป็นกรรม แม้แต่ตัวเองเหมือนกองทุกข์ แล้วเรายังควรยึดไหม 
อย่างนั้นอาจารย์ถามคำถามสุดท้ายก่อนกลับนะ ร่างกายเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าถุงขี้ ทำไมถึงเรียกว่าถุงขี้ ตอบได้ไหม ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ (ร่างกายนี้มีแต่ของเสีย)  ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก)  ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู) ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา)  แล้วร่างกายนี้ใช่เรียกว่าหนังสวยหรือ ถ้าปลงสังขารได้ ไม่มีใครที่ร่างกายสวยจริงๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามว่า ในถุงขี้นี้เราควรจะเอาอะไรที่ไม่ดีออกจากตัว ขี้เหล้า ขี้บุหรี่ เอาออกได้ไหม (ได้)  ขี้เจ้าชู้ ขี้เที่ยว ขี้นักเลง ก็เอาออกด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครจะตอบนะ (ขี้โลภ ขี้เกียจ ขี้หลง ขี้โกรธ) ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เอาออกจากตัวใช่ไหม จริงๆ แล้วตัวตนเดิมแท้ ไม่มีขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงหรอกนะ แต่โลภ โกรธ หลงเกิดเมื่อเห็นสิ่งที่สวย ใช่ไหม แต่มีเมื่อเราขาดสติรู้ทัน ฉะนั้นไม่ต้องเอาออก แค่รู้ทัน โลภ โกรธ หลงก็ครอบงำเราไม่ได้ แต่ถ้ารู้ไม่ทันจะครอบงำเราทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาความรู้สึกที่เป็นตัวตน เป็นของตนออก) ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพราะถึงที่สุดแล้วตัวตนเราไม่มี คิดให้ได้อย่างนี้ให้ได้ตลอดนะศิษย์เอย
ศิษย์เอยอายุมากแล้วนะ อย่างที่อาจารย์บอก พิจารณาให้เข้าถึงธรรมบ่อยๆ ได้ไหม แล้วเราจะได้ปลดปลงปล่อยวางบ้าง การยึดมั่นถือมั่นไม่เคยได้อะไร
(เอาสิ่งสกปรก และความชั่วร้ายออก, จงทำความดี) ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์อีกอย่างก่อนกลับนะ
ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา เมื่อไม่มีตัวเราแล้วลูกเราก็ไม่มี ก็เป็นกรรมร่วมกันเท่านั้นเอง แล้วศิษย์อยากจะจบกรรมหรือเกี่ยวกรรมกันไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ ได้ไหม (ได้) 
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ จงมีสติรู้ คิดไตร่ตรองให้ดี โดยมีธรรมเป็นเครื่องพิจารณานะ
เป็นศิษย์อาจารย์กัน ผูกพันกันแล้วไม่ทิ้งกันนะ
ศิษย์มีปัญญาดีนะ ขอให้ไปให้ถึงธรรม อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง อย่าดูถูกความดีงามในใจของตัวเอง แล้วทำสิ่งที่ผิดโดยไม่รู้จักคิด
จะให้เหล้ากับบุหรี่อาจารย์ไหม ให้แล้วต้องไม่กินอีกนะ
มีโอกาสก็มาศึกษานะ
อยากให้โรคภัยหายก็ต้องรู้จักหยุดสร้างกรรมนะ สิ่งใดที่เป็นสิ่งไม่ดีต้องรู้จักหยุดยั้ง อย่าเบียดเบียนสัตว์
จับมือแล้วต้องกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ต้องเป็นคนตั้งใจปฏิบัติดี อย่าเอาแต่เที่ยวเตร่เล่นไปวันๆ นะ เป็นคนดีเพื่อตัวเอง เป็นคนมีคุณค่าเพื่อตัวเอง
ปล่อยวางบ้าง อย่ายึดมั่นถือมั่น ไม่อย่างนั้นก็ทุกข์
แค่ทำให้ดีให้ถูกต้อง ก็ดีกว่ากอดอาจารย์อีกนะ
รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้
อาจารย์อยากเห็นศิษย์สิ้นทุกข์จริงๆ นะ ไม่เคยมาล้อเล่น ขอให้ศิษย์รู้จักลงแรงปฏิบัติ
อาจารย์ ไม่เคยล้อเล่นนะ ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ และศิษย์จะสิ้นทุกข์ได้อย่างไร ถ้าศิษย์เอาแต่ฟัง แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ศิษย์เอาแต่รู้แต่ไม่กระทำ น่าเสียดายนะ  อย่าให้เสียเวลาเปล่า ฟังแล้วเอาไปทำให้ได้นะ สิ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  จงเป็นอาจารย์ของตัวเอง จงเป็นที่พึ่งของตัวเอง และจงหลุดพ้นด้วยตัวเอง และมีแต่ตัวเราที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ และตัวเราเท่านั้นที่จะดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ศิษย์
ตั้งใจเพียรไม่ท้อถอย มีสติรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ยอมแพ้ พากเพียรอุตสาหะไปให้ถึงที่สุดให้ได้นะศิษย์เอย  อย่ารับปากวันนี้ แต่ถึงเวลาไม่ทำ เมื่อกรรมมาถึง ตอนนั้นแม้ศิษย์จะเรียกหาอาจารย์ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำอะไรไว้ ศิษย์ก็ต้องรับผลนั้น  ฟ้าต้องยุติธรรม ใจอาจารย์ก็ต้องยุติธรรม  แม้ศิษย์จะพลาดผิดไป อาจารย์ยังอยากให้ศิษย์ระมัดระวังตัวเอง คิด ทำ ให้ดี ก่อนกรรมมันจะตกผล ถึงตอนนั้นมันแก้ไม่ทันนะศิษย์ เชื่ออาจารย์เถิดนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เพชรในตน”
       เพชรถูกเจียระไนทองถูกหลอมจึงพิสุทธิ์         หากคนหยุดการขัดเกลาเพราะยากเข็ญ
ไม่พานพบความล้ำค่ำดั่งควรเป็น                         คงได้เป็นเศษกรวดหินทั่วทั่วไป

       แค่หลงก็บังปัญญา                                     รูปนามลวงตาลวงใจ
อัตตาอารมณ์นิสัย                                              อย่าสูงจนไม่มีธรรม

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

2559-04-23 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

西元二○一六年歲次丙申三月十七日                                        仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่  ๒๓  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๙    สถานธรรมฮุ่ยจื้อ    อ.กระสัง    จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  ฟังธรรมเพื่อสงบจิตแจ้งปัญญา         ฟังธรรมเพื่อลดอัตตาดัดนิสัย
ฟังธรรมเพื่อหัดลดละการตามใจ         ฟังธรรมเพื่อธรรมสู่ใจใจสู่ธรรม
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลก  ประณตน้อมกราบ
องค์มารดา                 ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   สุขใดหรือจีรังที่ใฝ่หา                   หลงคว้าไว้ภาพลวงตาใดคงอยู่
เมื่อมีได้ก็มีเสียต่างก็รู้                     ที่คงอยู่หรือกำลังค่อยจากไป
ไม่อยากทุกข์แต่ทุกข์มีทุกสิ่ง              โลกความจริงกล้าเรียนรู้ฝึกใจไว้
อย่าอยากจนไม่มองความจริงอะไร      แม้ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนไปก็รับทัน
จริงหรือปลอมเท็จหรือแท้ที่มองเห็น     สิ่งที่รู้อาจไม่เป็นดั่งที่ฝัน
ก็แค่ช่วงหนึ่งสมมติปรุงแต่งกัน           ต่างรู้ใช้ใดของท่านอย่าหลงมี
ทุกข์ใดหรือจะเท่าทุกข์เวียนว่าย         สุขใดหรือจะเท่าใจสงบนี้
อย่าสร้างบาปก่อกรรมทำไม่ดี            ฝึกใช้ธรรมนำชีวีสติเตือนใจ
ไม่มีเพราะมีเท่าไรถมไม่เต็ม              ไม่พอเพราะแม้มีเต็มก็ว่าไร้
คนขยันอย่าเหนื่อยจนต้องทุกข์ใจ       รักสบายจนคร้านเป็นภัยแก่ตน
แท้ที่สุดไม่มีอะไรเป็นของเรา             ต่างล้วนเฝ้ายึดถือจนสับสน
หลงความมีในความไร้จนวกวน          ท้ายก็จนปัญญากับความไม่มี
                                                                  ฮา    ฮา    หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

“ฟังธรรมเพื่อสงบจิตแจ้งปัญญา       ฟังธรรมเพื่อลดอัตตาดัดนิสัย
ฟังธรรมเพื่อหัดลดละการตามใจ       ฟังธรรมเพื่อธรรมสู่ใจใจสู่ธรรม”

วันนี้มาฟังเพื่อให้  หรือมาฟังเพื่อรับ  มาฟังธรรมเพื่อลดละ  หรือมาฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่น  (ลดละ)    ฉะนั้นถ้าฟังแล้วได้ลดละการตามใจตัวเอง  หรือตามนิสัยตัวเองได้บ้างก็ดี  แต่ถ้าฟังแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง  ก็จะเบื่อหน่ายทนไม่ไหว  นั่นก็แปลว่าเราไม่สามารถลดละอะไรได้  แล้ววันนี้ได้ลดละอะไรได้หรือยัง  หรือยังเหมือนเดิม  เขาห้ามอะไรก็ยังแอบทำเหมือนเดิม  อย่างนั้นหรือเปล่า
มนุษย์มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง  ถ้าคิดว่าทำได้อะไรก็ทำได้  แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ยังไม่เริ่มก็ทำไม่ได้แล้วใช่ไหม  (ใช่)    แล้วถ้าพุทธะคิดอย่างนี้ก็คงไม่คิดจะมาปกโปรดมนุษย์หรอกจริงไหม  (จริง)    ถ้ามนุษย์ชั่วร้ายเกินโปรด  ถ้ามนุษย์คดเกินเยียวยา  พระพุทธะก็คงไม่คิดที่จะมาโปรด  ใช่หรือไม่  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าเกิดคิดว่าทำได้ท่านก็ทำได้  แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็ทำไม่ได้  แต่ความน่ากลัวของมนุษย์ก็มีอยู่อย่างหนึ่ง  ชอบบอกว่าตัวเองไม่รู้  และอีกอย่างหนึ่งก็ชอบบอกตัวเองว่ารู้แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้น  แล้วท่านว่าอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน  (รู้แล้วไม่ทำให้ดีขึ้น)    แต่จริงๆ  เราว่าอย่างแรกก็น่ากลัวนะ  ชอบบอกว่าตัวเองไม่รู้แต่จริงๆ  รู้  ใช่หรือไม่  (ใช่)
เคยรู้จักเราไหม  ไม่เคยใช่หรือไหม  (ใช่)    อย่างนั้นเราจะบอกให้นะว่าในบรรดาชีวิตของทุกท่านในชั้นเรียนนี้บางคนอาจจะโชคดียิ่งกว่าเราเสียอีก  เพราะเราเกิดมาไม่มีพ่อ  ไม่มีแม่  ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร  ไม่มีญาติพี่น้อง  ต้องเลี้ยงตัวเองคนเดียว  อาชีพที่ทำได้สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ก็คือต้อนวัว  ต้อนควายไปกินหญ้า  ทำอะไรคนก็ดูถูก  คนก็ไม่รัก  ดูน่าสงสารไหม  (น่าสงสาร)    จะทำอะไรก็ลำบากกว่าจะได้เงินสักบาทกว่าจะได้กินข้าวสักจาน  ฉะนั้นอยากบอกว่าท่านโชคดีแล้ว  จริงไหม  (จริง)    เราถามท่านนะว่า  ถ้าหากเราเกิดมาพร้อมกับความไม่มีไม่สมบูรณ์  แล้วยังมีคนกดเราให้ต่ำ  ดูถูกเราให้แย่  แล้วท่านอยากแย่อยากต่ำตามที่เขาดูถูกเหยียบย่ำไหม  (ไม่)    ถ้าเราพยายามทำอะไรก็ตาม  อย่างไรเขาก็ไม่รัก  อย่างไรเขาก็ดูถูกว่าเราจน  ไม่มีเกียรติ  ไม่มีศักดิ์ศรีเราจะรักเขาไหม  (รัก)    เราจะรักคนที่เกลียดเราไหม  (รัก)    เราจะโกรธแค้นคนที่ดูถูกเราไหม  (ไม่)
