วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

2558-06-27 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร



西元二一五年 歲次乙未五月十二日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
พริบตาพลันเปลี่ยนแปรผัน ฉับพลันกำลังเลือนหาย
ความมีกำลังเสื่อมไป อะไรคงอยู่แท้จริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ตีค่าในทรัพย์ห่วงตนมากกว่า ห่วงหน้าตาห่วงลูกเป็นนิจศีล
คลายลูกตัวห่วงหลานบ่วงกามกิน มีใครหนาใครพ้นสิ้นพันธนาการ
คนติดบ่วงทุกข์ได้สุขไม่ได้ ตัดความหลงสิ้นหมดไปจึงสะบั้น
มั่นยึดหวังมั่นยึดคนสารพัน ใจลวงในตานั้นยากแจ้งจริง
ติดความสุขติดเคยชินติดนิสัย หลงอะไรเฝ้าไม่หน่ายตายไม่ทิ้ง
รักอะไรถวิลไม่รู้ยอมทุกสิ่ง เตือนชาวโลกจงทิ้งซึ่งมวลกิเลส
เวลากี่กัลป์กัปกี่ชาติโยงใย ทุกทุกสิ่งเป็นได้ล้วนมีเหตุ
พึงใฝ่หาธรรมมิอาศัยฤทธิ์เดช คนบุญได้แต่ครองซึ่งเหตุแห่งธรรม
ชีวิตมีกรรมผลักดันให้เป็นไป คนสร้างเหตุปัจจัยติดตัวเช้าค่ำ
อย่ายึดอัตตายึดสังขารทำบาปกรรม พูดกระทำจิตญาณฝึกได้หมดเลย
สิ่งที่รู้บังรู้ที่สิ่งนั้น รู้ด้วยมีด้วยทันด้วยวางเฉย
เห็นความจริงด้วยสติจับตามเอย ตนในตนรู้ครองเลยไม่ระทม
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
ชีวิตเรากำลังเกิดเพื่อเกิด หรือกำลังเกิดเพื่อดับ (เกิดเพื่อดับ) ชีวิตเรากำลังอยู่เพื่อมี หรืออยู่เพื่อไร้ (อยู่เพื่อไร้)  เช่นนั้นหรือ แต่เราเห็น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นท่านก็ไม่เคยปล่อยให้มันจบสักที ไม่เคยปล่อยให้จบอะไรง่ายๆเลยสักครั้ง จริงไหม เดี๋ยวก็เกิดอยากได้ เดี๋ยวก็เกิดอยากมี เดี๋ยวก็ผูกใจเจ็บ เดี๋ยวก็อาฆาตมาดร้าย เดี๋ยวก็ถือสาหาความ เดี๋ยวเกิดยึดนั้นยึดนี้ จริงๆแล้วชีวิตเกิดเพื่อเกิดหรือเกิดเพื่อดับ (เกิดเพื่อดับ)  มีเพื่อไร้ หรือมีเพื่อมี (มีเพื่อไร้)  ท่านก็รู้แต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่รู้เลยนะ จริงไหม มีใครบ้างที่ยอมเป็นคนจน พอโดนว่า ว่าจนหน่อยมีใครยอมไหม (ไม่ยอม)  ถ้าเช่นนั้นที่จริงแล้วเราเป็นประเภทที่รู้อย่างหนึ่ง แต่ทำอย่างหนึ่ง ทั้งที่เรารู้ว่าชีวิตที่แท้จริง มีความจริงอยู่เหมือนกัน คือ เกิดเพื่อดับ มีเพื่อไร้ หรือบางทีเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่เรากลับทำสิ่งที่ไม่มีให้ต้องมี แล้วไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังไปสู่ความดับ แต่เราก็ไม่ยอมดับ ไม่ยอมจบ เราเหมือนคนที่หาเรื่องแล้ว หาเรื่องอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงแห่งชีวิต เข้าใจความจริงแห่งธรรม เราคงมีพลังใจ และมีชีวิตอย่างคนที่เห็นแจ้งจริงมากกว่ามืดบอด เราคงไม่พยายามไปหาเรื่องเขาหรอก การเปลี่ยนแปลงโดยปราศจากการอดทน อดกลั้น ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น  การเอาแต่น้อยเนื้อต่ำใจ โทษฟ้าโทษดิน ก็ไม่ใช่การหาทางออกที่ดีให้กับชีวิต ถูกหรือไม่ การดำรงชีวิตที่ไม่เคยพอใจอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ไม่เคยทำให้เรามีความสุขสักที ใช่หรือไม่ แล้วเราเป็นเช่นนั้นไหม ทุกชีวิตล้วนบ่ายหน้าไปสู่ความดับสิ้น เสื่อมสิ้น แต่ตอนนี้เรากำลังเกิดเพื่อดับหรือเกิดเพื่อเกิด แล้วเราก็คงไม่ผูกใจเจ็บและไม่คิดถือสาหาความใครต่อใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรามักจะลืมเรื่องนี้ไป หากเราพึงระลึกอยู่เสมอว่า ในทุกชีวิตก็กำลังเดินไปสู่ความว่างเปล่าและความไร้ คนที่ว่าเราเขาก็คือความไม่มี และเรากำลังโกรธเคืองใคร แม้แต่ตัวเราก็ยังไม่มี ไม่เที่ยง และอะไรที่เราควรถือสาหรือเคืองโกรธ ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เข้าถึงดวงตาแห่งธรรม  ความพ้นทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องชาติหน้า ความสิ้นทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกลุ้มกังวล แต่เราสามารถทำได้ในขณะนี้ ตอนนี้ที่เราพึงระลึกถึงธรรม แต่มนุษย์ไม่เคยพึงระลึกถึงธรรม ทุกวันระลึกถึงแต่เพียง “วันนี้ฉันจะกินอะไร วันนี้ฉันอยากได้อะไร วันนี้ฉันสุขไหม วันนี้ฉันได้หรือยัง” ฉะนั้นถ้าวันใดวันหนึ่งมีคนชวนให้ท่าน ลองเปิดตาเพื่อหาธรรมในตัวเองบ้าง  ลองมาสงบนิ่งเพื่อหาธรรมอันเป็นแก่นแท้ที่จะทำให้เราเข้าใจชีวิตบ้างดีหรือไม่(ดี)  ฉะนั้นเวลาชวนคนมาฟังธรรมะต้องเปลี่ยนคำพูดบ้าง บอกให้มาฟังธรรมะเฉยๆ เขาก็พูดว่าฟังมาเยอะแล้ว แต่ถ้าบอกว่า “มาค้นหาธรรมที่อยู่ในตัวเอง มาเปิดดวงตาแห่งธรรมที่ปกปิดไว้เนิ่นนาน” แล้วธรรมอยู่ที่ไหน อยู่ที่องค์พระ อยู่ที่พระไตรปิฎก อยู่ที่หนังสือธรรมะหรืออยู่ที่พระสงฆ์ ธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  อย่าจำกัดนะธรรมกว้างใหญ่กว่านั้น ธรรมยิ่งใหญ่กว่านั้น ท่านก็คือธรรม เพดานก็คือธรรม เขาก็คือธรรม สิ่งที่มากระทบให้เราเจ็บปวดก็คือธรรม แม้กระทั่งกิเลสก็เป็นธรรม แต่อยู่ที่มุมมองว่าเราเห็นธรรมหรือเห็นคน เห็นธรรมในกิเลสหรือเห็นกิเลสในธรรม
เมื่อยหรือยัง (ไม่เมื่อย)  อย่างนั้นยืนเป็นเพื่อนเราได้ไหม (ได้) ยืนอย่างคนมีดวงตาเห็นธรรมก็จะได้ธรรม แต่ถ้ายืนอย่างคนที่คิดเอาแต่กิเลสก็ได้กิเลส คิดอย่างคนเอาแต่ใจตัวเองก็จะได้แต่นิสัยความเคยชิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะยืนอย่างคนที่มองเห็นสัจธรรม มองเห็นธรรม หรือยืนอย่างคนที่มองเห็นแต่ความคิดของตัวเอง อย่างนั้นแปลว่าจะยืนเป็นเพื่อนเรา ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราลองพิจารณา เราก็จะเห็นธรรม แต่ถ้าเราไม่เคยนิ่งพิจารณา เราก็จะไม่มีวันเห็นธรรมได้เลย ถูกไหม (ถูก)  หลายท่านอาจจะบอกว่า ก็เราไม่เคยสงบเช่นนั้น ท่านก็ลองสงบ ลองนิ่ง เพราะธรรมไม่ได้หนีไปไหน ธรรมมีอยู่ทุกขณะ แค่เพียงนิ่งก็จะเห็น แต่จะเห็นธรรมแบบไหน ถ้าเราบอกว่า ท่านคือธรรม เราคือธรรม เก้าอี้ก็คือธรรม ถ้าทุกสิ่งล้วนเป็นธรรม เช่นนั้นธรรมก็คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเป็นธรรมชาติ แล้วเราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าทุกสิ่งล้วนคือธรรมแล้วทำไมเรามักคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือของเรา ถ้าทุกสิ่งล้วนคือธรรม แล้วเรานำตัวเราเป็นบรรทัดฐานไปวัดธรรมในผู้อื่น ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมเรามักคาดหวัง และเรียกว่า หวังดีกับเขา ในเมื่อธรรมชาติล้วนมีคุณค่าที่แตกต่างกันไป ความหวังดีของเรานี้ วัดความหวังดีของเขาได้ไหม (ไม่ได้)  มาตรฐานของเรา วัดมาตรฐานของเขาได้ไหม (ไม่ได้)  แม้เราจะอ้างว่า เราหวังดี
นิ้วของเราเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  คนเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  แล้วทำไมจึงพยายามทำคนให้เท่ากัน เมื่อไม่เท่ากันแล้วยังเป็นความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ วันนี้เราอาจจะมองไม่เห็นธรรมชาตินี้ว่ามีดีอะไร แต่ถ้าเราเปิดใจกว้างอีกนิดหนึ่ง “มันต้องมีดีให้เห็นบ้างสิ ถ้าเราตาไม่บอดเกินไป”
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม อะไรหรือที่เราต้องโกรธ มีไหม (ไม่มี)  อะไรหรือที่เราควรจะอยากจนโลภหลง ในเมื่อธรรมชาติก็ต้องผันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ เราจะตู่ว่าเป็นของเราได้ไหม เราจะยึดเป็นของเราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทุกวันนี้ตู่ไหม (ตู่)  ขี้ตู่อย่างแรงเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าเราเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติ แล้วธรรมชาติล้วนเดินไปสู่ความดับ ฉะนั้นเรากำลังยึดอะไรให้ทุกข์ทน หวังอะไรให้วิตกกังวล กลัวอะไร ทั้งที่จริงๆ แล้วก็เป็นความจริงแห่งธรรมชาติ เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง เราถามท่านว่า ถ้าท่านปลูกต้นมะลิหวังให้มันตกผลได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมตอบได้ทันทีล่ะ เพราะอะไร (เพราะมะลิเป็นไม้ดอก)  ไม่มีวันให้ผลถูกไหม (ถูก)  คนก็เหมือนกัน คนบางคนไม่ใช่ต้นส้ม เขาเป็นได้แค่ต้นมะลิ แต่ทำไมเราพยายามให้เขาเป็นเหมือนต้นส้ม ถูกไหม (ถูก)  ถ้าต้นส้มออกผลมาเราจะหวังให้ทุกลูกสวยเท่ากันหมดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมหวังให้ลูกเหมือนกันหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหวังให้ชีวิตทำอะไรต้องสำเร็จตกผลเหมือนทุกครั้ง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมชาติเราก็เข้าใจหลักแห่งชีวิต ถ้าเข้าใจชีวิตความทุกข์ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าเผลอเห็นต้นมะลิแล้วหวังเป็นต้นส้มนะ แล้วก็อย่าหวังว่าชีวิตจะเป็นต้นส้มที่ต้องออกผลสวยงามทุกลูก ไม่มีแมลงกัดกินเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม เราก็เข้าใจชีวิต ถ้าเราเห็นธรรมเราก็เห็นชีวิตชัด จริงหรือไม่
เริ่มเห็นชัดบ้างหรือยัง (ยังชัดบ้างไม่ชัดบ้าง)  ถ้าอย่างนั้นต้นธรรมที่มีอยู่นี้ อยากยืนหรืออยากนั่ง (มีทั้งอยากยืนและอยากนั่ง)  ใช่แล้ว ธรรมชาติที่แท้จริงไม่มียืนหรือไม่มีนั่งตลอด ฉะนั้นถ้าเราบอกว่า ต้นธรรมต้นนี้ควรจะยืนหรือควรจะนั่ง ท่านก็ควรตอบว่า ยืนก็ดีนั่งก็ดี เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้ว ถ้านั่งแล้วยืนไม่ได้หรือยืนแล้วนั่งไม่ได้เรียกว่าพิการ ถ้าอย่างนั้นยืนหรือนั่งดี (ยืนก็ได้นั่งก็ดี)
“ติดความสุขติดเคยชินติดนิสัย หลงอะไรเฝ้าไม่หน่ายตายไม่ทิ้ง
รักอะไรถวิลไม่รู้ยอมทุกสิ่ง เตือนชาวโลกจงทิ้งซึ่งมวลกิเลส
กลอนที่ให้ไปรู้สึกว่าโดนใจใครไปหลายคนมากเลย เราเกิดมาเพื่อจบแต่ใจเราไม่ค่อยยอมจบอะไรง่ายๆ เราเกิดมาเพื่อเข้าสู่ความไร้แต่เราชอบยึดติดความมี ฉะนั้นอย่ามองเห็นว่าธรรมเป็นเรื่องไกลตัว แต่ธรรมเป็นเรื่องที่ทำให้เราเข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงแห่งชีวิต ธรรมะไม่ใช่ยานอนหลับแต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งหลับ ธรรมะมีแต่ปลุกให้คนหลงตื่นจากความหลับไหล ไม่ใช่ทำให้คนยิ่งหลับไหลไม่ยอมตื่น มนุษย์เฝ้าเพียรพยายามทำดีเพื่อเป็นคนดี แต่บางครั้งการเป็นคนดีก็รู้สึกเหนื่อยใจ มองไปซ้าย มองไปขวาไม่เห็นมีใครดีเลย มองดูทีวี มองดูข่าว มองดูสังคม มีแต่คนชั่วร้าย จนบางครั้งมองแบบนั้นแล้ว ใจโกรธ เกลียด ไม่พอใจ ยิ่งดูยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าดึงใจให้ตกต่ำลง จนบางครั้งไม่มีแรงบันดาลใจเลยว่า เราจะดีอยู่คนเดียวในโลกไปทำไม ตื่นมาลูกก็ไม่ได้ดั่งใจ สามีก็ไม่เอาไหน ภรรยาก็ขี้บ่น แล้วเราจะดีจะเหนื่อยไปทำไม คิดอย่างนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วเป็นไหม (เป็น)  พอเป็นแบบนี้แล้วเราทำอย่างไรต่อ พอเป็นแบบนี้ก็เลยโทษว่าที่ฉันไม่ดี ก็เพราะว่า โน่น นั่น นี่ ที่ฉันไม่ดีก็เพราะคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น หาแพะรับบาป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคิดอย่างนี้ใจมีแต่ยิ่งตกต่ำเต็มไปด้วยความโกรธ  เต็มไปด้วยความไม่พอใจ  แต่หากต้องการเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนจากผิดให้กลายเป็นถูก เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข เคยคิดบ้างไหมว่าทำอย่างไร  เงียบหมดเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นอย่างที่เราพูดหมดไม่เคยคิดเปลี่ยนเลยใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรามองกลับเรามองว่าเขาก็ไม่ต่างจากเรา เขาผิดเราก็เคยผิด เขาไม่ดีเราก็เคยไม่ดี เราโกรธได้เขาก็โกรธได้ เมื่อคิดได้แบบนี้จากความรู้สึกที่จะด่าทอ โกรธเกลียด จนทำให้จิตใจตกต่ำ กลับกลายเป็นเห็นใจ จิตใจที่จะสร้างบาปก็เปลี่ยนเป็นสร้างบุญ จิตใจที่มองโลกในแง่ร้ายก็กลายเป็นเห็นแง่ดี จิตใจที่รู้สึกตกต่ำเป็นทุกข์ก็กลายเป็นยกให้สูงขึ้น แล้วรู้สึกสบายใจโล่งใจ ถามว่าเราดีหรือยัง เราก็ยังไม่ดี ฉะนั้นเรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อไรที่เราคิดว่าเราก็ไม่ต่างกับเขา เขาผิดได้เราก็ผิดได้ เขาไม่ดีเราก็ไม่ดี เขายังใช้ไม่ได้เราก็ยังใช้ไม่ได้ เขายังแย่เราก็แย่ คิดได้เช่นนี้ ทุกข์จะกลายเป็นสุข ผิดจะกลายเป็นถูก และการอยู่ร่วมกัน จากเลวร้ายก็จะกลายเป็นเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ ให้อภัย และมีปัญญาที่จะชี้นำแนวทางที่ถูกต้องให้เขา แต่ถ้าเอาแต่ด่าทอว่าเขาไม่ดี ใจเราก็แย่ อารมณ์ก็เคืองโกรธ ความโกรธเกลียดกันจะชี้นำใครได้ มีแต่โมโหฉุนเฉียวเปลี่ยนใครก็ไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง)  แม้ท่านจะรักลูกขนาดไหนแต่ถ้าใช้ความโมโหเข้าใส่ก็เปลี่ยนลูกไม่ได้ แม้ท่านรักสามีรักภรรยาขนาดไหนถ้าใช้ความเคืองโกรธโมโหโกรธาเข้าไกล่เกลี่ยย่อมไม่มีทาง แต่จงมองเห็นเขากับเราไม่ต่างกัน เมื่อเขาเป็นเราก็เป็น เมื่อเขามีเราก็มี ต่างคนต่างร่วมกันแก้ไขดีไหม (ดี)
ถ้าลูกทำผิด แล้วเราบอกกับลูกว่า “ลูกกับแม่มาร่วมมือกันแก้ไขให้ถูกต้องดีไหม” เช่นนี้ลูกก็จะดีใจที่มีแม่เป็นเพื่อน ถูกหรือไม่ (ถูก) เราเห็นสามีผิด เราเป็นภรรยา เราก็บอกเขาว่า “คุณคะ เรามาเปลี่ยนกันไหม เพื่อความสุขของตัวคุณและครอบครัวของเรา” ใช้วิธีนี้ดีกว่าการด่าทอ หรือรังเกียจกันอีก ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “ถ้าเมื่อใดมนุษย์สลัดการจ้องจับผิดผู้อื่น หรือการมองคนในแง่ร้ายได้อย่างหมดสิ้น มนุษย์ก็จะสามารถตัดทางแห่งกิเลสได้มากที่สุด” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่น เรามองไปทางไหน หันไปทางไหน ก็รู้สึกว่าอะไรก็ดีไปทุกอย่าง แล้วอย่างนี้ชีวิตของเราจะมีอะไรร้าย แต่ในความเป็นจริงเรามักจะคิดว่า อย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ดี คนนั้นก็น้อยเกินไป คนนี้ก็มากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตัวเองเป็นอย่างไร ก็ไม่เคยพอดีสักครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าต้องการตัดทางมาแห่งกิเลส ไม่ใช่แค่การทำบุญ ไม่ใช่แค่การให้ทาน ด้วยเงิน ด้วยทรัพย์สิน ด้วยข้าวปลาอาหาร แต่จงให้ทานที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ การให้อภัยทาน และเหนือกว่าการให้อภัยทานคือ การให้ธรรมะเป็นทาน และเมื่อให้มากๆ เราจะสามารถละกิเลส ละความโลภ ความโกรธ ความยึดมั่นถือมั่นได้ เช่นนี้ไม่ใช่การทำทานกับคนหรือ สิ่งนี้ไม่ใช่การทำทานที่เราควรทำเป็นประจำหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงทำทานเฉพาะกับพระ หรือกับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แล้วตอนนี้คนที่เขาเคยทำผิดพลาด เขากำลังมีทุกข์ไหม (มี)  แล้วทำไมเราไม่ทำทานกับเขา
ทำบุญกับคนที่เรียกว่ามนุษย์เป็นบุญที่ประเสริฐนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบุญนั้นยังแปรเปลี่ยนให้คนร้ายกลายเป็นคนดี บุญนั้นยิ่งใหญ่นะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เปลี่ยนเขาแล้วยังเปลี่ยนเราด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ารู้จักเพียงทำทานด้วยเงินทองทรัพย์สิน แต่ลืมธรรมะในใจ ทำไมเราไม่ให้ธรรมะแก่เขาบ้าง เอาแต่ให้กิเลส ให้ความโกรธ ให้ความอยาก ให้คำนินทา มันเป็นบาปทั้งนั้นเลยนะ ซึ่งถ้าให้เขาทุกวันก็คือ ให้แต่บาป แล้วจะได้บุญไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอย่าบอกว่าบุญไร้ผล ถ้าเกิดคุณกำลังทำบุญผิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นจงรู้จักทำบุญด้วยการให้ธรรมะ ให้อภัย ให้ความไม่ถือโกรธ ให้ความไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์สลัดความจับผิดคิดร้ายคนได้ มนุษย์ก็ตัดทางมาแห่งกิเลสที่เป็นต้นเหตุและรากเหง้าของบาปอกุศลทั้งมวลได้นะ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ตาเรายังอดไม่ได้ ชอบจับผิดอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  หูยังชอบฟังเรื่องไม่ดีของคนอื่นอยู่ไหม ฉะนั้นถ้าเรื่องไม่ดีไหลมาสู่เราเมื่อใด และเราสามารถขุดหลุมกลบฝังได้ เราก็คือคนแปรเรื่องร้ายให้เป็นดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฟังเราจบแล้วถามว่าจำอะไรได้ไหม สงสัยจะตอบว่าจำไม่ได้แล้ว อย่างนั้นใช้การนิ่งเงียบดีไหม ธรรมคืออะไร ที่ตอบได้ง่ายที่สุด เคยได้ยินหลักธรรมอันนี้ไหม ยิ่งหุบปากให้มิดที่สุดนั่นคือธรรมะที่แท้จริงที่สุด ยิ่งพูดเยอะยิ่งห่างจากธรรมใช่หรือไม่
ถ้าอยากอยู่ในโลก อย่างเป็นสุข อย่ารอให้เขาชี้หน้าว่าเรา อย่ารอให้เขาไล่เรา แต่เราจงมองให้ออก เพราะธรรมสอนให้มองตน ไม่มองใคร แก้ไขตนไม่แก้ไขใคร เข้มงวดตนไม่เข้มงวดใคร นี่คือหลักของการบำเพ็ญธรรม แต่หลักของมนุษย์ แก้เขาไม่แก้เรา เข้มงวดเขาไม่เข้มงวดเรา เขาผิดเราถูก ฉะนั้นถ้าอยากเดินทางนี้ ต้องยอมทวนกระแส พยายามมองแต่ตัวเอง แก้ไขตัวเอง เรายกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านฟังนะ เรื่องราวบางเรื่องราวอย่างเช่นดอกไม้ มองดูก็สวยดี ใช่หรือไม่ แต่เมื่อไรที่ใจแย่ๆ ดอกไม้สวยไหม ดอกไม้ก็ดีของดอกไม้ แต่เมื่อไรที่เราอารมณ์ฉุนเฉียว ดอกไม้ก็พร้อมที่จะถูกขยำทันที ใช่หรือไม่  ดังนั้นแก่นแท้ของเรื่องราว อยู่ที่ดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
นี่คือเหตุผลที่ว่าแก่นแท้ของเรื่องราวไม่ใช่แก้ที่เขาแต่แก้ที่เรา ลองเทียบง่ายๆ สมมติว่าคนนี้เป็นคนที่เรารัก เขาด่าเราก็ยิ้ม ใช่หรือไม่(ใช่)  กลับกัน ถ้าคนนี้เป็นคนที่ท่านเห็นแล้วไม่ชอบหน้า แม้เขาชมท่านจะยิ้มไหม (ไม่ยิ้ม)  คนที่ไม่ชอบมาชมเรากลับยิ้มไม่ออก เพราะอะไร (เพราะไม่ชอบ)  แก่นแท้ของชีวิตจะทุกข์หรือสุขไม่ใช่อยู่ที่แวดล้อมภายนอก แต่มันอยู่ที่ขณะนี้ของใจเรา พึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ พึงพอใจร้ายยังกลายเป็นดี ไม่พึงไม่พอใจดียังกลายเป็นร้าย ฉะนั้นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลคือเขาหรือเรา (เรา)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องแก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา ที่ไปว่าเขาผิดทั้งโลก แท้จริงใครผิด (เราผิด)  ดั่งคำว่า “ถ้าอารมณ์ดี ถ้าใจสบายมองอะไรก็เป็นสุข แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี ใจไม่สบายก็พาลเป็นทุกข์” ฉะนั้นต้นเหตุแห่งเรื่องราวทั้งมวล แก่นหลักอยู่ที่ใจ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ธรรมใดที่ควรปฏิบัติและมีอุปการะมากต่อชีวิต  นั่นคือความไม่ประมาท ไม่ว่าจะอยู่กับใคร ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะไปไหน ขอให้พึงระลึกว่า “ความไม่ประมาท เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เป็นธรรมที่อยู่กับใครก็จะทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย”  แล้วธรรมอะไรที่ควรเจริญให้มาก แล้วจะทำให้เราไม่เป็นทุกข์ พระพุทธะได้กล่าวว่า ธรรมที่ควรเจริญให้มากแล้วทำให้เราไม่ทุกข์ แปรทุกข์เป็นสุขได้นั่นคือสติ แล้วธรรมอะไรที่เราควรพึงรู้ แล้วจะทำให้เราไม่หลง นั่นคือ สติที่รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบกาย วาจา ใจ หรือหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าอะไรกระทบจงรู้ รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี และสิ่งที่ควรละให้มากที่สุด สิ่งนั้นคือความหลงตน คิดว่าตนดีแล้ว พอแล้ว แน่แล้ว
เราพูดตั้งแต่ต้นจนจบยังมีข้อสรุปให้ท่านด้วย ฉะนั้นธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ เพราะทุกชีวิตเกิดเพื่อจบ ตอนนี้เรากำลังเกิดหรือเรากำลังตาย (ตาย)  ถูกต้อง เราไม่ได้กำลังเกิดนะแต่ท่านกำลังบ่ายหน้าไปสู่ความตายและความไม่มี ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราเข้าใจธรรม ปลงตก วางได้ เข้าใจ จิตก็จะอิสระหลุดพ้นจากพันธนาการความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ จำไว้ว่าชีวิตทุกชีวิตล้วนมีธรรม แล้วเราเคยมีเวลาเห็นธรรมในชีวิตบ้างหรือไม่ เห็นแต่ความเป็นคนก็เลยไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรเรานิ่งและเห็นความเป็นธรรม เราจะรู้เลยว่าโลกนี้ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ เพราะโลกนี้ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ถึงที่สุดมีแต่ขณะนี้และเดี๋ยวนี้ อดีตก็แก้ไม่ได้ อนาคตก็ยังทำอะไรไม่ได้ มีแต่ทำตรงนี้ให้ดีที่สุด หากท่านยังคิดว่าเรามาลวงเราก็ลวงแค่สังขาร แต่ความว่างแท้จริงไม่เคยลวงหลอกใคร มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมจินจง  จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้ว่าบาปก็อย่าทำดีไหมหนอ รู้ว่าผิดก็อย่าก่อให้ทุกข์ยิ่ง
คิดแล้วทุกข์ก็แค่รู้สู้ความจริง จงรู้นิ่งด้วยสติปัญญาธรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม

ชีวิตเพรียกหา  เรื่องสมหวังมีสุดตา  ไม่ได้มาเพื่อเป็นของเรา  คนหลงไม่เว้นศุกร์เสาร์  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า  ฟ้าแจ้งฟ้าเทาผืนเดียวหนึ่งเดียวกัน
ชีวิตเพรียกหา  ความรักนั้นมาเมตตา  ไม่เคยมาเกิดสักครั้งเดียว  เมตตาต้องใช้อดทน อย่ารับอย่างเดียว  คิดให้อย่าเดี๋ยว  ให้เขาเรามี
* เจ้าเป็นเจ้าเท่านั้น   ตื่นได้สั้นสั้น   คิดอย่างมนุษย์ดีดี  ศิษย์เอ๋ยใช่ตรงนี้  บำเพ็ญนั้นดี  ฟ้าอยากรับเจ้าเพื่อกลับคืน
ชีวิตตามหา  แบบคนหวงแหนหน้าตา  เพื่อลาภยศเอาแต่ละฝืน  
ศิษย์รักชีวิตลุ่มหลง  ยากพ้นกล้ำกลืน  ศิษย์จงขัดขืน  เพรียกหาแดนเดิม
(ซ้ำ *)
ทำนองเพลง : ความรักเจ้าขา
ชื่อเพลง : ชีวิตเพรียกหา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังธรรมะเบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  แปลว่านั่งฟังต่อได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาศึกษาธรรมะไม่ได้ให้เราทิ้งภาระ ไม่ได้ให้เราทิ้งหน้าที่ ภาระหน้าที่ก็ยังต้องรับผิดชอบ แต่รู้จักมีสติในการดำเนินชีวิตให้เป็น และมองชีวิตให้เข้าใจ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งหรือไม่ว่าถ้าเข้าใจความเป็นคนของตัวเอง ก็จะเข้าใจความเป็นคนของเพื่อนๆ เพราะใจของเรากับใจของเขาก็มีธรรมชาติที่ไม่ต่างกัน ถ้าเรียนรู้เข้าใจ ใจของตัวเอง เราก็จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนรอบข้างได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราชอบไหม เวลาที่มีใครต่อว่า (ไม่ชอบ)  แล้วเราเคยต่อว่าคนอื่นหรือไม่ ทำไมหรือ ใจของเราชอบให้ใครนินทาไหม (ไม่ชอบ)  ชอบให้ใครมาว่าเราโง่ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราเคยทำหรือไม่ หากเรารู้และเข้าใจความเป็นคนแล้ว ทำไมเราจะไม่รู้ จะไม่เข้าใจความเป็นคนของคนอื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราชอบสิ่งไหนบ้าง ชอบคำพูดหวานๆ พูดดีๆ พูดเพราะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วที่เราพูดออกมานั้นหวานไหม (ไม่หวาน)  ดีไหม (ไม่ดี)  เพราะไหม (ไม่เพราะ)  ทั้งที่เราก็รู้อยู่ว่าพื้นฐานของมนุษย์เป็นอย่างไร แต่ทำไมเรากลับทำตรงกันข้าม เช่น มนุษย์ชอบความสันติ ชอบสงบ ชอบให้คนรักไหม (ชอบ)  แต่ทำไมมักตั้งป้อมรังเกียจก่อน  จะรู้จักไม่รู้จักก็ตั้งป้อมระแวงไว้ก่อน อยากให้เขารักแล้วทำไมเราถึงระแวง ฉะนั้นถ้าเรารู้ เข้าใจตัวเอง เราก็จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นได้เป็น ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่มันน่าเสียดาย ที่บางทีมนุษย์ รู้มากแต่ทำไม่ได้ รู้มาก แล้วคิดมาก ใช่หรือไม่ จะรู้ว่าใช่ไม่ใช่ก็ตอนนอนนี่แหละ เพราะถ้าไม่คิดมากหัวถึงหมอนก็หลับ แต่ถ้าคิดมากว่า “พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร” คิดแล้วก็ทุกข์ก็จะนอนไม่หลับ แล้วหยุดคิดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำอย่างไร ทำไมไม่พลิกความคิด อะไรจะเกิดก็เกิดไป ใจสู้เสียอย่างกลัวอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราเกิดมาหนเดียวตายก็ (หนเดียว)  
เรารู้ เราเห็นชัดแล้วว่า บางทีทำไปแล้วมันบาป ทำไปแล้วมันผิด คิดมากแล้วมันไม่ดี เรารู้แล้วเราหยุดได้หรือไม่ อาจารย์เห็นทำผิดไปแล้วจึงคิดได้นะ ฉะนั้นทำอย่างไรที่จะหยุดแค่ตรงคิด ไม่ตกมาเป็นการกระทำแล้วกลายเป็นชะตากรรม กลายมาเป็นกรรมเวรย้อนเข้าหาตัว แล้วเราจะหยุดมันอย่างไร ก็คือไม่เข้าข้างมันใช่หรือไม่ ถ้ามันไม่ดีเราไม่ควรจะเข้าข้าง อย่างนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้จักสิ่งที่ศิษย์ทุกๆ คนชอบเป็นแฟนคลับกันทุกคนดีไหม ใครบ้างมีความโลภ (นักเรียนยกมือทั้งห้อง)  ไม่ว่าความโลภจะแย่อย่างไรเรายังหลงหัวปักหัวปำ เป็นทาสความอยาก ตั้งแต่หนุ่มสาวจนแก่แล้วก็ยังอยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  เป็นแฟนคลับอย่างเดียวหรือเปล่า ใครตกเป็นทาสความโกรธบ้าง (เป็นบางครั้ง)  ถึงจะเป็นคนดีขนาดไหนแต่ถ้าโกรธก็จะโกรธเหมือนองค์ลงอย่างนี้ดีไหมศิษย์
แบบนี้จะเรียกว่าเป็นคนดีไหม บุญก็ทำได้เก่ง ทานก็ทำได้คล่อง ศีลก็ถือได้ครบ แต่นิสัยยังคงมีความโลภอยู่ ฉะนั้นจะเป็นคนดีได้อย่างไร ถึงศิษย์จะทำดีขนาดไหน แต่โลภโกรธหลงยังมีอยู่ก็ดีได้ไม่รอดนะ ฉะนั้นศิษย์อย่ามาบอกอาจารย์ว่าทำดีไม่ได้ดี ก็จะดีได้อย่างไรถ้ายังมีโลภโกรธหลงอยู่ ทำดีที่วัด ทำดีกับพระ แต่พอกลับบ้านกลับว่าเขา โกรธเขา แย่งเขา นินทาเขา ดีแค่ไหน ดีแค่ในวัดใช่ไหม แล้วอย่างนี้จะบอกว่าทำดีได้ดีหรือไม่ จะดีได้อย่างไรก็ศิษย์ทำดีในที่หนึ่ง แต่อีกที่หนึ่งศิษย์ไม่ทำ วันนี้เรามารู้จักกิเลสทั้งสามกันดีไหม
ชีวิตนี้ทุกข์ไหมศิษย์ (ทุกข์)  กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  แต่ทำไมไม่กลัว โลภ โกรธ หลง อาจารย์ไม่เห็นศิษย์กลัวเลย มาทีไรก็เห็นสมัครเป็นแฟนคลับทุกทีเลย ถ้าอาจารย์ถามว่า ศิษย์เคยเห็น โลภ  โกรธ หลง หรือไม่ (ไม่เคย)  มันเป็นแค่นามธรรม  เมื่อไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างแล้วทำไมเมื่อมาอยู่กับศิษย์แล้วจึงมีรูปร่าง มีตัวตนล่ะ  โลภโกรธหลงมีรูปลักษณ์ไหม แล้วตอนเราเป็นเด็กเรารู้จักมันหรือไม่ (ไม่รู้จัก)  แล้วทำไมเราถึงได้ตกเป็นทาส  ในเมื่อไม่มีรูปลักษณ์  ไม่มีแบบอย่าง  เราจำเป็นต้องตกเป็นทาสหรือไม่ (ไม่จำเป็น)  
ความโลภเป็นอย่างไร โลภแปลว่า “อยากได้ไม่สิ้นสุด” แค่อยากได้เฉยๆ ยังไม่เรียกว่าโลภ  แต่อยากแล้วอยากอีกจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นเรียกว่าโลภ  แล้วก่อเกิดบาปกรรม ที่เราโลภเพราะเราชอบ  ถูกใจ ชอบมากๆ แล้วยังอยากมีอีก ชอบเลยกลายเป็นโลภ แล้วพอเรารู้จักคำว่าชอบเราเลยรู้จักโลภ อะไรที่ทำให้เราไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ขัดเคืองใจ ก็กลายเป็น (โกรธ)  โกรธมากๆ ก็กลายเป็นเกลียด เกลียดมากๆ ก็กลายเป็นแค้นอาฆาต อาฆาตมากๆ ก็กลายเป็นจองเวรจองกรรม จองเวรจองกรรมไม่พอก็กลายเป็นผูกเวรผูกกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเมื่อไรจิตของมนุษย์พ้นจากชอบ จิตของมนุษย์จะเป็นจิตที่ยิ่งใหญ่เท่ากับฟ้า หนักแน่นเท่ากับพื้นพสุธา แต่เพราะมีชอบมีชังจึงทำให้มนุษย์กลายเป็นคนจิตใจคับแคบ รังเกียจ และเดียดฉันท์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นแค่เริ่มต้นจากชอบก็กลายเป็นโลภ พอรู้จักชอบก็เริ่มรู้จักชัง ชังก็กลายเป็นโกรธ และในความชอบชังนี้มันก็เรียกว่าความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ชอบมากๆ ก็กลายเป็นโลภ โลภมากๆ ก็กลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว พระพุทธะจึงสอนให้รู้จักให้ทาน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เมื่อรู้จักชอบแล้วจะก็รู้จักไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบมากๆ ก็กลายเป็นโกรธเกลียด เมื่อโกรธเกลียดก็ง่ายที่จะทำร้ายใคร แม้กระทั่งผู้มีพระคุณเราก็สามารถทำร้ายได้เพียงเพราะมีความโกรธถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นโกรธมากๆ พระพุทธะจึงสอนให้รู้จักมีศีล มีธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหลงมากๆ ท่านจึงสอนให้รู้จักมีปัญญา มองให้เห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้งว่า โลกนี้ไม่มีอะไรในโลกน่ารัก และไม่มีอะไรในโลกน่าเกลียดจริงๆ หรอก มันแค่เป็นปรากฏการณ์ชั่วครู่เท่านั้นเองที่เรามองไม่เห็นอย่างกว้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราอยากกลับคืนสู่ใจฟ้าก็ต้องตัดความชอบชังให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์ไปเป็นคนมีทาน มีศีล จึงเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ การแก้ที่ต้นเหตุคือการมีปัญญารู้แจ่มชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราตัดชอบได้ ใจเราก็ตัดความโลภ ความโกรธได้ แต่ถ้าเราตัดชอบ
ไม่ได้ เราก็ยังเป็นคนพ่ายแพ้ความโลภ ความหลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  จึงมีคำกล่าวที่ว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา ฉะนั้นในโลกนี้จึงมีสิ่งที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นกฎของไตรลักษณ์เป็นกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดมั่นจะมีอะไรที่ต้องปล่อยวาง ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะมีอะไรให้เราต้องพยายามปล่อย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ตอนนี้เรากำลังยึดมั่นอะไร เราต้องรีบปล่อยวาง ฉะนั้นอนิจจังทำให้ทุกข์เกิดได้ อนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับได้ แล้วเราจะไปกลัวอะไรกับทุกข์ เพราะทุกข์นั้นก็อนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปใช่หรือไม่ ถ้าเราไม่ยึดมั่นแล้วจะมีอะไรให้เราต้องปล่อย ถ้าเราไม่ยึดมั่นจะมีอะไรมาเป็นนายบังคับเราได้ ฉะนั้น โลภ โกรธ หลง ยังน่ากลัวอยู่ไหม
ในเมื่อสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดา  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นกฎของธรรมชาติ หรือกฎของไตรลักษณ์ ดังนั้นถ้าเราไม่ยึดมั่นแล้วจะมีอะไรที่ทำให้เราต้องพยายามข่มใจ จะมีอะไรที่ทำให้เราต้องปล่อยวางหรือไม่ จะมีอะไรที่ทำให้เราต้องพยายามข่มใจว่าอย่ารักสิ่งนั้นไหม (ไม่มี)  เพราะว่าอนิจจังทำให้ทุกข์ได้ และอนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับไปได้ แล้วเราจะต้องทำอะไรหรือ ในเมื่อเราเข้าใจหลักแห่งธรรมได้ขนาดนี้ ฉะนั้นผู้ที่ไม่ยึดมั่นสิ่งใด ก็จะไม่มีอะไรมาบังคับให้เราต้องตกเป็นทาส และเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าศิษย์ไม่ยึด ไม่ครอบครอง แล้วจะมีอะไรที่จะให้ศิษย์ต้องพยายามปล่อย จะมีอะไรที่มาบังคับบีบใจของศิษย์ได้ หรืออาจารย์พูดง่ายๆ คือ ทุกอย่างเริ่มต้นจากตัวเรา เกิดจากตัวเรา แล้วทำไมไม่ละและไม่จบสิ่งนั้นที่ตัวเรา ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์จำไว้นะว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะสิ่งนั้นเพียงเกิดขึ้น คงอยู่ แล้วเดี๋ยวสิ่งนั้นก็ดับไป
อนิจจังอะไรหนอที่ทำให้เราต้องพบสิ่งนี้ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวอนิจจังก็จะทำให้สิ่งนั้นไปจากเรา หรือต่างคนต่างไป ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะเกี่ยวกับสิ่งนั้นไปให้ทุกข์ ไม่จบสิ้นทำไม จะยึดไว้ทำไม ซึ่งบางอย่างก็จบไปแล้ว แต่เราไม่จบ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ผู้ที่เห็นแจ้งจริงในสัจธรรมจะรู้ว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นจริง แต่ผู้รับทุกข์หามีไม่
ศิษย์บอกว่าศิษย์กลัวโลภ กลัวโกรธ กลัวหลง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป สมมติว่าศิษย์เห็นอะไรแล้วอยากได้ ก็จะตกเป็นทาสของสิ่งนั้น แต่ถ้าศิษย์เห็นแล้วไม่อยากได้ ก็จบเท่านี้เลย ดังที่ว่า “คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก” แต่ถ้าไม่คิดอะไรเลยนั่นคือ “นิพพานนั้นไซร้อยู่ที่ใจปล่อยวาง” ฉะนั้นทางตรงแท้มีหนึ่งเดียวคืออยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ทางสายกลางมีหนึ่งเดียว ตรงนั้นแบบนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นแหละคือธรรมแท้จริง ธรรมแท้ที่ศิษย์หาว่า “ธรรมะอยู่ไหน” จริงๆ แล้วธรรมะอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เมื่อโดนกระทบแล้วจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรก หรือว่าจะนิพพาน ไม่เกิดอีก แต่ถ้าเกิดอยากได้ นั่นแหละเกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที สมมติเขามาชี้หน้าว่าเรา ถ้าเราเงียบแล้วคิดว่า “ไม่ตกแล้วนรก สวรรค์ก็ไม่เอา นรกก็ไม่ไป อยู่ตรงนี้แหละเฉยๆ “ นั่นแหละ แค่นี้เองไม่ยากเลย แต่ทำอย่างไรถึงจะรู้ทัน พระพุทธะจึงบอกว่า “รู้เมื่อไรก็จะไม่กลายเป็นทุกข์ที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น” เมื่ออวิชชาเกิดจึงเกิดตัณหาและอุปาทาน แต่ถ้าเป็นวิชชาเกิดขึ้น ตัณหาอุปาทานก็จะไม่เกิดทันที “ศิษย์จะทำอย่างไรบางทียังอดไม่ได้” ไม่ยากนะ ถ้าเราโดนกระทบแล้ว รู้ทันไหม ศิษย์มักจะใช้ความคิด ไม่ใช้ความรู้เท่าทัน อย่างนี้มันถูกไหม ทำอย่างนี้มันดีหรือนิสัยไม่ดีจริงๆ เลย” แค่ด่านิสัยไม่ดีก็ตกนรกแล้วนะ มันก็ร่วมกรรมทันทีเลย แต่ถ้าโดนเขาว่ามาก็เฉยและนิ่ง นิ่งแล้วเบิกบานนะ ไม่ใช่นิ่งแล้วตายด้าน ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วกลายเป็นคนตายด้านไม่มีความรู้สึก สุขแล้วเบิกบานได้ สุขแล้วเข้าใจได้ แต่ไม่ใช่เป็นอารมณ์ เข้าใจ ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยาก แต่ไม่เคยมีใครทำได้สักคนเลย แต่เมื่อไรที่เราติดชื่อเราที่เก้าอี้เป็นอย่างไร (ยึด)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นของเราไหม ถอดป้ายชื่อแล้วเป็นของใคร  ก็ไม่มีใช่ไหม แต่มนุษย์อดไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เราติดยึด มีอะไร เดี๋ยวเราค่อยมาดูกันไหม ดีไหม (ดี)  ดีหรือ รู้มากไปก็จะกลายเป็นได้หน้าลืมหลัง ศิษย์จะจำได้ก็ต่อเมื่อศิษย์เอาสิ่งนั้นมาพิจารณา ไต่ตรองจนหยั่งและเข้าถึง แล้วตอนนั้นจะจำไม่ลืม แต่ถ้าแค่ฟังว่าดี ก็จะได้แค่ดีอย่างเดียว ไม่ได้อะไรเลย ทุกข์มีอยู่จริงแต่ผู้รับทุกข์หามีไม่  แต่ที่เกิดผู้รับทุกข์เพราะเราเผลอไปยึดมั่นถือมั่น  แล้วความยึดมั่นถือมั่นนั้นเกิดมาจากอะไร  (กิเลส)  กิเลสมันเป็นปลายนะ  ตัวต้นอยู่ที่ไหน  ความยึดมั่นถือมั่นมาจากไหน (ใจ)  ใจมีรูปร่างไหม (ไม่มี)  ใจสามารถจับต้องได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วทำไมเชื่อใจทุกอย่างเลย  ตลอดชีวิตวิ่งตามใจมาตลอด  เราเคยมองหาที่สุดแห่งใจหรือไม่ว่าอยู่ตรงไหน
ศิษย์เอ๋ยความยึดมั่นถือมั่นมาจากความหลงที่คิดว่า สิ่งนั้นๆ มีตัวมีตน แล้วพอยึดว่ามีตัวมีตนก็สร้างใจครอง แล้วก็บอกว่าตัวตนนี้มีใจแบบนี้ ตัวตนนี้มีใจชอบอย่างนี้ ตัวตนนี้มีใจเกลียดอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตัวตนนี้มีหรือไม่ (ไม่มี)  ใช่หรือ แล้วทุกวันนี้ที่เหนื่อยแทบตาย ไปแย่งชิงกับเขา ไปด่าเขา ไปตบตีเขาก็เพื่อตัวตนนี้ไม่ใช่หรือ ถ้ารู้ว่าตัวตนไม่มีแล้วทำเพื่ออะไร ฉะนั้นเราทำทุกอย่างเพื่อตัวนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าตัวตนนี้เหมือนต้นกล้วย ลอกไปจนสุดมีอะไรไหม (ไม่มี)  ลอกไปเปลือกแล้วเปลือกเล่า ถึงที่สุดมันคือ (ว่างเปล่า)  ตัวตนนี้เปลี่ยนจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นแก่ แก่เป็นตาย แล้วไหนตัวตน (ไม่มี)  แล้วไหนของเรา (ไม่มี)  แล้วทำทำไมแทบตายเพื่อตัวตนนี้ เราทำเพื่อความว่างเปล่าที่มันเหมือนต้นกล้วย ใช่หรือไม่ เราทำทุกอย่างเพื่อตัวนี้ถูกไหม แล้วก็หลงรักใครต่อใครเพราะว่า ต้นกล้วยนั้นมันสวย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเชื่อไหมว่าต้นกล้วยพอแตกต้นใหม่ออกมา ต้นเก่าต้องตาย ฉะนั้นพอมีอย่างหนึ่งขึ้นมา อีกอย่างหนึ่งก็หายไป แล้วอะไรคือใจที่แท้ของศิษย์ พออยากอีกอันหนึ่ง อีกอันหนึ่งก็หายไป ฉะนั้นอัตตาตัวตนเกิดจาก ความหลงผิดหรือเรียกว่าทิฐิ ฉะนั้นพอมีอัตตาเกิดขึ้น ทั้งที่ตัวตนนี้มันเที่ยงหรือไม่ (ไม่เที่ยง)  หน้าตามีเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยน)  แล้วอะไรคือหน้าตาเดิมแท้ (ไม่มี)  หน้าตาเรา ไม่รู้ว่าจะไปที่สุดที่ไหน มันจะเหี่ยวขนาดไหน แก่ขนาดไหนยังไม่รู้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราก็ทำทุกอย่างเพื่อ (ตัวเราเอง)  โกรธเขาก็เพื่อ (ตัวเราเอง)  ด่าเขาก็เพื่อ (ตัวเราเอง)  ทั้งที่จริงแล้วเขาก็ต้นกล้วย เราก็ต้นกล้วย เขาก็คือความว่าง เราก็คือความว่าง แล้วถึงที่สุดเขาก็คือทุกข์ เราก็คือทุกข์ แล้วเราจะเกลียดทำไม ยังไม่พอยังหาเรื่องทุกข์ต่ออีก
ฉะนั้น หากเรายึดเมื่อไร ว่านี่คือตัวเราของเราก็ทุกข์ทันที เพิ่มทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองเพิ่มเข้าไปอีก จากทุกข์เดียวก็กลายเป็นสอง ทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่เกิดต่อจากความยึดมั่นถือมั่นนั่นคือ “ทุกข์จากตัณหา”  ตัณหามีทาสคือสัญญา สัญญาเหมือนพยับแดดที่มองไกลๆ แล้วเหมือนมีน้ำอยู่ แต่พอไปถึงที่สุดแล้วมันคือความไม่มี ฉะนั้นที่เราอยากเพราะอะไร เพราะจำได้ว่าถ้าแต่งแบบนี้แล้วสวย พอแต่งแบบนั้นแล้วจะไปเป็นแบบนั้น ถ้าอาจารย์ถามว่า ส้มตำเจ้าไหนอร่อย ศิษย์จะนึกได้ทันที แล้วเมื่อไรที่ทุกข์เพราะอยากกินส้มตำ ต้องไปร้านนั้น ต้องไปร้านนี้ นี่แหล่ะตัณหามันมาจากสัญญาความจำได้หมายรู้ที่ติดในรสชาติ แล้วเราก็ต้องวิ่งไปกินให้ได้ เหมือนสัญญาว่าแกงร้านนี้อร่อย ก็ต้องวิ่งไปกิน แม้จะเหนื่อยและไกลขนาดไหน ก็ขอให้ได้กินอร่อย ฉะนั้นความอยากเกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกทีใช่หรือไม่ จำได้ว่าหน้าตาแบบนี้เหมือนคนรักฉันเลย จำได้ว่าหน้าตาแบบนี้มันเคยด่าเรานี่ สัญญาเกิดเมื่อไรก็ทุกข์ ฉะนั้นจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เกิดแล้วมันก็จบอยู่แค่นั้น ไม่ก่อเป็นวัฏฏะ ทำอย่างไรให้กลายเป็นแค่อยู่เพื่ออยู่ แต่ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองตัณหาและวิบากกรรมที่รวมกันเรียกว่า วัฏสงสาร
อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวคือ  ตัวตนที่เกิดจากความมีทิฐิมานะ  เธอเป็นใคร  ฉันเป็นใคร เธอพูดอย่างนี้ได้อย่างไร  ให้มันรู้บ้างใครเป็นใคร  ศิษย์เป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  มานะตัวนี้แหละที่ทำให้อหังการ ยึดมั่นก็ทุกข์ทันที  เกิดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น  ฉะนั้นถ้าเราตัดยึดมั่นถือมั่นในตัณหา  ทิฐิมานะ   สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นก็มีความดับ  ทำไมจะต้องเพิ่มทุกข์ใปยึดแล้วค่อยไปทำบุญรักษาศีลจะได้หมดเวรหมดกรรม  ทำแบบนั้นก็สายเกินไป  ทำไมไม่แก้ตั้งแต่ต้น  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจงตื่นรู้  รู้อะไรที่จะทำให้เราก้าวข้ามพ้นทุกข์  ศิษย์เคยได้ยินไหม สามโลกจบที่ใจ มันเกิดที่ใจเราก็ต้องละที่ใจและเราต้องจบให้ได้ที่ใจแล้วภพภูมิการเวียนว่ายจะไม่มีอีกต่อไป ตัวตนเป็นภพหนึ่งเรียกว่ามนุษย์ เมื่อตัวตนแตกภพมนุษย์ก็แตกสลาย ภพต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พูด ทำ คิด ถ้าพูดทำคิดอย่างคนมีศีลมีธรรมมีความเป็นมนุษย์ประเสริฐ  ภพภูมิในอนาคตคือมนุษย์แน่นอน  แต่ถ้าพูด ทำ คิด  ไม่เคยมีศีลมีธรรมเอาแต่ทำตามใจตนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี  ทำเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน  ภพภูมิต่อไปที่ศิษย์ได้ก็คือเดรัจฉาน  พระพุทธะได้กล่าวไว้ว่า “โลภมากๆ ก็กลายเป็นเปรต โกรธมากๆ ก็กลายเป็นนรกอเวจี  หลงมากๆ ก็กลายเป็นเดรัจฉาน”  ท่านก็เลยบอกวิธีแก้ง่ายๆ คือ ถ้าศิษย์ยังตัด โลภ โกรธ หลง ไม่ได้ ก็ให้ศิษย์ทำทาน ถือศีล และมีปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีการภาวนา ภาวนาจะเกิดได้อย่างไรถ้าศิษย์ยังไม่เคยรักษาศีลให้ครบ ยังไม่เคยนิ่ง โดนอะไรกระทบก็หวั่นไหวตลอด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
อาจารย์อยากบอกนะศิษย์เอ๋ย โลกนี้สุขไม่มีอยู่จริง โลกนี้มีแต่ทุกข์  ฉะนั้นวิธีที่ศิษย์จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้เป็นสุข เราจะได้ไม่กลัวทุกข์ ถ้าหวังแต่จะสุข เท่ากับว่าเรากำลังหลอกตัวเอง ใช่หรือไม่ สิ่งที่เรากำลังทุกข์อยู่ทุกวันนี้ พระพุทธะเอาทุกข์นั้นมานำพาเวไนยให้พ้นทุกข์ แต่มนุษย์ทุกข์แล้วทุกข์อีกเพราะมัวติดแต่อยากสุขแต่ไม่ยอมพ้นทุกข์  ทั้งที่จริงๆ  แล้วทุกข์นั้นก็อนิจจัง ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็กำลังดับ แต่ศิษย์หลงไปยึดมันเองใช่หรือไม่ ฉะนั้นรู้อะไรแล้วไม่ทุกข์
(รู้เท่าทันความคิด)  ศิษย์อยากได้แอปเปิลเพื่อเพิ่มทุกข์ไหม ถ้าศิษย์รู้เท่าทันความคิด แม้ความทุกข์มา เราไม่ต้องทุกข์ก็ได้นะ ก็แค่รู้ อนิจจังทำให้ทุกข์มา เดี๋ยวอนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับ
(รู้ที่จะยอมรับมัน) แม้ว่าเขาจะว่าเราโง่ บ้า ยอมรับไหม ศิษย์เอ๋ย “อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับ” ต้องเรียนรู้ก่อน เราถึงจะยอมรับได้ ใครบ้างไม่โง่ใครบ้างไม่บ้า ฉะนั้นเขาว่าเราว่าโง่ บ้า เราไม่เห็นต้องโกรธเลย โง่บ้างบ้าบ้างแต่ทำให้คนมีความสุขก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรายึดมั่น “คุณเป็นใครมาว่าฉัน” อย่างนี้ก็โกรธใช่หรือไม่
(เราต้องหัดเอาไปพิจารณาในส่วนของเราก่อน)  นั่นเรียกว่า แม้ว่าจะถูกกระทบ กระแทก กระเทือนมากแค่ไหน สิ่งที่จะช่วยทำให้เราสามารถผ่านสิ่งนั้นไปได้ คือความเมตตากับขันติ เพราะเมตตาคือรากฐานของความเป็นคนและคุณธรรมที่ดีงามของคน ส่วนขันติ คือ ทำให้เรารู้จักอดทนอดกลั้นและมีบารมี สร้างภูมิคุ้มกันแห่งธรรมะได้
การเรียนรู้หลักธรรม คือ การเข้าถึงความเป็นจริงว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ถ้าเราไม่ยึด ก็ไม่มีอะไรที่เราต้องพยายามปล่อย ถูกหรือไม่ (ถูก)
(รู้จักทุกข์แล้วจะได้ไม่ทุกข์ รู้ว่าโกรธแล้วจะโกรธทำไม รู้ว่าโลภแล้วเราจะโลภทำไม รู้ว่าหลงแล้วเราจะหลงทำไม)  ตอบได้ดี แต่เมื่อถึงเวลา อาจารย์เกรงว่าศิษย์จะรู้ไม่ทันว่าสิ่งนั้นเป็นโลภ โกรธ หลงเพราะศิษย์ต่อว่าเขาไปแล้ว ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องมีสติ
(ไม่โกรธ ไม่หลง ก็ไม่ทุกข์)  ฝึกให้ได้นะ ความอดทนอดกลั้น ความมีเมตตา ช่วยทำให้เราสลายความโกรธได้นะ
มีใครตอบอาจารย์อีก (ปล่อยวาง)  ถ้าพยายามปล่อยแปลว่าเราไปยึดมาเต็มที่แล้ว อย่างนี้ไม่ถูก ทุกอย่างล้วนมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง เราทำได้ถึงที่สุดเราก็ต้องเข้าใจ พูดได้ถึงที่สุดเราก็ต้องแค่เข้าใจ เพราะเราทำมากกว่านั้นก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องพยายามไปปล่อย เพราะถ้ารู้สึกเมื่อไรว่าต้องพยายามปล่อย แปลว่าไปยึดมาเต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้จะทำอย่างไร (แค่รู้สึกเฉย)  อย่างที่เขาบอกคือ “อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับ”  นิ้วยังไม่เท่ากัน แล้วคนจะเป็นอย่างที่เราคิดได้ไหม (ไม่)  แล้วลูกจะเป็นดั่งหวังได้ไหม (ไม่)  สามีจะเป็นได้ดั่งหวังไหม ฉะนั้นจงเข้าใจและใช้ความเข้าใจเพื่อสลายความทุกข์ ใช้ความเห็นใจ เข้าใจ เพื่อแปรเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นสุข ตอบว่า (ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาทและมีสติอยู่ทุกขณะ)
มีใครจะตอบอีก อาจารย์อยากแจกทุกคน อุตส่าห์มาแล้วคุยกับอาจารย์หน่อยเป็นไร (ต้องพยายามหาสาเหตุแห่งทุกข์ให้เจอ) ศิษย์รู้ไหม ตัวตนนี้คือที่ตั้งแห่งทุกข์ และมีใจเป็นตัวผลิตทุกข์ แต่ถ้าเรามองให้ออกว่าที่แท้ ตัวตนนี้ก็ไม่ใช่ของเรา ใจนี้ก็ไม่เที่ยง แล้วเราควรจะไปยึดและวิ่งตามใจไหม (ไม่)  ถ้าเราเห็นชัดว่าตัวตนก็ไม่ใช่ของเรา แล้วเราจะมีโรงงานผลิตทุกข์ไหม มันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงของสภาวธรรมที่เกิดขึ้น เรามีหน้าที่เพียงแค่รู้ โดยที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนหรือแก้ เพียงแค่รู้เฉยๆ ฉะนั้นรู้แล้วต้องนิ่งให้ได้ วิธีง่ายๆ จำไว้นะศิษย์ เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นมันเกิดแล้วก็จบไปทันที แต่ใจเราต่างหากที่ไม่จบ ใจเรายังยึดติด ใจเราผูกพัน ใจเรายังคาดหวัง ทำไมเขาทำแบบนั้น ทำไมเขาทำแบบนี้  ทำไมเขาพูดแบบนี้  ซึ่งจริงๆ มันจบไปแล้ว ถ้าเราคิดว่ามันจบแล้ว ยังจะมีอะไรให้ต้องละอีกไหม อาจารย์จะบอกศิษย์ จิตของศิษย์เดิมแท้แล้วบริสุทธ์แต่มัวหมองไปเพราะความหลงผิด
ฉะนั้นต่อให้แต่งกายข้างนอกสีขาวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าใจยังคิดร้าย คิดต่ำ คิดไม่ดี คิดแช่งชัก คิดระแวง คิดสงสัย สู้ทำใจให้บริสุทธิ์ด้วยการ คิดให้ดี คิดให้ถูก และยอมรับความจริง มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม (เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข) ไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขแต่แค่เห็นทุกข์แล้วเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้เป็น ว่าทุกข์ก็แค่นั้น มันก็เพียงแค่ทุกข์ แต่ใจเราไม่ทุกข์ได้ เคยได้ยินไหมว่ามองทุกข์ไปให้ถึงที่สุดมันก็เปลี่ยนแปลง มองความเปลี่ยนแปลงไปให้ถึงที่สุดมันก็ยึดมั่นไม่ได้ มองความไม่ยึดมั่นไปให้ถึงที่สุดมันก็คือความว่างเปล่า ฉะนั้นจงมองอะไรแล้วมองให้สุด อย่ามองอย่างคนปิดตา (รู้จักให้อภัยแล้วเมตตา)  ดีไหม (ดี)  ใครด่าเราอภัยไว้ ใครด่าเราเมตตาไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจารย์คงบอกให้ศิษย์ทำอย่างนี้ แต่เมื่อใดที่ศิษย์ยังรู้สึกต้องให้อภัย รู้สึกว่ายังต้องเมตตา แปลว่าเมื่อนั้นใจเรายังรับไม่ได้ จึงบอกตัวเองว่า “อภัยไว้ เมตตาไว้” ฉะนั้นถ้าเข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงความเป็นจริง ไม่มีอะไรต้องให้อภัย เพราะมันก็แค่นั้น แต่เพราะฉันยังไม่จบ ถึงต้องพยายามอภัยใช่ไหม
โกรธเมื่อไรอภัยเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกลียดเมื่อไรเมตตาไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกลียดเมื่อไร โกรธเมื่อไร ต้องอภัย ต้องเมตตา แปลว่าตอนนั้นใจมันรับได้หรือรับไม่ได้ (มันรับไม่ได้)  ถึงต้องพยายามอภัยใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรายอมรับความจริงว่า มันก็แค่นั้น เขาว่าก็จบแล้ว อาจารย์เคยพูดว่า หลุดจากปากเขาก็เป็นเพียงขี้ปาก หากเขาว่าเราไม่ดีก็เป็นขี้ปากไม่ดี แล้วเราจะเก็บขี้มาไว้ไหม เราควรท่องว่า ให้อภัยขี้ เมตตาขี้ อย่าไปโกรธถุงขี้มันเลยใช่หรือไม่
(ต้องมีสติและมีสมาธิ) คำว่าสมาธิแปลว่า โดนกระทบแล้วไม่หวั่นไหว มั่นคงอยู่ในสติและความถูกต้อง โดนกระทบแล้วไม่หวั่นไหว นั่นเรียกว่ามีสมาธิทุกขณะที่ดำเนินชีวิต
(ทุกสิ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป) ตอบได้ดี ฉะนั้นเขาเอาเงินของเราไปแล้ว แล้วไม่คืนกลับมา ก็คิดเสียว่ามันผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป ดีไหม ถ้าเขาไม่คืนอย่าไปโกรธเขานะ ฉะนั้นจะให้ยืมต้องคิดให้ดีๆ เพราะเงินมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไปใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อมีเงินต้องคิดให้ดีๆ สู้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ไม่ดีกว่าหรือ (ถ้าเราชอบเราก็ทุกข์)  อย่างนั้นไม่ชอบอะไรเลยดีไหม เพราะถ้าชอบก็มีชัง อย่าลืมนะชอบกลายเป็นโลภ ชังกลายเป็นโกรธ ชอบชังก็คือความหลง ฉะนั้นถ้าทุกสิ่งเราไม่ชอบแล้วจะมีอะไรชังไหม ในโลกนี้สิ่งที่ศิษย์บอกว่าชอบ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าชังแท้จริงมันไม่มีอะไรที่น่าชอบ ไม่มีอะไรที่น่าชัง
สิ่งที่มนุษย์มองว่าสวย พระพุทธะมองว่าไม่สวย สิ่งที่มนุษย์คิดว่าเที่ยง แต่พระพุทธะบอกว่าไม่เที่ยง และที่มนุษย์คิดว่าสิ่งที่ไม่สวยว่าเป็นสิ่งที่สวย อย่างเช่น ตอนรจนาเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ รจนาคิดว่า “บุญอะไรหนอนำพาหนุนส่งให้ได้พบเจ้าเงาะ”  เพราะเจ้าเงาะมีความงามอยู่ภายใน แต่ไม่มีใครเห็น มีเพียงรจนาเท่านั้นที่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันกับศิษย์ เวลาที่ศิษย์เลือกคู่ ใครๆ ก็บอกว่า อย่าไปรักเขาเลย เพราะเขาไม่ดี เราก็บอกว่าเขาดี เขาสวย บุญกรรมหนุนส่งมา แล้วเมื่อเวลาผ่านไป เขาถอดรูปเงาะออกไหม (ไม่ถอด)  แล้วอะไรหรือที่สวยแท้จริง (ไม่มี)  แล้วอะไรหรือที่แย่จริงๆ (ไม่มี)  อาจารย์แค่จะบอกว่า ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมะ เราจะได้รู้ว่า ความจริงในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่สวยที่สุด และไม่มีอะไรที่แย่ที่สุด เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจของเรามอง อยู่ที่ใจของเราเห็นหรือไม่ ถ้าเรามองเขาด้วยความน่ารังเกียจ ถึงแม้เขาจะสวยเพียงไร เราก็ยังรังเกียจ แต่ถ้าเรารู้สึกชอบ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สวยอย่างไร เราก็ยังรู้สึกว่าเขาน่ารัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญ ทุกอย่างนั้นเกิดที่นี่ ก็ต้องจบที่นี่ แล้วต้องวางที่นี่ ต้องละที่นี่ ไม่ใช่เรียกร้องให้ผู้อื่นเปลี่ยน
อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์รู้ว่าสังขารไม่เที่ยง เราอย่ามัวแต่บำรุง จนกลายเป็นกรงขังใจ แล้วหนีไม่พ้นกรงนี้ ทำให้ติดยึด แล้วก่อเกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น อย่าปล่อยให้ใจที่หาความเที่ยงไม่ได้ มากำหนดภพภูมิตน แต่เราจงเอาจิตที่ตื่นรู้ ที่เราได้รับหนึ่งจุดชี้นั้น เป็นจิตเดิมแท้ที่เข้าถึงสภาวธรรม แล้วมานำพาตนให้เข้าถึงธรรม เราหลงมานานแล้วนะศิษย์ หลงกับการยึดกาย ยึดใจ ทั้งๆที่จริงแล้วทั้งกายและใจ นั้นคือกรงขัง ถ้าศิษย์ยิ่งยึดติดมากเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บปวดทุกอณูที่ศิษย์ติดยึด แต่ถ้าศิษย์เข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา สักวันหนึ่งก็ต้องหายไป ไม่เที่ยง ความรู้สึกก็ยังไม่เที่ยง ถ้าเรามองเห็นชัด อะไรจะทำให้จิตเราหม่นหมองได้ แต่เราจะกลับสู่สภาวธรรมอันแท้จริง ที่แค่รู้ ก็ถึงทันที ไม่ต้องพรุ่งนี้ ไม่ต้องชาติหน้า ตอนนี้เข้าให้ถึงศิษย์ ธรรมในตัวเองก็คือธรรมชาติเดิมแท้ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไม่ต้องการเจ้าของ ไม่ต้องการให้ใครครอบครอง ไม่ต้องการตัวตนแบบไหน เป็นธรรมชาติ แต่มนุษย์เราหลงผิด ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องทำให้ฉันเป็นอย่างนั้น ทำไมทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครทำศิษย์ ศิษย์ทำเอง ไม่มีใครทำเราเจ็บ เราเจ็บเองทั้งนั้น ไม่มีใครทำให้เราทุกข์  แต่เราไปยึดทุกข์มาเองทั้งนั้น ถ้าศิษย์ตื่นรู้ทุกขณะที่มีชีวิตจะไม่มีกรรมต่อ แต่จะเกิดมาเพื่อจบกรรมแล้วใช้เวรใช้กรรม ใครจะร้ายขนาดไหนศิษย์ก็ยอม จะได้หมดเวรหมดกรรมกัน ดีแล้วจะได้หมดเคราะห์หมดโศก จะได้ปลดปลงไม่ยึดติด  ป่วยบ้างก็ดีถ้าไม่ป่วยก็หลงหน้าตานี้ เหี่ยวบ้างก็ดีถ้าไม่เหี่ยวก็รักเหลือเกิน  ไม่ว่าความทุกข์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จะเกิดมาเท่าไรกลับทำให้เรายิ่งเข้าใจ เข้าถึง นั่นคือธรรม จะยึดทำไม ยึดมากก็ทุกข์มาก หวังมากก็เจ็บมาก  เอาแต่คิดไม่ใช่ความรู้ ความรู้คือแค่รู้ มีคำกล่าวว่า “ถ้ารู้แล้วยึดก็เป็นแค่สมมติ แต่ถ้ารู้แล้วไม่ยึดเป็นวิมุติ ถ้ารู้แล้วยังยึดผูกพันคือกิเลส วิบากกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้ารู้แล้วละ ปล่อยวาง ก็คือความบริสุทธิ์” พระพุทธะสอนว่า ละบาปบำเพ็ญบุญเข้าถึงความบริสุทธิ์  ไม่ได้ยากเลยนะ  เมื่อเวลาโดนกระทบ ก็แค่นั้นเท่านั้นจบเลยศิษย์ เราเกิดมาเพื่อจบ ไม่ได้เกิดแล้วเกิดอีกไม่จบสิ้น เราเกิดมาเพื่อรู้จักทุกข์เข้าใจทุกข์และพ้นทุกข์ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีกไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ นะว่าชีวิตนี้ภพภูมิมนุษย์ประเสริฐที่สุด มีโอกาสสร้างบุญได้มากที่สุด มีโอกาสสร้างกุศลนำพาให้ตัวเองหลุดพ้นมากที่สุด ยิ่งใหญ่กว่าภพภูมิเทวดาอีก มนุษย์ทำบุญมากมายอยากไปเป็นเทวดานางฟ้า แต่รู้หรือไม่ว่าเทวดานางฟ้าอยากเกิดมาเป็นมนุษย์
เพราะว่าถ้าไม่ได้เป็นมนุษย์ก็ไม่ได้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ แต่ถ้าสร้างบุญมาน้อย ได้เป็นนางฟ้านางสวรรค์ไม่กี่ปี เดี๋ยวก็ต้องตกมาใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จะทำอย่างไรให้พ้น นอกจากรู้มีสติแล้ว อีกอันหนึ่งก็คือ จงรู้จักแปรบุญให้เป็นกุศล อาจารย์จะเล่าให้ฟัง มีศิษย์คนหนึ่งทำบุญแล้ว “สาธุ ขอให้ชาติหน้าเกิดมาสบายไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ มีคนอาบน้ำให้ สาธุ” ศิษย์รู้ไหมเกิดมาเป็นอะไร เป็นหมา วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวเขาพาไปอาบน้ำ เดี๋ยวเขาพาไปแปลงขนแต่งขน เดี๋ยวเขาพาไปนอนที่นอน สบายไหม ก็ศิษย์คิดแค่นี้ก็ได้เท่านี้แหละ เวลาทำบุญ เห็นขอกันมากเหลือเกิน อาจารย์บอกไว้ก่อนนะคิดให้ดีๆ นะ เป็นหมาก็สบายไม่ต้องทำอะไร มีกินมีใช้จริงๆ ใช่ไหม ฉะนั้นอันนั้นเป็นบุญ ถ้าทำแล้วหวังก่อเกิดเป็นตัวตนก็เป็นแค่บุญ แต่ถ้าทำบุญแล้วหมดการยึดมั่นถือมั่นตัวตน หมดกิเลส แผ้วถางกิเลสให้หมดสิ้น ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ อันนั้นแหละจากบุญจะเป็นกุศล และถ้ากุศลทำได้ จะสามารถลบล้างกิเลส โลภ โกรธ หลงให้หมดสิ้นได้ แล้วกุศลนั่นแหละที่จะหนุนนำให้ศิษย์กลับมาเจออาจารย์ ไม่เอาบนโลกนี้นะ แต่เจอกันบนแดนนิพพาน ดีไหม (ดี)  อย่าทำแค่บุญแล้วยึดมั่นถือมั่น แต่จงไปให้ถึงกุศลที่ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ดีหรือไม่  (ดี)  อย่าหลงเดินผิดทางนะ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความคิด  เป็นความรู้แจ้งเห็นจริง นั่นเรียกว่าพระนิพพาน แค่ชั่วขณะที่เราโดนกระทบ เราจะคิดอย่างไร หรือเราจะแค่รู้แล้วคลายความยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่รู้แล้วยึด เห็นแล้วไม่วาง มันก็เวียนไม่จบสิ้น ฉะนั้นอย่าทำบาปเลยนะศิษย์ ไหนใครยังกินเหล้ายกมือขึ้น ใครยังสูบบุหรี่ยกมือขึ้น
ศิษย์เอยถ้าภพภูมิมนุษย์ยังตัดไม่ได้ ความยึดติดของศิษย์จะทำให้เราต้องตกนรก ถ้าศิษย์ไม่เลิกตรงนี้จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเวียนว่าย ถึงเวลาตกนรกอย่ามาเรียกอาจารย์นะ เพราะอาจารย์บอกแล้วว่าคนที่ต้องรับกรรมก็คือตัวเราเอง ไม่มีใครหนีชะตากรรมตนเองพ้น โลกใบนี้เป็นโลกของเหตุปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัย ใครทำอะไรได้อย่างนั้น ฉะนั้นถ้าฟังธรรมวันนี้แล้ว กลับไปแม้จะโดนรถชน กลับไปแม้จะโดนสามีต่อว่า ภรรยาบ่น ก็ดีแล้ว เพราะเราเกิดมาเพื่อจบ ยินดีที่ได้ชดใช้ ยินดีที่ได้จบกรรมกัน เราจะไม่จองเวรจองกรรมกันอีก ฉะนั้นจงรู้ตื่นให้ได้และคิดให้ทัน อาจารย์ไม่อยากใช้คำว่า “คิด” เพราะความคิดยังไม่พ้นทุกข์ ต้องเป็นความรู้ เพราะถ้ายังต้องคิดแปลว่ายังไม่กระจ่าง แต่ถ้ารู้แล้ว กระจ่างแล้วกระจ่างเลย จริงๆ แล้วอาจารย์อยากใช้คำว่า “ปุ๊บ” แล้วถึงเลย ถ้าศิษย์แค่หยั่ง ฟังอาจารย์แล้วนิ่งแล้วหยั่งให้ถึงจะเป็นนิพพานชั่วขณะ จะรู้ว่าชีวิตเป็นเช่นนี้เอง ชีวิตไม่ได้ยากเลย แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่ามีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาร้องเพลง)
เอาแอปเปิลไหม เพิ่มทุกข์อีกอันหนึ่งเอาไหม ใครร้องเพราะกว่ากัน (ทั้งคู่)  เห็นไหม แต่เขาก็ร้องเพราะนะ เพราะไหม การร้องเพลงทำให้คนมีความสุข  บางครั้งไม่ต้องอายหรอกจริงไหม (จริง)
ศิษย์ว่าระหว่างให้อามิสเป็นทาน กับให้ธรรมะเป็นทานอะไรประเสริฐกว่ากัน (ทั้งสองอย่าง)  เข้าใจตอบนะ ได้แล้วจงให้ต่อ เข้าใจหรือไม่  มีใครอยากตอบอาจารย์ไหม เมื่อเราเข้าใจธรรมได้ระดับหนึ่งแล้ว  สิ่งที่ศิษย์อยากพยายามละให้ได้มากที่สุดคืออะไร ที่มีแล้วทำให้เราห่างไกลความเข้าใจในธรรม  และกลับยิ่งทำให้เราหลงผิดคิดร้าย  อะไรที่เราควรละ (กิเลส) กิเลสตัวไหน (ความชอบ)  ชอบมาก ๆ กลายเป็นโลภนะ  (ใจ) รู้ให้เท่าทันใจนะ  (รัก โลภ โกรธ หลง) ละทีละตัว ละความโกรธก่อนนะ (ความโกรธ)  พยายามอย่าได้มี (ความโลภ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนพระโอวาท “ตัดบ่วงอัตตา หรือ ติดบ่วงอัตตา”)
พระโอวาทซ้อนอาจารย์ให้สองแบบ คือ ตัดบ่วงอัตตา หรือ ติดบ่วงอัตตา ก็ได้ จะตัดหรือจะติดขึ้นอยู่กับศิษย์ ถ้าอาจารย์ให้คำว่า ติด ศิษย์ก็จะติดอยู่อย่างนั้น ถ้าศิษย์ทำได้อาจารย์อยากให้เป็นตัด ขอให้ศิษย์ทำให้ได้ เมื่อถึงเวลาจะติดบ่วงอัตตา หรือจะ ตัดบ่วงอัตตา (ตัดบ่วงอัตตา) ขอให้ศิษย์ถึงเวลาตัดบ่วงอัตตาให้ได้นะ ละให้ได้นะ อย่าไปหลงมันเลย และอย่าไปยึดจนสร้างเหตุปัจจัยให้เราต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้นเลยนะศิษย์ ทุกสิ่งมีความเกิดขึ้นและทุกสิ่งก็มีการดับเป็นธรรมดา อนิจจังทำให้ทุกข์เกิดแต่อนิจจังก็ทำให้ทุกข์ดับ อนิจจังทำให้เรารู้จักตัวตนแต่อนิจจังก็ทำให้เราต้องดับตัวตน ฉะนั้นจงเกิดเพื่อดับไม่ใช่เกิดเพื่อเกิด ถ้ามีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ร่วมฟัง)
ศิษย์เจออาจารย์บ่อยไหม (บ่อย)  บ่อยได้ถ้าศิษย์มีเวลามา และไม่บ่อยได้ถ้าศิษย์ไม่มีเวลามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเรียนรู้ธรรมทำให้ก่อเกิดปัญญา ปัญญานี้แหละที่จะนำพาให้เราเข้าถึงธรรม และนำพาให้เราเรียนรู้และเข้าถึงทุกข์เพื่อพ้นทุกข์ ถูกหรือไม่ เราอยู่ในโลกมันง่ายที่จะหลงไปตามกระแส ง่ายที่จะยึดติด ง่ายที่จะหวั่นไหว ง่ายที่จะมีกิเลส ง่ายที่จะผูกพัน แต่การจะทำให้ได้เรารู้จักเข้าใจ ปลดปลง และปล่อยวาง อย่าแค่ฟัง แต่จงรู้ให้แจ่มแจ้ง อย่าแค่ฟังแต่จงนำไปปฏิบัติเพื่อเข้าถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์มาให้กำลังใจในการบำเพ็ญธรรม สังขารไม่ได้มีไว้เพื่อยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์ แต่สังขารมีไว้เพื่อให้เราแค่อาศัยแล้วสร้างบุญกุศลให้เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราทำเพื่อก่อเกิดบุญกุศลอันดีงาม ต้องเข้มแข็งได้แล้ว ไม่อ่อนแอแล้ว ต้องให้อาจารย์หายห่วงได้แล้ว ใช่หรือไม่ ต้องเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้คนได้แล้ว ต้องเป็นแรงผลักดันช่วยคนได้แล้วเด็กดื้อของอาจารย์ ใช่ไหม ต้องรู้จักช่วยคนได้แล้ว ใช่หรือไม่ อาจารย์เมตตาและยินดีกับศิษย์ แต่ขอให้ศิษย์อย่ายอมแพ้สังขารอันไม่เที่ยงนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้มแข็งหรือยัง (เข้มแข็งแล้วครับ)  หนักแน่นแล้วใช่ไหม  จริงๆ ทุกอย่างมันเกิดและดับอยู่ในตัวของมันเองนะศิษย์ แต่เป็นเพราะความห่วงความผูกพัน มันเลยไม่จบนะ ใช่หรือไม่ มองให้ดีๆ นะศิษย์เอย เราจะได้ไม่เกิดมาแล้วต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกนะศิษย์
ร้องเพลงอาจารย์ได้บ้างไหม สังขารมีไว้เพื่อปลดปลงและสร้างบุญกุศลอันดีงาม ไม่เอาแต่ยืนเฉยๆ มองดูคนอื่นสร้างกุศล ลงแรงได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์แก่ขนาดไหน เจ็บขนาดไหน อาจารย์ก็ยังปรกโปรดเวไนย ฉะนั้นศิษย์คิดให้ดีๆ นะ เราจะเกิดมาเพื่อทุกข์หรือเกิดมาเพื่อพ้นทุกข์ เราจะเกิดมาเพื่อหลงหรือว่าตื่นให้พ้นจากความหลง ฉะนั้นจงมองหรือเรียนรู้ด้วยหลักธรรม ปฏิบัติอะไรจงมองแต่หลักธรรม อย่ามองอย่างคนที่มีอารมณ์ มีกิเลส มองอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น ชีวิตเป็นเหมือนเนื้อนาบุญ ปลูกแตงได้แตง ปลูกธรรมได้ธรรม ปลูกความเป็นตัวตนก็ได้แค่ตัวตน จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่าให้เนื้อนาบุญอันนี้ เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นในกองทุกข์กองกิเลส จงเข้มแข็งนำพาผู้คนด้วยใจที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวและเมตตา ไปให้ถึงฝั่ง อย่าให้อาจารย์รอเก้อ
อย่าให้กรงขังนี้ทำร้ายตัวเรานะศิษย์เอย ตั้งใจบำเพ็ญนะ เข้าใจไหม สำคัญที่จิตเราต้องเข้มแข็ง อะไรจะเกิดก็ช่างมัน เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วง ดูแลตัวเองกันดีๆ นะศิษย์เอย อย่าสร้างบาป  รู้จักมีศีลมีธรรม  มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก มาร่วมบุญร่วมงานกุศลกันอีกนะศิษย์เอย เข้าใจไหมรู้เรื่องหรือเปล่า มาช่วยงานอาจารย์นำพาเวไนยและนำพาตนเองให้พ้นทุกข์นะ
ตั้งใจบำเพ็ญนะ ทำให้ได้นะศิษย์เอย อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ ศิษย์เอ๋ยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต จงตั้งมั่นในความถูกต้องและดีงาม ไม่ว่าชีวิตจะเป็นขนาดไหน จงรักษาความถูกต้องดีงามไว้ อย่าปล่อยให้ชะตากรรมมันพลัดพรากให้เราไปแล้วไปเลยนะศิษย์ อย่าปล่อยให้ชะตากรรมทำให้ศิษย์ทุกข์แล้วไม่มีวันพ้นทุกข์นะ จำคำอาจารย์ให้ดีนะ มันเริ่มที่ใจก็จบได้ที่ใจ อย่าผูกเวรผูกกรรม อย่าปล่อยให้เวรกรรมมันมาชักให้ศิษย์กับอาจารย์จากกันแล้วไม่มีวันเจอกันอีกเลยนะ กลับมานะ เข้มแข็ง มีโอกาสลองเข้ามาศึกษาดูนะศิษย์ เรียนรู้เพื่อเข้าถึงธรรมในตัวตนนะ ไม่ใช่ธรรมในอาจารย์ แต่เรียนรู้เพื่อเข้าถึงธรรมในตัวศิษย์เองที่หลงลืมไป ศรัทธาในธรรมที่มีอยู่ในตัวตน ไม่จำเป็นต้องศรัทธาอาจารย์ก็ได้ ใช่หรือไม่
ทางฟ้ามีให้เลือกเดินอย่าลงนรกเลยนะศิษย์ หนทางที่ถูกต้องดีงามมีให้เดินอย่าคิดผิดคิดชั่วเลยนะ กำหนดชะตาชีวิตด้วยตัวเอง ตื่นรู้และนำพาตัวเองให้ถูกต้อง  ศิษย์อย่าคิดว่าตายแล้วมันจบกัน นรกมันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรนะ ต่อให้ศิษย์มีร้อยร่างศิษย์ก็ทรมานและรับมันไม่ไหว ถ้าศิษย์เห็นถึงจะรู้ ไม่อยากให้ศิษย์เป็นอย่างนั้น ไปละนะ

แก้ไขกลอนพระโอวาท ในชั้นประชุมธรรม ณ สถานธรรมเต๋อฮว่า เมื่อวันที่ ๑๓-๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๘ แก้ไขพระโอวาทศิษย์พี่นาจา หน้า ๒ จาก “ท้องฟ้ากว้างใหญ่คนกว้างไหมหนอ โลกกว้างพอแต่ใจคนยืนไม่ไหว รักสบายหลงเคยชินติดตามใจ โลกกว้างไม่เท่าใจรับไม่ไหวเอง” เป็น “ท้องฟ้ากว้างใหญ่คนกว้างไหมหนอ โลกกว้างพอแต่ใจคนยืนไม่ไหว รักสบายหลงเคยชินติดตามใจ โลกกว้างใหญ่แต่ใจรับไม่ไหวเอง” แก้ไขกลอนนำพระโอวาทพระอาจารย์จี้กง หน้า ๒๐ จาก “ผ่านมาเพื่อผ่านพบ ผ่านมาเพื่อจบแค่นั้น ผ่านมาเพื่อขออะไรกัน ผ่านมาเพื่อฝันจนตาย” เป็น “ผ่านมาเพื่อผ่านมาพบ ผ่านมาเพื่อจบแค่นั้น ผ่านมาเพื่อขออะไรกัน ผ่านมาเพื่อฝันจนตาย” แก้ไขบทกลอนพระโอวาทซ้อนพระโอวาท จาก “ถึงต่างแต่มีหนึ่งแท้ในสัจธรรม ต่างเป็นไปตามบุญบาปกรรมนำหนุน ช้าเร็วต่างปัญญาบ่มเพาะธรรมคุณ จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยหนุนกุศลกรรม” “ตราบไม่สิ้นทุกข์จงเพียรละความไม่ประมาท” เป็น “ถึงต่างแต่มีหนึ่งแท้ในสัจธรรม ต่างเป็นไปตามบุญบาปกรรมนำหนุน ช้าเร็วต่างปัญญาบ่มเพาะธรรมคุณ จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยหนุนกุศลกรรม” “ตราบไม่สิ้นทุกข์จงเพียรในความไม่ประมาท”

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

2558-06-13 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา


西元二一五年歲次乙未四月二十八日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

ท้องฟ้ากว้างใจคนกว้างไหมหนอ โลกกว้างพอแต่คนยืนไม่ไหว
รักสบายหลงเคยชินติดตามใจ โลกกว้างใหญ่แต่ใจรับไม่ไหวเอง
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกแฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับศิษย์พี่ไหม

ต่างคนต่างนิสัยการบ่มเพาะ อารมณ์เย็นสุขุมเหมาะได้ฝึกฝน
ใช้คุณธรรมมานำชีวิตตน ธรรมสู่ธรรมนำชนพ้นอบาย
คนล้างคนกลียุคทุกชีวิน คุณธรรมคุณงามสิ้นอวิชชาใหญ่
ทว่ามีข่าวดีในข่าวร้าย ต่างปัญญาบ่มเพาะไปปฏิบัติธรรม
โลกไม่เที่ยงชีวิตเปลี่ยนไม่สิ้น นำหนุนช้าเร็วผินสติค้ำ
อยากล่วงพ้นทุกข์สุขไม่ระกำ แจ้งทุกข์กรรมภายในความระไว
จะเนื่องกรรมด้วยตราบไร้สัจจะ ธรรมใดบาปเพียรละประมาทไม่
บำเพ็ญจิตกุศลหนุนอยู่ภายใน ต่างมีบุญตามระไวกิเลสอารมณ์
ในความต่างแต่อาจสามัคคีได้ แท้เท็จใดไปเป็นส่วนผสม
ฟ้าดินถึงมีต่างก็เกลียวกลม หนึ่งเดียวกันเป็นสังคมสร้างไมตรี
ฮิฮิหยุด
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
เรามาขัดจังหวะทุกท่านหรือเปล่า (ไม่ขัด)  ฟังธรรมะเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  ถ้าไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ ไม่เมื่อย อย่างนั้นเรากลับไปฟังต่อนะ เรากลับเลยดีไหม (ไม่ดี)  เราก็เลยมาเปลี่ยนบรรยากาศ ดีไหม (ดี)  พึ่งเคยเห็นหน้าคนไม่เบื่อ ไม่เมื่อย ไม่เหนื่อย เป็นแบบนี้เอง ได้แค่นี้ใช่ไหม (ใช่)   
ท้องฟ้ากว้างใจคนกว้างไหมหนอ โลกกว้างพอแต่ใจคนยืนไม่ไหว
รักสบายหลงเคยชินติดตามใจ            โลกกว้างใหญ่แต่ใจรับไม่ไหวเอง
เป็นไหม ที่ก็มีตั้งเยอะแยะแต่บางทีให้จำใจอยู่ในสิ่งที่มันฝืนใจ ขามันสั่น ใจมันไม่ไหวแล้ว มีที่ยืนก็เหมือนยืนไม่ได้ แต่ถ้าใจมันไม่เอา ยืนตรงไหนมันก็ยืนไม่ได้ ใช่ไหม แล้วตอนนี้ใจเรากว้างพอไหม ถ้ากว้างพออะไรก็ต้องรับได้สิ ใช่ไหม แต่ทำไมล่ะ เพราะว่ามนุษย์บางทีใจกว้างๆ มันกลายเป็นคนใจแคบก็เพราะว่าติดนิสัย ติดความเคยชิน ติดอะไรชอบทำตามใจ พอวันนี้โดนขัดนิสัย โดนขัดใจ ยืนก็เลยไม่อยากจะยืน นั่งก็ไม่อยากจะนั่ง จริงไหม
คนบางคนบอกไปไหนก็เจอแต่ทุกข์ ไม่อยากไปไหนแล้ว ตายดีกว่าใช่ไหม (ไม่ใช่)  คนโน้นก็อย่างนั้น คนนั้นก็อย่างนี้ไม่รู้จะไปยืนตรงไหนระหว่างสองคน มีแต่คนอย่างนั้นมีแต่คนอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเขาเป็นปัญหาหรือเราเป็นปัญหา (เราเป็นปัญหา)  เพราะเราใจไม่กว้างพอรับความเป็นจริงของคนในโลก เราจึงรับไม่ได้ในความเป็นจริงของชีวิต ใช่หรือไม่ วันนี้อยากใจกว้างเหมือนฟ้าไหม (อยาก)  อยากเป็นคนใจหนักแน่นเหมือนแผ่นดินไหม (อยาก)  ถ้าอยากใจกว้างเหมือนฟ้าได้ สำคัญต้องตัดนิสัย ตัดความเคยชิน ตัดการตามใจ แล้วเราจะเป็นคนใจกว้างที่สุด จริงไหม (จริง)  แต่เพราะมีนิสัย มีอารมณ์ มีความเคยชิน เราเลยกลายเป็นคนอันโน้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่เอา อันโน้นก็ไม่ชอบ ไม่เอาๆๆๆ เราเลยเหมือนคนที่ไปยืนตรงไหนมันก็ไม่มีความสุข เพราะใจของเราเป็นปัญหา แต่ถ้าอะไรเราก็สู้ อะไรเราก็ไหว อะไรเราก็ใจเย็น อยู่ที่ไหนลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  อยู่ที่ไหนต้องอดทนไหม (ไม่ต้องอดทน) ต้องใช้อดทนไหม (ไม่ต้อง)  
ฉะนั้นอยากใจกว้างเหมือนฟ้า สิ่งสำคัญต้องยอมตัดนิสัยความเคยชิน และการตามใจตัวเองบ้าง ถ้าไม่ตัดเลย ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก ไปอยู่ที่ไหนก็ไปว่าคนอื่นเขาใจแคบ คนอื่นใจแคบหรือเราใจไม่กว้างพอจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากอยู่ตรงนี้แล้วมีความสุข ตัดการตามใจ ตัดอารมณ์นิสัย หรือวางมันลงบ้างดีไหม (ดี)  แล้วจะได้เป็นคนที่ใจกว้าง อะไรผ่านมาก็รับได้ อะไรเกิดขึ้นก็สู้ไหว ใช่ไหม (ใช่)
โลกกลมๆ ใบนี้มีเรื่องราวต่างๆ มากมาย แล้วเราจะทำอย่างไรที่เราจะเรียนรู้และรับไหวได้ วันนี้มาฟังธรรมเพื่อสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งทุกข์ใจ ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไหนใครยกมือแล้วก็กล้าพูดตามความจริง ไม่โกหกว่ามานั่งแล้วไม่รู้สึกทุกข์ใจ ไม่ตัดพ้อ ไม่บ่นเลย ไม่แอบบ่นสักนิด สักหนึ่งคำก็ไม่หลุดออกมาจากปากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาคุยกันแล้วมารู้จักกันหน่อยได้ไหม หรือจะคุยกันก่อนแล้วค่อยมารู้จักกัน (มารู้จักกันก่อน)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม นักเรียนในชั้นกล่าวต้อนรับและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)
ยินดีต้อนรับศิษย์พี่ไหม (ยินดี)  รู้จักกันแล้ว มาปรับความคิดให้ตรงกันก่อน โดยส่วนใหญ่ คนมาฟังธรรมเพื่อพ้นทุกข์ เพื่อหลุดพ้น ยากไหม (ยาก)  บางคนบอกว่ามันยาก แค่จะให้ฟังแล้วให้พ้นทุกข์เลย แล้วยังไม่ทันจะพ้นทุกข์ต้องไปช่วยคนต่ออีก  ยิ่งยากใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)   โดยส่วนใหญ่ แต่ละคนจะมีนิสัย มีความเคยชินใช่ไหม แล้วอย่างนี้จะไปบำเพ็ญอะไรได้ นิสัยก็ยังไม่ค่อยดี ธรรมะก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เป็นคนดีก็สามวันดีสี่วันไข้ ใช่ไหม ฟังธรรมไปก็แค่นั้นเดียวก็กลับมาเหมือนเดิม ถูกไหม (ถูก)
อย่างนั้นศิษย์พี่ปรับให้ง่ายหน่อย วันนี้มาฟังธรรมไม่ใช่ต้องให้พ้นทุกข์เข้านิพพานเลย แต่มาฟังธรรมเพื่อเรียนรู้เข้าใจความทุกข์ ที่เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตให้เป็น เข้าใจความทุกข์แล้วอยู่กับความทุกข์ให้ได้ ยากไหม (ยาก)  ยากหรือ (ไม่ยาก)  ยังไม่ต้องพ้นก็ได้เอาแค่ว่ารู้จักทุกข์ก่อน แล้วจึงเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ให้เป็นแล้วก็รับมือให้ไหว ยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างน้อยวันนี้มาฟังธรรมให้รู้ว่าทุกข์คืออะไรก่อน เมื่อรู้ว่าทุกข์คืออะไรแล้วก็รับทุกข์ให้ได้ แล้วจึงอยู่กับทุกข์ให้ไหว ง่ายไหม (ง่าย)  แต่ศิษย์น้องหลายคนก็อาจจะบอกศิษย์พี่ว่าศิษย์น้องยังดีไม่พอหรอก จะพ้นทุกข์เป็นเรื่องยาก ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อย ถ้าศิษย์น้องบอกว่าศิษย์น้องยังไม่ดีพอ ใครเลวร้ายเท่าองคุลิมาลบ้าง (ไม่มี)  มีไหมชั้นนี้ (ไม่มี)  ค่อยยังชั่ว แล้วองคุลิมาลฆ่าคนมาเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ท่านยังสำเร็จได้ใช่ไหม
แล้วศิษย์น้องเลว ศิษย์น้องร้ายเท่าท่านไหม อย่างนั้นกลัวอะไรกับการเข้าถึงธรรมะล่ะ ใช่ไหม แต่ศิษย์น้องก็ยังบอกว่า ศิษย์พี่มันยากนะ อยู่ในโลกนะ คนมันสุดๆ เลย คนมันชั่วจริงๆ คนมันเลวจริงๆ จะให้ไปเป็นคนดีช่วยคนน่ะ ก็คนมันเลวนะช่วยไม่ได้หรอก ศิษย์พี่ถามหน่อย พระพุทธองค์อยู่กับพระเทวทัต แล้วพระเทวทัตคือคนที่อยากฆ่าพระพุทธองค์ใช่ไหม (ใช่)  แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าเขาอยากจะฆ่าท่าน (รู้)  แล้วทำไมท่านถึงยอมให้เขาบวชเป็นพระ แล้วทำไมถึงยอมให้เขาอยู่ใน (พระพุทธศาสนา)  เพราะอะไร เพราะฉะนั้นศิษย์น้องอย่ามาอ้างกับศิษย์พี่ว่าดีไม่ได้หรอก ทำดียาก อย่างนั้นลองดูสิ พระพุทธองค์อยู่กับพระเทวทัตทั้งที่รู้ว่าเขาจะฆ่าพระพุทธองค์ ทำไมพระพุทธองค์ถึงให้อยู่ ให้บวชเป็นพระ แล้วทำไมพระพุทธองค์ถึงสามารถผ่านสิ่งนั้นไปได้ ศิษย์น้องก็จะบอกว่านั่นพระพุทธองค์ แต่นี่มันปุถุชน ใช่ไหม (ใช่)  ที่ศิษย์พี่ยกตัวอย่างให้ดูก็คือพระพุทธองค์เจอสิ่งที่ยากเกิน แต่พระองค์ยังผ่านได้ แต่ศิษย์น้องยังไม่เจอยากขนาดนั้น ศิษย์น้องยังไม่เอา พอบอกให้มาฟังธรรม ไม่เอา พอบอกให้มานั่งลำบากหน่อย ไม่เอา
ทำไมศิษย์พี่บอกอย่างนี้ เพราะศิษย์พี่อยากให้รู้ว่าแม้แต่องคุลิมาล หรือแม้แต่คนที่เลวร้ายอย่างพระเทวทัต พระพุทธะก็ยังพยายามที่จะปรกโปรด ฉะนั้นแม้แต่ศิษย์น้องตัวดำๆ จะดีขนาดไหน จะเลวถึงขนาดไหน พระพุทธะก็ต้องช่วย เพราะคิดว่าการเข้าถึงธรรม แม้สักนิดหนึ่ง หรือแม้เมล็ดพันธุ์สักนิดหนึ่ง เผื่อจะเป็นหน่อเนื้อที่ทำให้ศิษย์น้องวันใดวันหนึ่งรู้ตื่นและนำพาธรรมนั้นมาทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ เพราะพระเทวทัต พระพุทธเจ้าหยั่งเห็นว่าแม้จะเป็นคนที่ร้ายที่สุด แต่เมื่อท่านรับกรรมจนถึงที่สุด บุญของการมาบวชจะทำให้ท่านได้มาเกิดเป็นคน แล้วสำเร็จเป็นปัจเจกพุทธเจ้า เหมือนกันฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น เมื่อไหร่ที่ศิษย์น้องรู้จักปลูกความดีงามในจิตใจให้มันฟื้นและตื่นขึ้นมาเป็นพุทธะแท้จริง นั่งไหม (นั่ง)
บางทีที่เราใจแคบเป็นเพราะอะไร เพราะยอมไม่ได้ วางไม่ลง หรือเห็นแก่ตัวจนเกินไป หรือเข้าข้างตัวเองจนหน้ามืดตาบอด ฉะนั้นถ้าอยากใจกว้างไม่ยากหรอก วางอารมณ์ วางความเคยชิน วางการตามใจได้หรือเปล่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาเราเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เราสร้างบุญกับเขา ช่วยเหลือเขา ทำดีกับเขา ถูกไหม (ถูก)  แล้วเวลาศิษย์น้องทุกข์ทำอย่างไร (ให้ศิษย์พี่ช่วย)  ให้ศิษย์พี่ช่วยหรือ ถ้าหากว่าช่วยศิษย์น้องได้เปราะหนึ่ง แล้วศิษย์น้องต้องกลับมาเกาะศิษย์พี่อีกครั้งหนึ่ง แล้วศิษย์พี่ก็ต้องไปช่วยศิษย์น้องใหม่อีกเปราะหนึ่ง ศิษย์น้องก็เกาะศิษย์พี่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง เลี้ยงลูกแบบไม่ให้พึ่งลำแข้งตัวเอง เขาเรียกกันว่าพ่อแม่รังแกฉัน หรือเปล่า ถ้าเช่นนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือ
ศิษย์พี่ถามคนที่ใจเป็นกลาง ถ้าหากเป็นเช่นเมื่อสักครู่นี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ควรให้เขายืนด้วยลำแข้งตนเอง หรือมายืนด้วยลำแข้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง)  แล้วเวลาเจอหน้าสิ่งศักดิ์สิทธ์ขอๆๆ แม่นๆๆ อย่างนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกไหม ถ้าหากขอได้แล้ว ต่อไปหากต้องการความช่วยเหลือ ช่วยเหลือแล้วได้หนึ่งเปราะ แล้วอยากมาเอาอีกไหม (อยากมาเอาอีก)  ขอให้แข็งแรง พอแข็งแรงแล้ว ป่วยกลับมาอีก แล้วก็ขอใหม่ ขอให้แข็งแรง แล้วเมื่อไรจะยืนได้ด้วยตัวเอง ถูกไหม ขอให้ลูกสอบเข้าได้ แล้วพอลูกสอบเข้าได้ ทำอย่างไรต่อ ก็ขอให้ลูกได้มีงานทำ มีพ่อแม่ที่ไหนให้ลูกโตแล้วต้องมาเกาะพ่อแม่ต่อ  มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน  ให้คนแล้ววอนขอไม่จบ  ไม่สิ้น จริงไหม ไม่ใช่พุทธะสอนหรือ ที่ให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ท่องไปทำไม พอถึงเวลา ตนขอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถูกไหม (ไม่ถูก)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ถ้าหากว่าท่านจะช่วย ท่านต้องช่วยให้เขายืนได้ด้วยตัวเอง และยอมรับความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหากวันนี้ศิษย์น้องมาฟังธรรมะ ศิษย์น้องต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างหนึ่งคือ ธรรมไม่ได้สอนให้คนหลง แต่คนมักจะหลงกับการปฏิบัติธรรม ธรรมไม่ได้สอนให้คนยึด แต่คนนั้นมักจะยึดจนปล่อยไม่ลง วางไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ธรรมไม่ได้สอนให้คนรักสุข แต่เกลียดทุกข์ รักดีเกลียดคนไม่ดี แต่ธรรมสอนให้เรามองเห็นความเป็นจริง และยอมรับทุกสิ่งว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แต่มนุษย์เป็นอย่างไร รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคนดีเกลียดคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามหน่อยนะตัวเองดีแล้วยัง เกลียดเขาแต่ทำไมไม่เกลียดตัวเองบ้าง ด่าเขาทำไมไม่ด่าตัวเองบ้าง แช่งชักหักกระดูกว่าเขา ทำไมไม่แช่งชักตัวเองบ้าง เวลาเขาทำไม่ดีหน่อยเป็นอย่างไร ตัวเองเวลาไม่ดีด่าไหม (ไม่ด่า)  อภัย ถูกไหม (ถูก)  ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  แต่เราเป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ธรรมไม่ได้ลวงให้คนหลง แต่คนมักจะหลงกับการปฏิบัติธรรม ธรรมไม่สอนให้คนมายึด แต่ธรรมสอนบอกว่าใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยง อย่าไปยึดถือถูกไหม (ถูก)  และธรรมไม่ได้สอนว่าให้รักดีแต่เกลียดชั่ว รักสุขเกลียดทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราปฏิบัติผิดทางทั้งหมดเลย เกลียดทุกข์ชอบสุข เกลียดคนเลวรักคนดี
เวลาคนอื่นเจอทุกข์ เรารู้วิธีช่วยใช่ไหม แต่เวลาตัวเองทุกข์ เรากลับช่วยตัวเองไม่รอด อย่างนั้นเราจะทำอย่างไร ท่านตอบว่าตัดความอยากของตัวเอง แต่ว่าความอยากของศิษย์น้องทำให้ศิษย์น้องทุกข์ใช่ไหม อย่างแรกคือตัดความอยากตัดกิเลส ต้นเหตุอะไรก็แก้ที่ต้นเหตุนั้นถูกไหม (ถูก)  ทำไมเวลาทุกข์ถึงไปทำบุญแต่ไม่เห็นตัดกิเลสเลย เวลาคนอื่นทุกข์เรารู้จักสร้างบุญ สงเคราะห์ ให้ทาน แต่เวลาถึงตัวเองทุกข์ขึ้นมาทำไมเราไม่สร้างบุญกับตัวเองล่ะ เคยได้ยินคำพูดนี้หรือไม่ สร้างบุญให้กับตัวเอง วิธีทำง่ายๆ ที่มนุษย์มักจะพูดกันก็คือ ละบาป บำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์เอาแต่เลือกทำบุญแต่ไม่เคยละบาป ถูกหรือไม่
ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องเจอความทุกข์กับตัวเอง จำไว้นะ วิธีแก้ก็คือละบาป เพราะบาปเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์และความเศร้าหมองในจิตใจ และบาปตัวนั้นก็คือกิเลส ความโลภ ความเห็นแก่ตน ความปล่อยไม่ได้ แพ้ไม่เป็น เสียไม่ได้ ใช่ไหม ก็เลยทำให้เราเป็นทุกข์ถูกไหม แต่ถ้าเรายอมรับความจริง แพ้เป็น เสียได้ วางลง จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่บางทีถึงเวลารู้ก็ยังทำไม่ทันสักที ใช่หรือไม่ (ทุกอย่างที่ศิษย์พี่เมตตามาจะต้องฝืนทำทุกอย่างเลยหรือ)  ไม่ใช่ฝืนศิษย์น้อง แค่เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เป็นโดยที่ไม่ตกเป็นทาสของมัน เข้าใจไหม ศิษย์พี่ถามง่ายๆ เวลาความอยากมา ศิษย์น้องเดินตามความอยากหรือมีสติแล้วคิดได้ เสื้อมันก็เต็มตู้แล้ว เงินมันก็พอมีแล้วนะ หยุดบ้างได้ไหม ไม่มีเลย พออยากมาก็วิ่ง พอโกรธมาก็ด่า พอเกลียดมาก็แช่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่ไม่ได้ให้ฝืน แต่ให้เรียกว่ามีสติก่อนจะไปตามอารมณ์ มีสติยั้งคิดก่อนที่จะตามกิเลสความเคยชิน ไม่ใช่ว่าไม่ให้ฝืน แต่ให้เรียนรู้ไปทีละขั้น เรียนรู้ที่จะอยู่
เหมือนกับเมื่อสักครู่ที่ศิษย์พี่บอกศิษย์น้อง ถ้าหากว่าใจเรากว้าง ใจเราไม่มีขอบเขต แบบนี้ชอบแบบนี้ชัง แล้วจะมีใครที่แย่ไหม (ไม่มี)  แต่ใจของมนุษย์นั้นมีกรอบ มีความยึดมั่น เธอจะดีเธอต้องพูดแบบนี้ เธอจะไม่ดีเพราะเธอพูดแบบนี้ แต่ถ้าหากว่าใจของเราไม่มีกรอบ ใจของเราไม่มีความชอบธรรม เขาจะมาแบบไหน เราจะบอกได้ไหมว่า แบบนี้แย่ แบบนี้ดี ไม่มีหรอกนะ แต่ใจของมนุษย์มีกรอบ มีความเคยชิน มีความชอบ มีความชัง ก็เลยบอกออกมาว่า แบบนี้คือชอบ แบบนี้ไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าเราปล่อยวางได้ ใครล่ะจะมีโลกแห่งความเกลียด คิดให้ดีๆ จริงไหม
ถ้าหากว่าใจของมนุษย์มักจะชอบมีแบบนี้ แบบนั้น พอใครไม่ตรงกับแบบที่ชอบก็ไม่ดี พอใครไม่ตรงกับแบบที่มีก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แก้ไขได้ไหม อยู่ที่เรียกว่าถ้าเข้าใจแล้วมันไม่มีใครที่น่าโกรธ ต้องเปิดที่ใจตนเอง ต้องถามที่ใจตนเองว่าใจเราเปิดกว้างไหม เหมือนเวลาเราเห็นเด็กร้องไห้ โดยส่วนใหญ่เรารำคาญไหม (รำคาญ)  แต่ทำไมเวลาเป็นลูกเรา เรารำคาญไหม (ไม่รำคาญ)  ถ้าเป็นลูกเรา เราไม่รำคาญ แต่ถ้าเป็นเด็กข้างบ้าน เมื่อไหร่จะเงียบสักที ถ้าเป็นลูกเรา โอ๋ๆๆ (เลี้ยงเห็นแก่ตัว)  ไม่ใช่เลี้ยงเห็นแก่ตัวหรอก แต่เพราะความรักทำให้เราลำเอียง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตาเราเอียงทุกสิ่งทุกอย่างมองมันก็ (เอียง)  ถ้าหูเราหนวกเวลาใครพูดดังๆ ยังไงก็ (ไม่ได้ยิน)  ในทางเดียวกันถ้าใจเรามันมืดบอดเวลามองอะไรมันก็มองได้ (ด้านเดียว)  ถ้าใจเรามีข้อจำกัดเวลามองอะไรมันก็จำกัด ถูกไหม (ถูก)  ถ้าใจเรากว้างเวลามองอะไรมันก็มองได้ (กว้าง)  จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์น้องใจบอดหรือใจกว้าง (กว้าง)  ถ้าเราใจกว้างไม่มีใครหรอกที่ยากเกินแก่ความเข้าใจ แต่เพราะใจของมนุษย์นั้นยังไม่กว้างพอ จริงไหม (จริง)  สมมติว่าศิษย์พี่มีดอกไม้เหม็น เหี่ยวๆ เฉาๆ อยู่ดอกหนึ่ง ให้ศิษย์น้อง เอาไหม มันใกล้จะเน่าแล้วเอาไหม (ไม่เอา)  ถ้าศิษย์พี่มีแอปเปิลอยู่ลูกหนึ่งมีหนอนชอนไชแล้วเอาไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นถ้าศิษย์พี่มีผ้าอยู่ผืนหนึ่ง ไปเช็ดสิ่งสกปรกมาแล้ว เอาไหม (ไม่เอา)  ถ้าศิษย์พี่บอกว่าแอบไปเช็ดอุจจาระ ปัสสาวะมา เอาไหม (ไม่เอา)  ถ้าติดโรคด้วยเอาไหม (ไม่เอา)  โดยส่วนใหญ่ไม่เอา ศิษย์พี่มีเรื่องเลวร้ายจะมาให้ศิษย์น้องเอาไป เอาไหม (ไม่เอา)  ดอกไม้เน่าๆ ผลไม้เน่าๆ ผ้าเน่าๆ เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วทำไมในใจของศิษย์น้องถึงเก็บแต่สิ่งเน่าๆ เหม็นๆ เรื่องเก่าชอบเอามาเล่าใหม่ เรื่องของไม่ดีของคนอื่นชอบเอามาพูดแล้วพูดอีก ถูกไหม (ถูก)  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่ถามว่าดอกไม้เน่าๆ เอาไหม (ไม่เอา)  แอปเปิลเน่าๆ เอาไหม (ไม่เอา)  ผ้าเน่าๆ เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเรื่องไม่ดีของคนอื่นเน่าๆ เก็บไว้ทำไมในใจ พอเก็บเสร็จแล้วก็มองเขาอย่างลำเอียง ฉะนั้นควรจะเก็บไว้ไหม (ไม่ควร)  เพราะเวลาเรารู้เรื่องเน่าๆ ของคนอื่นแล้วเราจะมองเขาดีขึ้นไหม (ไม่ดี)  ก็ไม่ดีขึ้นแล้วทำไมจึงเก็บไว้ เน่าไหม (เน่า)  เหม็นไหม (เหม็น)  เก็บไหม (เก็บ)  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอย่างไร ก็บางทีคนเป็นแบบนี้ใช่ไหม (ใช่)  
ศิษย์น้องเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม คนที่รู้จักมีสุขอยู่ที่ไหนก็ทำให้คนอื่นมีสุข คนที่มีแต่ทุกข์อยู่ที่ไหนก็ทำให้คนยากจะมีสุข ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นถ้าในจิตใจของศิษย์น้องเก็บแต่สิ่งเน่าๆ แล้วจะอยู่ที่ไหนกับใคร จะไม่ปล่อยความเน่าออกมาไหม ปล่อยไหม (ปล่อย)  มันก็ต้องปล่อย ฉะนั้นทำไมไม่ทำแบบนี้ ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม ถ้ามองเห็นใครมีดีมีค่า ทุกๆ คน ก็มีค่าควรแก่การมอง แต่ถ้ามองเห็นใครไร้ค่าไม่มีดี ทุกคนในโลกนี้ก็ไม่มีดีไม่มีค่าควรแก่การมองและอยู่ด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่ถามว่าแอปเปิลเน่าเอาไหม (ไม่เอา)  ดอกไม้เน่าเอาไหม (ไม่เอา)  คนเน่าๆ เอาไหม (ไม่เอา)  แต่ทำไมเราชอบเก็บไว้ในใจถูกไหม (ถูก)  คนที่มีสุขแม้สิ่งรอบข้างจะเป็นทุกข์ เขาก็แปรเปลี่ยนให้เป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)ฉะนั้นแปลว่าทุกข์ มาแล้วเรายังแปรให้เป็นศูนย์ แปรให้มันเป็นความดี ยังไม่เป็นใช่หรือไม่ มันก็เลยยังเน่าอยู่ในใจใช่ไหม แสดงว่าปัญหาทุกคนเกิดแล้วไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาเราอารมณ์ดี โดนด่าก็ยิ้มได้ แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีโดนด่ายิ้มออกไหม (ไม่ออก)  ขนาดชมก็ยังยิ้มไม่ออกเลยจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถึงมันจะเป็นของเน่าแต่ถ้าหากอยู่กับคนที่รู้จักพลิกใจเป็น  ควบคุมใจได้  ของเน่าก็จะกลายเป็นของมีประโยชน์    ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราจะปล่อยให้มันเน่าหรือทำให้มันเกิดประโยชน์ (เกิดประโยชน์)  จริงหรือ ด้วยการเอามานินทาใหม่ ด้วยการเอามาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)
ถ้าศิษย์น้องเป็นใจที่ไม่ยึดติด มันก็ไม่มีเลวร้าย มันก็ไม่มีดีชัง
 แต่เป็นเพราะเรายังอดยึดติดแบ่งแยกไม่ได้ ยังมีที่ชอบที่ชัง พอมีที่ชอบมีที่ชังเราก็เลยต้องรับมือต่อ ถูกไหม (ถูก)  ในแอปเปิลเดียวกัน ศิษย์พี่ให้เน่าๆ เอาไหม ไม่เอา แต่ถ้าศิษย์พี่ ให้เน่าพร้อมกับเอาดีไปด้วยเอาไหม (เอา)  ถ้าเรื่องดีๆ มันมีเรื่องร้ายๆ ด้วย เอาไหม (เอา)  ศิษย์พี่ถามต่อนะ ในหนึ่งร้อยมันมีดีแค่หนึ่งเดียวนอกนั้นร้ายหมด เอาไหม (เอา)  
อย่างนั้นถามใหม่นะ ถามว่าในแอปเปิลเน่าให้เอาไหม ไม่เอา แต่ในเน่าให้ดีแถมไปด้วยเอาไหม (เอา)  ฝ่ายชายบอกไม่เอา ฝ่ายหญิงเอาไหม (เอา)  ถามใหม่ไหนใครเอายกมือขึ้น เอามือลง ไหนใครไม่เอายกมือขึ้น ที่บอกไม่เอาแปลว่าอะไรมันไม่ดี ไม่อยากได้เลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นที่นิสัยไม่ดีทำไมยังเลิกไม่ได้สักที รู้ว่ากินเหล้าไม่ดีทำไมยังไม่เลิกกิน รู้ว่าเล่นอบายมุขมันไม่ดีทำไมยังไม่เลิกเล่นสักที เพราะอะไรมนุษย์เรามีสิทธิ์เลือกได้แต่เราไม่เคยเลือก ปล่อยตัวเองตามใจตลอด ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหากสามีในหนึ่งร้อยมีดีแค่หนึ่งก็ต้องรับให้ได้ ก็ในเมื่อบอกแล้วว่าแอปเปิลเน่า แอปเปิลดีรับได้ แล้วถ้าสามี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ทำงานเป็นคนขยันขันแข็ง แต่เสียอย่างเดียวมีกิ๊ก รับได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกันภรรยาดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียว มีชู้ ในทางกลับกันถ้าหากเป็นลูกล่ะ เสียไปเก้าสิบเก้าอย่าง แต่มีดีอย่างเดียวคือเป็นลูกของเรา รับได้ไหม (รับได้)  แล้วทำไมกับคนอื่นเสียแค่หนึ่งมีดีตั้งเยอะ แต่เรามัวแต่มองหนึ่งจนรับไม่ได้ เพราะเราลำเอียง เพราะใจเราแบ่งแยกไม่กว้างพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าหากมนุษย์เข้าถึงความเป็นจริง เราจะไม่เปรียบเทียบ เราจะไม่ยึดติดแล้วทำให้เราต้องทุกข์ใจ แต่จะมองตามความเป็นจริงว่าอะไรเกิด อันนั้นก็ดีแล้ว ถูกไหม จำไว้นะ มีดีตั้งเก้าสิบเก้าแต่เสียแค่หนึ่งรับไหวไหม ไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะเลือกมาแล้ว เพราะมันคือความจริง การทำงานก็เหมือนกัน ลูก ภรรยา เพื่อนร่วมงานก็เหมือนกัน อะไรก็ดีหมด แต่เสียอย่างเดียว ปากเสีย แล้วเราจะเกลียดเขาทำไม เกลียดแล้วได้อะไร แค่เราไม่ยึดติด แค่เราไม่เปรียบเทียบ ให้ยอมรับว่าในหนึ่งร้อยมีดีตั้งหนึ่งก็น่าดีใจแล้ว ดีกว่าในหนึ่งร้อยหาดีไม่ได้เลย ถูกหรือไม่
ฉะนั้นจำไว้นะ ถ้าใครคิดว่า แอปเปิลเน่า กับ แอปเปิลเสีย กล้ารับ ชีวิตถ้าเจอเข้มแข็งแล้วต้องเจ็บปวดก็ต้องรับได้ เจอทุกข์ก็ต้องเจอสุข เจอสุขก็ต้องมีทุกข์ เจอขมก็ต้องมีหวาน แล้วจะเกลียดเขาไปทำไม ได้แล้วมันก็ต้องเสีย สมหวังก็ต้องผิดหวัง ถูกไหม กล้ารับแอปเปิลลูกเน่า ลูกเสีย ก็ต้องกล้ารับความจริง เพราะธรรมะสอนให้เราไม่หลงกับการปฏิบัติ แต่ให้เรามองตามความเป็นจริง เมื่อเรามองตามเป็นจริง โลภ โกรธ หลง ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข จะทำอะไรใจของท่านได้ แล้วศิษย์น้องจะอยู่กับโลกใบนี้ที่จะพลิกซ้ายพลิกขวาก็เข้าใจ ก็เพราะเป็นความจริง แล้วศิษย์น้องก็จะไม่อยาก ไม่เกลียด ไม่โกรธ เพราะในสิ่งที่ดีมันมีสิ่งที่ร้าย ในสิ่งที่ร้ายมีสิ่งที่ดี แล้วอะไรคือสิ่งที่เราต้องรักปักใจ ต้องเกลียดต้องแช่งชักหักกระดูก คนที่ฉลาดแม้เน่าก็ทำให้ก่อเกิดในทางที่ดี เหมือนพระพุทธะสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ทำไมท่านจึงนำมาทำให้ท่านพ้นทุกข์แล้วเป็นพุทธะล่ะ สิ่งที่มนุษย์เฝ้ารังเกียจความทุกข์ ความล้มเหลว ความผิดหวัง มนุษย์เกลียดหมด แต่รู้ไหมว่าสิ่งเหล่านี้ที่มนุษย์เกลียด พระพุทธะกลับสามารถนำมาทำให้ท่านพ้นทุกข์ พ้นเวียนว่ายตายเกิด แล้วทำไมเราต้องไปกลัว กับสิ่งเน่าๆ ในโลก เหมือนดังคำว่าถ้าใจเราสำรวมดีแล้ว ใจเราปฏิบัติถูกต้องดีแล้ว ใจเราจริงแท้แน่แล้วอะไรจะทำให้เราเลวร้ายได้ ใช่ไหม กลัวแต่ใจเราไม่ดีจริงเท่านั้นเองใช่หรือเปล่า
อย่างนั้นแอปเปิลเน่าๆ  เอาไหม คนไม่ดีรับไหวไหม (รับไหว)  ใครด่าเรา โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ใครเอาเงินเราไปไม่คืน เกลียดไหม ก็อยากไปใจดีกับเขาเองไม่ใช่หรือ จริงหรือไม่ ถ้าไม่อยากผิดหวังก็อย่าไปให้ใครยืมเงิน ใช่หรือไม่ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดทุกข์ ก็อย่าไปคาดหวังใครว่ามันจะมีดี 100% หรือไม่มีดีสัก 1% ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้จริงไหม 
วันนี้เป็นวันแรกนั่งด้วยความฝืนใจ ใช่หรือไม่ (ไม่)  ฝืนใจไหม (ไม่ฝืนใจ)  เล่นเกมหน่อยนะ ใช้การส่งแอปเปิลจากข้างหน้าไปข้างหลัง
 (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเรียน เล่นเกมส่งแอปเปิล)
 ถ้าเราจะอยู่ในโลกให้มีความสุข บางครั้งชนะได้ก็ต้องแพ้เป็น ถูกไหม แต่ในสังคมจริงๆ เรากล้าแพ้ไหม (เป็นบางเรื่อง)  ศิษย์น้องเอย คนในโลกเขาแพ้เขาจะต้องเอาชนะให้ได้ แต่ถ้าเรายอมได้ เราก็ไม่ต้องแข่งขันกับใคร เราก็ไม่ต้องชิงดีกับใคร เพราะความอยากของมนุษย์ถมไม่มีวันเต็ม ที่เราเหนื่อยอยู่ทุกวันนี้เพราะอยากได้ อยากชนะ อยากมี ใช่ไหม (ใช่)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นที่เล่นเกมชนะ เสียสละแอปเปิลให้กับนักเรียนที่แพ้ และต้องเต้นเป็ดแทนแถวที่แพ้)
อยากดูเป็ดไหม (อยากดู)  แถวที่แพ้กับแถวที่ชนะยืนขึ้น ทำให้คนอื่นมีความสุขกลัวไหม (ไม่กลัว)  ทำให้คนอื่นมีสุขอายไหม (ไม่อาย)  
เต้นพร้อมกันดีไหม (ดี)  เป็นครั้งแรกที่ประชุมธรรมมีเป็ดมากขนาดนี้ แถมเป็นเป็ดมาฟังธรรมะด้วยถูกไหม (ถูก)  ถ้าทำดีแล้วทำให้คนอื่นมีสุข ไม่เห็นต้องอาย แต่ถ้าทำชั่วแล้วทำให้คนอื่นมีทุกข์อย่างนั้นที่ต้องอายถูกไหม (ถูก)  ทำด้วยกันจะเป็นอะไรไปใช่หรือเปล่าศิษย์น้อง (ใช่)  
ถ้าเราอยู่ในโลกใบนี้ ศิษย์พี่บอกแล้วการเรียนรู้ ศึกษาธรรม สิ่งสำคัญต้องมองตามความเป็นจริง ไม่ใช่มองตามใจ และต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ด้วยใจที่เป็นสุข เหมือนที่ศิษย์พี่เปรียบเทียบเรื่องแอปเปิลเน่ากับแอปเปิลดี เป็นไปได้ไหมที่ในโลกนี้จะไม่มีแอปเปิลเน่า (ไม่ได้)  แต่เชื่อไหมถ้าหากว่าศิษย์น้องเข้าใจสภาวธรรม ศิษย์น้องจะมองเห็นว่า ไม่ว่าแอปเปิลจะเน่าหรือจะดี ทั้งที่จริงก็ไม่ต่างกันเลย แต่มันอยู่ที่ว่ามุมมองที่เรามองเห็นอะไร เหมือนเราจะมองเห็นคนนี้ดี คนนี้ไม่ดี แต่พอผ่านไปอีกเวลาหนึ่ง คนที่ไม่ดีกลับมาเป็น (ดี) และที่ดีกลับมาเป็นคน (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นทำอย่างไรที่จะเป็นคนที่รู้และเข้าใจธรรมะและเราสามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้สิ่งสำคัญก็คือ ต้องนิ่งและมีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่แล้วนั้น ไม่ค่อยนิ่งไม่ค่อยมีสติ เมื่อมีร้ายมาก็ (ร้ายตอบ)  หรือแรงมาก็ (แรงตอบ)  แล้วรู้ไหมถ้าหากร้ายมาก็ร้ายตอบ แรงมาก็แรงตอบ แบบนี้จะทำให้เวรกรรมยืดเยื้อ ด่าเขาบาปแล้วนะ แต่คนที่ด่ากลับบาปมากกว่าแล้วเราเป็นคนบาปมากกว่าใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ น่ากลัวนะ
ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องอยากทำดีง่ายนิดเดียว แค่ละชั่วก็เรียกว่าดีแล้ว แต่ศิษย์น้องพยายามดี แต่ความชั่วไม่ละ มันก็ยังดีไม่ขึ้น ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นทำบุญเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล พระพุทธะจึงกล่าวว่า คนที่ทำบุญด้วยเจตนาบริสุทธิ์ คนที่ทำบุญ ทำดีด้วยศีลด้วยธรรม บุญนั้นจะไม่ไร้ผล แต่คนที่ทำบุญด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ยังขาดศีลขาดธรรม ทำไปเท่าไหร่ก็ไม่บังเกิดผล แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ทำไปแล้วก็ไม่คิดย้อนกลับใช่ไหม ทำไปแล้วก็ไม่เคยระแวงใช่ไหม ทำไปแล้วใจก็ยังมีอกุศลใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าทำแล้วยังหวังวอนขอ ยึดมั่นถือมั่น มันก็ยังมีตัวตนไปรองรับ ให้ไม่พ้นทุกข์อยู่อีกใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์พี่อยากจะบอกกับศิษย์น้องอย่างหนึ่งก็คือ คนในโลกส่วนใหญ่เวลาสอนลูกสอนหลาน หรือสอนใครๆ เรามักจะบอกว่าลูกต้องเก่ง ลูกต้องดี ลูกทำอะไรต้องสำเร็จใช่ไหม แต่ศิษย์น้องรู้อะไรไหมว่า สอนเขาเก่ง สอนเขาดี สอนเขาสำเร็จ แต่พุทธะกลับสอนว่า ไม่ต้องเก่ง แต่ขอให้ (เป็นคนดี)  และพุทธะยังสอนอีกว่า ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องดี แต่ขอให้เข้าใจชีวิตก็พอ เก่งแล้วมองคนอื่นไม่ขึ้น ดีแล้วดูถูกเหยียดหยามคน ควรไหม
แล้วมนุษย์เราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ทำไมไม่สอนลูกเราว่า ลูกดีไม่ดีไม่เป็นไร ขอให้เป็นคนที่กล้ายอมรับความจริงถูกไหม (ถูก)  เพราะคนในโลกนี้ยอมรับความจริงไหม (ไม่)  แค่เป็นคนดียังไม่ค่อยอยากดีเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะสอนว่า เกิดเป็นคนไม่ต้องชนะ แพ้ได้ เกิดเป็นคนไม่ต้องเข้มแข็ง อ่อนแอก็ได้ ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนอย่างนี้ ก็คนในโลกแข็งเท่าไร แล้วเป็นอย่างไร ดื้อถูกไหม (ถูก)  พระพุทธะจึงสอนว่า เกิดเป็นคนเมื่อกล้าแข็งต้องกล้าอ่อน เมื่อกล้าดีก็ต้องกล้ารับไม่ดีถูกไหม (ถูก)  เมื่อกล้าชนะก็ต้องกล้าแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์น้องอยากอยู่ในโลกให้ไม่เป็นทุกข์ แพ้ได้ ชนะได้ เข้มแข็งได้ อ่อนแอได้ ทำไมศิษย์พี่จึงพูดอย่างนี้ เพราะคนทุกคนหนีความเจ็บปวดได้ไหม (ไม่ได้)  หนีความพ่ายแพ้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้าวันหนึ่งชีวิตต้องพ่ายแพ้ เรารับได้ไหม (ต้องรับให้ได้)  แต่วันนี้รับได้ไหม  พอเจ็บป่วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยทีๆ ไม่อยากเจ็บเป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็ต้องเจ็บ ใครๆ ก็ต้องแพ้
ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงไม่ได้สอนให้แค่ติดดี แต่สอนให้เรามองตามความเป็นจริง แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ดีก็ตาม ได้ไหม (ได้)  เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์น้องเข้าใจความเป็นจริง ศิษย์น้องจะไม่ยึด ไม่อยาก และไม่หลง แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์น้องยังมองไม่เห็นความเป็นจริง ยังมองเห็นแต่สิ่งที่ตามใจ ก็ยังหนีไม่พ้นความยึด ความอยาก ความหลง ที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง หรือต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล  หนีไม่มีวันสิ้นสุดหรอก  วันนี้มาผูกบุญแค่นี้ ดีไหม  เรามาฟังธรรมะ เพื่อให้ได้ธรรมะ ไม่ใช่มาฟังธรรมะเพื่อยังเป็นตัวเป็นตน มาฟังธรรมะเพื่อให้ได้ธรรมะ และจะได้ธรรมะได้อย่างไร ถ้ายังไม่ละวางนิสัย ความเคยชิน การเอาแต่ใจ การเอาแต่ได้ แล้วจะได้ธรรมะไหม ไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้คืออารมณ์ นิสัย ตัวเองเหมือนเดิมจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอยากมาฟังเพื่อได้ธรรมะ หรืออยากมาฟังเพื่อกลับไปเป็นตัวเองเหมือนเดิม (ได้ธรรมะ)  เพราะเป็นตัวเองก็ไม่เห็นเสียหายอะไรใช่ไหม (ไม่ใช่)  ใช่เป็นตัวเองไม่เสียหายอะไรแต่รู้ไหมว่า ชีวิตของมนุษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่ที่พ้นทุกข์ไม่ได้ก็เพราะยึดติดในความเป็นตัวเป็นตน ถูกไหม (ถูก)  ไม่มีใครขังเราไม่มีใครทำร้ายเราเท่ากับความเคยชินและนิสัย ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เรายังวางความเป็นตัวตนไม่ได้เราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ถ้าเรายังมองไม่เห็นความเป็นตัวตนที่แท้จริง เราจะเข้าถึงธรรมะได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นขอให้พิจารณาให้ดีนะศิษย์น้อง ศิษย์พี่ต้องการให้ศิษย์น้องรู้ว่ามนุษย์ทุกคนมีความเป็นพุทธะอยู่ภายในมีความดีงามอยู่ แต่บางทีเราไม่เลือกที่จะทำดี แต่เราเลือกชอบทำแต่สิ่งที่ตามใจ เราไม่เลือกที่จะปฏิบัติธรรม แต่เราชอบเลือกที่จะปฏิบัติโลภ โกรธ หลง ฉะนั้นพอปฏิบัติโลภ โกรธ หลง สิ่งที่ได้ก็คือ กรรม วิบากกรรม ความทุกข์และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่ถ้าปฏิบัติธรรมสิ่งที่ได้ก็คือ ธรรมะ เข้าถึงธรรม กลับสู่สภาวธรรม เป็นพุทธะบนแดนดิน เลือกเอานะว่าวันนี้อยากตามใจหรือมาตามธรรมะ ถ้าตามธรรมะพรุ่งนี้อยู่ต่อ แต่ถ้าตามใจก็คงกลับบ้านไม่มาแล้ว ถูกไหม (ถูก) 
การเรียนรู้หลักธรรมวันเดียวไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ จนกว่าศิษย์น้องจะนิ่งและมีสติยั้งคิดพอว่าสิ่งที่ศิษย์พี่พูดมันจริงหรือลวง ถูกไหม (ถูก)  อยากเข้าถึงสภาวธรรมไม่ยากเลย วางนิสัยได้ วางอารมณ์ได้ วางความเคยชินได้ วางอัตตาตัวตนได้ ใจฟ้าก็อยู่ที่ตัวเราความเป็นพุทธะก็อยู่ในใจเรา แต่ถ้ายังวางอารมณ์ไม่ได้ วางความเคยชินไม่ได้ วางนิสัยไม่ได้ มนุษย์ก็เวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้พ้นทุกข์ด้วยการรู้จักวางล่ะ วางความเคยชินแล้วลองนิ่งพิจารณาสิ่งที่ศิษย์พี่พูดดูว่าหลอกลวงไหม ใช่หรือไม่ กลับดีกว่า หมดแรงแล้ว ใช่ไหม ไม่มีวันหมดแรงนะ เพื่อช่วยคนดีกลับสู่ความดีงามที่แท้จริง พุทธะไม่มีวันหมดแรง แต่มนุษย์นั่นแหละ ชอบหมดแรงก่อน ก็ศิษย์พี่บอกแล้วถ้าอยากอยู่บนโลกนี้ให้ได้ แอปเปิลเน่าหรือแอปเปิลดี ก็ต้องรู้จักรับมือให้เป็น ใช่ไหม ในสิ่งที่เน่ามันก็ยังมีสิ่งที่ดี ในสิ่งที่ดีมันก็มีสิ่งที่เน่า ฉะนั้นศิษย์พี่ก็เชื่อว่าในแอปเปิลเน่ามันมีแอปเปิลดีอยู่ ใช่หรือไม่ ไปล่ะนะ ช่วยคนตั้งใจฟังธรรมะ เพื่อเอาบุญมานำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์นะ ไม่ใช่มาฟังธรรมะเพื่อให้ตัวเองจมอยู่กับทุกข์ ใช่หรือไม่ ไปล่ะ




วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ผ่านมาเพื่อผ่านมาพบ ผ่านมาเพื่อจบแค่นั้น
ผ่านมาเพื่อขออะไรกัน ผ่านมาเพื่อฝันจนตาย
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนฟังธรรมะรู้เรื่องหรือเปล่า

ปลูกอารมณ์ปลูกความคิดปลูกนิสัย ปลูกลงไปในใจของตนนี้
ปลูกจนตัวขังตนอยู่ในที ปลูกจนมีตัวของตนอยู่ภายใน
ติดในกายในใจจนยากพ้น ติดในตัวในตนทับซ้อนใหญ่
ล้วนไม่เที่ยงเป็นทุกข์หลงกันไป จะหาใครตื่นรู้จริงสักที
ต่างสะสมบุญบาปกันมากหนอ กรรมต่อกรรมวิบากก่อยากหลีกหนี
บุญไม่อาจล้างบาปกันสักที ต้องตัดเหตุที่ตนมีกิเลสอารมณ์
หากไม่ยึดทุกข์ไม่มีที่อาศัย หากไม่หลงผิดบาปไปไม่ทุกข์ขม
หากไม่ตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์ ก็ไม่จมในอัตตาจนฝังใจ
ฮาฮาหยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์อยากจะถามศิษย์นะ ว่าวันนี้ศิษย์ผ่านมาเพื่อผ่านมาพบกันรู้จักกันแล้วก็จบแค่นั้น ใช่ไหม (ไม่ใช่)  หรือผ่านมาเพื่อมาฟังให้จบๆ ไป เป็นอย่างไร ผ่านมาเพื่อให้จบๆ ไป หรือไม่ (ไม่ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่หรือผ่านมาเพื่อมาขออะไรกัน (ขอธรรมะ)  ขอธรรมะหรือ ศิษย์รู้ไหมตัวศิษย์เองก็เรียกว่าธรรมะ ตัวอาจารย์เองก็เรียกว่าธรรมะ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่กิเลสอารมณ์เขาก็เรียกว่าธรรมะ ใช่หรือไม่
รู้ไหม ทุกอย่างเรียกว่าธรรมะ แต่ทำไมเรามองไม่เห็นเป็นธรรมะ แต่เรามองเห็นเป็นแค่กิเลส เป็นแค่อารมณ์ เป็นแค่ตัวตน เพราะเราไม่เคยมองแล้วรู้ให้ชัดเห็นให้จริงเรามองเพียงแค่สักแต่มองหรือเรามองเพียงแค่อยากจะเห็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น แต่เราไม่เคยมองให้กว้างมองให้ลึกมองให้รอบคอบ มองจนไม่มีอะไรมาลวงหลอกได้ เราไม่เคยมองจนชัดขนาดนั้น จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าถึงรู้แต่รู้แล้วยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ความรู้นั้นก็ยังเป็นอวิชชา   ถึงรู้แล้วแต่ยังไม่ถึงที่สุด  ความรู้นั้นก็ยังเป็นม่านหมอกที่ทำให้เรามองอะไรได้อย่างลวงตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่หรือ ถ้าใช่เวลานี้คงรู้ให้มากกว่านี้แล้วจริงไหม (จริง)  ลองพูดกันเรื่องง่ายๆ ผ่านมาเพื่อฝันจนตาย ฝันอยากเป็นอะไรกันหรือ ฝันอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่  ใช่ไหม  (ใช่)   มนุษย์เราเหมือนคนที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันไม่รู้ตื่น    ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราจะตื่นได้อย่างไรล่ะถ้าเรายังมองไม่เห็นความจริงในโลกนี้ เรายังจมอยู่กับความคิดที่ตัวเองอยากนั่นอยากนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจนบางครั้งมองอะไรผิดเพี้ยนไหม (เพี้ยน)  อยากจนบางครั้งความรักมันบังตา ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเคยได้ยินไหมรักมากๆ ทำให้ตา (บอด)  หลงมากๆ ทำให้หู (หนวก)  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ทั้งตาบอดทั้งหูหนวกเลย  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะตัดไม่ได้ทั้งความรักและความหลง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นก็เหมือนคนทั้งตาบอดและหูหนวก เดี๋ยวนี้ก็แก่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ดังนั้นเวลามาศึกษาเรียนรู้หลักธรรม จึงต้องเปิดใจให้กว้างเพื่อจะได้มองอะไรได้แจ่มชัดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
 อาจารย์ถามหน่อยนะ ไหนใครมาสองวันนี้แล้วรู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้ฟัง ทุกครั้งที่ได้กินอาหาร ทุกครั้งที่ได้มาร่วมงาน รู้สึกมีความสุขบ้าง ถ้าเป็นคนที่สุขง่ายทุกข์ยากก็ดีไม่ใช่น้อย แต่ในความเป็นจริงอาจารย์เห็นศิษย์ ทุกข์ง่ายสุขยากมากกว่านะ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเกิดเป็นคนเราควรที่จะทุกข์ง่ายหรือสุขง่ายดี (สุขง่าย)  แต่อาจารย์เห็นศิษย์เป็นคนสุขง่ายหรือไม่ (ไม่)  สุขยากทุกข์ง่ายใช่หรือไม่ อย่างนั้นทำไมเราไม่กำหนดมาตรฐานความสุขเราให้ต่ำๆ ล่ะ แล้วกำหนดความทุกข์เราให้มันยากๆ ล่ะ จริงไหม ชีวิตก็จะได้มีสุขง่ายหน่อยเจออะไรก็ยิ้มได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อย ถามว่าศิษย์มีสุขไหม (มี)  มีสุขง่ายไหม ดูเหมือนจะมีนะ แต่จริงๆ แล้วมีไหม (ไม่มี)  ศิษย์เคยเห็นคนประเภทนี้ไหม อาจารย์ถามหน่อยนะ คนที่กินข้าววันนี้แล้วบอกว่าอีกสองสามวันค่อยอิ่ม ศิษย์ว่าคนคิดแบบนี้โง่หรือฉลาด (โง่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ศิษย์เป็นคนที่หาเงินวันนี้แล้วบอกว่าเอาไว้รวยก่อนเดี๋ยวค่อยสุข ใช่ไหม (ไม่ใช่)  จริงหรือ อาจารย์ถามใหม่นะ ใครบ้างที่กินวันนี้แล้วบอกว่าอีกสองสามวันค่อยอิ่ม (ไม่มี)  ใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยแล้วศิษย์เป็นคนที่มีสุขง่ายๆ ไหม (ไม่ง่าย)  ไม่ง่ายต้องมีบ้าน มีรถ มีครอบครัว มีตำแหน่ง มีชื่อเสียง มีเงินทองครบค่อยสุข ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้ที่ศิษย์กำลังเสวยอยู่คือทุกข์ทั้งนั้นเลยใช่ไหม  (ใช่)  ที่มีอยู่นี่มันมีแต่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นศิษย์ต่างอะไรกับคนที่อาจารย์บอกเมื่อสักครู่ กินข้าววันนี้แล้วอีกสองสามวันค่อยอิ่ม ทำไมไม่กินทุกคำก็มีสุข กินทุกคำก็อิ่ม กินทุกคำก็ยินดี แต่มนุษย์ไม่ใช่ คนที่ทำงานวันรับเงินเดือนคือวันที่มีความสุข คนขายของช่วงที่ได้รับเงินคือช่วงที่มีความสุขใช่ไหม (ใช่)  คนปลูกยางช่วงที่มีความสุขคือช่วงไหน (ขายยางได้)  ยางขึ้นราคา มีสุขไหม (มี)  แต่ถ้ากรีดยางไม่ทัน ความสุขตกทันทีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมไม่ทำทุกวันให้มีความสุข ได้งานทำ ได้มีกิน ได้มีบ้าน ได้มีลูก ได้มีภรรยา ได้มีสามี สุขแล้ว ทำไมต้องรอให้อีกสิบก้าว เดี๋ยวค่อยสุข ทำไมไม่ทุกก้าวก็มีสุข ทุกก้าวก็ยินดี  ทุกก้าวก็เปรมปรีดิ์ใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าวันไหนเป็นวันสุข (ทุกวัน)  นึกว่าวันศุกร์อย่างเดียว ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เราเริ่มมีความสุขแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมไม่ทำชีวิตให้มีความสุข ทำไมต้องรอให้ครบสมบูรณ์ ทำไมต้องรอให้พรั่งพร้อม แล้วชีวิตเมื่อไหร่จะครบ ถ้าไม่ครบชีวิตศิษย์ก็ไม่ต้องสุขเลยจริงไหม (จริง)  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว เท่านี้ก็อิ่มแล้ว ถ้าไม่มีหนึ่งคำจะมีอีกสิบคำที่อิ่มไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีหนึ่งก้าวจะมีสิบก้าวที่สำเร็จไหม (ไม่มี)  แล้วทำไมต้องรอให้สำเร็จจึงสุข ทำไมไม่รอก้าวแรกก็มีสุข  ก้าวแรกก็ยินดีใช่ไหม  (ใช่)   ฉะนั้นศิษย์เคยได้ยินคำพูด  คำหนึ่งไหม เริ่มต้นถูก มันก็ถูกตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เริ่มต้นผิด ทำไมให้ผิดจนตัวตายใช่หรือเปล่า ทำไมไม่ทำสุขให้มีทุกวันใช่ไหม (ใช่)  โดยส่วนใหญ่เวลาเจอหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชอบขอ ใช่ไหม (ใช่)  เขียนให้อาจารย์หน่อย
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนอธิบายบนกระดานโดยมีด้วยกัน 4 ขอ)
1. ขอให้ร่ำรวย
2. ขอให้เข้มแข็ง แข็งแรง
3. ขอให้ครอบครัว ร่มเย็นเป็นสุข
4. ขอให้การงาน ก้าวหน้า
หนึ่งคือขอให้อะไร รวย ใช่ไหม (ใช่)  สองคือขอให้อะไร เข้มแข็งแข็งแรง ใช่ไหม (ใช่)  สามส่วนใหญ่ขอให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าสามข้อนี้ได้ครบ ดีไหม (ดี)  เอาอะไรอีกไหม (เอา)  น่ากลัวจริงๆ เลย หนึ่งคือ (รวย)  สองคือ (แข็งแรง)  สามคือ (ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข)  ใช่ไหม (ใช่)  แค่นี้พอไหม (ไม่พอ)  อยากได้อะไรอีก (ขอให้การงานเจริญก้าวหน้า)  อาจารย์ถามหน่อย ขอแค่นี้พอไหม (ไม่พอ)  ไม่พออีกหรือ ถ้าอาจารย์บอกว่าให้ข้อเดียว แล้วสามารถใช้ได้หมดทุกข้อ เอาไหม (เอา)  รู้ไหมข้ออะไร (ข้อสาม)  ไม่มีในนี้ ศิษย์เอ๋ยมนุษย์ขอตั้งเยอะแยะแต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ลืมขอ แล้วถ้าขออันนี้ได้นะอะไรๆ ก็ทำได้ นั่นคือ ปัญญาดี ปัญญาดีรวยไหม (รวย)  ปัญญาดีรู้จักทำตัวเองให้แข็งแรงได้ไหม (ได้)  ปัญญาดีทำให้ครอบครัวร่มเย็นได้ไหม (ได้)  แต่ศิษย์ไม่เคยคิดมีเลย และศิษย์ไม่เคยคิดขอเลย ใช่หรือไม่ แล้วปัญญาดีได้มาจากไหน (ได้มาจากตัวเอง)  คิดได้แค่นี้เองนะศิษย์เอ๋ย ปัญญาดีได้จากการศึกษาเรียนรู้กับผู้ที่มีความรู้มากกว่าเรา แต่ศิษย์ไม่ ถ้าใครที่รู้มากกว่าแล้วตัวเองโง่ ศิษย์ไม่เรียน แต่ถ้าใครโง่กว่าแล้วตัวเองฉลาดกว่า ศิษย์จะไปสอนเขา เราก็เลยเป็นคนที่ ร้อยทั้งร้อยไม่เคยได้ปัญญาดี ฉะนั้นปราชญ์จึงสอนไว้ว่าคนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ยอมโง่ที่สุด แล้วจะสามารถเป็นที่ที่มีแต่คนอยากมาสอน อยากมาให้ความรู้ แต่คนที่พยายามอวดตัวเองว่าตัวเองเก่ง คนนั้นคือคนที่โง่ที่สุดใช่ไหม แต่ศิษย์รู้ไหม มาเป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์นี่ทั้งโง่ทั้งบ้าเลยนะ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ใช่ศิษย์ ไม่มีพุทธะองค์ไหนโง่และบ้าเท่าอาจารย์ รู้ว่าสอนยากก็อยากสอน รู้ว่าเปลี่ยนยากก็อยากให้เปลี่ยน รู้ว่าศิษย์จะดียาก ก็ยังอยากให้ศิษย์ได้ดี มีพระพุทธะองค์ไหนมาจ้ำจี้จ้ำไชแบบนี้ล่ะ ไม่มี มีแต่อาจารย์จี้กงคนเดียว ใช่หรือไม่
อย่างนั้นอาจารย์จะสอนให้วิธีที่จะทำให้รวย คนที่อยากจะรวยได้ คนที่อยากจะมีได้ ศิษย์รู้ไหมต้องทำอย่างไร ต้องขยัน แต่ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งของปราชญ์โบราณไหม ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ใช่หรือไม่ ศิษย์บอกอาจารย์ศิษย์ยังไม่มีเลย จะไปให้เขาได้ยังไง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยคนที่กล้าให้ แปลว่าคนคนนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองมีพร้อมสมบูรณ์แล้วถึงให้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์ยังบอกว่าให้ไม่ได้ แปลว่าศิษย์เป็นคนที่มีเท่าไหร่ก็เหมือนไม่มี จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ มีแล้วกล้าให้ ยิ่งให้ยิ่งได้รับ แต่ถ้ามีแล้วไม่ให้ เชื่อไหม ยิ่งมีก็ยิ่งจน ถูกไหมล่ะ มีเท่าไหร่ก็ให้ไม่ได้ เพราะอะไร ไม่พออาจารย์ไม่พอ    คนที่บอกว่าไม่พอ   คือคนที่จนไปตลอดชีวิต     (บางครั้ง)  บางครั้งหรือ อาจารย์เห็นว่าเป็นทุกวันเลย ใครสร้างกุศลแอบหลบ ไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ เหมือนรอยยิ้มนะ ยิ่งยิ้มคนก็ยิ่งยิ้ม แม้วันนี้เขายังไม่ยิ้มตอบแต่ยิ้มให้เถอะทุกวัน ยิ่งให้ๆๆ ถึงที่สุด ปิดทองหลังพระจนทองมันกระเด็นมาข้างหน้าเลย ถูกไหม (ถูก)  จะกลัวอะไรกับการที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม สิ่งที่ผิดนั้นคือสิ่งที่ต้องกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากรวย ให้เป็นไหม (เป็น)  ดังคำพูดที่ว่า “ช่วยเขาก็คือช่วยเรา ให้เขานั่นเหละก็คือการให้กับเรา” ทำไมเราไม่สร้างเหตุปัจจัยที่ดีล่ะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ศิษย์จำไม่ได้หรือวันนี้คือเหตุของผลในวันหน้า เราแก้อดีตไม่ได้แต่เราทำอนาคตให้ดีได้ แล้วทำไมตอนนี้ไม่ทำในสิ่งที่ถูกต้องล่ะ อยากร่ำรวยทำไมวันนี้ไม่รู้จักให้ ถ้าวันนี้ให้ไม่ได้พรุ่งนี้มันก็ไม่มีวันให้ใครได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกไว้ว่า ไม่มีใครคนใดที่ไม่มีเมตตาธรรม แล้วจะไม่ทำบาป ถ้าเรามีเมตตาธรรมบาปจะกล้าทำไหม (ไม่กล้า)  ถ้าคนเรามีน้ำใจช่วยเหลือคน ความผิดจะก่อไหม (ไม่ก่อ)  เห็นไหมศิษย์แค่ “ให้” คำเดียวนะ นอกจากจะช่วยเราแล้ว เราก็จักต้องไม่ก่อบาปก่อกรรมด้วย แต่ยังได้สร้างบุญ ได้มาแล้วให้บุญต่อ ได้มาแล้วก็ผูกบุญต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากรวยจงรู้จักที่จะ (ให้)  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์ถามหน่อยพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์เวลาท่านมาศึกษาหรือมาฝึกฝนการบำเพ็ญตน ท่านทิ้งความมั่งมีเพื่อไปหาความรู้พอ หรือท่านทิ้งความรู้พอแล้วไปหาความมั่งมี (ทิ้งความมั่งมีแล้วไปหาความรู้พอ)  ใช่ ทิ้งความมั่งมีแล้วไปหาความรู้พอ แล้วถ้าพุทธะเดินทางนี้แล้วจะชี้นำให้คนเดินทางนี้ไหม (ทางนี้)  ก็ต้องทางนี้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นพระพุทธะที่ไหนที่จะให้ศิษย์รวย มีไหม (ไม่มี)  ใช่แล้ว ก็ท่านทิ้งความรวยไปหาความจน แล้วจะมีพระพุทธะที่ไหนที่ตัวเองทำอย่างหนึ่งแล้วสอนให้คนอื่นทำอีกอย่างหนึ่ง มีไหม (ไม่มี)  ถ้ามีพระพุทธะนั้นก็โกหกแล้วนะ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นยังอยากรวยไหม (อยาก, ไม่อยาก)  อยากแต่จงเป็นอยากที่รวยน้ำใจ รวยความถูกต้อง รวยความดีงาม ไม่ใช่รวยความโลภ ความโกรธ ความหลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  อยากแข็งแรงอีกไหม (อยาก)  อยากไปเรื่อยเลยนะ  อาจารย์ให้รวยแล้วนะ  อาจารย์ให้ความแข็งแรงเอาไหม (เอา) อาจารย์ถามหน่อย พระพุทธะองค์ไหนไม่เจ็บป่วยมีไหม (ไม่มี)  แล้วแข็งแรงไหม (แข็งแรง)  แปลว่าอะไร  ศิษย์เอ๋ยขึ้นชื่อว่าสังขาร หนีไม่พ้น ความ  (ตาย)  ตายเลยหรือ ศิษย์จำไว้นะความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าไม่มีความเจ็บป่วย แล้วตายเลย เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นจะไปเกลียดอะไรกับความเจ็บป่วย ฉะนั้นความเจ็บป่วยมาเป็นสัญญาณเตือนทำให้รู้ว่ากำลังอยู่ในภาวะอันตราย ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ เตือนติ๊ดติ๊ดติ๊ด จะได้เข้าใจว่าเสียงแบบนี้กำลังจะตายแน่ ความเจ็บป่วยทำให้เรารู้ว่าเรากำลังเดินทางผิด เรากำลังทำร้ายร่างกายอยู่  กินมากเกินไปเลยอ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมันอุดตัน ถูกไหม (ถูก) ทำงานมากเกินไปก็เลยเป็นยังไง เครียด  ยิ้มไม่ออกหน้าบึ้ง  มองใครก็มองพาลไปหมด ฉะนั้นศิษย์ต้องมองให้ดี โรคภัยไข้เจ็บต้องมองให้ดี  โอยเจ้ากรรมนายเวรมาทวงฉัน  แล้วใครล่ะเจ้ากรรมนายเวร ตัวเองทั้งนั้น ถ้าป่วยไม่หายนั่นแหละเจ้ากรรมนายเวร แต่ถ้าป่วยแล้วเริ่มรักษาหายได้นั่นแหละตัวเองทำเอง  ฉะนั้นอาจารย์ให้อะไร อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์หายจากโรค แต่อาจารย์ให้ศิษย์อยู่กับโรค อย่างมีสุขดีกว่าเอาไหม (เอา)  ฉะนั้นศิษย์จะเป็นโรคอะไรก็มีสุข ความดันสูง   ฮ่าฮ่าๆ  ดูซิ มันจะสูงไปแค่ไหน  เบาหวานกินทุเรียนไป หวานแน่ๆ เลย ศิษย์เอ๋ยต้องรู้ตัว โรคภัยไข้เจ็บมาเตือน เมื่อมันมาเตือนก็ต้องอยู่กับมันให้มีความสุข เมื่ออยู่กับมันให้สุขใจมันก็สุข กายมันเจ็บก็รักษาได้ แต่ถ้าใจมันเจ็บ กายมันทุกข์จะรักษาอย่างไรก็ไม่หายจริงไหม (จริง)   ฉะนั้นศิษย์อย่ากลัวโรคภัยไข้เจ็บ โรคภัยไข้เจ็บมันเป็นสิ่งที่ดี เตือนให้เรารู้ว่า (เรากำลังใกล้ตาย)
นักเรียนชั้นนี้น่ารักมาก ที่ตอบว่าเรากำลังใกล้ตาย ซึ่งจริงๆ แล้ว เตือนให้รู้ว่าเรากำลังดูแลสุขภาพร่างกายผิดๆ ต้องแก้ไขดูแลให้ถูกต้อง และอยู่กับโรคให้มีความสุข เพราะถึงที่สุดใครๆ ก็ต้อง (ตาย)  แต่ตายอย่างคนมีลายหน่อยสิ ตายอย่างคนมีดีหน่อยสิ ไม่ใช่ตายแบบ มีคนสาธุมันตายได้ ดีใจๆ เอาไหมแบบนั้น (ไม่เอา)  ฉะนั้นก่อนที่จะทำอะไรถ้าเริ่มต้นเรามีแต่ให้ รู้จักได้มา รู้จักให้ เจ็บป่วยก็มีแต่คนรักดูแล ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าชีวิตเราไม่เคยให้ใครเลย พอเจ็บป่วยทุกคนก็หัวเราะสมน้ำหน้า จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  ถ้าเกิดเริ่มต้นมีชีวิตอยู่ ได้มาก็รู้จักให้  ทุกครั้งที่ได้มาก็มีความสุขแล้วยังให้คนอื่นเป็นอีก
ฉะนั้นไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเป็นอะไรหรือแม้แต่จะตายไป เราก็ทำได้ดีมาตลอดแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยศิษย์อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยากได้)  อาจารย์ถามง่ายๆ เคยกอดลูกไหม (เคยกอด)  ชีวิตหนึ่งกอดกี่ครั้ง บอกรักลูกกี่ครั้ง ถ้าอยากมีความสุขอยากมีครอบครัวร่มเย็นกอดลูกบ่อยๆ บอกรักลูกบ่อยๆ มนุษย์ก็ชอบพูดกันแบบนี้ไม่ใช่หรือดูแลเอาใจใส่เขาบ้าง ไม่ใช่โยนเงินให้ ไม่ใช่ให้ลูกเห็นแม่เป็นเอทีเอ็มเคลื่อนที่ใช่ไหม (ใช่)  เราต้องมีความรักให้เขาด้วย ถามหน่อยอยากได้สามีที่น่ารักไหม (อยาก)  เคยพูดหวานๆกับเขาไหม (ไม่เคย)  เคยเคารพและให้เกียรติเขาไหม (ไม่เคย)  มีแต่ด่าๆๆ บ่นๆๆๆ แล้วจะร่มเย็นไหม (ไม่ร่มเย็น)  ฉะนั้นอยากได้ครอบครัวร่มเย็นนะศิษย์ สามีต้องเคารพ ให้เกียรติ รัก ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ดูแลหน้าที่ของตัวเองให้ดี เหมือนกันฝ่ายชาย อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยาก)  เคยบอกรักลูกตัวเองบ้างไหม (เคยบอก)  กี่ครั้ง (หลายครั้ง)  ชีวิตหนึ่งกี่ครั้ง (หลายครั้ง)  อยากให้ภรรยามีความสุขไหม (อยาก)  อยากให้ครอบครัวมีสุขไหม (อยาก)  
ทำไมเสียงเบาลงๆ วันนี้นะศิษย์กลับไปอยากให้ครอบครัวมีความสุข เจอสามีกอดสามี รักนะจุ๊บจุ๊บ ดูสิจะรักไหม อย่างไรฉันก็รักเธอใช่ไหม (ใช่)  สามีเจอภรรยาทำอย่างไร (กอด)  กอดเลย รักนะ เธอน่ารักที่สุด สวยที่สุด เหี่ยวอย่างไรก็น่ารัก ดีไหม (ดี)  ทำนะศิษย์ ถ้าทำแล้วทำให้ครอบครัวมีสุข ทำแล้วทำให้คนในบ้านมีรอยยิ้ม ทำแล้วทำให้คนในบ้านอิ่มสุขอิ่มใจอายทำไม ไปดื่มเหล้า แล้วไปมีกิ๊กสิต้องอาย ไปชนวัว ไปแข่งนก แล้วไม่ยอมกลับบ้านต้องอาย ความสุขของชีวิตอยู่ที่ง่ายๆ ยอมทำในสิ่งที่เราลืมเลือนไปหรือเปล่าใช่ไหม (ใช่)  อยากให้พ่อแม่รักไหม (อยาก)  ลูกเคยกอดแม่ไหม (ไม่เคย)  ลูกเคยบอกรักพ่อไหม (ไม่เคย)  ชีวิตนี้ทั้งปีรักแม่วันเดียว รักพ่อวันเดียว วันพ่อกับวันแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ไม่อยากได้ครอบครัวร่มเย็นหรือ ศิษย์ไม่อยากได้คนที่รักหรือ ทุกๆ ชีวิตอาจารย์เห็นใครๆ ก็อยากได้คนรัก แล้วทำไมตัวเองไม่รักคนอื่นบ้าง ใครๆ ก็อยากได้คำหวาน แล้วทำไมตัวเองไม่พูดหวานๆ บ้างใช่ไหม (ใช่)  ใครๆ ก็อยากได้คนเอาใจ แล้วทำไมไม่คิดเอาใจเขาบ้าง ทำก่อนจะเสียศักดิ์ศรีไหม (ไม่)  ผู้ชายทำน่ารักจะตาย ถามผู้หญิงดูสิใช่ไหม (ใช่)  “แม่มึงกินข้าวหรือยัง แม่มึงอาบน้ำหรือยัง เอาผ้าเช็ดตัวไหมแม่มึง มองอย่างไร ฟังอย่างไรก็น่ารักนะแม่มึง” ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมศิษย์ไม่ทำใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์ไม่มีเลย และศิษย์ก็ไม่เคยขอเลย แล้วปัญญาดีได้มาจากไหน ปัญญาดีได้จากการศึกษาเรียนรู้จากผู้ที่มีความรู้มากกว่าเรา  แต่ศิษย์ไม่ใช่ คนที่รู้กว่าไม่เรียน แต่ใครที่โง่กว่าเราไปสอนเขา เราก็เลยเป็นคนร้อยทั้งร้อยไม่เคยได้ปัญญาดี ฉะนั้นคนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ยอมโง่ที่สุดแล้วจะสามารถเป็นที่คนทุกคนอยากมาสอน อยากมาให้ความรู้ แต่คนที่พยายามบอกตัวเองเก่งคนนั้นคือคนโง่ที่สุดใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ลืมไปคนใต้ไม่ชอบว่าโง่ แต่ถ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์นั้นทั้งโง่ทั้งบ้าเลยนะ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ใช่ศิษย์ ไม่มีพุทธะองค์ไหนที่โง่และบ้าเหมือนอาจารย์ มีลูกศิษย์สอนยากยังอยากสอน รู้ว่าเปลี่ยนยากก็อยากให้เปลี่ยน รู้ว่าศิษย์ดียาก ก็ยังอยากให้ศิษย์ได้ดี มีพระพุทธรูปไหนที่อยากให้ศิษย์ได้ดี มาจ้ำจี้จ้ำไชแบบนี้ ไม่มี  มีแต่อาจารย์จี้กงคนเดียว ใช่ไหม (ใช่)

วิธีที่จะทำให้รวย คนที่อยากจะรวย มีได้ ศิษย์รู้ไหมต้องทำอย่างไร (ขยัน)  แต่ศิษย์ได้ยินคำของปราชญ์โบราณไหม “ยิ่งให้ก็ยิ่งได้”  อาจารย์ยังไม่มีหรอกจะให้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  คนที่กล้าให้นั้นแปลว่าเขามีพร้อมสมบูรณ์แล้วจึงกล้าให้ แต่ถ้าศิษย์ยังไม่กล้าให้ ก็แปลว่าศิษย์มีเท่าไหร่ก็เหมือนยังไม่มี  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ มีแล้วกล้าให้ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ แต่ถ้ามีแล้วไม่ให้ ยิ่งมีก็ยิ่งจน มีเท่าไหร่ก็ให้ไม่ได้ เพราะไม่พอ คนที่คิดไม่พอตลอดนั้นแหละ ก็จนไปตลอดชีวิต หาเท่าไหร่ก็ไม่พอตลอด แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม บางครั้งหรือ อาจารย์เห็นเป็นทุกวันเลย  ใครสร้างกุศล แอบหลบไม่เกี่ยวกัน เหมือนรอยยิ้ม ยิ่งยิ้มคนก็ยิ่งยิ้ม แม้วันนี้เขายังไม่ยิ้มตอบ แต่ยิ่งยิ้มให้ทุกวัน ยิ่งให้ ให้จนถึงที่สุด ให้เหมือนปิดทองหลังพระ จนมาถึงข้างหน้าเลยจะมาทางไหนมันก็ง่ายใช่ไหม แต่ถ้าส่วนนี้ยังไม่สำเร็จ มาทางธรรมไม่รอด ถูกไหม ฉะนั้นอาจารย์ปูทางให้แล้วนะ ก้าวต่อไปจะก้าวต่อไหม (ก้าว)  แล้วเราจะเกิดมาเป็นแค่คนแล้วเป็นคนให้จบ หรือว่าจะเกิดมาเป็นคนเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นคนที่เหนือกว่าคน ฉะนั้นการจะก้าวต่อเป็นคนที่เหนือคนได้ ต้องทำความเป็นคนให้สมบูรณ์ก่อน ถ้าความเป็นคนศิษย์ยังไม่สมบูรณ์ ศิษย์จะก้าวสู่ความเป็นพุทธะเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นถือตามที่พระพุทธะสอนไว้ว่า อยากจะเป็นคนที่พ้นโลกใบนี้ได้ ต้องเป็นคนที่ดีงามก่อน อย่างนั้นถ้าพูดตามหลักธรรม ศีลมีครบไหม (ครบ)  ถ้าไม่ครบไม่สามารถเป็นคนที่สมบูรณ์ได้นะ คุณธรรมดีงามพร้อมไหม (พร้อม)  อาจารย์ไม่เคยได้ยินศีลไม่ครบแล้วมีคุณงามพร้อมนะศิษย์เอ๋ย มีด้วยหรือ ศีลครบไหม (ครบ)  คุณธรรมครบไหม (ครบ)  ศีลมีอะไรบ้าง คุณธรรมมีอะไรบ้าง (ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ผิดลูกผิดเมีย) อาจารย์นับกี่ครั้งมันก็ไม่ครบห้าสักครั้ง ได้แค่สาม แล้วมันหายไปไหนข้อหนึ่งล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อยากอายุยืนไม่เจ็บออดๆแอดๆ ถ้าไม่สร้างเหตุปัจจัยในการเบียดเบียนฆ่าสัตว์ ศิษย์ก็จะเป็นคนแข็งแรง อายุยืน แต่ถ้าชอบเบียดเบียนฆ่าสัตว์จะเป็นคนอายุสั้น เจ็บออดๆแอดๆ ได้ง่าย ฉะนั้นคุณธรรมของการไม่ฆ่าสัตว์ก็คือเมตตาธรรม ฉะนั้นมีศีลก็ต้องมีธรรม เมื่อมีศีลมีธรรมศิษย์ก็จะได้ความแข็งแรง ศิษย์ลองดูสิ คนบางคนดำเนินชีวิตเหมือนๆ กัน ทำไมอีกคนเจ็บออดๆ แอดๆ ทำไมอีกคนหนึ่งไม่เห็นเป็นอะไร ใช่ไหม ทำงานเหมือนๆ กัน ทำไมคนนี้เป็นโรคปวดเข่า คนนี้เป็นโรคโน้นโรคนี้ เพราะอะไร ใช่ส่วนหนึ่งมาจากตัวเรา แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากกรรมเวรที่เราเคยไปทำ คนที่ป่วยง่ายๆ คือคนที่ชอบทำร้ายคนด้วยกาย วาจา ใจ คนที่อายุสั้นคือ คนที่ชอบเบียดเบียนฆ่าสัตว์ ใช่ไหมเคยฆ่าคนด้วยสายตาไหม (เคย)  เคยฆ่าคนด้วยวาจาไหม (เคย)  เคยฆ่าคนด้วยการกระทำไหม (ไม่เคย)  ค่อยยังชั่วนะ แต่ฆ่าคนด้วยสายตาก็น่ากลัวนะ ใช่ไหม (ใช่)  ทำบ่อยไหมศิษย์ (ไม่บ่อย)  อาจารย์เห็นแล้วก็น่ากลัวนะ เวลาศิษย์ของอาจารย์โกรธ ตายิ่งกว่ามีดอีก ใช่ไหม (ใช่)  พร้อมจะฆ่าได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนพูดตอบประโยคของพระอาจารย์คำว่า “ดี”)
ถ้าสมมติว่าอาจารย์พูดอะไร ให้ศิษย์พูดว่า “ดี” ได้ไหม (ได้)  ไม่ว่าจะพูดอะไรศิษย์ก็ต้องพูดว่า (ดี)  ฉะนั้นอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์กินเจ ศิษย์ก็ต้องบอกว่า (ดี)  ถ้าอาจารย์บอกว่าให้กินเจตลอดชีวิต ศิษย์ก็ต้องบอกว่า (ดี)  แล้วถ้าเกิดว่าอาจารย์พูดว่าดีอย่างเดียวไม่พอ ดีแล้วบอกว่าทำ ได้ไหม (ได้)  อย่างนั้นอาจารย์บอกว่าให้กินเจก็บอกว่า (ทำ)  กินเจตลอดชีวิตก็บอกว่า (ทำ)  ดีไหม (ดี)  ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะกินเจ ทำไหม (ทำ)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม คิดดีขึ้น (สวรรค์)  คิดชั่วลง (นรก)  คงเคยได้ยินบ้างนะ แปลว่าเวลามีความคิดอะไรมาเราต้องตามความคิดเราตลอดไหม (ตาม)  เวลาเราคิดดีก็เหมือนขึ้นสวรรค์ เวลาคิดชั่วก็เหมือนตกนรก แต่ส่วนใหญ่เราคิดสูงหรือคิดต่ำ (คิดต่ำ, คิดสูง)  สมมติว่ามีคำพูดคำหนึ่งของมนุษย์มักจะพูดบอกว่า คนเรานะเวลามีเรื่องอะไรมากระทบมีอยู่สองอย่างคือคิดดีกับคิดไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  หรือพูดง่ายๆ คือคิดสูงหรือคิดลงต่ำ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าคิดดีก็เหมือนขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็เหมือนลงนรก เราส่วนใหญ่คิดดีหรือคิดชั่ว (คิดดี)  ใครทำอะไรให้ดีหน่อยคิดดีหรือคิดชั่วเขาชวนมาฟังธรรมะคิดดีหรือคิดชั่ว (ดี)  หรือ ส่วนใหญ่มักจะคิดลงต่ำมากกว่าคิดขึ้นสูงใช่ไหม (ใช่)  ฟังต่อนะ ศิษย์เคยได้ยินไหม ศิษย์มักจะพูดว่า “อาจารย์คนเราเกิดมาตายก็จบ นรกสวรรค์ไม่มีจริงหรอก”
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์จะชวนศิษย์ไปเที่ยวนรก ไปไหม ก็ศิษย์บอกว่าไม่เคยไป จะพาไปเที่ยวนรก แล้วจะพาไปสวรรค์ แล้วก็จะพาไปแดนนิพพาน  แต่อาจารย์กลัวว่าพอลงนรกไปแล้วจะไม่ขึ้นนิพพาน เพราะว่าช่วยทีไรลงนรกตลอดเลย  พอนิพพาน ยังเลย อาจารย์ถามก่อนศิษย์เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ไหม (เชื่อ)  ศิษย์เชื่อว่าใครทำอะไรได้อย่างนั้นไหม  ต้องถามฝ่ายชาย เชื่อไหม มีหลายคนก็บอกว่า ถ้าตายแล้วมันก็จบ นรกไม่มีจริงสวรรค์ก็ไม่รู้มีจริงหรือเปล่า ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าใครไม่เชื่อนรก (พระอาจารย์เชิญนักเรียนชายคนหนึ่งออกมา แล้วถามว่าอยากไปนรกไหม)  (อยาก)  แน่นะ ไม่ยากเลย ถ้าอย่างนั้น เดินไปก็ไปต่อยหน้าคนนั้น (ไม่อยาก)  ไม่ต้องไปแดนนรกก็จะพบนรกบนดินเลย แล้วก็กระทืบให้เต็มที่เลย คราวนั้นศิษย์ไม่ใช่กระทืบเขาคนเดียว แต่ศิษย์จะได้โดนเขารุมกระทืบเลย  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยอย่าพูดว่านรกไม่มี ถ้าพรุ่งนี้มี นรกก็มี  จำไว้นะอย่าพูดว่าบุญบาปไม่มี เมื่อสักครู่ยังบอกว่าไม่เคยเห็นนรกเลย ยังอยากไปนรกอยู่เลย อาจารย์จะชวนไป  อาจารย์ถามง่ายๆ นรกมีไม่มี มันอยู่ที่ใจ   ถ้าคนเราโดนทำเจ็บแล้วจำ   จำแล้วมันอยากอาฆาต   อยากล้างแค้น นั่นแปลว่านรกมี บาปกรรมมี  แต่ถ้าทำแล้วมันจบกันจริงๆ  ทำแล้วจบ นรกสวรรค์ไม่มี  แต่อาจารย์ถามนะในโลกที่ศิษย์ทำแล้วเขาจบ เขาไม่เอาคืนมีไหม (ไม่มี)  
เรายอมเอาตัวเองตกนรก ถูกไหม ถ้าไม่มีก็แปลว่านรกสวรรค์มีนะศิษย์ เหมือนง่ายๆ ทำไมคนบางคนที่เราเห็น คนบางคนมองแล้วถูกชะตา คนบางคนมองเกลียดขี้หน้า หาสาเหตุเจอไหม (ไม่เจอ)  มันเพราะอะไรหรือ เพราะว่ามันมีบุญบาปจริงๆ แล้วมันไม่ใช่จบแล้วจบกัน แต่มันยังมีเหตุปัจจัยให้ต้องมารับผลนั้น ฉะนั้นถ้าไม่อยากลงนรกจงอย่าทำให้ใครเจ็บปวด จงอย่าทำให้ใครรู้สึก ทำแล้วไม่จบ เพราะคนในโลกอาจารย์ถามนะ สิ่งที่อยู่ในใจศิษย์ดีหรือเลว (ดี)  เอาที่จำได้แม่นๆ  นะ  มันเรื่องดีของคนอื่นหรือเรื่องเลวของคนอื่น เรื่องเลวมากกว่าเรื่องดี แล้วผ่านไปกี่ปีมันก็จำเรื่องเลวได้มากกว่าเรื่องดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดว่าทำแล้วจบกัน ทำแล้วมันไม่จบ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ เมื่อเวลาเราอยู่ในโลก ทำไมเราไม่สร้างทางสวรรค์หรือทางนิพพาน ทำไมถูก แล้วศิษย์รู้ไหม นรกเปลี่ยนเป็นสวรรค์ได้เพียงแค่สำนึกแก้ไขไม่ทำอีก นรกพลิกเป็นสวรรค์ทันที แล้วรู้ไหมว่า ถ้าสำนึกแก้ไขไม่ทำอีกแล้ว มุ่งมั่นสร้างสิ่งที่ดีงาม โดยไม่ยึดมั่นถือมั่น จากนรกเป็นสวรรค์ จากสวรรค์จะเข้าสู่หนทางพระนิพพาน แค่พลิกใจเป็นนะศิษย์ ถูกไหม แต่มันอยู่ที่ว่าเวลาเราโดนกระทบ เราจะขึ้นสวรรค์ เราจะตกนรกหรือจะพ้นเวียนว่ายกรรม ถูกไหม กระทบแล้วช่างมัน ด่ามันๆๆ จะไม่จบกรรมแล้วลงนรกแน่ก่อเวรก่อกรรมเบียดเบียนไม่จบสิ้น แต่ถ้าโดนกระทบเป็นบุญแล้ว ประเสริฐแล้ว ดีแล้ว ชดใช้กรรมแล้ว นรกพลิกเป็นสวรรค์ ใช่ไหม แต่ถ้ากลับกัน นรกพลิกเป็นสวรรค์แล้ว ถ้าโดนกระทบปุ๊บ  พิจารณาด้วยสติ  นิ่ง  ไม่เกิดดี  ไม่เกิดร้าย  พบความสงบและเบิกบาน สวรรค์จะกลายเป็นนิพพานทันที แค่นิดเดียวเองนะศิษย์ ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ เมื่อโดนกระทบ ศิษย์จะขึ้นสวรรค์ ตกนรก หรือพ้นเวียนว่ายกรรม ไปทางไหน (ไปทางไหนดี)  ไม่ต้องไปถามเขาชีวิตเราเอง (ไปทางสวรรค์)  ส่วนใหญ่อยากไปสวรรค์ นิพพานไกลไปใช่ไหม อย่างนั้นศิษย์รู้ไหม สวรรค์มันมีเวลา ทำได้น้อย ก็อยู่ได้น้อย ถึงเวลาก็กลับมาเกิดใหม่ แต่นิพพานถ้าเข้าถึงแล้วไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป แล้วถ้าบุญศิษย์ไม่พอกลับมาเกิด แล้วไม่ได้เกิดเป็นคน เพราะศีลห้ายังไม่ครบ คุณธรรมความเป็นคนยังไม่มี แน่ใจหรือว่าเสวยบุญเสร็จแล้วจะกลับมาเกิดเป็นคน ถูกไหม
อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ เมื่อโดนกระทบ ขึ้นสวรรค์ ลงนรก หรือพ้นเวียนว่ายกรรม (พ้นเวียนว่ายกรรม)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่โดนกระทบไม่ว่าจะเป็นทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ก่อนที่จะกระแทกกระทั้นกระเทือนออกไป คิดให้ดีๆ เพราะอันนั้นจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมในอนาคต และการเวียนว่ายไม่จบสิ้นหรือไม่ ถูกไหม (ถูก)  วิธีที่ง่ายที่สุดกระทบแล้วจงนิ่ง นิ่งแล้วพิจารณาให้บังเกิดธรรม ธรรมที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น คลายความหลงผิด ธรรมนั้นแหละที่จะนำพาให้ศิษย์ไปพบทางพระนิพพาน ไปไหม (ไป)  ถ้าไป เดี๋ยวจะได้ชวนลงนรกก่อน ไปไหม (ไม่ไป)  ทำไมกลัวล่ะ ลงไปดูให้รู้ชัดๆ แล้วจะได้รู้ว่าตอนนี้ชีวิตตัวเองนะ อยู่ในนรกหรือในสวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนใหญ่เวลาโดนกระทบ โดนว่า โดนด่า โกรธไหม (โกรธ)  ด่าไหม (ด่า)  เรียกว่าจองเวรจองกรรม  แล้วเก็บไว้ในใจไหม (เก็บ)   นั่นแหละเรียกว่าผูกเวร  ผูกกรรม แต่ถ้าโดนด่าแล้วเราจบได้ ไม่เก็บ แปลว่าเราจบแล้วจบกัน ทำได้ไหม (ยาก) ยากหรือส่วนใหญ่มนุษย์บอกว่า คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลง (นรก)  แล้วนรกเป็นอย่างไรนรกคือที่ๆ คนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ รักสบายล้างผลาญความดีงามของตัวเองและล้างผลาญความดีงามของผู้อื่น เราอยู่ในข้อนี้สักข้อไหมศิษย์ อยู่ไหม (อยู่, ไม่อยู่)  อยู่หรือ แปลว่าหนึ่งขาของศิษย์ก้าวเข้านรกแล้วนะ นรกคือที่ๆ คนเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้รักสบาย อยู่กับใครไม่ทำให้คนอื่นเขามีสุข อยู่กับใครไม่ทำให้คนอื่นเขาสบายใจรู้สึกดี แต่ชอบล้างผลาญความดีของคนอื่นแล้วก็ล้างผลาญความดีของตัวเอง เป็นไหม ศิษย์รู้ไหม คนที่มีชีวิตอยู่แล้วคอยล้างผลาญความดีของคนอื่น ท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พญามาร ศิษย์เป็นพญามารไหม (ไม่)  เมื่อไหร่ที่โกรธคนอื่นแล้วด่าๆ นั้นคือ (พญามาร)  ถูกไหม (ถูก)  เมื่อไหร่ที่โลภจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั้นคือ (พญามาร)  เมื่อไหร่ที่หลงลำพองตัวเองจนไม่รู้จักฟังใครนั้นคือเรียกว่า (พญามาร)  แล้วก็มีลูกสมุนเป็น โลภ โกรธ หลง อยู่ในใจ มีไหม (มี)  ครบไหม (ครบ)  อย่างนั้นแปลว่าชีวิตนี้ตกนรกแน่ๆ เลย ใช่ไหม (ใช่)  เห็นแก่ตัวไหม (ไม่เห็น)  เอาแต่ได้ไหม (ไม่)  รักสบายไหม (ไม่)  ว่างๆ ก็ไปเล่นกับโลภโกรธหลง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ตกนรกไหม (ตก)  นรกของอาจารย์คนที่ทำอะไรเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ รักสบาย ชอบล้างผลาญความดีงาม มีลูกสมุนเป็น โลภ โกรธ หลง อยู่ในใจเสมอ ถ้าทำชีวิตเช่นนี้ทุกๆ วัน ก็หนีไม่พ้นตกนรก  ฉะนั้นศิษย์เลยบอกอาจารย์ว่า  อาจารย์ถ้าศิษย์ทำดี   ดีไหม (ดี)  จะทำดีล้างชั่ว ได้ไหม (ได้)  
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ตบมันแล้ว แล้วไปทำบุญ ได้ไหม (ไม่ได้)  ไปโกงกินเขาเต็มที่แล้วค่อยไปอุทิศส่วนบุญ หายไหม (ไม่หาย)  ด่ามันเรียบร้อยแล้วค่อยไปทำบุญใส่บาตรอุทิศบุญ ล้างกันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเมื่อสักครู่ใครบอกว่าล้างได้ ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์บอกอาจารย์ว่า อาจารย์ไม่เป็นไร เกิดเป็นคนมันต้องมีโลภ มีโกรธ มีหลงเป็นธรรมดา จะให้มันไม่มีโลภโกรธหลงเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  พอเป็นไปไม่ได้ศิษย์ก็เลยไปทำเขาซะเต็มที่ ถึงเวลาค่อยอุทิศบุญส่วนกุศลที่วัด ไปโกงเขามาเต็มที่ไปรวยมาให้เต็มที่แล้วค่อยไปทำบุญชดเชย แก้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมจึงทำ บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป  แก้กันไม่ได้นะศิษย์ แล้วเอาบุญมาล้างบาปไม่ได้ บาปจะล้างได้ก็ต่อเมื่อหยุดทำมัน  ตัดมันทิ้ง  อาจารย์ถามหน่อยตั้งแต่เกิดมา ใครโลภเป็นนิสัยโกรธตั้งแต่เกิด (ไม่มี)  ใครหลงตั้งแต่ยังไม่รู้สึกตัว (ไม่มี)  ก็ไม่มี แปลว่ามาทีหลังใช่ไหม (ใช่)  เกิดทีหลังใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าไม่ใช่ของเรา  ใช่ไหม (ใช่)  ถามจริงๆ ถ้าไม่มีความอยาก เราจะผิดศีลไหม (ไม่ผิด)  ถ้าเราไม่โมโห เราจะด่าคนไหม (ไม่ด่า)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้ก่อนที่จะโมโห  รู้ก่อนที่จะด่า โลภ โกรธ หลง จะทำอะไรเราได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งนี้ไม่ใช่ของเดิมของเรา แล้วทำไมเราต้องตกเป็นทาสอยู่ร่ำไปใช่ไหม (ใช่)  มันมาแล้วเราต้องเชื่อมันไหม (ไม่เชื่อ)  ไม่จำเป็นต้องเชื่อ คนอื่นเรายังดื้อได้ ทำไมโลภโกรธหลง เราดื้อไม่ได้หรือศิษย์ ถูกไหม (ถูก)  แค่มีสติรู้ให้ทันความคิด โกรธมาจำเป็นต้องโกรธไหม (ไม่จำเป็น)  โลภมาจำเป็นต้องโลภไหม (ไม่จำเป็น)  หลงมาจำเป็นต้องหลงไหม (ไม่จำเป็น)  ฉะนั้นโกรธมาก็แค่ (ยิ้ม)  ไม่ยากๆ เวลาความโกรธพุ่งมานะศิษย์ วิธีอาจารย์ง่ายๆ โกรธมาใช่ไหม ฉันไม่โกรธ ฉันไม่ตกเป็นทาสแก ถ้าตกเป็นทาสแก ฉันต้องตกนรก ฉันไม่ไป พระพุทธะท่านจึงกล่าวว่า ถ้าเรารู้เท่าทันใจตน กิเลสก็ควบคุมใจเราไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ไม่เท่าตน กิเลสก็ครอบงำชีวิตเรา และตกเป็นทาสของมันอยู่ร่ำไป
ฉะนั้นเหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น เมื่อคิดแล้วต้องทำตามสิ่งที่คิดไหม (ไม่)  เมื่อความคิดมาเราต้องเป็นทาสของความคิดตลอดไหม (ไม่ตลอด)  ถ้าความคิดนั้นไม่มีสติ ขาดปัญญา ขาดศีลธรรม เราควรทำตามไหม (ไม่ควร)  เมื่อไม่ควร เราจะปล่อยไหม (ปล่อย)  ความคิดก็จะปล่อยของมันไปเอง  เพราะโลภโกรธหลง  ศิษย์ไม่ให้ฆ่า   ไม่ปรุงแต่ง  ไม่หลงร่วมลงโรงกับมันนะ   เดี๋ยวมันก็หายไปจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นความโกรธมาไม่ต้องไปลงโรงกับมัน ไม่ต้องไปแยกกับมัน มีสติรู้ให้ทัน เห็นให้ทันทางความคิดอารมณ์ได้หรือไม่ (ได้)  เหมือนความโกรธมา ฉันไม่โกรธกับแก ความโลภมาฉันไม่โลภกับแก ได้ไหม (ได้) เปลี่ยนบาปให้เป็นบุญด้วยการถ้าจะโกรธ เปลี่ยนเป็นอภัย อภัยเปลี่ยนเป็นเข้าใจ เข้าใจเปลี่ยนเป็นปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นดีไหม (ดี)  ศิษย์ก็บอกอาจารย์  แต่มันเป็นเรื่องที่แบบว่ายากนะ เพราะคนเรายังอยากอยู่ใช่ไหม (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้นที่กำลังจะออกไปล้างหน้าให้ออกมาหน้าห้อง)  
สุขภาพที่ดีต้องรู้จักออกกำลังกาย การออกกำลังกายคือยาวิเศษ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกไม่ทุกข์ ก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองถูกไหม แอปเปิลได้ไปฟรีๆ มันก็กระไรอยู่นะ ใช้ให้คุ้มก่อนแล้วค่อยได้แอปเปิลไปดีไหม (ดี)  อย่างนั้นยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อยากล้างหน้าอีกไหม (ล้าง เพราะว่าปวดหัว)  อย่างนั้นไปล้าง แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาเอาแอปเปิล แล้วค่อยมายืนเป็นเพื่อนอาจารย์นะ
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่า ถ้าศิษย์ไม่อยากตกนรก ก็จงอย่ามีโลภ โกรธ หลงในตัวเอง ถูกไหม (ถูก)  แต่ศิษย์ก็บอกว่าอาจารย์อยู่ในโลก มีร่างกาย มีสังขาร มันอดไม่ได้ ต้องทำมาหากิน ต้องเลี้ยงดู ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมันก็หนีไม่พ้น ที่ต้องมีความอยาก มีโกรธบ้าง มีหลงบ้าง เป็นธรรมดา ถูกไหม (ถูก)  เวลาอยากมากๆ โลภมากๆ หลงมากๆ ศิษย์ก็ไปทำให้เต็มที่ แล้วศิษย์ก็ไปทำบุญชดเชย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วที่แล้วมานั้นเป็นแบบนี้ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ไปชั่วมาเต็มที่แล้วค่อยมาทำดีมันล้างไม่ได้นะ บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีบาปก็จงอย่าตกเป็นทาสกิเลส แล้วศิษย์จะอยู่บนโลกนี้อย่างไร ที่จะทำให้ศิษย์ไม่โลภเกินไป ไม่โกรธเกินไป ไม่หลงเกินไป ใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ถ้ากินแอปเปิลนี้แล้วต้องตายกินไหม (ไม่กิน) เอาไหม (ไม่เอา)  กินแอปเปิลแล้วเจ็บเอาไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาหรือ (ไม่เอา)  กินแอปเปิลแล้วได้ทุกข์เพิ่มเอาไหม (ไม่เอา)
เวลาใกล้หมดแล้วนะ อาจารย์ยังไม่เข้าถึงแก่นของเรื่องเลย ศิษย์เอ๋ยเมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าแอปเปิลลูกนี้กินแล้วตาย ทุกคนในชั้นไม่เอาหมดเลย แต่อาจารย์จะให้ศิษย์นะ เอาไหม (เอา)  เพราะอะไร (อยากกลับไปสักการะเทพเจ้ากวนอู)  จะเอาไปไหว้พระกวนอูต่อหรือ (ไม่ ถ้าตายแล้ว ถ้าได้ขึ้นนิพพานจะนำไปกราบเทพเจ้ากวนอู)  ถ้ากินแล้วตายจะได้ขึ้นนิพพานไปหาท่านกวนอู คุณธรรมของท่านกวนอูที่ยิ่งใหญ่คืออะไร คือความซื่อสัตย์ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากไปไหว้พระกวนอู สิ่งสำคัญศิษย์ต้องมีคุณธรรมซื่อสัตย์จนตัวตาย อาจารย์รับรองได้เลยว่าได้ไปไหว้พระกวนอูแน่ แต่แค่ไหว้แล้วกลับมานะ มันไม่พอศิษย์เอ๋ยความดีงามนะ ต้องทำให้อย่างจริงจังทำให้สุดชีวิต อย่าแค่ไปไหว้ แต่จงเป็นพระกวนอูบนโลกนี้ รักษาความถูกต้องแต่ไม่ใช่เอาความถูกต้องไปเข้มงวดใคร แต่เอาความถูกต้องมาเข้มงวดที่ตัวเอง อย่าปล่อยให้สภาวะแวดล้อมมันทำให้เราเหลวแหลกใจแตกนะศิษย์เอ๋ย
ศิษย์ฟังนะใดๆ ในโลกที่ศิษย์แสวงหามีไหมที่มันเกิดแล้วมันไม่ดับ (ไม่มี) ใดๆ ในโลกที่ศิษย์แสวงหาที่มันเกิดแล้วมันไม่เจ็บ (ไม่มี)  ใดๆ ในโลกที่ศิษย์ไขว่คว้ามีไหมที่มันเกิดแล้วมันไม่จบ (ไม่มี)  ใดๆ ในโลกที่ศิษย์พยายามยึดครองมันมีไหมที่ศิษย์ยึดครองได้อย่างแท้จริง (ไม่มี)  ฉะนั้นเมื่อเข้าใจ เอาไหม (เอา)  เมื่อสักครู่บอกไม่เอา เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ช่วยรักษาให้เปราะหนึ่งแต่ที่เหลือต้องดูแลตัวเองนะ
ฉะนั้นศิษย์เอยถ้าศิษย์หวังอะไรในโลกนี้ ศิษย์หนีพ้นความจริงแห่งสัจธรรมพ้นไหม ขึ้นชื่อว่าความจริงที่เป็นสัจธรรมของทุกชีวิตล้วนไม่เที่ยง ล้วนเป็นทุกข์ ล้วนว่างเปล่า อย่างนั้นสิ่งที่ศิษย์แสวงหามามันมีความไม่เที่ยง มีความทุกข์ มีความว่างเปล่าอยู่ จะเอาไหม (เอา)  ศิษย์เอยเมื่อสักครู่บอกไม่เอาตอนนี้จะเอาหรือ คนเรานะตายหนเดียวก็เจ็บปวดแล้ว แต่นี่ไปเอาอีกอันหนึ่งมาทำให้เราต้องตายแล้วตายอีก เจ็บแล้วเจ็บอีก ยังอยากหรือ อาจารย์จะเทียบให้ดูง่ายๆ นะ
(พระอาจารย์เมตตาให้รองหัวหน้าชั้นออกมาหน้าชั้น)
ขึ้นชื่อว่าร่างกาย ดูสิเห็นไหมขึ้นชื่อว่าความจริงในโลก ศิษย์บอกว่าอาจารย์มันต้องหา มันต้องมี มันต้องได้ อาจารย์ถามนะ ถ้าแค่หนึ่งชีวิตสิ่งที่เราต้องรับคือความแก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก นี่คือทุกข์หนึ่งกองแล้วนะ แล้วศิษย์ยังไปหามาอีกหนึ่งกอง เท่ากับศิษย์ต้องแบกทุกข์กี่กอง (สองกอง)  พอไหม (พอ)  ไม่พอเห็นยังมีลูกอีกหนึ่งกอง
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า ถ้าเมื่อไหร่เรามีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงว่าใดๆ ในโลกมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่าจะไปยึดมั่นถือมั่นทำไมให้มันทุกข์เพิ่ม ถูกไหม (ถูก)  ทำไมเราไม่แค่ยืมใช้ล่ะ ทำไมเราไม่รู้จักแค่อาศัยยืมชั่วคราวถึงเวลาก็ปล่อยมันไป แต่มนุษย์ไม่ใช่ มีแล้วยึด ยึดแล้วหลงถูกไหม กำหนดค่าว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ได้อย่างนั้น อย่างนี้  ถ้าตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด ยังอยากจะกำหนดชีวิตคนอื่นไหม ใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วพอไหม (ไม่พอ) แล้วควรหรือที่จะยึดทุกข์  พระพุทธะสอนว่าเรามาเพียงผู้อาศัย เราเกิดมาเพื่อยืมใช้ อย่าหลงยึดติดว่ามันเป็นของเรา เพราะถ้าหลงเมื่อไร ก็หนีไม่พ้นนรก แต่ถ้าเรามองเห็นชัดว่ามันทุกข์ ไม่เที่ยง ว่างเปล่า หาแก่นสารไม่ได้ เราแค่ยืมใช้เท่านั้น เราจะยึดไหม โลภไหม เราจะเกลียดไหม เพราะอะไรไม่เกลียด จำไว้นะศิษย์ มีสูงก็มีเตี้ย บางทีอาจารย์บอกว่าอย่าเกลียด เพราะความเป็นจริงของในโลก ศิษย์เอ๋ยดีใจจังมีคนเตี้ยกว่าเกลียดจังเลยสูงกว่า แต่ถ้าเรามองให้ชัด ให้กว้างมนุษย์มีความเป็นกลางอยู่ แล้วทุกสิ่งก็มีความเป็นกลางอยู่แต่ใจของเรามันมืดบอด มองไม่เห็นความเป็นกลาง มีคนเตี้ยกว่าเขาไหม มีคนสูงกว่าเขาไหม (มี)
ฉะนั้นเวลาเรามองอะไรต้องมองให้ชัด เมื่อมองให้ชัด ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะไม่ได้มาแผ้วพานศิษย์ เมื่อเขาด่าศิษย์โกรธไหม จงจำไว้มีคนด่าก็มีคนชม มีคนรักก็มีคนเกลียด ฉะนั้นเราจะโกรธอะไร เมื่อศิษย์มองหลักสัจธรรมอย่างแจ่มแจ้ง ความโลภก็ทำให้ศิษย์ไม่อยากโลภ ความโกรธก็จะทำให้ศิษย์ไม่โกรธ แต่เป็นความเข้าใจ เข้าใจจนคลายความยึดมั่น และเกิดมาเพียงเพื่อยืมใช้ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้วปล่อยวางให้มันเป็นไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดดับ เกิดดับ ทุกขณะที่เกิด มันดับตลอดนะ  แต่ศิษย์นั่นแหละไม่ยอมให้มันดับ  ไม่ยอมให้มันจบ ใช่ไหม (ใช่)  เขาว่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  แต่ใจเราจบไหม (ไม่จบ)  อย่างนั้นแหละ เรียกว่าทำเวรให้ยืดเยื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ นอกจากสร้างบุญ ให้ทาน มีศีล มีธรรม ถ้าศิษย์ทำได้เช่นนี้ศิษย์ก็กำลังเข้าสู่หนทางสวรรค์ แต่สวรรค์นั้น ยังเป็นการสร้างเพื่อก่อเกิดการรองรับกลับมายึดมั่นถือมั่น มีตัวมีตนอีก บุญนั้น ก็เป็นบุญที่มีจำกัด บุญนั้นก็เป็นบุญที่ต้องกลับมาเกิดเพื่อรับผล ถูกหรือไม่ ฉะนั้นแดนนิพพานคือหนทางที่เรียกว่ากุศล กุศลคือหนทางที่สามารถตัด ทำลายความยึดมั่นถือมั่น ยกจิตให้สูงขึ้น
อาจารย์จะบอกให้ นรก สวรรค์ นิพพาน มันแค่นิดเดียวเอง ช่วงขณะที่จิตโดนกระทบแล้วใจรู้สึกชอบ มันก็จะเอียงไปสวรรค์ แต่ถ้าเกิดช่วงที่ขณะจิตโดนกระทบ แล้วศิษย์บอกว่าเกลียด ไม่ชอบ มันก็เอียงไปนรก แต่ถ้าช่วงขณะที่ศิษย์โดนกระทบไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก อะไรก็ตาม ศิษย์ไม่มีความชอบ ความชัง แต่เป็นความนิ่ง สงบ นั้นแหล่ะคือ เรียกว่าหนทางแท้ที่เรียกว่าธรรมแท้มีหนึ่งเดียวคือทางสายกลาง พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราโดนกระทบเราไม่หวั่นไหว เราไม่เกิดความรู้สึก เราสามารถตัดเหตุปัจจัยแห่งความเกิดชอบ เกิดชังได้ เราสามารถนิ่ง นิ่งแล้วพิจารณามองให้เห็นความเป็นจริงแห่งโลกว่า มันไม่เที่ยง ว่างเปล่า เป็นทุกข์ หามีตัวตนไม่ แล้วเรากำลังโกรธอะไร กำลังอยากอะไร นั่นแหละจิตได้เข้าสู่หนทางแห่งทางสายกลาง ทางที่คงอยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง ฟังแล้วเข้าใจไหม (เข้าใจ)  แต่คงจะยากนิดหนึ่งใช่ไหม (ใช่) วิธีง่ายๆ ของอาจารย์ คนเรามีตา มีหู มีจมูก มีปาก ฉะนั้นเวลาหูได้ยินเสียงอะไร ก็แค่ได้ยิน หูเมื่อถูกกระทบ แต่พอมีใจใส่ลงไป ได้ยินเสียงก็เริ่มแบ่งแยก อันนี้เสียงไพเราะ อันนี้เสียงไม่ไพเราะใช่ไหม (ใช่) จึงแตกเป็นสอง แต่พระพุทธะสอนว่าถ้าเมื่อไหร่ได้ยิน สักแต่ได้ยิน ตัวตนตัวนี้ สามารถวางทิ้งได้ เมื่อนั้นศิษย์จะไม่เกิดอีกต่อไป แต่การเกิดของครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หรือเรียกว่าการได้ยินที่ทำให้ศิษย์สิ้นทุกข์ได้ในชาตินี้ เดี๋ยวนี้ แต่ศิษย์ไม่ใช่ เวลาได้ยินแบ่งเป็นดี ร้าย ชอบ ชังใช่ไหม (ใช่)  เวลามองเราไม่ใช่แค่เห็น เราเอาตัวตนใส่เข้าไป การมองก็เกิดการแบ่งแยกว่า สวย ไม่สวย นรก สวรรค์ทำงานตลอดเวลา แต่ถ้าทุกขณะศิษย์เห็นแค่เห็น แล้วมองว่าที่สวยมันไม่สวย ที่มีแท้จริงไม่มี จะกลับเข้าสู่ความว่าง
ฉะนั้นนิพพานนั้นไซร้ อยู่ที่ใจคลายจางออก แค่นั้นเอง แต่ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น ก็คือนรก แล้วก็ต้องมาแก้ด้วยการทำสวรรค์มันก็เวียนไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเห็นก็กลายเป็นสวย ไม่สวย เวลากินก็กลายเป็น (อร่อย, ไม่อร่อย)  แล้วทำไมอาจารย์ถึงบอกว่า กินไม่ใช่แค่อิ่ม แต่กลายเป็นต้องอร่อย และไม่อร่อยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์เทียบง่ายๆ แค่กินนะก็ก่อเกิดกรรม และเรียกว่าวิบากกรรมไม่สิ้นสุดได้ พออร่อยไปกินอีกไหม (กินอีก)  พออร่อยไปเอาอีกไหม (เอาอีก)  พอไม่อร่อยด่าไหม (ด่า)  นั่นแหละวิบากกรรมเกิดเลย เพียงแค่กินแล้วมีตัวเองใส่เข้าไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ขอแค่มีสติรู้เท่าทัน ท่านจึงบอกว่ารู้เมื่อไหร่ก็พ้นทุกข์เมื่อนั้น แต่ไม่ใช่รู้ข้างนอก รู้ในตัวเอง เพราะอะไรเพราะสังขารที่เรียกว่ากามคุณทั้งห้า จริงๆ แล้วมันเป็นอะไร มันไม่เที่ยง มันยึดมั่นไม่ได้ มันมีทุกข์มาก มันมีโทษ มันเป็นเหมือนก้อนไฟร้อนที่จับเมื่อไหร่ก็ต้องวิ่งไปตามมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหลงพอใจก็คือหลงพอใจในทุกข์ หลงยินดีก็คือหลงยินดีในทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ามนุษย์เมื่อไหร่พอใจในกามคุณ พอใจในตัณหา ยินดีในโลภ ยินดีในรัก นั่นก็คือหนีไม่พ้นทุกข์ โศกและวิตกกังวล แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์คลายความทุกข์นั้นได้ มนุษย์ก็หมดทุกข์ได้
ฉะนั้นศิษย์อย่าเป็นคนแค่ทำบุญ แต่ต้องเอาให้ถึงกุศล กุศลคือหนทางที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ที่แท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  ทำโดยไม่ยึดติด ทำโดยมองเห็นแจ้งความเป็นจริงในโลกนี้ว่ามันไม่เที่ยง ว่างเปล่า เป็นทุกข์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจหลักสัจธรรม ศิษย์จะพบคำว่าโลกนี้มันเป็นความว่างเปล่า และคงอยู่แค่เพียงชั่วคราว และทุกสิ่งล้วนเป็นกลางอยู่แล้ว แต่มนุษย์หลงผิดคิดว่ามันมีดี มีร้าย มีได้มีเสีย จริงๆ แล้วไม่ใช่ มันกลางอยู่แล้ว แต่เรามองแค่เห็น เราไม่มองให้กว้าง ถูกไหม (ถูก)  เหมือนบอกว่า “ศิษย์แก่” โกรธไหม โดนด่า “ไอ้แก่”  โกรธไหม (โกรธ)  โกรธทำไมล่ะก็แก่จริงๆ แล้วน่าจะดีใจด้วยว่าแก่แล้วยังมีคนแก่กว่าแล้วกันนะ ฉะนั้นใครล่ะแก่จริง ถ้าศิษย์เข้าใจธรรมะ นิพพานเป็นสิ่งที่ไปไม่ยากหรอก แต่ศิษย์มักไม่เข้าใจและรู้ไม่เท่าทันตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นรูปดอกบัวสามเหล่า)
อาจารย์ให้ศิษย์แบบนี้นะ เพราะวันนี้มีคนฟังอาจารย์ บางคนเหมือนดอกบัวดอกนี้ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ บางคนเหมือนจะรู้เรื่อง บางคนฟังแล้วเข้าใจเลย ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะเปรียบคนเหมือนบัวสามเหล่าแค่นั้นนะ แต่คนมีสี่ประเภท คนที่รู้ช้า ต้องเพิ่มอีกนิดถึงจะรู้ แต่อันนี้แค่ฟังก็รู้ทันที ปัญญาคนเปลี่ยนได้ ปัญญาคนเพิ่มได้ อย่าปล่อยให้ชะตากรรมเป็นไปตามอย่างนั้น พลิกใจได้ก็พลิกชีวิตเป็น พลิกใจไม่ได้ก็ทุกข์ไม่จบสิ้น ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะเป็นบัวพ้นน้ำที่ไม่กลัวแม้กระแสน้ำมันจะเชี่ยวกราดขนาดไหนก็ตาม ถึงพ้นแล้วแต่บางทีก็ยังหนีไม่พ้นคำพูดคนเรื่องของคนในโลก ฉะนั้นโดนกระทบโดนกระทั่งบ้างก็จงดึงตัวเองให้พ้นตลอดแล้วพ้นถึงที่สุด อย่าเป็นคนที่พ้นน้ำแล้วกลับลงไปจมกับน้ำใหม่ ได้ไหม (ได้)  รู้ตื่นแล้วนำพาตัวเองให้พ้น เราเกิดมาบนโลกนี้มีหนทางอีกทางหนึ่งคือทางพระนิพพาน ไม่ต้องดับพระนิพพานก็ได้ แต่หนทางเขาเรียกว่าสงบเย็นพ้นทุกข์ไม่แค่บุญกับบาป นรกกับสวรรค์ เขาเรียกว่าทางแห่งพุทธะ จะค้นพบได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถเข้าถึงความจริง หนทางการบำเพ็ญเมื่อเลือกแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด เมื่อตั้งใจแล้วต้องไปให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเลือกปฏิบัติแล้วทำไมไม่ทำให้งดงาม อาจารย์แปลกใจนะมนุษย์เพื่อความสวย เพื่อความหล่อเจ็บอย่างไรก็ยอม เหนื่อยขนาดไหนก็ทนเพื่อความสวยทำได้ แต่ทำไมเพื่อความงามในจิตใจทำไมยอมทำกันไม่ได้ ถ้าศิษย์รักสวยงามเหมือนรักหน้าตา รักความดีงามเหมือนรักหน้าตา อาจารย์คงดีใจไม่น้อยนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพื่อความสวยเจ็บอย่างไรก็ทนได้ แต่แปลกมาก เพื่อความดีในจิตใจ ทำไมแค่นิดหน่อยศิษย์ทนไม่ได้อาจารย์ไปแล้วนะดูแลตัวเองกันดีๆ อย่าหลงผิดทางอีกนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญอย่าหลงกับความสวยงามอันรูปไม่เที่ยงเลย คำว่าวิปลาสของอาจารย์ แปลว่าเห็นผิดเป็นชอบเห็นไม่ดีว่าดี ถูกไหม
ฉะนั้นศิษย์อย่ามีความคิดวิปลาส ศิษย์อย่ามีความคิดที่ผิด เหมือนเรายึดติดในตัวเองว่ามันสวย แต่จริงๆ พระพุทธะบอกว่ามันไม่เคยสวยเลย เพราะในความมีมันมีพร้อมความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไปยึดมันทำไม เราแค่เกิดมายืมใช้และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถึงเวลาก็ปล่อยมันไป มันอยากตายก็ตาย แต่จิตของศิษย์ต้องไม่ตาย จิตที่ได้รับหนึ่งจุดชี้ มันเป็นสิ่งที่สงบ สว่าง และพ้นการเวียนว่ายตายเกิดมานานแล้ว แต่เรามักจะยึดติดแค่เพียงสังขาร ทั้งที่จริงๆ กายสังขารและใจมันไม่เคยเที่ยง และผลที่สุดมันก็ดับสลายไปตามกาลเวลา มีแต่จิตอันนี้ที่ศิษย์ได้รับหนึ่งจุดชี้ เมื่อไหร่ศิษย์จะเจอสักครั้ง เมื่อไหร่ศิษย์จะค้นพบสักครั้ง จงเอาจิตที่พ้นเวียนว่ายตายเกิด จิตที่นิ่ง สงบ สว่างแล้วกลับไปหาอาจารย์ อย่าเอาใจมาหาอาจารย์ เพราะใจมันไม่เที่ยงมันพลิกตลอด มันวุ่นไปตามอารมณ์ตลอด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่าเอาตัวตนมาให้อาจารย์เห็น เพราะตัวตนนั่นแหละคือตัวที่ทุกข์ที่สุด และเป็นกรงขังศิษย์ไม่มีวันจบสิ้น รักศิษย์ทุกคน มีโอกาสมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์
วันนี้มาฟังธรรม ไม่ใช่เป็นแค่คนดี มาฟังธรรมเพื่อหาหนทางพระนิพพาน มาฟังเพื่อหาทางพ้นทุกข์ มีโอกาสกลับมาอีก ไม่ว่าศิษย์จะเป็นคนยังไง อาจารย์ให้อภัยเสมอ ไม่ว่าศิษย์จะดื้อขนาดไหน อาจารย์ก็รอศิษย์กลับมา อวยพรให้ศิษย์เข้มแข็ง รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น อย่าเอาแต่อารมณ์ กลับมาอีก ตั้งใจบำเพ็ญนะเด็กดีของอาจารย์ อย่าเอาแต่ใจ อย่าเอาแต่อารมณ์ รู้จักคิด รู้จักทำด้วยสติ ทำอะไรค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำ อย่าเอาแต่ใจ มีโอกาสมาร่วมบุญกับอาจารย์อีกนะ มาร่วมบุญนำพาให้ก่อเกิดกุศลที่จะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ไม่เวียนว่ายอยู่ในโลกใบนี้ ศิษย์เป็นศิษย์รักของอาจารย์ ฉะนั้นจงดูแลตัวเองให้ดีอย่าปล่อยให้อารมณ์ ความหลงผิดมาทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องใช่ไหม  ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ อย่าพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ตัวเอง อย่าพ่ายแพ้ต่อความหลง มีโอกาสมาร่วมบุญกับอาจารย์อีก ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี ให้งามทั้งข้างนอก งามทั้งข้างในใช่ไหม (ใช่)  ศีลต้องสมบูรณ์ สมบูรณ์หรือยัง กลับมาอีกนะใช่ไหมเด็กดื้อ กลับมาหาอาจารย์อีกนะ  อย่าไปแล้วไปเลยนะศิษย์เอ๋ย  อย่าปล่อยให้อาจารย์   รอเก้อนะ จับมืออาจารย์แล้วทำสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์เอ๋ย อย่าก่อกรรมทำเข็ญนะ ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
ตั้งใจบำเพ็ญ อย่าเอาแต่อารมณ์  มีโอกาสกลับมาอีกได้ไหม กลับมาร่วมงานฟ้า นำพาผู้คน ช่วยเหลือตัวเอง และนำพาผู้คน นำพาชนรุ่นหลังได้ไหมศิษย์ เลือกนำพาสิ่งที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นความเป็นตัวเองมันจะทำร้ายเรา หวังอาจารย์ให้พรหรือ พรอันใดก็ไม่สู้ปฏิบัติดีงาม มีศีล มีธรรม มีโอกาสมาศึกษาอีก ศิษย์เป็นคนมีความรู้ มาช่วยอาจารย์ได้ไหม อย่าดูเบาคุณค่าของตัวเอง อย่าดูเบาความดีงามในใจของตัวเองนะศิษย์ มีโอกาสมาร่วมบุญกันอีก แม้ศิษย์ไม่เชื่อ แต่จงเชื่อในความดีของตัวเอง  แม้ศิษย์ไม่ศรัทธาอาจารย์ แต่จงศรัทธาในความดีของอาจารย์ไม่ได้หรือ  น่าเสียดายนะถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่อง รู้หรือ รู้อะไร รู้ว่ามนุษย์เรามีธรรมที่ประเสริฐอยู่ในตัว นั่นเรียกว่าจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้อันสว่างแต่มันมืดมนไป เป็นเพราะกิเลส เป็นเพราะอารมณ์ความเป็นตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ มีโอกาสมาฟังให้ครบนะ ตั้งใจปฏิบัติให้ดี อย่าไหว้แต่อาจารย์ภายนอก แต่ข้างในไม่ปฏิบัติอย่างนั้นเปล่าประโยชน์ใช่ไหม จับมือกับอาจารย์แล้วตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้ อย่าหน่ายท้อ ตั้งใจให้ดี อย่ากลัวความยากลำบาก อย่าหลงทาง ศิษย์กลับมาอาจารย์ดีใจ เอาบุญมาช่วยคน ไม่ใช่เอาบุญนั้นมาทำให้คนหลง ตั้งใจบำเพ็ญ เพื่อตัวเองนะศิษย์ และนำพาคนให้ถูกทาง ทำได้ดีแล้ว อาจารย์ก็ปลื้มใจ เดินให้ถูกทางอาจารย์ก็ดีใจแล้ว ศิษย์นำพาคนด้วยความเมตตา อย่าเข้มงวดจนเกินไป ระมัดระวังอารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์มาทำร้ายตัวเอง ตั้งใจบำเพ็ญ อย่าเอาแต่อารมณ์ ทำอะไรรู้จักคิดรู้จักทำนะอาจารย์ให้บุญ ให้บารมี ให้ความดีงามศิษย์ แต่ศิษย์ก็ต้องรู้จักรักษาความดีงามในตัวเองด้วย อย่าปล่อยให้ความดีงามของตัวเองถูกทำลาย เพียงเพราะ ความคิดผิด คิดไม่ดี เอาแต่ใจ ชอบเที่ยวดีไหม คนในโลกเขารักคนดี แม้แต่ตัวศิษย์เองก็รักคนดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมเราไม่ทำดี ทำไมต้องรอให้คนอื่นมายุยง คิดเองไม่ได้หรือ แล้วต้องรอให้เกิดอุบัติเหตุ รอให้ตัวเองแย่ แล้วถึงจะกลับใจ มันสายไปไหม อาจารย์เชื่อนะศิษย์ทุกคนมีความดีงามอยู่ แต่อยู่ที่ว่าแน่แค่ไหน ถ้าแน่ก็ทำให้ถึงที่สุด อย่าแน่ในทางชั่ว ต้องแน่ในทางดีใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่แน่เอาแต่เที่ยว แต่ไม่รับผิดชอบอะไร อย่างนี้เขาเรียกเห็นแก่ตัวถูกไหม (ถูก)  เรียนยากก็ขยันใช่หรือเปล่า แค่ไม่กลัวลำบาก สู้ไม่ท้อมีอะไรยากบ้างใช่ไหม (ใช่)  มัวแต่รักสบายมันจะมีแต่แย่กับแย่ คิดให้ดีๆ สิ่งที่อาจารย์พูด โกหกหรือ ตั้งใจบำเพ็ญให้ถึงที่สุด
มีโอกาสกลับมาร่วมงานกับอาจารย์ได้ไหม   มนุษย์ทุกคนต่างมีกรรม ฉะนั้นรู้จักสร้างสิ่งที่ดี   เพื่อชดใช้กรรมตัวเองนะศิษย์   อย่าคะนอง     อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต รักษาความดีงามไว้นะ เชื่ออาจารย์ ทำให้ได้นะ อย่าไปชนวัว อย่าไปกินเหล้า  อาจารย์ขอได้ไหม ขอแล้วจะซื้ออีกไหม หนทางดีงามมีอยู่แล้ว ศิษย์ไม่เลือกเดิน ทำไมเลือกเดินทางนรก ความดีงามมีอยู่ในตัว ทำไมไม่ทำ เพียงเพราะความเกียจคร้าน เพียงเพราะความเห็นแก่ตัว เพียงเพราะเอาแต่อารมณ์จึงทำผิดหรือ  อาจารย์ไปแล้วนะ อาจารย์อยากเห็นศิษย์เป็นคนดีจริงๆ นะ อาจารย์ไม่คิดหลอกศิษย์หรอก อยากให้ศิษย์กลับคืนฟ้าด้วยหัวใจที่ดีงาม กลับคืนฟ้าด้วยจิตเดิมแท้ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอ๋ยแล้วกลับฟ้าไปด้วยกัน เชื่ออาจารย์เถอะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ ”
ถึงต่างแต่มีหนึ่งแท้ในสัจธรรม 
ต่างเป็นไปตามบุญบาปกรรมนำหนุน ช้าเร็วต่างปัญญาบ่มเพาะธรรมคุณ
จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยหนุนกุศลกรรม (ตราบไม่สิ้นทุกข์จงเพียรในความไม่ประมาท)


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา