西元二○一六年歲次丙申三月二十四日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
ไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้ ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามสัจธรรม
แม้ฟ้ามืดลงต่ำจงมีธรรม เมื่อเผชิญชะตากรรมธรรมเตือนใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ก่อนเป็นเพชรถูกเจียระไนไม่ถนอม เป็นเบ้าหลอมถูกทองสมประโยชน์
ต่างพอดีจึงเป็นก้าวกระโดด จิตวิโรจน์พิสุทธิ์หากคนเคร่งครัด
ออกแรงขัดการหยุดไม่ทุเลา จิตเกลี้ยงเกลาเพราะยากเข็ญขนาด
รู้หรือไม่ความล้ำค่าต้องปฏิบัติ เรื่องสารพัดพานพบดั่งกรวดเศษ
บำเพ็ญดั่งควรเป็นคงได้เป็น ชีวิตเห็นทั่วทั่วหินหยกเพชร
อย่าหลงเข้าไปในเหล่ากิเลส อารมณ์เจ็ด[๑]หลงก็บังดวงตา
ชีวิตคนดุจแค่หนึ่งก้านธูป ยึดติดรูปนามลวงเสียเวลา
หากมิใช่ปัญญาตาแห่งฟ้า หลายปัญหาอัตตาใจลวงหลอกตน
เป็นคนอย่านิสัยอารมณ์เป็นใหญ่ มีทิฐิที่สูงไประวังหล่น
มีสติไม่มีธรรมย่อมสับสน หรือเป็นคนจนใจไม่บำเพ็ญ
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
วันนี้ฟังธรรมะด้วยความเข้าใจหรือฟังธรรมะด้วยความอดทน (เข้าใจ) ถ้าใช้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องใช้ความอดทน แต่ถ้าพยายามใช้ความอดทน เราจะไม่เข้าใจ เช่นเดียวกัน เมื่อใดเราใช้ความอดทนเมื่อนั้นเราจะไม่เข้าใจใคร แต่ถ้าเมื่อใดเราใช้ความเข้าใจเราจะไม่ต้องอดทนอะไรกับใครเลยจริงหรือไม่ (จริง) ที่ตอบว่าจริง ใช้ความอดทนหรือความเข้าใจ (เข้าใจ) ไม่จริง เพราะที่แล้วมามีแต่ใช้ความอดทนกับคนใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เข้าใจอะไรก็อดทนไว้ อดทนไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันวันนี้เราฟังธรรมะ ถ้ายิ่งฟังแล้วเรายิ่งอดทนมากเท่าใด แปลว่าเราไม่คิดที่จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น ถ้ายิ่งฟังแล้วต้องยิ่งอดทนมากๆ แปลว่าเราไม่เคยยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่เคยยอมรับเลย เราแค่อดทนไว้ อดทนไว้ และเราก็ไม่เคยเปิดใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลยใช่หรือไม่ ถ้าเปิดใจต้องอดทนไหม (ไม่อดทน) ยิ่งถ้าเปิดใจยอมรับมากเท่าไร คำว่าอดทนจะไม่มีเลย แต่ถ้าเราปิดใจ นั่นแหละเราต้องอดทน ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเช่นนั้นวันนี้ท่านจะอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจหรือจะอยู่ร่วมกันอย่างพยายามอดทนอดกลั้น อะไรอยู่ได้นานกว่า (อยู่ด้วยความเข้าใจ) และอะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขกว่า (ความเข้าใจ) แล้วไยอยู่ข้างนอกจึงใช้แต่คำว่าอดทน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ไม่มีใครหรอกที่อยู่ในโลกนี้แค่มองเห็นแล้วเข้าใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง ต้องค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้กันไป แต่ต้องเปิดใจสักนิดหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่ไม่ทันไรก็เอาแต่อดทน ฉะนั้นถ้าบอกว่าตัวท่านลำบาก ไม่ต้องห่วง มีเรามาร่วมลำบากดีไหม (ดี) คงยินดีต้อนรับเราบ้างไม่มากก็น้อยนะ อย่าพึ่งตั้งแง่รังเกียจกันเลยดีไหม เราอยู่ในโลกใครๆ ก็อยากให้คนรักไม่ใช่หรือ ไม่อยากให้ใครเกลียดเราไม่ใช่หรือ แต่ทำไมบางทีเราชอบตั้งแง่รังเกียจคนอื่นก่อนจริงไหม (จริง) เหมือนคำพูดว่า “แค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตา”
“ไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้ ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามสัจธรรม
แม้ฟ้ามืดลงต่ำจงมีธรรม เมื่อเผชิญชะตากรรมธรรมเตือนใจ”
ภัยที่เกิดจากธรรมชาติเรายังพอหลีกหนีได้ แต่ภัยที่เกิดจากความคิดการกระทำของตน หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ก่อนจะกลัวผู้อื่นควรกลัวใจตัวเองก่อน ก่อนที่จะระวังคนอื่นควรระวังใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมตอบว่า “ใช่” ทันทีเลย แสดงว่าใจท่านน่ากลัวละสิ ถูกหรือไม่
จะมองเราหรือมองธรรมะดีนะ มองข้ามความเป็นคนไม่พ้นก็ไม่มีวันเห็นธรรมนะ
มีคำกล่าวคำหนึ่ง “จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต อย่าล้อเล่นกับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) พูดใหม่นะ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นทุกข์ จงดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท ถามว่าคนโดยส่วนใหญ่ในโลกนี้กลัวทุกข์ไหม (กลัว) เคยหาทางดับทุกข์ที่แท้จริงไหม หาแค่ความสบายใจแค่ชั่วคราวใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ทุกคนล้วนกลัวความทุกข์ แต่ใครสักคนหนึ่งไหมที่หาการพ้นทุกข์ที่แท้จริง มนุษย์หาทางดับทุกข์แค่ไปหาความสุขแค่ชั่วคราว ไปหาความสบายใจ กราบพระเสร็จก็พอแล้ว แต่ถึงเวลาก็กลับมาทุกข์ไหม เหมือนไปกราบพระแต่เอาทุกข์ให้พระได้ไหม ทุกข์ก็ยังแขวนอยู่ที่ใจใช่หรือเปล่า ดังคำพูดที่ว่า “มนุษย์ไม่กลัวปัญหาแต่มนุษย์เหนื่อยกับการแก้ปัญหา” ใช่หรือไม่ (ใช่) ควรดับปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา แต่เรากลับไม่ดับที่ต้นเหตุของปัญหา เราดับที่ปลายเหตุ รอให้ปัญหามันตกผลแล้วเราค่อยไปแก้ เหมือนกันถ้ามนุษย์กลัวทุกข์ที่แท้จริงไยจึงไม่หาทาง ไยจึงเอาแต่ทุกข์และหาทางสบายใจแค่เพียงชั่วคราวเล่า
ฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้อย่างหนึ่งว่า “การเกิดเป็นมนุษย์เป็นภพภูมิที่ประเสริฐ เป็นภพภูมิที่สามารถพ้นทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้ด้วยตัวเอง แต่มนุษย์กลับดูถูกคุณค่าตัวเอง” ดังคำกล่าวว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ คนไม่เห็นคุณค่าตัวตนเอง ชอบหวังพึ่งข้างนอกเพื่อดับทุกข์ข้างใน” จริงหรือไม่ (จริง) ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วทุกข์ที่ข้างนอกหรือทุกข์ที่ข้างใน (ข้างใน) ทุกข์ที่ไหน (ที่ใจ) แล้วเราไปหาทางแก้ที่ข้างนอกแล้วเราจะแก้ที่ใจได้ไหม ซึ่งก็แก้ไม่ได้ใช่หรือไม่
เรามีดินแดนอยู่สองดินแดนให้ท่านเลือก ดินแดนหนึ่งคืออยากได้อะไรก็สมดังใจนึก กับอีกดินแดนหนึ่งไม่มีอะไรเลย เลือกดินแดนไหน
ใครเลือกดินแดนที่อยากได้อะไรก็ได้ดั่งหวัง ยกมือขึ้น ใครเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ยกมือขึ้น แล้วที่ไม่เลือกอะไร แปลว่าอย่างไรหรือ อยู่ตรงกลางปลอดภัยที่สุดใช่ไหม ไม่ถูกว่าผิดหรือถูกใช่ไหม (ใช่) แบบนี้เขาเรียกว่าเอาตัวรอดนะ ใครเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ถึงเวลาไม่เห็นทำได้อย่างที่พูดเลย เห็นอะไรก็อยากมี อยากได้ อยากเป็นไปหมด จริงไหม (จริง) ขอให้ท่านจำไว้อย่างหนึ่ง อย่าอยากมี อย่าอยากเป็น เพราะถ้าอยากมี อยากเป็นแล้ว ท่านจะหาทางพ้นไม่เจอ นั่นคือ ความทุกข์
ถามว่าอยากมีไหม (ไม่) อยากเป็นไหม แต่ทำไมเวลาความทุกข์มา
ทีไรถึงเป็นทุกข์ทุกที ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในดินแดนที่ไม่ต้องมีอะไร ไม่อยากอะไร เราต้องถามใจตัวเองก่อน ใจอยากอย่างหนึ่งแต่จริงๆ กลับกระทำอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยากเปลี่ยนชีวิต อยากเปลี่ยนชะตากรรม ไม่ใช่ไปให้หมอดูแก้ แต่มันต้องแก้ที่ความคิด นิสัย การกระทำของตน ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ในที่นี้กลัวทุกข์ไหม กลัวเคราะห์ไหม แล้วระหว่างที่กลัวทุกข์กับเคราะห์ กลัวอะไรมากกว่ากัน (ทุกข์) แต่เราว่ากลัวเคราะห์มากกว่าทุกข์นะ เมื่อเขาบอกว่าเราเคราะห์ร้ายรีบไปแก้ แต่เมื่อเรามีทุกข์เรารีบแก้ไหม (ไม่) แล้วทำไมถึงคิดว่าตนเองจะเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ในเมื่อท่านยังไม่เข้าใจว่าตัวเรานั่นเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งมวล ถึงแม้เราอยากอยู่ในดินแดนที่ไม่ต้องมีอะไร แต่ถ้าการปฏิบัติเป็นอีกสิ่งหนึ่งเราก็คือคนที่ทำร้ายตัวเองจริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราจะทำอย่างไร เราจึงจะสามารถอยู่ในดินแดนแห่งความไม่มีได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนอยากที่จะมี อยากจะได้และอยากจะเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนง่ายๆ ว่า แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา ง่ายไหม (ง่าย) ทำได้ไหม (ไม่ได้) ทำไม่ได้เพราะอะไร เหมือนตอนนี้ขาของเราใช้ไม่ได้ เป็นคนที่พิการ แต่เราพิการแค่กาย ใจไม่พิการ เราเจ็บแค่ขาแต่ใจไม่เจ็บ นี่แหละแค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา แล้วท่านทำได้ไหม
ถ้าอย่างนั้นเราจะบอกให้ท่านรู้ว่า ขึ้นชื่อว่าตัวมนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าสังขาร แล้วในสังขารมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าใจ และในใจมีอีกสิ่งหนึ่งที่ลึกลงเข้าไปอีกคือจิต หรือถ้าเรียกให้เป็นธรรมะหน่อยก็คือ พุทธจิตธรรมญาณเดิม ฉะนั้นสังขารเป็นสิ่งที่หนีความแก่ได้ไหม (ไม่ได้) หนีความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้) หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) หนีความทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเจ็บแค่สังขารอย่าเจ็บใจ ทุกข์แค่กายอย่าทุกข์ใจ ถูกหรือไม่ (ถูก) สังขารเจ็บได้ แต่ใจอย่าเจ็บ ยากไหม (ยาก)
ถ้าใจของเรา หรือจิตของเรายังยึดกับความต้องมี ต้องเป็น ต้องได้ เราจะหนีไม่พ้นสัจธรรมที่เรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย และความทุกข์ ความไม่เที่ยง และความว่างเปล่า ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเรามองว่าสังขารนี้เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความว่างเปล่า มีใครหนีความแก่ได้ไหม หนีความเจ็บได้ไหม หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นถ้าเรายอมรับ เข้าใจ จะทำให้เราทุกข์ไหม (ไม่) แต่ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราแก่ เราทุกข์ไหม (ทุกข์) ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราเจ็บ เราทุกข์ไหม (ทุกข์) ทุกข์ทั้งกายและทุกข์ทั้งใจ แล้วเราเป็นแบบ
นั้นไหม ยอมรับไหมว่าเราขี้เหร่ ยอมรับไหมว่าเราโง่ (ยอม) ฉะนั้นก็คิดเสียว่าเป็นแค่กายไม่ใช่เป็นที่ใจ เป็นที่สังขารไม่ใช่เป็นที่จิตเดิมแท้ สังขารต้องการที่อยู่ สังขารต้องการคนดูแล สังขารต้องการความเอาใจใส่ แต่จิตเดิมแท้ที่เรียกว่าสภาวะธรรม ไม่ต้องการคนดูแล ไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการการเอาอกเอาใจ เพราะเป็นสภาวะธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้า ดินและผู้คน จึงยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงจิตเดิมแท้ยังยึดติดในตัวตนที่เรียกว่าสังขาร ก็จะหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่าย เพราะมีตัวตนจึงมีกิเลส เมื่อมีกิเลสจึงมีวิบากกรรม เมื่อมีวิบากกรรมจึงมีการเวียนว่ายตายเกิดชดใช้หนี้เวรกรรม แต่ถ้าเกิดทุกครั้งที่เราดำเนินชีวิตล้วนทำไปเพื่อหน้าที่และปล่อยวาง ทำไปตามหน้าที่ และความถูกต้องชอบธรรม และปล่อยวางไม่ยึดมั่น เราจะมีตัวตนให้ยึดถือไหม (ไม่)
ฉะนั้น มนุษย์จึงเห็นแต่สังขารแต่ไม่เคยเห็นถึงจิตเดิมแท้ ถ้าเราเข้าถึงจิตเดิมแท้ว่า จิตเดิมแท้คือสภาวะธรรม สภาวะธรรมไม่ต้องการคนยึดมั่นถือมั่น จึงยิ่งใหญ่ จึงอเนกอนันต์ จึงไร้การยึดติดครอบครอง ใช่ไหม (ใช่) จึงไม่มีมาไม่มีไป ใช่ไหม (ใช่) แต่ไม่เข้าใจใช่ไหม อย่างนั้นเรายกตัวอย่างง่ายๆ ท่านเคยเห็นต้นไม้ไหม (เคย) มีต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ของเราเลย ต้นไม้จะเกิด จะตาย เราจะเดือดร้อนไหม ต้นไม้จะถูกแมลงกิน หรือต้นไม้ตกผลแล้วคนแย่งเอาไปกิน ถ้าไม่ใช่ต้นไม้ของเรา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ทำไมล่ะ (เพราะไม่ใช่ของเรา) ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าสังขารนี้เป็นของเรา หล่อ สวยเพื่อสังขาร ดูดีเพื่อสังขารใช่ไหม (ใช่) แล้วเราก็หลงในสังขาร ใช่ไหม (ใช่)
พอสังขารเจ็บ ใจก็ (เจ็บ) พอสังขารทุกข์ ใจก็ (ทุกข์) ทั้งที่จริงๆ แล้วสังขารเป็นของดิน น้ำ ลม ไฟและธรรมชาติ หาใช่ของเราไม่
ฉะนั้นพระพุทธจึงสอนง่ายๆ แค่รู้ไม่จำเป็นต้องเป็น แค่เห็นทุกข์ไม่จำเป็นต้องเอามาทุกข์ แต่มนุษย์กลับทำไม่ได้ น่าเศร้าไหม (เศร้า) แล้วก็จมอยู่ในความทุกข์ เหมือนเราถามว่า ถ้าคิดแล้วทุกข์ คิดไหม (ไม่คิด, คิด) คิดแล้วแย่คิดไหม เพราะความคิดเป็นต้นเหตุของการเกิดภพภูมิที่เรียกว่าตัวตนแห่งสังขาร เมื่อมีคิดจึงมีตัวรูป มีภพ ชาติ ชรา มรณา เหมือนกับเคยได้ยินไหมว่า “ถ้าเข้าใจไยต้องขบคิด ถ้าขบคิดแปลว่ายังไม่เข้าใจ” ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเราพูดง่ายๆ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นอะไร (สอง) คิดไหม (ไม่คิด) แทบจะไม่ต้องคิดก็ตอบได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหนึ่งบวกหนึ่งบวกสี่บวกห้า หารหกหารเจ็ดเท่ากับเท่าไร ต้องคิดไหม (คิด) ก็แค่ตอบง่ายๆ ว่าตอบไม่ได้ ยากหรือ บางครั้งมนุษย์ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก เพราะยอมแพ้ไม่เป็น ผิดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า อยากหยุดทุกข์ อยากเอาชนะทุกข์ อยากพ้นทุกข์ ขอแค่รู้ ไม่ใช่รู้เขา แต่รู้เรา ทำได้ไหม (ไม่ได้) ก็ไม่ได้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ก็เลยทำไม่ได้ อย่างที่เราบอก เกิดเป็นคน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ คือภพภูมิที่ประเสริฐที่สุด แม้เทวดาก็ยังอยากเกิดเป็นมนุษย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์สามารถสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ได้ การฟังธรรมก็เป็นการสั่งสมบุญบารมีเหมือนกันนะ แล้วยิ่งถ้าฟังแล้วเกิดปัญญา บุญบารมีนั้นก็ยิ่งจะยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ถ้าฟังแล้วโง่งมก็คือทำร้ายตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์อยากพ้นทุกข์ แต่เมื่อตัวเองทำไม่ได้แล้ว ก็เลยพึ่งพระ พึ่งอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่) เราถามนะว่า การพึ่งคน คนมีวันเปลี่ยนแปลงไหม (มี) มีวันไม่ดีไหม (มี) ถ้าอาจารย์ที่เราไปพึ่งเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์ ถ้าเขาไม่ดีเราก็เลยเสียศรัทธาในธรรม ช่างน่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินเรื่องพระอานนท์ไหม (เคย) พระอานนท์ตามพระพุทธเจ้ากี่ปี ตามจนพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์สำเร็จไหมทำไมไม่สำเร็จล่ะ ฟังก็มาก เพราะอะไร เพราะมัวแต่พึ่งพระพุทธองค์จนลืมพึ่งตัวเอง เพราะมัวแต่จะช่วยคนอื่นจนลืมช่วยตัวเอง มีพระองค์หนึ่งชื่อว่า พระวักกลิ หลงในรูปพระพุทธองค์มาก หลงในรูปลักษณะของท่านมาก เห็นแล้วชอบ สง่า ดู
เปล่งปลั่งรัศมีจังเลย ชื่นชมในตัวพระพุทธองค์ทุกๆ วัน วันไหนไม่เห็นพระพุทธองค์วันนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ จนวันหนึ่งพระพุทธองค์กล่าวกับพระวักกลิว่า “อย่ามัวแต่มองในรูปของเราเลย เพราะในรูปนี้ล้วนเน่าเปื่อยและไม่เที่ยง ไม่สามารถหาธรรมะแท้ในตัวเราได้ แม้เธอจะจับจีวรของเราแล้วเดินตามไปจนถึงที่สุดเธอก็ไม่สามารถพบธรรมได้” แต่ธรรมที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ที่ตัวพระพุทธองค์ แต่อยู่ที่ตัวของท่านทุกคน
ผู้ใดพบธรรม ผู้นั้นพบตถาคต ฉะนั้นอย่ามัวแต่มองออกเลย จงค้นหาธรรมในตน ธรรมนั้นจะทำให้ท่านตื่นรู้และเข้าถึงตถาคตได้ด้วยการมีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ดังคำกล่าวไว้ว่าอวิชชาก่อเกิดเป็นตัณหาอุปทาน ความไม่รู้ก่อเกิดเป็นความหลง ความอยาก ความยึดติด แต่ความรู้จะพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ แล้วรู้อะไร รู้ใจตัวเองใช่ไหม รู้ทุกขณะที่แม้กระทั่งคิด ถ้ารู้ทันแม้ขณะที่กำลังคิดและหยุดความคิดได้ นั่นก็หยุดภพ ชาติ ชรา มรณา และการเกิดแห่งตัวตนได้ จริงไหม (จริง) รู้ด้วยสติเท่าทันความคิด เพราะถ้ายังคิด ยังไม่เข้าใจแต่ถ้าเข้าใจ ไม่ต้องคิด เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม รู้รักษาใจให้ปกติ เรียกว่า ศีล รู้แล้วรักษาใจให้มั่นคง เรียกว่า สมาธิ รู้แล้วกระจ่างแจ้ง เรียกว่า ปัญญา เราเคยรู้แล้วจิตปกติไหม แต่เรามักรู้แล้วมีอารมณ์ ตัดสินดี ไม่มี รู้แล้วต้องมีเขามีเรา ใช่ไหม (ใช่) รู้แล้วเป็นตัวตน รู้แล้วเป็นกิเลส ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ที่เรียกว่า ทุกข์ บาป เวร กรรม แต่ถ้ารู้ นิ่ง วาง รู้ มั่นคง กระจ่างแจ้งและปล่อยวาง นี่แหละที่เรียกว่า หยุดการเกิด ไม่เกิดอีกแล้ว ตายตอนที่ถูกกระทบ ตายตั้งแต่ยังไม่ทันคิด แต่มนุษย์ชอบสร้างเหตุ โลภแล้วค่อยไปให้ทาน โกรธแล้วค่อยไปนั่งสมาธิ เหมือนที่เราพูดตั้งแต่ต้นว่า มนุษย์ไม่กลัวปัญหาแต่เหนื่อยกับการแก้ปัญหา มนุษย์กลัวทุกข์แต่ไม่หาทางดับทุกข์ ฉะนั้นคำว่านิ่งจนสะท้อนเงา ก็ยังมีสิ่งที่ให้ฝุ่นลงจับ แต่ถ้านิ่งจนไม่มีอะไรให้สะท้อน ฝุ่นจะลงจับอะไร
มนุษย์มักจะพูดบอกว่าต้องจิตนิ่งเพื่อสะท้อนความเป็นจริง ถ้ายังต้องสะท้อนนั้นแปลว่ายังมีที่ให้ฝุ่นเกาะ ดังที่ท่านเว่ยหล่างกล่าวไว้ว่า “กระจกก็ไม่มี ต้นโพธิ์ก็ไม่มีแล้วฝุ่นจะเกาะอะไร” เฉกเช่นเดียวกันจิตเดิมแท้ไม่มีตัวไม่มีตน แต่มนุษย์หลงผิดยึดติดในสังขาร ติดในใจที่ตัวเองสร้างนิสัยชอบแบบนั้น ชอบแบบนี้แล้วก็มาบดบังจิตเดิมแท้ แล้วก็สร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขอแค่รู้ ภพชาติหยุดทันที กรรมหยุดสร้างได้ทันที แต่เรารู้ไหม ฉะนั้นกฏเกณฑ์ของธรรมชาตินานาทั้งมวล ล้วนเริ่มต้นที่ใจและก็ต้องจบที่ใจ แก้คนอื่นไม่ได้ต้องแก้ที่ใจเรา เหมือนเราถามท่านว่า “ถ้าใจเราดีมองเห็นใครๆ ก็ดี” แต่ถ้าใจเราร้าย มองเห็นใครๆ ก็ไม่เห็นดีเลย ฉะนั้นเหมือนกัน ถ้าใจเราไม่มีอะไรเลย เราจะมองคนอื่นมีปัญหาไหม แต่ถ้าใจเรามีปัญหาคนอื่นก็เลยเป็นตัวปัญหา
เหมือนกันวันนี้ถ้าท่านเอาแต่มองเรา ท่านก็จะไม่เห็นธรรม เพราะมัวแต่ยึดติดคนจึงไม่เห็นธรรมในตัวบุคคล ยากไหม (ฟังง่าย) ฟังง่ายแต่ทำยากใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเราจึงอยากให้ท่านรู้ว่า อย่าเอาแต่พึ่งคนอื่นจนดูถูกคุณค่าแห่งความเป็นคน อย่าเอาแต่พึ่งพระพุทธะ จนลืมพระพุทธะในใจตน ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่จะทำให้เราทุกข์ก็คือตัวเราเอง คนที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ก็คือ (ตัวเราเอง) ใช่หรือไม่ (ใช่) ยืมมือของคนอื่น เขาก็ช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่ถ้าเรารู้จักพึ่งตัวเอง นำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ดีกว่าไม่ใช่หรือ (ใช่)
พระพุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ล้วนกล่าวไว้ว่า ธรรมแท้จริงไม่ใช่อยู่ที่คัมภีร์ ไม่ใช่อยู่ที่วัด แต่มีอยู่ในใจของทุกๆ คน แล้วธรรมที่ทำให้เราเข้าใจ และค้นพบธรรมได้นั่นคืออะไรรู้ไหม คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า ล้วนเรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วความเป็นเช่นนั้นเอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตถาคต จริงไหม ฉะนั้นผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต และธรรมที่พระตถาคตเห็นคืออะไร คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และถึงที่สุดจะดีจะร้ายอย่างไรก็แค่นั้นเอง และสิ่งที่ทำให้เราเห็น เข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตถาคต ฉะนั้นเมื่อไรเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง ก็คือเข้าใจความเป็นตถาคต เมื่อใดเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อนั้นก็เห็นตถาคต และเมื่อใดเห็นตถาคตเมื่อนั้นก็เห็นธรรม ยากตรงไหน
ยากตรงที่ไม่เคยมีสติจะมองเห็นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็เห็นความแก่ทุกวันใช่ไหม ยามตัวเองแก่เห็นไหม ยามตัวเองเจ็บเห็นไหม ยามตัวเองทุกข์เห็นไหม แล้วยึดทำไม แค่เห็นไยต้องเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่รู้ไยต้องเอา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราจะสรุปตอนท้าย ถ้าวันนี้มีสองทางให้เลือก ทางหนึ่งพบพระพุทธองค์ ทางหนึ่งพบทางดับทุกข์ เลือกทางไหน (ทางดับทุกข์) ขอดูหน้าคนเลือกทางดับทุกข์หน่อย ถึงเวลาจริงๆ ไปไหว้พระวัดสวยๆ ก่อน ไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง แต่มีเวลาไปเที่ยว ใช่หรือเปล่า เพราะการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติได้ทุกที่ที่ใจเราคิด คิดร้ายตกนรก คิดดีขึ้นสวรรค์ แต่พ้นจากความคิด พระพุทธะเรียกว่าพระนิพพาน ใช่ไหม แล้วเราถึงไหม
วันนี้ถ้าเรามาผูกบุญสัมพันธ์แค่สั้นๆ กับท่านได้ไหม (ได้) มากกว่านี้ก็ได้หรือ เราว่าใจท่านเริ่มรู้สึกจะรับไม่ไหว รู้สึกว่าฟังเยอะแล้วใช่ไหม
ไหวไหม (ไหว) ใจของมนุษย์กว้างจนหาที่สุดไม่ได้ แต่บางครั้งก็แคบจนเหลือเล็กนิดเดียว อยู่ที่ว่าสู้หรือไม่สู้แค่นั้นเอง เอาหรือไม่เอา ถ้าเอาอะไรๆ ก็ไหว ถ้าสู้ยังไงๆ ก็ไป เราให้โอวาทจบแล้วนะ เราสรุปง่ายๆ สั้นๆ ก่อนจากกัน
อย่าลืมว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีพุทธจิตธรรมญานเดิม อย่ามัวหลงกับสังขารจนลืมจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ต้องการเจ้าของ ไม่ต้องการที่อยู่ ขอแค่เพียงเข้าถึงสภาวะธรรมที่เป็นเช่นนั้นเอง แต่มนุษย์กลับกลัวการบำเพ็ญธรรมที่เดินไปสู่ความว่างเปล่า ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนมุ่งสู่ความตาย ที่เรียกว่าปล่อยวางและว่างเปล่าอันเป็นจริง ฉะนั้นถ้าไม่เรียนรู้ ฝึกฝน และมองให้เห็นธรรม ธรรมนั่นแหละจะกลับย้อนมาให้เราต้องรู้ ต้องเข้าใจ เหมือนขึ้นชื่อว่าชีวิต มีชีวิตใครบ้างไม่เปลี่ยนแปลงคงอยู่นิจนิรันดร์ ไม่เจ็บป่วย (ไม่มี) เมื่อถึงตอนนั้นค่อยไปทำใจ ทันไหม (ไม่ทัน) แล้วทำไมตอนนี้ไม่ฝึกไว้ล่ะ เจ็บกายไม่เจ็บใจ ทุกข์กายไม่ทุกข์ใจ
ฉะนั้นเราจึงเรียนรู้อีกว่า สติ คือ คุณธรรมอันอเนกอนันต์ ที่มีคุณค่ายิ่งนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงมีสติ แค่รู้อย่าเป็น แค่เห็นแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เท่านี้เองนะ ขอแค่ท่านเอาธรรมไป อย่าเอาตัวคนไป เจอเราเอาธรรมไป อย่าเอาตัวเราไป เพราะตัวเราไม่เที่ยงและมีทุกข์ อยากพบธรรมจึงต้องมีสติรู้เห็นธรรมในตัวคน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่าดูเบาธรรมในตนเอง ธรรมในตัวเรามีคุณค่าและนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระพึ่งเจ้า เพราะถึงที่สุดแล้วเราต้องพึ่งตัวเราเอง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนดีรู้ว่าตนผิดตรงไหน ไม่ว่าใครเพื่อให้ตนดีขึ้นหนา
เห็นเขาผิดย้อนมองตนพิจารณา ยามตนผิดจึงรู้ว่าเห็นใจกัน
*ชีวิตคือการแบกรับ กำชับในหัวใจ ปัญหาเข้ามามากมาย เรียนรู้ไว้สอนตน
บำเพ็ญธรรมจริงจริง บำเพ็ญใจเยี่ยงฟ้า เอิบอิ่มหัวใจ
บำเพ็ญธรรมทำไม คำตอบมาจากไหน ที่จิตของตน ให้ธรรมคลายทุกข์ทน ทุกข์ทนหรือกังวล จิตใจเป็นของตน ไม่จับไม่ฝืนตนทน ไม่บำเพ็ญ
ทำตัวตามสบาย ทำตัวตามสมัย ไม่กฎไม่เกณฑ์ ทำตัวตามจำเป็น บางทีก็ทะเล้น ขี้เกียจสนใจ เมื่อใดหยั่งรู้จริง ทุกสิ่งได้พบใจ เปลี่ยนตรงความเข้าใจ แล้วจะนิสัยเดิม ไม่มีทาง
**เหมือนกันกับทุกทุกวัน คล้ายผ่านอยู่ที่เดิม ไม่เบื่อกันบ้างหรือไร ถึงทำไม่สน แม้เบื่อในเรื่องร้อยพัน บำเพ็ญไม่ลืมย้อนตน การเปลี่ยนแปลงนิสัยตนทำได้เลย
ทำไมยังดึงดัน ทำไมจะดื้อรั้น เก่งกาจไม่เกรง ทำไมทำตัวเองจนคนเบือนหน้าหนี เรื่องแบบนี้ศิษย์คุ้น(กัน)บ้างหรือเปล่า (ซ้ำ**, *)
ดีใจไหมที่ได้พบกัน (ดีใจ) นึกว่าดีใจที่ไม่ต้องฟังหัวข้อแล้ว เดินให้รอบๆ ศิษย์ อาจารย์จะได้เห็นหน้าชัดๆ นะ สบายดีกันไหม อาจารย์ถามหน่อยนั่งฟังวันที่สองแล้วรู้สึกเบาขึ้นไหม (เบา) สบายขึ้นไหม (สบาย) ถ้านั่งฟังธรรมแล้วยังรู้สึกหนัก ร้องเพลงก็หนัก ฟังธรรมะก็หนัก ฟังแล้วหนักหรือฟังแล้วเบา (เบา) หมายความว่าถ้าฟังแล้วยึดถือ อันนั้นก็ถือ อันนี้ก็ยึด ฟังแล้วก็หนัก แต่ถ้าฟังธรรมแล้วไม่ถือ รู้แล้วไม่ถือ เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกเบา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ายิ่งฟังแล้วใจยิ่งโปร่ง ใจยิ่งโล่ง ใจยิ่งสบาย แปลว่าขณะที่ฟังแล้วไม่ยึดถืออะไร แต่ถ้าฟังแล้วรู้สึกหนัก ไม่สบายใจ ไม่โล่งใจ แปลว่า ขณะฟังใจแอบยึดถืออะไรไว้แล้วไม่ยอมจนสุดใจ ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “มนุษย์หูตาไม่สว่างก็เพราะใจชอบยึดมั่นถือมั่น” ฟังธรรมแล้วปลงได้ ปล่อยได้ มันก็อิสระ มันก็สบาย จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเรามัวแต่คิดว่า “ดูคนพูดธรรมะก็รู้ว่ายังเด็กอยู่เลยมาพูดให้ฟัง ฉันอายุตั้งเท่าไรแล้ว” เราคิดแบบนี้ฟังแล้วจะได้อะไรไหม ได้ความทุกข์หรือความสุข (ทุกข์)
“คนดีรู้ว่าตนผิดตรงไหน ไม่ว่าใครเพื่อให้ตนดีขึ้นหนา
เห็นเขาผิดย้อนมองตนพิจารณา ยามตนผิดจึงรู้ว่าเห็นใจกัน”
ศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้เป็นคนดีไหม (ดี) ดีที่หนึ่งเลยหรือไม่ (ดีที่หนึ่ง) เวลามีใครมาว่าคนดีที่หนึ่ง ศิษย์จะโต้แย้งไหม (ไม่โต้แย้ง) ไม่โต้แย้งหรือ อาจารย์เห็นเวลามีใครไม่ดีก็รีบว่าเขาเลย ใช่หรือไม่
ศิษย์เอย อาจารย์จะบอกให้ เรื่องราวในโลกใบนี้ เริ่มที่ไหนก็ต้องจบที่นั่น ปัญหาเกิดจากตรงไหน ก็ต้องแก้ที่ตรงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ตัวไหนที่เป็นต้นเหตุทำให้เรามีเรื่องมีราว ก็คือตัวนั้นที่เราต้องรีบไปแก้ไข ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นตัวไหนล่ะ ที่ทำให้เราทุกข์จนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ทุกข์บ่อยๆ ฉะนั้นก่อนจะโทษสิ่งใดไกลๆ โทษสิ่งใดว่าเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ลองถามใจเราก่อนว่าใจเราผิดหรือเปล่า จริงหรือไม่ (จริง) อาจารย์ขอถามฝ่ายชาย เหล้ามันชั่วไหม เหล้าไม่ชั่วแต่คนตกเป็นทาสของเหล้าชั่ว จริงหรือ (จริง) อาจารย์ถามฝ่ายหญิงว่าผู้หญิงชั่วไหม (ไม่ชั่ว) ผู้หญิงที่รักไม่เลือก ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของ แล้วก็ไปรักเขา ชั่วไหม (ชั่ว) ฉะนั้นก่อนจะไปว่าคนอื่นต้องถามใจเราก่อน ผู้หญิงที่ไปรักคนมีเจ้าของชั่วไหม บางทีเขาอาจจะไม่ชั่ว แต่สามีเรานั่นแหละที่ไปบอกเขาว่า “ฉันไม่มีใคร” ก่อนไปว่าคนอื่นชั่ว ถามสามีเราก่อน อ้าปากเขาได้ไหม อาจารย์ถามว่าโลภ โกรธ หลง เลวไหม แย่ไหม (ไม่) แต่ทำไมคนที่มีโลภ โกรธ หลง ทั้งเลวทั้งแย่ เพราะโลภ โกรธ หลง หรือเพราะคนที่ใช้โลภ โกรธ หลง (คนที่ใช้โลภ โกรธ หลง) บุหรี่เลวไหม หวยไม่ดีไหม (ไม่ใช่) ศิษย์เอยก่อนจะไปว่าสังคมไม่ดี กิเลสไม่ดี ก่อนจะไปว่าคนอื่นไม่ดี ให้ถามตัวเราเองก่อนว่าตัวเราไปมีสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วเราปฏิบัติได้ดีหรือ ปฏิบัติได้ไม่ดี ก่อนจะไปชี้หน้าว่าคนอื่นจริงๆควรหันหลับมามองตัวเราก่อนใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มักจะอยากจะทำดี แต่หากคนที่เราจะทำดีด้วยไม่เห็นคุณค่า เราก็ด่าเขาเลยว่าเป็นคนไม่ดี ไม่เคยเห็นคุณค่าเราเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ทำดีก็เพราะอยากทำดีด้วยตัวเอง ศิษย์ไม่ได้ทำดีเพราะศิษย์ต้องการจะให้ใครมาชม ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าหากใครว่าเรากลับ ทำไมต้องโกรธเขา ก็ศิษย์ตั้งใจจะทำเอง จริงไหม (จริง)
ศิษย์จำไว้นะว่าโลกใบนี้มีทางเลือกเสมอ ถ้าคิดชั่วแล้วไม่ดี ทำไม่จึงไม่คิดให้ดี และคิดให้พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคิดทางหนึ่งแล้วไม่รอด ทำไมไม่คิดอีกทางหนึ่งให้รอด ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่า ในที่ที่ศิษย์คิดว่าทุกข์ แต่พุทธะบอกว่าสามารถสิ้นทุกข์ได้ ในที่ที่ศิษย์บอกว่าเป็นกิเลส พุทธะบอกว่าสามารถทำให้ศิษย์เป็นพุทธะได้ และในที่ที่ศิษย์ว่าเลวร้าย พระพุทธะบอกว่าสามารถทำให้ศิษย์พบแสงสว่าง ฉะนั้นแค่พลิกความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน แค่มองให้ชัด ความคิดการดำเนินชีวิตก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ใช่ไหม (ใช่)
(ในตอนแรกพระอาจารย์เมตตาถามว่าศิษย์จะยืนกับพระอาจารย์ไหม ศิษย์ก็บอกจะยืนเป็นเพื่อนกับพระอาจารย์ พระอาจารย์บอกจะยืนสามชั่วโมง ศิษย์ก็บอกว่าจะยืนสามชั่วโมงด้วย ตอนนี้ทุกคนรู้สึกเมื่อยจึงขอเชิญพระอาจารย์นั่ง พระอาจารย์ยังไม่รับปากว่าจะนั่ง)
อยากนั่งไหม (อยาก) อย่างนั้นอาจารย์ถามผู้มีปัญญา ทำอย่างไรตัวเราถึงจะได้นั่งโดยจะไม่ถูกเรียกว่ากลืนน้ำลายตัวเอง (ให้อาจารย์นั่ง)เพราะอาจารย์ยืนสามชั่วโมงศิษย์จะก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์สามชั่วโมง แต่ถ้าเมื่อไรอาจารย์นั่งศิษย์ก็จะได้นั่งใช่หรือไม่ (ใช่) คิดได้แค่นี้จริงๆ หรือ มีใครกล้าคิดต่างจากคนอื่นว่า “อาจารย์ ศิษย์ขอเสียสละยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ แทนทุกๆ คน แล้วขอให้ทุกๆ คนได้นั่ง ศิษย์ยอมยืนคนเดียว” มีใครคิดแบบนี้ไหม บางครั้งถ้าเราอยากจะก้าวให้คนอื่นมากกว่าหนึ่งก้าว เราต้องทำอะไร เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่ามนุษย์หูตาฝ้าฟางก็เพราะจิตใจยึดมั่นหมายแต่ถ้า เมื่อไรปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางความยึดมั่นเราจะเป็นอิสระจากทุกๆ สิ่ง
ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่าทุกคนต้องยืนแต่ถ้าศิษย์ก้าวออกมามากกว่าคนอื่น อาจารย์หนูขอยืนคนเดียว และยอมให้ทุกคนนั่ง และหนูจะยืนสามชั่วโมงเป็นเพื่อนอาจารย์ ขนาดพูดจนจบเป็นรอบที่สองยังไม่มีคนทำเลย ยอมไหม (ยอม) คนที่เหลือยอมหรือไม่ ศิษย์เอย ปลาตัวเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าปลาทุกตัวพร้อมใจกันยกมือ “หนูยอมค่ะอาจารย์” ถามจริงๆ ว่าอาจารย์จะไม่เปลี่ยนใจหรือ มัวแต่ห่วงตัวเองเราจึงไม่สามารถแก้ปัญหา แก้ทุกข์ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ตบมือให้คนยอมยกมือหน่อย
ใครจะยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ยกมือขึ้น ทำไมต้องรอให้อาจารย์บอก ในเมื่อเรากล้าทำ กล้ายอมรับ และเรากล้าเผชิญความจริง ทุกข์จะน่ากลัวอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกข์มีแต่อาจจะแปรร้ายให้กลายเป็นดี แปรหนักให้กลายเป็นเบา ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ตกลงยืนหรือไม่ (ยืน) ศิษย์รักนั่งลงได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนยืนนั่ง ตามคำบอก) เพราะสิ่งสำคัญในการฝึกฝนเรียนรู้ธรรมคือต้องมีสติและก็ต้องมีปัญญาคิด พิจารณาไตร่ตรองตามด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นง่ายๆ ว่า ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีความสิ้นทุกข์ ที่ใดมีกิเลสที่นั่นก็มีที่ (สิ้นกิเลส) ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มที่นี่ ก็ต้องละที่นี่ และก็ต้องจบที่นี่ ถ้าอาจารย์บอกว่าตัวเราเป็นต้นเหตุของเรื่องราวนานา ศิษย์อาจจะแย้งอาจารย์ว่า “ไม่จริงหรอกคนอื่นต่างหากที่ทำให้หนูไม่ดี” ใช่หรือไม่ (ใช่,ไม่ใช่)
บางคนก็บอกว่า ใช่ บางคนก็บอกว่าไม่ใช่ อย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์ดูง่ายๆ คนในโลกนั้นก็อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนมีเมตตา แต่คนบางคนทำไม่ได้ เหมือนทำความดีแล้วก็หวังได้อะไรจากเรา คนบางคนทำดีกับเรามาก แต่ใจเราระแวงว่าไม่น่าจะใช่นะ เขาน่าจะไม่ได้หวังดีจริงๆ หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจริงๆ แล้ว เขาดีหรือไม่ (ดี) แล้วใครที่ไม่ดี (ตัวเรา) แต่หากเขาเป็นคนไม่ดีจริงๆ ศิษย์ก็จะบอกว่า “บอกแล้ว พ้นจากที่ฉันพูดที่ไหน เขาไม่ดีเลย” แล้วเราก็ชิงชังจนเขาไม่มีจะยืนอยู่ในโลกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนดีของอาจารย์เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเลย เห็นใครดีก็ระแวง พอใครผิดหน่อยก็เหยียบให้จมดิน ไม่ต้องมีที่ยืน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ก็เป็นคนที่ทำให้คนดีไม่มีกำลังใจ และไม่เคยให้โอกาสคนชั่ว อาจารย์จะบอกให้นะ ถ้าอยู่ในโลกแล้วไม่อยากผิดหวัง จงยอมรับว่าไม่มีใครดีที่สุด เราจะได้ไม่เคืองโกรธ และให้ยอมรับว่าไม่มีใครแย่เกินรับได้ เราจะได้ไม่ขับไล่ไสส่งเขาจนไม่มีที่ยืนอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเจอใคร อย่าหลงในความดีเขามากเกินไป และอย่าเกลียดเขาจนเขาไม่มีที่ยืนอยู่
ถ้าศิษย์พบคนไม่ดี บางทีก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่า “คนคนนี้ไม่มีจิตสำนึกเลยหรืออย่างไร ถึงได้เลวร้ายขนาดนี้” ศิษย์เคยคิดแบบนี้หรือไม่ (เคย) อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ผ้าที่ปล่อยให้สกปรกแล้วค่อยซักให้ขาว กับผ้าที่ไม่ยอมสกปรกเลย อะไรจะขาวกว่ากัน (ผ้าที่ไม่ยอมสกปรก)
คนบางคนเขาจะไม่มีจิตสำนึกแต่ถึงเวลาเขาเลือกทำอะไรก่อนและทำอะไรหลัง สมมุติว่าองค์มารดาเมตตาประทานผลไม้ทิพย์มาหนึ่งลูก และบอกให้อาจารย์จี้กงไปแจกทุกๆ คน ถามว่าถ้าศิษย์เป็นอาจารย์จี้กงศิษย์ว่าศิษย์จะรับผลไม้นั้นมาไหม (รับ) พระองค์มารดายังบอกอีกว่าผลไม้นี้เป็นผลไม้ทิพย์ ใครที่ป่วยกินแล้วจะแข็งแรง ใครที่ปัญญาไม่ดีจะมีปัญญาดี ถ้าผลไม้ทิพย์นั้นอยู่ในมือศิษย์ แล้วศิษย์จะเอาไปแบ่งใครหรือไม่ (แบ่ง) แบ่งให้ใคร ถามใจศิษย์ทุกคน อันดับแรกแบ่งไว้ให้ที่บ้านก่อน กินเองก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันใช่หรือไม่ เหมือนกับในโลกนี้ทางเลือกมีให้เดินแต่พอถึงเวลาคนทุกคนเลือกทางที่เสียสละ ไม่มีโลภ ไม่มีกิเลส ไม่มีหลง หรือว่าเลือกทางที่โลภ โกรธ หลงให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยไปทำดีไถ่ทีหลัง ฉะนั้นถามว่าเขาไม่มีจิตสำนึกหรือ อาจารย์ว่าไม่ใช่นะ ถ้าตอนนี้ศิษย์มีโอกาสได้ผลไม้เป็นองุ่นหนึ่งเม็ดจากอาจารย์ ให้เอาไปแบ่งทุกคน
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ยึดมั่นหมายว่าผลไม้นั้นลูกเล็กหรือใหญ่ จะแบ่งได้ทุกคน ถ้าศิษย์ไม่ยึดมั่นหมายว่ามีอยู่แค่นี้ ศิษย์ว่าจะช่วยคนได้ทุกคนหรือไม่ อย่าดูเบาว่ามีแค่นี้ แต่ถ้ามีแค่นี้แล้วคิดอย่างคนมีปัญญาเราก็จะไม่มีวันทุกข์ อย่างนั้นคิดได้ไหมว่าทำอย่างไรถึงจะได้กินทุกคน ถ้าคิดได้จะได้นั่ง ถ้าคิดไม่ได้ก็ไม่ได้นั่ง มีใครคิดได้บ้าง (ให้เขาชิมคนละนิด,ให้ดมคนละหน่อย,องุ่นเม็ดนี้เป็นองุ่นวิเศษ เป็นองุ่นที่อาจารย์จี้กงมอบให้ ศิษย์ไม่รู้จะแบ่งปันกับใคร ขอเอาไปแช่ในน้ำหนึ่งถังแล้วเอามาแบ่งกันกินคนละแก้ว)
ศิษย์เอยบางครั้งยาวิเศษก็ไม่สู้ใจที่วิเศษ ใจที่ประเสริฐ เจอทุกข์อย่างไร เจอปัญหาอย่างไรก็หาทางออกได้ น้ำกินเข้าไปเดี๋ยวก็ออก ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์จะให้ศิษย์อาจารย์ให้ปัญญาดีกว่าไหม ปัญญาที่ไปอยู่ที่ไหนไม่มีวันอับจน ถ้ากินแล้วคิดไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์จริงหรือไม่ เหมือนกันนะศิษย์ถ้าเขาชี้หน้าด่าเรา “แกมันโง่ แกมันไม่ได้เรื่อง แกมันดำ แกมันแย่” แต่ถ้าเราคิดได้ คิดเป็น พิจารณาหาทางออกได้ หาทางออกเป็น การถูกว่าแย่ การถูกว่าไม่ดี การถูกว่าดำก็ไม่ทำให้เราทุกข์จริงหรือไม่
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะที่ใดที่มีทุกข์ที่สุดที่นั้นศิษย์จะต้องหาทางพ้นทุกข์ให้ได้ ที่ใดทำให้ศิษย์เจ็บปวดที่สุดที่นั่นจะทำให้ศิษย์พ้นความเจ็บปวดได้ แล้วถ้าศิษย์พบตรงนั้นแล้ว โลกนี้จะมีอะไรที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์จี้กงทุกข์ได้อีกต่อไป ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ไม่สำคัญว่าคนอื่นเขาว่าเราอย่างไร แต่สำคัญตรงที่หลังจากโดนเขาว่าเราแล้วจะวางตัวเช่นไร ถ้าเราไม่ยึดติด เราไม่ถือมั่น ยิ่งเขาว่ามากเท่าไร ใจเรายิ่งกว้างมากเท่านั้น ยิ่งให้อภัยได้มากเท่านั้น ยิ่งได้ปลดปลงตัวตนมากเท่านั้น นี่จึงเรียกว่า แปรร้ายให้เป็นดี แปรทุกข์ให้เป็นการพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นที่ใดที่ทุกข์ที่สุด ที่นั่นก็สามารถเป็นนิพพานที่สงบเย็นที่สุด จริงหรือไม่ (จริง) ทำได้ไหม (ได้) อย่างนั้นเดี๋ยวมาดูกันว่าจะได้จริงหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นและนักเรียนในชั้นออกมา)
สมมติว่ามีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง อาจารย์มีหัวหน้าอยู่คนหนึ่งแล้วอาจารย์ก็มีเพื่อนร่วมบำเพ็ญอยู่คนหนึ่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งที่แสดงบทบาทสมมติเป็นหัวหน้านั่งบนเก้าอี้ แล้วเอากระดานมาบัง)
สมมติว่าเราอยู่ในโลกเป็นธรรมดาที่เราจะอยู่ร่วมกับเพื่อนในสังคมถูกหรือ ไม่ (ถูก) บางทีเราก็พยายามทำให้ดี แต่บางครั้งการพยายามทำให้ดีของเราก็มีผลกระทบต่อคนรอบข้าง จริงหรือไม่ (จริง) เราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น) เรื่องเสนอหน้าขอเอาก่อนคนแรก แต่เรื่องทำงานหนักโยนให้เพื่อนก่อน ใช่หรือไม่ เจอคนแบบนี้เป็นอย่างไร (เหนื่อย) ถ้าเหนื่อยแล้ว คนก็ยังไม่เห็นคุณค่า ศิษย์รับได้ไหม (ต้องรับให้ได้) ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้มีโอกาสก็อย่าว่าคนอื่นเลว อย่าว่าคนอื่นร้าย สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือใจของเราใช่หรือไม่ ที่น่ากลัวกว่าใครในโลกนี้ คนชั่วเราเห็นชัดว่าชั่ว แต่คนดีที่คิดชั่วน่ากลัวยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก่อนจะว่าคนอื่น ถามตัวเราว่าดีกับคนอื่นอย่างสุดจิตสุดใจหรือยัง ก่อนที่จะเรียกร้องให้คนอื่นเขาดีอย่างสุดจิตสุดใจ ใช่ไหม (ใช่) เสียสละเพื่อคนอื่น แล้วให้คนอื่นได้หน้า แม้เราจะไม่ได้อะไรเลย ศิษย์จะทำใจได้ไหม (ได้) ทำให้ได้นะ ถ้าทำได้ สละได้ ยอมให้ได้ ศิษย์จะเข้าใจคำว่า เข้าถึงธรรมและหัวใจที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้ายอมไม่ได้ สละไม่ได้ ศิษย์ก็จะพบแต่ความโกรธ ความเกลียดและนรกในใจ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้กับนักเรียนที่ร่วมแสดงบทบาทสมมุติ)
เอาแอปเปิลไปทำอะไร (กิน) ศิษย์เอ๋ยอยากได้ก็อย่าได้แค่ตัวเอง คุณค่าก็จะอยู่แค่ตัวเอง อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักส่งต่อบุญที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บุญที่เข้าหาตนเอง แต่เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้พ้นกรรมเวรพ้นการเวียนว่าย คือสละให้ไม่ยึดถือไม่หวังผลใดๆ นั่นแหละยิ่งใหญ่กว่าทำบุญแล้วหวังผล อาจารย์ถามศิษย์ว่าเอาแอปเปิลให้ใคร (เอาไปให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหาร, เพื่อนๆ, บูชา) องุ่นเอาให้คนอื่น แอปเปิลจะเอาให้ใคร (เอาไปให้ลูกหลานที่บ้าน) บางทีเอาไปให้เพื่อนบ้านอาจจะดีกว่าให้ลูกหลานนะ
ธรรมะคือสิ่งที่ศิษย์ทุกคนล้วนอยากจะมี อยากจะเข้าให้ถึง ก่อนจะเข้าถึงธรรมต้องถามศิษย์ว่าศิษย์ทุกคนอยากมีทุกข์หรืออยากสิ้น ทุกข์ (สิ้นทุกข์) มีคำพูดว่าเมื่อไรเราสิ้นกิเลส เราก็สิ้นทุกข์จริงไหม (จริง) ถึงว่าไม่เคยสิ้นทุกข์สักที
ถ้าเมื่อใดเราสิ้นกิเลสเราก็สิ้นทุกข์จริงไหม (จริง) แต่มนุษย์มักจะแก้กลับกันว่าเมื่อไรเราสิ้นทุกข์ได้เราสิ้นกิเลสได้ ฉะนั้นจึงไม่มีวันสิ้นทุกข์ เพราะชอบไปควบคุมกิเลสแต่ลืมเข้าใจความทุกข์ว่ามันมาจากไหน ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ถามถ้าโลกคือสิ่งที่เรียกว่าดี ร้าย ได้ เสีย สุข ทุกข์ อย่างนั้นธรรมคืออะไร (ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ดี ไม่ร้าย ไม่ได้ ไม่เสีย) แต่ถ้าเรามีความอยากเสียแล้ว ก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ ถูกต้องไหม (ถูก) ถ้าเราเข้าใจโลกคืออะไร เราก็จะเข้าใจธรรมคืออะไร เมื่อเราเข้าใจธรรมเราก็จะหาเหตุดับทุกข์ได้ ศิษย์เคยเห็นตะเกียงหรือไม่ ตะเกียงมีไส้ มีน้ำมัน จุดแล้วก็สว่าง แต่ถ้ามีไส้ มีน้ำมัน จุดสว่างแล้วยังมีแก้วครอบอยู่ด้วย จุดแล้วจะเป็นอย่างไร (จุดได้นาน)
ถ้าศิษย์อยากสิ้นทุกข์เราก็ต้องหาทางหาธรรมดับทุกข์ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้า โลกคือ ดี-ร้าย ได้-เสีย สุข-ทุกข์ ดังนั้นความไม่มีดี-ไม่มีร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข นั้นเรียกว่าธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ) เข้าใจก็น่าจะสิ้นทุกข์ได้หรือไม่ แต่ทำไมรู้แล้วถึงไม่สิ้นทุกข์ (เข้าใจแต่ยังปฏิบัติไม่ได้, ยังไม่ได้ปฏิบัติ) อาจารย์อยากจะชื่นชมว่าเขาตอบได้ดี เพราะเขามองเห็นจริงๆ โลกคือสิ่งที่ดี-ร้าย ได้-เสีย ทุกข์-สุข แต่ธรรมคือไม่มีดี-ไม่มีร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข ถ้าหยั่งถึงความเข้าใจธรรมอันนี้ ศิษย์เชื่อไหมว่าศิษย์จะสิ้นทุกข์ ศิษย์จะไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด ทันทีเลยนะ แต่ที่ตอบมายังหยั่งไปไม่ถึงนะ (ไม่มีอะไร คือยังไม่รู้อะไร ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ ผมยังไม่รู้ว่า ถึงคืออะไร) ถึงคือ ต้องลงแรง ใช่ไหมศิษย์ อย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ คำว่าธรรมคือ ไม่ดี-ไม่ร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ แต่โลกคือสิ่งที่เรียกว่า ดี-ร้าย ได้-เสีย สุข-ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจถึงธรรมเราจะไม่ไขว่คว้าในเรื่องทางโลก ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ถ้าผู้ใดถึงธรรมผู้นั้นก็พบความเป็นเช่นนั้นเอง หรือพบความเป็นพุทธะ”
เราจะเข้าใจคำว่า ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ เป็นไปได้หรือไม่ (เป็นไปได้) เหมือนอาจารย์ให้แอปเปิลศิษย์ ศิษย์คิดว่ากำลังได้หรือศิษย์กำลังเสีย (ขึ้นอยู่กับศิษย์จะรับหรือไม่ ถ้าศิษย์รับศิษย์กำลังได้) แล้วในช่วงที่ศิษย์กำลังได้ ศิษย์กำลังได้หรือกำลังเสีย (ได้) ถ้าศิษย์เข้าใจตรงนี้ ศิษย์จะเข้าใจธรรม การได้มาคือการที่กำลังเสียไป ทุกครั้งที่ได้คือทุกครั้งที่เรากำลังเสีย กว่าจะได้แอปเปิลมา ศิษย์ได้เสียเวลาชีวิตที่ควรจะได้ไปโน่นไปนี่ มานั่งฟังตรงนี้ เพื่อจะได้แอปเปิลนี้มา ในโลกใบนี้ เหมือนเราได้ แต่จริงๆ แล้วเรากำลังเสีย เวลาเราได้อะไรจากใครมา เรารู้สึกว่าเราติดหนี้เขาหรือไม่ (รู้สึก) นั่นคือเรากำลังหาอะไรเพื่อเสียให้เขาไป เหมือนเราได้อะไรมากๆ เรารู้สึกว่าต้องเสียอะไรไปให้เขาบ้าง ฉะนั้นอย่าคิดว่าเราได้ เพราะโลกนี้ ไม่มีใครได้กำไร และไม่มีใครขาดทุน
ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นตัวกำหนดชะตากรรม และเมื่อใดที่มนุษย์ทำกรรมใดแล้ว กรรมนั้นก็ย่อมส่งผลให้คนนั้นต้องรับตามกรรมนั้นไป และก็ต้องติดตามกรรมนั้นไป มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้อาศัย และมีกรรมเป็นผลพวงของเรา ฉะนั้นเวลาศิษย์กระทำอะไรอย่างหนึ่ง ศิษย์เอาแต่รับ แล้วศิษย์ไม่ให้ เป็นไปได้ไหมฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์ได้มา ก็คือทุกขณะที่ศิษย์กำลังจะเสียอะไรไปจริงหรือไม่ (ครับ) เหมือนอาจารย์ ถามศิษย์ว่า คนเรามีเกิด ก็มี (ตาย) ฉะนั้นตอนนี้อายุคือขวบปีที่เกิดหรือ อายุคือขวบปีที่ตาย (ขวบปีที่ตาย) สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ได้มามากมายจริงๆ แล้วศิษย์ได้หรือศิษย์เสีย (เสียก็เยอะ) แล้วก็ถึงจะได้มา ใช่ไหม (ใช่) แล้วที่ได้ก็คือเสีย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจะบอกว่าเราได้อะไรไหม (ไม่ได้) เพราะถึงที่สุดสิ่งที่ได้ก็คือ สักวันก็ต้องเสียไป มีอะไรไม่เสีย (ถูกต้องครับ) เมื่อเรารู้ความเป็นจริงว่าสิ่งที่ได้ก็คือสิ่งที่เสีย สิ่งที่มีก็คือสิ่งที่ไร้ แล้วเราจะอยากอะไรในโลก (ไม่อยาก) แล้วเราจะทุกข์อะไรในโลก (ไม่ทุกข์) แล้วเราจะหลงอะไรในโลก (ไม่หลง) ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงธรรม ความโลภ โกรธ หลง ย่อมไม่มี เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
อาจารย์เพิ่งเคยเห็นคนเข้าใจธรรมที่ทำหน้าเฉยๆ อาจารย์เคยเห็นแต่คนที่เข้าใจธรรมแล้วหน้าตาสว่าง สว่างบ้างหรือไม่ (ยินดีไปก็แค่นั้น) เพราะสิ่งที่น่ายินดีคือสิ่งที่ไม่น่ายินดี ใช่ไหม (ใช่) เอาผลไม้ไหม (ไม่เอาครับเพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลกนี้ ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ศิษย์ไม่เคยเห็นจริงสักครั้งหนึ่ง เหมือนอาจารย์หยิบเอาแอปเปิลมาสักแวบหนึ่ง ศิษย์เห็นอะไรไหม (เห็นอาจารย์หยิบแอปเปิลมาแล้วเก็บ) แต่สิ่งที่ศิษย์เห็นจริงๆ ทั้งหมดไม่ได้ครึ่งหนึ่งของแอปเปิลทั้งมวล เราเห็นแค่แอปเปิล เปรี้ยว หวาน อยากได้ ไม่อยากได้ แต่ในแอปเปิลอาจารย์เห็นทั้งความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความไม่แน่นอน ความคาดหวัง ความยึดติด อาจารย์บอกต่อนะศิษย์ เมื่อไรเราจะพบธรรมได้ ไม่ว่าอะไรมากระทบกระเทือน จงพิจารณาให้พบธรรมว่าเรากำลังได้หรือเรากำลังเสีย กำลังจะเริ่มหรือกำลังจะจบ
ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์เข้าใจแล้ว ตอนนี้อาจารย์กำลังใช้ภาคปฏิบัติล่ะนะ ฉะนั้นศิษย์กำลังได้หรือเสีย ศิษย์กำลังเริ่มหรือจบ ถ้าอาจารย์ตีแล้วศิษย์โกรธ ศิษย์กำลังไม่จบ ศิษย์กำลังเสียอารมณ์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ศิษย์ไม่จบคือกำลังเริ่มมีปัญหา จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเราพิจารณาด้วยธรรม ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย (ศิษย์เข้าใจอย่างนี้ว่า ทุกอย่างเป็นที่ความคิดว่า อาจารย์ตบ ตี ศิษย์ไม่คิดก็เลยไม่มี) อาจารย์ไม่ใช้คำว่าความคิดเพราะความคิดง่ายที่จะติดปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่ ชอบชัง แต่อาจารย์บอกว่าให้ศิษย์พิจารณาจนบังเกิดธรรม ความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะไหลเข้าข้างตัวเอง และง่ายที่จะยึดติดไปตามใจตัวเองถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนอาจารย์ตีหนึ่งทีศิษย์บอกไม่คิด ตีอีกที ตีอีกทีคิดหรือไม่ (คิด) โลกมีได้มีเสียเพราะเรายึดถือ แต่ถ้าเราเข้าใจความจริงแห่งธรรม ไม่มีใครได้ไม่มีใครเสีย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันจบอยู่ในตัวมันเองทุกขณะ แต่เราไม่เคยจบอะไรง่าย เพราะฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าอยากจบจงสงบ ถ้าอยากจบจงมีศีล ถ้าอยากจบจงมีปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนั้นศิษย์จะมีศีลธรรมทันหรือไม่ เขาตบมาศิษย์ตบกลับ เขาเตะมาศิษย์เตะกลับ แต่ถ้าเราพิจารณาจนบังเกิดธรรมละ ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย และไม่ใครตีใคร เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไป แต่มนุษย์มักจะจมอยู่กับอดีตจนลืมมองปัจจุบัน เขาด่าศิษย์เมื่ออดีต มันจบแล้วแต่ศิษย์ไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมคือการอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่การเอาแต่คิดคือการจมอยู่กับความปรุงแต่งในอดีตและไม่วางเรื่องราว ฉะนั้นธรรมคือปล่อย ว่าง โล่ง แต่กิเลสคือยึดมั่นถือมั่นตัวตนของตนและแบ่งแยก ดี เลว ร้าย
เหมือนกันนะศิษย์ ถ้ารู้ว่านี่เป็นทุกข์ ศิษย์จะเอาหัวโหม่งรับ เอาใจรับ หรือปล่อยให้ทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็จบไป (ปล่อยให้เกิดแล้วจบไป แต่ถ้าคิดต่อเป็นแค้นก็ทุกข์กับเรา) ไม่จบ ถูกไหม แล้วอาจารย์ถามจริงๆ นะ ทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราไม่หยิบมาคิดเมื่อเริ่มก็จบ แต่ใครที่หยิบมาคิด (ตัวเราเอง) ฉะนั้นแม้จะปาแอปเปิลใส่หัวศิษย์ จบหรือไม่ (จบ) แต่คนส่วนใหญ่ไม่จบ แล้วก็เก็บมาคิดว่า อาจารย์จี้กง เด็กคนนี้ถ้าออกไปเมื่อใด เสร็จฉันแน่ ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ เกิดขึ้น หมุนเวียนไปต่างๆ นาๆ ถ้าเรายอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเกิดขึ้นก็ดับไป มีเกิดขึ้นก็จบลง เราไม่เก็บมาคิด เราไม่เอามายึดมั่น ความทุกข์จะมากัดกินใจศิษย์ได้ไหม (ไม่ได้) แต่ที่ทุกข์มากัดกิน เพราะเรา (คิด) แต่ไม่เคยพิจารณาจนบังเกิดธรรม ถูกหรือไม่ (ครับ)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า อยู่ร่วมกับคนจงใช้คุณธรรม แต่เมื่อเจอทุกข์จงมองให้เห็นธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท “นิสัยคนชวนเบื่อ”)
เคยไหมทำตัวแบบตามใจตัวเองจนคนอื่นเบือนหน้าหนี ศิษย์เคยเบือนหน้าหนีหรือเคยถูกคนเบือนหน้าหนีไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เพชรในตน”)
เราเป็นเพชรไหม (เป็น) เป็นเพชรหรือเป็นหิน (เพชร) ถ้าอยากเป็นเพชรในตน ศิษย์จะต้องหาคุณค่าที่แท้จริงในตัวเอง ไม่กลัวการถูกขัดเกลา ไม่กลัวการถูกหล่อหลอม แต่คนบางคนถึงแม้จะเป็นคนดี พอโดนขัดเกลานิดหน่อยก็ไม่อยากดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเป็นเพชรแท้จะกลัวความลำบากจากการถูกขัดเกลาไหม (ไม่กลัว) กลัวความลำบากในการนั่งฟังธรรมจนบังเกิดปัญญาไหม (ไม่กลัว) ฉะนั้นถ้าเราไม่ยอมรับการขัดเกลา เราก็คงไม่รู้จักคุณค่าของหินที่กลายเป็นเพชร ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราไม่รับการขัดเกลา เราก็คงไม่รู้ว่าคุณค่าของตัวเราที่มีมากกว่ากายสังขาร นั่นคือพุทธจิตธรรมญาณ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากจะบอกว่า แค่หลงก็บังปัญญา รูปนามลวงตาลวงใจ อัตตาอารมณ์นิสัย อย่าสูงจนไม่มีธรรม เป็นคำที่อยู่ในโอวาทที่ศิษย์ช่วยอาจารย์ครอบนะ เข้าใจนะ อย่างนั้นศิษย์จงเอาไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม ดีไหม (ดี)
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม มีกรรมเป็นของตน สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมแบ่งจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเคยได้ยินไหมว่า ให้พิจารณาจนบังเกิดธรรม ด้วยการพิจารณาว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของตน และมนุษย์มีกรรมเป็นผลของตน ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มีกรรมเป็นแดนเกิด มนุษย์มีกรรมเป็นผู้อาศัย มนุษย์มีกรรมเป็นผู้ติดตาม
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม ศิษย์รู้ใช่ไหม พระพุทธะสอนว่าจงพิจารณาให้บังเกิดธรรมคือมนุษย์มีกรรมเป็นของตน มนุษย์หนีผลของกรรมที่ตนสร้างไว้ไม่พ้นและมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นผู้อาศัย ฉะนั้นใครทำกรรมใดคนนั้นต้องรับผลกรรมนั้น พระพุทธะสอนว่าอย่าดูถูกกรรมดีเล็กๆเพราะกรรมดีเล็กๆก็มีผลที่ยิ่งใหญ่ได้ อย่าดูถูกกรรมชั่วเล็กๆ เพราะกรรมชั่วถ้าตกผลก็ให้ผลที่ร้ายแรงได้ ถ้าเราเข้าใจว่าเรามีกรรมเป็นแดนเกิด กำลังอาศัยกรรมนี้และกรรมนี้ก็คอยติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง ฉะนั้นถ้าเราทำอะไร กรรมนี้เราก็ต้องรับเอง
มนุษย์มีกรรมเป็นของตน มนุษย์มีกรรมเป็นผล มนุษย์มีกรรมเป็นแดนเกิด มนุษย์มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มนุษย์มีกรรมเป็นผู้อาศัย ฉะนั้นตัวเราคือผลพวงของกรรม ซึ่งกรรมนี้เราสามารถเดาได้ไหมว่าต่อไปจะเป็นกรรมดีหรือชั่ว ได้ไหม (ได้) ฉะนั้นตัวเรานี้เรียกว่า ผลของกรรมในอดีต ซึ่งต่อไป กรรมจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ การกระทำในปัจจุบัน ฉะนั้นอาจารย์ถามว่า จะดีจะร้าย อยู่ที่ฟ้าหรืออยู่ที่กรรม (อยู่ที่เรากระทำ) กรรมเรียกอีกอย่างว่า การกระทำ
อาจารย์วาดรูปคน คือตัวกรรม ตัวเราเกิดจากผลของกรรมที่เราเคยทำในอดีต แล้วกรรมตัวนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับปัจจุบันว่าเราทำอะไร ถ้าทำกรรมดี เรียกว่า (บุญ,กรรมดี) ถ้าทำกรรมชั่วเรียกว่า (บาป,ชั่ว)
ฉะนั้นตัวเราเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการกระทำปัจจุบัน ถ้าทำดีเรียกกรรมดี ถ้าทำชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว แล้วอะไรที่เรียกว่ากรรมชั่ว อะไรเรียกว่ากรรมดี
คนสมัยนี้ถ้าแยกไม่ออกว่าอะไรดีชั่วก็แย่แล้วนะศิษย์เอย แล้วอะไรที่เรียกว่าดี อะไรที่เรียกว่าชั่ว ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ตอบให้ง่ายๆ ว่าสิ่งใดที่ทำแล้วสบายใจแล้วเบิกบานใจ นั่นเรียกว่าดี สิ่งใดที่ทำแล้วหม่นหมอง หดหู่ มืดมน นั่นเรียกว่าชั่ว ฉะนั้นถ้าว่าแล้วทำให้เขาหม่นหมองดีหรือชั่ว (ชั่ว) แล้วกรรมมันไปตามไหน กรรมไปตามสิ่งที่เรากระทำ ถ้าเราคิดไม่ดี ทำไม่ดี เราก็ได้ผลคือความทุกข์ แต่ถ้าเรานั่งฟังด้วยความเบิกบานใจ สบายใจ อิ่มใจ กรรมนั้นก็ตกผลทันทีก็คือดี จริงหรือไม่ (จริง) แล้วที่นั่งฟังมานั้นดีหรือชั่ว (ดี) ไม่มีใครตัดสินได้ แม้แต่ฟ้าก็ตัดสินไม่ได้ ตัวศิษย์เองรู้ดีที่สุดว่าที่นั่งมาดีหรือชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ขึ้นชื่อว่าคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้อาศัย และมีกรรมเป็นผู้ติดตาม ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นอาจารย์บอกว่าเริ่มที่ตน ก็สามารถจบที่ตนและละที่ตนได้ ถูกไหม (ถูก) ในเมื่อเราทุกข์เพราะตัวตนนี้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วถ้าเราไม่เข้าใจตัวตนนี้ ก็จะหาเหตุให้เราสร้างกรรมไม่จบสิ้น ถูกไหม แล้วแทนที่เราจะทุกข์แค่ชาตินี้ เราก็กลับจะต้องทุกข์หลายๆ ชาติ จองเวร จองกรรมไม่จบสิ้น ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าเราทำกรรมดี กรรมดีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญ กรรมชั่วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บาป ถ้าทำบุญแล้วหวังผล ยึดติดในผล บุญนั้นก็ยังอิงแอบไปด้วยบาป ถูกไหม (ถูก) แล้วเราทำบุญหวังผลไหม (หวัง) ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ทำบุญก็ต้องหวังนิดๆ หน่อย เป็นธรรมดา” ใช่ไหม (ใช่) ไม่ให้หวังเลยเป็นไปได้ไหม ส่วนบาปเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหนทางที่เดินไปสู่ความมืดมน หรือมีสาวกเป็น โลภ โกรธ หลง ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าใครเผลอมี โลภ โกรธ หลง เป็นทางมา แห่งบาป ใช่หรือไม่ หนีไม่พ้น ทุกข์ และหนีไม่พ้นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำดีมากเท่าใด แต่ศิษย์ยังอิงแอบไปด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง บุญนั้นก็ไม่เคยบริสุทธิ์ แล้วบุญนั้นยังเป็นบุญที่หวังผล บุญที่หวังผลนี้ยังเป็นกรรมดี ที่ต้องมารับผลของกรรมดี ถึงเวลาก็ต้องกลับมารับผลของบุญนั้น ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำบุญสิบบาท แต่ศิษย์ขอสักร้อยอย่าง มันใช้กันได้ไหม (ไม่ได้) แล้วศิษย์จะบอกว่าทำดีเท่าไรแล้วไม่ได้ดีเพราะอะไร เพราะบุญนั้นอิงแอบไปด้วยบาป ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าอยากทำดีแล้วไม่ต้องมารับผลของบุญนั้น เขาก็เลยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทำ กุศล กุศลคือสิ่งที่ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ทำแล้วสามารถขัดเกลาให้เกลี้ยงซึ่งอัตตาตัวตน กุศลที่ไม่หวังผลเรียกว่าอกรรม ซึ่งเป็นหนทางที่ไม่ ต้องกลับมารับกรรมอีกต่อไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราไม่ใช่ เราติดแค่เพียงอารมณ์ดีก็ทำ อารมณ์ไม่ดีก็ไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่) แล้วสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์นั้นคืออะไร ก็คือกิเลส คือบาป ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกิเลสและบาปนี้ เราอยากอะไร อยากได้ อยากมี ใช่ไหม (ใช่) แล้วสิ่งที่เราอยากได้ อยากมี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร เรียกว่าธรรม และในธรรมนี้ หนีไม่พ้นสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่) และในสัจธรรมนี้ หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง ทุกข์ และถึงที่สุดคือหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมถึงกลายเป็นธรรมล่ะ เพราะพุทธะเรียกทุกสิ่งว่าธรรม ธรรมคือสภาวะความเป็นจริงที่เป็นธรรมชาติ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นมนุษย์ก็คือธรรม แอปเปิลก็คือธรรม พัดก็คือธรรม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเห็นธรรม เราจะไม่ลืมสัจธรรม เพราะธรรมนั้นมีสัจจะ ความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่งคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์และหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เหมือนกับศิษย์คนหนึ่ง ศิษย์หน้าตาอย่างนี้ คือหน้าตาเดิมเขาไหม (ไม่ใช่) และคือหน้าตาท้ายสุดของเขาไหม (ไม่ใช่) และอันไหนคือหน้าตาท้ายสุด ไม่มี หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่สิ้นทุกข์ เราก็เวียนไปไม่จบสิ้นแล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้น เรากำลังโกรธหน้านี้หรือ เรากำลังอยากกับหน้านี้หรือ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ที่อยู่ในธรรมของทุกชีวิต ความไม่เที่ยงจะทำให้เราไม่อยาก ความทุกข์จะทำให้เราไม่โกรธ และความหาตัวตนไม่ได้จะทำให้เราไม่หลง คนนี้หล่อไหม (หล่อ)
ในโลกนี้ไม่มีใครหล่อเพราะถึงที่สุดความหล่อเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยน) แก่ไหม ตายไหม เหี่ยวไหม ที่คิดว่าหล่อคือใจเราที่คิดมั่นหมายนั่นแหละคิดว่าหล่อ ฉะนั้นอย่ามองแค่ผิวเผิน มองให้ถึงที่สุดแล้วเราจะอยากมีไหม จะเอากรรมมาแบกเพิ่มอีกไหม ถ้าเรามองเห็นความจริงในธรรมที่มีสัจธรรมซ่อนอยู่ เราจะไม่อยาก เราจะไม่โกรธ เราจะไม่โลภและหลง ถ้าตอนนี้ไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงแล้ว นั่นคือ กุศลกรรม แต่มนุษย์เมื่อเห็นแล้วยังอยาก ยังโลภ ยังโกรธ ยังหลง ทั้งที่จริงแล้วสวยไหม (ไม่สวย) ดีไหม (ไม่ดี)
ศิษย์เคยได้ยินที่พระพุทธองค์สอนให้เดินสายกลางไหม อาจารย์จะบอกว่าเราอยู่บนทางสายกลางอยู่แล้ว แต่ใจเราไม่เคยกลาง ถามว่าคนนี้หล่อไหม มีทั้งหล่อและไม่หล่อ ทั้งเหี่ยวและไม่เหี่ยวอยู่ที่ว่าเราเปรียบเทียบกับใคร ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงได้อย่างเด่นชัด เราก็จะมองเห็นธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยมองคนให้เห็นธรรม เราเคยมองคนจนหยั่งพิจารณาให้ถึงธรรมไหม
ถ้ายังไม่เคยมองคนจนหยั่งพิจารณาให้ถึงธรรม รู้ไปก็เท่านั้น ถ้าเอาแต่คิด แต่ไม่หยั่งให้ถึงธรรม เรายังอยากเวียนว่ายตายเกิดไหม (ไม่อยาก) ฉะนั้นถ้าไม่อยากเวียนว่าย ทุกขณะที่ทำอย่ายึดมั่นถือมั่น ทุกขณะที่ทำไม่ร้องขอ ยิ่งทำแล้วทิ้งความเป็นตัวตนได้ นั่นเรียกว่ากุศล แต่ถ้านั่งฟังธรรมแล้ว มีแต่ทำไมๆ มีแต่ไม่ใช่ๆ ไม่เอา นั่นคือยังยึดติดในตัวตน จริงไหม (จริง) ฟังธรรมเพื่อคลายหรือฟังเพื่อยึด ฟังธรรมเพื่อปล่อยวางหรือฟังธรรมเพื่อยึดมั่นถือมั่น (ปล่อยวาง)
มนุษย์จึงเรียนรู้กันเพียง ถ้ามีโลภมากๆ ก็ให้ทาน ก็จบแล้ว ถ้ามีความโกรธเกลียดมากๆ ก็ให้รู้จักมีศีล มีธรรม ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามีความหลงมากๆ ก็ให้มีปัญญา ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามนะ ถ้าเราไปตบเขาแล้ว ไปทำร้ายเขาแล้ว แล้วเราไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ชดใช้กันได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้หรือ แต่อาจารย์เห็นศิษย์ทำกันประจำเลย ไปว่าเขาอีกที่หนึ่ง ไปด่าเขาอีกที่หนึ่ง ไปโกงเขาอีกที่หนึ่ง แล้วก็ไปทำบุญให้ที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มาเบียดเบียนกันเลย” ใช่ไหม (ใช่) แล้วถามหน่อยคนที่โดนตบ เราจะไปแก้กรรมได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น) เป็นอย่างหนัก เป็นอย่างแรง ไปกินเขาให้เต็มที่ ไปฆ่าเขาให้เต็มที่ แล้วมาอุทิศส่วนกุศลให้ “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขๆ เถิด เพี้ยงๆ” ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอย ไปตบเขาแล้วไปขอโทษหายไหม (ไม่หาย) คนบางคนหาย แต่คนบางคนไม่หาย จริงไหม (จริง) แค่เหยียบหัวแม่โป้งถึงกับด่าถึงพ่อแม่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นศิษย์ไปสร้างกรรมมา แล้วก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมีศีลมีธรรมชดเชย ทันไหมศิษย์ เขาจะให้อภัยไหม แล้วทำไมศิษย์ถึงไม่หยุดตั้งแต่ตรงนี้ เข้าใจธรรม แล้วก็หยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลง ทุกสิ่งที่ศิษย์กระทำคือปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด
ศิษย์อยากรู้วิธีปฏิบัติธรรมหรือไม่ (อยาก) การปฏิบัติธรรมก็คือ เมื่อเราต้องอยู่กับผู้คน จงรู้จักใช้คุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน อย่างเช่น ถ้าเป็นหัวหน้ามีลูกน้อง คุณธรรมในการปฏิบัติคือต้องรู้จักใช้เมตตา ถ้าเป็นพี่ก็ต้องรู้จักปฏิบัติต่อน้องด้วยการมีเมตตา ถ้าเป็นลูกต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่ด้วยการกตัญญู ถ้าเป็นลูกน้องก็ต้องปฏิบัติต่อหัวหน้าด้วยความเคารพ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ให้เกียรติ นี่คือวิธีการบำเพ็ญธรรม ก็คือต่อผู้คนเราใช้คุณธรรมไปดำเนินชีวิต การปฏิบัติต่อคนเราจงใช้ธรรมเพื่อพิจารณาแล้วหยั่งให้ถึง
ฉะนั้นจึงมีคำเปรียบเทียบไว้ว่า “ธรรมเหมือนไส้ตะเกียง คุณธรรมเหมือนแก้วครอบตะเกียง ถ้าการปฏิบัติของเราที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่สมบูรณ์ แก้วครอบตะเกียงนี้ก็จะทำให้ไส้ตะเกียงไม่สามารถลุกโชนได้” แต่คนในโลกนี้บางทีปฏิบัติคุณธรรมได้ดี แต่ลืมเข้าใจหลักของธรรมจึงไม่สามารถยังความสว่างให้กับชีวิตและใครได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนที่ศิษย์ชอบพูดว่า “อาจารย์ศิษย์ก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะ ศิษย์ก็ให้เกียรติ ต่อคนอื่นศิษย์ก็เคารพ แต่ทำไมเขาทำกับศิษย์อย่างนี้ ทำไมเขามองศิษย์แบบนี้ ทำไมเขาดูถูกอย่างนี้” นั่นแปลว่าถ้าศิษย์ใช้คุณธรรมเป็น แต่เข้าถึงธรรมไม่เป็น ตะเกียงดวงนี้ไม่มีวันจุดสว่างให้กับชีวิตและผู้คนได้ ถูกหรือไม่
ถ้าเรารู้จักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม แล้วสามารถอยู่ร่วมกับคนโดยเข้าถึงธรรม เราจะสามารถเป็นตะเกียงที่นอกจากจุดให้ตัวเองสว่างแล้ว การกระทำของเราและการปฏิบัติของเรา ยังจุดแสงสว่างให้คนอื่นได้ด้วยใช่หรือไม่ เกิดเป็นคนอย่าแค่ดี ต้องดีและเข้าใจธรรม เราจึงจะสามารถเป็นประทีปแห่งเมตตาที่แท้จริง
อาจารย์ถามว่าชีวิตเรามีทางเลือกถูกไหม ทางเลือกหนึ่งคือเป็นประทีปแห่งเมตตา อีกทางเลือกหนึ่งคือชั่วร้ายไม่ดี ฉะนั้นก่อนทำอะไรคิดให้ดีก่อน หรือไม่ต้องคิดแต่พิจารณาให้ถึงธรรมดีกว่าไหม เพราะจะไม่เป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายที่ เรียกว่า วัฏสงสาร ใช่หรือไม่ เราจึงสามารถสิ้นทุกข์ได้ขณะอยู่ร่วมกับคน ปฏิบัติธรรมได้ในขณะที่เราอยู่ร่วมกับคน จริงไหม สมมุติเราทำอะไรจริงใจ ซื่อตรง รับผิดชอบต่อหน้าที ไม่ว่าจะโดนอะไรเราก็ยังรับผิดชอบต่อหน้าที่แม้หัวหน้าจะโขกจะสับ จะใช้งานเราหนักขนาดไหนเรายังจริงใจ ซื่อตรง ต่อหน้าที่ เราไม่เคยโกรธเคือง ไม่เคยด่าหัวหน้า แต่เรากลับคิดว่ายิ่งเขาทำกับเรา ยิ่งทำให้เราเห็นธรรมชัดในตน เขาไม่มีธรรมแต่ฉันจะมีธรรม เขาไม่ถูกต้องชอบธรรม ฉันจะถูกต้องชอบธรรม ถ้าทำได้เช่นนี้ สักวันแสงสว่างในตัวเราจะสะท้อนและจุดแสงสว่างในตัวเขาได้ ทำได้ไหม (ได้) อย่าแค่ดี แต่ต้องเข้าให้ถึงธรรม แล้วตรงนี้แหละศิษย์จะปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ และทุกขณะที่ปฏิบัติธรรมก็หยุดสร้างกรรมและได้ชดใช้กรรม
อาจารย์ยกตัวอย่างพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์มีศัตรูตัวร้าย คือ พระเทวทัต แล้วพระพุทธองค์เคยหนีพระเทวทัตไหม จะฆ่าก็ไม่หนี จ้างคนมาด่าเจ็ดวันก็ไม่หนี แล้วเราล่ะมีคนมาด่าหนึ่งวันก็หนีแล้วใช่ไหม นี่แหละพระพุทธเจ้าประจักษ์ให้ศิษย์ดูว่าเมื่อเจอทุกข์ที่สุด อย่าทำให้มันเป็นทุกข์แต่จงทำให้เป็นธรรม อย่าทำให้เป็นการจองเวรจองกรรมแต่จงทำให้จบกรรม อย่าทำให้เวียนว่ายวนแต่จงทำให้พ้นการเวียนว่ายวน
ที่ใดที่เป็นกิเลสที่นั่นก็เป็นที่สิ้นกิเลส ที่ใดที่เป็นทุกข์ที่นั่นก็เป็นที่สิ้นทุกข์ ที่ใดมีมารที่นั่นก็เป็นที่เกิดพุทธะ
อยู่ที่ศิษย์เลือกแล้ว จะใช้คุณธรรมต่อกันหรือจะใช้อารมณ์กิเลสต่อกัน แต่จำไว้อารมณ์กิเลสคือกรรมชั่ว ที่ส่งผลร้ายที่สุดก็คือต้องตกนรก เดรัจฉาน เปรต ฉะนั้นศิษย์เป็นคนเลือกและกำหนดชีวิต ฟ้าไม่ใช่เป็นผู้กำหนดชีวิต เราคือผู้กำหนดชีวิตของตัวเราเอง ว่าจะให้เป็นกรรม หรือจบกรรม ถูกไหม (ถูก)
อย่างนั้นอาจารย์สอนวิชาสุดท้าย วิชาที่ให้ไว้สำหรับคนที่อายุมากๆ จำไว้เลยนะ คาถานี้ท่องไว้ให้แม่น สังขารเป็นของดิน จิตเป็นของฟ้า ไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา พิจารณาอยู่เนื่องๆ เพื่อเข้าถึงธรรมนะศิษย์ สังขารเป็นของดิน จิตเดิมแท้เป็นของฟ้า ใดๆ ในโลกล้วนไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากกลับสู่ภาวะหนักก็คือนรก แต่ถ้าศิษย์อยากกลับคืนสู่ภาวะใสก็คือเบื้องบน และจิตที่รู้ด้วยสติคือจิตญาณเดิมแท้ จริงไหม (จริง)
ตอบอาจารย์ให้ชื่นใจหน่อย สังขารเป็นของดิน จิตเดิมแท้เป็นของฟ้า ไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา ฉะนั้นสิ่งใดหรือที่ศิษย์พยายามยึดถือเป็นของเรา มีไหม (ไม่มี) ไม่มีสักสิ่งหนึ่ง แม้แต่ตัวเองก็เป็นกรรม แม้แต่ตัวเองเหมือนกองทุกข์ แล้วเรายังควรยึดไหม
อย่างนั้นอาจารย์ถามคำถามสุดท้ายก่อนกลับนะ ร่างกายเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าถุงขี้ ทำไมถึงเรียกว่าถุงขี้ ตอบได้ไหม ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ (ร่างกายนี้มีแต่ของเสีย) ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก) ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู) ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา) แล้วร่างกายนี้ใช่เรียกว่าหนังสวยหรือ ถ้าปลงสังขารได้ ไม่มีใครที่ร่างกายสวยจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามว่า ในถุงขี้นี้เราควรจะเอาอะไรที่ไม่ดีออกจากตัว ขี้เหล้า ขี้บุหรี่ เอาออกได้ไหม (ได้) ขี้เจ้าชู้ ขี้เที่ยว ขี้นักเลง ก็เอาออกด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครจะตอบนะ (ขี้โลภ ขี้เกียจ ขี้หลง ขี้โกรธ) ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เอาออกจากตัวใช่ไหม จริงๆ แล้วตัวตนเดิมแท้ ไม่มีขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงหรอกนะ แต่โลภ โกรธ หลงเกิดเมื่อเห็นสิ่งที่สวย ใช่ไหม แต่มีเมื่อเราขาดสติรู้ทัน ฉะนั้นไม่ต้องเอาออก แค่รู้ทัน โลภ โกรธ หลงก็ครอบงำเราไม่ได้ แต่ถ้ารู้ไม่ทันจะครอบงำเราทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาความรู้สึกที่เป็นตัวตน เป็นของตนออก) ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพราะถึงที่สุดแล้วตัวตนเราไม่มี คิดให้ได้อย่างนี้ให้ได้ตลอดนะศิษย์เอย
ศิษย์เอยอายุมากแล้วนะ อย่างที่อาจารย์บอก พิจารณาให้เข้าถึงธรรมบ่อยๆ ได้ไหม แล้วเราจะได้ปลดปลงปล่อยวางบ้าง การยึดมั่นถือมั่นไม่เคยได้อะไร
(เอาสิ่งสกปรก และความชั่วร้ายออก, จงทำความดี) ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์อีกอย่างก่อนกลับนะ
ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา เมื่อไม่มีตัวเราแล้วลูกเราก็ไม่มี ก็เป็นกรรมร่วมกันเท่านั้นเอง แล้วศิษย์อยากจะจบกรรมหรือเกี่ยวกรรมกันไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ ได้ไหม (ได้)
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ จงมีสติรู้ คิดไตร่ตรองให้ดี โดยมีธรรมเป็นเครื่องพิจารณานะ
เป็นศิษย์อาจารย์กัน ผูกพันกันแล้วไม่ทิ้งกันนะ
ศิษย์มีปัญญาดีนะ ขอให้ไปให้ถึงธรรม อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง อย่าดูถูกความดีงามในใจของตัวเอง แล้วทำสิ่งที่ผิดโดยไม่รู้จักคิด
จะให้เหล้ากับบุหรี่อาจารย์ไหม ให้แล้วต้องไม่กินอีกนะ
มีโอกาสก็มาศึกษานะ
อยากให้โรคภัยหายก็ต้องรู้จักหยุดสร้างกรรมนะ สิ่งใดที่เป็นสิ่งไม่ดีต้องรู้จักหยุดยั้ง อย่าเบียดเบียนสัตว์
จับมือแล้วต้องกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ต้องเป็นคนตั้งใจปฏิบัติดี อย่าเอาแต่เที่ยวเตร่เล่นไปวันๆ นะ เป็นคนดีเพื่อตัวเอง เป็นคนมีคุณค่าเพื่อตัวเอง
ปล่อยวางบ้าง อย่ายึดมั่นถือมั่น ไม่อย่างนั้นก็ทุกข์
แค่ทำให้ดีให้ถูกต้อง ก็ดีกว่ากอดอาจารย์อีกนะ
รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้
อาจารย์อยากเห็นศิษย์สิ้นทุกข์จริงๆ นะ ไม่เคยมาล้อเล่น ขอให้ศิษย์รู้จักลงแรงปฏิบัติ
อาจารย์ ไม่เคยล้อเล่นนะ ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ และศิษย์จะสิ้นทุกข์ได้อย่างไร ถ้าศิษย์เอาแต่ฟัง แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ศิษย์เอาแต่รู้แต่ไม่กระทำ น่าเสียดายนะ อย่าให้เสียเวลาเปล่า ฟังแล้วเอาไปทำให้ได้นะ สิ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งอาจารย์ใช่ไหม (ใช่) จงเป็นอาจารย์ของตัวเอง จงเป็นที่พึ่งของตัวเอง และจงหลุดพ้นด้วยตัวเอง และมีแต่ตัวเราที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ และตัวเราเท่านั้นที่จะดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ศิษย์
ตั้งใจเพียรไม่ท้อถอย มีสติรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ยอมแพ้ พากเพียรอุตสาหะไปให้ถึงที่สุดให้ได้นะศิษย์เอย อย่ารับปากวันนี้ แต่ถึงเวลาไม่ทำ เมื่อกรรมมาถึง ตอนนั้นแม้ศิษย์จะเรียกหาอาจารย์ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำอะไรไว้ ศิษย์ก็ต้องรับผลนั้น ฟ้าต้องยุติธรรม ใจอาจารย์ก็ต้องยุติธรรม แม้ศิษย์จะพลาดผิดไป อาจารย์ยังอยากให้ศิษย์ระมัดระวังตัวเอง คิด ทำ ให้ดี ก่อนกรรมมันจะตกผล ถึงตอนนั้นมันแก้ไม่ทันนะศิษย์ เชื่ออาจารย์เถิดนะ
วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
ไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้ ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามสัจธรรม
แม้ฟ้ามืดลงต่ำจงมีธรรม เมื่อเผชิญชะตากรรมธรรมเตือนใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ก่อนเป็นเพชรถูกเจียระไนไม่ถนอม เป็นเบ้าหลอมถูกทองสมประโยชน์
ต่างพอดีจึงเป็นก้าวกระโดด จิตวิโรจน์พิสุทธิ์หากคนเคร่งครัด
ออกแรงขัดการหยุดไม่ทุเลา จิตเกลี้ยงเกลาเพราะยากเข็ญขนาด
รู้หรือไม่ความล้ำค่าต้องปฏิบัติ เรื่องสารพัดพานพบดั่งกรวดเศษ
บำเพ็ญดั่งควรเป็นคงได้เป็น ชีวิตเห็นทั่วทั่วหินหยกเพชร
อย่าหลงเข้าไปในเหล่ากิเลส อารมณ์เจ็ด[๑]หลงก็บังดวงตา
ชีวิตคนดุจแค่หนึ่งก้านธูป ยึดติดรูปนามลวงเสียเวลา
หากมิใช่ปัญญาตาแห่งฟ้า หลายปัญหาอัตตาใจลวงหลอกตน
เป็นคนอย่านิสัยอารมณ์เป็นใหญ่ มีทิฐิที่สูงไประวังหล่น
มีสติไม่มีธรรมย่อมสับสน หรือเป็นคนจนใจไม่บำเพ็ญ
ฮา ฮา หยุด
๑อารมณ์เจ็ด ๑.ความปิติยินดี ๒.ความโกรธ ๓.ความเศร้าเสียใจ ๔.ความกลัว ๕.ความรักใคร่ ๖.ความเกรี้ยวกราดดุดัน ๗.ความอาลัยอาวรณ์ยึดติด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
วันนี้ฟังธรรมะด้วยความเข้าใจหรือฟังธรรมะด้วยความอดทน (เข้าใจ) ถ้าใช้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องใช้ความอดทน แต่ถ้าพยายามใช้ความอดทน เราจะไม่เข้าใจ เช่นเดียวกัน เมื่อใดเราใช้ความอดทนเมื่อนั้นเราจะไม่เข้าใจใคร แต่ถ้าเมื่อใดเราใช้ความเข้าใจเราจะไม่ต้องอดทนอะไรกับใครเลยจริงหรือไม่ (จริง) ที่ตอบว่าจริง ใช้ความอดทนหรือความเข้าใจ (เข้าใจ) ไม่จริง เพราะที่แล้วมามีแต่ใช้ความอดทนกับคนใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เข้าใจอะไรก็อดทนไว้ อดทนไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันวันนี้เราฟังธรรมะ ถ้ายิ่งฟังแล้วเรายิ่งอดทนมากเท่าใด แปลว่าเราไม่คิดที่จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น ถ้ายิ่งฟังแล้วต้องยิ่งอดทนมากๆ แปลว่าเราไม่เคยยอมรับความจริงที่อยู่ตรงหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่เคยยอมรับเลย เราแค่อดทนไว้ อดทนไว้ และเราก็ไม่เคยเปิดใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลยใช่หรือไม่ ถ้าเปิดใจต้องอดทนไหม (ไม่อดทน) ยิ่งถ้าเปิดใจยอมรับมากเท่าไร คำว่าอดทนจะไม่มีเลย แต่ถ้าเราปิดใจ นั่นแหละเราต้องอดทน ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าเช่นนั้นวันนี้ท่านจะอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจหรือจะอยู่ร่วมกันอย่างพยายามอดทนอดกลั้น อะไรอยู่ได้นานกว่า (อยู่ด้วยความเข้าใจ) และอะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขกว่า (ความเข้าใจ) แล้วไยอยู่ข้างนอกจึงใช้แต่คำว่าอดทน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ไม่มีใครหรอกที่อยู่ในโลกนี้แค่มองเห็นแล้วเข้าใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง ต้องค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้กันไป แต่ต้องเปิดใจสักนิดหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่ไม่ทันไรก็เอาแต่อดทน ฉะนั้นถ้าบอกว่าตัวท่านลำบาก ไม่ต้องห่วง มีเรามาร่วมลำบากดีไหม (ดี) คงยินดีต้อนรับเราบ้างไม่มากก็น้อยนะ อย่าพึ่งตั้งแง่รังเกียจกันเลยดีไหม เราอยู่ในโลกใครๆ ก็อยากให้คนรักไม่ใช่หรือ ไม่อยากให้ใครเกลียดเราไม่ใช่หรือ แต่ทำไมบางทีเราชอบตั้งแง่รังเกียจคนอื่นก่อนจริงไหม (จริง) เหมือนคำพูดว่า “แค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตา”
“ไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้ ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามสัจธรรม
แม้ฟ้ามืดลงต่ำจงมีธรรม เมื่อเผชิญชะตากรรมธรรมเตือนใจ”
ภัยที่เกิดจากธรรมชาติเรายังพอหลีกหนีได้ แต่ภัยที่เกิดจากความคิดการกระทำของตน หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ก่อนจะกลัวผู้อื่นควรกลัวใจตัวเองก่อน ก่อนที่จะระวังคนอื่นควรระวังใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมตอบว่า “ใช่” ทันทีเลย แสดงว่าใจท่านน่ากลัวละสิ ถูกหรือไม่
จะมองเราหรือมองธรรมะดีนะ มองข้ามความเป็นคนไม่พ้นก็ไม่มีวันเห็นธรรมนะ
มีคำกล่าวคำหนึ่ง “จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต อย่าล้อเล่นกับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) พูดใหม่นะ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นทุกข์ จงดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท ถามว่าคนโดยส่วนใหญ่ในโลกนี้กลัวทุกข์ไหม (กลัว) เคยหาทางดับทุกข์ที่แท้จริงไหม หาแค่ความสบายใจแค่ชั่วคราวใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ทุกคนล้วนกลัวความทุกข์ แต่ใครสักคนหนึ่งไหมที่หาการพ้นทุกข์ที่แท้จริง มนุษย์หาทางดับทุกข์แค่ไปหาความสุขแค่ชั่วคราว ไปหาความสบายใจ กราบพระเสร็จก็พอแล้ว แต่ถึงเวลาก็กลับมาทุกข์ไหม เหมือนไปกราบพระแต่เอาทุกข์ให้พระได้ไหม ทุกข์ก็ยังแขวนอยู่ที่ใจใช่หรือเปล่า ดังคำพูดที่ว่า “มนุษย์ไม่กลัวปัญหาแต่มนุษย์เหนื่อยกับการแก้ปัญหา” ใช่หรือไม่ (ใช่) ควรดับปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา แต่เรากลับไม่ดับที่ต้นเหตุของปัญหา เราดับที่ปลายเหตุ รอให้ปัญหามันตกผลแล้วเราค่อยไปแก้ เหมือนกันถ้ามนุษย์กลัวทุกข์ที่แท้จริงไยจึงไม่หาทาง ไยจึงเอาแต่ทุกข์และหาทางสบายใจแค่เพียงชั่วคราวเล่า
ฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้อย่างหนึ่งว่า “การเกิดเป็นมนุษย์เป็นภพภูมิที่ประเสริฐ เป็นภพภูมิที่สามารถพ้นทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้ด้วยตัวเอง แต่มนุษย์กลับดูถูกคุณค่าตัวเอง” ดังคำกล่าวว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ คนไม่เห็นคุณค่าตัวตนเอง ชอบหวังพึ่งข้างนอกเพื่อดับทุกข์ข้างใน” จริงหรือไม่ (จริง) ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วทุกข์ที่ข้างนอกหรือทุกข์ที่ข้างใน (ข้างใน) ทุกข์ที่ไหน (ที่ใจ) แล้วเราไปหาทางแก้ที่ข้างนอกแล้วเราจะแก้ที่ใจได้ไหม ซึ่งก็แก้ไม่ได้ใช่หรือไม่
เรามีดินแดนอยู่สองดินแดนให้ท่านเลือก ดินแดนหนึ่งคืออยากได้อะไรก็สมดังใจนึก กับอีกดินแดนหนึ่งไม่มีอะไรเลย เลือกดินแดนไหน
ใครเลือกดินแดนที่อยากได้อะไรก็ได้ดั่งหวัง ยกมือขึ้น ใครเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ยกมือขึ้น แล้วที่ไม่เลือกอะไร แปลว่าอย่างไรหรือ อยู่ตรงกลางปลอดภัยที่สุดใช่ไหม ไม่ถูกว่าผิดหรือถูกใช่ไหม (ใช่) แบบนี้เขาเรียกว่าเอาตัวรอดนะ ใครเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ถึงเวลาไม่เห็นทำได้อย่างที่พูดเลย เห็นอะไรก็อยากมี อยากได้ อยากเป็นไปหมด จริงไหม (จริง) ขอให้ท่านจำไว้อย่างหนึ่ง อย่าอยากมี อย่าอยากเป็น เพราะถ้าอยากมี อยากเป็นแล้ว ท่านจะหาทางพ้นไม่เจอ นั่นคือ ความทุกข์
ถามว่าอยากมีไหม (ไม่) อยากเป็นไหม แต่ทำไมเวลาความทุกข์มา
ทีไรถึงเป็นทุกข์ทุกที ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในดินแดนที่ไม่ต้องมีอะไร ไม่อยากอะไร เราต้องถามใจตัวเองก่อน ใจอยากอย่างหนึ่งแต่จริงๆ กลับกระทำอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยากเปลี่ยนชีวิต อยากเปลี่ยนชะตากรรม ไม่ใช่ไปให้หมอดูแก้ แต่มันต้องแก้ที่ความคิด นิสัย การกระทำของตน ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ในที่นี้กลัวทุกข์ไหม กลัวเคราะห์ไหม แล้วระหว่างที่กลัวทุกข์กับเคราะห์ กลัวอะไรมากกว่ากัน (ทุกข์) แต่เราว่ากลัวเคราะห์มากกว่าทุกข์นะ เมื่อเขาบอกว่าเราเคราะห์ร้ายรีบไปแก้ แต่เมื่อเรามีทุกข์เรารีบแก้ไหม (ไม่) แล้วทำไมถึงคิดว่าตนเองจะเลือกดินแดนที่ไม่มีอะไรเลย ในเมื่อท่านยังไม่เข้าใจว่าตัวเรานั่นเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งมวล ถึงแม้เราอยากอยู่ในดินแดนที่ไม่ต้องมีอะไร แต่ถ้าการปฏิบัติเป็นอีกสิ่งหนึ่งเราก็คือคนที่ทำร้ายตัวเองจริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราจะทำอย่างไร เราจึงจะสามารถอยู่ในดินแดนแห่งความไม่มีได้ ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนอยากที่จะมี อยากจะได้และอยากจะเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนง่ายๆ ว่า แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา ง่ายไหม (ง่าย) ทำได้ไหม (ไม่ได้) ทำไม่ได้เพราะอะไร เหมือนตอนนี้ขาของเราใช้ไม่ได้ เป็นคนที่พิการ แต่เราพิการแค่กาย ใจไม่พิการ เราเจ็บแค่ขาแต่ใจไม่เจ็บ นี่แหละแค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอา แล้วท่านทำได้ไหม
ถ้าอย่างนั้นเราจะบอกให้ท่านรู้ว่า ขึ้นชื่อว่าตัวมนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าสังขาร แล้วในสังขารมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าใจ และในใจมีอีกสิ่งหนึ่งที่ลึกลงเข้าไปอีกคือจิต หรือถ้าเรียกให้เป็นธรรมะหน่อยก็คือ พุทธจิตธรรมญาณเดิม ฉะนั้นสังขารเป็นสิ่งที่หนีความแก่ได้ไหม (ไม่ได้) หนีความเจ็บได้ไหม (ไม่ได้) หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) หนีความทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเจ็บแค่สังขารอย่าเจ็บใจ ทุกข์แค่กายอย่าทุกข์ใจ ถูกหรือไม่ (ถูก) สังขารเจ็บได้ แต่ใจอย่าเจ็บ ยากไหม (ยาก)
ถ้าใจของเรา หรือจิตของเรายังยึดกับความต้องมี ต้องเป็น ต้องได้ เราจะหนีไม่พ้นสัจธรรมที่เรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย และความทุกข์ ความไม่เที่ยง และความว่างเปล่า ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเรามองว่าสังขารนี้เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความว่างเปล่า มีใครหนีความแก่ได้ไหม หนีความเจ็บได้ไหม หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นถ้าเรายอมรับ เข้าใจ จะทำให้เราทุกข์ไหม (ไม่) แต่ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราแก่ เราทุกข์ไหม (ทุกข์) ถ้าเราไม่ยอมรับว่าเราเจ็บ เราทุกข์ไหม (ทุกข์) ทุกข์ทั้งกายและทุกข์ทั้งใจ แล้วเราเป็นแบบ
นั้นไหม ยอมรับไหมว่าเราขี้เหร่ ยอมรับไหมว่าเราโง่ (ยอม) ฉะนั้นก็คิดเสียว่าเป็นแค่กายไม่ใช่เป็นที่ใจ เป็นที่สังขารไม่ใช่เป็นที่จิตเดิมแท้ สังขารต้องการที่อยู่ สังขารต้องการคนดูแล สังขารต้องการความเอาใจใส่ แต่จิตเดิมแท้ที่เรียกว่าสภาวะธรรม ไม่ต้องการคนดูแล ไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการการเอาอกเอาใจ เพราะเป็นสภาวะธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้า ดินและผู้คน จึงยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงจิตเดิมแท้ยังยึดติดในตัวตนที่เรียกว่าสังขาร ก็จะหนีไม่พ้นวัฏฏะการเวียนว่าย เพราะมีตัวตนจึงมีกิเลส เมื่อมีกิเลสจึงมีวิบากกรรม เมื่อมีวิบากกรรมจึงมีการเวียนว่ายตายเกิดชดใช้หนี้เวรกรรม แต่ถ้าเกิดทุกครั้งที่เราดำเนินชีวิตล้วนทำไปเพื่อหน้าที่และปล่อยวาง ทำไปตามหน้าที่ และความถูกต้องชอบธรรม และปล่อยวางไม่ยึดมั่น เราจะมีตัวตนให้ยึดถือไหม (ไม่)
ฉะนั้น มนุษย์จึงเห็นแต่สังขารแต่ไม่เคยเห็นถึงจิตเดิมแท้ ถ้าเราเข้าถึงจิตเดิมแท้ว่า จิตเดิมแท้คือสภาวะธรรม สภาวะธรรมไม่ต้องการคนยึดมั่นถือมั่น จึงยิ่งใหญ่ จึงอเนกอนันต์ จึงไร้การยึดติดครอบครอง ใช่ไหม (ใช่) จึงไม่มีมาไม่มีไป ใช่ไหม (ใช่) แต่ไม่เข้าใจใช่ไหม อย่างนั้นเรายกตัวอย่างง่ายๆ ท่านเคยเห็นต้นไม้ไหม (เคย) มีต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ของเราเลย ต้นไม้จะเกิด จะตาย เราจะเดือดร้อนไหม ต้นไม้จะถูกแมลงกิน หรือต้นไม้ตกผลแล้วคนแย่งเอาไปกิน ถ้าไม่ใช่ต้นไม้ของเรา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ทำไมล่ะ (เพราะไม่ใช่ของเรา) ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าสังขารนี้เป็นของเรา หล่อ สวยเพื่อสังขาร ดูดีเพื่อสังขารใช่ไหม (ใช่) แล้วเราก็หลงในสังขาร ใช่ไหม (ใช่)
พอสังขารเจ็บ ใจก็ (เจ็บ) พอสังขารทุกข์ ใจก็ (ทุกข์) ทั้งที่จริงๆ แล้วสังขารเป็นของดิน น้ำ ลม ไฟและธรรมชาติ หาใช่ของเราไม่
ฉะนั้นพระพุทธจึงสอนง่ายๆ แค่รู้ไม่จำเป็นต้องเป็น แค่เห็นทุกข์ไม่จำเป็นต้องเอามาทุกข์ แต่มนุษย์กลับทำไม่ได้ น่าเศร้าไหม (เศร้า) แล้วก็จมอยู่ในความทุกข์ เหมือนเราถามว่า ถ้าคิดแล้วทุกข์ คิดไหม (ไม่คิด, คิด) คิดแล้วแย่คิดไหม เพราะความคิดเป็นต้นเหตุของการเกิดภพภูมิที่เรียกว่าตัวตนแห่งสังขาร เมื่อมีคิดจึงมีตัวรูป มีภพ ชาติ ชรา มรณา เหมือนกับเคยได้ยินไหมว่า “ถ้าเข้าใจไยต้องขบคิด ถ้าขบคิดแปลว่ายังไม่เข้าใจ” ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเราพูดง่ายๆ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นอะไร (สอง) คิดไหม (ไม่คิด) แทบจะไม่ต้องคิดก็ตอบได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหนึ่งบวกหนึ่งบวกสี่บวกห้า หารหกหารเจ็ดเท่ากับเท่าไร ต้องคิดไหม (คิด) ก็แค่ตอบง่ายๆ ว่าตอบไม่ได้ ยากหรือ บางครั้งมนุษย์ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก เพราะยอมแพ้ไม่เป็น ผิดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า อยากหยุดทุกข์ อยากเอาชนะทุกข์ อยากพ้นทุกข์ ขอแค่รู้ ไม่ใช่รู้เขา แต่รู้เรา ทำได้ไหม (ไม่ได้) ก็ไม่ได้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ก็เลยทำไม่ได้ อย่างที่เราบอก เกิดเป็นคน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ คือภพภูมิที่ประเสริฐที่สุด แม้เทวดาก็ยังอยากเกิดเป็นมนุษย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์สามารถสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ได้ การฟังธรรมก็เป็นการสั่งสมบุญบารมีเหมือนกันนะ แล้วยิ่งถ้าฟังแล้วเกิดปัญญา บุญบารมีนั้นก็ยิ่งจะยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ถ้าฟังแล้วโง่งมก็คือทำร้ายตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
มนุษย์อยากพ้นทุกข์ แต่เมื่อตัวเองทำไม่ได้แล้ว ก็เลยพึ่งพระ พึ่งอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่) เราถามนะว่า การพึ่งคน คนมีวันเปลี่ยนแปลงไหม (มี) มีวันไม่ดีไหม (มี) ถ้าอาจารย์ที่เราไปพึ่งเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์ ถ้าเขาไม่ดีเราก็เลยเสียศรัทธาในธรรม ช่างน่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินเรื่องพระอานนท์ไหม (เคย) พระอานนท์ตามพระพุทธเจ้ากี่ปี ตามจนพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์สำเร็จไหมทำไมไม่สำเร็จล่ะ ฟังก็มาก เพราะอะไร เพราะมัวแต่พึ่งพระพุทธองค์จนลืมพึ่งตัวเอง เพราะมัวแต่จะช่วยคนอื่นจนลืมช่วยตัวเอง มีพระองค์หนึ่งชื่อว่า พระวักกลิ หลงในรูปพระพุทธองค์มาก หลงในรูปลักษณะของท่านมาก เห็นแล้วชอบ สง่า ดู
เปล่งปลั่งรัศมีจังเลย ชื่นชมในตัวพระพุทธองค์ทุกๆ วัน วันไหนไม่เห็นพระพุทธองค์วันนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ จนวันหนึ่งพระพุทธองค์กล่าวกับพระวักกลิว่า “อย่ามัวแต่มองในรูปของเราเลย เพราะในรูปนี้ล้วนเน่าเปื่อยและไม่เที่ยง ไม่สามารถหาธรรมะแท้ในตัวเราได้ แม้เธอจะจับจีวรของเราแล้วเดินตามไปจนถึงที่สุดเธอก็ไม่สามารถพบธรรมได้” แต่ธรรมที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ที่ตัวพระพุทธองค์ แต่อยู่ที่ตัวของท่านทุกคน
ผู้ใดพบธรรม ผู้นั้นพบตถาคต ฉะนั้นอย่ามัวแต่มองออกเลย จงค้นหาธรรมในตน ธรรมนั้นจะทำให้ท่านตื่นรู้และเข้าถึงตถาคตได้ด้วยการมีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ดังคำกล่าวไว้ว่าอวิชชาก่อเกิดเป็นตัณหาอุปทาน ความไม่รู้ก่อเกิดเป็นความหลง ความอยาก ความยึดติด แต่ความรู้จะพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ แล้วรู้อะไร รู้ใจตัวเองใช่ไหม รู้ทุกขณะที่แม้กระทั่งคิด ถ้ารู้ทันแม้ขณะที่กำลังคิดและหยุดความคิดได้ นั่นก็หยุดภพ ชาติ ชรา มรณา และการเกิดแห่งตัวตนได้ จริงไหม (จริง) รู้ด้วยสติเท่าทันความคิด เพราะถ้ายังคิด ยังไม่เข้าใจแต่ถ้าเข้าใจ ไม่ต้องคิด เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม รู้รักษาใจให้ปกติ เรียกว่า ศีล รู้แล้วรักษาใจให้มั่นคง เรียกว่า สมาธิ รู้แล้วกระจ่างแจ้ง เรียกว่า ปัญญา เราเคยรู้แล้วจิตปกติไหม แต่เรามักรู้แล้วมีอารมณ์ ตัดสินดี ไม่มี รู้แล้วต้องมีเขามีเรา ใช่ไหม (ใช่) รู้แล้วเป็นตัวตน รู้แล้วเป็นกิเลส ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ที่เรียกว่า ทุกข์ บาป เวร กรรม แต่ถ้ารู้ นิ่ง วาง รู้ มั่นคง กระจ่างแจ้งและปล่อยวาง นี่แหละที่เรียกว่า หยุดการเกิด ไม่เกิดอีกแล้ว ตายตอนที่ถูกกระทบ ตายตั้งแต่ยังไม่ทันคิด แต่มนุษย์ชอบสร้างเหตุ โลภแล้วค่อยไปให้ทาน โกรธแล้วค่อยไปนั่งสมาธิ เหมือนที่เราพูดตั้งแต่ต้นว่า มนุษย์ไม่กลัวปัญหาแต่เหนื่อยกับการแก้ปัญหา มนุษย์กลัวทุกข์แต่ไม่หาทางดับทุกข์ ฉะนั้นคำว่านิ่งจนสะท้อนเงา ก็ยังมีสิ่งที่ให้ฝุ่นลงจับ แต่ถ้านิ่งจนไม่มีอะไรให้สะท้อน ฝุ่นจะลงจับอะไร
มนุษย์มักจะพูดบอกว่าต้องจิตนิ่งเพื่อสะท้อนความเป็นจริง ถ้ายังต้องสะท้อนนั้นแปลว่ายังมีที่ให้ฝุ่นเกาะ ดังที่ท่านเว่ยหล่างกล่าวไว้ว่า “กระจกก็ไม่มี ต้นโพธิ์ก็ไม่มีแล้วฝุ่นจะเกาะอะไร” เฉกเช่นเดียวกันจิตเดิมแท้ไม่มีตัวไม่มีตน แต่มนุษย์หลงผิดยึดติดในสังขาร ติดในใจที่ตัวเองสร้างนิสัยชอบแบบนั้น ชอบแบบนี้แล้วก็มาบดบังจิตเดิมแท้ แล้วก็สร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นขอแค่รู้ ภพชาติหยุดทันที กรรมหยุดสร้างได้ทันที แต่เรารู้ไหม ฉะนั้นกฏเกณฑ์ของธรรมชาตินานาทั้งมวล ล้วนเริ่มต้นที่ใจและก็ต้องจบที่ใจ แก้คนอื่นไม่ได้ต้องแก้ที่ใจเรา เหมือนเราถามท่านว่า “ถ้าใจเราดีมองเห็นใครๆ ก็ดี” แต่ถ้าใจเราร้าย มองเห็นใครๆ ก็ไม่เห็นดีเลย ฉะนั้นเหมือนกัน ถ้าใจเราไม่มีอะไรเลย เราจะมองคนอื่นมีปัญหาไหม แต่ถ้าใจเรามีปัญหาคนอื่นก็เลยเป็นตัวปัญหา
เหมือนกันวันนี้ถ้าท่านเอาแต่มองเรา ท่านก็จะไม่เห็นธรรม เพราะมัวแต่ยึดติดคนจึงไม่เห็นธรรมในตัวบุคคล ยากไหม (ฟังง่าย) ฟังง่ายแต่ทำยากใช่หรือเปล่า ฉะนั้นเราจึงอยากให้ท่านรู้ว่า อย่าเอาแต่พึ่งคนอื่นจนดูถูกคุณค่าแห่งความเป็นคน อย่าเอาแต่พึ่งพระพุทธะ จนลืมพระพุทธะในใจตน ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่จะทำให้เราทุกข์ก็คือตัวเราเอง คนที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ก็คือ (ตัวเราเอง) ใช่หรือไม่ (ใช่) ยืมมือของคนอื่น เขาก็ช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่ถ้าเรารู้จักพึ่งตัวเอง นำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ดีกว่าไม่ใช่หรือ (ใช่)
พระพุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ล้วนกล่าวไว้ว่า ธรรมแท้จริงไม่ใช่อยู่ที่คัมภีร์ ไม่ใช่อยู่ที่วัด แต่มีอยู่ในใจของทุกๆ คน แล้วธรรมที่ทำให้เราเข้าใจ และค้นพบธรรมได้นั่นคืออะไรรู้ไหม คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า ล้วนเรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วความเป็นเช่นนั้นเอง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตถาคต จริงไหม ฉะนั้นผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต และธรรมที่พระตถาคตเห็นคืออะไร คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และถึงที่สุดจะดีจะร้ายอย่างไรก็แค่นั้นเอง และสิ่งที่ทำให้เราเห็น เข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตถาคต ฉะนั้นเมื่อไรเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง ก็คือเข้าใจความเป็นตถาคต เมื่อใดเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อนั้นก็เห็นตถาคต และเมื่อใดเห็นตถาคตเมื่อนั้นก็เห็นธรรม ยากตรงไหน
ยากตรงที่ไม่เคยมีสติจะมองเห็นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็เห็นความแก่ทุกวันใช่ไหม ยามตัวเองแก่เห็นไหม ยามตัวเองเจ็บเห็นไหม ยามตัวเองทุกข์เห็นไหม แล้วยึดทำไม แค่เห็นไยต้องเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) แค่รู้ไยต้องเอา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราจะสรุปตอนท้าย ถ้าวันนี้มีสองทางให้เลือก ทางหนึ่งพบพระพุทธองค์ ทางหนึ่งพบทางดับทุกข์ เลือกทางไหน (ทางดับทุกข์) ขอดูหน้าคนเลือกทางดับทุกข์หน่อย ถึงเวลาจริงๆ ไปไหว้พระวัดสวยๆ ก่อน ไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง แต่มีเวลาไปเที่ยว ใช่หรือเปล่า เพราะการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติได้ทุกที่ที่ใจเราคิด คิดร้ายตกนรก คิดดีขึ้นสวรรค์ แต่พ้นจากความคิด พระพุทธะเรียกว่าพระนิพพาน ใช่ไหม แล้วเราถึงไหม
วันนี้ถ้าเรามาผูกบุญสัมพันธ์แค่สั้นๆ กับท่านได้ไหม (ได้) มากกว่านี้ก็ได้หรือ เราว่าใจท่านเริ่มรู้สึกจะรับไม่ไหว รู้สึกว่าฟังเยอะแล้วใช่ไหม
ไหวไหม (ไหว) ใจของมนุษย์กว้างจนหาที่สุดไม่ได้ แต่บางครั้งก็แคบจนเหลือเล็กนิดเดียว อยู่ที่ว่าสู้หรือไม่สู้แค่นั้นเอง เอาหรือไม่เอา ถ้าเอาอะไรๆ ก็ไหว ถ้าสู้ยังไงๆ ก็ไป เราให้โอวาทจบแล้วนะ เราสรุปง่ายๆ สั้นๆ ก่อนจากกัน
อย่าลืมว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีพุทธจิตธรรมญานเดิม อย่ามัวหลงกับสังขารจนลืมจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ไม่ต้องการเจ้าของ ไม่ต้องการที่อยู่ ขอแค่เพียงเข้าถึงสภาวะธรรมที่เป็นเช่นนั้นเอง แต่มนุษย์กลับกลัวการบำเพ็ญธรรมที่เดินไปสู่ความว่างเปล่า ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนมุ่งสู่ความตาย ที่เรียกว่าปล่อยวางและว่างเปล่าอันเป็นจริง ฉะนั้นถ้าไม่เรียนรู้ ฝึกฝน และมองให้เห็นธรรม ธรรมนั่นแหละจะกลับย้อนมาให้เราต้องรู้ ต้องเข้าใจ เหมือนขึ้นชื่อว่าชีวิต มีชีวิตใครบ้างไม่เปลี่ยนแปลงคงอยู่นิจนิรันดร์ ไม่เจ็บป่วย (ไม่มี) เมื่อถึงตอนนั้นค่อยไปทำใจ ทันไหม (ไม่ทัน) แล้วทำไมตอนนี้ไม่ฝึกไว้ล่ะ เจ็บกายไม่เจ็บใจ ทุกข์กายไม่ทุกข์ใจ
ฉะนั้นเราจึงเรียนรู้อีกว่า สติ คือ คุณธรรมอันอเนกอนันต์ ที่มีคุณค่ายิ่งนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงมีสติ แค่รู้อย่าเป็น แค่เห็นแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น เท่านี้เองนะ ขอแค่ท่านเอาธรรมไป อย่าเอาตัวคนไป เจอเราเอาธรรมไป อย่าเอาตัวเราไป เพราะตัวเราไม่เที่ยงและมีทุกข์ อยากพบธรรมจึงต้องมีสติรู้เห็นธรรมในตัวคน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่าดูเบาธรรมในตนเอง ธรรมในตัวเรามีคุณค่าและนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระพึ่งเจ้า เพราะถึงที่สุดแล้วเราต้องพึ่งตัวเราเอง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนดีรู้ว่าตนผิดตรงไหน ไม่ว่าใครเพื่อให้ตนดีขึ้นหนา
เห็นเขาผิดย้อนมองตนพิจารณา ยามตนผิดจึงรู้ว่าเห็นใจกัน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเบื่อฟังธรรมไหม
*ชีวิตคือการแบกรับ กำชับในหัวใจ ปัญหาเข้ามามากมาย เรียนรู้ไว้สอนตน
บำเพ็ญธรรมจริงจริง บำเพ็ญใจเยี่ยงฟ้า เอิบอิ่มหัวใจ
บำเพ็ญธรรมทำไม คำตอบมาจากไหน ที่จิตของตน ให้ธรรมคลายทุกข์ทน ทุกข์ทนหรือกังวล จิตใจเป็นของตน ไม่จับไม่ฝืนตน
ทำตัวตามสบาย ทำตัวตามสมัย ไม่กฎไม่เกณฑ์ ทำตัวตามจำเป็น บางทีก็ทะเล้น ขี้เกียจสนใจ เมื่อใดหยั่งรู้จริง ทุกสิ่งได้พบใจ เปลี่ยนตรงความเข้าใจ แล้วจะนิสัยเดิม ไม่มีทาง
**เหมือนกันกับทุกทุกวัน คล้ายผ่านอยู่ที่เดิม ไม่เบื่อกันบ้างหรือไร ถึงทำไม่สน แม้เบื่อในเรื่องร้อยพัน บำเพ็ญไม่ลืมย้อนตน การเปลี่ยนแปลงนิสัยตนทำได้เลย
ทำไมยังดึงดัน ทำไมจะดื้อรั้น เก่งกาจไม่เกรง ทำไมทำตัวเองจนคนเบือนหน้าหนี เรื่องแบบนี้ศิษย์คุ้น(กัน)บ้างหรือเปล่า (ซ้ำ**, *)
ทำนองเพลง : สองคนในร่างเดียว
ชื่อเพลง : นิสัยคนชวนเบื่อ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ดีใจไหมที่ได้พบกัน (ดีใจ) นึกว่าดีใจที่ไม่ต้องฟังหัวข้อแล้ว เดินให้รอบๆ ศิษย์ อาจารย์จะได้เห็นหน้าชัดๆ นะ สบายดีกันไหม อาจารย์ถามหน่อยนั่งฟังวันที่สองแล้วรู้สึกเบาขึ้นไหม (เบา) สบายขึ้นไหม (สบาย) ถ้านั่งฟังธรรมแล้วยังรู้สึกหนัก ร้องเพลงก็หนัก ฟังธรรมะก็หนัก ฟังแล้วหนักหรือฟังแล้วเบา (เบา) หมายความว่าถ้าฟังแล้วยึดถือ อันนั้นก็ถือ อันนี้ก็ยึด ฟังแล้วก็หนัก แต่ถ้าฟังธรรมแล้วไม่ถือ รู้แล้วไม่ถือ เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกเบา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ายิ่งฟังแล้วใจยิ่งโปร่ง ใจยิ่งโล่ง ใจยิ่งสบาย แปลว่าขณะที่ฟังแล้วไม่ยึดถืออะไร แต่ถ้าฟังแล้วรู้สึกหนัก ไม่สบายใจ ไม่โล่งใจ แปลว่า ขณะฟังใจแอบยึดถืออะไรไว้แล้วไม่ยอมจนสุดใจ ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “มนุษย์หูตาไม่สว่างก็เพราะใจชอบยึดมั่นถือมั่น” ฟังธรรมแล้วปลงได้ ปล่อยได้ มันก็อิสระ มันก็สบาย จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเรามัวแต่คิดว่า “ดูคนพูดธรรมะก็รู้ว่ายังเด็กอยู่เลยมาพูดให้ฟัง ฉันอายุตั้งเท่าไรแล้ว” เราคิดแบบนี้ฟังแล้วจะได้อะไรไหม ได้ความทุกข์หรือความสุข (ทุกข์)
“คนดีรู้ว่าตนผิดตรงไหน ไม่ว่าใครเพื่อให้ตนดีขึ้นหนา
เห็นเขาผิดย้อนมองตนพิจารณา ยามตนผิดจึงรู้ว่าเห็นใจกัน”
ศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้เป็นคนดีไหม (ดี) ดีที่หนึ่งเลยหรือไม่ (ดีที่หนึ่ง) เวลามีใครมาว่าคนดีที่หนึ่ง ศิษย์จะโต้แย้งไหม (ไม่โต้แย้ง) ไม่โต้แย้งหรือ อาจารย์เห็นเวลามีใครไม่ดีก็รีบว่าเขาเลย ใช่หรือไม่
ศิษย์เอย อาจารย์จะบอกให้ เรื่องราวในโลกใบนี้ เริ่มที่ไหนก็ต้องจบที่นั่น ปัญหาเกิดจากตรงไหน ก็ต้องแก้ที่ตรงนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ตัวไหนที่เป็นต้นเหตุทำให้เรามีเรื่องมีราว ก็คือตัวนั้นที่เราต้องรีบไปแก้ไข ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นตัวไหนล่ะ ที่ทำให้เราทุกข์จนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ทุกข์บ่อยๆ ฉะนั้นก่อนจะโทษสิ่งใดไกลๆ โทษสิ่งใดว่าเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ลองถามใจเราก่อนว่าใจเราผิดหรือเปล่า จริงหรือไม่ (จริง) อาจารย์ขอถามฝ่ายชาย เหล้ามันชั่วไหม เหล้าไม่ชั่วแต่คนตกเป็นทาสของเหล้าชั่ว จริงหรือ (จริง) อาจารย์ถามฝ่ายหญิงว่าผู้หญิงชั่วไหม (ไม่ชั่ว) ผู้หญิงที่รักไม่เลือก ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของ แล้วก็ไปรักเขา ชั่วไหม (ชั่ว) ฉะนั้นก่อนจะไปว่าคนอื่นต้องถามใจเราก่อน ผู้หญิงที่ไปรักคนมีเจ้าของชั่วไหม บางทีเขาอาจจะไม่ชั่ว แต่สามีเรานั่นแหละที่ไปบอกเขาว่า “ฉันไม่มีใคร” ก่อนไปว่าคนอื่นชั่ว ถามสามีเราก่อน อ้าปากเขาได้ไหม อาจารย์ถามว่าโลภ โกรธ หลง เลวไหม แย่ไหม (ไม่) แต่ทำไมคนที่มีโลภ โกรธ หลง ทั้งเลวทั้งแย่ เพราะโลภ โกรธ หลง หรือเพราะคนที่ใช้โลภ โกรธ หลง (คนที่ใช้โลภ โกรธ หลง) บุหรี่เลวไหม หวยไม่ดีไหม (ไม่ใช่) ศิษย์เอยก่อนจะไปว่าสังคมไม่ดี กิเลสไม่ดี ก่อนจะไปว่าคนอื่นไม่ดี ให้ถามตัวเราเองก่อนว่าตัวเราไปมีสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วเราปฏิบัติได้ดีหรือ ปฏิบัติได้ไม่ดี ก่อนจะไปชี้หน้าว่าคนอื่นจริงๆควรหันหลับมามองตัวเราก่อนใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มักจะอยากจะทำดี แต่หากคนที่เราจะทำดีด้วยไม่เห็นคุณค่า เราก็ด่าเขาเลยว่าเป็นคนไม่ดี ไม่เคยเห็นคุณค่าเราเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ทำดีก็เพราะอยากทำดีด้วยตัวเอง ศิษย์ไม่ได้ทำดีเพราะศิษย์ต้องการจะให้ใครมาชม ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าหากใครว่าเรากลับ ทำไมต้องโกรธเขา ก็ศิษย์ตั้งใจจะทำเอง จริงไหม (จริง)
ศิษย์จำไว้นะว่าโลกใบนี้มีทางเลือกเสมอ ถ้าคิดชั่วแล้วไม่ดี ทำไม่จึงไม่คิดให้ดี และคิดให้พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคิดทางหนึ่งแล้วไม่รอด ทำไมไม่คิดอีกทางหนึ่งให้รอด ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่า ในที่ที่ศิษย์คิดว่าทุกข์ แต่พุทธะบอกว่าสามารถสิ้นทุกข์ได้ ในที่ที่ศิษย์บอกว่าเป็นกิเลส พุทธะบอกว่าสามารถทำให้ศิษย์เป็นพุทธะได้ และในที่ที่ศิษย์ว่าเลวร้าย พระพุทธะบอกว่าสามารถทำให้ศิษย์พบแสงสว่าง ฉะนั้นแค่พลิกความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน แค่มองให้ชัด ความคิดการดำเนินชีวิตก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ใช่ไหม (ใช่)
(ในตอนแรกพระอาจารย์เมตตาถามว่าศิษย์จะยืนกับพระอาจารย์ไหม ศิษย์ก็บอกจะยืนเป็นเพื่อนกับพระอาจารย์ พระอาจารย์บอกจะยืนสามชั่วโมง ศิษย์ก็บอกว่าจะยืนสามชั่วโมงด้วย ตอนนี้ทุกคนรู้สึกเมื่อยจึงขอเชิญพระอาจารย์นั่ง พระอาจารย์ยังไม่รับปากว่าจะนั่ง)
อยากนั่งไหม (อยาก) อย่างนั้นอาจารย์ถามผู้มีปัญญา ทำอย่างไรตัวเราถึงจะได้นั่งโดยจะไม่ถูกเรียกว่ากลืนน้ำลายตัวเอง (ให้อาจารย์นั่ง)เพราะอาจารย์ยืนสามชั่วโมงศิษย์จะก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์สามชั่วโมง แต่ถ้าเมื่อไรอาจารย์นั่งศิษย์ก็จะได้นั่งใช่หรือไม่ (ใช่) คิดได้แค่นี้จริงๆ หรือ มีใครกล้าคิดต่างจากคนอื่นว่า “อาจารย์ ศิษย์ขอเสียสละยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ แทนทุกๆ คน แล้วขอให้ทุกๆ คนได้นั่ง ศิษย์ยอมยืนคนเดียว” มีใครคิดแบบนี้ไหม บางครั้งถ้าเราอยากจะก้าวให้คนอื่นมากกว่าหนึ่งก้าว เราต้องทำอะไร เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่ามนุษย์หูตาฝ้าฟางก็เพราะจิตใจยึดมั่นหมายแต่ถ้า เมื่อไรปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางความยึดมั่นเราจะเป็นอิสระจากทุกๆ สิ่ง
ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่าทุกคนต้องยืนแต่ถ้าศิษย์ก้าวออกมามากกว่าคนอื่น อาจารย์หนูขอยืนคนเดียว และยอมให้ทุกคนนั่ง และหนูจะยืนสามชั่วโมงเป็นเพื่อนอาจารย์ ขนาดพูดจนจบเป็นรอบที่สองยังไม่มีคนทำเลย ยอมไหม (ยอม) คนที่เหลือยอมหรือไม่ ศิษย์เอย ปลาตัวเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าปลาทุกตัวพร้อมใจกันยกมือ “หนูยอมค่ะอาจารย์” ถามจริงๆ ว่าอาจารย์จะไม่เปลี่ยนใจหรือ มัวแต่ห่วงตัวเองเราจึงไม่สามารถแก้ปัญหา แก้ทุกข์ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ตบมือให้คนยอมยกมือหน่อย
ใครจะยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ยกมือขึ้น ทำไมต้องรอให้อาจารย์บอก ในเมื่อเรากล้าทำ กล้ายอมรับ และเรากล้าเผชิญความจริง ทุกข์จะน่ากลัวอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกข์มีแต่อาจจะแปรร้ายให้กลายเป็นดี แปรหนักให้กลายเป็นเบา ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ตกลงยืนหรือไม่ (ยืน) ศิษย์รักนั่งลงได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนยืนนั่ง ตามคำบอก) เพราะสิ่งสำคัญในการฝึกฝนเรียนรู้ธรรมคือต้องมีสติและก็ต้องมีปัญญาคิด พิจารณาไตร่ตรองตามด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อสักครู่อาจารย์เริ่มต้นง่ายๆ ว่า ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีความสิ้นทุกข์ ที่ใดมีกิเลสที่นั่นก็มีที่ (สิ้นกิเลส) ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มที่นี่ ก็ต้องละที่นี่ และก็ต้องจบที่นี่ ถ้าอาจารย์บอกว่าตัวเราเป็นต้นเหตุของเรื่องราวนานา ศิษย์อาจจะแย้งอาจารย์ว่า “ไม่จริงหรอกคนอื่นต่างหากที่ทำให้หนูไม่ดี” ใช่หรือไม่ (ใช่,ไม่ใช่)
บางคนก็บอกว่า ใช่ บางคนก็บอกว่าไม่ใช่ อย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์ดูง่ายๆ คนในโลกนั้นก็อยากเป็นคนดี อยากเป็นคนมีเมตตา แต่คนบางคนทำไม่ได้ เหมือนทำความดีแล้วก็หวังได้อะไรจากเรา คนบางคนทำดีกับเรามาก แต่ใจเราระแวงว่าไม่น่าจะใช่นะ เขาน่าจะไม่ได้หวังดีจริงๆ หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจริงๆ แล้ว เขาดีหรือไม่ (ดี) แล้วใครที่ไม่ดี (ตัวเรา) แต่หากเขาเป็นคนไม่ดีจริงๆ ศิษย์ก็จะบอกว่า “บอกแล้ว พ้นจากที่ฉันพูดที่ไหน เขาไม่ดีเลย” แล้วเราก็ชิงชังจนเขาไม่มีจะยืนอยู่ในโลกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนดีของอาจารย์เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเลย เห็นใครดีก็ระแวง พอใครผิดหน่อยก็เหยียบให้จมดิน ไม่ต้องมีที่ยืน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ก็เป็นคนที่ทำให้คนดีไม่มีกำลังใจ และไม่เคยให้โอกาสคนชั่ว อาจารย์จะบอกให้นะ ถ้าอยู่ในโลกแล้วไม่อยากผิดหวัง จงยอมรับว่าไม่มีใครดีที่สุด เราจะได้ไม่เคืองโกรธ และให้ยอมรับว่าไม่มีใครแย่เกินรับได้ เราจะได้ไม่ขับไล่ไสส่งเขาจนไม่มีที่ยืนอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเจอใคร อย่าหลงในความดีเขามากเกินไป และอย่าเกลียดเขาจนเขาไม่มีที่ยืนอยู่
ถ้าศิษย์พบคนไม่ดี บางทีก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่า “คนคนนี้ไม่มีจิตสำนึกเลยหรืออย่างไร ถึงได้เลวร้ายขนาดนี้” ศิษย์เคยคิดแบบนี้หรือไม่ (เคย) อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ผ้าที่ปล่อยให้สกปรกแล้วค่อยซักให้ขาว กับผ้าที่ไม่ยอมสกปรกเลย อะไรจะขาวกว่ากัน (ผ้าที่ไม่ยอมสกปรก)
คนบางคนเขาจะไม่มีจิตสำนึกแต่ถึงเวลาเขาเลือกทำอะไรก่อนและทำอะไรหลัง สมมุติว่าองค์มารดาเมตตาประทานผลไม้ทิพย์มาหนึ่งลูก และบอกให้อาจารย์จี้กงไปแจกทุกๆ คน ถามว่าถ้าศิษย์เป็นอาจารย์จี้กงศิษย์ว่าศิษย์จะรับผลไม้นั้นมาไหม (รับ) พระองค์มารดายังบอกอีกว่าผลไม้นี้เป็นผลไม้ทิพย์ ใครที่ป่วยกินแล้วจะแข็งแรง ใครที่ปัญญาไม่ดีจะมีปัญญาดี ถ้าผลไม้ทิพย์นั้นอยู่ในมือศิษย์ แล้วศิษย์จะเอาไปแบ่งใครหรือไม่ (แบ่ง) แบ่งให้ใคร ถามใจศิษย์ทุกคน อันดับแรกแบ่งไว้ให้ที่บ้านก่อน กินเองก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันใช่หรือไม่ เหมือนกับในโลกนี้ทางเลือกมีให้เดินแต่พอถึงเวลาคนทุกคนเลือกทางที่เสียสละ ไม่มีโลภ ไม่มีกิเลส ไม่มีหลง หรือว่าเลือกทางที่โลภ โกรธ หลงให้เต็มที่ก่อนแล้วค่อยไปทำดีไถ่ทีหลัง ฉะนั้นถามว่าเขาไม่มีจิตสำนึกหรือ อาจารย์ว่าไม่ใช่นะ ถ้าตอนนี้ศิษย์มีโอกาสได้ผลไม้เป็นองุ่นหนึ่งเม็ดจากอาจารย์ ให้เอาไปแบ่งทุกคน
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ยึดมั่นหมายว่าผลไม้นั้นลูกเล็กหรือใหญ่ จะแบ่งได้ทุกคน ถ้าศิษย์ไม่ยึดมั่นหมายว่ามีอยู่แค่นี้ ศิษย์ว่าจะช่วยคนได้ทุกคนหรือไม่ อย่าดูเบาว่ามีแค่นี้ แต่ถ้ามีแค่นี้แล้วคิดอย่างคนมีปัญญาเราก็จะไม่มีวันทุกข์ อย่างนั้นคิดได้ไหมว่าทำอย่างไรถึงจะได้กินทุกคน ถ้าคิดได้จะได้นั่ง ถ้าคิดไม่ได้ก็ไม่ได้นั่ง มีใครคิดได้บ้าง (ให้เขาชิมคนละนิด,ให้ดมคนละหน่อย,องุ่นเม็ดนี้เป็นองุ่นวิเศษ เป็นองุ่นที่อาจารย์จี้กงมอบให้ ศิษย์ไม่รู้จะแบ่งปันกับใคร ขอเอาไปแช่ในน้ำหนึ่งถังแล้วเอามาแบ่งกันกินคนละแก้ว)
ศิษย์เอยบางครั้งยาวิเศษก็ไม่สู้ใจที่วิเศษ ใจที่ประเสริฐ เจอทุกข์อย่างไร เจอปัญหาอย่างไรก็หาทางออกได้ น้ำกินเข้าไปเดี๋ยวก็ออก ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์จะให้ศิษย์อาจารย์ให้ปัญญาดีกว่าไหม ปัญญาที่ไปอยู่ที่ไหนไม่มีวันอับจน ถ้ากินแล้วคิดไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์จริงหรือไม่ เหมือนกันนะศิษย์ถ้าเขาชี้หน้าด่าเรา “แกมันโง่ แกมันไม่ได้เรื่อง แกมันดำ แกมันแย่” แต่ถ้าเราคิดได้ คิดเป็น พิจารณาหาทางออกได้ หาทางออกเป็น การถูกว่าแย่ การถูกว่าไม่ดี การถูกว่าดำก็ไม่ทำให้เราทุกข์จริงหรือไม่
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะที่ใดที่มีทุกข์ที่สุดที่นั้นศิษย์จะต้องหาทางพ้นทุกข์ให้ได้ ที่ใดทำให้ศิษย์เจ็บปวดที่สุดที่นั่นจะทำให้ศิษย์พ้นความเจ็บปวดได้ แล้วถ้าศิษย์พบตรงนั้นแล้ว โลกนี้จะมีอะไรที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์จี้กงทุกข์ได้อีกต่อไป ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ไม่สำคัญว่าคนอื่นเขาว่าเราอย่างไร แต่สำคัญตรงที่หลังจากโดนเขาว่าเราแล้วจะวางตัวเช่นไร ถ้าเราไม่ยึดติด เราไม่ถือมั่น ยิ่งเขาว่ามากเท่าไร ใจเรายิ่งกว้างมากเท่านั้น ยิ่งให้อภัยได้มากเท่านั้น ยิ่งได้ปลดปลงตัวตนมากเท่านั้น นี่จึงเรียกว่า แปรร้ายให้เป็นดี แปรทุกข์ให้เป็นการพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นที่ใดที่ทุกข์ที่สุด ที่นั่นก็สามารถเป็นนิพพานที่สงบเย็นที่สุด จริงหรือไม่ (จริง) ทำได้ไหม (ได้) อย่างนั้นเดี๋ยวมาดูกันว่าจะได้จริงหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นและนักเรียนในชั้นออกมา)
สมมติว่ามีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง อาจารย์มีหัวหน้าอยู่คนหนึ่งแล้วอาจารย์ก็มีเพื่อนร่วมบำเพ็ญอยู่คนหนึ่ง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งที่แสดงบทบาทสมมติเป็นหัวหน้านั่งบนเก้าอี้ แล้วเอากระดานมาบัง)
สมมติว่าเราอยู่ในโลกเป็นธรรมดาที่เราจะอยู่ร่วมกับเพื่อนในสังคมถูกหรือ ไม่ (ถูก) บางทีเราก็พยายามทำให้ดี แต่บางครั้งการพยายามทำให้ดีของเราก็มีผลกระทบต่อคนรอบข้าง จริงหรือไม่ (จริง) เราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น) เรื่องเสนอหน้าขอเอาก่อนคนแรก แต่เรื่องทำงานหนักโยนให้เพื่อนก่อน ใช่หรือไม่ เจอคนแบบนี้เป็นอย่างไร (เหนื่อย) ถ้าเหนื่อยแล้ว คนก็ยังไม่เห็นคุณค่า ศิษย์รับได้ไหม (ต้องรับให้ได้) ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้มีโอกาสก็อย่าว่าคนอื่นเลว อย่าว่าคนอื่นร้าย สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือใจของเราใช่หรือไม่ ที่น่ากลัวกว่าใครในโลกนี้ คนชั่วเราเห็นชัดว่าชั่ว แต่คนดีที่คิดชั่วน่ากลัวยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก่อนจะว่าคนอื่น ถามตัวเราว่าดีกับคนอื่นอย่างสุดจิตสุดใจหรือยัง ก่อนที่จะเรียกร้องให้คนอื่นเขาดีอย่างสุดจิตสุดใจ ใช่ไหม (ใช่) เสียสละเพื่อคนอื่น แล้วให้คนอื่นได้หน้า แม้เราจะไม่ได้อะไรเลย ศิษย์จะทำใจได้ไหม (ได้) ทำให้ได้นะ ถ้าทำได้ สละได้ ยอมให้ได้ ศิษย์จะเข้าใจคำว่า เข้าถึงธรรมและหัวใจที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้ายอมไม่ได้ สละไม่ได้ ศิษย์ก็จะพบแต่ความโกรธ ความเกลียดและนรกในใจ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้กับนักเรียนที่ร่วมแสดงบทบาทสมมุติ)
เอาแอปเปิลไปทำอะไร (กิน) ศิษย์เอ๋ยอยากได้ก็อย่าได้แค่ตัวเอง คุณค่าก็จะอยู่แค่ตัวเอง อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักส่งต่อบุญที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่บุญที่เข้าหาตนเอง แต่เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้พ้นกรรมเวรพ้นการเวียนว่าย คือสละให้ไม่ยึดถือไม่หวังผลใดๆ นั่นแหละยิ่งใหญ่กว่าทำบุญแล้วหวังผล อาจารย์ถามศิษย์ว่าเอาแอปเปิลให้ใคร (เอาไปให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหาร, เพื่อนๆ, บูชา) องุ่นเอาให้คนอื่น แอปเปิลจะเอาให้ใคร (เอาไปให้ลูกหลานที่บ้าน) บางทีเอาไปให้เพื่อนบ้านอาจจะดีกว่าให้ลูกหลานนะ
ธรรมะคือสิ่งที่ศิษย์ทุกคนล้วนอยากจะมี อยากจะเข้าให้ถึง ก่อนจะเข้าถึงธรรมต้องถามศิษย์ว่าศิษย์ทุกคนอยากมีทุกข์หรืออยากสิ้น ทุกข์ (สิ้นทุกข์) มีคำพูดว่าเมื่อไรเราสิ้นกิเลส เราก็สิ้นทุกข์จริงไหม (จริง) ถึงว่าไม่เคยสิ้นทุกข์สักที
ถ้าเมื่อใดเราสิ้นกิเลสเราก็สิ้นทุกข์จริงไหม (จริง) แต่มนุษย์มักจะแก้กลับกันว่าเมื่อไรเราสิ้นทุกข์ได้เราสิ้นกิเลสได้ ฉะนั้นจึงไม่มีวันสิ้นทุกข์ เพราะชอบไปควบคุมกิเลสแต่ลืมเข้าใจความทุกข์ว่ามันมาจากไหน ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ถามถ้าโลกคือสิ่งที่เรียกว่าดี ร้าย ได้ เสีย สุข ทุกข์ อย่างนั้นธรรมคืออะไร (ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ดี ไม่ร้าย ไม่ได้ ไม่เสีย) แต่ถ้าเรามีความอยากเสียแล้ว ก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ ถูกต้องไหม (ถูก) ถ้าเราเข้าใจโลกคืออะไร เราก็จะเข้าใจธรรมคืออะไร เมื่อเราเข้าใจธรรมเราก็จะหาเหตุดับทุกข์ได้ ศิษย์เคยเห็นตะเกียงหรือไม่ ตะเกียงมีไส้ มีน้ำมัน จุดแล้วก็สว่าง แต่ถ้ามีไส้ มีน้ำมัน จุดสว่างแล้วยังมีแก้วครอบอยู่ด้วย จุดแล้วจะเป็นอย่างไร (จุดได้นาน)
ถ้าศิษย์อยากสิ้นทุกข์เราก็ต้องหาทางหาธรรมดับทุกข์ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้า โลกคือ ดี-ร้าย ได้-เสีย สุข-ทุกข์ ดังนั้นความไม่มีดี-ไม่มีร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข นั้นเรียกว่าธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ) เข้าใจก็น่าจะสิ้นทุกข์ได้หรือไม่ แต่ทำไมรู้แล้วถึงไม่สิ้นทุกข์ (เข้าใจแต่ยังปฏิบัติไม่ได้, ยังไม่ได้ปฏิบัติ) อาจารย์อยากจะชื่นชมว่าเขาตอบได้ดี เพราะเขามองเห็นจริงๆ โลกคือสิ่งที่ดี-ร้าย ได้-เสีย ทุกข์-สุข แต่ธรรมคือไม่มีดี-ไม่มีร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีทุกข์-ไม่มีสุข ถ้าหยั่งถึงความเข้าใจธรรมอันนี้ ศิษย์เชื่อไหมว่าศิษย์จะสิ้นทุกข์ ศิษย์จะไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด ทันทีเลยนะ แต่ที่ตอบมายังหยั่งไปไม่ถึงนะ (ไม่มีอะไร คือยังไม่รู้อะไร ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ ผมยังไม่รู้ว่า ถึงคืออะไร) ถึงคือ ต้องลงแรง ใช่ไหมศิษย์ อย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ คำว่าธรรมคือ ไม่ดี-ไม่ร้าย ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ แต่โลกคือสิ่งที่เรียกว่า ดี-ร้าย ได้-เสีย สุข-ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจถึงธรรมเราจะไม่ไขว่คว้าในเรื่องทางโลก ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ถ้าผู้ใดถึงธรรมผู้นั้นก็พบความเป็นเช่นนั้นเอง หรือพบความเป็นพุทธะ”
เราจะเข้าใจคำว่า ไม่มีได้-ไม่มีเสีย ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ เป็นไปได้หรือไม่ (เป็นไปได้) เหมือนอาจารย์ให้แอปเปิลศิษย์ ศิษย์คิดว่ากำลังได้หรือศิษย์กำลังเสีย (ขึ้นอยู่กับศิษย์จะรับหรือไม่ ถ้าศิษย์รับศิษย์กำลังได้) แล้วในช่วงที่ศิษย์กำลังได้ ศิษย์กำลังได้หรือกำลังเสีย (ได้) ถ้าศิษย์เข้าใจตรงนี้ ศิษย์จะเข้าใจธรรม การได้มาคือการที่กำลังเสียไป ทุกครั้งที่ได้คือทุกครั้งที่เรากำลังเสีย กว่าจะได้แอปเปิลมา ศิษย์ได้เสียเวลาชีวิตที่ควรจะได้ไปโน่นไปนี่ มานั่งฟังตรงนี้ เพื่อจะได้แอปเปิลนี้มา ในโลกใบนี้ เหมือนเราได้ แต่จริงๆ แล้วเรากำลังเสีย เวลาเราได้อะไรจากใครมา เรารู้สึกว่าเราติดหนี้เขาหรือไม่ (รู้สึก) นั่นคือเรากำลังหาอะไรเพื่อเสียให้เขาไป เหมือนเราได้อะไรมากๆ เรารู้สึกว่าต้องเสียอะไรไปให้เขาบ้าง ฉะนั้นอย่าคิดว่าเราได้ เพราะโลกนี้ ไม่มีใครได้กำไร และไม่มีใครขาดทุน
ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นตัวกำหนดชะตากรรม และเมื่อใดที่มนุษย์ทำกรรมใดแล้ว กรรมนั้นก็ย่อมส่งผลให้คนนั้นต้องรับตามกรรมนั้นไป และก็ต้องติดตามกรรมนั้นไป มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้อาศัย และมีกรรมเป็นผลพวงของเรา ฉะนั้นเวลาศิษย์กระทำอะไรอย่างหนึ่ง ศิษย์เอาแต่รับ แล้วศิษย์ไม่ให้ เป็นไปได้ไหมฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์ได้มา ก็คือทุกขณะที่ศิษย์กำลังจะเสียอะไรไปจริงหรือไม่ (ครับ) เหมือนอาจารย์ ถามศิษย์ว่า คนเรามีเกิด ก็มี (ตาย) ฉะนั้นตอนนี้อายุคือขวบปีที่เกิดหรือ อายุคือขวบปีที่ตาย (ขวบปีที่ตาย) สิ่งที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ได้มามากมายจริงๆ แล้วศิษย์ได้หรือศิษย์เสีย (เสียก็เยอะ) แล้วก็ถึงจะได้มา ใช่ไหม (ใช่) แล้วที่ได้ก็คือเสีย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจะบอกว่าเราได้อะไรไหม (ไม่ได้) เพราะถึงที่สุดสิ่งที่ได้ก็คือ สักวันก็ต้องเสียไป มีอะไรไม่เสีย (ถูกต้องครับ) เมื่อเรารู้ความเป็นจริงว่าสิ่งที่ได้ก็คือสิ่งที่เสีย สิ่งที่มีก็คือสิ่งที่ไร้ แล้วเราจะอยากอะไรในโลก (ไม่อยาก) แล้วเราจะทุกข์อะไรในโลก (ไม่ทุกข์) แล้วเราจะหลงอะไรในโลก (ไม่หลง) ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงธรรม ความโลภ โกรธ หลง ย่อมไม่มี เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
อาจารย์เพิ่งเคยเห็นคนเข้าใจธรรมที่ทำหน้าเฉยๆ อาจารย์เคยเห็นแต่คนที่เข้าใจธรรมแล้วหน้าตาสว่าง สว่างบ้างหรือไม่ (ยินดีไปก็แค่นั้น) เพราะสิ่งที่น่ายินดีคือสิ่งที่ไม่น่ายินดี ใช่ไหม (ใช่) เอาผลไม้ไหม (ไม่เอาครับเพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลกนี้ ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ศิษย์ไม่เคยเห็นจริงสักครั้งหนึ่ง เหมือนอาจารย์หยิบเอาแอปเปิลมาสักแวบหนึ่ง ศิษย์เห็นอะไรไหม (เห็นอาจารย์หยิบแอปเปิลมาแล้วเก็บ) แต่สิ่งที่ศิษย์เห็นจริงๆ ทั้งหมดไม่ได้ครึ่งหนึ่งของแอปเปิลทั้งมวล เราเห็นแค่แอปเปิล เปรี้ยว หวาน อยากได้ ไม่อยากได้ แต่ในแอปเปิลอาจารย์เห็นทั้งความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความไม่แน่นอน ความคาดหวัง ความยึดติด อาจารย์บอกต่อนะศิษย์ เมื่อไรเราจะพบธรรมได้ ไม่ว่าอะไรมากระทบกระเทือน จงพิจารณาให้พบธรรมว่าเรากำลังได้หรือเรากำลังเสีย กำลังจะเริ่มหรือกำลังจะจบ
ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์เข้าใจแล้ว ตอนนี้อาจารย์กำลังใช้ภาคปฏิบัติล่ะนะ ฉะนั้นศิษย์กำลังได้หรือเสีย ศิษย์กำลังเริ่มหรือจบ ถ้าอาจารย์ตีแล้วศิษย์โกรธ ศิษย์กำลังไม่จบ ศิษย์กำลังเสียอารมณ์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ศิษย์ไม่จบคือกำลังเริ่มมีปัญหา จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเราพิจารณาด้วยธรรม ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย (ศิษย์เข้าใจอย่างนี้ว่า ทุกอย่างเป็นที่ความคิดว่า อาจารย์ตบ ตี ศิษย์ไม่คิดก็เลยไม่มี) อาจารย์ไม่ใช้คำว่าความคิดเพราะความคิดง่ายที่จะติดปรุงแต่งไปตามอารมณ์ที่ ชอบชัง แต่อาจารย์บอกว่าให้ศิษย์พิจารณาจนบังเกิดธรรม ความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะไหลเข้าข้างตัวเอง และง่ายที่จะยึดติดไปตามใจตัวเองถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนอาจารย์ตีหนึ่งทีศิษย์บอกไม่คิด ตีอีกที ตีอีกทีคิดหรือไม่ (คิด) โลกมีได้มีเสียเพราะเรายึดถือ แต่ถ้าเราเข้าใจความจริงแห่งธรรม ไม่มีใครได้ไม่มีใครเสีย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันจบอยู่ในตัวมันเองทุกขณะ แต่เราไม่เคยจบอะไรง่าย เพราะฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าอยากจบจงสงบ ถ้าอยากจบจงมีศีล ถ้าอยากจบจงมีปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนั้นศิษย์จะมีศีลธรรมทันหรือไม่ เขาตบมาศิษย์ตบกลับ เขาเตะมาศิษย์เตะกลับ แต่ถ้าเราพิจารณาจนบังเกิดธรรมละ ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย และไม่ใครตีใคร เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไป แต่มนุษย์มักจะจมอยู่กับอดีตจนลืมมองปัจจุบัน เขาด่าศิษย์เมื่ออดีต มันจบแล้วแต่ศิษย์ไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมคือการอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่การเอาแต่คิดคือการจมอยู่กับความปรุงแต่งในอดีตและไม่วางเรื่องราว ฉะนั้นธรรมคือปล่อย ว่าง โล่ง แต่กิเลสคือยึดมั่นถือมั่นตัวตนของตนและแบ่งแยก ดี เลว ร้าย
เหมือนกันนะศิษย์ ถ้ารู้ว่านี่เป็นทุกข์ ศิษย์จะเอาหัวโหม่งรับ เอาใจรับ หรือปล่อยให้ทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็จบไป (ปล่อยให้เกิดแล้วจบไป แต่ถ้าคิดต่อเป็นแค้นก็ทุกข์กับเรา) ไม่จบ ถูกไหม แล้วอาจารย์ถามจริงๆ นะ ทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราไม่หยิบมาคิดเมื่อเริ่มก็จบ แต่ใครที่หยิบมาคิด (ตัวเราเอง) ฉะนั้นแม้จะปาแอปเปิลใส่หัวศิษย์ จบหรือไม่ (จบ) แต่คนส่วนใหญ่ไม่จบ แล้วก็เก็บมาคิดว่า อาจารย์จี้กง เด็กคนนี้ถ้าออกไปเมื่อใด เสร็จฉันแน่ ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ เกิดขึ้น หมุนเวียนไปต่างๆ นาๆ ถ้าเรายอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเกิดขึ้นก็ดับไป มีเกิดขึ้นก็จบลง เราไม่เก็บมาคิด เราไม่เอามายึดมั่น ความทุกข์จะมากัดกินใจศิษย์ได้ไหม (ไม่ได้) แต่ที่ทุกข์มากัดกิน เพราะเรา (คิด) แต่ไม่เคยพิจารณาจนบังเกิดธรรม ถูกหรือไม่ (ครับ)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า อยู่ร่วมกับคนจงใช้คุณธรรม แต่เมื่อเจอทุกข์จงมองให้เห็นธรรม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท “นิสัยคนชวนเบื่อ”)
เคยไหมทำตัวแบบตามใจตัวเองจนคนอื่นเบือนหน้าหนี ศิษย์เคยเบือนหน้าหนีหรือเคยถูกคนเบือนหน้าหนีไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เพชรในตน”)
เราเป็นเพชรไหม (เป็น) เป็นเพชรหรือเป็นหิน (เพชร) ถ้าอยากเป็นเพชรในตน ศิษย์จะต้องหาคุณค่าที่แท้จริงในตัวเอง ไม่กลัวการถูกขัดเกลา ไม่กลัวการถูกหล่อหลอม แต่คนบางคนถึงแม้จะเป็นคนดี พอโดนขัดเกลานิดหน่อยก็ไม่อยากดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเป็นเพชรแท้จะกลัวความลำบากจากการถูกขัดเกลาไหม (ไม่กลัว) กลัวความลำบากในการนั่งฟังธรรมจนบังเกิดปัญญาไหม (ไม่กลัว) ฉะนั้นถ้าเราไม่ยอมรับการขัดเกลา เราก็คงไม่รู้จักคุณค่าของหินที่กลายเป็นเพชร ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราไม่รับการขัดเกลา เราก็คงไม่รู้ว่าคุณค่าของตัวเราที่มีมากกว่ากายสังขาร นั่นคือพุทธจิตธรรมญาณ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากจะบอกว่า แค่หลงก็บังปัญญา รูปนามลวงตาลวงใจ อัตตาอารมณ์นิสัย อย่าสูงจนไม่มีธรรม เป็นคำที่อยู่ในโอวาทที่ศิษย์ช่วยอาจารย์ครอบนะ เข้าใจนะ อย่างนั้นศิษย์จงเอาไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม ดีไหม (ดี)
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม มีกรรมเป็นของตน สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมแบ่งจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเคยได้ยินไหมว่า ให้พิจารณาจนบังเกิดธรรม ด้วยการพิจารณาว่ามนุษย์มีกรรมเป็นของตน และมนุษย์มีกรรมเป็นผลของตน ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มีกรรมเป็นแดนเกิด มนุษย์มีกรรมเป็นผู้อาศัย มนุษย์มีกรรมเป็นผู้ติดตาม
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม ศิษย์รู้ใช่ไหม พระพุทธะสอนว่าจงพิจารณาให้บังเกิดธรรมคือมนุษย์มีกรรมเป็นของตน มนุษย์หนีผลของกรรมที่ตนสร้างไว้ไม่พ้นและมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นผู้อาศัย ฉะนั้นใครทำกรรมใดคนนั้นต้องรับผลกรรมนั้น พระพุทธะสอนว่าอย่าดูถูกกรรมดีเล็กๆเพราะกรรมดีเล็กๆก็มีผลที่ยิ่งใหญ่ได้ อย่าดูถูกกรรมชั่วเล็กๆ เพราะกรรมชั่วถ้าตกผลก็ให้ผลที่ร้ายแรงได้ ถ้าเราเข้าใจว่าเรามีกรรมเป็นแดนเกิด กำลังอาศัยกรรมนี้และกรรมนี้ก็คอยติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง ฉะนั้นถ้าเราทำอะไร กรรมนี้เราก็ต้องรับเอง
มนุษย์มีกรรมเป็นของตน มนุษย์มีกรรมเป็นผล มนุษย์มีกรรมเป็นแดนเกิด มนุษย์มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มนุษย์มีกรรมเป็นผู้อาศัย ฉะนั้นตัวเราคือผลพวงของกรรม ซึ่งกรรมนี้เราสามารถเดาได้ไหมว่าต่อไปจะเป็นกรรมดีหรือชั่ว ได้ไหม (ได้) ฉะนั้นตัวเรานี้เรียกว่า ผลของกรรมในอดีต ซึ่งต่อไป กรรมจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ การกระทำในปัจจุบัน ฉะนั้นอาจารย์ถามว่า จะดีจะร้าย อยู่ที่ฟ้าหรืออยู่ที่กรรม (อยู่ที่เรากระทำ) กรรมเรียกอีกอย่างว่า การกระทำ
อาจารย์วาดรูปคน คือตัวกรรม ตัวเราเกิดจากผลของกรรมที่เราเคยทำในอดีต แล้วกรรมตัวนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับปัจจุบันว่าเราทำอะไร ถ้าทำกรรมดี เรียกว่า (บุญ,กรรมดี) ถ้าทำกรรมชั่วเรียกว่า (บาป,ชั่ว)
ฉะนั้นตัวเราเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการกระทำปัจจุบัน ถ้าทำดีเรียกกรรมดี ถ้าทำชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว แล้วอะไรที่เรียกว่ากรรมชั่ว อะไรเรียกว่ากรรมดี
คนสมัยนี้ถ้าแยกไม่ออกว่าอะไรดีชั่วก็แย่แล้วนะศิษย์เอย แล้วอะไรที่เรียกว่าดี อะไรที่เรียกว่าชั่ว ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ตอบให้ง่ายๆ ว่าสิ่งใดที่ทำแล้วสบายใจแล้วเบิกบานใจ นั่นเรียกว่าดี สิ่งใดที่ทำแล้วหม่นหมอง หดหู่ มืดมน นั่นเรียกว่าชั่ว ฉะนั้นถ้าว่าแล้วทำให้เขาหม่นหมองดีหรือชั่ว (ชั่ว) แล้วกรรมมันไปตามไหน กรรมไปตามสิ่งที่เรากระทำ ถ้าเราคิดไม่ดี ทำไม่ดี เราก็ได้ผลคือความทุกข์ แต่ถ้าเรานั่งฟังด้วยความเบิกบานใจ สบายใจ อิ่มใจ กรรมนั้นก็ตกผลทันทีก็คือดี จริงหรือไม่ (จริง) แล้วที่นั่งฟังมานั้นดีหรือชั่ว (ดี) ไม่มีใครตัดสินได้ แม้แต่ฟ้าก็ตัดสินไม่ได้ ตัวศิษย์เองรู้ดีที่สุดว่าที่นั่งมาดีหรือชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์ขึ้นชื่อว่าคนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้อาศัย และมีกรรมเป็นผู้ติดตาม ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นอาจารย์บอกว่าเริ่มที่ตน ก็สามารถจบที่ตนและละที่ตนได้ ถูกไหม (ถูก) ในเมื่อเราทุกข์เพราะตัวตนนี้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วถ้าเราไม่เข้าใจตัวตนนี้ ก็จะหาเหตุให้เราสร้างกรรมไม่จบสิ้น ถูกไหม แล้วแทนที่เราจะทุกข์แค่ชาตินี้ เราก็กลับจะต้องทุกข์หลายๆ ชาติ จองเวร จองกรรมไม่จบสิ้น ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าเราทำกรรมดี กรรมดีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญ กรรมชั่วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บาป ถ้าทำบุญแล้วหวังผล ยึดติดในผล บุญนั้นก็ยังอิงแอบไปด้วยบาป ถูกไหม (ถูก) แล้วเราทำบุญหวังผลไหม (หวัง) ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ทำบุญก็ต้องหวังนิดๆ หน่อย เป็นธรรมดา” ใช่ไหม (ใช่) ไม่ให้หวังเลยเป็นไปได้ไหม ส่วนบาปเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหนทางที่เดินไปสู่ความมืดมน หรือมีสาวกเป็น โลภ โกรธ หลง ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าใครเผลอมี โลภ โกรธ หลง เป็นทางมา แห่งบาป ใช่หรือไม่ หนีไม่พ้น ทุกข์ และหนีไม่พ้นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำดีมากเท่าใด แต่ศิษย์ยังอิงแอบไปด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง บุญนั้นก็ไม่เคยบริสุทธิ์ แล้วบุญนั้นยังเป็นบุญที่หวังผล บุญที่หวังผลนี้ยังเป็นกรรมดี ที่ต้องมารับผลของกรรมดี ถึงเวลาก็ต้องกลับมารับผลของบุญนั้น ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำบุญสิบบาท แต่ศิษย์ขอสักร้อยอย่าง มันใช้กันได้ไหม (ไม่ได้) แล้วศิษย์จะบอกว่าทำดีเท่าไรแล้วไม่ได้ดีเพราะอะไร เพราะบุญนั้นอิงแอบไปด้วยบาป ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าอยากทำดีแล้วไม่ต้องมารับผลของบุญนั้น เขาก็เลยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทำ กุศล กุศลคือสิ่งที่ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ทำแล้วสามารถขัดเกลาให้เกลี้ยงซึ่งอัตตาตัวตน กุศลที่ไม่หวังผลเรียกว่าอกรรม ซึ่งเป็นหนทางที่ไม่ ต้องกลับมารับกรรมอีกต่อไป ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราไม่ใช่ เราติดแค่เพียงอารมณ์ดีก็ทำ อารมณ์ไม่ดีก็ไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่) แล้วสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์นั้นคืออะไร ก็คือกิเลส คือบาป ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกิเลสและบาปนี้ เราอยากอะไร อยากได้ อยากมี ใช่ไหม (ใช่) แล้วสิ่งที่เราอยากได้ อยากมี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร เรียกว่าธรรม และในธรรมนี้ หนีไม่พ้นสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่) และในสัจธรรมนี้ หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง ทุกข์ และถึงที่สุดคือหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมถึงกลายเป็นธรรมล่ะ เพราะพุทธะเรียกทุกสิ่งว่าธรรม ธรรมคือสภาวะความเป็นจริงที่เป็นธรรมชาติ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นมนุษย์ก็คือธรรม แอปเปิลก็คือธรรม พัดก็คือธรรม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราเห็นธรรม เราจะไม่ลืมสัจธรรม เพราะธรรมนั้นมีสัจจะ ความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่งคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์และหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ เหมือนกับศิษย์คนหนึ่ง ศิษย์หน้าตาอย่างนี้ คือหน้าตาเดิมเขาไหม (ไม่ใช่) และคือหน้าตาท้ายสุดของเขาไหม (ไม่ใช่) และอันไหนคือหน้าตาท้ายสุด ไม่มี หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่สิ้นทุกข์ เราก็เวียนไปไม่จบสิ้นแล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้น เรากำลังโกรธหน้านี้หรือ เรากำลังอยากกับหน้านี้หรือ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ที่อยู่ในธรรมของทุกชีวิต ความไม่เที่ยงจะทำให้เราไม่อยาก ความทุกข์จะทำให้เราไม่โกรธ และความหาตัวตนไม่ได้จะทำให้เราไม่หลง คนนี้หล่อไหม (หล่อ)
ในโลกนี้ไม่มีใครหล่อเพราะถึงที่สุดความหล่อเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยน) แก่ไหม ตายไหม เหี่ยวไหม ที่คิดว่าหล่อคือใจเราที่คิดมั่นหมายนั่นแหละคิดว่าหล่อ ฉะนั้นอย่ามองแค่ผิวเผิน มองให้ถึงที่สุดแล้วเราจะอยากมีไหม จะเอากรรมมาแบกเพิ่มอีกไหม ถ้าเรามองเห็นความจริงในธรรมที่มีสัจธรรมซ่อนอยู่ เราจะไม่อยาก เราจะไม่โกรธ เราจะไม่โลภและหลง ถ้าตอนนี้ไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงแล้ว นั่นคือ กุศลกรรม แต่มนุษย์เมื่อเห็นแล้วยังอยาก ยังโลภ ยังโกรธ ยังหลง ทั้งที่จริงแล้วสวยไหม (ไม่สวย) ดีไหม (ไม่ดี)
ศิษย์เคยได้ยินที่พระพุทธองค์สอนให้เดินสายกลางไหม อาจารย์จะบอกว่าเราอยู่บนทางสายกลางอยู่แล้ว แต่ใจเราไม่เคยกลาง ถามว่าคนนี้หล่อไหม มีทั้งหล่อและไม่หล่อ ทั้งเหี่ยวและไม่เหี่ยวอยู่ที่ว่าเราเปรียบเทียบกับใคร ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงได้อย่างเด่นชัด เราก็จะมองเห็นธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยมองคนให้เห็นธรรม เราเคยมองคนจนหยั่งพิจารณาให้ถึงธรรมไหม
ถ้ายังไม่เคยมองคนจนหยั่งพิจารณาให้ถึงธรรม รู้ไปก็เท่านั้น ถ้าเอาแต่คิด แต่ไม่หยั่งให้ถึงธรรม เรายังอยากเวียนว่ายตายเกิดไหม (ไม่อยาก) ฉะนั้นถ้าไม่อยากเวียนว่าย ทุกขณะที่ทำอย่ายึดมั่นถือมั่น ทุกขณะที่ทำไม่ร้องขอ ยิ่งทำแล้วทิ้งความเป็นตัวตนได้ นั่นเรียกว่ากุศล แต่ถ้านั่งฟังธรรมแล้ว มีแต่ทำไมๆ มีแต่ไม่ใช่ๆ ไม่เอา นั่นคือยังยึดติดในตัวตน จริงไหม (จริง) ฟังธรรมเพื่อคลายหรือฟังเพื่อยึด ฟังธรรมเพื่อปล่อยวางหรือฟังธรรมเพื่อยึดมั่นถือมั่น (ปล่อยวาง)
มนุษย์จึงเรียนรู้กันเพียง ถ้ามีโลภมากๆ ก็ให้ทาน ก็จบแล้ว ถ้ามีความโกรธเกลียดมากๆ ก็ให้รู้จักมีศีล มีธรรม ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามีความหลงมากๆ ก็ให้มีปัญญา ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามนะ ถ้าเราไปตบเขาแล้ว ไปทำร้ายเขาแล้ว แล้วเราไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ชดใช้กันได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้หรือ แต่อาจารย์เห็นศิษย์ทำกันประจำเลย ไปว่าเขาอีกที่หนึ่ง ไปด่าเขาอีกที่หนึ่ง ไปโกงเขาอีกที่หนึ่ง แล้วก็ไปทำบุญให้ที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มาเบียดเบียนกันเลย” ใช่ไหม (ใช่) แล้วถามหน่อยคนที่โดนตบ เราจะไปแก้กรรมได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น) เป็นอย่างหนัก เป็นอย่างแรง ไปกินเขาให้เต็มที่ ไปฆ่าเขาให้เต็มที่ แล้วมาอุทิศส่วนกุศลให้ “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขๆ เถิด เพี้ยงๆ” ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอย ไปตบเขาแล้วไปขอโทษหายไหม (ไม่หาย) คนบางคนหาย แต่คนบางคนไม่หาย จริงไหม (จริง) แค่เหยียบหัวแม่โป้งถึงกับด่าถึงพ่อแม่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นศิษย์ไปสร้างกรรมมา แล้วก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมีศีลมีธรรมชดเชย ทันไหมศิษย์ เขาจะให้อภัยไหม แล้วทำไมศิษย์ถึงไม่หยุดตั้งแต่ตรงนี้ เข้าใจธรรม แล้วก็หยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลง ทุกสิ่งที่ศิษย์กระทำคือปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด
ศิษย์อยากรู้วิธีปฏิบัติธรรมหรือไม่ (อยาก) การปฏิบัติธรรมก็คือ เมื่อเราต้องอยู่กับผู้คน จงรู้จักใช้คุณธรรมในการอยู่ร่วมกัน อย่างเช่น ถ้าเป็นหัวหน้ามีลูกน้อง คุณธรรมในการปฏิบัติคือต้องรู้จักใช้เมตตา ถ้าเป็นพี่ก็ต้องรู้จักปฏิบัติต่อน้องด้วยการมีเมตตา ถ้าเป็นลูกต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่ด้วยการกตัญญู ถ้าเป็นลูกน้องก็ต้องปฏิบัติต่อหัวหน้าด้วยความเคารพ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ให้เกียรติ นี่คือวิธีการบำเพ็ญธรรม ก็คือต่อผู้คนเราใช้คุณธรรมไปดำเนินชีวิต การปฏิบัติต่อคนเราจงใช้ธรรมเพื่อพิจารณาแล้วหยั่งให้ถึง
ฉะนั้นจึงมีคำเปรียบเทียบไว้ว่า “ธรรมเหมือนไส้ตะเกียง คุณธรรมเหมือนแก้วครอบตะเกียง ถ้าการปฏิบัติของเราที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่สมบูรณ์ แก้วครอบตะเกียงนี้ก็จะทำให้ไส้ตะเกียงไม่สามารถลุกโชนได้” แต่คนในโลกนี้บางทีปฏิบัติคุณธรรมได้ดี แต่ลืมเข้าใจหลักของธรรมจึงไม่สามารถยังความสว่างให้กับชีวิตและใครได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนที่ศิษย์ชอบพูดว่า “อาจารย์ศิษย์ก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะ ศิษย์ก็ให้เกียรติ ต่อคนอื่นศิษย์ก็เคารพ แต่ทำไมเขาทำกับศิษย์อย่างนี้ ทำไมเขามองศิษย์แบบนี้ ทำไมเขาดูถูกอย่างนี้” นั่นแปลว่าถ้าศิษย์ใช้คุณธรรมเป็น แต่เข้าถึงธรรมไม่เป็น ตะเกียงดวงนี้ไม่มีวันจุดสว่างให้กับชีวิตและผู้คนได้ ถูกหรือไม่
ถ้าเรารู้จักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม แล้วสามารถอยู่ร่วมกับคนโดยเข้าถึงธรรม เราจะสามารถเป็นตะเกียงที่นอกจากจุดให้ตัวเองสว่างแล้ว การกระทำของเราและการปฏิบัติของเรา ยังจุดแสงสว่างให้คนอื่นได้ด้วยใช่หรือไม่ เกิดเป็นคนอย่าแค่ดี ต้องดีและเข้าใจธรรม เราจึงจะสามารถเป็นประทีปแห่งเมตตาที่แท้จริง
อาจารย์ถามว่าชีวิตเรามีทางเลือกถูกไหม ทางเลือกหนึ่งคือเป็นประทีปแห่งเมตตา อีกทางเลือกหนึ่งคือชั่วร้ายไม่ดี ฉะนั้นก่อนทำอะไรคิดให้ดีก่อน หรือไม่ต้องคิดแต่พิจารณาให้ถึงธรรมดีกว่าไหม เพราะจะไม่เป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายที่ เรียกว่า วัฏสงสาร ใช่หรือไม่ เราจึงสามารถสิ้นทุกข์ได้ขณะอยู่ร่วมกับคน ปฏิบัติธรรมได้ในขณะที่เราอยู่ร่วมกับคน จริงไหม สมมุติเราทำอะไรจริงใจ ซื่อตรง รับผิดชอบต่อหน้าที ไม่ว่าจะโดนอะไรเราก็ยังรับผิดชอบต่อหน้าที่แม้หัวหน้าจะโขกจะสับ จะใช้งานเราหนักขนาดไหนเรายังจริงใจ ซื่อตรง ต่อหน้าที่ เราไม่เคยโกรธเคือง ไม่เคยด่าหัวหน้า แต่เรากลับคิดว่ายิ่งเขาทำกับเรา ยิ่งทำให้เราเห็นธรรมชัดในตน เขาไม่มีธรรมแต่ฉันจะมีธรรม เขาไม่ถูกต้องชอบธรรม ฉันจะถูกต้องชอบธรรม ถ้าทำได้เช่นนี้ สักวันแสงสว่างในตัวเราจะสะท้อนและจุดแสงสว่างในตัวเขาได้ ทำได้ไหม (ได้) อย่าแค่ดี แต่ต้องเข้าให้ถึงธรรม แล้วตรงนี้แหละศิษย์จะปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ และทุกขณะที่ปฏิบัติธรรมก็หยุดสร้างกรรมและได้ชดใช้กรรม
อาจารย์ยกตัวอย่างพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์มีศัตรูตัวร้าย คือ พระเทวทัต แล้วพระพุทธองค์เคยหนีพระเทวทัตไหม จะฆ่าก็ไม่หนี จ้างคนมาด่าเจ็ดวันก็ไม่หนี แล้วเราล่ะมีคนมาด่าหนึ่งวันก็หนีแล้วใช่ไหม นี่แหละพระพุทธเจ้าประจักษ์ให้ศิษย์ดูว่าเมื่อเจอทุกข์ที่สุด อย่าทำให้มันเป็นทุกข์แต่จงทำให้เป็นธรรม อย่าทำให้เป็นการจองเวรจองกรรมแต่จงทำให้จบกรรม อย่าทำให้เวียนว่ายวนแต่จงทำให้พ้นการเวียนว่ายวน
ที่ใดที่เป็นกิเลสที่นั่นก็เป็นที่สิ้นกิเลส ที่ใดที่เป็นทุกข์ที่นั่นก็เป็นที่สิ้นทุกข์ ที่ใดมีมารที่นั่นก็เป็นที่เกิดพุทธะ
อยู่ที่ศิษย์เลือกแล้ว จะใช้คุณธรรมต่อกันหรือจะใช้อารมณ์กิเลสต่อกัน แต่จำไว้อารมณ์กิเลสคือกรรมชั่ว ที่ส่งผลร้ายที่สุดก็คือต้องตกนรก เดรัจฉาน เปรต ฉะนั้นศิษย์เป็นคนเลือกและกำหนดชีวิต ฟ้าไม่ใช่เป็นผู้กำหนดชีวิต เราคือผู้กำหนดชีวิตของตัวเราเอง ว่าจะให้เป็นกรรม หรือจบกรรม ถูกไหม (ถูก)
อย่างนั้นอาจารย์สอนวิชาสุดท้าย วิชาที่ให้ไว้สำหรับคนที่อายุมากๆ จำไว้เลยนะ คาถานี้ท่องไว้ให้แม่น สังขารเป็นของดิน จิตเป็นของฟ้า ไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา พิจารณาอยู่เนื่องๆ เพื่อเข้าถึงธรรมนะศิษย์ สังขารเป็นของดิน จิตเดิมแท้เป็นของฟ้า ใดๆ ในโลกล้วนไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากกลับสู่ภาวะหนักก็คือนรก แต่ถ้าศิษย์อยากกลับคืนสู่ภาวะใสก็คือเบื้องบน และจิตที่รู้ด้วยสติคือจิตญาณเดิมแท้ จริงไหม (จริง)
ตอบอาจารย์ให้ชื่นใจหน่อย สังขารเป็นของดิน จิตเดิมแท้เป็นของฟ้า ไม่มีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งเป็นของเรา ฉะนั้นสิ่งใดหรือที่ศิษย์พยายามยึดถือเป็นของเรา มีไหม (ไม่มี) ไม่มีสักสิ่งหนึ่ง แม้แต่ตัวเองก็เป็นกรรม แม้แต่ตัวเองเหมือนกองทุกข์ แล้วเรายังควรยึดไหม
อย่างนั้นอาจารย์ถามคำถามสุดท้ายก่อนกลับนะ ร่างกายเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าถุงขี้ ทำไมถึงเรียกว่าถุงขี้ ตอบได้ไหม ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ (ร่างกายนี้มีแต่ของเสีย) ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก) ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู) ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา) แล้วร่างกายนี้ใช่เรียกว่าหนังสวยหรือ ถ้าปลงสังขารได้ ไม่มีใครที่ร่างกายสวยจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามว่า ในถุงขี้นี้เราควรจะเอาอะไรที่ไม่ดีออกจากตัว ขี้เหล้า ขี้บุหรี่ เอาออกได้ไหม (ได้) ขี้เจ้าชู้ ขี้เที่ยว ขี้นักเลง ก็เอาออกด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครจะตอบนะ (ขี้โลภ ขี้เกียจ ขี้หลง ขี้โกรธ) ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เอาออกจากตัวใช่ไหม จริงๆ แล้วตัวตนเดิมแท้ ไม่มีขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงหรอกนะ แต่โลภ โกรธ หลงเกิดเมื่อเห็นสิ่งที่สวย ใช่ไหม แต่มีเมื่อเราขาดสติรู้ทัน ฉะนั้นไม่ต้องเอาออก แค่รู้ทัน โลภ โกรธ หลงก็ครอบงำเราไม่ได้ แต่ถ้ารู้ไม่ทันจะครอบงำเราทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาความรู้สึกที่เป็นตัวตน เป็นของตนออก) ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพราะถึงที่สุดแล้วตัวตนเราไม่มี คิดให้ได้อย่างนี้ให้ได้ตลอดนะศิษย์เอย
ศิษย์เอยอายุมากแล้วนะ อย่างที่อาจารย์บอก พิจารณาให้เข้าถึงธรรมบ่อยๆ ได้ไหม แล้วเราจะได้ปลดปลงปล่อยวางบ้าง การยึดมั่นถือมั่นไม่เคยได้อะไร
(เอาสิ่งสกปรก และความชั่วร้ายออก, จงทำความดี) ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์อีกอย่างก่อนกลับนะ
ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา เมื่อไม่มีตัวเราแล้วลูกเราก็ไม่มี ก็เป็นกรรมร่วมกันเท่านั้นเอง แล้วศิษย์อยากจะจบกรรมหรือเกี่ยวกรรมกันไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ ได้ไหม (ได้)
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีกนะ จงมีสติรู้ คิดไตร่ตรองให้ดี โดยมีธรรมเป็นเครื่องพิจารณานะ
เป็นศิษย์อาจารย์กัน ผูกพันกันแล้วไม่ทิ้งกันนะ
ศิษย์มีปัญญาดีนะ ขอให้ไปให้ถึงธรรม อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง อย่าดูถูกความดีงามในใจของตัวเอง แล้วทำสิ่งที่ผิดโดยไม่รู้จักคิด
จะให้เหล้ากับบุหรี่อาจารย์ไหม ให้แล้วต้องไม่กินอีกนะ
มีโอกาสก็มาศึกษานะ
อยากให้โรคภัยหายก็ต้องรู้จักหยุดสร้างกรรมนะ สิ่งใดที่เป็นสิ่งไม่ดีต้องรู้จักหยุดยั้ง อย่าเบียดเบียนสัตว์
จับมือแล้วต้องกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ต้องเป็นคนตั้งใจปฏิบัติดี อย่าเอาแต่เที่ยวเตร่เล่นไปวันๆ นะ เป็นคนดีเพื่อตัวเอง เป็นคนมีคุณค่าเพื่อตัวเอง
ปล่อยวางบ้าง อย่ายึดมั่นถือมั่น ไม่อย่างนั้นก็ทุกข์
แค่ทำให้ดีให้ถูกต้อง ก็ดีกว่ากอดอาจารย์อีกนะ
รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้
อาจารย์อยากเห็นศิษย์สิ้นทุกข์จริงๆ นะ ไม่เคยมาล้อเล่น ขอให้ศิษย์รู้จักลงแรงปฏิบัติ
อาจารย์ ไม่เคยล้อเล่นนะ ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ และศิษย์จะสิ้นทุกข์ได้อย่างไร ถ้าศิษย์เอาแต่ฟัง แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ศิษย์เอาแต่รู้แต่ไม่กระทำ น่าเสียดายนะ อย่าให้เสียเวลาเปล่า ฟังแล้วเอาไปทำให้ได้นะ สิ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งอาจารย์ใช่ไหม (ใช่) จงเป็นอาจารย์ของตัวเอง จงเป็นที่พึ่งของตัวเอง และจงหลุดพ้นด้วยตัวเอง และมีแต่ตัวเราที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ และตัวเราเท่านั้นที่จะดับทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ศิษย์
ตั้งใจเพียรไม่ท้อถอย มีสติรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ยอมแพ้ พากเพียรอุตสาหะไปให้ถึงที่สุดให้ได้นะศิษย์เอย อย่ารับปากวันนี้ แต่ถึงเวลาไม่ทำ เมื่อกรรมมาถึง ตอนนั้นแม้ศิษย์จะเรียกหาอาจารย์ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำอะไรไว้ ศิษย์ก็ต้องรับผลนั้น ฟ้าต้องยุติธรรม ใจอาจารย์ก็ต้องยุติธรรม แม้ศิษย์จะพลาดผิดไป อาจารย์ยังอยากให้ศิษย์ระมัดระวังตัวเอง คิด ทำ ให้ดี ก่อนกรรมมันจะตกผล ถึงตอนนั้นมันแก้ไม่ทันนะศิษย์ เชื่ออาจารย์เถิดนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เพชรในตน”
เพชรถูกเจียระไนทองถูกหลอมจึงพิสุทธิ์ หากคนหยุดการขัดเกลาเพราะยากเข็ญ
ไม่พานพบความล้ำค่ำดั่งควรเป็น คงได้เป็นเศษกรวดหินทั่วทั่วไป
แค่หลงก็บังปัญญา รูปนามลวงตาลวงใจ
อัตตาอารมณ์นิสัย อย่าสูงจนไม่มีธรรม