สิ่งที่ท่านกำลังคิดว่านั่งตรงนี้ทุกข์  แต่ชีวิตจริงที่ออกไปจากตรงนี้  มีทุกข์มากยิ่งกว่า  ฉะนั้นถ้าแค่นี้ทนไม่ได้  ชีวิตจริงท่านจะผ่านไม่ได้เลย  ถ้าแค่นี้ยังรับไม่ไหว  ชีวิตจริงท่านจะรับไหวหรือ  ฉะนั้นเราขอเอาตัวของเรามายกตัวอย่างให้ท่านดู  ถ้าท่านเกิดมาพร้อมกับพ่อแม่คือใครก็ไม่รู้  ญาติพี่น้องมีหรือไม่ก็ไม่เห็น  แล้วทุกชีวิตไม่มีคิดว่าวันนี้จะทุกข์อะไร  คิดแต่เพียงว่า  วันนี้จะหาอะไรกิน  คำว่าทุกข์คืออะไร  ต้องตอบว่า  ไม่มีเวลาให้คิดด้วยว่าทุกข์อยู่ตรงไหน  เพราะทุกขณะคือทุกข์อยู่แล้ว  ใช่หรือไม่  (ใช่)
ถ้าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ  ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครเห็นคุณค่า  พยายามทำอะไร  แม้จะดีขนาดไหนเขาก็ไม่รัก  แถมยังรังเกียจและดูถูกอยู่ร่ำไป  แล้วใจเรายังจะรักเขาไหม  ใจเราจะชิงชังเขาไหม  ท่านจะเลือกวิธีใด  ตามใจตัวเองหรือว่าเขาอยากให้เราไม่ดี  เราก็ไม่ดี  เขาอยากไม่รัก  เราก็ทำให้เขาไม่รัก  เลือกวิธีใด  (ตามใจตัวเอง)    ตามใจตัวเองใช่ไหม  (ใช่)    เขาไม่รักก็ไม่รักเขาใช่ไหม  เขาเกลียดเรา  เราก็เกลียดเขาใช่ไหม  (ใช่)    ก็ตอบได้ดีนะ  นี่คือวิถีทางคน  ใครร้ายมาอย่างไรก็ร้ายตอบอย่างนั้น  ใครไม่ดีอย่างไร  เราก็ไม่ดีอย่างนั้น
แต่เชื่อไหมว่าเมื่อเราทุกข์จนถึงที่สุดเราจะหันกลับมาถามตัวเองว่า  แล้วเราจะทำให้ตัวเองทุกข์อีกทำไม  แต่ท่านจะกลับเป็นอย่างไรรู้ไหม  จากหน้ามือจะเป็นหลังมือ  จากสิ่งที่ร้ายจัดๆ  ท่านจะกลับหัวเราะและยิ้มสู้กับมัน  และท่านจะเดินตามวิถีแห่งธรรมที่เรียกว่า  วิถีแห่งฟ้า  ไม่เลือกวิถีแห่งคน  เพราะคนมีดีมีร้าย  มีได้มีเสีย  มีทุกข์มีสุข  แต่วิถีแห่งฟ้าที่คนลืมนึกถึง  ไม่มีอะไรร้าย  ไม่มีอะไรดี  ไม่มีอะไรทุกข์  ไม่มีอะไรสุข  มีแต่ความเป็นเช่นนั้นเองอันเป็นธรรมดา  จริงไหม  (จริง)    ลมฟ้าเราด่าแค่ไหน  ฟ้าโกรธไหม  (ไม่)    ฟ้าผ่ากลับทันทีไหม  (ไม่)    เกลียดฟ้าแค่ไหน  ฟ้าเกลียดกลับไหม  (ไม่)    ให้ฝนตกแก่เราไม่ต้องให้คนอื่นเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  (ไม่)    ฉะนั้นถ้าเราโดนกดจนถึงที่สุด  เราจะเลือกวิถีคนหรือเราจะเลือกวิถีฟ้า  (วิถีฟ้า)    แล้วฟ้าสอนอะไรเราหรือ  ฟ้าสอนให้เราเมตตา  เขาร้ายมาเราร้ายกลับไม่ใช่เมตตา  แต่คือการจองเวรจองกรรมไม่จบสิ้น  ถ้าเราเลือกวิถีฟ้า  วิถีฟ้าอย่างแรกสอนให้เราเมตตา  เขาร้ายมา  เราร้ายกลับได้ไหม  (ไม่ได้)    เราชอบคนที่ปฏิบัติกับเราดีหรือร้าย  (ดี)    แล้วถ้าเขาปฏิบัติกับเราร้ายเราจะดีหรือร้าย  (ดี)    ให้จริงนะ  ทองแท้ไม่หวั่นการหล่อหลอม  เพชรแท้ย่อมไม่กลัวการถูกเจียระไน  ฉะนั้นคนที่ดีจริงต้องไม่กลัวการถูกทดสอบ  ถึงเขาจะกดเราให้แย่  ถึงเขาจะเกลียดเราให้ไม่ดี  เราจำเป็นจะต้องไม่ดีตามไหม  (ไม่ตาม)    ไม่ตามนะ
ฉะนั้นขอให้มนุษย์เลือกวิถีฟ้า  เพราะวิถีฟ้าสอนให้มนุษย์มีเมตตากัน  และวิถีฟ้ายังสอนอีกว่า  เราเปลี่ยนคนไม่ได้  แต่เราเปลี่ยนความคิดเราได้  เราแก้คนไม่ได้  แต่เราแก้ใจเราให้ดีขึ้นได้  เหมือนเช่น  เรายิ้ม  นักเรียนในชั้นนี้จะยิ้มกับเราไหม  ฉะนั้นคนที่เข้าใจวิถีฟ้า  จะไม่เปลี่ยนแปลงคนอื่น  แต่จะพยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขตน  ยากไหม  (ไม่ยาก)    แต่บางคนบอกว่ายาก  อย่างนั้นเราจะบอกให้อย่างหนึ่ง  เป็นการปลอบใจ  ถ้าเราโดนเขาว่า  โดนเขาด่า  เราจะด่ากลับไหม  (ไม่ด่า)    ไม่อ้าปากแต่ด่าในใจใช่ไหม  ท่านจำไว้นะ  ใครว่าเราแล้วเรานิ่งเงียบไม่โต้ตอบ  ไม่โต้แย้ง  สักวันหนึ่งของที่เขาให้เรามา  จะคืนกลับเขาไป  จริงไหม  (จริง)    เหมือนเขาให้ของเรา  เรานิ่ง  เราเฉย  เราไม่รับ  ของนั้นมันก็ต้อง  (กลับคืน)    แต่ถ้าเมื่อไรเราด่ากลับแปลว่าเรายอมรับอย่างเต็มตัวและเต็มใจ  แล้วเราก็เป็นอย่างที่เขาด่าใช่ไหม  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ 
แล้วรู้ไหมว่าพระพุทธะยังบอกว่า  “เขาด่ามาแล้วเราด่ากลับ  ท่านว่าเขาเลว  แต่คนด่ากลับเลวยิ่งกว่า”  จริงไหม  และเป็นคนที่ทำเวรให้ยืดเยื้อ  ฉะนั้นจะด่ากลับไหม  (ไม่)    ฉะนั้นเขาเกลียดเรามา  เราจะเกลียดเขากลับไหม  เขาดูถูกเรามา  เราจะดูถูกเขากลับไหม  (ไม่)    ถ้าเกิดเขาต่อยเตะแล้วทำร้ายเรา  ยอมไหม  (วิ่งหนี)    ฝ่ายหญิงเข้าใจตอบนะ  วิ่งหนี  อยู่ทำไมให้เขาเตะให้เขาด่าใช่ไหม  (ใช่)    นี่แหละวิถีของมนุษย์  เจอทุกข์เมื่อไรหนีไว้ก่อน 
ใช่หรือไม่  (ใช่)    แล้วถ้าเกิดเขาวิ่งตามล่ะ  (หนี)    ก็หนีอีก  แล้วชีวิตนี้จะหนีไปถึงเมื่อไร  ท่านเคยได้ยินไหม  พระพุทธะกล่าวว่า  “ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม 
ที่ใดมีมารที่นั่นมีพุทธะ”
  แต่เราเห็นมารก็เป็น  (มาร)    เห็นทุกข์ก็เป็น  (ทุกข์)    เราจะบอกให้ว่า  ทำอย่างไรที่จะทำให้ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม  ที่ใดมีมารที่นั่นมีพุทธะ  เขากดขี่ข่มเหงเรา  เขาด่าทอเรา  เขาทำเราให้เจ็บปวด  ถ้าเราคิดเสียว่า  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  เราอาจจะทำอะไรกับเขาไว้  วันนี้เราก็ได้ชดใช้คืนกลับไป  และเราอยากจะทำอนาคตให้ต้องเจอกับเขาแล้วชดใช้กันไม่จบสิ้นหรือไม่  ถ้าไม่  แล้วเราจะพบทุกข์แล้วพบธรรมได้อย่างไร  ก็คิดเสียว่าดีแล้ว  ขอบคุณแล้ว  ฉันได้จบเวรจบกรรมกับเธอแล้ว  ดีไหม  (ดี)    ในเมื่อเขาทำกับเรา  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  ไม่มีเหตุบังเอิญ  คนมีตั้งมากมายไม่โกง  ทำไมมาโกงเรา  คนมีตั้งมากมายเราไม่รัก  แต่ทำไมเราไปรักเขา  คนมีตั้งมากมายเขาไม่เกลียด  แต่ทำไมจงเกลียดจงชังเรา  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)    คนมีตั้งมากมายเขาไม่ดูถูก  แต่ทำไมเขาดูถูกดูหมิ่นเหยียดเรา  ถ้าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  ถ้าโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัยและกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันมา  ดีใจไหมที่ได้ใช้กรรมและได้จบเวรจบกรรม  (ดีใจ)    หรือว่าเอาให้สาแก่ใจ    เพื่อจะได้ผูกเวรผูกกรรมต่อ  เอาแบบใดดี
ฉะนั้นเขาต่อยมาก็ขอบคุณไหวไหม  ท่านพูดว่าไม่ไหวแต่เราถามจริงๆ  นะ  แล้วเราห้ามกรรมได้ไหม  เราหนีกรรมได้ไหม  แต่ทางที่ดีที่สุดที่เราทำได้ในการเป็นคนก็คือ  หยุดกรรม  แล้วเราจะหยุดกรรมได้อย่างไร  ก็แค่ยอมรับแล้วชดใช้ไป  ตอนนี้ยังมีแรงรับก็รับไปเถอะ  จะรอตอนไม่มีแรงแล้วรับไหวหรือ  (ไม่ไหว)    ตอนนี้ยังสุขก็รับไปเถอะ  ดีกว่าทุกข์ซ้ำกรรมซ้อนร่างกายก็เจ็บปวด  ตอนนั้นรับไหวไหม  (ไม่ไหว)    ฉะนั้นเขาเตะมาก็  (ปล่อยไป)    กล้าปล่อยไหม  พบทุกข์ก็พบธรรม  พบมารก็พบพุทธะในใจเรา  อย่าทำให้เขาเรียกมารแล้วปลุกมารในใจเราตื่น  อย่าให้เขาทำให้ทุกข์  แล้วเราต้องสร้างทุกข์ทนกล้ำกลืน  ทำไมไม่ให้เขาทำให้เราทุกข์แล้วเราพบธรรมล่ะ  เขาเป็นมารแล้วทำไมเราไม่ทำให้เขาเป็นพุทธะ  และเปลี่ยนมารเป็นพุทธะเล่า  เราอยากอยู่กันอย่างสันติ  เราอยากอยู่กันอย่างเข้าใจและเราอยากอยู่กันอย่างยอมรับกันได้ไม่ใช่หรือ  (ใช่)    แล้วเราจะเป็นมารต่อกันทำไม  จริงไหม  (จริง)    นี่แหละเรียกว่า  เขาให้ทุกข์แต่เราให้ธรรม  เขาให้มารแต่เราให้พุทธะ  อยู่ที่เราเลือกนะ  วิถีชีวิตมีให้เราเลือกเสมอ  แต่เราเลือกทางแห่งคนหรือทางแห่งฟ้า  เลือกทางแห่งธรรมหรือทางแห่งนรก  ใช่หรือไม่  (ใช่)    อย่าบอกว่า  ไม่มีทางเลือก  ถูกไหม  (ถูก)
มีหลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์อยู่ในโลก  ชอบน้อยเนื้อต่ำใจ  ชอบดูถูกคุณค่าตัวเอง  แล้วก็คิดว่าไม่มีใครรักเรา  เป็นอย่างนั้นไหม  เป็นอย่างนั้นก็ช่างน่าเสียดาย  คิดว่าไม่มีใครรัก  คิดว่าไม่มีใครสนใจ  คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรโดดเด่นอะไร  การคิดแบบนี้ดีไหม  (ไม่ดี)    แล้วคิดไหม  (คิด)    ถ้าเราถามท่านว่า  สมมติมีคนๆ  หนึ่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับเรา  เราโกรธเขาไหม  เรายกตัวอย่างนะ  สมมติเรามีกระเช้าดอกไม้หนึ่งกระเช้าและเราบอกว่าให้แบ่งเท่าๆ  กัน  แปลว่าถ้าทุกคนได้หนึ่งดอก  คนอื่นก็ต้องได้  (หนึ่งดอก)    ถ้าคนหนึ่งไม่ได้  ทุกๆ  คนก็ต้อง  (ไม่ได้)    ใช่หรือไม่  (ใช่)    แต่ถ้าเราถามว่าในความเป็นจริงของโลกใบนี้  มีคนได้ก็ต้องมีคน  (ไม่ได้)    อย่างนั้นถามว่าความเป็นจริงแล้วถ้าเราให้ดอกไม้คนๆ  หนึ่งทั้งตะกร้าแล้วนักเรียนในชั้นทั้งหมดไม่ได้เลย  ได้ไหม  (ได้)    จริงหรือ  (จริง)    ถ้าเราบอกว่ามีดอกไม้หนึ่งตะกร้า  แล้วเราบอกว่าแบ่งให้เท่าๆ  กันแปลว่าคนหนึ่งได้หนึ่งดอก  ทุกคนก็ต้องได้  (หนึ่งดอก)    แล้วเป็นไปได้ไหมว่าทุกคนจะได้  (ไม่ได้)    อย่างนั้นแปลว่าต้องมีคนได้และมีคน  (ไม่ได้)    แล้วเราถามท่านว่าแล้วใครจะเป็นคนไม่ได้  ใช่ไหม  (ใช่)   
อย่างนั้นเราถามกลับ  ถ้าวันหนึ่งมีคนได้ความรักเป็นไปได้ไหมว่าทุกคนต้องได้ความรัก  (เป็นไปไม่ได้)    ถ้ามีคนสำเร็จแปลว่าทุกคนต้องสำเร็จ  เป็นไปได้ไหม  (ไม่ได้)    ฉะนั้นถ้าเกิดมีคนล้มเหลวท่ามกลางความสำเร็จ  เราจะยอมเป็นคนล้มเหลวคนนั้นไหม  (ไม่)    เราว่าแล้ว  อย่างนั้นถามท่านนะว่าในโลกนี้มีคนแพ้ก็ต้องมีคน  (ชนะ)    มีคนชนะก็ต้องมีคน  (แพ้)    อย่างนั้นถ้าเราให้ท่านเป็นคนแพ้แล้วเราชนะได้ไหม  (ได้)    อย่างนั้นเราให้ท่านเป็นคนเสียแล้วเราได้  ได้ไหม  (ได้)    มนุษย์ชอบเรียกร้องความยุติธรรมและความถูกต้องเป็นมาตรฐานในใจเสมอ  พอถูกใครปฏิบัติไม่ถูกต้อง  เราเริ่มออกอาละวาด  ไม่บ่นทางกระดาษ  ก็แอบเอาไปนินทาใช่ไหม  (ใช่)    อย่างนั้นถูกต้องไหม  (ไม่)    แล้วทำไหม  (ทำ)    เรามองแบบคนใจฟ้าสิ  อย่ามองแบบวิถีคน  มองอย่างวิถีฟ้าแล้วเราจะเข้าใจความเป็นคน  แล้วพอเห็นใครที่ทุรนทุรายทนไม่ได้กับความไม่ยุติธรรม  เราจะเข้าใจเลยว่าฉันเคยเป็นมาแล้ว 
แต่ฉันเข้าใจแล้วใช่หรือเปล่า  (ใช่)
เราถามท่าน  ตัวท่านเองเคยรักใครอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่แบ่ง
แยกไหม  มีไหม  (ไม่มี)    รักเท่ากันหมด  ไม่มีใครมากกว่า  ไม่มีใครน้อยกว่ามีไหม  (ไม่มี)    แล้วเป็นไปได้หรือที่เราจะเรียกร้องคนอื่นให้เขารักเท่าๆ  กัน  ใช่ไหม  (ใช่)    แล้วเวลาเราทำอะไรสักอย่างหนึ่ง  เป็นไปได้ไหมว่าเราจะแบ่งได้ทุกๆ  คนโดยเท่าเทียมกันได้ไหม  (ไม่ได้)    ฉะนั้นถ้าเขาตาเล็กตาใหญ่ใช่เพราะเขาลำเอียงไหม  ใช่เพราะเขาอคติกับเราไหม  (ไม่ใช่)    ฉะนั้นเวลาคิดอย่าเลือกวิถีคน  จงเลือกวิถีฟ้า  เวลาทำอย่าเลือกทำตามแต่ใจตน  แต่จงเลือกทำอย่างคนที่มีธรรม  แล้วท่านจะเข้าใจความเป็นคนและไม่โกรธคน  ขอถามท่านนะ  วันนี้เราไปซื้อดอกไม้สิบบาท  เขาให้ดอกไม้เรามาสิบดอก  แล้วถ้าผ่านไปอีกประมาณครึ่งเดือน  ซื้อสิบบาท  ได้มาห้าดอก  มีปัญหาไหม  (ไม่มี)    ถ้าผ่านไปอีกครึ่งเดือน  ซื้อสิบบาท  เหลือหนึ่งดอก  จะมาซื้อร้านนี้ไหม  (ไม่ซื้อ)    ไม่ซื้อตั้งแต่สิบบาทเหลือห้าดอกแล้วใช่ไหม  (ใช่)    พอเหลือ
ห้าดอกไม่เอาแล้วเดินกลับบ้านเลยใช่ไหม  (ใช่)  เขาผิดไหม  (ไม่ผิด)    แล้วใครผิด  (ตัวเรา)    จริงหรือเห็นกลับไปยังบ่นอีกแม่ค้าขายไม่ยุติธรรมเลย  งวดที่แล้วสิบดอกสิบบาทยังได้  งวดนี้สิบบาทได้ห้าดอก  แล้วงวดต่อไปสิบบาทเหลือ  (ดอกเดียว)    ซื้อไหม  (ไม่ซื้อ)
เรายกตัวอย่างนี้เพื่อให้ท่านเข้าใจนะ  ว่าถ้าวันหนึ่งชีวิตเราเป็นแบบนี้จงซื้อและเข้าใจ  ความถูกต้องชอบธรรมเป็นเรื่องของทางโลก  แต่การรักษาใจให้ปกติเป็นเรื่องของทางธรรม  แต่มนุษย์ชอบเอามาตรฐานอดีตมาวัดมาตรฐานปัจจุบันและมาตรฐานทุกชีวิต  ใช่ไหม  เรามีความถูกต้องในใจ  เรามีความยุติธรรมในใจ  เรารู้อะไรดีอะไรชั่วในใจ  แล้วเราก็ชอบเอามาตรฐานถูกต้องดีชั่วของเราไปวัดคนอื่นใช่หรือไม่  แล้วก็มักจะจมอยู่กับอดีตว่าอดีตเป็นอย่างไร  ต่อไปต้องเป็นแบบนั้น  ลืมไปแล้วหรือว่าเดี๋ยวนี้ค่าเงินมันตก  เศรษฐกิจไม่ดี  ฉะนั้นสิบบาทเหลือห้าดอกเป็นเรื่องปกติใช่ไหม  วันนี้เขาปฏิบัติดี  อีกวันหนึ่งเขาปฏิบัติไม่ดี  โกรธไหม  วันนี้เขาบอกรักเรา  พรุ่งนี้เขาบอกไม่รักเรา  เกลียดไหม  เพราะเรากำลังยึดมาตรฐานอดีตและเรากำลังยึดมาตรฐานที่หวัง
ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจธรรมจะไม่มองจมอยู่กับอดีต  แต่จะอยู่กับขณะนี้  ได้แค่นี้ก็เท่านี้  และเราจะไม่ทุกข์กับเขา  และเราจะไม่เป็นอะไรไม่ช้ำใจกับเขา  แต่เรามักจะติดอยู่กับอดีต  หรือความคาดหวังในใจเราว่าเขาต้องทำกับเราดีกว่านี้  ใช่ไหม  สมมติถ้าวันนี้เราให้ดอกไม้ท่าน  พรุ่งนี้เราก็ให้ดอกไม้ท่าน  มะรืนเราก็ให้ดอกไม้ท่าน  แล้วมะเรื่องถ้าไม่มีเราอยู่ให้ดอกไม้ท่าน  ท่านจะอยู่ไหวไหม  ไม่ไหวจริงไหม  (จริง)    เราแค่เปรียบเปรยให้ท่านฟังนะ  เหมือนวันนี้เราทำอะไรก็ได้  แต่ถ้าวันหลังเราทำไม่ได้  เราจะจมอยู่กับอดีตหรือเราจะเข้าใจในปัจจุบัน  (เข้าใจในปัจจุบัน)    เราจะเอาอดีตมายึดมั่นจนทำให้จิตเราผิดปกติ  หรือเราจะอยู่กับปัจจุบันและยอมรับความจริงจนจิตไม่ทุกข์
ไม่ร้อนกัน
แต่มนุษย์เป็นเช่นไร  เอามาตรฐานตัวเอง  คอยไปวัดคนโน้น  คอยไปมองคนนั้น  แล้วก็ทุกข์เพราะอะไร  แล้วก็เป็นบ้าเป็นหลัง  โวยวายว่าทำไมเขาเป็นแบบนี้  เพราะอะไร  เพราะตัวเองยึดมั่นในมาตรฐาน  โดยไม่มองความเป็นจริงในขณะนี้  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าวันนี้  ไปสิบบาท  แล้วไม่ได้สักดอกหนึ่ง  จะถามแม่ค้าหรือเดินหนีเลย  ว่าอย่างไร  (ถาม,  เดินหนี)    สิบบาท  แม่ค้าบ่นมาว่า  โอ๊ย  ไม่ได้หรอกเดี๋ยวนี้สักดอกก็ขายไม่ได้  ซื้อไหม  (ซื้อ,  ไม่ซื้อ)    เดินหนีตั้งแต่เขาร้องโอ๊ยแล้วใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกอย่างเข้าใจ  อย่าเอามาตรฐานตัวเองไปวัดเปรียบเทียบกับใคร  และอย่าหวังว่าจะต้องได้เหมือนๆ  กันทุกคน  แล้วเมื่อไรที่เราโดนกด  โดนรังเกียจ  โดนเป็นผู้แพ้  โดนเป็นผู้ทุกข์  เราจะไม่ทุกข์  เราจะไม่เกลียด  แต่เราจะเข้าใจ  เข้าใจในความเป็นคนและเข้าใจในธรรมแห่งตน  ยากไหม  (ไม่ยาก)    ไม่ยากแต่มักจะไม่ค่อยมีสติรู้เท่าทัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)
ถ้าอย่างนั้นวันนี้อยากได้ดอกไม้จากเราไหม  อยากได้ไหม  (อยากได้)    นี่แหละทุกข์ของมนุษย์  ถ้าอยากได้เราไม่ให้ก็ทุกข์  ถ้าอยากได้แล้วเราให้  แต่ให้น้อยไป  ท่านก็ทุกข์  อย่างนั้นสู้ไม่อยากอะไรเลยไม่ดีกว่าหรือ  เอาไหม  (ไม่เอา,เอา)    ว่าอย่างไรนะ  (ให้ก็เอา)    นี่แหละนะขึ้นชื่อว่ามนุษย์  อดคาดหวังไม่ได้  แล้วเป็นอย่างไรล่ะ  ก็ต้องมานั่งทุกข์กับความคาดหวังที่ตัวเองกำหนดและยึดติด  ถ้าเราบอกท่านว่า  แล้วเราอยู่ในโลกนี้  เราหวังว่าคนที่อยู่ร่วมกับเรา  เขาจะเป็นคนที่ดี  ไม่ทำให้เราทุกข์ใจ  เป็นไปได้ไหม  (ไม่ได้)    แล้วถ้าเกิดว่าคนที่อยู่ร่วมกับเรา  เขาเอาแต่ชี้ข้อผิด  คอยจับผิด  คอยกล่าวโทษ  รับได้ไหม  (ได้)    ถ้าท่านอยู่กับคนที่คอยเอาแต่ชี้ว่าท่านผิด  โทษว่าท่านไม่ดี  มองว่าท่านเป็นตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งมวล  เราอยู่กับคนแบบนี้รับไหวไหม  (ไหว)  รับไม่ไหวใช่ไหม  (ใช่)    ไหวก็บอกไหว  ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว  เราจะได้ช่วยกันแก้  ช่วยกันเข้าใจ  ดีไหม  (ดี)    ดีกว่าพยายามไหว  ใช่หรือเปล่า
ท่านชอบไหมใครมาชี้หน้าว่าเราผิดหรือทำอะไรแล้วก็กล่าวโทษว่าเราเป็นตัวต้นเหตุ  (ไม่ชอบ)    แล้วเราเป็นจริงไหม  ว่าแล้วว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับ  ใช่หรือไม่  (ใช่)    แล้วทำไมเราถึงชอบทำตัวเองเป็นกระจกสะท้อนว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป  “แกไม่รู้หรอกว่าแกเป็นอย่างไร  แต่ฉันนี่เข้าใจแกดี”  ใช่ไหม  (ใช่)    เราชอบทำตัวเป็นกระจกสะท้อนว่าคนอื่น  แต่เราไม่เคยมองกลับตัวเอง  แล้วเราถามท่านนะว่า  ในโลกนี้ถ้าพูดกันอย่างเป็นธรรม  มีใครชอบมาให้เราชี้หน้าว่าเราผิดและกล่าวโทษว่าเราไม่ดี  (ไม่ชอบ)    แล้วเราทำไหม  (ไม่ทำ)    ไหนใครกล้ายืนยันกับเราว่าตลอดชีวิตมาไม่เคยชี้ว่าใครผิดเลย  ไม่เคยกล่าวโทษใครผิดเลย  ยกมือขึ้น  แล้วเมื่อสักครู่บอกเราว่าไม่ทำ  แล้วที่ไม่ยกนี่แปลว่าทำใช่ไหม  ทำหรือไม่ทำ  (ทำ)    เราไม่ชอบแล้วเราก็ทำ  ถูกไหม  (ถูก)    เรารู้ไหม  (รู้)
ฉะนั้นเราอยากจะบอกท่านว่า  ถ้าเราอยากอยู่บนโลก  ไม่อยากให้ใครมาดูถูก  ไม่อยากให้ใครมารังเกียจ  เราจงอย่าชี้ว่าใครผิด  เราอย่าพยายามตรวจสอบใครผิด  อยากอยู่บนโลกนี้อย่างมีสุข  ไม่ทุกข์ไหม  (อยาก)  เรามีวิธี  วิธีของเรา  แม้จะยากหน่อย  แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถท่านหรอกนะ  แต่ก็คงไม่ง่ายเกินไปใช่ไหม  (ใช่)    อย่างนั้นอยู่บนโลกแล้วไปอยู่ที่ไหน  แม้จะโดนเหยียดหยาม  แม้จะถูกคนรังเกียจ  เราก็ไม่ทุกข์  แต่เรามีสุขได้  ขอเพียงทำให้ได้ดังที่เราบอก  สนใจไหม  (สนใจ)    แน่ใจหรือ  (แน่ใจ)    เราบอกแล้วต้องทำให้ได้นะ
อยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุข  คือ
๑.  ทำอะไรก็ตาม  ไม่โทษฟ้า  ไม่กล่าวโทษคน  เอาแต่แก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดของตัวเอง  อยู่ที่ไหนก็เจริญ  อยู่ที่ไหนแม้แต่ก่อนไม่มีใครรักเขาก็จะรัก  ยากไหม  (ไม่ยาก)
๒.  แม้ไม่มีใครเห็นค่า  แม้ไม่มีใครรัก  แม้ไม่มีใครสนใจ  เราก็จะไม่เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า  ถ้าทำได้อย่างนี้  ไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่รังแกตัวเองและดูถูกตัวเอง  ใช่ไหม  (ใช่)    แต่มนุษย์ไม่ใช่  มนุษย์ชอบให้คนอื่นรัก  ชอบให้คนอื่นเห็นความสำคัญ  ชอบให้คนอื่นเห็นค่า  แล้วก็ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่าทำไมทำไม่ดีเหมือนกับคนนั้น  แล้วผลสุดท้ายใครที่รังแกตัวเรา  (ตัวเราเอง)    ความคิดเรารังแกตัวเรา  และตัวเราก็ดูถูกคุณค่าตัวเอง  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่อย่างที่เราเป็นได้  อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง  ดีไหม  (ดี)    แม้ไม่มีใครรักเราก็จงรักตัวเอง  แม้ไม่มีใครให้ความสำคัญเราก็จงรู้จักให้คุณค่าให้ความสำคัญกับตัวเอง  ทำได้ไหม  (ได้)
๓.  แม้ไม่มีอะไรก็มีสุข  ได้ไหม  (ได้)    คนที่ทุกข์ที่สุดในโลกก็คือ  คนที่ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี  สิ่งที่มีมักจะบอกว่าไม่สุข  รำคาญ  เบื่อ  คนเช่นนี้ทำอะไรก็ไม่มีวันสุข  แต่ถ้าคนที่รู้จักพอใจในตัวเอง  ยินดีในสิ่งที่มี  พอใจในสิ่งที่ได้  ไม่ต้องแสวงหาสุขไกล  แค่นี้  เท่านี้  สุขก็อยู่ตรงนี้แล้ว  จริงไหม  (จริง)    แต่คนโดยส่วนใหญ่มักจะทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้น  แค่นี้ไม่พอ  แค่นี้ไม่ชอบ  แค่นี้เป็นทุกข์  ใช่หรือไม่  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าเกิดหามาแล้วไม่ได้อะไรเลยเหลือแค่นี้  เราก็ทุกข์  แต่ถ้าแค่นี้เราก็สุข  ไม่ว่าจะหาเพิ่มได้หรือไม่ได้  ฉันก็สุข  จริงไหม  (จริง)
เริ่มไม่ไหวแล้วใช่ไหม  ไม่สบายหรือ  (ใช่)    คนไม่สบายก็ยิ้มได้ไม่ใช่หรือ  นั่งอยู่ตรงนี้ใครสบายบ้าง  ไม่มีสักคนเลยใช่ไหม  แต่ตรงนี้จะสบายได้ก็ต่อเมื่อ  แค่นี้ก็ดีแล้ว  แค่นี้ก็สุขแล้ว  แต่ถ้าคิดแค่นี้ไม่ได้  อยู่ที่ไหนก็ไม่มีสุข  จริงหรือไม่  เรายังพูดไม่จบแต่ว่าสงสัยเราก็คงต้องจบเท่านี้  เพราะมีบางท่านฟังเราไม่ไหวแล้วใช่ไหม  (ไม่ใช่)    แล้วท่านยังมีหัวข้อธรรมที่ท่านต้องศึกษาต่อ  ฉะนั้นเราสละเวลาให้ท่านได้ศึกษาธรรมต่อดีไหม  หน้าตาของคนตั้งใจฟังเป็นอย่างนี้เองนะ  ฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลยน่าเสียดายนะ  ใช่ไหม  (ใช่)    เพราะชีวิตยังไม่เคยเจอทุกข์มากเท่าไร  ทุกข์ตั้งแต่ยังเด็ก  เราก็เลยเข้าใจว่าธรรมะสำคัญกับความทุกข์และชีวิตอย่างไร  เราจึงอยากเตือนให้ท่านรู้ก่อนที่จะทุกข์มากกว่าแล้วค่อยมาคิดถึงธรรมใช่หรือไม่  (ใช่)    อย่างนั้นถ้าวันนี้เราคุยกับท่านแค่นี้แล้วเราจากลากันก็คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม
วันนี้มีคนตอบเราและกล้ายืนตอบเราเพียงท่านเดียวเองใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นถ้าเราให้ดอกไม้เขาแต่ไม่ให้ทุกท่านในที่นี้คงไม่โกรธเขานะ
(ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนเมตตามอบตะกร้าดอกไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
รับไหม  รับแล้วเอาเท่าไรดี  เอาทั้งหมดเลยใช่ไหม  จงใช้สติปัญญา
คิดไตร่ตรองให้ดี  บางครั้งโอกาสมาครั้งเดียว  คิดดีนอกจากจะได้แล้วยังให้คนอื่นได้ด้วย  แต่ถ้าคิดไม่ดีนอกจากจะไม่ได้แล้ว  ก็ไม่สามารถให้คนอื่นได้ด้วย
  ฉะนั้นเอาเท่าไรดี  (ขอเอาไว้บูชาที่นี่)    ขอไว้บูชาที่นี่หรือ  ดีไหม  (ดี)    อย่างนั้นเราจะบอกให้นะ  เรายกให้ท่านทั้งตะกร้า  แล้วถ้ามีโอกาสเดินไปเจอใคร  ก็จงแจกดอกไม้นั้นดีกว่าไหม  (ดี)    บางครั้งการทำตัวให้สูงค่าจนคนต้องแหงนมอง  ก็ไม่สู้ทำตัวธรรมดาแล้วอยู่กับผู้อื่นอย่างเป็นมิตรเป็นกันเองดีกว่า  จริงไหม  (จริง)
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ  จงบำเพ็ญธรรม  จงปฏิบัติธรรม  อย่าทำตัวเองเป็นกระจกคอยสะท้อนพินิจพิจารณ์คนอื่น  เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม  เราขอจบด้วยโคลงกลอนของปราชญ์โบราณ  “เมื่อมีต้นโพธิ์  เมื่อมีกระจก  ฝุ่นก็ลงจับ  ถ้าเขาเป็นกระจก  แล้วเราไม่เป็นกระจก  ฝุ่นจะลงจับอะไร”  เอาไปลองคิดดูนะ

วันอาทิตย์ที่  ๒๔  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๙ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ    อ.กระสัง    จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ความดีใจอิ่มใจลำพองสุข                         กลับยิ่งปลุกตัวตนหลงมานะใหญ่
โดนยกหูชูหางสราญใจ                   กลับหลงในทิฐิติดอัตตา
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                     รับบัญชาจาก       
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน  ฟังธรรมะเหนื่อยไหม
ทุกคนเอาแต่ใจแล้ว    หลักธรรมที่ดีอยู่ตรงใด    โลกเปลี่ยนแปลง
คนก็เปลี่ยนไป    รู้ตอนสายเกินกำลังทัดทาน    คิดอยู่นานเพราะเขลาอยู่นาน    เก็บกวาดอารมณ์ก่อนเดือดร้อนนา    หลงตามสบายหูกระทบตา    เห็นผิดแล้วบำเพ็ญผิดได้
*ไหนว่าจะมีจุดหมาย    ไหนว่าจะบำเพ็ญทุกวัน    ไหนว่าจะพร้อมใจกัน    ไหนว่าจะลงแรงอย่างสุดใจ    ไหนว่าจะมีจุดหมาย    ไหนว่าจะบำเพ็ญด้วยใจ    ไหนว่าจะทบทวนใจ    ไหนว่าจะทำให้ดี
ทะเลใจมีเดือนดาว    ศิษย์ผู้เขลาติดใจใครจำนน    จะทุกข์จะร้อนก็คิด
แต่ตนแต่ตน    จะยึดในอัตตาพาลผิดหวัง    คิดกลุ้มสุมควบคุมทุกอย่าง   
จนพังพาบยับเยินก็ไม่ยักหนี    ไม่สายเด้อแค่ทำมื้อนี้    ไม่มีเสี้ยนในหัวใจ  (ซ้ำ*)
ไยถอนใจเหมือนคนใจลอย    จะหัวก้อยอยู่ที่ปัญญา  (ซ้ำ*)
ทำนองเพลง:  ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน
ชื่อเพลง:  ติดใจใครจำนน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้ดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจเพราะวันสุดท้ายจะได้กลับบ้านแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  ปกติชอบไปเที่ยวบ้านไม่ค่อยยอมกลับใช่ไหม แต่ทำไมมาสถานธรรมอยากกลับบ้านนะแปลกดี ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะจากกันเราก็มาคุยอะไรทิ้งท้ายกันหน่อยดีไหม (ดี)  สิ่งที่จะคุยทิ้งท้ายนั้นต้องอาศัยความตั้งใจและก็อาศัยความอดทนหน่อยได้ไหม (ได้)  อุตส่าห์อดทนมาวันหนึ่งแล้วเหลืออีกวันหนึ่งอดทนอีกสักนิดจะเป็นอะไร
ความดีใจอิ่มใจลำพองสุข           กลับยิ่งปลุกตัวตนหลงมานะใหญ่” 
อาจารย์ถามหน่อย เวลามีคนชมดีใจไหม (ดีใจ)  แล้วเวลามีคนว่าล่ะ  (เสียใจ)  “อาจารย์ว่าเป็นเรื่องปกติ มีใครโดนชมแล้วร้องไห้บ้างมีแต่ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล และมีใครโดนว่าแล้วหัวเราะบ้าง” อย่างนั้นถ้าสมมติเวลาเราโดนว่า เรากลับหัวเราะแล้วยอมรับและยิ้มกับมัน กลับกันเวลาเราโดนชม เรากลับเศร้าเสียใจกับมัน ศิษย์คิดว่าคนคนนี้ผิดปกติไหม (ไม่ผิด)  เพราะอะไรหรือ
มีบางคนบอกว่ายอมรับความจริง มีบางคนบอกว่าถ่อมตัว บางคนตอบอาจารย์ว่า เขากำลังมึนๆ อยู่ ใช่ไหม  (ใช่)  อาจารย์ถามนะ ถ้าศิษย์รู้ตัวเองดี คนชม คนด่า จะมีผลทำให้จิตใจศิษย์หวั่นไหวไหม จะโกรธใครไหม (ไม่)  นอกจากว่าศิษย์หน้ามืด มองตัวเองไม่เห็น ฉะนั้นถ้าเกิดมีใครสักคนหนึ่งโดนเขาด่า แล้วหัวเราะยอมรับ นั่นแปลว่าเขาไม่ได้บ้านะ แต่เขามองเห็นตัวเองจริงๆ และยอมรับในความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก มองอะไรมันต้องมองอย่างไรนะ เวลามองแอปเปิล มองด้านเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาซื้อแอปเปิลยังต้องหมุนแล้วพลิกหัวพลิกหาง เหมือนกัน เขาจะชมหรือจะว่าก็ตาม ถ้าเรามองให้รอบๆ คนที่ชม คนที่ว่าก็จะไม่ทำร้ายเรา แต่เขาจะเป็นคนที่ชี้นำขุมทรัพย์ให้เราเห็นตัวเองดียิ่งขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าต่อไปโดนเขาชม ควรเฉยๆ แล้วหันกลับมามองตัวเอง ต่อไปโดนเขาว่า เป็นอย่างไร (อยู่เฉยๆ)  จะโกรธเขาอีกไหม (ไม่โกรธ) 
ถ้าเราอยู่ในโลก เรารู้จักมีสติและเข้าใจตัวเอง เราจะโดนใครในโลกนี้หลอก เรามีสติรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งใดจะทำให้ศิษย์ทุกข์ แต่เพราะเราอยู่ในโลก สติก็ไม่มีแต่อยากจะมีสตางค์ แล้วผลสุดท้าย ความอยากก็ทำให้เราทุกข์ เพราะเรามองเห็นตัวเองไม่ชัด มองโลกมองคนก็ไม่ชัด แล้วปล่อยชีวิตให้มึนๆ มัวๆ ไป อยากเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่อยาก)  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ (มีสติ)  และคิดไตร่ตรองมองให้รอบด้าน แล้วโลกใบนี้มันจะได้ไม่หลอกลวงเรา หรือใจเราไม่หลอกลวงตัวเอง
อาจารย์มาวันนี้อยู่ร่วมศึกษาธรรมกับอาจารย์ดีไหม (ดี)  ใครไม่อยากคุยกับอาจารย์ ไม่อยากฟังอาจารย์สนทนาธรรมออกไปพักข้างๆ ก็ได้นะเอาไหม อาจารย์ให้โอกาสนะดีกว่านั่งทนแล้วก็เบื่อ ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก ถ้าอยู่กับอาจารย์แล้วมันคิดแต่ชั่ว อาจารย์สู้ปล่อยให้ศิษย์ออกไปไม่คิดดีกว่านะ มีคำพูดว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ” ใช่ไหม คิดดีก็เหมือนขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็เหมือนตกนรก ถ้าอยู่กับอาจารย์แล้วเหมือนตกนรก อาจารย์อยากชวนให้ศิษย์อยู่ไหมล่ะ อาจารย์ก็ต้องมีหน้าที่ฉุดศิษย์ให้ขึ้นจากนรก  วิธีที่จะฉุดเขาขึ้นจากนรกก็คือออกไปไกลๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  อย่างนั้นออกไปไหม (ไม่ออก)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีทำให้นรกกลายเป็นสวรรค์ดีไหม (ดี)  ก็แค่ทำอะไร (ทำดี)  ทำดีแต่ถ้าหยุดความคิดไม่ได้  สิ่งที่น่ากลัวคือความคิด  ถึงจะทำดีแต่ก็ยังคิดร้าย บุญนั้นมันก็ไม่บริสุทธิ์ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะหยุดความคิดได้ ศิษย์เป็นคนดีแต่บางครั้งคนดีของอาจารย์มักจะห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้ ให้คิดสูงไม่คิด ชอบคิด (ต่ำ)  ให้คิดดีไม่คิด ชอบคิด (ชั่ว)  เห็นไหมตอบได้ทันที อย่างนั้นคนที่จะสร้างสวรรค์หรือแปรเปลี่ยนสวรรค์เป็นนรกก็คือใคร (ตัวเอง)  คนที่สามารถหยุดความคิดและมีสติรู้เท่าทันความคิด ซึ่งมนุษย์เราไม่เคยเรียนวิชารู้เท่าทันความคิดเลยถูกหรือไม่ (ถูก)  ถามว่าในโลกนี้สิ่งใดน่ากลัวที่สุด (ความคิด)
ว่าอย่างไร ตอบว่าอะไรบ้าง (อวิชชา)  ความไม่รู้ ก็ตอบได้ดี ไม่รู้เท่าทันตน มีใครตอบได้อีก (มนุษย์)  ตัวเองน่ากลัวที่สุดเลยใช่ไหม (ความคิดของตัวเราเอง)  ความคิดของตัวเราเองใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์บอกว่า มนุษย์นี่แหละน่ากลัวที่สุด จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่น่ากลัว  แต่เมื่อไรที่มนุษย์คิด มนุษย์อยาก มนุษย์โลภ มนุษย์หลง มนุษย์มีอารมณ์ก็น่ากลัวทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นมนุษย์เฉยๆ ไม่ได้คิด ไม่ได้อยาก ไม่มีโลภ ไม่มีหลง ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอะไรมากระทบใจ มนุษย์ไม่ได้น่ากลัว ก็คือคนธรรมดาเดินดิน จริงไหม (จริง)  แต่เมื่อไรโดนกระทบด้วยอารมณ์ โดนกระทบด้วยความอยาก คิดอยาก คิดโลภ คิดหลง นั่นแหละน่ากลัว น่ากลัวตรงที่ ถ้าคิดแล้วไม่ใฝ่ดี ใฝ่สูง เลือกอยากอะไรก็ได้ ขอให้ได้มาโดยที่ไม่ใฝ่ดี ใฝ่สูง ใฝ่คุณธรรม ยิ่งน่ากลัวใหญ่ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะหยุดได้อย่างไร เวลาจะด่าก็ด่าเลย เวลาจะต่อยก็ต่อยเลย มีคิดไหมว่า อย่าต่อย มีไหม (มี, ไม่มี)
ความน่ากลัวของโลกใบนี้ จริงๆ แล้วคนไม่น่ากลัวหรอก แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจของเรามองคนอย่างไร ใจของเราคิดกับคนอย่างไร คิดดีก็มีสุข ก็พ้นทุกข์ แต่ถ้าคิดชั่วใส่ความเขา ระแวงสงสัยเขา ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีสุข แม้กลับบ้านไปแล้วยังเอาเขาเก็บมาคิดอีก มันก็ไม่มีสุข ฉะนั้นวิถีธรรม การศึกษาธรรม จึงไม่ใช่สอนแค่เพียงให้ทำบุญตักบาตร ไหว้พระสวดมนต์ ยังไม่พอ แต่ต้องลงแรงที่การประพฤติปฏิบัติ โดยสามารถเอาธรรมนั้นมาควบคุมกาย วาจา ใจ และสามารถประพฤติตนให้เป็นคนปกติ อยู่บนโลกโดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าเอาธรรมมาปฏิบัติ แล้วการปฏิบัติธรรมกับคน เราควรใช้อะไร
(เมตตา, แนะนำสิ่งที่ดี)  ตอบได้ดีทั้งคู่ แต่อาจารย์จะบอกศิษย์ให้นะ ถ้าเราทำยังไม่ดี ไปแนะนำใครก็ไม่มีใครเชื่อจริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังทำได้ดีไม่สุดจิตสุดใจไปพูดอะไรคนก็ไม่ฟัง เหมือนกันถ้าตัวเองไม่กตัญญู เรียกให้ลูกกตัญญูต่อพ่อหน่อย ลูกจะฟังไหม (ไม่ฟัง)  ฉะนั้นก่อนจะไปแนะนำใคร ต้องเริ่มที่เราก่อนถูกไหม หลักธรรมในการปฏิบัติจึงไม่ใช่เอาแต่เรียกร้องผู้อื่น เอาธรรมที่รู้นั้นไปตรวจสอบใคร ในเมื่อเราอยู่ด้วยกัน เราควรจะรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรมต่อกัน อย่าเป็นคนดีแค่อยู่ในวัดอย่าเป็นคนดีแค่เห็นพระถือบาตรมาแล้วอยากทำบุญ ไม่ใช่ คนที่ดีจริงอยู่กับใครก็ต้องปฏิบัติให้ดีให้ได้
แล้วหลักในการปฏิบัติดีกับคน เราควรใช้อะไร เมื่อสักครู่ศิษย์ท่านนี้ตอบได้ดีเหมือนกันตอบว่า (เมตตา)  อาจารย์ถามหน่อยนะคนที่พูดได้ทำได้ไหม คนที่เมตตาเคยขโมยเงินพ่อแม่ไหม (เคย)  คนที่เมตตาควรจะด่าเพื่อนไหม (ไม่ควรแต่ก็เคย)  คนที่เมตตาเคยนินทาอาจารย์ไหม (เคย)  เมตตาตรงไหนศิษย์ ใช่ไหม แล้วคนที่เมตตาแอบเอาเวลาเรียนไปเล่นเกมไปหาสาวไหม (ไม่, จริงนะผมไม่ทำ)  เพราะผมเล่นกับโทรศัพท์จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย มนุษย์ทุกคนรู้ดีหมด ปฏิบัติธรรมอย่างไรรู้ดีหมด เกิดเป็นคนต้องเมตตา เกิดเป็นคนต้องมีน้ำใจ แต่ถึงเวลาเมตตาไหม มีน้ำใจไหม ถ้าคนมีเมตตาจริงๆ แม้กับพ่อกับแม่เขาก็ไม่อกตัญญู แม้แต่กับตัวเองเขาก็ต้องกล้ารับผิดชอบต่อหน้าที่ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ศิษย์บอกว่าความเป็นคนนั้นน่ากลัว แต่อาจารย์บอกว่าความเป็นคนไม่น่ากลัว แต่ความเป็นคนจะน่ากลัวก็ต่อเมื่อ ความเป็นคนคิดอยาก คิดโลภ คิดโกรธ คิดหลง โดยหลงลืมคุณธรรม และก็สามารถที่จะทำผิดคิดร้ายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดคนที่รู้จักควบคุมตนได้ โอกาสที่เขาจะทำร้าย ทำเรื่องเดือดร้อนให้กับใครก็เป็นเรื่องยาก ถูกไหม (ถูก)  ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์เราดำรงตนถูกต้อง โอกาสที่เราจะสร้างปัญหา และสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นการดำรงตนถูกต้อง ก็คือการที่ต้องรู้จัก (คิดดี)  เหมือนที่อาจารย์บอก ให้พยายามคิดดีเข้าไว้ อย่าคิดร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ เราศึกษาธรรมมาตั้งเยอะ เราลืมอะไรไปหรือเปล่า ถ้าเวลาเราอยู่ร่วมกับคน แล้วป้องกันให้เราไม่คิดร้าย ให้คิดดี นั่นคือปฏิบัติต่อคนด้วยการมี (สติ)  นอกจากมีสติแล้วมีอะไร มีน้ำใจ มีเมตตา มีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใช่ไหม (ใช่)  มีสติในการทำ แต่เวลาจะทำอะไรขอให้ยึดคุณธรรมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต อย่างเช่น ถ้าเราอยากอยู่กับเขาอย่างมีความสุข บุญก็ทำ มนต์ก็สวด แต่ถ้าศิษย์ขาดการมีคุณธรรมในการดำรงอยู่ร่วมกัน บ้านแตกสาแหรกขาดได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดว่าคนที่เป็นสามีขาดคุณธรรมความซื่อตรง คนที่เป็นครอบครัวเดียวกันขาดความเมตตาต่อกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์จะบอกว่า ศิษย์เป็นคนชอบทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ แต่ถ้าคนทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ ขาดคุณธรรมในความเป็นคน ไม่มีความซื่อตรง ครอบครัวร่มเย็นไหม (ไม่)  ไม่มีความเมตตา จะอยู่กันอย่างให้อภัยไหม (ไม่)  สามีนอกใจ ให้อภัยไหม (ไม่)  ภรรยาไปมีชู้สามีให้อภัยไหม (ไม่)  แยกกันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่ทันทีเลย
ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการศึกษาธรรมที่เราควรต้องรู้ไว้คือคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันแล้วขาดไม่ได้ อาจารย์ขอแค่สองข้อ ซื่อตรงสัตย์ซื่อ และเมตตา ถ้าศิษย์มีสองอย่างนี้เวลาไปอยู่กับใคร ศิษย์จะทำใครเดือดร้อนไหม (ไม่)  คนมีเมตตา จะด่าใครหรือจะฆ่าใครไหม (ไม่)  คนซื่อตรงจะโกงใคร จะปากอย่างใจอย่างไหม (ไม่)  คนซื่อตรงจะปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  อย่างนั้นแปลว่าที่ศิษย์ทำมาทั้งหมดแปลว่าศิษย์ไม่ซื่อตรงและไม่มีเมตตา ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นศึกษาธรรมไม่ใช่แค่ทำบุญตักบาตร สวดมนต์ไม่พอ ต้องมีคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันด้วย เพราะไม่อย่างนั้นถ้าศิษย์ขาดคุณธรรมข้อใดข้อหนึ่ง ไปอยู่ที่ใดก็ทำให้ที่นั่นเขาร้าวฉาน เพราะขาดเมตตา เพราะขาดซื่อตรงจริงไหม (จริง)  อยู่กับเพื่อนถ้าเราไม่จริงใจเราไม่ซื่อตรง เพื่อนรักไหม (ไม่)  ปฏิบัติงานไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่มีความซื่อตรง ใครต้องการเราไหม ฉะนั้นก่อนเราจะว่าเขา หันกลับมา (ดูตัวเอง)  แล้วในทางกลับกัน ถ้าเราเรียกร้องทำตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว คนอื่นจะทำตามไหม (ทำตาม)  แต่ถ้าเรายังไม่ทำแล้วไปเรียกคนอื่นทำ ใครจะทำไหม (ไม่ทำ) 
อาจารย์ถามหน่อย ศิษย์อยู่บนโลกศิษย์เมตตาคนบ้างหรือยัง ถ้าเมตตาตัวเองได้ทำไมไม่รู้จักเมตตาคนอื่นบ้าง ศิษย์รักตัวเองไหม (รัก)  แล้วคนที่เขารักศิษย์ ศิษย์ไม่เมตตาเขาบ้างหรือ ถูกไหม (ถูก)  อยู่ในโลกอย่าคิดเอาแต่ได้ แต่ไม่คิดทำดีเพื่อคนอื่น มิเช่นนั้นศิษย์ก็คือคนที่ใจดำอำมหิตที่สุดที่ทำได้แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองจริงไหม (จริง)  คนที่ศิษย์ควรจะเมตตา ซื่อตรงที่สุดคือพ่อแม่ ศิษย์ยังโกหกเขาได้ แล้วใครในโลกศิษย์จะโกหกไม่ได้ถูกไหม (ถูก)  คนที่เป็นพ่อแม่ศิษย์ยังโกงเขาได้ แล้วใครในโลกศิษย์จะโกงไม่ได้ คนที่เป็นพ่อแม่ ศิษย์ยังเอารัดเอาเปรียบได้ ปล่อยให้ท่านทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ศิษย์เที่ยวตะลอนๆ แล้วบอกแม่หนูขอเงินหน่อย
ฉะนั้นเป็นผู้หญิงเวลาเลือกสามีดูหน่อย ไม่อย่างนั้นแม่เขายังทำได้ แล้วตัวเราเขาจะไม่ทำหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยดูหน่อย เลือกนางดูดีๆ ถ้ากับแม่ยังแอบหนีไปเที่ยวแล้วปล่อยให้แม่ทำงานงกๆ ก็อย่าหวังเลยว่าไปรักเขาแล้วจะไม่ทิ้งให้เธองกๆ แล้วหาเงินมาให้ฉันใช้จริงไหม (จริง)  แล้วมองไหม (ไม่มอง)  มองแต่สวยก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วผลเป็นอย่างไร นรกมีจริง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราจะแปรนรกเป็นสวรรค์ได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหม ตอนที่เวลาเราอยู่ในโลก คนนั้นก็ดีคนนี้ก็น่ารัก บางทีพอเจอคนน่ารักมากๆ แล้วมาเจอคนไม่น่ารัก เราก็รู้สึกไม่ชอบ เกลียดขี้หน้า เห็นแล้วขวางหูขวางตา ไม่เหมือนทางนี้เห็นแล้วสบายตา สวยๆ ทั้งนั้นเลย อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ในเมื่อเราได้รู้จักธรรมะแล้ว ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคน เมื่อเราปฏิบัติต่อคนต้องมีเมตตาต่อกัน ต้องซื่อตรงต่อกัน แต่บางครั้งความมีเมตตาและความซื่อตรง บางทีมันก็จะล้ำเส้นไปหน่อย จากเมตตามากๆ ก็กลายเป็นรัก รักมากๆ ก็กลายเป็นหลง หลงมากๆ ก็กลายเป็นหลงหัวปักหัวปำ โงหัวไม่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลารักมากๆ เรารู้สึกดีไหม (ดี)  ความรักดีไหม (ดี)  ฝ่ายชายความรักดีไหม (ดี)  นักเรียนล่ะความรักดีไหม (ดี, ไม่ดี)  มีทั้งดีและไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  ถามฝ่ายหญิงความรักดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่า คำว่า “รัก” กับคำว่า “เกลียด” อะไรน่ากลัวกว่ากัน
อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่ารักหรือเกลียด อยู่ที่คนมีสิ่งนั้น ยึดสิ่งนั้น แล้วใช้สิ่งนั้นทำเช่นไร ถ้าศิษย์รักแล้วรักรุนแรง รักแบบต้องเป็นของฉัน ห้ามเป็นของคนอื่น คนที่น่ากลัวมันไม่ใช่รัก แล้วมันก็ไม่ใช่เกลียด แต่มันคือตัวเราเอง ถูกไหมศิษย์
จำได้ไหม ที่อาจารย์บอกว่า คนไม่น่ากลัว กิเลสจริงๆ ก็ไม่น่ากลัว แต่อยู่ที่คนพยายามจะใช้กิเลสไปทางใด ใช้ได้ดีก็มีสุข ใช้ไม่ดีก็สร้างทุกข์ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วถ้าเราศึกษาธรรม อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ไม่รักใคร แล้วศิษย์ก็จะได้ไม่เกลียดใคร ดีที่สุด   ฉะนั้นศิษย์เอย ก่อนจะมีรัก คิดให้ดีๆ เพราะไม่มีใครรักแล้วไม่โศก รักแล้วไม่กลัว รักแล้วไม่ทุกข์ และรักแล้วไม่เกลียด ใช่ไหม เพราะรู้จักรัก จึงรู้จักเกลียด ฉะนั้นธรรมจึงสอนว่า ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น  ไม่ว่าจะรักหรือจะเกลียด ไม่ว่าจะชอบหรือจะชัง แต่มองให้เป็น ทุกสิ่งล้วนธรรมดาเท่ากัน แต่มนุษย์ไม่ใช่ ฉันรักคนนี้มากกว่า รักคนโน้นน้อยกว่า ฉันชอบคนนี้มากกว่า ฉันเกลียดคนนี้มากกว่า แล้วผลสุดท้ายก็ต้องมาทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองรัก ชอบ เกลียดชัง
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักวางใจเป็นกลางในทุกสิ่ง ไม่เกลียดใครเลย เพราะเราไม่รู้จักรัก แล้วเราจะรู้จักเกลียดไหม แต่เมื่อไรศิษย์รู้จักรักมากเท่าไร ศิษย์ก็จะรู้จักเกลียดมากเท่านั้น แต่ถ้าศิษย์ไม่รักใครมากเท่าใด อะไรคือสิ่งที่ศิษย์เกลียด ก็ไม่มี เมื่อใดศิษย์รู้จักสิ่งที่ศิษย์ชอบมากเท่าใด ศิษย์ก็จะรู้จักสิ่งที่ศิษย์ไม่ชอบมากเท่านั้น พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่ใดมียินดี ที่ใดมีตัณหา ที่ใดมีความใคร่ ที่นั้นจะหนีไม่พ้นความโศก ความกลัวและความทุกข์ในที่สุด แต่ถ้าที่ใดพ้นจากความรัก ความยินดี ความใคร่ ตัณหา ที่นั้นจะไม่พบความโศก ความทุกข์และความกลัวเลย” แต่มนุษย์อดไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่ใช่ให้ศิษย์ไม่รู้สึกรู้สา ตายด้าน อะไรก็เฉยๆ การเฉยไม่ใช่แปลว่าตายด้าน ไม่รู้สึกรู้สา แต่มองเห็นความเป็นจริงว่า ถ้าหนูรักมาก หนูก็ต้องเจ็บมาก ถ้าหนูเกลียดมาก หนูก็ต้องก่อเวรก่อกรรมกับมันมาก ฉะนั้นสู้ไม่รักก็ไม่เจ็บ ไม่เกลียดก็ไม่ก่อกรรม หรือท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกิดเป็นคนต้องรู้จักเดินสาย (กลาง) 
ฉะนั้นก่อนจะรัก ก่อนจะเกลียด คิดให้ดีๆ ถ้าถึงที่สุดของความรัก ความเกลียด มันหนีไม่พ้นทุกข์ ควรหรือจะรัก ถ้าความเกลียดมันหนีไม่พ้นเวรกรรมและการจองเวรจองกรรม ควรหรือจะชังน้ำหน้ามัน สู้เฉยๆ เรียกว่าความเป็นกลาง เหมือนที่ศิษย์มักจะบอกอาจารย์ แต่คนบางคนก็น่ารัก อดรักไม่ได้ และคนบางคนก็น่าเกลียด จนอดเกลียดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรล่ะ ถามหน่อย เวลาเขาทำอะไรให้ศิษย์รักมาก ศิษย์เห็นเขาตลอดไหม (บางครั้งก็เห็นบางครั้งก็ไม่เห็น) 
อาจารย์ถามจริงๆ นะ ในโลกใบนี้บางทีเราพยายามหาคนที่สมบูรณ์ที่สุด หาคนที่เหมาะสมกับเราที่สุด หาคนที่ดีกับเราที่สุด แต่อาจารย์ถามนะจะมีสิ่งใดสมบูรณ์สุด มีสิ่งใดดีสุดไหม น่ารักอย่างไรก็ต้องมีมุมน่าเกลียด น่าเกลียดอย่างไรก็มุมน่ารักถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรามองให้กว้าง ศิษย์จะไม่รักใครมากและไม่เกลียดใครมาก อย่าเอาเวลานิดหน่อยมาวัดคนทั้งชีวิต เหมือนเราพยายามหาคนที่สวยที่สุดในห้องนี้ แต่อาจารย์ถาม ถึงเวลาคนที่อาจารย์ว่าสวยที่สุดมีสวยกว่าไหม (มี)  อาจารย์หาคนที่น่าเกลียดที่สุดในห้องนี้ ถามหน่อยถึงเวลามีคนที่น่าเกลียดกว่าไหม (มี) 
ความเป็นจริงในโลกเราต้องรับให้ได้ มีคนน่าเกลียดก็มีคนน่าเกลียดกว่า แต่คนที่น่าเกลียดกว่าก็ยังมีคนน่าเกลียดกว่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าโดนเขาเกลียดอย่าไปโกรธ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็มีคนที่น่าเกลียดกว่าฉันถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเวลาเราจะรักใครอย่าเพิ่งรักเดี๋ยวจะมีคนน่ารักกว่า ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปรักใครใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็อย่าเพิ่งไปเกลียดใคร เพราะเดี๋ยวบางทีก็ต้องมีคนที่น่าเกลียดกว่า ฉะนั้นเวลาจะโกรธใครจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะบางทีอาจจะมีคนที่น่าโกรธกว่า เพราะฉะนั้นเราอย่าเพิ่งใจร้อนรีบโกรธ รีบด่า ดีไหม (ดี)  เพราะหาไปถึงที่สุดมันก็ไม่มีใครน่ารักที่สุดและน่าเกลียดที่สุดจริงไหม (จริง)  เมื่อไม่มีใครน่าเกลียดที่สุดไม่มีใครน่ารักที่สุดเราก็เป็นกลางใช่ไหม (ใช่)  เราก็เข้าใจธรรม แล้วเราทำได้ไหม (ได้) 
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์พิจารณา เวลามองสิ่งใดแล้วจะช่วยให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงในสิ่งนั้น หรือไม่หลงรักในสิ่งนั้น มองให้ถึงที่สุด อย่ามองติดแค่เพียงครู่เดียว มองให้ลึกๆ มองให้ไกลๆ แล้วมันจะได้ไม่มาทำให้เราเจ็บช้ำ ใช่ไหมคนที่น่าเกลียดกว่า ยอมไหม (ยอม)  แน่ล่ะ เขาเลือกศิษย์มาถูกไหม ศิษย์ว่าถูกไหม (ถูกครับ)  อาจารย์บอกให้นะ เราไม่สามารถรู้ได้ว่า วันนี้เราบอกว่าเราอาจจะดูดีกว่าเขา แต่ศิษย์แน่ใจหรือว่าวันหน้าศิษย์จะดีกว่าเขา ตอนนี้เขาอาจจะบอกว่าศิษย์ไม่ดีกว่าเขา เพราะเขาอาจจะรู้ว่าเขามีอะไรที่เขาทำแล้วสำเร็จ แต่ศิษย์ยังทำอะไรไม่สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าวัดคนแค่ภายนอก อย่าดูคนแค่ถุงขี้  แต่จงมองให้ลึกๆ มองให้กว้าง แล้วเราจะได้ไม่ติดกับความรักและความหลงอันจอมปลอมของโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้น จะให้เขาหรือให้เราน่าเกลียดกว่า (เราเอง)  ศิษย์ไปนั่ง แล้วศิษย์สองคนมายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ดีไหม สองคนมายืนทำไม เขาบอกให้เอาสวยที่สุดมาใช่ไหม (ใช่ค่ะ, ไม่มั่นใจว่าตัวเองสวยขนาดนั้น) แล้วศิษย์ล่ะ เขาเอาคนที่ (น่าเกลียดกว่า)  แล้วเรามั่นใจไหมว่าเราน่าเกลียด (มั่นใจครับ)
ถ้าวันหนึ่งศิษย์โดนคนว่าน่าเกลียด ศิษย์จะมีสติคิดได้อย่างไรที่จะทำให้ไม่ทุกข์ และถ้าเกิดว่ามีคนชมว่าศิษย์สวยมากๆ ศิษย์จะคิดอย่างไรที่จะทำให้ไม่หลงตัวเอง (จะบอกว่าคนที่เขามาชมเราเขาไม่จริงใจกับเราหรอกเพราะว่าเรารู้ตัวว่าเราไม่สวย)  คิดอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ เพราะจริงๆ มุมมองของคนเรามองไม่เท่ากัน เขาไม่ได้มองว่าศิษย์สวยที่หน้า แต่เขาอาจจะมองศิษย์สวยที่น้ำใจใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะไปว่าเขาว่าโกหก เราต้องมองตัวเองด้วยใช่ไหม (ใช่)  (ทำตัวเฉยๆ นิ่งไว้)  ทำตัวเฉยๆ นิ่งๆ ไว้รู้ตัวเองดีที่สุดใช่ไหม รู้ไหมเกิดเป็นคนสิ่งที่ยากที่สุดก็คือความอดทนอดกลั้น ตอนนี้ศิษย์พูดได้แต่พอถึงเวลา ศิษย์จะอดทนอดกลั้นกับคำดูถูกเหยียดหยามได้หรือ ยอมรับเสียเถอะว่าในร้ายก็มีดี ถึงเราจะดีแค่ไหนเราก็รู้นี่ว่าเรายังร้ายอยู่ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเราจะสวยแค่ไหนจริงๆ เราก็มีความไม่สวยอยู่ แต่ถ้าเรายอมรับในตัวเอง เราจะไม่โกรธ เราจะไม่เกลียดคนที่ว่า เพราะทุกๆ คนในร้ายมันมีดี ในดีมันมีร้าย เหมือนพูดว่า มนุษย์มีความเกิดแต่ในความเกิดมีความตายเหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่าฉลองวันเกิด แต่พุทธะบอกว่าไม่ใช่ ศิษย์กำลังฉลองวันตาย ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรามองให้ชัด อย่ามองแต่สิ่งที่อยากเห็นจนไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเป็นใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง : ไสว่า
สิบ่ถิ่มกัน ชื่อเพลง : ติดใจใครจำนน และเมตตาให้นักเรียนนำร้องเพลง)
มีโอกาสต้องมาช่วยอาจารย์ร้องแล้วนะ ได้หรือเปล่า ไม่ใช่มีโอกาสก็ไปขับรถเล่น หรือมัวไปเล่นเกม ใช่ไหม มีโอกาสมาช่วยอาจารย์หน่อย ร้องเพลงธรรมให้คนอื่นได้เข้าถึงธรรม มันเป็นสิ่งที่ดี จริงไหม รับแปลว่ามีโอกาสจะเข้ามาช่วยใช่ไหม การไหว้พระ การมาช่วยงานในห้องพระเป็นเรื่องไม่ดีหรือ แล้วก็ทำเพื่อตัวเอง แล้วยังมีบุญกุศลให้พ่อแม่ หรือบางทีชวนพ่อแม่มาไหว้พระด้วยไม่ดีหรือ ดีกว่าเอาแต่เที่ยวเตร่ไม่มีประโยชน์อะไร รับแล้วแปลว่าจะมานะ (นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า เรื่องราวที่เขานำประวัติพระอาจารย์มาทำเป็นการ์ตูน Animation เป็นเรื่องจริงใช่ไหม)  จะถามแค่นี้หรือ (เปิดดูบ่อย)  แล้วเปิดดูแล้วรู้สึกอย่างไร (รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้พบเรื่องราวแบบนี้ เพราะหาบำเพ็ญแบบนี้มานานแล้ว เพิ่งจะได้มารับธรรมะ)  แล้วศิษย์ทำได้อย่างที่อาจารย์ทำไหม (ตอนนี้ยังครับ ก็พยายามอยู่)  สิ่งที่สำคัญในการบำเพ็ญธรรม นั่นก็คือการอยู่ร่วมกับคน ทำให้คนมีความสุข อะไรที่เป็นความทุกข์ ถ้าเราช่วยเหลือเขาได้ ปัดเป่าให้เขาคลายทุกข์ได้ นั่นก็คือ หัวใจของอาจารย์จี้กง ไม่ถือตัว ไม่ถือตน ใช่หรือไม่ แต่ถามว่าอาจารย์กินเหล้า เมายา จริงๆ ไม่ใช่นะ กินเนื้อสัตว์ก็ไม่ใช่ อย่าหลงไปตามนั้น เพราะการเป็นพุทธะที่ดีควรมีจิตเมตตา ไม่หลงงมงาย ถูกหรือไม่ ฉะนั้น อย่าแค่ดู แต่จงเอาไปทำ และทำให้ได้ เพราะอาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ เริ่มต้นมีโอกาสฝึกเพลงนี้ให้ได้ แล้วพาเขาไปช่วยอัดเพลง
ใครจำได้บ้างอาจารย์คุยถึงเรื่องอะไร (เดินสายกลาง)  เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นตอของอกุศล เป็นต้นตอของการทำบาปและความผิด ถึงที่สุดคือความทุกข์และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเราคุมโลภ โกรธ หลงได้ เราก็ตัดทางแห่งบาปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ความรักและความเกลียด)  แล้วเราควรมีรักหรือควรมีเกลียดไหม (น่าจะเดินทางสายกลาง)  จะได้ไม่รักมาก เกลียดมาก จะได้ไม่ทำผิดคิดร้ายใช่ไหม (ใช่)  ลงไปถึงสิ่งที่มนุษย์ต้องระมัดระวังและต้องควบคุม เพราะอารมณ์นั้นเป็นต้นเหตุแห่งการสร้างบาป และต้นตอแห่งความทุกข์และความชั่วร้ายทั้งมวล ถึงที่สุดและน่ากลัวที่สุดคือการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ ถ้าเรารู้จักควบคุมได้มีสติเท่าทันในอารมณ์ โลภโกรธหลงก็จะไม่สร้างให้เราทุกข์ แต่การจะควบคุมอารมณ์โลภโกรธหลงให้ได้ บางทีก็เป็นเรื่องยากถูกไหม (ถูก)  เหมือนที่อาจารย์ถามว่าดอกไม้สวยไหม (สวย)  ผลไม้สวยไหม (สวย)  แจกันสวยไหม (สวย)  คนนี้สวยไหม (สวย)  แต่ถ้าเรามองให้ถึงที่สุดดอกไม้จริงๆ ในสวยก็มีความไม่สวย ในผลไม้ในความคงทนก็มีความไม่คงทน ฉะนั้นถ้าเรามองสรรพสิ่งให้ชัดเราจะไม่ถูกสรรพสิ่งลวงให้เราหลง อยากจนยึดติดแล้ววางไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นของบางอย่างสวยแค่ไหนอยากแค่ไหนจงมองให้ชัดแล้ววางมันลง อย่าพยายามยึดเป็นของเราเด็ดขาด เมื่อไรที่พยายามยึดให้เป็นของเรา เมื่อนั้นเราจะถูกความอยากนั้นบดบังตา มองไม่เห็นความจริง
แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นว่ามันสวย แล้วเราอยากมากๆ ต้องได้ ต้องเป็นของหนู ต้องมีแต่หนูเท่านั้นที่ได้ใช่ไหม เมื่อไรเราหลงแล้วเราอยากได้มันสิ่งนั้นมันจะบดบังตาทำให้เรามองไม่เห็นความจริงว่ามันมีดีมีเสียอย่างไร จนกระทั่งเราเอามาเป็นของเราแล้ว ตอนแรกเป็นอย่างไร (ดี) เหมือนรจนาเสี่ยงพวงมาลัยคู่รัก คู่ดี คู่หวาน คู่เเหวว คู่บุญใช่ไหม พออยู่ไปนานๆ เป็นอย่างไร อยากจะให้อยู่ห่างๆ สักหน่อยหนึ่ง เพราะจะรู้สึกดีมากเลยใช่ไหม (ใช่)  บางทีอยู่ติดกันมาก แล้วมันเห็นชัดจนรับไม่ไหวแล้ว ถอยไปสักหน่อยหนึ่งเถอะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะของทุกอย่างในโลกที่ศิษย์บอกว่าอยากมาก โลภมาก หลงมาก อย่าไปเอามันมาอยู่ใกล้ เพราะพอถึงเวลาเอามาอยู่ใกล้แล้วศิษย์ควบคุมมันไม่อยู่ ศิษย์จะทุกข์เพราะตัวตนเอง ฉะนั้นถ้ามีอะไรอยากมาก มองให้ชัดวางให้ลงแล้วสิ่งนั้นจะไม่บดบังปัญญาและความจริงที่เรามองเห็น แต่คนไม่ใช่ อยากก่อน ขอให้ได้ก่อน ทุกข์ช่างมัน แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร แล้วใครทำ มันไม่มีดีหรือเราไม่ดี (เราไม่ดี)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะถ้าอยากอยู่ในโลกอย่างไม่ทุกข์ จงแค่ยืมใช้แล้วปล่อยวางไป เมื่อใดที่ศิษย์หวังจะครอบครอง ศิษย์จะต้องยอมรับความจริงว่าสิ่งที่ศิษย์ครอบครอง ถ้ามันเปลี่ยน อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์รักแต่ก่อนหน้าเขาเป็นแบบนี้ไหม (ไม่)  แล้วตอนนี้หน้าเป็นแบบนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วต่อไปจะเปลี่ยนอีกไหม (เปลี่ยน)  รับได้ไหม (รับได้)  ฉะนั้นจำไว้นะสิ่งที่ศิษย์บอกว่ามันสวย มองให้ดีๆ  ถึงเวลาถ้ามันเหี่ยว มันดำ มันแก่ มันหง่อม ศิษย์ก็ต้องรับให้ได้เพราะศิษย์อยากมีมันใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าอยากมีแล้วไม่ทุกข์จงแค่มองให้ชัดแล้วปล่อยวาง อย่าไปรักอย่าไปอยากเลยแล้วจะไม่ทุกข์ อาจารย์แต่ถ้ารักแล้วอยากไปแล้วล่ะจะทำอย่างไร ศิษย์เข้าใจไหมว่าศิษย์ว่าเขาเหี่ยวศิษย์ก็ (เหี่ยว)  ศิษย์ว่าเขาไม่ดีศิษย์ก็ (ไม่ดี)  ฉะนั้นให้อภัยเขาก็เหมือนให้อภัย (ตัวเอง)  อย่ามัวแต่ไปจับผิดเขาแล้วลืมดู (ตัวเราเอง)  เพราะว่าตัวเองว่าเขาแก่มากเท่าไรเราก็แก่ (มากเท่านั้น) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกแห่งความจริง แล้วอยากเข้าใจโลกใบนี้ศิษย์จงมองคนให้ชัด ถ้าศิษย์มองคนชัดศิษย์จะรู้ว่าใดๆ ในโลกไม่น่ายึด ไม่น่าเอา ไม่น่าอยากและไม่น่าเกลียด ถึงที่สุดของความเป็นคนคืออะไร มันหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ศิษย์เอารูปตอนอนุบาลหนึ่งมาดูกับตอนนี้เปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ถ้าเป็นของศิษย์ศิษย์สั่งมันสิ แกอย่าเปลี่ยน แกอย่าแก่ มันฟังศิษย์ไหม (ไม่ฟัง)  แกอย่าทุกข์มันทุกข์ไหม ความทุกข์คือสภาพที่ทนไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แล้วเราควรหรือที่จะยึดว่าเป็นของเรา ควรหรือที่เราจะยึดมั่นว่าใครมาทำร้ายแล้วเราต้องเกลียดมัน แต่เราควรเข้าใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวิธีการของอาจารย์ก็คืออยู่ในโลกจงรู้จักยืมใช้ ยืมตัวนี้ใช้ แล้วถึงเวลาจะเหี่ยวมันจะแก่ก็ปล่อยไป เราห้ามแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  เราห้ามตายได้ไหม (ไม่ได้)  เราห้ามไม่ให้เจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะยึดไหม (ไม่ยึด)  จริงหรือ (จริง) 
อาจารย์เพิ่งเห็นล่าสุดเลยนะ มีคนกำลังกินเหล้ากันอยู่ กินกันไปกินกันมาคึกไหม (คึก)  ไม่รู้นึกคึกอย่างไรเอาเท้าถีบเพื่อนตกเก้าอี้เลย แล้วรู้ไหมว่าคนที่ถูกถีบตกเก้าอี้เขาแค้น พอหายเมา เขาไปฆ่าคนที่ถีบตกเก้าอี้แล้วเผาทั้งเป็น ฉะนั้นศิษย์บอกอาจารย์ อบายมุขไม่เป็นไรหรอกกินนิดกินหน่อย เหล้ากินนิดกินหน่อยใช่ไหม เล่นกับเพื่อนสนุกสนานนิดๆ หน่อยๆ ใช่ไหม ฉะนั้นศิษย์เอยขึ้นชื่อว่าคนเรายืมใช้ แต่ถ้าเรายืมใช้แล้วเราพูดไม่ระวัง ทำไม่คิด คนที่โดนทำเขาคิดมันเจ็บ แล้วตอนนั้นศิษย์จะขอโทษหายไหม เขาไม่รอศิษย์ขอโทษเลยนะ เขาจำได้จนถึงพรุ่งนี้แล้วมันก็ฆ่าเอาเผาทั้งเป็นเลยนะ
ฉะนั้นก่อนที่จะปล่อยอารมณ์ไปตามความอยาก ไปตามอบายมุขขอให้ศิษย์คิดให้ดีๆ ได้หรือไม่ เราจะได้ไม่ทำผิดพลาดแล้วชีวิตมันมีค่ายิ่งกว่านั้น แล้วเป็นอย่างไรได้ดีไหม คนที่ฆ่าก็ไม่ได้ดี คนที่ถูกฆ่าได้ดีไหม (ไม่ได้)  แล้วเราควรปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนี้ไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ ยิ่งเพื่อนสนิทกันมากเท่าไร ก็เพราะสนิทมากวางใจมากแต่ศิษย์ทำเขาเจ็บ ไปถีบเขาแล้วตกเก้าอี้ เขาไม่พอใจ นี่แค่กรรมนิดเดียวเองนะ แล้วกรรมที่ศิษย์ไปด่าคนไม่ระวังล่ะ แล้วกรรมที่ศิษย์ไปกินเขาล่ะ ไหวไหม แล้วถ้าเขามาขอทวงคืนล่ะ ไม่เป็นไรอาจารย์ เดี๋ยวศิษย์ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศล บางทีเขาไม่รอศิษย์ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลนะ เขากลับมาเอาศิษย์เลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ขอให้ทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดี คิดถึงธรรม ทำอย่างคนซื่อตรงไหม ทำอย่างคนมีธรรมไหม และทำแล้วอย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ได้หรือไม่ (ได้)  แล้วเราจะได้ไม่ต้องมาชดใช้เวรกรรมที่ศิษย์เป็นผู้ก่อ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นขอให้รู้จักระมัดระวังตัวเองได้หรือไม่ อะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีจง (อย่าทำ)  อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีจงพยายาม (ทำ) 
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ก่อนอาจารย์กลับ อะไรไม่ดีที่เราไม่ควรทำเลย และอะไรดีๆ ที่เราควรจะทำบ่อยๆ (กรรมชั่วไม่ควรทำ ควรทำแต่กรรมดี, ความคิด) ความคิดเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องรู้เท่าทัน ฉะนั้นมีอะไรมากระทบจงมีสติรู้ทันความคิด ไม่ปรุงแต่ง รู้ตรงๆ รู้ซื่อๆ รู้แล้วปล่อยมันไป เพราะสรรพสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยที่เราไม่ต้องพยายามไปกดมันเลย ขอแค่เวลาโดนกระทบอย่าปรุงแต่ง เขาตีฉัน เขาด่าฉัน เขาทำร้ายฉัน ขอแค่รู้ตรงๆ ซื่อๆ ไม่โกรธ แค่กระทบ แล้วก็จะจบไปเอง นึกออกไหม ยังนึกไม่ทันใช่ไหม เหมือนเวลาอาจารย์ตีแบบนี้ เจ็บไหม (เจ็บแล้วก็หายไป) มันจบไปแล้ว แต่ความคิดเราไม่จบ ถูกไหม ธรรมะสอนให้อยู่กับปัจจุบันขณะ แต่มนุษย์ชอบเอาความโกรธในอดีตมาลาก แล้วก็เคืองแค้นคนที่ตี ทั้งที่จริงๆ จบไปแล้ว แต่ความคิดเรามันไม่จบ เขาเรียกว่า เขาตีเราแค่หนึ่งที แต่ความคิดของเราไม่ยอม เหมือนถูกตีหลายๆ ที ใช่ไหม ศึกษาเยอะๆ จะได้เข้าใจ มีอะไรอีก (คิดก่อนทำเสมอ, ไม่ควรใจร้อน)  ฉะนั้นขอให้ใจเย็นๆ
(ให้มีสติ)  ขอให้มีสติ ฉะนั้นเวลาโดนอะไรกระทบก็ยังมีสติ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วมันก็จบแล้ว
(รู้จักไม่โลภ)  ทำได้ไหม คนที่จะทำได้ก็ต่อเมื่อ รู้พอ รู้พอก็พบสุข ที่เหลือก็คือกำไรชีวิต แต่ถ้าไม่เคยพอ หาเท่าไรมันก็ไม่มีสุข จริงไหม ทำให้ได้นะ
(เดินสายกลาง คิดดีทำดี ทำให้จิตใจบริสุทธิ์)  แต่บางครั้งก็อย่ายึดติดดี จนทำให้รับเรื่องร้ายไม่ได้ การเดินสายกลางคือยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิด มันจะดีจะร้ายก็ยอมรับความจริง ใช่หรือไม่
(เราควรตั้งสติก่อนที่เราจะทำอะไรทุกเมื่อ)  ตั้งสติระลึกเสมอว่า สิ่งที่ทำเมตตาไหม จำไว้ว่าเวลาจะทำอะไรเมตตาไหม ถ้าไม่เมตตา อย่าทำ ถ้าไม่ซื่อตรงอย่าทำ เอาแค่สองอัน สติ เมตตา (ต้องตั้งสติยึดมั่นในความเมตตาและความซื่อสัตย์)  ทำให้ได้นะ
(มีสติสัมปชัญญะที่เพียบพร้อมมั่นคง แล้วก็ทำใจให้นิ่ง ปล่อยวางทุกอย่าง)  ปล่อยวางทุกอย่าง อย่างนั้นแปลว่าอะไรก็ไม่ทำเลยใช่ไหม ไม่ใช่นะ จงรู้ว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป บางทีเราไม่ต้องพยายามไปยึดอะไร มันก็จบของมันไปเอง แต่บางทีเรามักจะไม่ค่อยยอมจบอะไรง่ายๆ สงบแปลว่ายอมจบ วุ่นวายแปลว่าไม่ยอมจบ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
(รู้เท่าทันความคิดและจิตใจของตัวเอง)  รู้เท่าทันความคิดและจิตใจของตัวเอง ต้องฝึกนะ ฝึกทุกวันที่ใจเราโดนกระทบ อารมณ์คือสิ่งที่กระทบ ฉะนั้นถ้าเกิดอารมณ์แปลว่ามากระทบแล้วเรารับไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเรารู้เท่าทันก็แค่ ยอมรับแล้วก็ตั้งสติ ใช่หรือไม่ ทำให้ได้นะ ใจเย็นๆ เข้าไว้
(คิดดี ทำดี มีเมตตา) คิดดี ทำดี มีเมตตา ให้ได้อย่างนั้นจริงๆ นะ
(เป็นศิษย์ที่ดี และกตัญญู)  เป็นศิษย์ที่ดีและมีความกตัญญูรู้คุณ ทำได้นะ ไม่แอบนินทาอาจารย์ ใช่หรือไม่
(การมองโลกไปตามความเป็นจริง ไม่ใส่ร้ายปรุงแต่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเรามากจนเกินไป อย่างเช่นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ก็จะทำให้เราทุกข์ใจ มองโลกในแง่ดีเกินไปก็จะทำให้เรายึดติด)  ฉะนั้นมองตามความเป็นจริง อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ แม้จะต้องสูญเสีย แม้จะต้องพลัดพราก แม้จะต้องเจ็บปวด พูดง่ายแต่ทำไม่ง่ายเลยนะ ใช่ไหม เพราะความจริงมีหลายบทเรียนที่เราจะต้องเรียนรู้ และบทเรียนนั้นคือชีวิตนะ มีพบก็มีพราก ฉะนั้นทุกครั้งที่มีสุข อย่าลืมความทุกข์
(มีความจริงใจ)  เกิดเป็นคนต้องมีความจริงใจ จริงใจหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความซื่อสัตย์ ซื่อตรง
(อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ใช้สติควบคุมแล้วแก้ปัญหาให้ถูกต้อง) แค่ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ขอบคุณแล้ว ก็รู้สึกดีแล้ว แม้สิ่งที่เกิดนั้นมันจะทำให้เราสูญเสียก็ตาม จำไว้นะศิษย์เอ๋ย (ความดี สติ สมาธิ ความมีเหตุมีผล)  อาจารย์อยากจะบอกให้นะศิษย์ คำว่าเหตุผลทุกคนก็มีเหตุผล แต่บางครั้งเหตุผลอาจทำให้เราตัดสินใจอะไรได้ไม่เที่ยงเท่ากับความเป็นจริงแห่ง
สัจธรรม เพื่อนก็มีเหตุผล ศิษย์ก็มีเหตุผล แล้วเหตุผลใครควรยอมล่ะ
(ใช้สมาธิ สติก่อน)  มองตามความเป็นจริง การคิดตามเหตุผลบางครั้งก็เข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
(ควบคุมความรู้สึกตัวเองให้ได้) ทำให้ได้นะ
(สิ่งที่ควรทำคือกตัญญูต่อพ่อแม่ สิ่งที่ไม่ควรทำคือลดความอยากของตัวเราเอง)  ถึงเวลาอย่าลืมคำพูดตัวเอง ถ้าทำได้ก็นับว่าประเสริฐแล้ว
(สิ่งที่ดีกับสิ่งที่ไม่ดี)  อย่างเช่น เห็นใครได้ดี อิจฉาริษยาควรไหม (ไม่ควร)  เห็นใครได้ดีแอบนินทาว่าร้าย ควรไหม (ไม่ควร)
(ควรปล่อยวาง)  ควรปล่อยวางหรือ อาจารย์ว่าสู้ยินดีกับเขา มีสุขกับเขานั่นประเสริฐกว่านะ ใช่ไหม
(ไม่ควรมองใครว่าสวยกว่าหรือขี้เหร่กว่าตัวเอง, คิดดี ทำดี ประพฤติดี ปฏิบัติดี) สิ่งที่จะช่วยโน้มนำความคิดให้ไม่ไหลไปทางผิดได้ก็คือ คุณธรรมและความจริง ที่เรียกว่าสัจธรรม
(ให้มีปัญญาศรัทธาในสิ่งหนึ่ง)  ขอให้ศรัทธาในความเป็นจริงและเชื่อมั่นในความเป็นจริงที่มันอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน และความจริงนี้เราก็หนีไม่พ้น คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า เราหนีไม่พ้น ขอแค่เพียงเข้าใจก็จะไม่ทุกข์กับมัน ใช่ไหม
(ไม่กินเหล้า ไม่เที่ยวเตร่)  แล้วหัวหน้าของอาจารย์กินเหล้าไหม (ทานบ้าง)  แล้วควรจะกินไหมตอนนี้ (พยายามจะหยุด)  หยุดเลยดีกว่านะ เพราะเวลาเรากินเหล้า เรากินเหล้าหรือเหล้ากินเรา (เหล้ากินเรา)  ก็รู้นี่ใช่หรือไม่ เวลากินแล้วมันหยุดได้ไหม เคยไหมเป๊กเดียว (บางทีสักเป๊กก็ไม่อยู่เลย)  แล้วถ้าเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมามันคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  ฉะนั้นอย่าไปกินมันดีไหม  (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์บอกบุญได้ไหม (ได้) 
(ไม่ควรยึดติดเพราะว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา)  ปรบให้ศิษย์ท่านนี้หน่อยนะ ตอบได้ดีมากเลยนะ ไม่เสียทีที่อาจารย์พูดมาตั้งเยอะ
(พระอาจารย์เมตตากับหัวหน้าชั้น)
หัวหน้ารู้เรื่องหรือยัง (รู้แล้ว)  ถ้าอย่างนั้นถ้าอาจารย์ขอบิณฑบาตต่อไปศิษย์จะกินเหล้าไหม (ไม่กิน)  อย่างนั้นรับแอปเปิลไหม (รับ)  รับแปลว่าจะไม่กินใช่ไหม (ครับ)  ปรบมือให้หัวหน้าหน่อย ทำให้ได้นะศิษย์ ตอนนี้เหล้ามันกินศิษย์ ต่อไปเหล้ามันจะกินทั้งตัวแล้วทำให้ศิษย์ตายและเวียนว่ายไม่จบสิ้นนะ ทำให้ได้นะ รับปากแล้วถ้ากินแอปเปิลไปทำไม่ได้มันจะเป็นพิษนะ แต่ถ้ารับปากอาจารย์แล้วกินแอปเปิลไปแล้วทำได้ แอปเปิลนี้จะเป็นยาเอาไหม (เอา)  อย่างนั้นถ้าเพื่อนชวนดื่มสักกรึ๊บหนึ่งเอาไหม (ไม่เอา)  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย ใครอยากได้แอปเปิลแบบนี้บ้าง
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่ออกมานำร้องเพลง)
ได้แอปเปิลแล้วใช่ไหม ไม่เหมือนกันนะลูกนั้นกับลูกนี้ เอาแล้วทำให้ได้นะ รักษาสัจวาจายิ่งชีวิต ถ้าทำได้ก็เป็นมงคลกับชีวิตศิษย์เอง มีใครจะเอาแอปเปิลอีกไหม ทำได้ใช่ไหมศิษย์ มั่นใจนะ อย่าลืมชวนเขาไปอัดเพลงนะ แอปเปิลลูกนี้ไม่เหมือนลูกนั้นนะ ลูกนั้นมีโอกาสเอาไปผูกบุญให้กับคนอื่นเพื่อสร้างบุญต่อ แต่ลูกนี้กินเพื่อรักษาดูแลตัวเองนะ ลูกนั้นมีโอกาสเอาไปสร้างบุญต่อให้กับคนที่มีคุณ ทำให้ได้นะศิษย์ มีใครอีกไหม ถ้าไม่มีอาจารย์กลับแล้วนะ
ฝ่ายหญิงกินเหล้าไหม (ไม่กิน)  เบียร์กินไหม (ไม่กิน)  การพนันเล่นไหม (ไม่เล่น)  หวยล่ะ เปลี่ยนจากเล่นหวยเป็นเก็บเงินดีกว่านะ
อย่างนั้นวันนี้อาจารย์กลับดีกว่านะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกครั้ง ขอให้ศิษย์อย่าทิ้งโอกาสของตัวเองก็พอ ขอให้มุ่งมั่นบำเพ็ญ การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก แค่รู้จักเข้าใจชีวิต เข้าใจธรรม ธรรมไม่ได้สอนเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ธรรมสอนให้เรารู้จักมองโลกตามความเป็นจริง โดยการรู้ เท่าทันกายใจของตนว่ากายใจของตนนี้ต้องวางใจให้เป็นกลาง ไม่ว่าอะไรมากระทบ ไม่ว่าอะไรมาทำให้สะเทือนใจ ก็ขอให้รักษาใจเป็นกลาง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มองให้ถึงที่สุด ไม่มีใครน่าเกลียดในโลกนี้ มองให้ถึงที่สุด ไม่มีใครน่ารักหรอกในโลกนี้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลกนี้ เราจะอยู่บนโลกได้อย่างไม่ทุกข์ ถึงจะทุกข์ขนาดไหนก็เข้าใจและไม่ทุกข์กับมัน อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจธรรมตรงนี้ เพื่อเอามาใช้ในชีวิต เวลาเจอเรื่องหนักๆ จะได้รับได้ ก้าวต่อไป เพราะชีวิตยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บ และความตาย ศิษย์รับได้ไหม ศิษย์พร้อมหรือเปล่า ถ้าเกิดความตายนั้นมาถึง ศิษย์ดีหรือยัง ถ้ายังไม่ดีพอตายไปก็ตกนรก ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ถ้ายังไม่ดีอย่าเพิ่งตาย รักษาตัวเองให้รอดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้ดียิ่งขึ้น ดีไหม (ดี)  เพราะนรกมีคนเต็มแล้ว สวรรค์ไม่มีใครเลย ใช่ไหม (ใช่)  แอบไปมาแล้วหรือ สวรรค์จะมีที่สำหรับคนที่ทำดีโดยไม่หวังผล แต่ถ้าทำดีแล้วขอผลอีก สวรรค์ก็ทำให้เรากลายเป็นสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดได้
ทำดีอย่าหวังแค่สวรรค์ ถ้าหวังสวรรค์ก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ฉะนั้นทำดีต้องหวังพระนิพพานเลย ไม่ยึดติด ไม่มีตัวตน นั่นแหละที่ที่สุขที่สุด ไปให้ถึงนะศิษย์เอย ดูแลชีวิตตัวเองให้ดี อย่าหลงผิด หลงพลาด เพราะตอนนี้ศิษย์อยู่ในการควบคุมของอาจารย์ แต่ถ้าพ้นไปจากนี้ ศิษย์ต้องดูแลตัวเอง เพราะชีวิตพลาดครั้งหนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ปล่อยนะ ศิษย์ทำเขาขนาดไหน เขาก็เอาคืนมากกว่าขนาดนั้น และถ้าทำศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็จะทำคนที่ศิษย์รักที่สุดให้เจ็บปวด ศิษย์อยากได้แบบนั้นหรือ (ไม่)  ฉะนั้นก่อนจะทำร้ายใคร ก่อนจะพูดอะไร ก่อนจะคิดทำอะไร ขอให้ไตร่ตรองให้ดี อย่าสร้างบาป อย่าสร้างกรรม อย่าเบียดเบียนใคร และอย่าเอาชีวิตใครมาบำรุงบำเรอชีวิตเราเลย ได้ไหมศิษย์เอย (ได้)
ศึกษาธรรมเพื่อฝึกเมตตาจิต กลับสู่หนทางธรรมอันเดิมแท้ ที่ศิษย์ทอดทิ้งมานาน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ อย่าไปผูกใจเจ็บ อย่าจองเวรจองกรรมเลย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นแล้วก็จบ แต่คนที่ไม่จบคือใจของเราใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่จบมันก็เจ็บ แต่ถ้ายอมจบมันก็ไม่เจ็บ จริงไหม


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา