วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

2558-09-26 สถานธรรมประสาสุข ประเทศสหรัฐอเมริกา

วันเสาร์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘        สถานธรรมประสาสุข ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  จิตใจเหมือนดังที่ลุ่ม                 ตาหูประชุมกันเข้า
นามรูปติดตามเหมือนเงา             เมื่อเจ้ารู้ทันบำเพ็ญ
             เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่โลกมนุษย์แล้ว แฝงกายกราบ
องค์มารดา        ถามศิษย์รักทุกคน เปิดประตูให้อาจารย์หรือยัง

  แม้ยังไม่รอดภัยโลภโกรธรัก         แต่รู้หลักใจแจ้งจึงไม่หลง
เห็นโลกธรรมลึกซึ้งเจ้าจะปลง        ยืดเอวตั้งหน้ามุ่งตรงสู่สุทธา
กี่ร้อยฝนฝึกมั่นคงกำลังใจ             หนามพันกายใจสำคัญเพื่อฟันฝ่า
เรื่องราวติดขัดวัดใจสอบปัญญา      สะสมมาปัญญาชีวิตใจกายแรมรอน
จดหมายถึงจากฟ้าส่งเจ้าไม่สน       ไม่หลุดพ้นพวกเจ้าไม่ทุกข์ร้อน
กว่าจะปลุกได้จวนค่ำรอนรอน       ข้านี้อ่อนอกอ่อนใจเหลือเกิน
ยามคิดถึงเจ้าใจหวนชวนสะอื้น       เจ้าไม่รู้ใดวันคืนระหกระเหิน
ใช้ปัญญาหาความสุขและหาเงิน      เจ้าเพลิดเพลินใจนี้ไม่มีอาจารย์
                                                                   ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์มารบกวนหรือเปล่า ถ้ารบกวนเดี๋ยวอาจารย์กลับเลย
(ไม่รบกวน)  พื้นที่สถานธรรมแค่นี้ เดินไม่กี่ก้าวก็สุดทางแล้ว แต่สถานธรรมแบบนี้ดีมาก เพราะอบอุ่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยสังเกตไหม พอบ้านเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องเราก็ไม่ได้คุยกัน พอแต่ละคนแต่งงานไปมีครอบครัวแล้ว เราต่างคนต่างไม่ได้คุยกันใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นเล็กๆ แบบนี้ดีหรือเปล่า (ดี)  อย่างนี้ถ้าบ้านเราเล็กๆ ดีไหม เราไม่ต้องออกไปหาเงินอย่างยากลำบาก เพื่อที่จะมีบ้านใหญ่ๆ แล้วก็ถูบ้านไม่ไหว แล้วก็ต้องหาเงินมาเพื่อจ่ายบิลนั่น บิลนี่ บิลโน่น เต็มไปหมดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้สึกไหมว่าวัตถุในชีวิตเรามีมากเกินไป ถ้าเราตัดออกมาครึ่งหนึ่ง ชีวิตนี้ก็ยังคงอยู่อย่างสวยงาม ชีวิตเราก็ง่ายขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเรื่องนี้เต็มไปหมดเลย แต่ในความเป็นจริงทำได้ไหม เพราะว่าในโลกนี้สิ่งที่วิเศษที่สุดคืออะไร อะไรที่ทำให้มีทุกอย่างได้ (Self-awareness การรู้จักตน)  แน่ใจหรือเปล่า แล้วไม่เห็นตามหาสิ่งนี้เลย เราลองหลับตามองภาพในชีวิต สำรวจดูว่าเราตามหาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดนั้นไหม สิ่งที่เราตามหาทุกวันคืออะไร (เงิน)  สิ่งนี้ใช่ไหม เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดในโลกนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ก็ไม่ใช่ แต่ตามหาทุกวันเลยนะ ไม่ตามวันไหนเหมือนจะตายให้ได้ เป็นสิ่งที่ขัดแย้งและสวนทางกันไหม ภายในเรียกร้องอย่างหนึ่ง ภายนอกไปตามหาอีกสิ่งหนึ่ง ศิษย์ทำงานเหมือนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องตาย แล้วก็ไม่คิดว่าจะป่วยด้วย แล้วก็ไม่คิดว่ามีทางอื่นนอกจากไปหาเงินด้วย อย่างนี้แสดงว่าเงินสำคัญที่สุด
ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เพราะว่าจริงๆ แล้วทุกคนมีจิตใจที่เป็นพุทธะอยู่ภายใน เมื่อมีพุทธะอยู่ภายใน พุทธะบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร แต่เมื่อเกิดมาในโลกโลกีย์แล้ว ถูกบ่มสอน ถูกผลักดัน ถูกดันให้เดิน ถูกผลักไปจนเดินเอง จนกระทั่งตอนนี้เดินไม่หยุดเลย เดินลิ่วเดินเร็วกว่าคนอื่นด้วย แล้วก็เหนื่อยกว่าคนอื่นด้วย แล้วก็คิดว่าเราก็มีเงินมากกว่าคนอื่นด้วย บางทีก็ยังคิดว่าถ้ามีเงินน้อยกว่าคนอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ถามว่าเส้นทางในโลก มีเส้นทางไหนที่เป็นจุดจบไหม มีไหม (ไม่มี)  ถ้าตายเรียกว่าจบตัวเอง
เพราะฉะนั้นเส้นทางบนโลกนี้ ไม่มีเส้นทางไหนจบเลย ไม่อย่างนั้นศิษย์จะมาจากลาว ไต้หวัน ไทย มาถึงอเมริกาไม่ได้ เพราะฉะนั้นบนโลกนี้
ไม่มีเส้นทางไหนที่จบเลย เพราะฉะนั้นวันนี้ ที่มาที่นี่ อาจารย์จะบอกว่า
มีเส้นทางหนึ่งที่จบ อยากจะเดินไหม เดินแล้วจบนะ ไม่เหนื่อยตาย หรือตายแต่ไม่เหนื่อย อยากไปเดินไหม รีบๆ ไปเดินก่อนที่ชีวิตนี้จะเป็นอัมพาต ชีวิตนี้เป็นอัมพาตได้ไหม ไม่ใช่อัมพาตที่ป่วยนะ แต่หมายความว่าเป็นชีวิตที่อัมพาตคือ มีแต่ไม่ทำ แม้ว่าอยากไปทำแต่สังขารไม่อำนวย ไม่ว่าติดอุปสรรคต่างๆ นานา อย่างนี้เรียกชีวิตที่เป็นอัมพาต
วันนี้อาจารย์มาที่นี่ มีคนอยู่สองประเภท ประเภทแรกเปิดประตูรออาจารย์เลย เมื่อไหร่อาจารย์จะมา ทุบประตูทิ้งเพื่อเปิดรออาจารย์เลย อีกประเภทหนึ่งปิดประตูไว้แน่นเลย ล็อกอย่างแน่นหนา ถามว่าถ้าอาจารย์เข้าประตูไปได้ อาจารย์ทำอะไร ถ้าอาจารย์เข้าไปในหัวใจของศิษย์ได้ อาจารย์จะทำอะไร อาจารย์จะเข้าไปเปิดไฟ เก็บขยะ ไปกวาดถูให้เรียบร้อย และทำให้สว่างไสว อาจารย์แค่ทำความสะอาด แค่เปิดไฟ อาจารย์ไม่ขโมยของออกมาจากใจศิษย์แม้แต่อย่างเดียว เพราะฉะนั้นอาจารย์ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร คือวันนี้อาจารย์พูดเท่าไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วพอเดินออกจากสถานธรรมไปแล้ว ก็บอกว่าธรรมะก็ธรรมะนะ ชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไป เข้าใจนะว่าบำเพ็ญธรรมทำอย่างไร แต่ว่าเดี๋ยวก่อนๆ อย่างนี้น่ากลัวไหม
วันนี้ถ้ามีลูก รู้ว่าลูกเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่ลูกไม่ขยันเรียน พอถึงเวลาลูกต้องสอบเรียนต่ออะไรก็ตาม แต่ลูกไม่สอบอะไรสักอย่างหนึ่งเลย สอนอย่างดี แต่ไม่ทำอะไรเลย กลัวที่สุดก็คือศิษย์เป็นลูกแบบนี้ เพราะฉะนั้นช่วยเป็นลูกที่ดีได้ไหม (ได้)  ทุกอย่างที่ทำเพื่อตัวศิษย์เอง เพื่อจิตใจของศิษย์เอง เพื่อไปสู่เส้นทางที่จบสิ้น คือไม่ต้องเกิดแล้วในวัฏฏะสงสารนี้ การตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และการที่เรานั้นจะจบเส้นทางการเดิน ไม่ต้องเดินอีกแล้วและไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว ได้ไหม (ได้)
อยากเกิดอีกไหม คิดยากนะ ถ้าเกิดว่ากินความทุกข์ยังไม่อิ่ม มันจะตอบไม่ค่อยออก แต่ถ้าเรารู้ว่าความทุกข์ที่เราเจอมันไม่มีวันจบ แล้วรู้ว่าวันนี้เรามีเส้นทางหนึ่งที่เดินแล้ว จบแล้ว สิ้นแล้ว ศิษย์จะรีบเดินเลย นั่นเป็นเพราะว่าศิษย์ในปัจจุบันชาตินี้ ยังไม่ได้บำเพ็ญมาดีพอ ตาก็มองเห็นแต่รูป
ใจก็มีแต่ความรู้สึก นึกคิดไปไม่มีที่สิ้นสุด เลยเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว จงมองไปในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ตอนนี้เราอายุเท่านี้ เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มันดีอยู่ เราลองคิดถึงตอนที่เราเจ็บป่วยสิ คิดถึงตอนที่เราอยากจะมีแล้วมันไม่มีสิ คิดถึงตอนที่เรารักในบางสิ่งแล้วเราไม่ได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีจากสิ่งนั้นสิ เพราะฉะนั้นเรามองไปในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็นสิ ไม่ได้ให้มองเห็นสิ่งเหล่านี้เพื่อให้จิตตก แต่มองเห็น เพื่อให้เราเห็นสัจธรรม เมื่อเราเห็นสัจธรรมแล้ว ศิษย์จะอยากพาตัวเองไปหาแสงสว่าง จะไม่อยากจะเป็นแบบที่เป็นอยู่ เพราะว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นทำทุกสิ่งเพื่อตนเอง แต่การทำตัวเองนั้น เป็นหนทางปุถุชน หนทางแห่งพุทธะเป็นอย่างไร ช่วยคนอื่น อาจารย์มาช่วยศิษย์ ในขณะที่ศิษย์คิดว่าศิษย์ไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่อาจารย์ก็ยังช่วย อยากให้อาจารย์ช่วยไหม อาจารย์จะเข้าไปเก็บกวาดในใจให้ ตกลงว่าเปิดประตูหรือยัง (เปิดแล้ว)  ยกประตูทิ้งไปหรือยัง (ทิ้งแล้ว)
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
อาจารย์นับหนึ่งถึงสามให้นั่งพร้อมกันนะ
(อาวุโสเรียนเชิญพระอาจารย์นั่งก่อน)  ศิษย์นั่งก่อนอาจารย์แล้ว ศิษย์เป็นคนลาว ฟังภาษาไทยได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นลุกยืนขึ้นใหม่ อาจารย์นับหนึ่งถึงสามให้นั่งพร้อมกันนะ คนอเมริกานั่งเร็วนะ เร็วเกินไปดีไหม (ไม่ดี)  จริงๆ แล้วการเป็นคนทำงานเร็วก็ดีนะ แต่ว่าการที่ทำงานเร็วแล้วสติเร็วด้วยหรือเปล่า ตอนนี้เรารู้ที่ตั้งของจิตวิญญาณตัวเอง เราต้องกำหนดเป็น ใช่หรือเปล่า เหมือนกล้องถ่ายรูป เวลาเราจะถ่ายต้องมีโฟกัสใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเหวี่ยงกล้องไปเร็วๆ แล้วเราจะถ่ายได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นตอนนี้เมื่อเรารู้ที่ตั้งของจิตวิญญาณของตัวเอง เราจึงต้องหัดที่จะโฟกัสชีวิตของเรา เพื่อให้รู้ว่าเราจะทำอะไร เราจะคิดอะไร บางเรื่องคิดมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  คิดจนฟ้ารุ่ง คิดจนสว่างเลย มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นความคิดจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากเราพิจารณาอย่างละเอียดว่าควรจะทำอย่างนี้ ควรจะทำอย่างนั้น เห็นทั้งลึก เห็นทั้งกว้าง เห็นทั้งชัด เห็นทั้งไม่ชัด เห็นในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แล้วสามารถที่จะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มองกำแพงให้ใส อย่างนี้ความคิดจึงมีประโยชน์ นั่นเรียกว่าพิจารณา เป็นผลพวงมาจากสติ
(พระอาจารย์เมตตานับ หนึ่ง สอง สาม)
เห็นไหมว่าความคิดของเรานั้นแยกไม่ได้ พอเราฟังสิ่งหนึ่ง และบอกให้ทำอีกสิ่งหนึ่ง เราทำได้ไหม (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้)
อยากได้ผลไม้อะไร (แล้วแต่พระอาจารย์เมตตา)  เอาง่ายๆ ก็แล้วกัน อันนี้เรียกว่าให้เพราะว่าผ่าน คราวที่แล้วลองใจนะ เพราะว่าเราเป็นคนที่มีความสมบูรณ์แบบมาก เพราะฉะนั้นการไม่ให้ จึงเป็นการให้เราได้รู้ว่า ถ้าเราไม่ได้เหมือนชาวบ้านจะเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องราวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ทำให้เราผ่านอะไรอีกหลายอย่าง แล้วก็ให้รางวัลแก่คนผ่าน ถ้าวันนี้ไม่ผ่านไม่ให้
อธิบายเรื่องโฟกัสจบหรือยัง (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมเรียน
พระอาจารย์ว่าอธิบายจบแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าถูกต้องครบถ้วนหรือเปล่า
ขอพระอาจารย์เมตตา)  ไม่เป็นไร ศิษย์เหล่านี้เป็นคนลาว เขาฟังภาษาไทยรู้เรื่อง ถ้าคนลาวฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ต้องไปฟื้นฟูใหม่ เดี๋ยวส่งกลับประเทศลาว แล้วค่อยกลับมาอเมริกาใหม่ ดีไหม
การฟังธรรมะ ต้องใช้เวลาถึงสองวัน ทำให้หลายๆ คน มีความลำบาก หลายๆ คนก็มีความลำบากใจในการที่จะต้องเสียเวลามาสองวัน บางทีศิษย์อยากจะไปหาของวิเศษในโลกนี้ แต่อาจารย์บอกให้ เงินที่เสียไป กับคุณค่า
ที่ได้มาไม่เท่ากัน ธรรมะและจิตใจของตนเองหาค่าประเมินไม่ได้ ธรรมะเหมือนสิ่งที่มาช่วยกรุยทางของเราให้สามารถที่จะโล่งมากยิ่งขึ้น แต่บางทีเงินเหมือนยาพิษ ทำให้ศิษย์นั้นยิ่งมียิ่งตัน อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ใช่บอกว่าเงินนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เงินก็คือเงิน ก็คือกระดาษที่มีคุณค่า ที่ศิษย์นั้นใช้จ่ายอะไรก็ได้ แต่จ่ายให้มีจิตใจที่ยกระดับสูงขึ้นไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราลองมองสิว่า เมื่อเราหลับตาลง สิ่งใดที่อยู่กับตัวเรา ทุกวันที่หลับตาลงบนเตียงนอน อะไรที่อยู่กับเรา ใช่เตียงหรือเปล่า สังขารหรือเปล่า แม้กระทั่งสังขาร ตอนที่หลับตาสังขารนี้ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่กับเรา เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเตียงนอนนะ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ข้างเราด้วย ต่างคนต่างนอน ไม่มีการนอนแล้วมาเป็นจิตญาณดวงเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่กับเราตอนที่เราหลับตาก็มีแค่ตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  สิ่งที่อยู่ในใจของเราก็มีอะไร ก็คือความคิดของเรา ความคิดของศิษย์ที่ทั้งวัน ตากับหูของเราทำงานตลอดเวลา แล้วตอนกลางคืนก็เก็บมาคิด
เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ในใจของเราก็มีแค่ความคิดของเรา เป็นเพราะว่าจิตใจเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เราจึงเอาความคิดของเราไปเก็บไว้ในนั้น คิดอยู่คนเดียวไม่มีใครรู้ คิดร้ายมีคนรู้ไหม คิดดีมีคนรู้ไหม แล้วส่วนใหญ่คิดดีหรือคิดร้าย เมื่อศิษย์คิดร้ายตื่นเช้ามาศิษย์ก็เจอเรื่องร้ายๆ ถ้าศิษย์คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ชีวิตของศิษย์ก็จะดีมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเราจะเสียเปรียบคนอื่นบ้าง แม้ว่าเราจะถูกคนอื่นรังแกบ้าง อันนั้นเป็นบทสรุปไหม ตอนที่เราโดนเอาเปรียบ โดนรังแก เป็นบทสรุปของชีวิตหรือเปล่า มีบทสรุปว่าจิตใจของเราคิดไม่ดี แล้วเราเอาสิ่งที่ไม่ได้ไปเก็บไว้ในใจมากๆ เก็บมากๆ เข้า เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เมื่อมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตนี้มีความสุขไหม (ไม่มี)  เราอยากมีความสุข ถูกหรือเปล่า ความสุขไม่ได้ได้มาด้วยการที่เอาเงินไปซื้อสิ่งที่เราอยากจะได้ ฉะนั้นความสุขเกิดจากการสะสมขึ้นทุกวันๆ ยกตัวอย่างเช่น ให้เรามองใครๆ ก็เป็นคนดี แค่นี้ก็ทำยากแล้ว คนที่ไม่ดี ก็ให้เห็นข้อดีของเขาให้ได้ แค่นี้ก็ยากแล้ว อันนี้เป็นเพราะว่าเราไม่ได้ฝึกฝน ฝึกฝนว่าต้องใช้ความอดทน ต้องดึงใจกลับมาบ่อยๆ เคยคิดไหมคิดไปไกลๆ ลิบเลย ดึงใจกลับมายากไหม ถึงตอนนั้นถามว่าเป็นใจเราหรือใจคนอื่น (ใจคนอื่น)  เป็นจิตใจคนอื่นหรือใจเรา ไหนใครตอบได้
(จิตใจคนอื่น)  แค่นี้เองลุกขึ้นมาตอบก็ได้ผลไม้
คนอื่นว่าอย่างไร เวลาที่เราคิดไปจนไกลลิบ แล้วเราดึงกลับกลับมา ตอนนั้นเป็นใจเรา หรือเป็นใจคนอื่น (ใจเรา, ใจคนอื่น)
(พระอาจารย์เมตตาจะโยนผลไม้ให้นักเรียน)
จะรับได้ไหม สูบบุหรี่เยอะคงรับไม่ได้หรอก มีร่างกายดีๆ แล้วจะได้บำเพ็ญธรรมนานๆ กุศลจะได้เยอะๆ ดีไหม ไม่ใช่กลับไปถึง ไม่มีกุศลเลย เหมือนไม่มีเงินเลย ไหวไหม เหมือนอยู่ในโลกนี้บอกว่าไม่มีเงินเลย ไหวไหม (ไม่ไหว)  มีบัตรเครดิตก็โอเคนะ จริงๆ อาจารย์ก็ให้บัตรเครดิตกับศิษย์ไว้ทุกคน มีเครดิตคือการทุกคนมีกรรมแล้วอาจารย์แบกรับไว้ให้ศิษย์ก่อน แต่ว่าสุดท้ายแล้ว กรรมของใครก็ของมัน บัตรเครดิตนี้ใช้มากเกินไป ก็ต้องจ่ายเยอะหน่อยใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทำอะไรด้วยจิตใจที่สะอาดก็เป็นกุศล ถ้ายึดติดกุศลก็ไม่มีกุศล เป็นแค่บุญ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นกุศลที่สุดคือ การบำเพ็ญจิตให้สะอาดและสว่าง ตอนนี้ใจหนักเหมือนหินไหม มนุษย์ชอบพูดว่า “ใจหนักเหมือนหิน” แสดงว่า ใจทั้งหนัก เหนื่อย และเลอะเทอะ ต้องบำเพ็ญถึงขั้นใจเบาเหมือนปุยนุ่น เบา สว่าง ขาว สะอาด ท่ามกลางความวุ่นวายใจสงบ
“จดหมายถึงจากฟ้าส่งเจ้าไม่สน           ไม่หลุดพ้นพวกเจ้าไม่ทุกข์ร้อน”
แต่อาจารย์ทุกข์ร้อนมากนะ ตกลงจะตอบคำถามกันหรือเปล่า เวลาใจของเราเมื่อคิดไปไกลๆ แล้ว ตอนนั้นใจยังเป็นของตัวเองอยู่หรือเปล่า
(ยังเป็นใจของตัวเอง)  ยืนหน่อยดีไหม เสียดายมากที่คนมีบุญอย่างเรา ถึงเวลาไม่ยอมต่อบุญนะ มีหลายคนมีบุญใช่ไหม มารับธรรมะแล้ว แสดงว่าศิษย์เป็นคนมีบุญมาแล้ว ๓ ชาติ อันนี้แน่นอน เชื่อไหมว่าเรามีบุญ (เชื่อ)  ทำไมเรายังแย่ๆ อยู่เลย เชื่อไหมว่าเรามีบุญ (เชื่อ)  ไม่หนักแน่นเลย ถ้าศิษย์ไม่เชื่ออาจารย์ก็ไม่เชื่อ ถ้าศิษย์ไม่เชื่อตัวเอง อาจารย์ก็ไม่เชื่อศิษย์เหมือนกัน แต่ทำไมชาตินี้ทำไมเราแย่ๆ อยู่เลย คนดีมีบุญ ต้องให้คนดีมีบุญตอบ (ทำบุญยังไม่พอ)  ทำบุญยังไม่พอ ทำกุศลไม่พอ ก็คิดกันแค่นี้ ทำบุญไม่พอก็ทำกันเข้าไปอีก
(บำเพ็ญไม่พอ)  อาจารย์แจกผลไม้ให้กับคำตอบนี้นะ
(จะตอบว่าทำบุญเหมือนกัน)
คุณจินดา ลองตอบอาจารย์สิ ทำบุญๆ ทำไมไม่พอ ยังแย่อยู่เลย (เพราะว่าทำบุญแบบไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ ถ้าตั้งใจใส่ใจก็จะทำบุญกุศลได้เยอะๆ ยิ่งขึ้น)  สรุปก็ต้องยังจะไปทำบุญเยอะๆ เหมือนเดิม
(เลิกทำความชั่ว ตั้งใจทำความดี)  เกือบจะใกล้แล้ว ปรบมือให้หน่อยดีไหม อาจารย์จะบอกให้ ศิษย์ในชั้นนี้ หลายๆ คนเป็นคนมีบุญมากจริงๆ  ทั้งในบุญอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ทำไมเรามีบุญ แต่ทำไมยังรู้สึกแย่ๆ อยู่เลย
(จิตใจยังไม่ขาวสะอาด)
ระวังคนอื่นจะได้ผลไม้หลายลูกในเวลาเดียวกัน แต่เราไม่ได้สักลูก คนอื่นจะว่ามาจากรัฐไอโอวา แอปเปิลลูกเดียวยังไม่มีปัญญาเลย เพราะว่าแอปเปิลของอาจารย์ไม่ขาย ได้เฉพาะตอนอ้าปากตอบนะ
(ไม่ใช่ทำเพื่อตัว ให้ทำเพื่อผู้อื่น)  จิตใจเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ อาจารย์รับตอบ ไม่เกี่ยงภาษา
(เราขอมากเกินไป)
(เราควรเข้าอบรมธรรมะอยู่เป็นประจำ)
ที่จริงแล้วเราเป็นคนทำบุญมาเยอะ อดีตชาติก็ทำเยอะ ปัจจุบันก็ทำเยอะ โดยเฉพาะปัจจุบัน ทำบุญเยอะแต่ติดบุญเยอะ เมื่อยึดติดในบุญก็กลายเป็นบุญที่ยึดติด สมมติว่าศิษย์ทำบุญเป็นส้มผลนี้ ถ้าเอากาวมาทาส้มแปะไว้กับมืออย่างแน่นหนา ถามว่าเราปล่อยส้มผลนี้ได้ไหม สุดท้ายส้มนี้เป็นอย่างไร เป็นบุญของเราไง และเป็นบุญของเราตลอดไปใช่ไหม แม้กระทั่งพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าคนๆ นี้ โดนเจ้ากรรมนายเวรทวง อาจารย์บอกว่าเดี๋ยวจะเอาบุญของเขามาจ่ายให้ อย่าเพิ่งทวง ก็ทำไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่าง โดยการส่งส้มให้นักเรียนในชั้นถือ เพื่อแทนบุญกุศล และพระอาจารย์ก็จะเอาส้มกลับ แต่นักเรียนในชั้นไม่ยอมปล่อยมือจากผลส้ม)  ทำอย่างไรจะดึงบุญจากศิษย์ได้ บุญก็เยอะนะ ทำอย่างไรดีล่ะ
เพราะฉะนั้นเมื่อเรายึดติดในบุญของเราแบบชนิดจับไม่ปล่อย แม้กระทั่งพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากจะดึงส้มมา เพื่อที่จะนำไปจ่ายหนี้กรรมให้ศิษย์ ก็ยังทำไม่ได้เลย เพราะว่าศิษย์มีความยึดติดสูงมาก ฉะนั้นเมื่อทำบุญอย่าไปยึดติดกับบุญมาก ยิ่งเราให้ไป ความดีความชอบที่คนจะชมเรา เราก็ไปชมคนอื่น ในโลกนี้ไม่มีงานชิ้นใดที่เราจะทำเสร็จได้ด้วยตัวของเราคนเดียว เพราะฉะนั้นการที่เราจะชมคนอื่นเป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแต่เราจะมองเห็นหรือเปล่าว่าเราควรที่จะชมคนอื่น อันนี้ก็เป็นบุญเหมือนกันใช่หรือไม่ ส่วนเวลาที่เราชมไปถึงคนอื่นอันนี้เรียกว่าเป็น “กุศล” เวลาที่เราให้คำชมแก่คนอื่นไปเรียกว่า “กุศล” ทำไมถึงเรียกว่า “กุศล” เพราะว่าจิตใจของเราไม่มืด ไม่ยึดติด เรามีความสว่าง เราจึงจะสามารถที่จะสว่างไปทั่ว อันนี้เรียกว่า “กุศล” เพราะบริสุทธิ์ พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งให้ ยิ่งมี ยิ่งเยอะ ถ้ายิ่งเก็บ ก็ยิ่งยึด ยิ่งติด ยิ่งมั่น สังเกตไหมว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นจะเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันเสียส่วนใหญ่ ไม่ได้นอกเหนือไปจากชีวิตประจำวันของตัวเราเลย เพราะฉะนั้นแค่เราพยายามที่จะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะทำจิตใจของเราให้สว่าง ศิษย์ก็จะคิดออกว่าศิษย์ควรจะทำอย่างไร
กลับมาถึงคำถามที่ถามว่า “ทำไมเราเป็นคนมีบุญเยอะ ชาติก่อนๆ เราก็มีมาอย่างน้อยสามชาติ ปัจจุบันเราก็มีบุญเยอะ ทำไมเรายังแย่อยู่”  เพราะว่าเราเกิดมาพร้อมอายตนะของเรา อายตนะของเราทำงานตลอดเวลา ไม่มีเวลาหลับเลย ภาพที่เราเห็นเกิดจากตาและหูของเราประสานกันตลอดเวลา บางทีเราหลับตาไปแต่หูเรายังได้ยิน ภาพนั้นก็ยังทำงานเหมือนกัน สัญญาเก่าๆ ก็กลับมาบอกเราว่า อันนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นการที่เราจะล้างกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจของเราจึงเป็นเรื่องยากมาก แต่ว่าคนที่เคยสำเร็จไปอยู่เบื้องบนนี้รวมทั้งอาจารย์ด้วย ทุกๆ คนนั้นล้วนเป็นมนุษย์มาก่อนทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อคนอื่นทำได้ศิษย์ก็ทำได้ ถ้าหากคิดว่าศิษย์ทำไม่ได้ ก็จะไม่เรียกร้องให้ทำ ถ้าหากว่าลองทำแล้วยากก็ลองทำใหม่ เราจะเป็นคนดีขึ้นภายในเวลาหนึ่งปี ศิษย์จะกลายเป็นคนดีขึ้นภายในเวลาหนึ่งปี และศิษย์จะกลายเป็นคนที่สำเร็จธรรมได้เมื่อศิษย์ขาดลมหายใจ ทำได้ไหม (ได้)  ศิษย์ต้องลองดู ไม่ลองก็จะไม่รู้ ที่อาจารย์บอกว่าตาหูทำงานพร้อมกันตลอดเวลา ฉะนั้นศิษย์จึงมีอกุศลในจิตใจอยู่มากมาย มีคราบที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณของศิษย์เยอะมาก บางคนนั่งสมาธิเข้าฌานยังเห็นภาพในอดีตของตัวเองเลย เพราะตากับหูประสานกันทำให้เกิดภาพมากมาย เหมือนภาพที่ศิษย์เห็นปัจจุบัน ตอนนี้ให้ศิษย์หลับตาแล้วลองนึกถึงบ้านตัวเอง นึกออกไหม (นึกออก)
เพราะฉะนั้นมีสิ่งตั้งมากมายที่ศิษย์ทำอยู่ในอดีตชาติ เมื่อเราสั่งสมกลายเป็นภาพจะฝังอยู่ในใจ แล้วสามารถที่จะอยู่ได้นานมาก  ฉะนั้นตอนนี้จึงบอกว่า จริงๆ การให้บำเพ็ญธรรม ให้ล้างกิเลสเก่าๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าทำได้ ทำได้แน่นอน แต่ต้องพยายาม หลังจากนี้พยายามใช้หูกับตาให้น้อย เรื่องผิดของคนอื่นก็อย่าไปพยายามดู เรื่องชาวบ้านก็อย่าไปพยายามฟัง เมื่อทำได้เช่นนี้ชีวิตก็เรียบง่ายมากขึ้น จริงหรือไม่
บางทีเราเห็นลูกของเรา แล้วเราไม่ถูกตาต้องใจ มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเกิดขึ้นมานานแล้ว ใจเย็นๆ มันเกิดขึ้นมานานมาก บางทีนานไปถึงชาติที่แล้วด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นใจเย็นๆ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องลูก เรื่องไหนๆ ก็เหมือนกัน
บางทีก็มีเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาให้เราแก้ไขความผิด ตอนที่เราจะเลือกทำคำตอบอีกครั้งหนึ่ง เราก็อย่าเลือกผิดอีกสิ ได้ไหม เหมือนเรื่องง่ายๆ ในครอบครัวก็คือ สามีภรรยาทะเลาะกัน ถามว่าทะเลาะกันครั้งที่เท่าไหร่ (นับไม่ได้)  ถามว่าเหตุการณ์วนซ้ำมาอีกครั้ง ถามว่าเราเลือกคำตอบผิดหรือถูก บ่นเรื่องเดิม พูดเหมือนเดิม เราก็ทำเหมือนเดิม เขาก็ทำเหมือนเดิม ใช่ไหม สนุกไหม (ไม่สนุก)  แต่ดูละครสนุกไหม (สนุก)  ละครสนุก แต่ชีวิตเราอย่าขำ ใครขำโกรธ เวลาที่ตากับหูทำงาน สมองเราก็จะมีความคิดมากมาย มีบางคนเป็นคนคิดมาก เป็นคนวิตกจริต เพราะฉะนั้นคนประเภทนี้ก็จะมีความคิดมาก คิดซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดไม่หยุดไม่หย่อน เวลาคิดมากก็พูดเยอะ ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิง ผู้หญิงบ่นเยอะหน่อย แต่เวลาผู้ชายบ่นน่ากลัวไหม
ฉะนั้นเมื่อเราฟังคนที่อยู่ในบ้านของเรา หรือเป็นคนที่ทำงาน หรือเป็นใครสักคนหนึ่งที่บ่นมากๆ เราทำอย่างไร ทะเลาะเลยดีไหม พูดถึงสิ่งที่ถูกต้องให้เขาฟัง เขาจะได้รู้สติสักที ใช่ไหม (ไม่)  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าให้มองเห็นข้อดีในข้อเสียของคนๆ นั้น เมื่อเขาโมโห เราห้ามตอบโต้ ถ้าเราไม่เข้าใจเขา เราพูดอะไรเราก็ผิด เมื่อเราพูดถูกมันก็แปลว่าผิด ชีวิตยากไหม (ยาก)  หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง แต่ชีวิตนี้ หนึ่งบวกหนึ่งไม่เท่ากับสอง บางคนเกิดมาใช้หนี้ใครบางคน มันก็ไม่ใช่สอง เจ้ากรรมนายเวรที่น่ากลัวที่สุดคือใครรู้ไหม คือเจ้ากรรมนายเวรที่เกิดมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นี่แหละน่ากลัวที่สุด พอเป็นวิญญาณอาจารย์ต่อรองให้ได้ แต่ตอนที่เขาเป็นมนุษย์แล้ว ต้องใช้วิธีการกล่อมเกลาจิตใจแบบนี้
เพราะฉะนั้นหากว่าศิษย์เองฟังธรรมะแล้วดีขึ้น ศิษย์ก็ต้องให้คนที่อยู่ที่บ้านของศิษย์ หรือคนที่ศิษย์รู้จักมาฟังธรรมะเช่นเดียวกัน ให้จิตสำนึกและพุทธะที่อยู่ในตัวตนของเขานั้นทำงาน เพราะว่าทุกวันนี้พุทธะไม่ทำงานเลย ตอนนี้ดับสนิทแบตเตอรี่หมด ตอนนี้เริ่มมีแบตเตอรี่ขึ้นหรือยัง ชาร์ตเข้าหรือยัง (เข้าแล้ว)  คนที่เป็นคนชอบวิตกกังวล บางทีก็เป็นคนที่เป็นอย่างนี้ พูดถึงเรื่องแบตเตอรี่ก็นึกขึ้นมาได้ ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ คิดว่าปัญหาอะไรก็แก้ไม่ได้ โทรศัพท์ดังก็รีบรับเลย Line ดังปุ๊บรีบดึงขึ้นมาดูทันที วันๆ ก้มหน้าทั้งวันเลย ไม่มีอะไร แต่ดูทั้งวันเลย จริงไหม (จริง)  เราเป็นคนอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่าเป็นคนช่างวิตกกังวลนะ
จะพูดบอกว่า ทุกวันนี้ที่ชีวิตนี้ยังไม่ดี เพราะว่าเราทำบุญมากแต่เรามีกรรมเยอะ กรรมเกิดจากอะไร (การกระทำ)  ก็เกิดจากการพูด จากการกระทำ เกิดจากการที่เรานั้นไม่ยอมที่จะรู้สึกว่าตัวเองผิด ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเราผิดสักนิดหนึ่ง เราก็จะแก้ไขตัวของเราทันที
อาจารย์ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์ของอาจารย์นั้นเหยียบอยู่บนน้ำ แล้วข้างๆ เป็นพื้นที่แห้ง ศิษย์จะยืนแช่น้ำอยู่อย่างนี้ไหม (ไม่)  ศิษย์ก็จะต้องขึ้นไปในที่แห้ง แต่นั่นหมายความว่าศิษย์ต้องรู้สึกนะว่าขาของตัวเองเหยียบอยู่บนน้ำแฉะๆ ถ้าหากว่าศิษย์ไม่รู้สึกตัว ใครจะเรียกศิษย์ขึ้นมา ศิษย์ยอมขึ้นไหม (ไม่ยอม)  มีบางคนคิดว่า ขึ้น ขึ้นอยู่แล้วมาเตือนสิ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว มีคนเตือนตลอดเวลา แต่ความเข้าใจต่อน้ำและที่แห้งของศิษย์กับอีกคนหนึ่งไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เท่ากัน ต่อให้เขาบอกว่านั่นคือเปียก ศิษย์ก็ไม่เข้าใจ
อาจารย์ถึงบอกว่าวันนี้อาจารย์มาช่วยศิษย์ เพราะว่าศิษย์นั้นไม่รู้ว่าศิษย์ควรได้รับการช่วย แต่ตอนนี้เมื่ออาจารย์มาช่วยศิษย์แล้ว อาจารย์เตือนว่านั่นคือที่แฉะ ให้ศิษย์ขึ้นมา ศิษย์จะเชื่อหรือเปล่า อันนี้ก็ยังเป็นความเข้าใจที่แตกต่าง ถ้าไม่เข้าใจ ให้พยายามที่จะศึกษาให้มากๆ ก็แล้วกัน


(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมวงพระโอวาท)
วงคำว่าอะไร (หลัก)  หลักหมายความว่า จริงๆ แล้วศิษย์มีความสามารถในการเป็นหลักได้นะ แต่ว่าต้องแบ่งเวลาทางโลกทางธรรมให้ดี เพราะว่าความสามารถของเราเยอะ ถ้าศึกษาธรรมมากๆ ปัญญาที่มีอยู่ก่อนเก่า จะไหลพรั่งพรูออกมา ทำได้ไหม (ทำได้)
จะรับธรรมะต้องมีบุญมาอย่างน้อยสามชาติ ถ้าเป็นสามีภรรยากันต้องมีบุญมากี่ชาติ อย่างน้อยชาติที่แล้วต้องทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน จำได้ไหม ต้องพยายามรักษาอารมณ์ของเราให้ดี รักษากายใจของเราให้บริสุทธิ์ พยายามที่จะใจเย็นๆ ทำได้ไหม ทั้งคู่นะ บ่นแต่พองาม คิดเยอะบ่นเยอะ ไม่หลับไม่นอนยิ่งบ่นเยอะเลย เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นให้นอนหน่อย จะได้บ่นน้อยๆ ทำได้หรือเปล่า ถ้าไม่ยอมหลับยอมนอน ถ้าไม่ใช้ชีวิตให้เป็นปกติ อาจารย์ก็ไม่ได้ให้เลิกหายไอง่ายๆ ไอเป็นการเตือน อารมณ์ยิ่งเสียยิ่งไอใช่ไหม จริงไหม (จริง)  ไอเป็นการเตือน อาจารย์ไม่ได้ให้โรคนี้กับศิษย์ แต่ศิษย์ทำให้ร่างกายของศิษย์เป็น เพราะฉะนั้นการที่เราไอมากก็เตือนมาก
อาจารย์จะบอกว่าช่องทางการทำบุญกุศล ตอนนี้มีเยอะ เพราะเนื่องจากว่าเรามีสถานธรรม หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง คนอื่นอาจไม่ได้ทำ แต่เรานั้นได้ทำ ทำแล้วอย่ายึดติดในบุญกุศล ศิษย์ไม่ต้องร้องไห้ เพราะร้องไห้แล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีช่องทางในการทำบุญกุศลมาก ก็ต้องรักษาโอกาสให้มาก อย่าให้เสียโอกาสที่เบื้องบนมอบให้ คนในนี้ทั้งหมด เมื่อเขาเข้าใจธรรมะ ก็เป็นกุศลของเรา ถ้าเราทดสอบให้เขาห่างหายไป ก็เป็นบาปของเรา เข้าใจนะ
เป็นสามีภรรยา มีบุญกันมาอย่างน้อยหนึ่งชาติแล้ว ฉะนั้นต้องส่งเสริมสามีให้ดี ส่งเสริมภรรยาให้ดี ต้องต้องเสริมญาติพี่น้องให้ดี ทำได้ไหม อดทนอดกลั้น จนกว่าความอึดอัดในใจมันจะหายไปเอง ไม่ใช่ว่าเราไปโยนทิ้งนะ ไปโยนทิ้งที่ไหนเดี๋ยวมันก็กลับมาหาเรา แต่ถ้าทำจนกระทั่งมันอึดอัด มันหายไปเอง เพราะเราเอาชนะใจตัวเองได้ โลกนี้ไม่มีอะไรที่เราเอาชนะไม่ได้ รักษาสุขภาพด้วยทั้งสองคน สุขภาพสำคัญมาก ไม่มีร่างกาย ไม่มีสังขาร ทำงานธรรมะไม่ได้ อยากทำอะไรก็ทำไม่ได้ ถึงตอนนั้นใจไปแต่ตัวไม่ไปแล้ว เข้าใจนะ
เรามาว่ากันถึงเรื่องของ “กิเลส” ที่อาจารย์พูดบอกว่าตัดกิเลส กิเลสมีอยู่ ๕ ประเภท มีวิธีการอธิบายถึงกิเลสหลายแบบ แต่ว่าเราพูดถึงกิเลส ๕ ได้แก่
๑.            อาหาร
๒.            นอนหลับ
๓.            กามารมณ์
๔.            ชื่อเสียง
๕.            ลาภยศ (เงินทอง)
มีกิเลสอยู่ ๕ ประเภท
“ชื่อเสียง” เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการ ต้องการให้คนอื่นเคารพรัก เข้าใจเราใช่หรือเปล่า ต้องการให้คนอื่นชม ต้องการให้คนอื่นมองเราเป็นคนที่พิเศษ
“ลาภยศ (เงินทอง)” เราก็ต้องการ อยากจะซื้อลอตเตอรี่ให้ถูก อยากจะได้เงินเยอะๆ ฝันเฟื่องไปถึงเงินทองเป็นพันล้าน เฉพาะสองอย่างนี้ เราก็วิ่งวงเหมือนหนูติดจั่น ไม่ยอมหยุดไม่ยอมหย่อนแล้ว ใช่หรือเปล่า
อีกสองอย่างบนล่ะ (ข้อ ๑ และ ๒)  ทุกวันเราหาเงิน สิ่งที่เราให้จ่ายเป็นจำนวนมากก็คือ เรื่องกิน ขี้เกียจก็ไปหาซื้อกิน ขี้เกียจล้างผักก็มีคนล้างให้ เพราะฉะนั้น “อาหาร” ก็เป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตมากๆ เลย แล้วอาหารก็มีหลายเกรด หลายระดับ แต่ส่วนใหญ่เกรดกับระดับมาจากอะไร บางทีก็มาจากการบรรจุหีบห่อ (Package)  แล้วเราก็หลงไปซื้อสิ่งที่แพง พอซื้ออาหารแพง ก็กลับมาเรื่องลาภยศเงินทองใหม่ พอกินแล้วเดี๋ยวไม่น่าดู เดี๋ยวคนอื่นเค้าหาว่าเราจน ก็กลับมาเรื่องชื่อเสียงใหม่ พอกินมากเกินไปนอนไม่หลับ หรือจ่ายมากเกินไปนอนไม่หลับ ก็กลับมาเรื่องการ “นอนหลับ” ใหม่ เครียดต้องจ่ายเงินก็กลับมาเรื่องเงินทองใหม่ เครียดมากเกินไปก็กลับไปกินใหม่ เสร็จแล้วอุปกรณ์เครื่องครัวไม่สมใจ กระทะไม่ดี หม้อไม่ดี ก็ไปซื้อใหม่ แล้วก็กลับไปที่ต้องการเงินใหม่ กลับไปนอนไม่หลับใหม่ ใช่หรือไม่
เสร็จแล้วเรื่อง “กามารมณ์” เป็นอย่างไร กามารมณ์ คือการติดในรูป ในเสียง ในสัมผัส ชอบสิ่งที่สวยงาม เมื่อสวยงามก็กลับมาเรื่องการหาเงินใหม่ เสร็จแล้วนอนไม่หลับใหม่ แล้วก็กลับไปกินใหม่ สรุปว่าอันนี้เป็นกิเลสไหม เป็นกิเลสติดดิน คือเป็นกิเลสที่เรามีอยู่ทุกวัน ทั้งหมดนี่รวมกันได้มาหนึ่งคำคือ “เหนื่อยจะตายแล้ว” ทุกวันก็เหนื่อยให้กับเรื่องพวกนี้ใช่หรือเปล่า เคยมีไหมเสื้อขาดแล้วไปเย็บ ผู้หญิงที่ส่ายหน้าเรื่องเย็บเสื้อนี่ไม่ถูกนะ เคยมีไหมอาหารก็ปลูกเอาเองบ้าง เคยมีไหมกินง่ายๆ โดยไม่ต้องกินหรูหรามาก กินที่มันซับซ้อนมาก พอเป็นโรคก็เป็นโรคที่ซับซ้อน
เพราะฉะนั้นชีวิตขึ้นอยู่กับตัวเรากำหนดเองถูกไหม หมอดูดูเราได้ไหม ชีวิตชะตากรรมเปลี่ยนทุกวันเลยนะ เพราะฉะนั้นเราจะกำหนดชีวิตของเราไปทางไหน เราต้องมาเริ่มตั้งใจที่จะมากำหนดชีวิตของเราตั้งแต่วันนี้ ทำได้ไหม ถ้าหากว่าทำไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ยังมีความทุกข์อยู่บ้าง ทุกข์สุขคละเคล้าปะปน แต่ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่สงบท่ามกลางความวุ่นวาย อันนี้ดีกว่าไหม ความวุ่นวาย ความทุกข์ที่อยู่ภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนสร้างให้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นวัตถุนอกกายหมุนไปๆ แต่เรานิ่งอยู่ตรงกลาง เพราะว่าอะไร เพราะว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการเอาใจนั้นไปจับสิ่งของต่างๆ มาเป็นของเรา ความสุขเกิดจากภายในพรั่งพรูเปล่งสำแดงออกมา
เมื่อวันใดศิษย์รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง เมื่อวันใดที่รักตัวเองและให้อภัยตัวเอง ศิษย์ก็จะได้ความสุขนั้น ทำได้ไหม
มีอีก ๔ อย่างที่อาจารย์จะให้ทำ เรียกว่า “๔ อ”
๑.            อาหาร
๒.            อากาศ
๓.            ออกกำลังกาย
๔.            อารมณ์
ทั้ง ๔ อย่างนี้ให้ศิษย์ไปทำ แล้วสุขภาพจิต สุขภาพใจ สุขภาพร่างกาย ก็จะดีขึ้น
“อาหาร” คือ ให้กินน้อยๆ กินสักเจ็ดส่วนพอ เรากินอิ่ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ถูกไหม แต่บางคนกินมากกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ให้กินแค่เจ็ดส่วนพอ ให้เหลือที่ไว้ให้กระเพาะย่อยอาหาร อาหารให้กิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เคี้ยวเยอะๆ เคี้ยวไปเรื่อยๆ แล้วกินช้าๆ เวลากิน อย่ากินไปคิดไป
“อากาศ” ออกไปข้างนอกโดนแดดบ้าง แต่ถ้าโดดแดดมากเกินไปก็เข้ามาหลบแดดบ้าง อย่าหมกมุ่นอยู่ในที่ที่หนึ่งนานๆ นั่งนานๆ ก็ลุกขึ้นมาบิด เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
“ออกกำลังกาย” อันนี้เป็นการหาเงินให้สุขภาพ เพราะว่าไม่มียาขนานไหนที่ดีกว่าการออกกำลังกายเลย ป่วยปุ๊บ ไปหาหมอ หมอจ่ายยามาปุ๊บ แล้วกินมากๆ ร่างกายก็ผิดปกติ แต่ไม่กินยาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปออกกำลังกายซะ ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเอง จะเดินก็ได้ จะวิ่งก็ได้ แต่ว่าบางคนบอกว่าทำงานๆ ก็เหมือนการออกกำลังกาย ทำเสียจนหลังขดหลังแข็งยืดไม่ขึ้นเลย เพราะฉะนั้นตอนทำงานกับออกกำลังกายไม่เหมือนกัน ถ้าทำไม่ได้ให้เริ่มวันละ ๕ นาที ถ้าทำได้ ๑๐ นาที ถ้าทำได้วันละครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าทำไม่ได้ให้ทำอาทิตย์ละ ๒ ครั้งๆ ละครึ่งชั่วโมง
ข้อที่ ๔ “อารมณ์” มีอะไรบ้าง รัก โลภ โกรธ หลง อันนี้อารมณ์ที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ว่าอารมณ์เราจะดีขึ้นตอนไหน บางคนเหมือนเอาหินไปทับหญ้า เวลาทับหญ้าเสร็จหญ้าตายไหม ประสบความสำเร็จไหม เวลาเอาหินออกหญ้าก็ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นการเอาชนะอารมณ์ตัวเอง จึงเป็นการมองดูจิตใจของเรา
พื้นฐานของจิตใจของทุกคนเป็นความว่างอยู่แล้ว เชื่อไหมว่าพื้นฐานของจิตใจของเราคือความว่าง แค่เราเอาอายตนะของเรานั้นมองอารมณ์ของเรา เมื่อเข้าใจว่านี่คืออายตนะ นั่นคืออารมณ์ มองแล้วมองไปเรื่อยๆ อารมณ์ก็จะหายไป กลายเป็นความว่างโดยอัตโนมัติ ปกติเราเห็นคนอื่นโกรธ เรามองคนอื่นโกรธใช่ไหม น่าดูไหม (ไม่น่าดู)  เวลาเราโกรธล่ะ เอาอะไรมาดู ถ้าเราไม่รู้จะเอาอะไรมาดู ให้ไปยืนอยู่หน้ากระจก ใช้ตาคู่นี้ไปมองกระจก จะหายโกรธทันทีเลย เพราะมันไม่งาม เพราะฉะนั้นให้เอาตาของเราไปมองความโกรธของเราก็ได้ แต่ไม่ใช่ใช้ตานอก ให้ใช้ตาใน เมื่อมองไปมองมา ความโกรธก็จะหายไป อย่าลืมให้พุทธะในจิตใจสอนด้วยว่าวันหลังอย่าโกรธ เพราะว่าคนที่สอนเราที่ดีที่สุดคือตัวของเราเอง
อาจารย์หวังว่าอาจารย์เก็บขยะในใจของศิษย์ออกมาแล้ว เปิดไฟให้ใจของศิษย์สว่างแล้ว ตอนนั้นอย่าปล่อยให้ฝุ่นมาจับไฟของศิษย์จนกระทั่งมันดับมอดหรือมืดลงไปอีก อย่าเอาขยะอะไรก็ไม่รู้ มาใส่ใจของศิษย์ไว้ จนกระทั่งมันเต็มไปหมดอีก ให้ใจของศิษย์นั้นกว้างขวาง ใหญ่โต มีที่ว่างให้เวไนยได้วิ่งเล่นบ้าง จำไว้ว่ายิ่งช่วยคนอื่นแปลว่ายิ่งช่วยตัวเอง ทุกครั้งที่บอกหรือพูดธรรมะให้คนอื่นฟังก็เป็นการพูดให้ตัวเองฟังด้วย ฉะนั้นอย่าลืมว่าเราคือพุทธะ มาว่างๆ ไปว่างๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “ปัญญาดี”)
วันนี้อาจารย์ให้โอวาทซ้อนโอวาทว่า “ปัญญาดี” เพราะว่าศิษย์ในที่นี่ทุกคนเป็นผู้มีปัญญาดี ศิษย์เป็นผู้มีบุญเยอะ มีปัญญาดี เรามีบุญต่อกัน เราจึงมาเจอกันในวันนี้ อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะใช้ปัญญาในการบำเพ็ญธรรม แน่นอนศิษย์อาจจะยังไม่เข้าใจ อาจารย์ก็ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจศึกษา ลงแรงไปขัดเกลาจิตใจของตัวเอง ฝึกฝนตัวเองทุกวัน ยิ่งลงแรงศิษย์ก็จะยิ่งไม่ขาดทุน อาจารย์คงไม่ได้หวังมากไปใช่ไหม
อย่าลืมว่าอาจารย์นั้นคอยศิษย์ทุกคน รักศิษย์ทุกคน ศิษย์เหนื่อยอาจารย์ก็เห็น เวลาศิษย์ทุกข์อาจารย์ก็เห็น ยิ่งเวลาศิษย์ยิ่งทุกข์ใจยิ่งวนเวียน อาจารย์ก็ยิ่งอยากจะที่ดึงศิษย์นี้ให้ขึ้นจากทะเลทุกข์ให้เร็วๆ
ศิษย์รู้ไหม จิตวิญญาณของศิษย์นั้นเหมือนตกน้ำ ช่วยตัวเองดีไหมศิษย์ รักตัวเองดีไหมศิษย์ ยอมให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายดีไหมศิษย์ อาจารย์พูดเพราะอาจารย์มองเห็นว่าศิษย์นั้น ทุกคนมาจากเบื้องบนแดนเดิมนั้นดีแค่ไหน อาจารย์ยังมองไปเห็นภาพ เห็นศิษย์ทุกคนกลับไปพร้อมกับอาจารย์แล้ว อย่ายอมให้กิเลสใดๆ มาพันขา พันใจไว้ กลับคืนไปกับอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี โลกนี้ไม่มีอะไรน่าเสียดายเลย อะไรก็ปล่อยได้อะไรก็วางได้ อะไรก็ช่างมัน อะไรก็ช่างเขาไปได้ อย่าไปหมดหัวใจ หมดเวลากับสิ่งเหล่านี้
อาจารย์รักศิษย์มาก หวังว่าศิษย์นั้นมีแต่เส้นทางที่สว่างไสว ตั้งใจบำเพ็ญนะ หมั่นเก็บกวาดจิตใจของตัวเองทุกๆ วัน การบำเพ็ญไม่ได้ง่ายแต่รับรองว่าไม่ยากเกินความพยายามของศิษย์แน่นอน เจอกับอาจารย์ทุกครั้ง รักษาสุขภาพดีๆ นะศิษย์นะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘    สถานธรรมประสาสุข ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนอง

  ใช้กระจกส่องเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์
ใช้อดีตส่องเห็นอนาคต
ฟังคำติเตียนตักเตือนส่องเห็นตัวเอง
             เราคือ
หนันจี๋เหล่าเซียนอง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนศิวิไลซ์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว    ถามหลานน้อยน้อย มีความสุขหรือเปล่า

แต้มรอยยิ้มบนคำพูดอ่อนหวาน ให้บุญและทานเป็นสุขในใจ
โปรดฟังเสียงเพรียกของใจ สุขทุกข์อะไรพลันหายเรียบ เพียงละวางปลงใจสบาย
ให้ดีทุกวันไม่ใช่ความฝัน ให้วันทุกวันพลันเปี่ยมความหมาย อย่าติดยึดอันใดใด สับสนอะไรไม่เข้าใจ เพียงรู้ตามจริงใจถึงว่าง
ความเปลี่ยนผันนั้นก็เป็นปรัชญา บางเวลานั้นเรียกความผิดหวัง
เป็นปัญหายากหากใครไม่ยอมปล่อยวาง การจะหวังมิควรสุดใจ
แค่คนคิดดีใจก็สุขสันต์ ปล่อยความคิดอันใดอยู่นานไป มากะเทาะ
มาเคาะใจ ความคิดหมดไปตอนไหนเนี่ย ชีวิตดีขึ้นเพราะกล้าวาง
ทำนองเพลง : 夜来香 (เหย่ ไหล เซียง)
ชื่อเพลง : ธรรมงาม คนงามกว่า
พระโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนอง
สวรรค์เบื้องบนก็มีความสุขแบบไม่กังวล ไม่วิตกกังวล ไม่ทุกข์ไม่ร้อน มีความสุขสบายใจ ไม่ต้องห่วงว่าแอร์จะไม่เย็น อยากมีความสบายใจแบบนี้ทุกวันไหม ทำอย่างไรถึงจะมีความสบายใจในทุกๆ วัน อยู่เฉยๆ ก็สบายใจเองหรือเปล่า แล้วอยู่เฉยๆ ก็เดินกลับขึ้นสวรรค์ไปได้หรือเปล่า จริงๆ แล้วการกลับขึ้นสวรรค์ ก็เหมือนการทำงานหาเงินนั่นแหละ ต้องเข้าใจชีวิต เข้าใจแล้วก็กำหนดชีวิต กำหนดได้แล้วก็ทำตามที่ตัวเองกำหนดไว้ กำหนดแล้วทำให้ดีจนลมหายใจสุดท้าย เรื่องก็มีอยู่แค่นี้เอง
เพียงแต่ว่าจะว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะว่ายากก็ไม่ยาก เป็นเพราะว่าหลานๆ นั้น ทั้งดื้อ ทั้งซน ตาก็หลอกแหลกไปมา อยู่เฉยๆ ก็ไม่เป็น พูดดีๆ กันได้ไม่เท่าไหร่ ใจร้อนใจเร็ว บอกว่าสิ่งนี้ดีก็ไม่ยอมเอา บอกสิ่งนั้นไม่ดีก็วิ่งเข้าใส่ อันนี้เป็นโรคชนิดหนึ่งของมนุษย์ เป็นโรคที่ไม่ต้องใช้ยารักษา แต่ต้องใช้ใจของตัวเองเป็นผู้รักษา ถ้าใจดวงนี้เป็นหมอที่ไม่ดี ไม่ยอมศึกษาธรรมะ ไม่รู้ชีวิตตัวเอง การกำหนดชีวิตก็ดูเหมือนจะวุ่นวายไปหมด ถนนเส้นทางตรงๆ ก็เดินคดไปคดมา แวะนั่นแวะนี่ สนใจสิ่งนั้นสนใจสิ่งนี้ เห็นไหมว่าร่องรอย ริ้วรอยบนใบหน้า ผมที่ขาวขึ้นมาทีละเส้นทีละเส้น หัวที่ล้านขึ้นไปทุกที สายตาก็ยาว ปวดนั่นปวดนี่ ปวดขาปวดเอว เคยเป็นสาวๆ ไม่อ้วนลงพุง ตอนนี้ก็เอาไม่อยู่แล้ว ดูสิว่าแก่หรือไม่แก่ เป็นผู้ชายเคยมีกำลังวังชา ยกอะไรก็ได้ หยิบอะไรก็เบาเหมือนจะปลิว ตอนนี้สังขารก็ไม่อำนวยเท่าเก่าแล้ว ทำไมบังคับสังขารไม่ได้ ทำไมไม่เป็นตามสั่ง ตามใจเรา ก็เพราะเวลาไม่คอยใคร ชีวิตนี้ไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน
ฉะนั้นจะเอาอะไรกับชีวิตนี้ อยากจะให้ชีวิตนี้ไปทางไหนรู้หรือยัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ เวลามาชอบพูดถึงสวรรค์ให้ฟัง เราผู้เฒ่าก็ชอบพูดถึงสวรรค์ให้ฟัง บนสวรรค์มีความสุข แต่ไม่สนุกก็ตอนบำเพ็ญเป็นมนุษย์ เพราะว่าต้องเอาชนะตัวเองตลอดเวลา เอาชนะคนอื่นไม่เคยชนะ เอาชนะตัวเองยิ่งไม่ชนะ เอาชนะตัวเองนี้ เอาชนะอย่างไร จะทุบจะตีเขาไหม จะให้อภัยตัวเองได้ไหม ให้ความสันติและให้ความรักแก่ตัวเอง จากนั้นค่อยให้ตัวเองค่อยๆ เดิน เข้าใจทุกสิ่งรอบข้าง เข้าใจทุกคนรอบกาย ไม่โกรธไม่โทษไม่บ่นใคร ยอมได้ก็ยอม ทำใจได้ก็ทำใจหน่อย เพราะทุกๆ อย่างในทุกๆ เรื่องราวของชีวิตแต่ละคน ความทุกข์ในขณะนั้น ในหัวใจมีไม่เท่ากัน บางคนคิดได้เร็ว บางคนคิดไม่ได้เลย
ฉะนั้นหลานจะทุกข์ทำไม ทำไมไม่อยู่อย่างมีความสุข ความสุขง่ายดาย สวรรค์ใครๆ ก็อยากไป แต่ทุกวันพาตัวเองไปตกนรก วันนี้เราผู้เฒ่ามาเพราะว่าอยากจะเตือนแล้วเตือนเล่า แบบคนแก่ที่บ่นแล้วบ่นอีก พูดแล้วพูดอีก ไม่รู้ว่าจะเบื่อหรือเปล่า หากว่าไม่เบื่อ หลังจากวันนี้ให้เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นให้ดี เริ่มต้นให้สว่างสดใส ให้ชีวิตนี้มีชีวิตชีวา สมกับที่ยังไม่เป็นคนแก่ ให้ดื้อให้ซนเพื่อการศึกษาธรรม อย่าดื้ออย่าซนเพื่อดิ้นรนลงไปนรกอีกเลย


“ใช้กระจกส่องเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์
ใช้อดีตส่องเห็นอนาคต
ฟังคำติเตียนตักเตือนส่องเห็นตัวเอง”
ฟังคำติเตียนตักเตือนส่องเห็นอะไร เวลาคนติเตียนตักเตือนชอบไหม เธอไม่ดี นิสัยไม่ดี กำลังโกรธรู้ตัวไหม โกรธทำไม ตอนนั้นคิดอะไร ไม่โกรธ ไม่เลย เป็นอย่างนี้ประจำเลยใช่ไหม ยิ่งถ้ามีคนมาพูดจี้ใจดำ พูดเสียงสูงเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อฟังคำติเตียนตักเตือนจะส่องเห็นอะไร ส่องเห็นตัวเองใช่หรือเปล่า คนดีๆ ไม่ค่อยกล้าพูด แต่คนที่พูดกับเราว่าเราไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ชอบพูดบ่อยๆ พูดเยอะๆ ใช่หรือเปล่า เหมือนเขาตั้งใจจะว่าเราอย่างไรอย่างนั้นเลย ฉะนั้นคนที่ชอบมาเป็นกระจกให้เรา แต่เราไม่อยากได้กระจกนี้ มักจะเป็นคนที่เราไม่ถูกใจเอาซะเลย อย่าหงุดหงิด อย่ารำคาญดีไหม (ดี)  แล้วอย่าว่าเขาดีไหม ถ้าหากว่าเราไม่ใช่ ว่ายังไงก็ไม่ใช่ ถ้าหากว่าเราใช่ ทำเสียงสูงแค่ไหนก็ใช่อยู่ดี
เพราะฉะนั้นเวลาพูดต้องรู้ไว้ว่าพูดอะไร พูดแค่ไหนพูดขนาดไหนพูดทำไม พูดแล้วได้อะไร พระพุทธรูปส่วนใหญ่ที่เขาปั้นขึ้นมา ไม่เคยมีที่ปั้นพระพุทธรูปแบบอ้าปาก ถูกหรือเปล่า เวลาอ้าปากก็คือยิ้มอย่างเดียว ไม่รู้ว่าตอนที่พระพุทธรูปบ่น ไม่รู้จะปั้นอย่างไร อย่างนี้หลานๆ จะสามารถบำเพ็ญเป็นพุทธะได้หรือเปล่า จะให้เขาปั้นตอนไหนดี ปั้นตอนโมโห ตอนทำตาโตๆ หรือว่าปั้นตอนกำลังบ่นอยู่ หรือว่าปั้นตอนที่นั่งโดยไม่มีหลัง คือ นั่งแล้วมีลักษณะเอนไปเอนมา
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
วันนี้ยิ้มหรือยัง (ยิ้มแล้ว)  กลับไปแล้วก็ต้องยิ้มทุกวัน ยิ้มออกจากใจ หากใจยังไม่ยิ้ม ก็ต้องทำให้ใจยิ้มให้ได้ เริ่มจากภายนอกยิ้มก่อน เข้าไปสู่ภายในยิ้มให้ได้ หากว่ายังไม่ยิ้ม แสดงว่ากำลังทุกข์ กำลังเครียด ดังนั้นต้องนำธรรมะมากล่อมเกลาจิตใจ ต้องถามตัวเองว่าทุกข์ทำไม เครียดอะไร มีทางออกไหม ถ้าเครียดกว่านี้ แล้วหาทางออกพบไหม หากว่าไม่พบก็อย่าทุกข์อย่าเครียด ทำตัวเองให้มีความสุข เพราะโชควาสนามักอยู่กับความสุข หากเราไม่มีความสุข โชควาสนาก็ไม่มีทางจะมาอยู่ด้วย เข้าใจไหม เหตุผลง่ายๆ แต่ว่าต้องทำให้ได้
เมื่อวานนี้ พระอาจารย์จี้กงของท่าน ให้พระโอวาทคำว่า “ปัญญาดี”
ใช่ไหม ดังนั้น จะพูดเรื่องปัญญาให้ฟัง ปัญญานั้นจะมาพร้อมหรือจะไปได้ดีเมื่อเรามีความอดทน ความอดทนในที่นี้หมายความว่า อดทนในสิ่งยากที่จะทน อดทนในสิ่งที่คนอื่นอดทนไม่ได้ เพื่อที่เราจะสร้างสิ่งที่ดีงาม ยิ่งเราสามารถที่จะทนได้ดีมากเท่าไร ปัญญาก็จะเกิดขึ้นได้ดี เพราะว่าเราใช้ความอดทนในการสร้างปัญญานี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  แต่คำว่าปัญญา มักจะมีสัดส่วนที่ผกผัน จากคำว่า ศรัทธา คนที่มีศรัทธาสูง ก็มักจะมีปัญญาน้อย เมื่อมีปัญญามาก ส่วนใหญ่ก็ศรัทธาน้อย เป็นเพราะว่าคำนวณ วิเคราะห์พิจารณา
ฉะนั้นเราผู้เฒ่าแนะนำว่า ให้ใช้ปัญญาเป็นตัวนำทาง แล้วใช้ศรัทธาเป็นแรงขับเคลื่อน คนมีปัญญามาก ซึ่งในที่นี้มีหลายคนเป็นผู้มีปัญญามาก ขอให้อย่าคิดถึงเหตุผลมากเกินไปจนทำอะไรไม่ออก ให้ใช้ความเข้าใจ เข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจหลักธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว จะสามารถเดินหน้าไปอย่างไม่ถูกกฎเกณฑ์บังคับ เมื่อรู้ว่าคนอื่นกำลังบังคับเรา เพราะว่าความเข้าใจไม่เหมือนกัน เหตุผลไม่เหมือนกัน เราอาจใช้ปัญญามากเกินไป หรือเขาอาจจะใช้ศรัทธามากเกินไป ยิ่งคุยกันก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง โจทย์ข้อเดียวกัน คือ ธรรมะ แต่เวลาตอบ ตอบไม่เหมือนกันสักคนเดียว ต้องเข้าใจว่าธรรมะ คือ ธรรมชาติ เมื่ออยู่กับคนที่มีปัญญามากเกินไปก็มีคำตอบหนึ่ง อยู่กับคนที่มีศรัทธามากเกินไปก็มีคำตอบหนึ่ง เพียงแต่ระยะทางเดินของคนสองคนนั้นไม่เท่ากัน เช่น คนนี้อยู่ห่างมากหน่อย ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ส่วนคนนี้อยู่ใกล้หน่อย ก็เข้าใจมากหน่อย ฉะนั้นคนที่เดินเข้าไปใกล้หน่อย ก็จงเข้าใจคนที่เดินยังห่างหน่อย เมื่อเข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว ทำอะไรก็ไม่ยาก คุยกันก็รู้เรื่อง มองตาก็รู้ใจ ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้ ขอให้คิดว่าตัวเองนั้นบวชแล้ว เรียนแล้ว เป็นพระในคราบฆราวาส เมื่อจะไปพบใคร จะพบฝนลมแรง พบอุปสรรคชีวิต พบเหตุการณ์ที่ไม่สมใจ หรือพบบุคคลที่ไม่เข้าตาไม่เข้าใจ ก็ต้องรู้ว่าเราจะทำดี ทำได้ไหม (ได้)  บำเพ็ญธรรมนั้นไม่ยาก แต่จะยากตอนเริ่มต้น เมื่อเริ่มแล้วหนึ่งก้าว เพียงแค่หนึ่งก้าว เรื่องทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ถ้าไม่เริ่มก็จะยากตลอดไป
ให้เพลงไว้หนึ่งเพลงเป็นที่ระลึก เพลงนี้ใครร้องได้ก็ร้อง ใครร้องไม่ได้ก็ฮัมไป เพราะว่าเพลงนี้ก็เหมือนทำนองเพลงจีน 夜来香 (เหย่ ไหล เซียง) ร้องไปก็คิดไป ความหมายจะช่วยเยียวยาจิตใจ เหมือนกับการรักษาด้วยยา ดีไหม (ดี)
จะเล่านิทานให้ฟังนะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกศิษย์บอกว่า ให้ไปบำเพ็ญที่ภูเขาลูกนั้น แล้วเจ้าจะสำเร็จธรรม ศิษย์ก็ขึ้นไปบำเพ็ญจนลมหายใจสุดท้ายขาดหายไป ก็ยังไม่สำเร็จธรรม วิญญาณก็กลับมาเอาเรื่องกับอาจารย์ทันที ทำไมถึงไม่ได้สำเร็จธรรมตามที่อาจารย์พูดล่ะ อาจารย์ก็บอกว่า ตอนที่ชี้ให้ดูบอกว่าไปที่ภูเขาลูกนั้น แล้วเจ้าจะสำเร็จธรรมนี่ ในขณะพูดไปอาจารย์และศิษย์นั้นยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ศิษย์นั้นในขณะที่รับฟังคำสั่งของอาจารย์ มีแมงมุมตัวหนึ่งปล่อยใยลงมา ทำให้ตัวของเจ้านั้นหันไปมองที่แมงมุมตัวนี้ เมื่ออาจารย์ชี้ไปตรงหน้า บอกว่าภูเขาที่อยู่ตรงหน้า เจ้าก็มองอยู่เหมือนกัน แต่ว่ามองไปตามแมงมุม แล้วเข้าใจว่าตรงหน้าของเจ้านั้นก็คือทางทิศนี้ออกไป เจ้าไม่ได้มองตามที่อาจารย์นั้นชี้ให้ดู ฉะนั้นเมื่อเจ้าขึ้นภูเขาผิดลูก ตลอดชีวิตต่อให้บำเพ็ญอย่างเคร่งครัดแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญสำเร็จธรรมได้
เหมือนกันกับชีวิตของหลานทั้งหลาย พวกเจ้าก็มีก้อนหินก้อนกรวดที่ติดอยู่ในรองเท้า พวกเจ้านั้นก็มีสิ่งที่ติดค้างคาใจ ที่บำเพ็ญธรรมแล้ว แต่ถ้าขึ้นภูเขาผิดลูก บำเพ็ญเท่าไรก็ไม่มีทางสำเร็จ คนบำเพ็ญธรรมจึงพูดเสมอว่า ให้ย้อนมองส่องตน ถือคำติเตียนจากผู้อื่นเป็นครู ยิ่งถ้าเราถูกบ่นมากเท่าไร แสดงว่ายังมีคนห่วง คนรักเรา แน่นอนแปลว่าเรายังมีข้อบกพร่องอยู่ ทำด้วยสติ ใช้ปัญญา แล้วก็ใช้เข็มลงไปบ่งหนามที่ตำอยู่ในนิ้วให้ออกให้ได้ เข็มนี้ก็คือปัญญาที่จะใช้บ่งหนามที่อยู่ในมือนี้ ซึ่งก็คืออุปสรรคต่างๆ อย่างเช่น ข้อเสียในนิสัยของเรา ถ้าหากว่าเราไม่สามารถแก้ไขได้ แก้ไม่ได้ หนามนี้ก็จะตำอยู่จนเป็นหนอง สุดท้ายแล้ว คนที่เดือดร้อนก็เป็นตัวของเราเอง จบชีวิตแล้ว ไม่ใช่แค่ไม่ได้ไปสวรรค์ แต่ยังตกนรกอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นเล็งให้ถูกทาง มองให้ถูกทาง
สังขารไม่เอื้ออำนวย จะหยิบจะจับอะไรก็ลำบากใช่ไหม บำเพ็ญก่อนที่สังขารนี้จะไม่อำนวยดีไหม (ดี)  บำเพ็ญแล้วต้องทำให้ดี อะไรทำไม่ได้ต้องไปพยายามทำ การเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เป็นแค่คนดี ทุกวันนี้หลานมักจะหยุดอยู่ที่คำว่า “เป็นคนดีก็พอแล้ว ไม่เดือดร้อนใครไม่เบียดเบียนใคร” แค่นี้ยังไม่พอให้สำเร็จธรรม เข้าใจไหม แม้ว่าสวรรค์จะอยู่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง แต่ถ้าหากว่าเราพยายามก็จะไปถึง เพราะเมื่อหลานไปถึงสวรรค์ ไม่ได้ไปด้วยสังขารตัวนี้ สังขารนี้จะทิ้งไว้ในโลก สังขารนี้ไม่สามารถไปถึงสวรรค์ได้จริงๆ แต่วิญญาณไปถึง วิญญาณเบาสบายไม่ติดค้างคาใจ ไร้กิเลส สะอาดหมดจด วิญญาณดวงนี้แหล่ะที่จะไป
ฉะนั้นต้องพยายาม พยายามด้วยความตั้งใจมากๆ เวลาเราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย อ่านหนังสือมากๆ ก็สามารถสอบเข้าได้ แต่การบำเพ็ญธรรมไม่เหมือนกัน อ่านหนังสือธรรมะทุกวัน ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ วันนี้คิดว่าอ่านเข้าใจแล้ว อีกสามวัน ห้าวัน หรือหนึ่งปี ไปอ่านใหม่ก็ไม่เหมือนกัน เพราะว่าวิญญาณต่างไป รู้สึกไหมว่าวิญญาณต่างไป ยังรู้สึกได้ยาก ยังมีความแตกต่างมากกว่านี้อีก ยังมีความเบาสบายยิ่งกว่านี้เพรียกหาหลานทั้งหลายอยู่ ยังมีความสว่างในจิตวิญญาณได้เท่ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟ้าเบื้องบนได้อีก เพราะว่าหลานทั้งหลายและเราผู้เฒ่านั้น ต่างเป็นวิญญาณหนึ่งเดียวที่มาจากเหลาหมู่ (พระอนุตตรธรรมมารดา) ทั้งสิ้น แต่ว่าทุกวันนี้หลานมอมแมมไปหน่อย ล้างเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ นะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง)
เสียงดี ร้องเพราะทุกคนเลย ในเพลงพูดถึงหลายเรื่อง อย่างแรกก็คืออยากให้หลานทุกคนเป็นคนที่มีรอยยิ้มทุกวัน การให้บุญและทานทำให้มีความสุข เมื่อเรามีความสุขแล้ว ไม่ว่าความสุข ความทุกข์อะไร จริงๆ แล้วความสุขก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ฉะนั้นการที่ไม่มีความสุข และไม่มีความทุกข์อย่างนี้เป็นความเบาสบายที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีความสุข ความทุกข์ใดๆ เกิดจากใจที่ปลงจริงๆ แล้ว ก็จะสบายมากขึ้น สามารถทำให้เป็นแบบนี้ได้ไหม “ให้ดีทุกวันไม่ใช่ความฝัน ให้วันทุกวันพลันเปี่ยมความหมาย” เพราะว่าเราไม่ยึดติดอะไรเลย ไม่มีความสับสนอะไร และไม่เข้าใจอะไร ก็เพียงรู้ตามจริง เมื่อรู้ตามความจริงแล้ว ใจก็ว่าง
ข้อความสำคัญ “ความเปลี่ยนผันก็เป็นปรัชญา” บางทีความเปลี่ยนผันก็เรียกอีกชื่อว่าความผิดหวังก็มี อย่างเช่น เรามีความสุขกับสิ่งนี้ทุกวัน สามีคนนี้ของเราก็ดี ภรรยาของเราคนนี้ก็ดี ลูกของเราคนนี้ก็ดี วันหนึ่งสมมติว่าลูกของเราไปแต่งงาน ให้ความสนใจกับเราน้อยลง อย่างนี้เรียกว่าผิดหวังไหม (ผิดหวัง)  ถ้าหากว่ามันคว่ำอยู่ก็จับมันหงายขึ้น คิดอีกข้างหนึ่ง ก็เรียกว่าเป็นการปล่อยวางปัญหานั้น หมายความว่า การหวังสิ่งใดก็ไม่ควรหวังอย่างสุดจิตสุดใจ เพลงนี้เหมือนกับการเคี้ยวอาหาร ยิ่งเคี้ยวก็จะยิ่งมีรสชาติ ยิ่งเคี้ยวก็จะยิ่งได้รสชาติ ถ้าร้องเพียงเพื่อให้ไพเราะก็ผ่านไป ก็ไม่มีอะไร เป็นแค่เพลงเพราะเพลงหนึ่ง แต่ถ้าเคี้ยวทุกวัน ก็จะเหมือนกับการได้รับรสชาติอาหาร เหมือนกับการสวดมนต์ แต่ว่าเป็นการสวดมนต์ที่ฟังรู้เรื่อง ยิ่งร้องยิ่งปล่อยวาง จะได้เข้าใจคำว่า “สิ่งที่แน่นอนที่สุด ก็คือสิ่งที่ไม่แน่นอน”
“แค่คนคิดดีใจก็สุขสันต์ ปล่อยความคิดอันใดอยู่นานไป
แค่คนคิดดี ใจก็มีความสุขแล้ว “ปล่อยความคิดอันใดอยู่นานไป” เคยเป็นไหม คิดอยู่นาน คิดอยู่สามวัน ห้าวัน สัปดาห์หนึ่ง แล้วดีขึ้นไหม
(ไม่ดีขึ้น)  เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรกว่าการปล่อยมันไป
“มากะเทาะมาเคาะใจ ความคิดหมดไปตอนไหนเนี่ย
เมื่อมากะเทาะแล้ว มาเคาะใจแล้ว ความคิดจะหมดไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลย เคาะประตูถ้าจะเปรียบเทียบเบาไปหน่อย ต้องบอกว่าเคยพลิกก้นกระทะดูไหม ดูสิว่าก้นกระทะดำไหม (ดำ)  บางทีไม่ใช่แค่ดำเฉยๆ แต่หนาด้วย จะเอาออกอย่างไรล่ะ จริงๆ แล้วเอาคราบดำที่ก้นกระทะออก ยังยากกว่าเอาคราบที่อยู่ในจิตใจออก แปลว่าเราผู้เฒ่ากำลังพูดบอกว่า ก้นกระทะเอาออกยาก หมดแรงเอาออก ก็โยนทิ้งไปเลย แต่ใจของเราเอาคราบดำออกง่าย แค่คิดได้ แค่ปล่อยวาง แค่ปลงตก คราบดำที่อยู่ในจิตใจก็หายวับไปเลย กลับมาสะอาดใหม่เอี่ยมเลย เพราะว่าเป็นพลานุภาพของจิต ขอเพียงแค่หลานกล้าปล่อยวาง ทำได้ไหม (ทำได้)  ทำไมตอบเบาจังเลย เราผู้เฒ่าว่าเราเสียงเบาแล้ว หลานๆ เสียงเบากว่าอีก ทำได้ไหม (ทำได้)
ความคิดมาจาก ๓ ที่  ความคิดที่มาจากสมองจะเฝ้าหาเหตุผล ถูกๆ ผิดๆ วนเวียนไม่สิ้นสุด เหมือนเขาวงกต ความคิดมาจากหัวใจ ก็จะคิดหาอารมณ์ความรู้สึก คิดเป็นภาพ ยิ่งคิดก็ยิ่งเยอะ ยิ่งเลอะเทอะไปใหญ่ ความคิดที่ดีที่สุดมาจากความคิดที่หลั่งไหลออกมาจากจิต เหมือนตาน้ำไม่สิ้นสุด ในความคิดที่มาจากจิตนั้น มีทั้งปัญญา มีทั้งความยับยั้งชั่งใจ มีทั้งจิตสำนึก ธรรมะข้อใดที่จิตเคยฟังแล้ว เข้าใจแล้ว แม้ว่าวันนี้จะลืมไป แต่ถ้าพยายามคิดด้วยสติและสมาธิก็จะกลับมาใหม่ จิตมีพลานุภาพ เก็บทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความจำที่ดียิ่งกว่าสมอง ฉะนั้นต้องฝึกให้มีสมาธิและมีสติปัญญามากๆ คำว่าฉลาดที่คนในโลกนี้ชอบใช้ ยังเทียบไม่ได้
ฟังเราเบื่อหรือยัง (ยัง)  เห็นทำหน้าไม่ค่อยมีความสุขเลยนะ ลืมบางอย่างไปหรือเปล่า (ลืมรอยยิ้ม)  วันนี้คงไม่มีปัญญาจะไปเดินแจกผลไม้ให้กับใครมาก คงต้องเปลี่ยนเป็นหลานเดินออกมาเอาผลไม้เอง ไหวไหม (ไหว)  ได้ไหม (ได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจกผลไม้และลูกอม)
ให้ลูกอมไปกินหวานๆ จะได้มีความสุข ยิ้มหวานๆ แล้วก็พูดหวานๆ เป็นคนมีเสน่ห์ เวลาใครเจอ ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ชอบ ทำทุกอย่างนี้ให้เกิดจากความจริงใจ จริงใจแล้วคนก็รักเรา ไม่จริงใจแล้วคนก็ไม่รักเรา รักคนอื่นไม่ต้องกลัวคนอื่นไม่รัก อย่างน้อยหลานก็ต้องรักตัวเองก่อน เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสถานธรรม (ฐันจู่) ให้ดีนะ รับผิดชอบหน้าที่ให้ดี ศึกษาธรรมะ พูดธรรมะให้เป็นนะ พูดไม่เป็นก็จะไม่ก้าวหน้า
หลานเป็นคนโชคดีมาก ที่มีพี่ชายคอยช่วยนะ แต่เราจะต้องพยายามที่จะรู้ว่า ชีวิตมันผ่านไปเรื่อยๆ จะเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้ ในขณะที่เที่ยวเล่น ก็ต้องบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นแล้ว พออีกหน่อยจะได้กลับไปเจอกับเรากับพระอาจารย์ ใช่หรือเปล่า อันนี้ก็เป็นปัญหาที่ต้องคิด ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ก้าวให้เต็มเท้าหน่อย เดินให้ลงแรงหน่อยนะ
คนนี้ไม่ยอมยิ้มเลย ทำหน้าดำอย่างเดียวเลย ให้ช็อกโกแลตก็ดำด้วย มีความสุขมากๆ ความสุขหาง่าย แค่ขุดความทุกข์ออกมา ความสุขก็เพิ่มมากขึ้นแล้วนะ
อันนี้จะเอาไปฝากใครบ้าง (ฝากคุณแม่, คุณพ่อ, คุณยาย, น้องชาย) สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาบอกว่าให้ตัวเองด้วย ห่วงคนอื่นจนลืมตัวเอง อยู่วงการธรรมมาตั้งแต่เด็ก จริงๆ แล้วความสามารถมีมากมาย โดยเฉพาะวิทยาการสมัยนี้
ก็ทำให้ช่วยอะไรได้อีกมากมาย อย่าปล่อยโอกาสผ่านไป ส่งเสริมแม่ด้วย
ที่นี่มีคนที่ทำงานธรรมะแบบเดียวกันอยู่อีกตั้งหลายคน รวมพลังก็จะเกิดพลัง ถ้าหากว่าทำได้ก็ทำนะ อย่าลืมว่าหาเงิน หามากมาย ก็ไม่เท่าหามากใช้น้อย เงินก็เหลือ ชีวิตก็ดีขึ้น
เมื่อสักครู่ จำที่พูดเรื่องศรัทธาและปัญญาได้ไหม บางทีเราก็คิดว่าเรื่องบางเรื่องก็เก็บไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าทำงานธรรมะให้ฟ้าเบื้องบน มีความเข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่น อะไรก็ผ่านไปได้
มีเด็กขี้น้อยใจ ใครจะไปรู้ว่าจริงๆ แล้ว ภายในใครเด็กกว่าใคร มีแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับตัวของเจ้าเองเท่านั้นถึงจะรู้
ที่จริงแล้วก็ไม่อยากจะกลับ แต่ว่าก็สงสารคนที่เป็นล่ามแปลภาษา คิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว บางคนอาจจะคิดว่าตัวของหลานนั้น จริงๆแล้วเราก็อายุเยอะแล้ว ในความเป็นจริง ยังมีความเป็นเด็กในตัวของคนทุกคนนั่นแหละ เป็นเด็กดีตรงไหน “ไร้เดียงสา น่ารัก ว่าง่าย อารมณ์ดี ยิ้มตลอด” อยากให้รักษาความเป็นเด็กตรงนี้เอาไว้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่าทุกคนเป็นเด็ก ส่วนแง่ของเด็กที่ดื้อๆ ซนๆ ไม่ยอมฟังใครเลย อันนี้เป็นให้น้อยๆ หน่อย ทำได้ไหม (ได้)

เดี๋ยวร้องเพลงนี้ ส่งเราผู้เฒ่ากลับเบื้องบนนะ แล้วตามกลับไปเจอกันวันหลังนะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

2558-09-19 สถานธรรมเจินจง ประเทศสหรัฐอเมริกา

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558        สถานธรรมเจินจง ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ช่วยคนอยู่อย่างนี้                   เช้าค่ำ
คนช่วยต้องก้าวก่อน                  หนึ่งก้าว
ช่วยเขาคือช่วยเรา                    บากบั่น
ช่วยเท่าที่ช่วยได้                       อย่ารู้เสื่อมคลาย
             เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว    ถามศิษย์รักทั้งหลายบำเพ็ญดีไหม

  การช่วยตนไม่ใช่เห็นแก่ตัว          ละความกลัวกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
การช่วยคนใช้คุณธรรมมาสำแดง     เมตตาแห่งพระโพธิสัตว์ทั่วสารพางค์[1]
แสงลาลับอาทิตย์แม้สูญไม่สิ้น        ปักษาบินขอบฟ้าใช่ว่าขอบฝั่ง
ชีวิตคนยิ่งเติมเพิ่มยิ่งหลงทาง         บำเพ็ญย่างวัยชรายิ่งต้องเร่งมือ
วัตถุยิ่งเต็มยิ่งพูนยิ่งรูปนาม            หวังเต็มเปี่ยมละความมั่นยึดถือ
อยากมีความสุขไม่เฝ้ายุดยื้อ          ชอบคิดคือทุกข์ต้องรู้เท่าทัน
ไถนาจิตเตรียมจัดคราดไถเตรียม     คันไถเทียมวัวดั่งเรื่องของญาณ[2]
เพื่อกลับคืนบ้านเดิมไปชั่วกาล        เมื่อประสานรอยเกวียนแล้วไม่แคล้วกัน
                                                                   ฮา ฮา หยุด

[1] สารพางค์ / สรรพางค์     ทั้งตัวทั่วตัว
[2] พระโอวาทบทสุดท้าย     พระอาจารย์เมตตากล่าวถึง ไตรยาน คันไถเทียมวัว อุปมาหมายถึง เอกพุทธยาน สัมมาสัมโพธิญาณ วิถีธรรม สัจธรรมแท้ การรู้แจ้งในจิตตน


Row, row, row your boat.
Cultivate your peace.
Happily, happily, happily, happily.
Will you come with me?


ทำนองเพลง : Row row row your boat
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมแต่งชื่อเพลงและท่าประกอบเอง)
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เวลาที่ศิษย์มี ใช้อย่างมีค่าทุกวันหรือเปล่า (ไม่)  เวลาที่มีค่าที่สุด
ใช้เพื่อไปทำอะไรทราบไหม ควรใช้เพื่อทำอย่างไรให้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เพราะว่าชีวิตทุกวันนี้จะบอกว่าดี คิดว่าดีหรือไม่ (ไม่)  เคยคิดถึงชีวิต

ที่ดีกว่านี้ไหม มีที่ดีกว่านี้ไหม (มี)  อาจารย์จะบอกว่าชีวิตที่ดีที่สุดคือไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เพราะว่าแค่เฉพาะมีสังขาร ทุกวันต้องอาบน้ำ ไม่อาบสามวันได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ไม่ได้อาบน้ำ หนึ่งวันไม่ทานข้าวสามมื้อได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ไม่ได้ทานข้าว สนใจไหม (สนใจ)  พูดอย่างนี้เชื่อหรือยังว่า
ไม่เกิดดีกว่า (เชื่อ)  ขอให้ตายอีกครั้งเดียวพอ ทุกคนต้องตายไหม (ต้องตาย)  แน่นอนไหม (แน่นอน)  สิ่งนี้เป็นสัจธรรมใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ขอให้ตายอีกครั้งเดียวได้ไหม ก่อนจะไปถึงวันตาย ให้บำเพ็ญธรรม ได้ไหม (ได้, ไม่ได้)
ใช้เวลาบำเพ็ญธรรมมีค่าที่สุด ใช้เวลาทำมาหากิน มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ หามากใช้มาก หาน้อยใช้ (มาก, น้อย)  จนไหม ยิ่งอยู่ยิ่งเหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  ไม่กินข้าวก็ (หิว)  กินมากไปก็ (ปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง)  เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  เพราะว่ามียาช่วยใช่หรือไม่ กินมากก็ต้องหาเงินมาก ไปซื้อยามาก ทานยามากร่างกายก็พังทรุดโทรม หมอไม่สั่งให้ทานก็จะทาน จริงไหม (จริง)
บางคนที่อยู่ที่นี่ทานยามากจนป่วยเลยนะ
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
วันนี้ถ้าไม่ได้แรงศรัทธา บ้านก็ไม่สว่างไสวนะ บ้านสว่างเป็นเพราะว่าหลอดไฟหรือเป็นเพราะศรัทธา (เพราะศรัทธา)  อาจารย์คิดว่าเป็นเพราะศรัทธาของศิษย์นะ
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมและนักเรียนกราบรับพระอาจารย์)
จะไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวได้ ถ้าหากว่ายังอยู่ภายใต้กฎของการเกิด เวลาที่ตายไปแล้ว ถ้าได้อยู่ด้วยกัน เราก็จะเป็นหนึ่งเดียว คำพูดที่ไม่ต้อง
ใช้เสียง เห็นโดยไม่ต้องใช้ตา เดินทางก็ไม่เสียค่าน้ำมันหรือค่าเครื่องบิน
ดีไหม (ดี)  เงินจะได้ไม่สำคัญ ไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องเสียเงินไปหาหมอ ถึงตอนนั้นเงินสำคัญไหม (ไม่สำคัญ)  ถึงตอนนั้นยังอยากได้เงินไหม
(ไม่อยาก)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมสำคัญไหม (สำคัญ)  การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ต้องใช้เงินเหมือนกัน ใช้แค่ใจ การลงแรง เคยเห็นที่ไหนที่
พื้นสกปรกไหม จะต้องทำอย่างไรล่ะ (ทำความสะอาด)  ถ้าเช็ดธรรมดาแล้วไม่ออกล่ะ สมมติว่าเรามีหนวด (โกนออก)  เกลี้ยงไหม สมมติว่าเราติดนิสัยอะไรบ้างอย่างซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดี อย่างเช่น ชอบผิวปาก เราเพิ่งมาใหม่แบบสดๆ ร้อน สองวัน ให้เราแก้ไขเลย แก้ได้ไหม (ได้
, ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาทำให้เกิดรอยความสกปรกขึ้นมาใหม่)
อันนี้เป็นรอยสกปรกแบบทำของเพิ่งเลอะ พอสกปรกปุ๊บ เราก็หาอะไรมาเช็ดปั๊บ สะอาดไหม (สะอาด)  ตอนนี้เราอายุเท่าไรแล้ว สมมติว่าอายุยี่สิบปีก็แล้วกัน ยี่สิบปีที่ผ่านมา มีเรื่องของความเคยชินเยอะแยะมากมาย อย่างเช่น ขี้โมโห บางทีก็แค่หงุดหงิด แค่เบื่อ แค่รำคาญ เห็นอะไรก็ไม่เข้าตา ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ อย่างนี้แก้หายไหม ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำหัวใจให้ใหม่ ทำได้ไหม (ได้)  แน่ใจหรือเปล่า คนที่ยั่วโมโหเราอยู่ในบ้าน อยู่ใกล้ๆ เราตลอดเวลา เราบอกว่าเราไม่สนใจ เหมือนผ้าขาว มีจุดดำหนึ่งจุด มองที่ผ้าขาวหรือมองที่จุดดำ ยิ่งจุดดำยิ่งเล็กเท่าไรก็ยิ่งมองไม่ออก ถ้าอาจารย์แต้มจุดที่เสื้อ มองเห็นไหม (เห็น)  ผ้าขาวมีตั้งผืนหนึ่ง แต่เรามองจุดดำ มีความสุขไหม (ไม่มี)  เมื่อไม่มีความสุขอย่าพูดคำว่าบำเพ็ญ เพราะว่าการที่บำเพ็ญได้ ไม่ใช่แค่เราทำอะไรก็ได้ที่ดียิ่งขึ้น แต่เราต้องทำความสะอาดจิตใจ เสร็จแล้วจิตใจของเราที่เพิ่งมีมาเมื่อไม่กี่ปีนี้ ซึ่งเราเรียกว่าตัวเราก็เอาออกยากแล้ว แต่ที่อาจารย์บอกว่าคราบสกปรกที่ฝังแน่น อันนี้เป็นคราบความสกปรกที่มีมาแบบข้ามภพข้ามชาติ บางทีเรามองหน้าบางคนแล้วเราไม่ชอบ บางทีเราเห็นของบางอย่างแล้วเราไม่ถูกใจ ทำไมล่ะ มีเหตุผลไหม นั่นเป็นสิ่งที่ข้ามภพข้ามชาติมาเหมือนกัน สมมติว่าชาติที่แล้ว เรามีสามีที่ชอบรังแก เกิดมาชาตินี้เราจึงอยากที่จะมีอิสรภาพมาก แล้วจะไม่แต่งงานกับผู้ชายคนไหนที่วางท่าเลย นี่เป็นการยกตัวอย่าง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่ง)
อาจารย์นับถึงสาม ให้นั่งพร้อมกันนะ เห็นไหมว่าเราฟังภาษาอะไรอยู่ อาจารย์พูดภาษาไทย คนแปลพูดภาษาอังกฤษ เวลาเราฟัง เราก็ฟังคนแปล ฟังคำว่า “Three” จากคนแปล นั่นแหล่ะเป็นประสาทที่เราแยกกันไม่ได้ เห็นไหมว่ายาก คนเราเป็นไปตามความเคยชิน
ทำอย่างนี้สนุกไหม (สนุก)  ที่อาจารย์พูดอย่างนี้ หมายถึงเรื่องของสติ เวลาที่วันนี้เรามาอยู่ด้วยกัน เราต้องปล่อยวางความสงสัยไปก่อน เพื่อที่เราจะได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ได้ไหม (ได้)
คนที่นี่ชอบถาม มีคำถามจะถาม เรามักจะชอบพูดว่า “ฉันถามเธอ สักคำได้ไหม” เวลาที่เราตั้งคำถาม เราต้องตั้งคำถามให้ถูก เพราะว่าถ้าเรา ตั้งคำถามผิด คำตอบที่เราได้ก็จะผิด ทุกวันนี้ถามว่า ชีวิตนี้ทำอย่างไรให้ดีขึ้น ไม่ใช่ ศิษย์มักตั้งคำถามว่าทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  เราก็ไปทำคำตอบนั้น เราไปตั้งคำถามนี้ เราก็มุ่งหน้าไปสู่การหาวัตถุสิ่งของที่มีมากมายยิ่งขึ้น เราลองย้อนกรอเทปชีวิตของเรากลับไป ดูว่าชีวิตเราที่ดำเนินมาถึง ทุกวันนี้ เป็นการตั้งคำถามมาตลอดชีวิตว่าเราจะทำอะไร แล้วเราได้มาถึงจุดนั้นหรือยัง คำถามที่ตั้งมาตลอดชีวิตถูกหรือยัง ชีวิตที่ผ่านมาดำเนินมาอย่างถูกต้องและเหมาะสมหรือยัง บางทีที่เรามาถึงจุดนี้ เพราะว่าในช่วงรอยต่อของชีวิตนี้ เราตั้งคำถามผิดมาบ่อยๆ เมื่อเราตั้งคำถามผิด สิ่งที่ตอบมาก็ผิด สิ่งที่เราทำก็ผิด แต่ถามว่าคำตอบได้ตอนที่เราถามหรือเปล่า (ไม่)  จริงๆ แล้วคำตอบมีอยู่ทั่วทุกที่ มีอยู่ทุกเวลา บางทีเราก็ไม่ปล่อยตัวของเราให้เป็นไปตามธรรมชาติ บางทีเราก็ไม่ปล่อยใจเราให้เป็นไปตามธรรมชาติ บางทีเราก็ฝืนนั่นฝืนนี่ เหมือนที่เราชอบฝืนลูก ชอบฝืนความคิด ชอบฝืนการกระทำ ของเรา เสร็จแล้วพอลูกทุกข์ เราก็ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ปัญหาแบบนี้เกิดในเอเชียมากกว่า แต่ว่าปัญหาแบบนี้ที่นี่ก็มีนะ ใช่ไหม (ใช่)
คำกล่าวที่บอกว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”  จิตเป็นนาย ตอนนี้ เรารู้แล้วว่าที่ตั้งของจิตของเราสถิตอยู่ที่ไหน นั่นแหล่ะเป็นการบอกว่าจิตเป็นนายอย่างแท้จริง เมื่อจิตเป็นนายแล้ว เราก็จะมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้ว เราก็ย่อมมีสติ เมื่อเรามีสติแล้ว เราก็ย่อมมีความสงบ เมื่อกลับมาสู่
ความสงบได้แล้ว ขอให้ค้างอยู่อย่างนั้น ขอให้อยู่ตรงนั้น
ความสงบนั้นช่วยทำให้ศิษย์ได้สิ่งที่ดีๆ มากมาย และสามารถดึงสิ่งดีๆ เข้ามาหาอย่างมากมาย เมื่อเรามีความสงบแล้ว เราก็จะได้สำรวจ ตรวจตรา ไตร่ตรอง และเห็นตัวเองชัดมากยิ่งขึ้น เมื่อเราเห็นตัวเองชัดมากยิ่งขึ้น การที่เราจะแก้ไขตัวเองได้ในสิ่งใดๆ ก็ยิ่งดีและเร็วมากยิ่งขึ้น จริงไหม (จริง)  นี่คือวิธีการในการที่เรานั้นจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เมื่อก่อนเราไม่กำหนดใจของเราอยู่ที่ตั้งของจิตของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราเอาจิตใจของเรากระเจิดกระเจิงไปเกาะติดอยู่กับสิ่งของ บ้านเรือน รถรา ลูก ภรรยา สามี งาน ก็ทำให้จิตใจของเรานั้นกระเจิดกระเจิงและแตกออกไป เป็นท่อนคัมภีร์ที่พูดว่า
“หนึ่งกระจายไปสู่สรรพสิ่ง หนึ่งบังเกิดสรรพสิ่ง” ตอนนี้สรรพสิ่งกลับคืน
สู่หนึ่ง เพราะว่ากระจายนานไปแล้ว ใจที่เกาะติดอยู่กับสรรพสิ่ง สิ่งของ บ้านเรือน หรือปัญหาทุกสิ่ง จนสิ่งนั้นกลายเป็นชีวิตของเรา เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะเหนื่อยไปเรื่อยๆ เหนื่อยจนขาดใจตาย แล้วเราก็กระจัดกระจาย ไม่ได้กลับคืนสู่หนึ่ง ตอนนี้ให้กลับคืนสู่หนึ่ง
ให้มากที่สุด
เรารู้จักจิตของเราในสภาพอย่างไร เรารู้จักจิตในสภาพของความคิด อันนั้นเป็นพลานุภาพเล็กๆ น้อยๆ ที่คนสมัยนี้ค้นพบแล้วหนึ่งสิ่ง ชอบพูดบอกว่าคิดดี ดึงพลังดีเข้าสู่ตัว นั่นคือพลานุภาพส่วนเล็กๆ ของจิต เรารู้จักเพียงแค่ส่วนเดียว แต่เราจะทำอย่างไรให้เรารู้จักมากยิ่งขึ้น จิตต้องเสียเงินไปซื้อไหม (ไม่)  มีอยู่แล้วสมบูรณ์ในตัว แต่ว่าไม่สมบูรณ์เพราะว่าเรานั้นส่งใจไปจับสิ่งต่างๆ มากมาย บางคนส่งใจออกไปมากๆ ไปสู่สิ่งต่างๆ จนกระทั่งญาณสังขารหรือจิตวิญญาณได้รับผลกระทบจนป่วย เมื่อสังขารป่วยแล้วใจป่วยไหม (ป่วย)  เพราะฉะนั้นจะต้องกลับมารู้จักจิตใจของตัวเอง จิตภาวะของเรา รู้สึกหิวได้ทันทีที่เรารู้สึกหิวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องตั้งตัว ตั้งหลัก
ถึงเวลาก็หิวเอง อันนี้ต้องฝึกไหม ไม่ต้องฝึกเพราะไม่หิว ร่างกายผิดปกติแล้ว นี่คือสิ่งที่อาจารย์บอก ส่งใจไปข้างนอก ใช้ร่างกายอย่างไม่เมตตาปรานี จนกระทั่งญาณสังขารป่วย สุดท้ายร่างกายนี้ก็ป่วย หลายๆ คนก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แต่ว่าได้ป่วยจนเป็นโรคหรือยัง ถ้าเป็นโรคแล้วแต่จิตใจเข้มแข็งก็ยังรักษาได้ แต่หากว่าไม่มีจิตใจที่เข้มแข็ง แค่ปวดขาก็ยืนไม่อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นการจะบำเพ็ญธรรม จึงต้องทำจิตใจให้รู้ว่า ที่ตั้งของจิตอยู่ที่ไหน และลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสำรวจและแก้ไขตัวเองได้ อย่าปล่อยให้ตัวเองนั้นป่วยสังขาร ที่มาจากการป่วยทางจิตใจ (ไม่ใช่โรคจิต) ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ จึงจะสามารถบำเพ็ญให้ดีได้ การบำเพ็ญเป็นธรรมชาติ เกี่ยวเนื่องทุกสิ่งตั้งแต่ภายในถึงภายนอก ตั้งแต่ภายนอกถึงภายใน
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง
Row Row Row Your Boat)
“Will you come with me?”  ไปด้วยกันกับพระอาจารย์ไหม
ไปกับอาจารย์ไม่ค่อยได้
shopping นะ ถ้าซื้อเยอะก็เก็บเหนื่อย ไม่ต้องซื้อ
ก็ไม่ต้องเก็บ กิเลสค่อยๆ ตัด บางคนก็ตัดได้ยากหน่อย มันอยู่ที่ใจ ถ้าใจอยากตัดก็จะตัดได้ ถ้าใจไม่อยากตัดก็จะตัดไม่ได้ เข้าข้างตัวเองก็ตัดยากหน่อย ไม่เข้าข้างตัวเองก็ตัดง่ายหน่อย จริงหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้)
ใครรับผลไม้ลูกนี้แล้วต้องไปเลิกบุหรี่ ไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นการถามนะ บางคนต้องถาม บางคนต้องบังคับ ทำไมอาจารย์พูดแบบนี้ เพราะร่างกายของศิษย์สองคนนี้ ใช้อย่างไม่ปรานีปราศรัย ใช้มากเกินไปแล้ว ที่พูดอย่างนี้เพื่อให้ศิษย์รู้ว่า เมื่อตอนที่อายุมากกว่านี้ อย่าป่วย เพราะอยู่ที่นี่ ถ้าป่วยก็จะลำบาก เวลาที่เราสูบบุหรี่มากๆ ยกตัวอย่าง ถ้าเอาฟองน้ำสีขาวไปจุ่มในโคลน แล้วบอกให้ศิษย์หายใจผ่านฟองน้ำอันนี้ ยากไหม (ยาก)  ถ้าเอาฟองน้ำโปร่งๆ ธรรมดาเหมือนผ้าขาวบางมาปิด หายใจได้ไหม (ได้)  นี่คือปอดคนอื่นนะ แต่ปอดของศิษย์สองคนนี้ไม่ใช่ เอาไปจุ่มลงในโคลน แล้วบอกว่าให้หายใจ หายใจยากนะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เลิก ก็จะป่วยไปเรื่อยๆ เพราะออกซิเจนไม่เข้าไปสู่ร่างกาย ทำให้ระบบทุกระบบของร่างกายเสียหมดเลย ไม่หิว ไม่เหนื่อย อย่าให้ล้มป่วยขึ้นมาอย่างหนึ่ง อย่างอื่นจะตามมาเรื่อยๆ โชคดีที่ปีนี้ได้จัดประชุมธรรมที่นี่ อาจารย์พูดตรงๆ ชัดๆ แล้วให้ศิษย์ไปคิดเองว่า อยากจะเลิกหรือไม่อยากเลิก ไม่ใช่เลิกให้อาจารย์จี้กง แต่เลิก
ให้ตัวเอง เพื่อตัวเอง รักตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง ทำได้ไหม พยายามทำให้ได้ อาจารย์รู้ว่ายากนะ ที่ให้โจทย์ไปไม่ใช่ง่าย ต้องพยายามมากๆ ไม่ตั้งใจก็ไม่มีใครทำได้ ถ้าตั้งใจก็ทำได้หมดทุกคน ต้องช่วยตัวเองนะ อาจารย์รักศิษย์มาก
ส่วนศิษย์คนนี้ ถึงจะป่วยก็ยังป่วยไม่เยอะถ้าเทียบกับคนอื่น คนอื่นนั้นเขาแฝงในร่างกายเยอะ แต่ของเราแสดงออกมาเห็นชัดๆ ในบางสิ่ง แต่ก็ยังดี พยายามอ่านหนังสือเยอะๆ เข้าใจธรรมะให้มากๆ พูดน้อยๆ ทำให้เยอะๆ แล้วเราจะได้เป็นกำลัง อาจารย์ก็จะได้มีกำลังใจด้วย ไม่ใช่ไม่มีใครที่แข็งแรงเลยสักคน จะฝากความหวังไว้กับใครก็ไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้)
อาจารย์จ่ายค่าเครื่องบินเป็นผลไม้ได้ไหม ได้ผลไม้ไปแล้ว ต้องทำอย่างไรบ้าง (ช่วยงานบ่อยๆ)  ทำได้ไหม จริงๆ ไม่ยาก อาจารย์ไม่ได้บังคับ
ว่าต้องทำเยอะๆ แต่ทำเท่าที่ทำได้ ถ้าเราไม่ทำ ชีวิตที่ผ่านไปก็ไม่ได้เจริญสร้างกุศล ชีวิตก็ผ่านไปแบบไม่เหลืออะไรนะ เพราะเงินทองที่เหลือไว้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นคุณค่า ถามว่าเงินทองมีค่าไหม (มีค่า)  แต่ชีวิตมีค่ามากกว่า ชีวิตมีชีวิตเดียว แต่เงินทองมีมากมาย จิตมีอีกหลายสิ่งที่ทำได้ ทำให้รวยได้ จิต
ทำให้สุขภาพแข็งแรงได้ จิตเป็นพลังงานที่สามารถจะทำอะไรก็ได้ที่เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าจิตใจอันนั้นจะต้องเป็นจิตใจที่ไม่แตกไปเกาะกับสิ่งต่างๆ ฉะนั้นถ้าอยากมีจิตใจที่สามารถทำสิ่งที่เหลือเชื่อ ต้องบำเพ็ญจิตให้ถึงจิต แบบที่ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร ไม่เปรียบเทียบ ไม่ตัดพ้อ ไม่ต่อว่า ไม่บ่น ไม่เบื่อ
ทำได้ไหม (ได้)
ศิษย์ลองสังเกตดูว่า ความสุขกับความทุกข์ ต่างกันอย่างไร ความสุขได้มากจากไหน และความทุกข์ได้มาจากไหน ความทุกข์ได้มาจากสรรพสิ่งนอกกาย บุคคล สิ่งของ เรื่องราว แต่ความสุขมาจากภายใน ฉะนั้นการที่เราวิ่งไปหาทุกสิ่งเพื่อที่จะให้ตัวของเรามีความสุข เราจึงไม่เคยมีความสุขจริงๆ เช่นอย่างวันนี้เราทะเลาะกับคนในบ้าน วันนี้ให้ออกไปเที่ยวทะเลสาบที่สวยที่สุด ทั้งทะเลสาบก็จะมีแต่หน้าของคนที่เรามีปัญหาด้วย หัวใจพูดและบ่นตลอดเวลา คิดตลอดเวลา แล้วความคิดนั้นก็ทำให้เราทุกข์ พอเราทุกข์แล้ว เราหาทางออกไม่เจอ เราก็กลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขอะไรเลย เพราะฉะนั้นเราควรทำอย่างไร ตอนทะเลาะอย่าไปทะเลาะด้วยดีไหม เวลาทะเลาะกับเขา เขาทุกข์หรือเราทุกข์ (เราทุกข์)  เราไม่ควรทะเลาะด้วย ปล่อยความผิดเป็นเรื่องของความผิด ปล่อยความถูกเป็นเรื่องของความถูก โดยที่ไม่ใช่เราเป็นฝ่ายถูกเขาเป็นฝ่ายผิด ไม่ต้องคิด หยุดคิด เพราะทะเลาะกันทำให้ไม่มีความสุข เมื่อคิดได้อย่างนี้ จากการสำรวจก็กลับมาสู่ความสงบ จากความสงบกลับมาสู่สมาธิ และในที่สุดก็กลับคืนสู่จิตใจของตัวเอง เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไร ก็อย่าทำให้มีอะไร ทำได้ไหม จริงๆ แล้วไม่ยาก แต่ว่าไม่ทำนี่แหละยาก ทำเมื่อไรก็ไม่ยาก แต่ไม่ทำก็จะยากตลอดไป พอทำแล้ว หนึ่งครั้งไม่ได้ สิบครั้งก็ต้องได้ แต่ถ้าสิบครั้งไม่ได้ ห้าสิบครั้งก็ต้องได้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงกลอนพระโอวาท)
วงคำว่า แม้  รู้จักคำว่า แม้ ไหม เป็นคำขึ้นต้นของหลายๆ ประโยค เวลาเราจะไม่ทำอะไร จะอิดออด ชักช้า เราจะใช้คำว่า แม้ ตลอด เพราะฉะนั้นหวังว่าจะไม่ แม้ ได้ไหม ตอนนี้โตแล้ว มีแรงแล้ว ช่วยงานเท่าที่ช่วยได้ ทำได้ไหม
วงคำว่า “สูญ”  จะสูญไหม (ไม่สูญ)  มาแวบไปแวบ ตามตัวจับยาก ชีวิตนี้มีชีวิตเดียว ไม่ใช่เป็นแมวเก้าชีวิตนะ ชีวิตนี้มีชีวิตเดียว ใช้ให้มีคุณค่า แต่ไม่ใช่ไปตามความฝันตัวเองหมด ฝันอย่างนั้น อย่าลืมฝันว่าจะไม่มาเกิดอีกแล้ว อย่าลืมฝันว่าตัวเองต้องหลุดพ้น ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและบำเพ็ญธรรมให้ดี ธรรมะดีที่สุดอยู่ตรงที่เราปฏิบัติตัวของเราได้ดี แล้วคนนั้นเขาจะเข้าใจธรรมะ พูดไม่เก่งก็ไม่ใช่ พูดเก่งมาก แต่ไม่เป็นไร เราใช้ธรรมะจากการแสดงออก เวลาเราพูดคำพูดเราก็จะมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำได้ดี กระทำ
ได้ดี ธรรมะที่พูดออกมาก็ยิ่งดี ศึกษาธรรมะให้มากๆ ไม่ตามความฝันทางโลกหมด มาตามความฝันทางธรรมด้วย อาจารย์นั้นรู้ว่าศิษย์นั้นเป็นคนที่มี
บุญสัมพันธ์มาก แต่จะต้องรู้ว่าจะใช้อย่างไร ที่แน่ๆ ถ้ามาๆ หายๆ ตามตัว
จับยากจะลำบาก
คำว่า “ทุกข์” ใครจะวง คำนี้อาจารย์วงเองก็แล้วกัน อาจารย์แบกรับ
คำนี้แทนศิษย์ได้หมด แต่ว่าศิษย์อย่ามาฉกกลับไปแบกเองก็แล้วกันนะ
คนที่รับธรรมะบำเพ็ญธรรมมาเกินห้าปีแล้ว ต้องศึกษาธรรมะให้มากๆ ไม่ใช่คนที่มีใจหรือเข้าใจธรรมะเพียงเพราะว่าเห็นอาจารย์จี้กง
เรามาดูคำว่า ช่วย กันหน่อย คำว่า ช่วย หมายถึงการที่เรานั้นโอบอุ้มผู้อื่น เหมือนคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ที่พื้น เราจะเรียกให้เขาลุกขึ้นยืน เราก็ยื่นมือไปและก็ดึงเขาขึ้นมา อย่างนี้เรียกช่วยไหม (ใช่)  คำว่า ช่วย ที่ให้เราไปก็แปลว่า ให้เราไปช่วยผู้อื่น การช่วยบางทีเราก็คิดว่าจริงๆ แล้วเราก็ไม่มีดีอะไร ธรรมะก็พูดไม่เป็น แล้วเราก็ไม่มีดีอะไรมากกว่าคนที่เราจะไปช่วย หรือบางคนก็คิดว่าตัวเองจนกว่าเขาด้วยซ้ำ อย่างนี้เราช่วยเขาได้ไหม (ได้)  ที่พูดว่าได้ เป็นเพราะว่าวันนี้เราไปช่วยเขาคือ เราช่วยจิตวิญญาณเขา เพราะว่าเราช่วยวิญญาณช่วยจิตใจของเขาที่หาคำตอบไม่ได้ ถ้ามองง่ายๆ คือ ช่วยเขาจากปัญหาความทุกข์ ปัญหาชีวิต ปัญหาสุขภาพ ช่วยเป็นที่ระบายเวลาเขาอยากระบาย อยากพูดให้ใครสักคนฟัง แต่ว่าการช่วยแบบนี้ก็เป็นการช่วยแบบเปลือกนอก
วันนี้อาจารย์มาที่นี่ ไม่ได้มาช่วยให้ศิษย์สบายใจ แต่ต้องการให้ศิษย์นั้นพ้นไปจากความทุกข์ และพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แน่นอนศิษย์จะต้องบำเพ็ญตัวเองให้ดี เมื่อบำเพ็ญดีแล้ว คำพูดก็ดี การกระทำก็ดี ความคิดก็จะดี เมื่อเราดีเหมาะสมแล้ว เวลาที่เราเจอคนๆ หนึ่ง เวลาเราพูดธรรมะให้เขาฟัง เขาก็จะเข้าใจ ธรรมะไม่ต้องการการพูดที่ลึกซึ้ง แต่ธรรมะต้องการการปฏิบัติที่เห็นโดยการกระทำของคนๆ นั้น การพูดให้ลึกซึ้งและ
มีมิติ มีความสวยงามอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของเปลือก ธรรมะที่ดีคือเกิดจากภายในที่สำแดงออกมาสู่ภายนอก เพราะฉะนั้นพูดธรรมะไม่เป็นก็ช่วยคนได้ ตอนนี้ทุกคนรู้ที่ตั้งของจิตวิญญาณ แต่คนอื่นไม่รู้ ให้เรียกคนดีๆ มารับธรรมะ ง่ายไหม (ง่าย)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกคนต้องทำจิตใจให้เป็นปกติ สว่าง สดใส เพื่อที่เราเองจะได้สำแดงธรรมะออกมาจากตัวได้ อย่ามัวมืดมนอยู่กับปัญหาชีวิต
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
ช่วยคน)
ในคำว่า ช่วย เมื่อสักครู่อธิบายไปแล้ว
แต่คำว่า คน ในที่นี้หมายความว่า ไปช่วยผู้อื่น ถึงแม้ว่าฐานะของเราจะไม่ดีกว่า พูดธรรมะก็ไม่เป็น แต่ว่าจิตใจของเราสงบแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถที่จะช่วยผู้อื่นได้ เพียงแต่ศิษย์ต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าตัวเองนั้นสามารถที่จะช่วยผู้อื่นได้ ที่แน่ๆ คือต้องปฏิบัติตัวให้เหมาะสม แสดงออกถึงการบำเพ็ญให้แน่ชัด จึงจะสามารถช่วยผู้อื่นได้
ในขณะเดียวกันคำว่า คน ในภาษาไทยสามารถเขียนเป็นคำว่า ตน ได้เหมือนกัน นั่นคือ การช่วยคนอื่นคือการช่วยตัวเอง เพราะฉะนั้นเราอย่าไปมองเรื่องผลประโยชน์ ถ้าเรามองเรื่องผลประโยชน์ เราก็จะไม่ได้ช่วยตัวเอง
อาจารย์จะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย และไม่รู้สึกผิดหวังเลย ถ้าหากว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนี้ศิษย์เอากลับไปทำบ้าง จิตภาวะของศิษย์นั้นรู้สึกได้ จิตวิสัยของศิษย์นั้นสามารถเรียนรู้ได้ ให้รวบทุกสิ่งนั้นกลับคืนขึ้นสู่จิตเดิมแท้ อย่ามัวรู้สึก อย่ามัวแต่เรียนรู้ จิตไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ต้องรู้สึก
ถ้าอาจารย์กลับไปแล้วศิษย์ของอาจารย์จะบำเพ็ญธรรมไหม พยายามดีไหม (ดี)  เวลาชาติหนึ่งเร็วมากๆ สิบปีผ่านไปเร็ว ยี่สิบปีก็เร็ว หนึ่งชีวิตก็เร็วเหมือนกัน อย่ามัวเสียเวลามองหาสิ่งที่อยากได้ อย่ามัวเสียเวลาไปกับปัญหาเรื่องราวต่างๆ อย่ามัวให้ชีวิตผ่านเข้ามาแล้วก็ออกไป ขอให้ทั้งชีวิตและจิตใจกลับคืนสู่เบื้องบน หวังที่สุด แทบไม่อยากทนเวลาเห็นศิษย์นั้นเวียนว่ายตายเกิด ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าชีวิตของตัวเองนั้นมีค่ามากแค่ไหน ศิษย์ไม่รู้หรอกว่าศิษย์นั้นควรค่าแก่การกลับคืนเบื้องบนขนาดไหน
อาจารย์ฝากความหวังทั้งหมดของอาจารย์ที่มีในโลกนี้ต่อศิษย์ทั้งหลาย ภาระนี้อาจจะหนักไปสำหรับศิษย์ แต่ศิษย์ก็พยายามเหมือนที่ศิษย์ทำทุกครั้ง อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทำได้ดีอยู่แล้ว แต่ก็หวังไว้ ถึงแม้ว่าเห็นศิษย์เหนื่อย ในเมื่อเสกที่นี่ขึ้นมาขนาดนี้ได้ ศิษย์คงเสกอะไรได้ ขึ้นมาอีกหลายอย่าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนไม่มีกายสังขารเลยสักผู้เดียว แต่ศิษย์นั้นมีทั้งสังขาร มีทั้งร่างกาย มีทั้งกำลังและสติปัญญา จึงหวังว่าศิษย์นั้นจะร่วมมือร่วมแรงกัน ศิษย์ร่วมมือกันก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน พวกเขาทั้งหมดนี้ ขอให้ศิษย์นั้นเป็นคนช่วยต่อไปก็แล้วกันนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ช่วยคน”
    แม้อาทิตย์ลับขอบฟ้าใช่ว่าสูญ         วัยชรายิ่งเพิ่มพูนยิ่งเต็มเปี่ยม
ละความทุกข์ความสุขไม่ต้องจัดเตรียม     จิตดั่งวัวเทียมเกวียนคืนบ้านเดิม

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา