วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

2558-05-23 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二一五年 歲次乙未四月六日            仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘     สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  บำเพ็ญธรรมอย่าเป็นคนช่างประจบ   นินทาคนวนไม่ครบจบไม่ลง
ไม่มีใครเป็นกาใครเป็นหงส์                         ทางสายตรงอย่าเดินเล่นอ้อมไปมา
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  ดีร้ายแปรทุกขณะไหนถูกผิด           นิ่งทุกขณะไม่ปล่อยจิตกระเพื่อมไหวผิดพลาดโดนใหญ่เตลิดมาฝึกใจ     กี่ครั้งกระทบก็ไม่ปล่อยกิเลสครอง
ใครร้ายอย่าจำเก็บมาใส่ใจ               อย่าเอาใจใส่มากไปจับจ้อง
เที่ยวใส่ใจได้ทุกข์มาครอบครอง          ไม่อาจจองคุมสุขแม้ใจตน
วางเฉยอารมณ์เป็นไม่วุ่นพลุ่งพล่านหนา การตามอารมณ์พาขาดการฝึกฝน
ไม่ลืมตัวคนสติดีรู้ตน                      หลงชีวิตประมาทจนทับถมจมท้าย
อยากสงบต้องหมั่นฝึกอภัยเป็นทาน     รู้ตัวทันเท่ารู้โลกบ้างไหม
แม้ถูกข่มกล้าอารมณ์เสียออกไป         คิดก่อนหว่านสิ่งใดจนใจตน
สร้างเหตุจึงตามมาซึ่งผลนั้น              ไม่หยุดกั้นบาปกรรมแต่กลัวผล
กรรมสนองวอนพุทธะหนุนช่วยบันดาลดล   ไยไม่คิดก่อนทำตนเช่นไร

ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  ไหวหรือเปล่า (ไหว)  ใจสู้อะไรก็ไหว ถ้าใจไม่สู้นิดหน่อยก็ไม่ไหว ใจชอบอะไรก็ทำได้ แต่ถ้าใจไม่ชอบ ใจไม่รัก นิดหน่อยก็ไม่อยากทำ  ฉะนั้นตอนนี้สู้และรักที่จะฟังธรรมไหม ถ้าสู้ ถ้าไหวอย่างนี้
ปิดพัดลม ปิดแอร์ ก็คงไม่มีปัญหา ถูกไหม (ถูก)  โดยส่วนใหญ่ถ้าใจเราสู้ ยากแค่ไหนเราก็ฝ่าฟันได้ ถ้าใจเรารักที่จะทำให้สำเร็จ ลำบากแค่ไหนเหนื่อยแค่ไหนเราก็ฝ่าฟันจนได้ สิ่งสำคัญคือหัวใจเรา รักและสู้หรือเปล่า
วันนี้มาฟังธรรมก็เหมือนกัน รักที่จะฟังธรรมไหม รักที่จะเรียนรู้ธรรมไหม (รัก)  ถ้ารักทำไมสู้ไม่ได้ และถ้าเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
นิดๆ หน่อยๆ จะยอมพ่ายแพ้หรือ (ไม่ยอม)
  หรือเป็นคนที่ยังไม่ทันทำอะไรก็แพ้ตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่)  นักเรียนชั้นนี้เป็นคนขี้แพ้ไหม (ไม่)  ไม่มีใครอยากเป็นคนขี้แพ้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนชนะคนอื่นทำไมไม่เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะไปสู้กับคนอื่น สู้ใจตัวเองไหวไหม (ไหว)  เราอยู่ในโลกเราตามใจตัวเองจนเคยชิน เราปล่อยใจตัวเองจนเสียนิสัย การมาอบรมธรรมก็คือ การมาฝึกทวนกระแสแห่งจิตใจบ้าง
มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก ฉะนั้นอยากหยุดโรคภัย อยากหยุดพิษภัยก็ต้องระวังปาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ ก็บ่น ก็พูด ก็ด่า แล้วเราเป็นเช่นนั้นไหม (ไม่เป็น)
มีใครในโลกบ้างที่เป็นคนดีแท้จริง มีใครในโลกบ้างที่เป็นคนถูกแล้วไม่มีวันผิด และมีใครในโลกบ้างที่เป็นคนผิดแล้วไม่กลับกลายเป็นคนถูกบ้าง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วจะบ่นทำไม ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วจะว่าเขาได้อย่างไร
ใช่ไหม (ใช่)
  ผิดถูกก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง เกิดขึ้นก็แค่ขณะหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาที่เปิดกว้าง มองด้วยใจที่ไม่คับแคบจนเกินไป จริงๆ แล้ว
ในโลก ไม่มีใครที่แย่ที่สุดและไม่มีใครที่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
  เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วใครหรือที่จะต้องบ่นปากเปียกปากแฉะ และจะมีใครบ้างหรือ
ที่เราจะต้องด่าจนเจ็บใจ มีไหม (ไม่มี)
  ลองมองให้กว้างๆ ให้ทั่วๆ ให้ชัดว่าใครถูกเสมอ ใครผิดตลอด ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเข้าใจแจ่มชัด แล้วอารมณ์จะเกิดไหม (ไม่เกิด)  เมื่ออารมณ์ไม่เกิด แล้วเราจะก่อกรรมทำเข็ญด้วยวจีกรรมไหม ฉะนั้นถ้ารู้ชัด ก็ไม่จำเป็นต้องทำบาปกรรมใดๆ เลย แต่เพราะมนุษย์เราอยู่ในโลก ไม่เคยมองอย่างชัด ไม่เคยรู้อย่างแท้จริง จึงอดไม่ได้ที่จะสร้างบาปกรรม ทางปาก กาย และใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นหลักธรรมจึงต้องมีคำสั่งว่าอย่าพูดหากพูดแล้วจะก่อวจีกรรม จงคิดให้ดีก่อนว่า สิ่งที่พูดนั้นจริงไหม ดีหรือเปล่า พูดแล้วกอปรไปด้วยเมตตาจิตด้วยหรือไม่ พูดแล้วสุภาพหรือเปล่า พูดแล้วมีประโยชน์ไหม ถ้าจริงแต่
ไม่ดีก็อย่าพูด ถ้าดีแต่ไม่ได้กอปรไปด้วยเมตตาจิตก็อย่าพูด เพราะไม่เช่นนั้นจะมีคำกล่าวไว้ว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับขวานที่อยู่ในปาก ซึ่งคนพาลมักจะกล่าวคำชั่ว เมื่อไรที่คนพาลเกิดมาพร้อมความชั่ว เท่ากับคนนั้นเกิดมาพร้อมกับมีขวานอยู่ในปาก และฟันตัวเองให้เจ็บปวด เราคิดว่านักเรียน
ในชั้นคงไม่เกิดมาพร้อมกับขวานในปากนะ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น)
  แล้วยังมีคำกล่าวต่ออีกว่า บุคคลที่ติคนที่ควรสรรเสริญ และสรรเสริญคนที่ควรติ คนนั้นชื่อว่า (เก็บความชั่วไว้ในปากตัวเอง)  เราเป็นเช่นนั้นไหม คนที่ควรตำหนิเรากลับชม คนที่ควรชมเรากลับตำหนิ นั่นก็น่ากลัวนะ ถ้านักเรียนในชั้นเกิดมาพร้อมกับขวานอยู่ในปาก ถูกไหม (ไม่ถูก) ฉะนั้นคนพาลคือคนที่กล่าวคำชั่ว ใครที่พูดคำชั่วร้าย ทำให้คนอื่นเจ็บปวด คนนั้นได้ชื่อว่า เกิดมาพร้อมกับขวานที่อยู่ในปาก เราเชื่อว่ามีกันทุกคน เราถามเพื่อยืนยัน มีใครบ้างอยู่ในโลกโดยไม่นินทาใครเลย (ไม่มี)  แปลว่าท่านเกิดมาพร้อมกับขวานในปาก คนพาลชอบทำอะไรเอาแต่อารมณ์ มักจะพูดแต่สิ่งไม่ดีงามและไม่ถูกต้อง
เป็นโอกาสดีที่ได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะ เป็นการยากที่จะเชื่ออะไรได้ง่ายๆ ใช่ไหม ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะ ลองสนทนาคุยกันดู เปลี่ยนบรรยากาศจากการฟังอย่างเดียว เป็นการถกธรรมะพูดคุยกันบ้าง ดีไหม (ดี)  แลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันอีกแบบหนึ่ง ได้หรือไม่ (ได้)
ส่วนใหญ่เราเรียนรู้หลักธรรมะ ธรรมะสอนให้เราเป็นคนดีและคนเก่ง ธรรมะสอนให้เราเป็นคนต้องสำเร็จ ห้ามล้มเหลวใช่ไหม (ใช่)  มีสติคิดหน่อย ธรรมะสอนให้เราเป็นคนดีเป็นคนเก่ง และต้องเป็นคนสำเร็จเท่านั้นใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าธรรมะ สอนให้เรารู้จักแพ้ก็ได้ เสียก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เมื่อเรียนรู้ธรรมะ ธรรมะสอนให้เราแพ้ก็ได้ ล้มก็ได้ ทุกข์ก็ได้ แล้วทำไมถึงชอบพูดว่าไหว้พระแล้วยังทุกข์ ตกลงธรรมะสอนว่าให้ทุกข์ได้ไหม (ได้)  เป็นคนดีแล้วทำไมยังโดนคนว่า ฉะนั้นเรียนรู้หลักธรรมแล้ว
แพ้ได้ไหม ทุกข์ได้ไหม ล้มเหลวได้ไหม (ได้)
ถ้าเราไปไหว้พระ สะเดาะเคราะห์ ทำสังฆทาน แล้วยังเจอเคราะห์
ก็เป็นเรื่องธรรมดา เราอยากย้ำให้ท่านรู้ในใจ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์มักจะพูดว่า ไหว้พระแล้วทำไมยังมีเคราะห์อีก ไปบวชพระแล้ว
ไปศึกษาธรรมะแล้ว ทำไมยังทุกข์อีก แปลว่า การไปไหว้พระ ไปทำสังฆทานห้ามทุกข์ ห้ามเคราะห์ ห้ามแพ้ ห้ามป่วยใช่ไหม (ไม่ใช่)
  แล้วทำไมเวลาไปไหว้พระหรือไปทำบุญ จะต้องคิดว่าห้ามทุกข์ เพราะธรรมะไม่ได้สอนให้เราหลง แต่ธรรมะสอนให้เรากล้าที่จะเรียนรู้สู้กับความจริงที่เรียกว่า ชีวิต”  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเกิดอยากเรียนรู้ชีวิต จะเป็นไปได้ไหมว่าโลก
ใบนี้ต้องมีแต่ความสว่างห้ามมืด โลกใบนี้นิ้วทุกนิ้วต้องเท่ากัน ห้ามมีสั้น
มียาวได้ไหม (ไม่ได้)
  โลกใบนี้หัวใจคนต้องเท่ากัน ห้ามมีใครใหญ่กว่าเล็กกว่าได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้อย่างนั้นจะเอาอะไรกับความไม่แน่ของชีวิต
ฉะนั้นถ้ารักที่จะมีชีวิตก็ต้องยอมรับความตาย ถ้ารักที่จะอยู่กับคน
ก็ต้องยอมรับการถูกนินทาว่าร้าย ถ้ายอมรับที่จะเสาะหาแสวงหาของ
ในโลก ก็ต้องยอมรับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ถ้ารักที่จะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะเจ็บและทุกข์ ถ้าอยากรักก็ต้องกล้าที่จะเจ็บ ถ้าอยากมีชีวิตก็ต้องกล้าตาย เพราะฟ้าไม่ใช่สว่างแล้วมืดไม่ได้ คนไม่ใช่ดีแล้วร้ายจะไม่มี นอกจากว่าถ้าใจมนุษย์ไม่อยากมีอยากได้จนเกินไป คนใจกว้างก็จะไม่คับแคบหรอก
ถ้าใจมนุษย์ไม่อยากมีอยากได้เกินไป คนใจเย็นก็คงไม่หงุดหงิดง่ายๆ หรอก จริงไหม (จริง)
  ธรรมทั้งหลายล้วนสอนให้รู้ว่า เมื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตแล้ว ทำจนถึงที่สุดแล้ว บางครั้งก็ต้องรู้จักยอมรับและปล่อยวางที่จะเป็นไป ไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือร้ายก็ตาม จึงมีคำพูดคำหนึ่งว่า ธรรมทั้งหลาย
ทั้งมวลอยู่ที่การปล่อยวางใจเป็นไหม
ถ้าเอาแต่มีความอยากอยู่ร่ำไป
คนใจกว้างก็พร้อมจะใจแคบ คนใจดีก็พร้อมจะใจร้าย ถ้าเอาแต่อยาก
ตามอกตามใจคนก็คงดิ้นรน ยากจะพบความสุขได้ แต่ถ้ามนุษย์รู้ที่ใช้ชีวิต
ให้เป็น และวางใจให้ดี โลกใบนี้ก็มีที่กว้างพอให้เรายืนอยู่ และโลกใบนี้ก็คงไม่ผูกพันทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีอิสระและหาความสุขไม่ได้
(ต้องปล่อยวาง) ความหมายว่า ถ้าเรารักที่จะมีชีวิตอยู่ อย่าเลือก
ที่รักมักที่ชัง เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิต ย่อมมีได้ มีเสีย มีทุกข์ มีสุข มีเกิด มีตาย ถูกไหม (ถูก)
  อยากมีชีวิต แต่ไม่อยากได้ ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากมีความสุข แต่ไม่อยากมีความทุกข์ ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากมีแต่รัก แต่ไม่อยากเจ็บปวดในรัก ได้ไหม (ไม่ได้)  อยากอยู่กับคน แต่ไม่อยากถูกนินทา ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อไม่ได้ พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า การเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่แค่เป็นคนดี ไม่ใช่แค่เป็นคนเก่ง แต่เรียนรู้เข้าใจหลักธรรมแห่งชีวิต และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ถึงเวลาต้องยอมรับผล ไม่ว่าผลนั้นจะดีหรือร้ายก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ คิดว่าทำอะไรแล้วก็ต้องสำเร็จเท่านั้น ต้องชนะเท่านั้น ต้องดีเท่านั้น ต้องไม่ถูกว่าเท่านั้น อย่างนี้ถูกหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นเมื่อทำเต็มที่แล้ว ถูกว่ากล่าว ก็เป็นธรรมะของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แพ้ก็เป็น (ธรรมะ) ของชีวิต ฉะนั้นถ้าทำให้ถึงที่สุด ก็ต้องปล่อยวางใจ อย่าไปยึดจนเกินไป เพราะธรรมะสอนไว้ว่า โลกนี้เป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ครอบครองไม่ได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ใดใดในโลกล้วนไม่ควรยึดมั่น
ถือมั่น ถูกไหม (ถูก)
  พอเข้าใจไหม ฉะนั้นหากกลับบ้านไปมืดค่ำแล้วถูกคนที่บ้านว่ากล่าว แล้วจะเสียใจไหมที่มาฟังธรรม (ไม่เสียใจ)
ถ้ารักจะมีชีวิต อย่ารังเกียจความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงคือส่วนหนึ่งของชีวิต และส่วนหนึ่งของชีวิตก็เหมือนกับฟ้า มีสว่าง แล้วไม่มีมืดได้ไหม (ไม่ได้)  มีคำชมแล้วไม่มีคำด่า ได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมยังมีคำว่า “ไม่ได้” กับคนอื่นอยู่อีก
คนโบราณคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้าอยากจับไฟ แล้วไม่ถูกไฟแผดเผา
ก็อย่าคิดไปเล่นกับไฟ ใช่ไหม (ใช่)  ไฟไม่แผดเผาใคร ถ้าใครไม่คิดอยาก
ไปจับ ถูกหรือไม่ (ถูก)
  หินไม่คิดทำให้ใครหนัก ถ้าคนนั้นไม่คิดจะยก
ถูกหรือไม่
(ถูก)  ในทางเดียวกัน น้ำเชี่ยวจะไม่ทำให้เรือคว่ำ ถ้าคนไม่คิดอยากจะล่องเรือไปขวาง ใช่ไหม (ใช่)  งูจะไม่มีวันกัดใครถ้าคนนั้น ไม่ไปเบียดเบียนและเกี่ยวกรรมกับมัน ถูกไหม (ถูก)
ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ชีวิตจะไม่ทำให้เราทุกข์ ถ้าเราไม่ยึด ไม่ไปช่วงใช้ ไม่ไปยุ่งยาก ไม่ไปก้าวก่าย แค่ยอมรับในสิ่งที่ต้องเป็นไปเท่านั้นเอง
ถูกหรือไม่ (ถูก) และเรียนรู้เข้าใจด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ถูกหรือไม่ (ถูก) ดังที่เมื่อสักครู่เราบอก ถ้าใจเรากว้างพอก็คงไม่มีใครในโลกใจร้ายหรอก

ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจิตใจเราเย็นพอ ก็คงไม่มีใครทำให้ใจเราวุ่นวายได้หรอก จริงไหม (จริง)  ฟังแค่นี้ยากหรือเปล่า (ไม่ยาก)
ถ้าเราใจกว้างและใจเย็นมากพอ ใครหรือจะดี ใครหรือจะร้าย ไม่มี อะไรเรียกว่า สุขและทุกข์ก็ไม่ปรากฏ แต่จะเป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งที่เรียกว่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม ถ้าจริงท่านคงจะไม่มองเห็นโลกนี้ร้ายหรือดีหรอก และจะไม่เห็นโลกเป็นทวิภาวะ แต่ใจของมนุษย์ยังมีสิ่งที่เรียกว่าชอบและชัง เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่าชอบและชัง ก็เลยเกิดคำว่าดีและร้าย ได้และเสีย สุขและทุกข์ แต่เมื่อใดใจเรากว้างจนหาที่สุดไม่ได้ ใจเราวางเฉยกับทุกสิ่งที่ดีร้ายได้เสีย จะมีอะไรที่เรียกว่าดี อะไรที่เรียกว่าร้าย อะไรที่เรียกว่าทุกข์และสุข มีแต่ความจริงที่หมุนเวียนไปตามเหตุปัจจัยอันบริสุทธิ์และยุติธรรมแล้ว แต่บางครั้งพอหมุนเวียนเปลี่ยนไป ทำไมไม่เป็นแบบนั้น แบบนี้ เพราะความอยากมี อยากเป็น อยากได้ เหมือนสักครู่ที่เราบอกว่า ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ จึงทำให้ใจที่กว้างกลายเป็นใจแคบ ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ เลยทำให้คนที่ใจเย็นกลายเป็นคนที่โมโหฉุนเฉียวง่าย
ฉะนั้นถ้าคุมใจได้ก็คุมโลกได้ ถ้ายังคุมใจและทำใจไม่ได้ ก็คุมโลกนี้ไม่ได้ เราก็จะโมโหตายเสียเปล่าๆ เหมือนที่เราพูดเมื่อสักครู่ ไฟจะไหม้มือเราได้ไหม ถ้าเราไม่อยากไปจับหินจะทำให้เราหนักได้ไหม ถ้าเราไม่ไป (ยก)  ฉะนั้นเรื่องราวบางเรื่องจบไปแล้ว ผ่านไปแล้วเสร็จไปแล้ว ทำไปเรียบร้อยแล้ว จะมาแบกทำไมให้หนักใจ จะไปแหย่ไฟทำไม เมื่อรู้ว่าแหย่แล้ว (ร้อน)  จะไปยุ่งทำไม ถ้าไปยุ่งแล้วทำให้ชีวิตยิ่งวุ่น เราจะเบียดเบียนชีวิตใครทำไม ถ้าเราไม่อยากถูกใครเบียดเบียน สัจธรรมชีวิตล้วนเป็นจริงเช่นนั้นตั้งแต่ต้น ถ้าเข้าใจตั้งแต่ต้นชีวิตจะยุ่งยากไหม (ไม่ยุ่งอยาก)  จบไปตั้งแต่ยังไม่เกิดเรื่องเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เราจะสอนให้ท่านเป็นคนที่ไม่สู้ชีวิต แต่เราบอกตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าท่านทำอย่างที่เราพูดไม่ได้ ทำให้ดีที่สุด ถึงที่สุดแล้วยอมรับผล ไม่ว่าผลนั้นจะดีหรือร้าย เพราะเราไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่สามารถควบคุมได้คือ ขณะนี้ตอนนี้ทำให้ดีที่สุด มีธรรมและรักษาศีลให้ดีที่สุด ถึงเวลาวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เหตุและผลปัจจัยที่เป็นไป ฉะนั้นถ้าเราทำแล้วจะไปยกทำไมให้หนัก ถ้าเกิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ก็ยอมรับผลที่จะตามมา ผลจะเป็นอย่างไร ก็ท่านเป็นคนบอกเอง กล้าที่จะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะทุกข์ รักที่อยากจะมีความรัก ก็ต้องกล้าที่จะเจ็บ รักที่จะมีชีวิตก็ต้องกล้าที่จะตาย รักที่จะเสี่ยงในการแสวงหาเงินทอง ก็ต้องกล้าที่จะล้มและแพ้เป็น  ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้แค่เป็นคนดี ไม่ได้สอนให้ท่านรู้จักหวังดีกับคน แล้วแพ้ไม่ได้ เสียไม่ได้ ยอมไม่เป็น สู้ไม่เป็น อย่างนั้นไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะสอนให้เป็นคนดีแล้วต้องแพ้เป็น เสียได้ กล้ารับความจริง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยที่หมุนเวียนไปตามความเป็นจริง เราเกิดมาเป็นแค่ผู้อาศัย ไม่ใช่ผู้ที่อยากมีแล้วต้องมีให้ได้
บางทีมีแล้วก็ต้องไม่มีได้ นั่นแหละจึงเรียกว่า
เข้าใจธรรม
ฟังยากไหม (ไม่ยาก)  เพราะชีวิตล้วนมีกฎเกณฑ์ และกฎเกณฑ์
นั่นแหละเป็นสิ่งที่มนุษย์ลืมเลือนไม่ได้ อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะถ้าใจเรากว้าง โลกนี้ก็ไม่น่ากลัว ถ้าใจเราเย็นและนิ่งพอ โลกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ก็คือ เข้าใจโลกให้เป็น ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)
  ความพลัดพรากเป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เมื่อไม่กลัวก็แสดงว่าพร้อมที่จะเผชิญและรับมือไหว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหลักของโลกใบนี้ที่เราต้องเรียนรู้ก็คือ โลกหรือชีวิต หรือทุกสรรพสิ่งล้วนหนีไม่พ้นการหมุนเวียนเปลี่ยนผัน จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า คนมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความทุกข์เป็นธรรมดา และเมื่อถึงที่สุดแล้วก็มีความตายเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อมันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราจึงไม่สามารถยอมรับความเป็นธรรมดานั้นได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยากรักชีวิต ก็อย่ากลัวความแก่ เจ็บ ตาย ใช่ไหม (ใช่)
ระหว่าง แก่ เจ็บ ทุกข์ ตาย อะไรเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เมื่อสักครู่เราสอนให้ท่านเรียนรู้และเข้าใจแต่บางครั้งก็ยังอดที่จะกลัวและอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ เพราะว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงจนน่ากลัว แค่เราจงอย่าสร้างกรรมเพิ่ม แต่เกิดมาเพื่อใช้กรรม ซึ่งกรรมจะหมุนไปตามเหตุปัจจัย เมื่อเราถูกกระทบ เรานิ่งเป็น เราสงบเป็น เราก็ไม่ก่อเหตุปัจจัยในการสร้างกรรมเพิ่ม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเราถูกกระทบแล้วเราร้าย เราโมโห เราฉุนเฉียว นั่นคือเรากำลังสร้างกรรมไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราเข้าใจ สิ่งที่มากระทบเป็นแค่เช่นนั้น เป็นแค่เท่านั้น แล้วเราจะก่อเกิดกรรมไหม (ไม่)  แต่เราจะเกิดมาเพื่อจบกรรม เมื่อจบกรรมแล้ว สิ่งที่เราดำเนินชีวิตก็คือการไม่สร้างกรรมเพิ่ม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราก็ต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อถูกกระทบแล้วเรานิ่งได้ไหม (ไม่เคยนิ่งได้เลย) อย่างนี้เรียกว่า ทำเวรให้ยืดเยื้อหรือ
ที่เรียกว่าจองเวรจองกรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)
ไม่มีใครร้ายที่สุดถ้าเรามองให้กว้าง ไม่มีใครแย่ที่สุดถ้าเรามองให้ไกล และไม่มีใครดีที่สุดจนทำให้เราหลง ถ้าเรามองให้มากกว่าที่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่มีใครดีที่สุดแล้วเราจะรักใครไหม เมื่อไม่มีใครแย่ที่สุดแล้วเราจะเกลียดใครไหม เมื่อไม่เกลียดใครแล้วเราจะด่าใครกลับไหม เมื่อไม่ด่ากลับแล้วเราจะจองเวรจองกรรมไหม (ไม่)  ก็จบแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะทำอย่างไรเมื่อถูกกระทบจึงสามารถทำให้เรานิ่งและรู้ให้ทัน
เบื่อฟังเราหรือยัง เรายกตัวอย่างง่ายๆ มีนิทาน เราเปลี่ยนเป็นนิทานเผื่อจะทำให้ท่านตื่นนะ มีผู้ชายคนหนึ่งออกจากบ้านไปทำงานทุกวันๆ แต่ทุกวันที่ออกจากบ้านเขาเดินผ่านทางสายนี้ ซึ่งผ่านทางสายนี้จะมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งออกมาทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน แล้วก็ด่าเขา ด่าๆ ด่าจนเขาเดินลับหายไป วันแรกเขาก็งงไม่เข้าใจ ฉันทำผิดอะไรนะแค่เดินผ่านถนนสายนี้
มาว่าฉันจังเลย โดนว่ามาสิบวันทนไหวไหม
(ไม่ไหว)  แค่วันแรกก็ไม่ไหวแล้วใช่ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านคงหันไปตะบันหน้าแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่รู้ไหมพอคนนี้จะวิ่งไปตะบันหน้าเขา ชายคนนี้ก็หนีทุกที และก่อนจะหนียังหัวเราะสะใจที่ว่าได้แล้ว จนกระทั่งผ่านไปเป็นเดือนเขาก็ยังไม่สามารถจัดการกับคนๆ นี้ได้ เขาก็คิดในใจว่า ทำไมต้องว่าฉัน ฉันทำอะไรผิด ฉันก็แค่เดินถนนสายนี้ธรรมดาแต่มีอยู่วันหนึ่งมีเพื่อนบ้านเดินมาบอกว่า
อย่าไปถือสาคนนั้นเขาเป็นคนบ้า เชื่อไหมว่าทุกข์ที่เขาแบกมาตั้งแต่ตอนโดนว่าจนกลับบ้านก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องว่าฉัน มันหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะอะไรหรือ เพราะเราไม่ถือสาคนบ้าใช่ไหม
(ใช่)
เหมือนกันถ้าเราเข้าใจโลกอย่างคนรู้ชัด แต่ไม่ใช่มองทุกคนเป็น
คนบ้าหมดนะ แต่ถ้าเรารู้ชัดสิ่งที่เราโดนว่ามา หรือแบกมามันจะจางหายไปทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาปลอบปะโลมใจ มาแก้ไขอะไรในใจ มันจะปล่อยทิ้งไปได้ทันทีเพราะเราเห็นชัด อย่าไปถือเลย เขาไม่เต็ม เขาบ้าใช่หรือไม่ (ใช่)
  แต่ตอนนี้ใครล่ะกำลังบ้าถือเอาไว้เต็มหัวใจ ถูกไหม (ถูก)  ในเมื่อมันเป็นแค่นั้น เท่านั้น โกรธแล้วได้อะไร น้อยใจแล้วมีอะไรดีขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้ารักที่จะมีชีวิตอย่ากลัวโดนว่า รักจะมีชีวิต และเสี่ยงกับการใช้ชีวิตอย่ากลัวพ่ายแพ้ รักที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้เป็นอย่ากลัวความผิดพลาดล้มเหลว เพราะนั่นคือความจริงหรือเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นคน ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ทุกข์นั้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้เข้าใจแล้วเกิดความเบิกบานใจ
นั่นจึงเรียกว่ารู้และเข้าใจธรรม ใช่หรือไม่
รักจะเข้าใจชีวิตอย่ากลัวความตาย เพราะความตายบางทีอาจทำให้เราได้พักผ่อนชั่วนิรันดร หรือบางทีความตายอาจจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงจากรูปลักษณ์หนึ่งเป็นอีก รูปลักษณ์หนึ่ง กลัวความเจ็บป่วยไหม (กลัว)  อย่ากลัว เพราะความเจ็บป่วยเป็นตัวบ่งบอกให้เรารู้ว่า
เรากำลังทำร้ายร่างกายอย่างผิดๆ ความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่เตือน
ดีกว่า
ไม่เจ็บแล้วตายเลย น่ากลัวกว่านะ
ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงไม่ได้สอนให้แค่เป็นคนดี คนเก่ง
แต่การเรียนรู้หลักธรรมคือ การสอนให้เข้าใจชีวิต และสู้ชีวิตเป็น แพ้ได้ ล้มได้ ทุกข์ได้ แต่อยู่กับทุกข์ อยู่กับความแพ้ และอยู่กับการผิดพลาด ด้วยความความเข้าใจและเบิกบาน ใจสู้ซะอย่างอะไรก็ไม่น่ากลัว
กลัวอย่างเดียวคือใจไม่สู้
วันนี้มาเรียนรู้วิชาธรรมะเพื่อเข้าใจชีวิต ก่อเกิดปัญญา ไม่ใช่มาเรียนรู้ธรรมะแล้วให้เหงาเศร้าตรม มนุษย์มักจะพูดว่า เวลาอยู่ในห้องพระ ถ้ายิ่งอยู่แล้วยิ่งสดชื่น กระจ่าง สว่าง สงบ นั่นแปลว่าเดินถูกทาง แต่ถ้าอยู่ในห้องพระแล้วหม่นหมอง หดหู่ ห่อเหี่ยว แปลว่าเรากำลังปล่อยให้
พญามารครอบงำแล้ว
ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก อย่าคิดแค่เพียงว่าหวังดี ปรารถนาดี
แต่บางครั้งความหวังดี ความปรารถนาดี แต่ถ้าไม่ถูกที่ถูกทางและ
ไม่ยอมรับความจริง
  ความหวังดีความปรารถนาดีก็ทำให้เกิดทุกข์ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำคำพูดคำหนึ่งที่เรากล่าวไว้ดีๆ ว่า ไฟไม่ทำให้มือใครพองหรือ เจ็บปวดถ้าเราไม่คิดที่จะไป (จับ)  หินไม่ทำให้ใครหนักถ้าเราไม่คิดที่จะ (ยก, แบก)  น้ำเชี่ยวไม่ทำให้เรือใครคว่ำถ้าเราไม่คิดที่จะ (ขวาง) และงูก็ไม่คิดที่จะมาเบียดเบียนหรือทำร้ายเราถ้าเราไม่คิดที่ไป (ทำร้ายเขาก่อน)  ฉะนั้นถ้าขึ้นชื่อว่าอยากใช้ชีวิตก็จงอย่ากลัวความจริง เพราะความจริงของชีวิตล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน แต่ที่เรียกว่าดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ล้วนเป็นเพราะมนุษย์สมมติกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเป็นแค่สิ่งสมมติ ซึ่งเราเป็นเพียงแค่ผู้อาศัยยืมสิ่งสมมติมาใช้ ฉะนั้นชีวิตไม่ได้บอกให้ท่านเกิดมาเพื่อทุกข์ แต่ชีวิตสอนให้เราเรียนรู้ทุกข์และเข้าใจทุกข์ด้วยความเบิกบาน นี่จึงเรียกว่า พุทธะ
ถ้าดอกไม้กลัวที่จะเหี่ยวก็คงไม่กล้าที่จะเบ่งบาน ถ้ามนุษย์กลัวความทุกข์และกลัวการมีชีวิตก็คงอยู่บนโลกนี้ได้ยาก ฉะนั้นถ้าอยากมีชีวิตก็จงอย่ากลัวทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าทุกข์แล้วต้องทน แต่ความทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทนได้ยากแล้วจะทนทำไมให้ทุกข์ขัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ความทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วทำไมเวลาเป็นทุกข์แล้วต้อง
ทุกข์ทนแล้วปล่อยให้ทุกข์ขัง ในเมื่อสรรพสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ใจเราไม่ยอมเปลี่ยนตามหรือเปล่า ยังจมอยู่กับความหวังและความต้องการเดิมๆ หรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นโลกเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน ก็จงมีสติและรู้จักยั้งคิดและมองให้เห็นความเป็นจริง เราจะได้ไม่ถูกโลกนี้ทำให้เจ็บปวด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราขอตัวกลับได้ไหม ฟังมาก็เยอะแล้ว ถึงเวลาก็แค่ลงมือปฏิบัติให้จงได้เท่านั้นเอง เราบอกท่านแล้วนะ ถ้าหัวใจเรารู้อย่างแจ่มชัด ไม่มีอะไรเรียกว่าทุกข์และสุข ไม่มีอะไรเรียกว่าน่ากลัวและเจ็บปวด แต่เพราะเรายังไม่รู้ชัดและยังไม่เข้าใจตน จึงมีสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ สุข และความเจ็บปวด
คนในโลกหรือชะตาชีวิตในโลกเป็นคนบ้าหรือเราที่บ้ากันแน่
อยากมีชีวิต
ก็ต้องกล้าที่จะรับความจริง
ถ้าอยู่กับคนยังไม่พ้น แล้วจะพ้นธรรมและโลกได้หรือ ไม่มีทาง ต้องอยู่กับคนจนกระทั่งเข้าใจ จนสามารถพ้นคนได้ ถึงจะพ้นโลกได้และเข้าถึงธรรมได้ แต่ถ้าอยู่กับคนแล้วยังไม่เข้าใจ จะค้นหาธรรมและเข้าถึงโลก เป็นไปไม่ได้หรอก ฉะนั้นจงสู้ชีวิตนะ ดอกไม้ไม่กลัวที่จะ
เบ่งบาน ไม่กลัวที่จะเหี่ยวเฉา
เกิดเป็นคนเมื่อเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลกให้เป็น อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง อย่ากลัวความพลัดพราก
จงเปลี่ยนแปลงด้วยหัวใจที่สู้
ไม่มีอะไรน่ากลัวและไม่มีอะไรเลวร้าย ถ้าใจเราเรียนรู้ที่จะสู้ให้เป็น และยืนให้ได้เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ ขอให้เข้าใจทุกข์ จนเกิดความเบิกบาน มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีก




วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘   สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญธรรมต้องเทียวทำให้คล่องมือ   ความยึดถือต้องเทียวละให้หดหาย
เทียวไปมาตัดก็คล้ายเพิ่มก็คล้าย         แล้วเมื่อไหร่ศิษย์จะพ้นได้แท้จริง
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา                         ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

ในความศรัทธา ศรัทธามากมากจำเป็นหนักหนา ศิษย์อย่าลืมเรียนธรรมคืออะไร เพราะเข้าใจเท่าไหร่ไม่พอ ไม่ว่าศรัทธา ที่มีล้นใจเนื่องด้วยเหตุใด แต่จงบำเพ็ญปัญญาศรัทธาอย่างไร รู้แล้วทำได้หมดยิ่งดี
อย่าโทษฟ้าว่าดินโทษโชคชะตา ที่ได้เกิดมา อย่าโทษคนโทษใครใครเป็นอย่างไร ก็ไม่ต่างกัน เห็นคำตอบที่จริงรู้จักตัวเอง ปัญหาเดิมหายไป
* แล้วสักวันหนึ่ง ศิษย์จะทำดีโดยไม่รอใครชม แล้วสักวันหนึ่ง ศิษย์จะบำเพ็ญโดยไม่เจืออารมณ์ เมื่อใดสั่งสม สำนึกด้วยใจ คนที่ชนะตัวเอง
ถ้าเจ้าไม่เพียรทำมาทำไปเปลี่ยนใจ อาจารย์ก็น้ำท่วมปาก
(ซ้ำทั้งเพลง, ซ้ำที่ขีดเส้นใต้, * , ซ้ำที่ขีดเส้นใต้)

ทำนองเพลง : หลงตัวเอง



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

กินอิ่มและฟังธรรมอิ่มไหม (อิ่ม)  ถ้าอิ่มก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็จะเป็นชูชกที่กินไม่มีวันอิ่ม
ถูกหรือเปล่า
(ไม่ถูก)  อย่างนั้นฟังธรรมอิ่มหรือยัง (ยัง)  อย่างนี้ก็เป็นคนโลเลคบไม่ได้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กลับไปกลับมา อย่างนี้ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ตกลงตอนนี้อิ่มหรือไม่ (อิ่ม)  อะไรอิ่ม (กินอาหารอิ่ม)  แล้วมาฟังธรรมะ
อิ่มไหม (ไม่อิ่ม)
  คนฉลาดต้องรู้จักพลิกแพลง ต้องบอกว่าไม่ได้อิ่มท้องแต่อิ่มใจ แปลว่าใจนี้ยังเติมได้อีกใช่ไหม (ใช่)
มีคำพูดหนึ่งที่มนุษย์มักจะพูดว่า ใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง”  แต่อาจารย์ก็แปลกใจอย่างหนึ่ง ใจของมนุษย์บางครั้งก็ตื้นเขินจนน่าตกใจ
พอบอกว่ารับไม่ได้ นิดหน่อยก็รับไม่ได้ พอบอกว่าไหวอย่างไรก็ไหว อย่างนั้นตกลงว่าใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง หรือตื้นเขินจนน่าตกใจ แล้วแต่อารมณ์ใช่หรือไม่ อารมณ์ดีอะไรก็ไหว อารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยอะไรก็ไม่เอา ศิษย์
รู้ไหม ถ้าศิษย์สามารถคุมใจได้ รู้ใจทัน แปลว่าเรื่องราวข้างนอกจะเป็นอย่างไร ศิษย์ก็สามารถพลิกซ้ายพลิกขวาได้ ไม่ว่าโลกจะพลิกไปอย่างไร แต่ถ้าเรารู้ใจตัวเองและคุมใจตัวเองได้ ไม่ว่าอะไรจะมาเราก็สามารถรับได้
  ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การแปรเปลี่ยนโลก แต่สิ่งที่สำคัญคือการรู้เท่าทันใจไหม ถ้าโลกเกิดอะไรขึ้น เรารู้เท่าทันใจ เราก็สามารถว่างได้ อะไรๆ มา
เราก็ไหว แต่ถ้ามีบางเรื่องมาถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าเราไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเราก็รับไม่ได้ อะไรที่ทำให้เราเรียนรู้และสามารถควบคุมใจเราได้ อะไรเราก็ควบคุมได้ เราก็รู้วิธีการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ไม่รู้วิธีการ และไม่เคยควบคุมอยู่คือ (ใจ)
  กลับกันถ้าวันหนึ่งเราควบคุมใจได้ เราดูแลใจตัวเองเป็น ไม่ว่าโลกจะเป็นแบบไหนเราก็จัดการได้ จริงไหม (จริง)  ไม่ว่าจะร้ายดีอย่างไร ถ้าเรารู้ใจตัวเองและควบคุมใจได้
ก็เปลี่ยนแปลงได้
(พระอาจารย์เมตตา ยกสับปะรดและที่รองขึ้นมา)
ในทางกลับกันถ้าอาจารย์ว่าอันนี้ละ เอาไหม (เอา)  ถ้าให้สองอันนี้จะเอาอันไหน บางคนบอกว่าเอาทั้งคู่เลย ใช่หรือไม่ อาจารย์ขอถามนะ
ถ้าบางครั้งชีวิตเจอเรื่องหนักขนาดนี้คุมใจได้รู้ใจทัน เรื่องหนักก็กลายเป็นเรื่อง (เบา)
  ถ้าชีวิตเจอเรื่องเบาขนาดนี้คุมใจไม่ได้ คุมใจไม่ทันก็จะกลายเป็น (หนัก)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้ววิชาอะไรที่สอนให้เรารู้จักคุมใจ
แล้วในทางกลับกัน ถ้าเกิดว่าสับปะรดคือความทุกข์ และสับปะรดคือความสุข ถ้าเรารู้จักคุมเป็น คุมใจได้ รู้ใจทัน ทุกข์จะกลายเป็นทุกข์ไหม แล้วสุขจะเปลี่ยนเป็นทุกข์ไหม (ไม่)  ฉะนั้นเรารู้และเก่งเรื่องข้างนอกเยอะ เรารู้จัดการเรื่องข้างนอกได้เป็น แต่ทำไมชีวิตเรา ใจของเรา เรากลับรู้
ไม่เป็น จัดการไม่ได้ ฉะนั้นแปลว่าเป็นคนสำเร็จกับการดำเนินชีวิตหรือเก่งข้างนอกแต่ขาดข้างใน ส่วนใหญ่มีข้างนอก แต่บกพร่องข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)
  ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์สามารถเรียนรู้วิชานี้ได้ ทุกข์ก็จะไม่กลายเป็นทุกข์ สุขก็จะไม่แปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ ถ้าเรารู้จัก รู้ใจ คุมใจได้เป็น ถูกไหม อย่างนั้นใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อยว่าวิชาอะไร อย่าบอกนะว่าวิชามาร
(การฝึกใจ)  อย่างนั้นอาจารย์บอกว่าศิษย์ตอบผิดก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ตอบถูกก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ อย่างนี้เอาไหม (เอา ยินดี)  อาจารย์ว่าไม่ยึดติดด้านใดด้านหนึ่ง วิชาธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์จะตอบว่าวิชาอะไร (วิชาการดำเนินชีวิต)  แล้ววิชาไหนที่สอนการดำเนินชีวิต ถ้าเป็นทางโลกก็สอนให้รวย ให้เก่ง ให้สำเร็จ แต่วิชาของอาจารย์นี้ สอนให้จน สอนให้ล้มเหลว สอนให้พ่ายแพ้ เอาไหมวิชานี้ (เอา)  เอาดีไหมศิษย์ (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ย คนในโลกหากไม่โง่ก่อนแล้วจะฉลาดหรือ ใช่ไหม (ใช่)  จะเอาแต่สำเร็จแล้วแพ้ไม่เป็นก็ลำบาก จริงไหม (จริง)  เอาแต่ได้ไม่เคยเสีย มีที่ไหน ก่อนจะลงทุนอะไรมันก็ต้องเสียก่อนแล้วจึงจะได้ ไม่ใช่หรือ (ใช่)  ก่อนศิษย์จะชนะเขา ศิษย์ต้องรู้แพ้ให้เป็นก่อนไม่ใช่หรือ (ใช่)  แล้วมีใครในโลกที่ชนะอย่างเดียวแล้วไม่เคยแพ้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ แล้วมีใครไหมในโลกนี้ที่เกิดมาฉลาดแล้วไม่โง่ มันต้องโง่ก่อนแล้วจึงจะฉลาด ใช่ไหม (ใช่)
(วิชาการบำเพ็ญภายในและการปฏิบัติภายนอก ใช้ความเมตตาธรรม ที่จะทำให้ทุกข์ที่มากมาย ถ้าเรามองดูแล้วก็สามารถที่จะสบายดีได้ ถ้าเรามีเมตตาธรรม แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าเดรัจฉาน ถ้าเรามีเมตตา แม้กระทั่งเสือ
ก็สามารถที่จะอยู่กับเราได้)
  วิชาแห่งการปฏิบัติหรือวิชาแห่งคุณธรรม
ใช่ไหม (ใช่)
  มนุษย์ชอบเรื่องความดี ชอบการพูดดี ชอบคนทำอะไรดีๆ ให้ แต่เมื่อถึงเวลาเมื่อสัมผัสกับตัวเองก็ไม่เห็นใครทำเลย แปลกจริง แล้วเมื่อถึงเวลาจริงๆ เราเมตตาไหม (เมตตา)  จริงหรือ เมตตาที่แท้จริง ต้องเมตตาแม้กระทั่งคนที่เป็นศัตรูเรา หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตก็ยังต้องธำรงรักษาไว้ซึ่งเมตตาธรรม ไม่ใช่เสียเมตตาแล้วรักษาชีวิต อย่างนั้นไม่อาจเรียกว่า
คนเมตตา ถูกไหม
(ถูก)
ยังไม่รู้จักอาจารย์เลย มารู้จักชื่อเสียงอาจารย์กันก่อนดีไหม (ดี)  เข้าบ้านไม่แนะนำตัวก็เหมือนไม่มีจริยธรรมที่ดีงาม เข้าบ้านใครไม่รู้จักเคารพให้เกียรติเจ้าของบ้านก็รู้สึกว่าบกพร่องในจริยธรรม อาจารย์ขอแนะนำตัวก่อนนะ เราคือ จี้กง รู้จักเราหรือยัง ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม (สบายดี)  มีคนแอบลักไก่นะ หลายคนเลยมาเฉพาะวันนี้เพื่อจะได้เจออาจารย์
วิชาแห่งธรรม ธรรมที่สอนให้มีสติ ทำอะไรให้มีสติยั้งคิด มีสติพิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริง วิชานี้ถ้าศิษย์ฝึกไว้ก็จะสามารถรู้ใจควบคู่ใจ และเป็นนายของใจเราได้ แต่โดยปัจจุบันนี้มนุษย์มักจะปล่อยตัวเองไปตามกระแสของอารมณ์และกิเลส สิ่งที่ได้ก็เลยกลายเป็นทุกข์ ตัวตนความยึดมั่นถือมั่น อัตตาทิฐิ จึงทำให้ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่เคยเห็น ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเห็นแต่นิสัยตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขังตัวเองอยู่อย่างนั้นทุกวัน ฉะนั้นถ้าเราจะปฏิบัติธรรมก็เพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นตัวตน เราจะต้องทำอย่างไร ในการปฏิบัติธรรมเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติแล้วกลับยิ่งเป็นตัวตนขังตนเอง
(ปฏิบัติเพื่อคืนสู่ธรรม)  แต่อาจารย์เห็นยิ่งปฏิบัติยิ่งเห็นแต่ตัวตนทั้งนั้นเลย ก่อนที่เราจะเข้าถึงความยากตรงนี้ หรือจะเอายากก่อนแล้วค่อยไปง่าย ง่ายก่อนแล้วค่อยไปยาก เอาแบบไหนดี (ยากก่อนแล้วค่อยไปง่าย) กินขมก่อน ขมยังกลืนลง หวานต้องคายทิ้ง ศิษย์เคยได้ยินคำพูดหนึ่งไหมว่า เมื่อใดที่มนุษย์หมดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หมดจากความศรัทธาในอารมณ์รู้สึกแห่งจิตใจ เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่มีในโลกอาจารย์พูดใหม่นะ เมื่อใดที่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหมดสิ้น เมื่อใดที่ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนหรืออารมณ์จางหาย ไม่มีกิเลสที่เรียกว่าตัวตนหรือจิตใจให้วิ่งตามแล้ว เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่ปรากฏในโลกใบนี้ เพราะเรายัง
ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อมีตัวตนจึงเรียกว่าความสุข ความทุกข์ ดีและร้าย

แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์เราสามารถคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน คลายจากการตามอารมณ์วิ่งตามกิเลสตน เมื่อนั้นทุกข์สุขจะไม่มีบนโลกใบนี้ ยากขึ้นไปอีก เมื่อใดที่เราโดนอะไรกระทบ โดนอะไรกระแทก แล้วเห็นสักแต่เห็น รู้สักแต่รู้ ไม่เกิดตัวตนว่าทำไมทำฉัน ทำไมว่าฉัน ด่าฉัน อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มี แต่กลับกลายเป็นวางเฉย สงบ ไม่มีตัวตนทั้งโลกนี้ ไม่มีตัวตนทั้งโลกหน้า เมื่อนั้นแหละศิษย์เอ๋ย คนที่อยู่บนโลกแล้วสิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ยากไหม
(ไม่ยาก)
  โดนกระทบแล้วไม่กระแทกกระเทือนไปที่ใจหรือเจ็บใจ โดนกระทบแล้วไม่ด่า ไม่แค้นเคืองใจ การที่โดนกระทบนั้นเป็นผลดีเพราะได้ชดใช้กรรม
วางเฉยนิ่งแล้วเข้าใจ เห็นโลกชัดแจ่มแจ้งแล้ว เพราะขึ้นชื่อว่าตัวตน ล้วนหนีไม่พ้นกรรม กรรมดี หรือกรรมชั่ว และนั่นก็ยังไม่พ้นวิบากกรรม ฉะนั้นไม่ว่าดีหรือชั่วก็ยังเป็นวิบากกรรม แม้จะโดนตีแล้วจะคิดว่าดี
ก็ยังยึดติด แต่ถ้าบอกว่า ช่างมันเถอะ แค่นั้นก็จบแล้วก็ปล่อยวาง แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น โดนตีเสร็จ เขาตีฉันทำไม ทำไมเขาต้องตี เดี๋ยวต้องมีเรื่องกันหน่อย ไม่ยอมแล้ว มันก็จะกลายเป็นอารมณ์ พอเป็นอารมณ์เสร็จมันก็จะกลายเป็นเคืองแค้น พอเคืองแค้นเสร็จมันก็จะกลายเป็นจองเวรจองกรรม พอจองเวรจองกรรมเสร็จมันไม่ยอมความ แล้วก็เก็บเอาไว้ในใจ จิตก็เลย
ไม่ใส จิตก็เลยหนัก จิตก็เลยขุ่น ตัวตนก็เลยเกิดมี ใช่ไหม (ใช่)
  แต่ถ้าทุกวันเกิดแล้วจบ เกิดแล้วจบ ชีวิตจึงมีแค่ขณะนี้ที่ผ่านมาใช้กรรม จบกรรม
ไม่สร้างกรรมต่อ เอาไหมศิษย์ (เอา)
  อย่างนั้นกระทบแล้วไม่กระเทือน
ได้ไหม (ได้)
  ก็แน่ล่ะไม่ได้ตีศิษย์นี่ ใช่ไหม (ใช่)
แต่คำว่านิ่งเฉยของอาจารย์ไม่ใช่แปลว่าขาดสูญ ไม่สนใจพระอิฐ พระปูน พระพรหม ไม่ใช่นะ ใครก็ไม่เอาไม่ใช่อย่างนั้น จะมีอยู่อย่างหนึ่ง
ที่เรียกว่าปฏิบัติเข้าถึงธรรม และบำเพ็ญกุศลชดใช้หนี้กรรม นั่นต้องไป
ทีละก้าว ทีละก้าว หรือในหนึ่งก้าวก็สำเร็จได้ ว่าอย่างไร ไปไหม (ไป)
  เอาไหมวิชานี้ (เอา)  ยังอยากทุกข์ไหม (ไม่อยากทุกข์)  อย่างนั้นศิษย์จำไว้นะ เมื่อใดที่มนุษย์คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ ไม่วิ่งตามกิเลสอารมณ์แล้ว เมื่อนั้นทุกข์สุขไม่มีในโลกนี้ เมื่อใดโดนกระทบไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางปาก ทางตัวตน เห็นก็สักแค่เห็น รู้ก็สักแค่รู้ ไม่ก่อเกิดอารมณ์เกี่ยวพัน ไม่ก่อเกิดอารมณ์จองเวรจองกรรม ไม่ก่อเกิดกรรมดี กรรมชั่ว เมื่อนั้นศิษย์จะเป็นผู้ที่สิ้นทุกข์ได้ในชาตินี้ และเดี๋ยวนี้ ถ้าโดนกระทบ ศีลครบแล้ว ทำในความเป็นคนสมบูรณ์แล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจางหายแล้ว
แม้จะตายตอนนี้ก็ไม่เสียดาย ตีให้ตายก็ไม่เสียดาย เพราะทำถึงแล้ว
ศีลงดงามแล้ว ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไม่มีอีกแล้ว ไม่ต้องชาติหน้าศิษย์ เอาเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย เอาไหม (เอา)
  ศีลถึงหรือยัง (ยัง)  คุณธรรม
ความเป็นคนถึงหรือยัง
(ยัง)  แล้วจะไปได้อย่างไรล่ะ โดนกระทบเมื่อไรกระแทกกลับทุกทีเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อเราโดนกระทบ จำไว้นะศิษย์ ขอให้เรานิ่ง เขาจะให้ทุกข์เรากี่ครั้ง จะให้เราเจ็บขนาดไหน จำไว้ว่าเราจะต้องเอาธรรมให้ปรากฏ เราจะต้องรักษาธรรมให้ดำรงอยู่ ตัวฉันจะตายไม่เป็นไร แต่ธรรมต้องให้คงอยู่ ตัวฉันจะเจ็บไม่เป็นไร แต่ฉันต้องมีศีลอยู่ ถ้าทำได้ขนาดนี้แม้ไม่ได้ไหว้พระ พระก็มารับเราไป ถ้าแม้เราไหว้พระ แต่พอเราโดนกระทบเราก็ด่า เกลียด และแช่งเขา แม้ไหว้พระทุกวันพระก็ไม่เอา ถ้าศิษย์อยากเรียนจึงต้องรู้จักมีสติและนิ่งให้ได้เมื่อโดนกระทบ อย่ามัวแต่ปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์ ยิ่งตามอารมณ์สิ่งที่ได้คือ ตัวตนขังตน”  หรือที่พระพุทธะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กองทุกข์”  ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ใครรัก หลง บำรุงบำเรอส่วนนี้
คนนั้นก็คือคนที่อยากกอดกองทุกข์ และอยากมีทุกข์ไปจนวันตาย
ไปยากแล้วมาง่ายๆ ต่อดีไหม (ดี)  ยากแล้วทำได้ไหม (ได้)  ได้หรือ ถ้าได้แล้ว อย่างนั้นสิ่งที่ง่ายๆ ก็คงไม่ต้องพูดแล้ว ใช่ไหม (จะพยายาม)
ไม่ต้องพยายามแล้ว แต่ต้องทำให้ได้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เราก็สามารถสำเร็จได้ในตอนนี้และขณะนี้ทันที ถูกไหม (ถูก)  แต่เราจะรู้ชัดเห็นแจ้งจนสามารถคลายความยึดมั่นได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ยาก ถึงบอกว่ารู้แล้วไม่หลงเรียกว่า อริยะหลงแล้วไม่รู้เรียกว่า ปุถุชน
ทำไมเราจึงหลง เพราะเราไม่รู้ชัด แต่ตอนนี้ศิษย์รู้ชัดแล้วว่าสิ่งที่ศิษย์รักสิ่งนี้ นั่นคือกองทุกข์ หรืออาจารย์เรียกอีกอย่างหนึ่งให้น่ารังเกียจมากขึ้น ก็คือ ถุงขี้เพราะออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก)  ออกจากตาเรียกว่า
(ขี้ตา)
  ออกจากหูเรียกว่า (ขี้หู)  ออกจากผิวเรียกว่า (ขี้ไคล) แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ถุงขี้หรือ
พระพุทธะเรียกว่า ถุงหนังที่มีทวารทั้ง 9” พระพุทธะเรียกไพเราะ ส่วนอาจารย์ขอเรียกว่าถุงขี้ก็แล้วกัน ออกจากเราก็เป็นขี้ปากแล้ว ออกมาจากตาก็เรียก ขี้ตา แล้วเราหลงไหมกับถุงใบนี้ (หลง)  หลงนะ วันๆ ต้องบำรุงบำเรอถุงขี้ คิดไว้เสมอเมื่อไรที่มองกระจกเหมือนกำลังมองถุงขี้ โปะแป้งให้กับถุงขี้ กำลังฉีดโบท็อกซ์ให้กับถุงขี้ กำลังชื่นชมถุงขี้ แล้วรักถุงขี้ตัวเองไม่พอ ยังไปหาถุงขี้มาเป็นเพื่อน แล้วยังยอมที่จะผลิตถุงขี้เพิ่ม เราควรรักหรือ อาจารย์พูดแรง แต่ถ้าอาจารย์พูดไม่แรง ศิษย์ก็ยึดไม่ปล่อย
จำไว้เลยนะศิษย์ ร่างกายนี้วันหนึ่งก็ต้องตาย แล้วศิษย์จะตายก่อนหรือว่าจะตายก่อนตาย
(ตายก่อนตาย)   แต่ทำไมตัวตนของเราจึงต้องยึดติดในสังขารนี้ อย่างตัวเรานี้วางไม่ลง โดนตบที ก็เจ็บ โดนด่าที ก็เจ็บ แต่จริงๆ เจ็บที่ไหน (เจ็บที่ใจ)  ไม่ใช่ติดตรงที่เรายึด ถ้าเราไม่ยึดจะเจ็บไหม เพราะว่าจบไปแล้ว เพราะเขาด่าก็จบไปแล้ว แต่ใจศิษย์นั้นไม่เจ็บ (ยึดมั่นถือมั่น)  ใช่ทั้งที่จบไปแล้ว ผ่านไปแล้ว แต่เรายังเกี่ยวไว้ก่อน แล้วว่างๆ ก็มานั่งเล่น อาจารย์บอกเสมอ เมื่อด่าเขาก็เป็นขี้ปาก แล้วเราเก็บเอาขี้ปากมาไว้ในใจไหม เมื่อจำไม่ลืมก็แสดงว่าเอาขี้ปากเขามาใส่ไว้ในใจ แล้วว่างๆ ก็เล่นขี้ โมโหมากๆ ก็เอาขี้ปาใส่หน้า หรือบางทีอัดอั้นก็เอาขี้ไปแบ่งเพื่อน ทำไมนิสัยอย่างนี้นะ นิสัยก็ไม่ได้ดีกว่าฉันเท่าไร แกว่าไหม เล่นขี้กันมันเลย
แล้วเป็นเรื่องจริงไหม แล้วเรายังทำไหม (ทำ) ฉะนั้นคิดให้ดีๆ เพราะสิ่งที่ออกจากปากเราจะออกไปได้สองอย่างคือ กรรมดีกับกรรมชั่ว หนีไม่พ้นวิบากกรรม วัฏจักรแห่งการเวียนว่าย เราจะหยุดกรรมอย่างไร ซึ่งเรียกว่า เป็นกรรมที่ก่อเกิดการเวียนว่ายต่อไป
อาจารย์ถามหน่อย ศิษย์เอ๋ยอยู่บนโลกนี้เป็นคนดีแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ทั้งดีทั้งชั่วไม่เหนื่อยทั้งคู่เลยหรือ เหนื่อยไหมเป็นคนดีในโลก
ใบนี้เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
  เหนื่อยอะไร ทำแล้วไปยึดมันก็เลยเหนื่อย
ทำแล้วหวังผลมันก็เลยหนัก แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึด ไม่หวังผล จะเหนื่อยจะหนักอะไร จริงไหม (จริง)  ฉะนั้น ถ้าทำแล้วไม่ยึด ไม่แบกมันจะเหนื่อยจะหนักอะไร แต่เราทำแล้วต้องได้หน้า ทำแล้วถ้าเสียหน้าไม่ทำ อย่างนี้เรียกว่าทำแบบยึดติด อย่างนั้นเรามาดูกัน ศิษย์บอกว่าอาจารย์เป็นคนดีเหนื่อย แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า การเป็นคนดีในโลกไม่เหนื่อยถ้าเราไม่ยึดติด แล้วมีอีกอันหนึ่ง อาจารย์เป็นคนดี บางครั้งศิษย์อาจถามอาจารย์ว่า อาจารย์ทำไมต้องเป็นคนดี เกิดเป็นคนดีบ้าง ชั่วบ้าง จะเป็นไร จริงไหม (จริง)
  ไหนใครเห็นด้วยกับอาจารย์ในคำนี้บ้าง อาจารย์ทำไมต้องเป็นคนดี ถ้าดีตลอดก็เหนื่อย ดีบ้างชั่วบ้าง ไม่เห็นเป็นไรเลยอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  สามวันดี สี่วันไข้ หรือสามวันดี อีกห้าหกวันไม่ดีเลย ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่อาจารย์ ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราก็เป็นอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่) 
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดหนึ่งที่พระพุทธะกล่าวไว้ไหม ธรรมย่อมรักษาผู้ที่บำเพ็ญประพฤติธรรม ผู้ที่สามารถปฏิบัติได้ดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมเป็นสุขทั้งยามหลับและยามตื่นเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม อย่างนั้นแปลว่าถ้าอยากมีความสุขก็ต้องประพฤติธรรม ถ้าอยากมีความทุกข์ก็ต้องปฏิบัติชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกนี้ ถ้าเราไม่อยากเป็นคนดี สิ่งที่ศิษย์วิ่งหาอีกอันหนึ่งก็คืออยากเป็นคนที่มีสุข ทำอะไรก็ได้อาจารย์ขอให้ได้สุขอย่าทุกข์ แล้วเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  เพราะพยายามสุขแล้วไม่ทุกข์นั้นยาก แต่พระพุทธะก็ชี้บอกไว้ว่า ประพฤติดีแล้วย่อมเป็นสุขทั้งยามหลับยามตื่น แล้วเราเลือกประพฤติดีไหม (ดี)  ก็ยังดีบ้างไม่ดีบ้าง
มนุษย์ถ้าปฏิบัติดีก็จะเรียกว่ากรรมดี ถ้าปฏิบัติชั่วก็จะเรียกว่ากรรม (ชั่ว)  กรรมดีกับกรรมชั่ว แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่สามวันมีกรรมดี สี่วันมีกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะศิษย์มักจะบอกว่า ศิษย์พยายามจะปฏิบัติดี แต่เมื่อปฏิบัติดีแล้วมันไม่ได้ดี ศิษย์จึงเหนื่อยใจแล้วก็ไม่อยากจะทำดี ทำไปแล้วมันท้อใจ อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า เวลาเราทำกรรมดี สิ่งที่เราทำคืออะไรบ้าง (ใส่บาตร ปิดทอง ฝังลูกนิมิต) ทำมาทั้งหมดไหม กฐิน ผ้าป่า ทำหมดไหม (ทำ)  แล้วได้ดีไหม (ไม่ได้)  ลูกนิมิตศิษย์ก็ฝังเป็นสิบลูกแล้ว หลังคาก็ทำเป็นสิบแผ่นร้อยแผ่นแล้ว แต่ก็ยังไม่ร่มเย็นเลย ทานก็ทำมาก บุญก็ทำไม่เคยเกี่ยง ใครเห็นก็ทำมาก ใครไม่เห็นก็ทำน้อย อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)
หลักของธรรมะ สอนไว้ว่า เริ่มต้นคือต้องมีทาน สองคือมีศีล สามคือสมาธิ สี่คือปัญญา ซึ่งสมาธิกับปัญญาเรียกว่า ภาวนา
ศิษย์ก็บอกว่า บุญ ทาน อะไรก็แล้วแต่ศิษย์ก็ทำมามากมาย แต่ทำไมไม่เห็นจะดีสักที อาจารย์ขอถามว่า เวลาอยู่ในวัด ก็เป็นคนดี ไหว้พระ
สวดมนต์ ใจเย็น แต่พอออกนอกวัดหรือยังไม่ทันพ้นวัดดี เวลาเห็นใคร
ไม่ชอบใจ ด่าเขาไหม (ไม่ด่า)  จริงหรือ อาจารย์เห็นศิษย์ มักจะเป็นคนดีเพียงในวัด แต่พอออกจากวัด เห็นศิษย์ด่าได้ก็ด่า นินทาได้ก็นินทา ยังไม่ทันพ้นธรณีสงฆ์ก็ยังแอบนินทาพระอีก เป็นอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)
  อย่างนี้ถึงศิษย์จะทำกรรมดี แต่ว่าต้นเหตุของกรรมชั่ว ศิษย์ไม่ลดไม่ละ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  เป็นคนใจบุญสุนทานแต่ก็ยังโลภ  ยังหลง ยังขี้โมโห
ใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนทำบุญตักบาตรแต่ยังด่า ยังอยาก ยังโลภ หายไหม (ไม่หาย)
แล้วถ้าแม้บุญทานไม่ได้ทำ กรรมชั่วไม่ทำ ต้นตอแห่งกรรมชั่วไม่ออกมาจากตัวเรา อย่างนี้ดีไหม แต่ในทางกลับกัน ทุกวันศิษย์ทำดี ใส่บาตร ถวายทาน ช่วยคนมากมาย แต่ยังคงมีกิเลสที่เป็นรากเหง้าของกรรมชั่ว ศิษย์ไม่เคยละเว้นเลย อย่างนี้จะดีไหม (ไม่ดี)
ที่บอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ตกลงใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าศิษย์อยากเป็น
คนดี เริ่มต้นง่ายๆ กรรมชั่วอย่าทำ แล้วกรรมชั่วหรือเรียกอีกอย่างว่า
บาปต้นรากเหง้าของบาปคืออะไร (กิเลสตัณหา)  อะไรอีกที่เป็นรากเหง้าของกรรมชั่วและของบาปทั้งมวล แม้เราจะทำดีขนาดไหนถ้าบาปยังไม่ลด เราก็ไม่สามารถเป็นคนดีได้อย่างแท้จริง (โลภ, โกรธ, หลง)  กิเลสตัณหาประกอบไปด้วย โลภ โกรธ หลง ซึ่งโลภ โกรธ หลง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อกุศลหรือทางของคนไม่ฉลาด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทางของคนโง่และคนโลภ เราเคยได้ยินพระพุทธะกล่าวไว้ไหม ไม่มีไฟใดเสมอด้วยความโลภ ไม่มีบาปเคราะห์กรรมใดเสมอด้วยความโกรธ และไม่มีความมืดมนใดที่เป็นตาข่ายครอบใจให้มนุษย์ลุ่มหลงได้เท่ากับความหลงผิด มนุษย์ล้วนติดในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งก็หนีไม่พ้นกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่วที่ได้รับก็คือ ความทุกข์และการเวียนว่ายอยู่ในโลกไม่จบสิ้น ผลของกรรมดีถ้าทำแล้วยังหวังวอนขอ ศิษย์เคยได้ยินไหม เวลาเราไปวัด เราจะเอาทรายเข้าวัดหรือออกจากวัด (เข้าวัด)  ถ้าศิษย์ทำบุญแล้วไม่ขอ
นั่นแหละเรียกว่า เอาทรายเข้าวัด แต่ถ้าทำบุญแล้วขอนั่นแหละคือการเอาทรายออกจากวัด เมื่อไรที่ทำบุญแล้วขอ นั่นคือการหวังจะมีตัวตนไปรับผลอีก ก็คือกรรมดีที่ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด และการรองรับผลของตัวตนที่ทำดีอีก เราเป็นแบบนั้นใช่ไหม (ใช่)
  แล้วจะพ้นทุกข์ไหม ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ เพราะสองกรรมนี้ก็ยังขึ้นอยู่ในคำว่า กระแสของกรรม เมื่อสร้างกรรมแล้วก็จะหนีไม่พ้นวิบากกรรม และ วัฏฏสงสาร อย่างนั้นทำอะไรที่จะพ้นกระแสกรรมดีกรรมชั่วที่เรียกว่า อกรรมหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กุศล  คือการไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ยกระดับจิตให้สูงขึ้น แผ้วถางตัวตนให้จางคลาย
ฉะนั้นถ้าศิษย์ดำเนินชีวิต โดยไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ได้อย่างนี้ก็เป็นการดี จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยไหมเวลาที่อยากมากๆ แล้วก็จะปิดบังปัญญา โกรธมากๆ แล้วก็จะมองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หลงมากๆ แล้วก็จะมืดมนไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เคยเป็นอย่างนี้ไหม (เคย)
แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง (ต้องบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ)  นั่นแปลว่าตอนนี้ศิษย์ยังไม่สะอาดเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  (ต้องมีสติรู้เท่าทันโลภะ โทสะ โมหะ) ตอบได้ดี ถ้าสิ่งเหล่านี้มา ศิษย์ไม่ตก
เป็นทาส ศิษย์เป็นนายของสิ่งเหล่านี้ ศิษย์ก็จะสามารถคุมได้ จริงไหม (จริง)
  ถ้าเราไม่ไปเล่นกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งนี้จะทำอะไรเราได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ต้องมีสติรู้เท่าทัน จนกระทั่งเห็นโลภ เห็นโกรธ เห็นหลง แล้วว่าฉันจะไม่ไปกับแก
นี่จะเรียกว่าตื่นรู้อย่างแท้จริง เมื่อไรที่ตื่นรู้ เมื่อนั้นอาจารย์ก็สามารถจะปลุกเสกให้ศิษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนโลก ได้ ใช่ไหม (ใช่)
(ต้องปล่อยวาง)  เวลาใครทำอะไรให้เราโกรธแล้วเราจะโกรธไหม อาจารย์จะบอกว่า ทุกอย่างมันเกิดแล้วมันก็จบเอง โดยที่เราไม่ต้องปล่อย แต่ที่เราต้องปล่อยเพราะว่าเราไปยึด ฉะนั้นถ้าเรารู้ทัน เราก็อย่าไปยึด
อาจารย์เทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เปรียบเสมือนสิ่งที่มากระแทก แล้วศิษย์จะยังยึดอยู่ไหม (ไม่ยึด)  จริงหรือ แล้วก็บอกว่า ตีหนูทำไม ทำไมต้องตีหนู ทำไมต้องด่าหนู ทำไมหนูต้องทุกข์ ทำไมหนูต้องโง่ แล้วถ้าโง่บ้างจะเป็นอะไรหรือ แล้วถ้าทุกข์หน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่เสียหายอะไร ก็แพ้หน่อย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ ก็ต้องแก้ไขตั้งแต่ต้น แก้ไขความหลงผิดในใจของศิษย์ก่อน เกิดมาสุขก็ได้ ทุกข์ก็เป็น เกิดเป็นคนจะชนะก็ได้ แพ้ก็เป็น เกิดเป็นคนอะไรๆ ก็รับได้ เข้าใจและปล่อยวางเป็น ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ดีแล้วเสียไม่ได้ สุขแล้วทุกข์ไม่เป็น ฉลาดแล้วโง่ไม่เป็น อย่างนี้ไม่ใช่ มีใครบ้างหรือที่ฉลาดแล้วไม่โง่ มีไหม (ไม่มี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้นสองคน)
เห็นอะไรศิษย์เอ๋ย ถ้าเขาคือความมั่งมี เขาคือความสุข ส่วนอาจารย์คือความทุกข์ ความยากจน ถ้าเราเอาแต่ใจจดจ่อเปรียบเทียบเขาดีกว่า
เขารวยกว่า เขาใหญ่กว่า เขาแน่กว่า ฉันไม่มีอะไรเลย ฉันแย่ ฉันไม่ดี ก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าพวกเรารู้จักความพึงพอใจ ไม่ช่างเปรียบเทียบ ไม่ช่างเปรียบเปรย คนเราอะไรก็เสียได้ แต่เวลาเสียเปรียบคนอื่นเสียไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
  ทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ สาธุ ยินดีในบุญ ยินดีในความอิ่มเอิบ ยินดีในความสุข ทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ และก็พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีแค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว มาตรฐานความสุขให้ต่ำเข้าไว้ มาตรฐานความทุกข์ให้สูงเข้าไว้ เราจะได้เป็นคนทุกข์ยาก สุขง่าย ดีไหม (ดี)  แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่มาตรฐานความสุขเป็นไง สูง มาตรฐานความทุกข์ ต่ำ อะไรนิดอะไรหน่อยทุกข์แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมองโลกต้องมองให้กว้าง ถึงเขาจะรวย ถึงเขาจะคือตัวแทนความรวย แต่ถ้าเรามองให้ดีๆ ก็ยังมีคนน้อยกว่า ก็ยังมีคนบางกว่า แล้วก็ยังมีคนเสียมากกว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอย่ามองแล้วทำให้เกิดทุกข์ มองแล้วต้องมองให้กว้าง ให้ใจเห็นชัดจนอะไรมันทำใจเราให้เจ็บไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) อย่ามองแต่ว่ามันเยอะกว่า มันดีกว่า มองอย่างนี้มันก็จะทุกข์ ทำไมไม่มองว่า มันก็ยังมีที่มีคนน้อยกว่านะ เหี่ยวกว่านะ แก่กว่านะ ดีไหม (ดี)  ที่ดีที่สุดคือมองให้กว้างเห็น
ให้ชัด ไม่มีใครดีกว่า ไม่มีใครแย่กว่า มีใหญ่ ก็มีใหญ่กว่า จริงไหม (จริง)
ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีใครดีที่สุด ไม่มีใครแย่ที่สุด และไม่มีตัวเราที่เลวที่สุด มองให้กว้างมองให้ดี และตัวเราก็ไม่ใช่คนที่ทุกข์ที่สุด มองให้เยอะๆ มองให้ชัดๆ อย่ามองอย่างคนโง่ที่ทุกข์แล้วทุกข์อีก มองอย่างคนที่พ้นทุกข์นะศิษย์ มองอย่างคนที่เอาชนะชีวิตตัวเองให้ได้ เห็นไหมเมื่อมีใหญ่ ก็จะมีใหญ่
(ใหญ่กว่า)  ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์คิดว่าเมื่อมีเล็ก แล้วจะมีเล็กกว่าไหม (มี)  เล็กกว่าทุกอย่างเลยใช่ไหม อายุก็เล็ก ตัวและหน้าก็เล็ก
มีอย่างเดียวคือหน้าตึง มองไว้นะศิษย์ วันใดที่ความทุกข์มากระทบกายและใจ อย่ามองแต่ตัวเอง แต่จงมองให้กว้าง ถ้ามองตัวเองแล้วควบคุมตัวเองให้ได้ อย่ามีบรรทัดฐานความสุขที่สูง แล้วมีบรรทัดฐานความทุกข์ที่ต่ำ เป็นคนที่ทุกข์ยาก ดีไหม (ดี)
เรียนรู้ธรรมแล้วต้องให้ได้ธรรม ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมแล้วยังทุกข์วันยังค่ำ เรียนรู้ธรรมต้องไปให้ถึงธรรม ไม่ใช่เรียนรู้ธรรมแล้วยังโง่ดักดานอย่างนี้ไม่เอา เมื่อมองโลกต้องมองให้ชัด ดูใจต้องดูให้ออก อย่าอยู่กับความคิดแค่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วมองไม่เห็นความจริง เพราะทุกข์ไม่ได้มีไว้สำหรับให้คนทุกข์ แต่ทุกข์มีไว้สำหรับคนที่มีจิตประเสริฐ แล้วเรียนรู้ที่จะพ้นทุกข์ ทุกข์มีไว้สำหรับให้คนที่ไม่อยากจะประเสริฐ ไม่อยากจะฉลาดยังอยากจะโง่ อยากจะจมปลักอยู่เลย เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำไมไม่มีสติหรือศิษย์ ทำไมจึงไม่ตื่นรู้ด้วยตัวเอง ทำไมต้องรอให้อาจารย์ตบแล้วตบอีก ถึงจะตื่น
พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าเราอยากเดินทางสายมรรคเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา  ศิษย์ทำได้แค่ทาน ให้ทานและทำบุญเก่ง แต่ไปไม่ถึงศีล ไปไม่ถึงความสงบและรู้แจ้งเห็นจริง ในสองระดับนี้ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้เมื่อสงบและรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป เรียกว่า สมาธิ ไม่ใช่แค่นั่งหลับตา แต่สมาธิหมายถึง โดนกระทบแล้วใจไม่กระเพื่อมไม่หวั่นไหว ใจนิ่งและไม่ตกเป็นทาสของกรรมดีกรรมชั่ว แต่มองเห็นแล้วเข้าใจและปล่อยวาง อย่าไปแค่ทาน จงเข้าให้ถึงศีล เพราะเมื่อทำได้ถึงศีลก็จะบังเกิดธรรม เมื่อทำได้ถึงศีลบังเกิดธรรม ก็จะมั่นคง
รู้แจ้งเห็นจริง เราทำถึงไหม (ถึง)
  ศีลมีกี่ข้อ (ห้าข้อ)  ข้อหนึ่งคือ (ไม่ฆ่าสัตว์)  ยุงมาเราตบ มดมาเราเหยียบ แมลงสาบมาเราขยี้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงการพ้นทุกข์และไม่เวียนว่ายในกรรมเวรอีกคือ ให้ทานเป็นแล้ว ต่อไปก็คือ รักษาศีล เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์ วิธีทำไม่ยากเลย
ทุกขณะที่ดำเนินชีวิต อะไรที่ทำให้เราต้องเบียดเบียนชีวิต ไม่กิน ไม่ทำ ไม่สร้าง อะไรที่ทำให้เราต้องผิดลูกผิดเมีย ไม่มีกิ๊ก ไม่กดไลค์ ไม่แอบชอบใครในเฟสบุ๊ก
อยากให้ครอบครัวร่มเย็น สำคัญคือต้องซื่อตรง มีมโนธรรมสำนึก
ข้อที่สอง ไม่ผิดลูกผิดเมีย  ข้อที่สาม ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา เวลาศิษย์ดำเนินชีวิตทำให้ดีที่สุด แลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีให้คนได้ซื้อได้ขายดีไหม ทำงานด้วยความรับผิดชอบเต็มที่ ซื่อตรงซื่อสัตย์ในหน้าที่ ไม่เบียดบังใคร ถ้าทำได้อย่างนี้ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่ได้เงินมาด้วยความไม่โลภไม่หลง ถ้าทำได้อย่างนี้ศิษย์ก็มีครบสามข้อแล้ว ข้อที่สี่ ไม่พูดปด ฉะนั้นพูดด้วยความเป็นจริง ถ้าพูดจริงแล้วทำร้ายคนก็ให้เงียบ ข้อที่ห้า ไม่ดื่มสุราของมึนเมา ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ในใจ เหล้าก็ไม่กวักมือเรียกเราไปกินหรอก แต่เพราะเรามีความอยากอยู่ในใจ เราก็เลยเดินตามไปกินเหล้า แต่ถ้าไม่มีเหล้าอยู่ในใจ ต่อให้เหล้าลดราคาถูกแค่ไหนคนก็ไม่เดินตามไปซื้อหรอก ฉะนั้นอย่าให้เหล้าอยู่ในใจ ไม่เช่นนั้นแล้วเหล้าจะครองใจเรา แล้วถ้าเราศีลครบ ศีลคือการละเว้นไม่กระทำผิด แล้วปฏิบัติต่อคนด้วยคุณธรรม ต่อผู้อื่นให้มีเมตตา ก่อนกระทำอะไรให้มีมโนธรรมสำนึกที่ดี กล่าววาจาอะไรให้มีคำพูดคำไหนคำนั้น ศีลพร้อมธรรมพร้อม ตายก็ไม่เสียดาย แต่ตอนนี้ศีลพร้อมหรือยัง จริงๆ ถ้าพิจารณาตอนนี้ศิษย์ก็มีศีลครบนะ มีเพียงแค่คุณธรรมความเป็นคนที่ประพฤติต่อคนยังไม่งามพร้อม ยังมีโกรธ มีเกลียด ยังไม่มีเมตตา ไม่มีมโนธรรมสำนึก ถ้าถามตอนนี้ว่าศิษย์มีศีลพร้อมไหม ศีลของศิษย์พร้อม แต่คุณธรรมความเป็นคนยังไม่พร้อม ต้องเข้าใจให้ถูก ศีลคือข้อละเว้น คุณธรรมคือความประพฤติที่เราปฏิบัติอยู่ร่วมกันในสังคม เมื่อปฏิบัติต่อเขามีเมตตาไหม พูดกับเขามีความซื่อตรงไหม ทำงานกับเขามีมโนธรรมสำนึกที่ดีไหม ไม่หลอกลวง ไม่โป้ปด ถ้าทำได้ขนาดนี้ ศีลพร้อมธรรมพร้อม สิ่งนี้จึงเรียกว่าดำเนินชีวิต ปฏิบัติเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อความเป็นคนที่มีอารมณ์และตัวตน ทุกขณะคืนสู่ธรรม แต่เราไม่ใช่ ทุกวันปฏิบัติเพื่อสนองกิเลสตามใจตน เราเลยไม่เคยพบธรรมและไม่เคยมีธรรมในใจ
รู้ขนาดนี้แล้วคิดว่ายังพอทำได้ไหม (ได้)  ยากไหมในการฝึกฝนบำเพ็ญ (ไม่ยาก)  หากจะยากก็ยากที่เราไม่รู้เท่าทันใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงทำอะไรมีสติ ทุกขณะมีสติพิจารณาอยู่เนืองๆ เราก็จะไม่บกพร่องและด่างพร้อยในเรื่องศีลธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์รู้ไหมผู้ที่รักษาศีลได้ครบ ไม่ด่างพร้อย ไม่ขาดตก ไม่บกพร่อง โดยที่ไม่ให้ศีลมาครอบงำจนก่อเป็นตัณหาหรือทิฐิ คนนั้นได้ชื่อว่ามีทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายใน และทรัพย์นั้นเรียกว่า อริยทรัพย์มีชีวิตที่ไม่จน และเป็นคนที่มีชีวิตไม่ว่างเปล่า ถ้าเข้าถึงศีลที่งดงามนะ และในความถึงศีลนั้นเข้าถึงธรรม คนๆ นั้นก็จะเป็นคนที่บุญกุศลจะไหลมาสู่ และความสุขจะเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากสำหรับคนที่ปฏิบัติได้ถึงพร้อมทั้งศีลและธรรมยากไหม (ยาก)  ยากตรงที่จะทำเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นมนุษย์เรามีความทุกข์อะไรบ้างที่ยากจะทำใจได้
บอกอาจารย์ให้ชื่นใจหน่อยซิ แล้วศิษย์ยังมีความทุกข์อะไรที่ยังจัดการไม่ได้ (ทุกข์เพราะว่าเป็นผู้นำ)  ทุกข์เพราะว่าเป็นผู้นำ ผู้นำอะไรหรือ นำทุกอย่าง นำทั้งคนในครอบครัวใช่หรือไม่ ถ้าเราทำได้ดี บางครั้งไม่จำเป็นต้องสอนด้วยคำพูด แต่สอนด้วยการปฏิบัติให้เขาเห็น ปฏิบัติให้เขาประจักษ์แจ้ง ผู้ที่เข้าถึงธรรม ปฏิบัติเพื่อธรรมศิษย์รู้ไหมจะเป็นคนแบบไหน จะเป็นคนใจเย็น สุขุม ไม่ปากเปราะ ไม่หูเบา ไม่ใจง่าย ถ้าศิษย์ดำรงตนด้วยศีลและธรรมพร้อมนะ และมีเวลาก็ยังรู้จักเสียสละให้อภัย ให้ทานอยู่เสมอ และเมื่อโดนอะไรกระทบศิษย์ก็ไม่วุ่นวายในอารมณ์ ไม่พลุ่งพล่านในอารมณ์ ยังนิ่งได้ อภัยได้ สงบได้ เอาตัวเราแสดงให้เขาเห็นโดยไม่ต้องพูดเป็นการนำที่ดี ดีกว่าพูดไปตั้งเยอะแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)
(ความทุกข์ในเรื่องการเรียน)  แล้วขยันหรือยัง ตั้งใจเต็มที่หรือยัง หมั่นทบทวนความรู้หรือไม่ ถ้าอยากได้ดีต้องหมั่นทบทวน อย่ามัวเห็นแก่การเล่น การเที่ยวสนุก จนลืมภาระหน้าที่ อย่างนั้นเป็นสิ่งที่น่าเสียดายนะ
(ทุกข์เพราะจิตใจยังไม่เข้มแข็ง)  ถ้ากล้ายอมรับความจริง ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้อ่อนแอ ถ้าหัวใจสู้ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เราล้มเหลวและพ่ายแพ้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
น่าเสียดายนะ ที่มาฟังแล้วปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่เก็บไว้ในใจบ้างเลย ใช่ไหม (ใช่)
(ไม่มีความสุขเพราะเรื่องคดีภายในครอบครัว ระหว่างคดีแม่และน้องสะใภ้)  คนทุกคนล้วนมีกรรมติดตามมา และกรรมที่ติดตามมานี้ เราก็ไม่สามารถเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นและจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะทำได้ก็คือ การยอมให้ถึงที่สุด และศิษย์เป็นตัวกลางลองไปคุยกับน้องสะใภ้ว่า พี่ขอแล้วกัน จบกันแค่นี้ พี่ไม่เอาอะไร อยากเอาอะไรไปก็เอาไป ลองคุยกับเขาด้วยตัวเอง ลองขอร้องเขาให้ทำบุญกับคนแก่ เพราะอีกไม่กี่ปีเขาก็ต้องไป เราลองพูดให้เขาเข้าใจ ให้แม่อยู่จนสบายใจ ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วจะเอาอะไรไป จะทำอะไรก็ทำเราไม่เอาทั้งสิ้น เราลองคุยกับเขาด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
(มีทุกข์เรื่องบริวารไม่ค่อยเชื่อฟัง พี่น้องไม่ค่อยรักกัน)  เราจะทำอย่างไร สิ่งสำคัญคือตัวเราต้องมีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมเสียก่อน เห็นถูกต้องว่าไปตามถูก เห็นผิดต้องว่าไปตามผิด แต่ว่าบางครั้งเมื่อเขาผิดก็อย่าลงโทษหนักเกินไป ต้องเหลือทางให้เขาเดินบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วเมื่อเด็ดขาดเกินไปก็จะทำให้คนไม่มีที่ยืน ถูกหรือไม่ หละหลวมเกินไปก็ทำให้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ฉะนั้นเราต้องรู้จักตึงและหย่อน ที่มนุษย์ชอบพูดว่า ต้องมีทั้งบารมีกับพระเดชพระคุณ ต้องใช้ให้ถูกต้อง  (ทุกข์เพราะความโลภ)  อย่างนั้นต่อไปคิดอยากได้อะไรพิจารณาให้ดี อย่ากลายเป็นความโลภแล้วทำให้เราขาดศีลขาดธรรม 
(ทุกข์เพราะคุณแม่เพิ่งเสีย)  อาจารย์อยากบอกศิษย์ จริงๆ แล้วถ้าศิษย์เข้าใจคำว่า หลักสัจธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย เราอาจจะมองว่าคนๆ หนึ่งตาย แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า แค่เป็นการเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่งเท่านั้น ถ้าศิษย์ทำได้ดี คนที่จากไปก็ตายตาหลับ แต่ถ้าศิษย์มัวจมอยู่กับความทุกข์ คนที่ไปก็มีแต่ความทุกข์ อยากให้เขาไปแล้วดี เราจงรู้จักสร้างสุข แล้วก็สร้างบุญกุศลหนุนนำให้เขาพ้นทุกข์ ไม่มีใครตายหรอกนะ มีแต่สิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันไป เป็นไปตามชะตากรรมแค่นั้นเอง
(มีลูกคนเดียวและรักลูกมาก)  มากจนวางไม่ลงจนกลายเป็นกังวลมากไป อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์รู้ว่าเมื่อเกิดเป็นคนเราต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร จะดีหรือจะร้ายอย่างไร จำไว้ว่าขอแค่เขายังอยู่ก็ชื่นใจแล้ว อย่าไปตีมาตรฐานสูง อย่าไปกำหนดให้มากมาย เอาแค่ว่าเขายังกลับมาหาเราก็ดีแล้ว เขายังเรียกเราว่าแม่ ยังมีคนให้เราเรียกว่าลูก ก็สุขแล้ว ถ้าไปกำหนดมาตรฐานสูงเราก็ทุกข์ ถ้าไปคาดหวังมากเราก็เจ็บ ฉะนั้นสุขง่ายๆ
ก็คือแค่มีเขาก็สุขแล้ว (ทุกข์เพราะหลานสะใภ้บ่นมาก)
  ใจเย็นๆ ปล่อยให้เขาบ่นไป เรารู้จักรับผิดชอบเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่พึ่งเขา แต่อย่างน้อยถึงเขาจะว่าอย่างไรก็ให้ยิ้มเข้าไว้ ให้อภัยเป็นทาน เพราะการให้อภัยนั้นเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่
(เราเป็นครอบครัวใหญ่และเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เราจะพาครอบครัวให้ผ่านพ้นไปได้ยังไง)  ขอให้ขยัน แม้จะลำบากอย่างไรก็สู้ไม่ถอย ก็จะผ่านไปได้ แต่ต้องธำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าศิษย์ทำได้แบบนี้ ศิษย์ก็จะนำพาครอบครัวได้ แต่อย่ามัวเห็นแก่ตัวเองจนลืมนำพาครอบครัว คนบางคนยอมทิ้งครอบครัวเพราะว่าหวังสบาย ไม่อยากทุกข์ แต่ถึงจะทุกข์อย่างไรเราก็จะสู้และฟันฝ่าไปด้วยกัน ถึงที่สุดความสุขก็จะอยู่ตรงหน้า (ทุกข์เพราะลูกๆ ไม่มาธรรมะ เพราะบอกว่าแม่ยังไม่ได้ดีเลย แล้วธรรมะจะทำให้เขาได้ดีได้อย่างไร)  ฉะนั้นเราต้องทำให้ดี ทำให้เขาเห็น ประจักษ์ให้เขาเห็น (ต้องตายก่อนใช่ไหม)  อาจจะไม่ต้องตาย แต่ศิษย์ต้องจำอย่างหนึ่งนะ ขึ้นชื่อว่าลูก
มีใครไม่เคยบ่นว่าแม่ตัวเองบ้าง ศิษย์ก็ต้องใจเย็นๆ ใช้เวลา เหมือนศิษย์ที่อยู่ๆ จะให้มาฟังธรรมะศิษย์ยังไม่ยอมมาง่ายๆ เลย มาฟังธรรมะแล้วจะให้เชื่อทันทีเลย ตัวศิษย์เองก็ยังไม่เชื่อเลย เราต้องพยายามทำให้ลูกเห็น แม้วันนี้ไม่เห็น พรุ่งนี้ก็ต้องพยายามทำให้เห็น ศิษย์ต้องอย่าแพ้ใจตัวเองก่อน ถ้าศิษย์ยอมแพ้ความดี ยอมแพ้แค่ปากลูกบ่นแล้วเลิกทำ
อย่างนี้ลูกจะเห็นได้อย่างไร ศิษย์ต้องสู้จนถึงที่สุด ส่วนเขาจะได้ดีไม่ได้ดี อาจารย์ขอบอกตามตรง ทุกชีวิตล้วนบังคับใครไม่ได้ แค่เขาเป็นคนก็ดีแล้ว หวังมากไป หวังสูงไป พอเขาทำไม่ได้เราก็จะเจ็บ
ช่วยได้ก็ช่วย คนในโลกนี้เดี๋ยวนี้ทุกคนก็มีหนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครไม่มีหนี้ หนี้ทางใจ หนี้ทางกาย หนี้ ธกส. เมื่อคราวที่แล้วอาจารย์เจอศิษย์ เป็นหนี้อะไร หนี้ ธกส. บางคนก็เป็นหนี้ชีวิตใช่หรือไม่ แต่เป็นหนี้ไม่ใช่จะมีสุขไม่ได้ ถ้ารู้จักใช้คืน แต่อย่าหนีหนี้ไม่อย่างนั้นกรรมจะตามไม่จบไม่สิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่างนั้นขอให้เปลี่ยนแล้วจะทำให้ท่านมีความสุขในทุกๆ วัน ไม่เป็นไรนะศิษย์ เมื่อทำถึงที่สุดผลมันจะเสียก็ไม่เป็นไร เพราะเราทำเต็มที่แล้ว อาจารย์บอกแล้ว เมื่อเป็นลูกศิษย์อาจารย์ ถึงจะไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แม้ไม่สำเร็จข้อสำคัญล้มแล้วลุกขึ้นสู้ แพ้ก็ไม่เป็นไร แพ้แล้วขอให้เริ่มต้นใหม่ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เอาอดีตมาเป็นประสบการณ์สอนชีวิตให้เข้าใจชีวิตดียิ่งขึ้น ไม่มีใครหรอกที่ชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีใครหรอกที่ชีวิตสุขโดยไม่มีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่นะด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง
(ทุกข์ใจที่สามีกินเหล้า สูบบุหรี่ด้วย)  อย่างนั้นอาจารย์ขอถามหน่อยนะ สูบบุหรี่ กินเหล้า กับมีเมียน้อยเอาอันไหน (ไม่เอาทั้งนั้นเลย)
ไม่มีใครในโลกได้ครบสมบูรณ์ ต้องได้อย่างเสียอย่าง ก็ศิษย์เลือกมาแล้วใช่ไหม (ใช่)
  คนมีตั้งร้อยตั้งล้านทำไมไม่ไปเลือก ไปเลือกที่สูบบุหรี่กินเหล้ามา ตอนนั้นมันหน้ามืดไปหน่อย ตอนนี้ตาสว่างแล้วใช่ไหม อย่างนั้นศิษย์คิดไว้ดีๆ อาจารย์บอกถ้าวางใจถูก แม้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข ถ้าวางใจผิด แม้สุขก็กลายเป็นทุกข์ ฉะนั้นถึงจะกินเหล้าสูบบุหรี่เราก็ยังรัก ดีกว่าไปมีเมียน้อย
มีกิ๊กใช่ไหม ก็บอกเขาสิ แม่รักนะเมื่อไหร่จะเลิกสูบ จะรอให้ตายก่อนหรือ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“มีสติ ไม่ขาดสาย” ซึ่งพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่สถานธรรมหมิงเอิน อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่
๑๖
- ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘)
ศิษย์ลองตอบคำถามของอาจารย์ว่า จะเอาแอปเปิลของอาจารย์ไปทำอะไรที่จะก่อเกิดประโยชน์สูงสุด (เอาไปบอกหลานว่า ย่าไปอบรมธรรมะมา แล้วก็จะอธิบายเรื่องที่ไปอบรมมา)  เอาให้ได้ประโยชน์มากกว่านี้ไหมศิษย์ คั้นเป็นน้ำแอปเปิลแล้วแจกทั่วหมู่บ้าน แล้วก็บอกว่าเอาบุญมาฝาก เอาบุญมาให้ อย่างนี้ดีไหม (ดี)  บุญไม่ใช่อยู่ที่การให้ แต่บุญอยู่ที่การส่งต่อ เวลาใครทำแล้วเราอนุโมทนาบุญก็ได้บุญต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราได้บุญมาแล้ว เรายังส่งต่อ ยังเผื่อแผ่แบ่งปันต่อ อย่าเอาเฉพาะในครอบครัวแต่จงรู้จักเผื่อแผ่แบ่งปันเพื่อนบ้านด้วย แอปเปิลลูกเดียวจะได้เป็นแอปเปิลที่กินกันได้ทั้งหมู่บ้านเลย ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมร้องเพลง)
ศิษย์ยินดีจะมาร่วมสร้างบุญไหม ร่วมผูกบุญไหม (ถ้าว่าง)  การสร้างบุญกุศลทำไมต้องรอว่าง บุญสร้างได้บ่อยๆ ถ้ารอช้าความชั่วจะไหลเลื่อนเข้ามาแทรกทันที ใช้เสียงเป็นทาน ใช้เสียงในการแพร่ธรรมะให้คนได้ตื่นรู้ ไม่ดีหรือ
วันนี้อาจารย์กลับได้แล้วใช่ไหม พูดไปมากมายก็เท่านั้นนะศิษย์ ถ้าศิษย์ของอาจารย์บอกว่าดีๆ ก็จบ เพราะดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมือทำ ทุกสิ่งทุกอย่างอาจารย์เป็นแค่ผู้ชี้ทาง เหลือแต่ศิษย์ที่ต้องลงมือทำ และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก เราเกิดมาเพื่อตื่นรู้ในทุกข์ และเอาทุกข์นั้นมานำพาให้เราเป็นพุทธะบนดิน ไม่ต้องรอชาติหน้า ลงมือทำชาตินี้ตอนนี้ โดยปฏิบัติด้วยการมีศีลให้พร้อม
มีธรรมให้ครบ และพิจารณาในความเป็นจริงของโลกใบนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่า
สังขารเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน และไม่เคยไปกับเรา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ได้รับชี้นั่นคือพุทธจิต จงตื่นรู้และดึงพุทธจิตออกมาให้พ้นจากการติดในสังขาร เพราะสังขารถึงที่สุดก็ตายดับไปกับโลกใบนี้ มีแต่จิตที่กลับคืนไปสู่เบื้องบน ถ้าจิตยังเข้าไม่ถึงธรรม จิตนั้นก็ยังเต็มไปด้วยตัวตน ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายในวัฏฏะ แต่ถ้าเมื่อไรจิตศิษย์เข้าถึงธรรม สภาวธรรมจะทำให้เราพ้นทุกข์ทั้งโลกนี้และโลกไหนๆ  ขอให้มีสติเพียรรำลึกถึงธรรมอยู่เสมอ สติที่สอนให้เรารู้ว่ากายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง และในกายนี้ก็เต็มไปด้วยกรรม และเผ่าพันธุ์ของกรรมที่เราสร้าง ฉะนั้นเราเป็นผู้รับกรรม แล้วหากจะสร้างกรรมต่ออีก ก็จะต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น หรือเราจะเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม คิดเอานะศิษย์  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ อย่าเล่นกับความรู้สึกของคน เพราะถ้าเมื่อไรเขาโกรธ เขาเคียดแค้น เจ็บปวด เวลาเขาย้อนกลับเขาจะเอาหนักยิ่งกว่าที่ศิษย์ทำกับเขา ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าอาจารย์ตีศิษย์คนนี้แล้วท่องบทแผ่เมตตา แต่พอว่างก็ด่า เกลียด รำคาญเขา บุญที่กรวดน้ำไปจะชดใช้บาปที่ทำกับเขาได้ไหม ไม่ได้ แล้วทำไมเราไม่ทำบุญกับคน ทำไมต้องทำบุญกับพระอย่างเดียว บุญสร้างได้ทุกที่ ทำให้ใครมีสุข ทำให้ใครไม่หม่นหมอง นั่นเรียกว่าบุญ แต่หากทำให้ใครทุกข์ เหี่ยวเฉา หดหู่ นั่นเรียกว่าบาป แล้วทำไมต้องทำบุญแค่ในวัด ข้างนอกกับใครก็ทำบุญได้ ถ้าบาปเกิดขึ้นแล้ว เขาจองเวรจองกรรม เขาจะไม่เอาเราแค่เจ็บนิดหน่อย เวลาคนเราเจ็บใจ เขาจะลืมไหม
ขอโทษคำเดียวหายไหมศิษย์ (ไม่หาย)  ผิดแล้วขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจแค่เจตนานิดหน่อย แต่เวลาเขาเอาคืน เขาเอาเจ็บ เขาเอาหนัก ฉะนั้นทำไมต้องไปก่อเวรก่อกรรมแล้วค่อยมากลัวผล ทำไมไม่คิดก่อนที่จะก่อเวรก่อกรรม อาจารย์จึงบอกว่า อย่าเล่นกับความรู้สึกของชีวิตคน เพราะเมื่อทำเขาถึงชีวิตเขาก็จะเอาเรายิ่งกว่าชีวิตและอะไรที่ศิษย์รักเขาก็ จะเอาศิษย์ตรงนั้นด้วย เพราะแค่เอากับศิษย์ ศิษย์ไม่เจ็บ แต่ต้องทวงคืนจากคนที่ศิษย์รัก ทวงจากสิ่งที่ศิษย์หวง ทวงให้เจ็บให้ปวด บีบให้ตาย แล้วทำไมเราจึงต้องรอให้กรรมมันส่งผลแล้วค่อยมาทำบุญ อย่างนี้ไม่ทันหรอกนะศิษย์
ขึ้นชื่อว่าชีวิต มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท และเราเกิดมาเป็นผู้รับผลกรรมของสิ่งนั้น ไม่มีใครหนีพ้น ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากทุกข์ก็สร้างบาปกรรมไว้ แต่ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ก็จงคิดให้ดีก่อนกระทำ เพราะเมื่อกรรมนั้นย้อนมา แล้วศิษย์จะขอพระพุทธะ ศิษย์จะขอบุญที่ศิษย์เคยทำ เหล่านี้มันช่วยกันไม่ได้ หักล้างกันไม่ได้หรอกนะ เพราะศิษย์ไปทำดีที่วัด
แต่เวลาทำบาปศิษย์ทำกับคน ทำกับชีวิตเขา แล้วอย่างนี้เขาจะให้อภัยศิษย์ไหม ขนาดมีคนด่าศิษย์คำเดียว ศิษย์จำไหม (จำ)
  แต่เวลาเขาทำดีเป็นร้อยครั้ง ศิษย์จำไหม (จำ)  ไม่ค่อยจำ แต่จำได้คำเดียวเวลาเขาด่า แต่เวลาเขาทำดีมามากแค่ไหนก็ไม่เคยจำ ในทางกลับกันเวลาศิษย์ไปกินเขา ไปทำร้ายเขา ไปเบียดเบียนเขา คิดว่าเขาไม่เอาคืนศิษย์หรือ แล้วคิดว่าเขาจะเอาคืนศิษย์เบาๆ หรือ แล้วบุญจะเอามาใช้ทดแทนกันได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะความรู้สึกคนเมื่อเจ็บแล้วมันจำ ฉะนั้นเวลาอยู่ด้วยกัน ทำบุญได้ทุกที่
ทำอะไรที่ทำให้เขาชื่นใจ ทำอะไรที่ทำให้เขาสบายใจ ทำอะไรที่ทำให้เขาสุขใจ นั่นเรียกว่าบุญ แต่ถ้าทำอะไรที่ทำให้เขาหดหู่ ย่ำแย่ นั่นเรียกว่าบาป
คิดให้ดีๆ นะศิษย์ จริงไหม (จริง)
  แค่คำปลอบไม่ทำให้หายได้หรอกนะ
ด่าเขาจนเจ็บ กีดเขาจนเป็นแผล แล้วจะมาเย็บให้ แล้วถามเขาว่า เจ็บไหม อย่างนี้ทดแทนกันได้หรือ ฉะนั้นก่อนพูด ก่อนทำก็คิดให้ดีๆ อย่าพูดว่า
ก็หนูหวังดี อาจารย์ถามว่าศิษย์หวังดีหรือระบายอารมณ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
  อย่าคาดหวังกับคนสูง จะได้ไม่ผิดหวังและเจ็บปวดนะศิษย์ ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูกต้อง ไม่ต้องสอนให้เหนื่อยเลย
ธรรมะสอนให้เข้าใจชีวิต ถ้าเมื่อไรที่ไม่สนใจธรรม ก็คือไม่สนใจชีวิต ธรรมะสอนให้เข้าใจชีวิตและพ้นทุกข์ในชีวิต ถ้าไม่อยากเอาธรรมะนั่นก็แปลว่าไม่อยากพ้นทุกข์ ยังอยากทุกข์ต่อไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ มีแต่สังขารที่เปลี่ยนไป ไม่มีใครตาย แต่ถ้าตายจริงๆ ก็คือแค่สังขารนั้นตายไป แต่จิตยังอยู่  อยู่ตามแรงบุญกรรมที่ศิษย์สร้าง แต่ถ้าศิษย์ทำกรรมที่ไม่มีอกรรมแล้ว จิตก็พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ศิษย์เอ๋ย อายุมากแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาสังขารก็ต้องทิ้งไว้กับโลกนี้ จงดึงจิตออกมาให้จิตบริสุทธิ์ ให้จิตได้สดใส ให้จิตได้งดงาม ด้วยศีลด้วยธรรม แล้วทิ้งสังขารนี้ไว้อย่าไปยึดติดกับมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)   รู้จักมีศีลมีธรรมเพื่อนำพาชีวิตให้พบทางสว่างถูกไหมศิษย์  ต้องทำให้ได้ อย่าได้แค่ฟัง แต่ต้องฟังให้ได้ใช่หรือไม่ เอาธรรมะที่อาจารย์บอกวันนี้ไปประพฤติปฏิบัติให้ได้นะ มาวันนี้จะได้ไม่เสียเปล่าใช่ไหม (ขอบคุณ
พระอาจารย์เมตตา)  มีสุขให้อาจารย์เห็นหรือยัง
ชีวิตนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ใช่ความทุกข์ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นคืออารมณ์ที่ไม่รู้จักควบคุม ความทุกข์ในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับกิเลสอารมณ์ที่ไม่รู้จักควบคุมให้ได้ ใช่หรือไม่ ชวนเขามาธรรมะต้องให้ตรงอยู่ในธรรม อย่าชวนเขามาด้วยการหลอกลวงนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญ มาช่วยอาจารย์แค่นี้ยังต้องหลบอีกหรือ เดินทางธรรมนี้แล้วอย่ายอมแพ้ต้องสู้ให้ถึงที่สุดนะศิษย์ อย่าฟังไปแล้วเสียเปล่านะ น่าเสียดาย ตั้งใจทำให้ดี ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้น ใช่ไหม ขจัดได้หรือยังความรัก โลภ โกรธ หลง กล้ายอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ศิษย์ต้องทำให้สิ่งที่เห็นแล้วทำให้เกิดธรรมในใจ เกิดธรรมในบิดา มารดา ใช่หรือไม่ ต้องสู้นะ อาจารย์จะให้กำลังใจ สู้อย่างคนที่กล้ายอมรับความจริง เอาแอปเปิลไหม จะได้เอาไปผูกบุญกับคนอื่นต่อ
อุตส่าห์ออกมาช่วยอาจารย์ ถูกต้องแล้วนะ (จับมือกับพระอาจารย์ด้วยคะ)  จับมือนั่นหมายความว่าจะกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ยังจะจับไหม ปล่อยก็ได้นะตอนนี้ (ไม่ปล่อย)  มั่นใจนะ กลับมาหาอาจารย์อีกนะ
มาผูกบุญ มาเพิ่มพูนปัญญาธรรม จะได้ไม่หลงกับโลกใบนี้ อย่าอยู่ใกล้แล้วเสียเปล่านะ เข้าใจธรรมที่อาจารย์พูดนะศิษย์เอ๋ย เอามาทำให้เกิดปัญญา
ให้ได้ นำพาชีวิตให้พ้นทุกข์แล้วกลับมาอีกนะ โลกใบนี้ไม่น่ากลัวเท่ากับจิตใจที่ไม่ยอมสู้ คนไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่อยากจะไปเที่ยว ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ และอาจารย์ก็ไม่เคยหลอกศิษย์ มีแต่ศิษย์ที่หลอกอาจารย์ว่าจะทำแต่พอถึงเวลาก็ไม่ทำ หลอกอาจารย์ว่าจะบำเพ็ญปฏิบัติธรรม
(เป็นเนื้องอกที่มดลูกอยากขอยาพระอาจารย์คะ)  ขอแอปเปิลอาจารย์หน่อยนะ แต่ถึงเวลายังไงก็ต้องรักษาอันนี้เป็นแค่ยาช่วยให้คลายความเจ็บปวด เข้าใจนะ แต่ที่สุดแล้วยังไงก็ยังต้องรักษา เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ชีวิตเราเราทำเองก็ต้อง
รับเอง ถ้าไม่อยากมีกรรมจงคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะทำอะไร เข้าใจนะ
อาจารย์อยากอวยพรให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเข้มแข็ง รู้จักต่อสู้กับชีวิตให้ได้นะ (อยากขอยาพระอาจารย์)  ขอยาหรือ ใครอยากได้ยา ถึงเวลามาหยิบนะ อาจารย์วางไว้ที่โต๊ะ (อยากจับมือพระอาจารย์)  ต้องจับมืออาจารย์ด้วยหรือ อาจารย์ไปแล้วนะ ต้องรู้จักดูแลตัวเองให้ดี รู้จักนำพาชีวิตตัวเองให้ถูกต้อง
รักษาตัวเองให้ดี อย่าทำร้ายตัวเอง เพราะชีวิตทุกชีวิตล้วนมีค่า ขอให้คิดด้วยความไตร่ตรองรอบคอบ และใจเย็น อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญกลับมาสู้อ้อมกอดแห่งธรรม กลับมาสู่อ้อมกอดแห่งความจริง อย่ามัวหลงกับชีวิตอันจอมปลอมนี้ อย่ามัวติดกับกิเลสของโลกใบนี้ จนมองไม่เห็นความจริงเลยนะ ตื่นแล้วสู้กับชีวิต สู้กับความทุกข์ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง มองให้ออก แล้วสักวันหนึ่งศิษย์จะได้กลับไปกับอาจารย์ ไปด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่จิตที่ติดด้วยสังขาร อารมณ์และนิสัย ทำให้ได้นะศิษย์ (เวลาก้มเงยตอนนี้ไม่ได้)  สังขารไม่เที่ยง ไม่ใช่ให้ยึดติด ไปแล้วนะศิษย์
เด็กดื้อทั้งหลาย ไม่ร้องไห้นะศิษย์ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง ต้องมีหัวใจนักสู้ อะไรก็กล้าที่จะยอมรับ และฝึกเรียนรู้ อย่ายอมแพ้ บำเพ็ญแล้วเดินให้ถึงที่สุด บำเพ็ญแล้วเพื่อความดีงามและความถูกต้องก็จะไม่ทอดทิ้ง บำเพ็ญแล้วเพื่อคุณธรรมก็ยอมเสียได้และเจ็บปวดได้
แม้ร่างกายอันไม่เที่ยงนี้จะเป็นอย่างไร ศีลงามพร้อมหรือยัง คุณธรรมความเป็นคนสมบูรณ์หรือยัง เมื่อรักษาไว้ได้การดำเนินชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้ารักษาไม่ได้ การดำเนินชีวิตก็สับสนปนเป เรียนรู้หลักธรรมต้องเอามาประพฤติปฏิบัติ ธรรมย่อมคุ้มครองคนประพฤติ ความชั่วนั้นจะก็นำพาให้คนลุ่มหลง ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะประพฤติธรรมหรือประพฤติชั่ว คำพูดคนไม่สำคัญเท่ากับการกระทำของเรา ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์รักของอาจารย์
ช่วยร่างกายไม่ประเสริฐเท่ากับช่วยนำพาจิตใจให้พ้นทุกข์ เพราะกายนี้หนีไม่พ้นความทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่ถ้าอาจารย์ช่วยจิตศิษย์ จิตนี่แหละที่สามารถพ้นทุกข์ได้แท้จริง ฉะนั้นศิษย์อย่ามัวแต่ติดอยู่กับกาย จงดึงจิตออกมาให้พ้นทุกข์ด้วยการประพฤติปฏิบัติให้งดงามนะศิษย์ ขอแค่รับผิดชอบหน้าที่ของความเป็นคนให้ดี อย่าใจร้อน อย่าวู่วาม ว่างก็ให้กลับมา ได้ไหม อย่ามัวแต่เล่น อย่ามัวแต่ดื้อ ไม่อย่างนั้นชีวิตพลาดไปแล้วก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ สังขารทิ้งไว้ที่นี่ เอาจิตกลับมาหาอาจารย์นะ จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่งดงามที่เข้าถึงศีลและธรรม และปลดปลงในการยึดมั่น
ถือมั่นในสังขารอันไม่เที่ยงแล้วนะ
มีแต่จิตนี้เท่านั้นนะที่จะทำให้ศิษย์กับอาจารย์กลับมาเจอ และพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ศรัทธาเชื่อมั่นในความ
ถูกต้องดีงามในใจของตัวเอง ตั้งใจทำให้ได้
เพื่อเวไนยไม่มีคำว่าเหนื่อย
เพื่อเวไนยไม่มีคำว่าท้อ
เพื่อช่วยคนไม่มีคำว่าทุกข์นะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท มีสติ ไม่ขาดสาย”
    ทำสิ่งใดด้วยสติอยู่ในธรรม             ใจเย็นยั้งใจร้อนทิฐิหนา
ใช้ความนิ่งสยบความวุ่นเลียนใจฟ้า        ฝึกพิจารณาตามจริงกว่าตามใจ
    มีสติต้องคุมดูความคิด                  รู้ทุกขณะไม่ปล่อยจิตเตลิดใหญ่
โดนกระทบก็ไม่เก็บมาใส่ใจ                คุมใจได้ทุกข์สุขไม่เป็นอารมณ์
    อารมณ์พาคนประมาท                 จนขาดสติทับถม
ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์                         กล้าขมหวานจึงตามมา


หมายเหตุ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่สถานธรรมหมิงเอิน
อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ ๑๖
- ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

2558-05-16 สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์

西元二一五年歲次乙未三月二十八日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ


ถูกกระทบไม่พอใจเมตตาไว้ เกิดอยากได้สละให้ไม่โลภหนา
แยกไม่ออกหลงสับสนใช้ปัญญา ผู้ฝึกฝนใช้ธรรมมาปฏิบัติจริง
เพราะไม่รู้จึงหลงและยึดติด สิ่งที่เห็นจึงเบือนบิดผิดไปยิ่ง
ทุกสิ่งล้วนมีหรือไร้ใดแท้จริง โลกคือสิ่งที่พบได้ในใจตน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยใช่บังเอิญ เมื่อเผชิญเรื่องใดอย่าโทษใครเขา
มองทุกสิ่งด้วยทำใจของเรา เมื่อทุกข์เผาสติดับเย็นลงมา
ฝึกบำเพ็ญอยู่ในธรรมยั้งเตือนตน เวลาคนใจร้อนความทุกข์เต็มหน้า
คนมากความทิฐิเนื่องต่อรอท่า ธรรมตรงหน้าใช้สยบความหลงไป
บุตรพุทธาเลียนใจฟ้ากว่าใจคน มีกี่คนวุ่นฝึกตามตรงได้
รู้ตามจริงตามพิจารณาใจแก้ไข ทำง่ายง่ายย่อมไม่น่าเชิดชู
อารมณ์ร้อนคิดชั่วแล่นต้องเฝ้าคุม อารมณ์สุมมีสติต้องคุมให้อยู่
พูดต้องรู้คิดต้องรู้แววศัตรู ยิ่งทรงความรู้ดูให้รอบคอบไป
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
คนในโลกนี้หาความอดทนในใจยาก นิดๆ หน่อยๆ รอไหวไหม นิดๆ หน่อยๆ ทนได้ไหม เพราะมีวิทยาการทันสมัย อะไรก็รวดเร็ว อะไรก็ทันใจ ฉะนั้นพอเจออะไรที่ต้องใช้การรอ ใช้ความอดทน ก็เลยจะดูหงุดหงิดใจกันง่าย จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดโทรหาแล้วเขาไม่รับ หงุดหงิดไหม (หงุดหงิด)เขาอ่านข้อความแล้วไม่ตอบเรา หงุดหงิดไหม (หงุดหงิด)  ถามใหญ่เลยอ่านแล้วทำไมไม่ตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้มาฝึกสิ่งที่ขาดหายไปในใจ มาฝึกสิ่งที่เราลืมเลือน นั่นคือการใช้ความอดทนอดกลั้น ดีหรือเปล่า (ดี)  แต่เวลาเราใช้ความอดทนเพราะเรารับไม่ได้กับการกระทำของคนใดคนหนึ่ง เราถึงต้องใช้ความอดทนมากๆ ถ้าวันนี้มานั่งฟังแล้วต้องใช้ความอดทน หมายความว่าเรารับใครไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ความอดทนเราใช้สำหรับสิ่งที่เรารู้สึกไม่ดี รับไม่ได้ รับไม่ไหวถึงต้องใช้ความอดทนมากๆ แต่วันนี้สิ่งที่อาจารย์บรรยายธรรมพูดมาล้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่เพราะเราไม่ดีพอเราเลยรับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราต้องอดทนหรือคนพูดต้องอดทน (เราต้องอดทน)  เราพูดให้ท่านงงหรือเปล่านะ
“ถูกกระทบไม่พอใจเมตตาไว้ เกิดอยากได้สละให้ไม่โลภหนา
แยกไม่ออกหลงสับสนใช้ปัญญา ผู้ฝึกฝนใช้ธรรมมาปฏิบัติจริง”
แต่ส่วนใหญ่เรามักจะใช้อะไร (ใช้อารมณ์)  ผู้ฝึกฝนจริงๆ ใช้ธรรมมาปฏิบัติในทุกขณะที่ถูกกระทบ ไม่ปล่อยให้สิ่งที่กระทบกลายมาเป็นอารมณ์ก่อเกิดเป็นกิเลส และเป็นความทุกข์ในที่สุด ฉะนั้นเวลาเราโดนอะไรกระทบ เราใช้ธรรมหรือเราใช้อารมณ์ วันนี้ท่านมาฝึกฝนการอบรมบ่มเพาะคุณธรรม ฟื้นฟูคุณธรรมในจิตใจให้ปรากฏ เจอเรื่องใดที่ไม่ถูกใจ เจอเรื่องใดที่ขัดใจ ใช้ธรรมหรือใช้อารมณ์ ใช้คุณธรรมหรือใช้ความเป็นคน ใช่หรือเปล่า
“เพราะไม่รู้จึงหลงและยึดติด สิ่งที่เห็นจึงเบือนบิดผิดไปยิ่ง
ทุกสิ่งล้วนมีหรือไร้ใดแท้จริง โลกคือสิ่งที่พบได้ในใจตน”
เรายกตัวอย่างง่ายๆ วันไหนอารมณ์ดีมองฟ้ามองคนก็สดชื่น วันไหนอารมณ์ไม่ดีไม่ต้องมองใครก็ดูหม่นหมอง ฉะนั้นโลกจะสวยหรือไม่สวยอยู่ที่ (ใจเรา)  โลกจะสุขโลกจะทุกข์ใช่อยู่ที่สิ่งแวดล้อมหรือตัวคน แต่จริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเรานั้นคิดอย่างไร ท่านนั่งอยู่ตรงนี้คิดว่าตนกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ หรือคิดว่ากำลังนั่งอยู่ใต้แสงแดดอาทิตย์ร้อน (ใต้ร่มไม้)  ก็แปลว่านั่งฟังก็ต้องยิ่งเย็น แต่ทำไมยิ่งนั่งฟังยิ่งร้อน นั่นเพราะโลกหรือเพราะใจเรา วางใจเป็นอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข วางใจไม่เป็นอยู่ที่ไหนก็เป็นทุกข์ คิดได้อยู่ที่ไหนก็มีสุข คิดไม่ได้อยู่ที่ไหนก็อมทุกข์ ฉะนั้นโลกค้นพบได้ในใจเรานะ ทุกข์สุขดีร้ายไม่ต้องไปโทษใครลองหันกลับมามองตัวเอง เขาคือคนผิดหรือเราคือคนผิด เขาคือคนบาปหรือเราเป็นคนบาป เขาคือคนแย่หรือเราที่มัวจำฝังใจกับเรื่องแย่ๆ ของเขา ใช่ไหม (ใช่)  โลกสดใสอยู่ที่ใจเรานั้นสดใสหรือไม่ เขาน่ารักก็อยู่ที่ใจเราเห็นเขาน่ารักหรือเปล่า ถูกไหม ดั่งที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า เห็นเขาเป็นพุทธะเราก็คือพุทธะ เห็นเขาเป็นกองขี้หมาแปลว่าใจของเราก็มีกองขี้หมา ถูกหรือไม่ (ถูก) 
วันนี้เรามาผูกบุญสัมพันธ์กันหน่อยนะ การที่เรามาในวันนี้เป็นแค่รูปแบบภายนอกอย่าไปยึดติดมากนะ
กฎเกณฑ์แห่งสรรพสิ่งนานาในโลกไม่ได้ค้นหาได้จากที่ไหน แต่ค้นหาได้จากกลางใจเรา เมื่อไรที่เราสงบวางความเห็นแก่ตน วางอัตตาความอยากลงได้ เราก็จะมองเห็นและเข้าใจว่าชีวิตและธรรมไม่ต่างกัน และเราก็จะเข้าใจว่าชีวิตก็แค่นั้นเอง ธรรมก็แค่นี้เอง แต่ทำไมเราถึงไม่ค่อยเข้าใจกันจึงมีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ความอยากเป็นบ่อเกิดของโลก เมื่อความอยากเกิดที่ไหนโลกก็เกิดที่นั่น ดับความอยากได้ก็สามารถดับโลกที่วุ่นวายซับซ้อนนี้ลงได้ แต่ถ้าดับความอยากไม่ได้โลกก็คงยังปั่นป่วนอยู่ในหัวใจเราไม่จบสิ้น ท่านอาจจะแย้งเราว่าความอยากเป็นสิ่งที่ดีเป็นพลังสร้างสรรค์ แต่อย่าลืมนะว่าความอยากที่ไร้จิตสำนึกถูกผิดดีชั่ว ความอยากนั้นก็เป็นต้นตอของความชั่วร้ายที่น่ากลัวที่สุด ถ้ามนุษย์อยากหยุดจากความวุ่นวายในโลกที่ซับซ้อนนี้ ก็จะต้องรู้จักคุมใจให้ได้เพราะว่าเมื่อใจเกิดความอยากโลก จึงเกิด ถ้าดับที่ใจได้เราก็ดับโลกได้ แต่ใครหนอจะดับความอยากในใจได้
เราถามท่านนะว่า องุ่นหนึ่งเม็ดน้อยหรือมาก (น้อย)  อย่างนั้นเราถามใหม่ ส้มหนึ่งผลน้อยหรือมาก (มาก)  ระหว่างองุ่นหนึ่งเม็ดกับส้มหนึ่งผล น้อยหรือมาก (น้อย, มาก)  ถ้ายังติดในความอยากสิ่งที่เห็นก็กลายเป็นน้อย ถ้าติดอยู่ในสัญญาความจำได้หมายรู้ว่า ฉันต้องกินเยอะๆ ที่เห็นมันก็เลยน้อย จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์วางอัตตาตัวตน มองความอยากที่มี ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันมากหรือมันน้อย วางอัตตาตัวตน วางความอยาก สิ่งที่เห็นก็ไม่ได้มากหรือน้อย แต่ถ้าเมื่อไรยังเต็มไปด้วยความอยาก มีความยึดมั่น สิ่งที่เห็นก็กลายเป็นน้อย จริงไหม (จริง)  เหมือนเวลาเราไม่หิว เห็นอะไรมันก็เท่านั้น แต่เวลาหิวเป็นอย่างไร (เห็นว่าน้อย)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์มองสรรพสิ่ง ถอนอัตตาตัวตนออก ถอนความอยากได้อยากมีออก ถอนความรู้สึกนิสัยเคยชินออก สิ่งที่เห็นไม่มีคำว่ามาก ไม่มีคำว่าน้อย ใช่ไหม
เราถามท่านว่า อยู่ๆ ให้เดินไปตีคนโดยที่ไม่ได้มีอารมณ์โกรธ อารมณ์แค้น ถามว่าตีลงไหม (ไม่ลง)  แต่ถ้าโมโหเขาอยากจะตีเป็นพันๆ หน ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกจะดีจะร้าย ถ้าถอนความเห็นแก่ตนได้ทุกสิ่งทุกอย่างก็แค่นั้น เท่านั้นเองนะ แต่เพราะเรามีความเป็นตัวตนใส่เข้าไปจึงมีคำว่า มากเกินน้อยเกิน ดีแย่ แต่ถ้าถอนความเป็นตัวตนออกมา ก็จะไม่มีใครดีใครแย่ใครร้ายใครเลว แต่เราจมกับสิ่งที่เราคิดสิ่งที่เรารู้สึกจึงทำให้อารมณ์ครอบงำแล้วมองโลกได้ไม่แจ่มชัด ถูกไหม (ถูก) 
เหมือนถามท่านว่า ถ้าเราเปรียบเทียบระหว่างส้มหนึ่งผลกับองุ่นหนึ่งเม็ดเอาอย่างไหน บางคนได้ส้มไปแล้วเป็นอย่างไร ทุกคนมีความคาดหวังว่าผลไม้ต้องหวานใช่ไหม ได้ไปเยอะๆ แต่ถ้าผลไม้เปรี้ยวมีความทุกข์ไหม (ทุกข์)  แต่ถ้าคนไม่เน้นปริมาณ เลือกองุ่นรับรองหวานไม่ผิดหวังแน่ๆ ใช่ไหม (ใช่)  การเลือกบ่งบอกถึงหัวใจว่า เราเน้นปริมาณหรือเราเน้นคุณภาพ แต่คนที่ไม่เลือกก็บ่งบอกหัวใจว่า เราจะตามใจหรือเราจะหยุดตามใจ เลือกมาแล้วเดาไม่ออกว่าทุกข์หรือสุข เลือกไปแล้วคนที่ต้องรับผลคือคนที่เลือก แต่ถ้าเราไม่อยากที่ต้องทุกข์หรือสุขจะพยายามเลือกไปทำไมถ้าเรารู้จักพอ ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า ไม่มีหายนะและภัยพิบัติใดน่ากลัวเท่ากับความอยากที่ไม่รู้พอ ถ้าไม่อยากโดนคนดูถูกเหยียดหยามก็จงรู้จักพอและหยุดให้เป็น ถ้าไม่อยากมีเรื่องมีราวกับใคร ก็จงรู้จักหยุดความอยากให้ได้ จริงไหม
ได้ส้มไปแล้วบางทีก็คิดว่าให้มาได้ยังไงเปรี้ยวก็เปรี้ยว หรือคิดว่าเขามีองุ่นตั้งพวงใหญ่แต่ให้มาแค่เม็ดเดียว ฉะนั้นถ้าคิดจะอยากต้องระวังนะ ภัยภายนอกไม่น่ากลัวเท่ากับภัยที่เกิดจากใจเราที่ไม่รู้จักพอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ดังนั้นเมื่ออยากแล้วอย่าลืมหายนะและภัยพิบัติที่จะตามมา โรคภัยเข้าทางปากและพิษภัยออกจากปาก อยากหยุดโรคภัยอยากหยุดพิษภัย จงระวังสิ่งที่เข้าและสิ่งที่ออก พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “ก่อนจะอยากระวังให้ดี” จำไว้นะต่อให้ได้น้ำมนต์ของหลวงพ่อเก้าวัด ก็ล้างคนชั่วให้เป็นคนดีไม่ได้ ต่อให้ไหว้พระเก้าวัด ก็ทำให้คนที่ทำผิดคิดร้ายกลายเป็นคนมีมงคลไม่ได้ ฉะนั้นก่อนจะอยากคิดให้ดีๆ เพราะถ้าอยากแล้วก่อพิษก่อภัยแล้วไปไหว้พระก็ล้างไม่ได้นะ ท่านกลัวกันไม่ใช่หรือเคราะห์ภัย แต่ทำไมไม่ระมัดระวังก่อนที่จะสร้างเหตุปัจจัย เพราะใดๆ ในโลกนี้ล้วนไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย เราไม่สร้างเหตุก็ย่อมไม่มีผล แต่ถ้าเราก่อเหตุ ก็หนีผลไม่พ้น จริงหรือไม่ (จริง)
ลองค่อยๆ พิจารณาสิ่งที่เรากล่าว อย่ามัวปล่อยจิตฟุ้งซ่านเลย ส่วนใหญ่เวลาเราเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรามักชอบวอนขอ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทุกสิ่งวอนขอได้คนก็คงไม่ต้องทำอะไรเลย จริงไหม (จริง)  แต่ก็ยังอดขอไม่ได้ คนมากมายอยากจะขอให้รวย แต่ถ้าอยากมั่งมีจนทำให้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ความอยากนั้นก็เป็นต้นตอของความชั่วร้าย ฉะนั้นก่อนที่จะอยาก จงไตร่ตรองพิจารณาให้ถึงซึ่งคุณธรรมและศีลธรรมก่อนย่อมดีกว่า ใช่หรือไม่
แต่ถามว่าเวลาความอยากขึ้นหน้าแล้ว เราคิดถึงศีลธรรมไหม (ไม่)  โกหกเป็นว่าเล่นเลย น่าเสียดายนะ คุณธรรมคือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นคนประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ ถ้ายังคงรักษาคุณธรรมได้ยิ่งกว่าชีวิตคนนั้นก็ประเสริฐนักแล ขอถามอีกครั้งนะ ใครยังอยากร่ำรวยอีกยกมือขึ้น ส่วนใหญ่อยากรวยทั้งนั้นเลย ถ้าอยากรวยต้องหนีความจนให้ได้ก่อน อย่างนั้นเรามาทำความรู้จักความจนก่อน ถ้าหนีความจนได้ก็คือคนที่รวยที่สุด อยากจะรวยได้ต้องรู้จักคนที่จนก่อน คนที่จนที่สุดคือคนที่ไม่รู้จักพอ คนที่มีแล้วรู้สึกว่าไม่มี เราอยากรวยที่สุดคือเราอยากมีเงินเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในกระเป๋าทุกคนมีเงินไหม (มี)  แต่ถ้าใจยังรู้สึกว่าไม่มี ที่มีก็เหมือนไม่มี ฉะนั้นคนที่จนที่สุดคือคนที่ไม่รู้จักพอ ทำอย่างไรล่ะให้สิ่งที่มีกลายเป็นมีเยอะแยะ (พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  เมื่อพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ก็กลายเป็นมั่งมีได้ แต่ลึกๆ แล้วในใจเราทำได้หรือไม่ เราจะบอกท่านนะเงินในกระเป๋าใครๆ ก็มี แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีในหัวใจของคนที่พยายามหาเงินเข้ากระเป๋าก็คือ ใจที่รู้จักมีเงิน บางคนมีร้อยก็ยังบอกว่าไม่มี มีเป็นล้านก็ยังบอกว่าไม่มี ฉะนั้นสิ่งที่หายไปนั้นไม่ใช่เงิน แต่คือใจที่ไม่เคยมีเงินจริงๆ ต่างหาก มีก็เลยเหมือนไม่มี แล้วจะทำอย่างไรล่ะที่จะทำให้มีแค่นี้ก็เยอะได้ เปรียบเทียบง่ายๆ กับผลไม้ในมือเรา เมื่อไหร่ที่เราไม่มีความอยากเลย ต่อให้มีน้อยมันก็ดูเยอะขึ้นมาได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราอยากไม่จบสิ้น ที่มีอยู่เยอะๆ มันก็กลายเป็นน้อย จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างเช่นตอนนี้ถ้าเราไม่อยากกินเลยก็จะดูว่าเยอะเกินไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราอยากกิน ท่านคิดว่าแค่นี้พอหรือไม่ (ไม่พอ)  แล้วถ้าค่อยๆ ลองลดความอยากลงไปจนไม่เหลือความอยากเลยก็จะกลายเป็นเหลือเฟือ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถึงมีอยู่น้อยก็สามารถกลายเป็นมั่งมีได้ เพราะเราไม่มีความอยากนั่นเอง เหมือนเมื่อก่อนมีเงินอยู่หนึ่งร้อยบาทสามารถซื้ออะไรได้เยอะแยะไปหมด แต่เมื่อมีความอยากเข้ามา อันโน้นก็อยากได้อันนี้ก็อยากมี ตอนนี้ร้อยนึงพอไหม (ไม่พอ)  แต่ถ้ามีร้อยนึงแล้วไม่อยากได้อะไรเลย ร้อยนี้ก็จะเยอะไหม (เยอะ)  ฉะนั้นสิ่งที่มีสามารถกลายเป็นมั่งมีและเหลือเฟือได้ ถ้าเราคุมความอยากได้ หยุดความอยากได้ เราก็จะกลายเป็นคนที่มั่งมีขึ้นมาทันที เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
อยู่ในโลกก็เหมือนกัน เขาให้เรามากหรือเขาให้เราน้อย อาจจะไม่มากไม่น้อย ถ้าใจเราไม่อยากอะไรเลย เขาให้เราดีหรือเขาให้เราไม่ดี ถ้าเราไม่ยึดติดดีร้ายในใจเรา อะไรดี อะไรไม่ดี โลกวุ่นวายหรือจบสิ้นได้ อยู่ที่เราควบคุมใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งมนุษย์อดตัดพ้อต่อว่าไม่ได้ว่า ทำไมคนนั้นเป็นแบบนี้ ทำไมคนนี้เป็นแบบนั้น อย่างนั้นเราถามท่านนะ ถ้าสมมติว่าเราไม่จำว่าเขาร้าย เราไม่คิดจดจำสิ่งที่ไม่ดีของเขา ใครจะร้าย ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเกิดคนที่เรารักที่สุด แต่เราจำไม่ลืมว่าเขามีนิสัยไม่ดี คนที่รักที่สุดก็กลายเป็นคนที่ทำให้ท่านทุกข์ใจที่สุด เพราะเขาร้ายหรือ ไม่ใช่นะ แต่เป็นเพราะว่าเราจำแต่เรื่องร้ายๆ ของเขาจนหาดีไม่เจอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ตัวเรามีดี มีร้ายไหม (มี)  ฉะนั้นเวลาเราทำผิดไป เราก็จะบอกว่าเป็นธรรมดาคนเรามีดีมีร้ายใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมเวลาคนที่เรารักเขาร้าย ทำไมไม่คิดว่าเป็นธรรมดา ฉะนั้นจำไว้นะ ถ้าท่านยังจำว่าเขามีร้ายอยู่ แม้คนที่รักที่สุดก็ทำให้ท่านทุกข์ที่สุด แต่ในทางกลับกันถึงเขาเป็นศัตรู แต่ถ้าเราไม่เคยจำเรื่องเลวร้ายของเขา มองเห็นแง่ดีของเขา สิ่งที่แย่ที่สุดก็กลายเป็นสิ่งที่มีค่าได้เหมือนกัน ศัตรูที่ร้ายที่สุดก็กลายเป็นมิตรได้เหมือนกัน แต่มนุษย์เราเป็นคนช่างจดจำ แล้วก็ชอบจำเรื่องไม่ดีมากกว่าจำเรื่องดี นิดๆ หน่อยๆ ก็ถือสา แต่เวลาเราทำร้ายเขา เราจำไม่ได้ แต่เราทำอะไรดีกับเขา เรากลับจำได้แม่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาคนอื่นทำอะไรร้ายๆ กับเรา จำได้ไหม (จำได้)  แต่เวลาเขาทำดีอะไรกับเรา (จำไม่ได้)  อยากเข้าใจโลก เข้าใจคนหันมามองใจตน อยากหยุดโลก อยากหยุดคน จงหยุดความคิดตนและรู้ให้เท่าทันใจตน ไม่มีใครเกินไปหรอกถ้าเราไม่
ถือสาหาความ ไม่มีใครแย่ไปหรอกถ้าเราไม่จำ
เนิ่นนานไม่จบสิ้น 
วิบากกรรม เอาไหม (ไม่เอา) 
สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด หายไหม (ไม่หาย)  แล้วทำไมทำดีไม่ขึ้น เพราะศิษย์ทำดีแต่ในวัด แต่ในสังคมโลกศิษย์ด่า เกลียด รำคาญ
จำไว้นะอย่าเล่นกับความรู้สึกคน เพราะคนมีนิสัยอย่างหนึ่ง ทำดีแทบตายจะไม่จำ แต่ทำผิดแค่นิดเดียวจำขึ้นใจ ฉะนั้นถึงศิษย์จะทำบุญล้างซวย ก็แก้กรรมไม่ได้ แล้วถ้าเอาเขาทั้งชีวิต ศิษย์ว่าจะหายด้วยการกรวดน้ำหนึ่งแก้วเหรอ แล้วถ้าเอาแบบเขาไม่อยากให้ จะหายด้วยน้ำหนึ่งขันเหรอ
พลัดพราก มองให้ดีๆ ถูกไหม



ฉะนั้นความทุกข์ความสุขความเลวร้ายจึงอยู่ที่เรา ใจเราควบคุมตัวเองได้หรือไม่ สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาจากพระพุทธะ นอกจากความมั่งมีแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือความร่มเย็นของครอบครัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้จักซื่อสัตย์ ถ้าเรารู้จักเคารพให้เกียรติ ถ้าเรารู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัย ถ้าเรารู้จักไม่จดจำไม่ถือสาหาความ มีหรือครอบครัวจะไม่ร่มเย็น ถ้าเรารู้จักมีเมตตาเป็นที่ตั้ง รู้จักอภัยอยู่เนืองนิจ มีหรือครอบครัวจะไม่สมัครสมาน แต่ปัจจุบันคนชอบเอาแต่ว่าคนอื่นจนลืมมองดูตน ชอบเอาแต่เรียกร้องคนอื่นให้ทำ แต่ลืมเริ่มต้นที่ใจตน อยากหาความสงบร่มเย็นในบ้าน ไม่ใช่แค่กราบพระ ต้องทำตัวให้น่าเคารพและกราบไหว้ อยากหาความสุขในชีวิตต้องถามตัวเอง ไม่ใช่ถามพระ เราคิดอย่างคนมีสุขหรือเราคิดอย่างคนชอบหาทุกข์
การศึกษาธรรมกราบไหว้พระ จงเข้าใจแก่นหลักธรรม หลักธรรมสอนให้เราเริ่มต้นหันมามองแล้วแก้ไขตน ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากใจเรา จะหยุดจะดับจะสุขจะทุกข์นั้นก็ต้องหยุดที่ใจเราเริ่มที่ใจเรา ถ้าเอาแต่ไหว้วอนฟ้าดินกราบไหว้พระก็เปล่าประโยชน์ ถ้าท่านไม่แก้ที่ใจตัวเอง เพราะคนในโลกส่วนใหญ่ชอบมองแต่คนอื่นผิด แต่ลืมดูว่าตัวเองดีแล้วหรือยัง ชอบมองว่าคนอื่นแย่แล้วตัวเราเองล่ะแย่หรือไม่ ถ้าคิดได้เราจะพบว่าคนอื่นมีดีมากมาย เช่นเดียวกันบางครั้งดูเหมือนว่าเขาให้น้อยแต่ถ้าเราไม่มีความอยากในใจเลย ก็จะไม่มีใครที่ให้น้อย และดูเหมือนเขาให้มาก แต่ถ้าใจเราไม่มีอะไรอยากเลย สิ่งที่ได้ก็อาจจะมากก็ได้ ฉะนั้นก่อนจะมองว่าใครไม่ดีให้ถามตัวเองก่อนว่า ที่ไม่ดีนั้นเป็นเพราะใจเรากำลังยึดติดสิ่งใดหรือไม่ ที่มองเขาร้ายนั่นเป็นเพราะใจเราเกลียดอะไรในตัวเขาหรือเปล่า
ฉะนั้นการศึกษาธรรม เรียนรู้ ปฏิบัติธรรม พระพุทธะท่านไม่ได้สอนให้เราเอาแต่กราบไหว้ แต่ท่านสอนให้เราลงมือปฏิบัติลงที่ใจของท่านเอง ต่อให้น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเรายังพูดผิด ทำผิด คิดร้าย พระพุทธองค์กล่าวว่า “รอยเกวียนย่อมเป็นไปตามรอยเท้าโคที่นำทาง ธรรมในโลกล้วนเกิดขึ้นจากใจอันเป็นใหญ่ ใจอันเป็นที่ตั้ง และสำเร็จสำคัญที่ใจ ชีวิตจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับใจเรานำทาง วางถูกก็นำพาถูก วางผิดแม้อยู่ในที่เย็นก็กลายเป็นที่ร้อน” พระพุทธะจึงสอนไว้ว่าทำอะไรจงรู้จักมีสติยั้งคิด มองตนก่อนมองใคร แก้ตนก่อนแก้ใคร วันนี้หลักธรรมของเราสั้นๆ ง่ายๆ อยู่ที่ว่าท่านจะรู้จักควบคุมใจด้วยศีลธรรมหรือไม่
อยากแข็งแรง อยากอายุมั่นขวัญยืน แต่ดำเนินชีวิตทุกวันล้วนเบียดเบียนคนอื่น ไม่ทางตาก็ทางปาก ไม่ทางปากก็ทางการกระทำ เช่นนี้จะอายุยืนได้หรือ อยากอยู่ร่มเย็นเป็นสุข แต่ทุกวันเอาแต่ด่าทอ ทุกวันเอาแต่ชิงชัง เช่นนี้ก็หาสุขได้ยาก ฉะนั้นถ้ารู้จักเคารพให้เกียรติ รู้จักมีเมตตาต่อผู้คน ใครเล่าจะไม่น่ารักกับเรา แต่กลัวอย่างเดียว ใจร้าย เห็นแก่ตน เอาแต่อารมณ์ กราบไหว้ฟ้าดินก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นก่อนจะว่าคนอื่น ถามตัวเองว่าเมตตาแล้วหรือ ก่อนจะเกลียดใคร ถามตัวเองว่าดีแล้วหรือ ก่อนจะว่าฟ้าดินไม่ยุติธรรม ถามตัวเองว่ามีความอยากจนไปทำร้ายใครหรือเปล่า คิดให้ดีๆ
วันนี้เรามาเพื่อให้ท่านรับรู้ว่า ชะตาไม่ใช่ฟ้าลิขิต แต่ชะตาชีวิตอยู่ที่มนุษย์วางใจตัวเองเป็น  วางเป็นก็พ้นทุกข์ วางไม่เป็น ไม่มีศีลธรรม วุ่นอยู่แต่ความอยาก วิ่งวนอยู่แต่อารมณ์ ก็หนีไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นรอยเกวียนย่อมเป็นไปตามรอยเท้าโคที่นำทาง ใจเป็นต้นเหตุแห่งสรรพสิ่ง ถ้าใจเราดี บริสุทธิ์ ผ่องใส พูดทำสิ่งใดก็เป็นสุข แต่ถ้าใจเราอยากคิดร้าย ชั่วบาป ทุกข์ก็หนีไม่พ้น คิดให้ดีๆ นะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก



วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ต้นทุนแห่งชีวิตมีไม่เท่ากัน หากมุ่งมั่นบำเพ็ญย่อมหลุดพ้น
เป็นคนเก่งเป็นคนแกร่งแจ้งใจตน ใครเดินวนเราเดินหน้าไม่หลงตาม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม


คนส่วนน้อย ที่รู้แล้วลงแรง กินข้าวแกงแค่นี้ก็มีแรง ไม่จำต้องเลิศลอย หัวใจแห่งเมตตานั้นส่องแสงลงแรงบ่อย ทุกวันค่อยค่อยเพียรและฝึกฝนบำเพ็ญใจ ธรรมขับขานสุขสันต์อันยิ่งใหญ่ ใจแจ่มชัด อยากพ้นทุกข์เวียนว่าย อย่าไกลจากบำเพ็ญ
* มองหน้ากันสุขสันต์เพราะใจเย็น ทำไม่เป็นฝึกฝนถึงทำได้ ไม่มีเรื่องยากเกิน ใช้ดวงจิตที่ชีวิตขาดหายนำหวนกลับ น้ำตาขับให้ตานี้สุกใส ใจดังเดิม ความตั้งใจหมดแล้วหามาเติม โลกเปลี่ยนไป ก็รู้ไว้เท่าเดิม พากเพียรไม่ยอมถอย  (ซ้ำ *)

ทำนองเพลง :ริมฝั่งน้ำ
ชื่อเพลง :ความหลุดพ้นศิษย์ก็ทำได้
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นธรรมดาขึ้นชื่อว่าอารมณ์ หมายความว่าการถูกกระทบ เมื่อโดนกระทบก็ต้องมีดี มีร้าย มีชอบ มีชัง ฉะนั้นการที่เราจะหลุดพ้นอารมณ์ความรู้สึกนี้ ต้องรู้จักควบคุมใจให้เป็น ถูกหรือไม่ แต่ใครหนอจะควบคุมใจตัวเองได้ทัน ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านไปแล้ว ค่อยมาคิดได้ และปล่อยให้อารมณ์เสียไปแล้ว ถึงค่อยมารู้สึกเสียใจ ใช่หรือเปล่าแล้ว เราก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ เราก็เลยไม่เคยหมดทุกข์สักที อาจารย์ถามว่าอยู่ในโลกนี้ บางครั้งเราก็เบื่อคน จริงไหม (จริง)  แต่ก่อนเราเคยถนัดแต่การมองออก พูดออก แต่การบำเพ็ญธรรมสอนให้เรามองเข้าและหันเข้ามาดูตัว บำเพ็ญธรรมไม่เหมือนกับการดำรงชีวิตข้างนอกนะ ชีวิตในสังคมภายนอกเราเคยชินกับมองออกเพ่งออก ว่าเขา โทษเขา แต่ธรรมะไม่ใช่ ธรรมะสอนให้มองเข้า หันเข้า ดูตัวเรา และว่าตัวเราก่อนจะไปว่าใคร พระพุทธองค์ท่านเบิ่งตาแล้วมองลง เป็นนัยปริศนาซ่อนอยู่ เพื่อกลับมาค้นหาความสงบ ฉะนั้นอะไรที่พุ่งออกไปแล้วทำให้วุ่นวาย อะไรที่พุ่งออกไปแล้วทำให้เป็นทุกข์ ไม่ใช่หนทางแห่งธรรมหรือเป็นพุทธะ
ยกตัวอย่างง่ายๆ นะศิษย์ อะไรที่เพ่งออกไปแล้วทำให้วุ่นวายสับสน ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่พุทธะ แต่อะไรที่กลับมาแล้วสงบนิ่งจบไม่วุ่นวาย นั่นเรียกว่า พุทธะ เรียกว่า ธรรมะ ง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นปฏิบัติธรรมคืออะไร การปฏิบัติธรรมคือการย้อนกลับมามองส่องตนเพื่อค้นหาความสงบที่แท้จริง ถ้าพูดแล้ววุ่นวาย ไม่พูดได้ไหม ถ้ามองแล้วอยากมองไม่รู้จบ ไม่มองดีกว่าไหม ถ้าฟังแล้วอยากฟังอีก ไม่ฟังเลยดีไหม ไม่มีพระพุทธะองค์ใดที่ตาโต หูผึ่ง ใช่หรือไม่ท่านต้องการบอกอะไร หรือคนโบราณที่ปั้นรูปไว้ต้องการสื่ออะไรให้เรารู้ ฉะนั้นไหว้พระต้องได้ความเป็นพระมาอยู่ในใจ กราบไหว้พระต้องได้พระมาอยู่ในชีวิต ไม่ใช่ตั้งพระไว้อย่างไรก็แบบนั้น ก็ฉันเป็นแบบนี้
ฉะนั้นหลักธรรมจึงสอนว่า ให้ทวนกระแสโลก แต่ศิษย์กลับบอกว่ามันยากนะอาจารย์ เขามีอะไร หนูก็อยากมี เขาเป็นอะไร หนูอยากเป็น ให้ทวนกระแสยาก แต่เมื่อไรทวนกระแสนั่นคือการฝึกเป็นพุทธะ ตามกระแสนั่นคือการเป็นมนุษย์ ฉะนั้นถ้าอยากฝึกความเป็นพุทธะต้องกล้าที่จะทวนกระแสใจ แต่ถ้าอยากเป็นมนุษย์ต่อไปก็แค่ฟังๆ ไว้ไม่ต้องทำ ดีไหม (ไม่ดี)  
รู้ไหมว่าการทวนกระแสของพุทธะอย่างไรถึงเรียกว่าทวนกระแส เอาง่ายๆ สิ่งที่มนุษย์บอกว่าสวย พุทธะบอกไม่สวย สิ่งที่มนุษย์บอกอยากได้ อยากมี อยากเป็น พุทธะบอกอย่าไปอยากได้ อยากมี อยากเป็น สิ่งที่มนุษย์บอกว่าสุข พุทธะบอกว่าไม่สุข อย่างนั้นการทวนกระแสเพื่อเดินสู่หนทางพุทธะ จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อยากทวนกระแส ใช่ไหม (ใช่)  แล้วมีใครเล่าอยากเดินหนทางพุทธะ ถ้าในความคิดของมนุษย์ยังเห็นสิ่งที่ไม่สวยว่าสวย สิ่งที่ทุกข์ว่าสุข จึงไม่มีคนในโลกเดินทวนกระแสเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรายังบอกว่าก็สวยนะ ก็ยังมีสุขนะอาจารย์ จะให้ทวนกระแสโลกยากไหม (ยาก)  พอยาก ผลสุดท้ายเราก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วก็กลับมาวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย อยากปลดทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยากเดินทางพ้นทุกข์มันก็ต้องเป็นแบบนี้ เริ่มต้น เอาไหม 
อาจารย์ถามจริงๆ สำหรับฝ่ายชายที่แต่งงานแล้ว คนที่เราเคยเห็นว่าสวยตอนนี้เป็นอย่างไร สวยไหม อาจารย์ถามฝ่ายหญิงนะ ตอนแรกที่คิดว่าสุข ตอนนี้สุขไหม คิดว่ามีคู่จะมีความสุข คิดว่าได้อย่างนั้นได้อย่างนี้จะมีความสุข แล้วเป็นอย่างไร สุขไหม
ฉะนั้นพระพุทธะชี้ให้ล้วนเป็นทางแห่งสัจจะความจริง สิ่งที่ศิษย์บอกว่าสุข มันไม่ใช่สุข มองให้ดีมันเป็นทุกข์ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าสวย มองให้ดีๆ มันไม่สวย ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์ยังไม่รู้ชัด รู้แล้วยังไม่ถึงที่สุด รู้แล้วยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ท่านก็ยังเรียกว่าความรู้นั้นเป็นอวิชชา เป็นความหลง ที่รู้ไปก็เปล่าประโยชน์ รู้เยอะไปก็เท่านั้น รู้แล้วช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ มันก็ยังไม่ใช่วิชาที่พ้นทุกข์ ซึ่งยังเป็นอวิชชา ฉะนั้นรู้อย่างไรที่จะทำให้เราไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้ แต่มองเห็นโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด แล้วเมื่อทุกข์จะเปลี่ยนไปแบบไหนก็หลอกเราไม่ได้แล้วเพราะเราเห็นชัด ใช่ไหม (ใช่)  เห็นชัดจนไม่มีอะไรมาลวงตาลวงใจเราได้อีก
แต่ตอนนี้ยอมรับหรือยังในสิ่งที่บอกว่าสวย สิ่งที่ศิษย์บอกว่าหาสุข ไหนใครบอกว่ามีบ้านมีสุข ต้องปาดเหงื่อหาเงินมาใช้หนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครบอกว่ามีลูกแล้วมีความสุข เป็นอย่างไร รอลูกเมื่อไหร่เขาจะกลับมา เขาจะเรียนดีไหม จะทำอย่างไรกับเขาดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้มีสุขไหม มีเงินแล้วมีสุขเป็นอย่างไร เอาไปเก็บไหนดี ใครจะเอาไปไหม แล้วเราจะทำอย่างไรให้เงินมันงอกเงย สุขหรือยัง ไม่เห็นมีใครสุขจริงสักทีเลย สุขยังไม่ทันถึงห้านาทีเลยก็กลุ้มแล้ว
ฉะนั้นถ้าอยากเข้าสู่กระแสธรรม สิ่งแรกที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์ นั่นก็คือมองเห็นความจริง ไม่ว่าโลกจะพลิกซ้ายพลิกขวา ก็ทำอะไรให้เราหวั่นไหวไม่ได้ เพราะเราเห็นสิ่งนั้นชัด ชัดจนไม่ต้องทำอะไรก็ทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นอย่างนั้น มรรค คือหนทางที่หลุดพ้น อาจารย์บอกและยืนยันกับศิษย์เลย ตอนนี้เวลานี้หลุดพ้นได้ ขณะนี้เดี๋ยวนี้พ้นทุกข์ได้ แต่ที่ศิษย์ต้องทำให้ได้ อย่างแรกคือศีลครบ อย่างที่สองคือคุณธรรมครบ ถ้ายังมีไม่ครบก็ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ไปทีละก้าวด้วยความเข้าใจ ธรรมะไม่ช่วยแก้ให้เราหายโรคภัย แต่ธรรมะเป็นเรื่องของชีวิต ชีวิตที่จะทำอย่างไรให้เราพ้นทุกข์ หรืออยู่บนโลกแล้วไม่ทุกข์ อยู่กับทุกข์ด้วยความเบิกบานใจ เอาธรรมะมาก่อเกิดให้ชีวิตมีปาฏิหาริย์บนโลกนี้ให้ได้ เอาตอนนี้ไม่ต้องรอชาติหน้า ไม่ต้องรอหวังบุญชาติหน้า เพราะถ้าตอนนี้ไม่ได้ แล้วชาติหน้าจะได้หรือ (ไม่ได้)  ฉะนั้นจะไปต่อไหม (ไป)  ไปสู่ทางแห่งการฝึกฝนเป็นพุทธะ เพื่อนำพาสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ต้องรอชาติหน้า แต่เป็นชาตินี้ เดี๋ยวนี้ ดีไหม (ดี) 
ศิษย์เอยอาจารย์อยากบอกว่าเรื่องราวในโลกผ่านไปแล้วก็ให้จบไป อย่าลากเก็บมาไว้ในใจให้มันนอนเนื่อง แล้วก่อเกิดเป็นทุกข์เป็นแผลใจจนก่อเกิดทุกข์ไม่จบสิ้น ชีวิตผ่านไปแล้ว เรื่องราวผ่านไปแล้ว ทำไมยังเก็บมาคิดให้เจ็บอีก น่าเสียดายนะ ใช่ไหม
ธรรมะสอนไว้ว่าจงอยู่กับปัจจุบันขณะ เรื่องราวบางอย่างจบไปแล้วผ่านไปแล้ว เราทำอะไรไม่ได้ เอาแต่คิดซ้ำคิดซาก คิดวางไม่ลง คนที่ทุกข์ก็คือตัวศิษย์เอง เข้าใจดีแล้วทำไมถึงไม่สามารถเอาชนะความคิดตัวเองได้ จำไว้นะศิษย์ ความคิดไม่น่ากลัวเท่ากับคิดแล้ววางไม่ลง ความคิดไม่ทำให้แย่เท่าไร ความคิดไม่เท่ากับยิ่งคิดแล้วยิ่งแย่ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะ ความคิดไม่น่ากลัวแต่น่ากลัวตรงที่คิดแล้วหยุดมันไม่ได้ ความคิดอาจจะไม่เคยทำให้คนแย่ แต่จะแย่ก็คือ ถ้าคิดแล้ววางไม่ลงจบไม่ได้ แย่แน่ๆ จริงไหม (จริง) 
เราต้องคิดจนวางไม่ลงหรือ บางทีมนุษย์ไม่ได้ตายเพราะคนอื่น แต่จะตายเพราะความคิดตนเอง คนอื่นไม่ทำให้เราเจ็บมากเท่ากับความคิดของเราที่ยอมรับไม่ได้ เขาว่าเราเจ็บไหม ไม่เจ็บ แต่จะเจ็บตรงที่ ใครว่าฉันไม่ได้ เจ็บตรงห้ามมาว่าฉัน และคำว่าห้ามนี่ล่ะที่ทำให้เราตาย อยู่ในโลกห้ามอย่างนั้น ห้ามอย่างนี้ ไม่ได้อย่างนี้ ไม่ได้อย่างนั้น สุดท้ายตายเพราะสิ่งที่ตัวเองห้าม ถูกหรือไม่ (ถูก) 
แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์ในโลก ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ธรรมะมีเยอะแยะ จะเลือกธรรมะไหนมาปฏิบัติ บางทีเยอะจนเลือกไม่ถูก แต่มีประโยคหนึ่งที่สามารถสรุปทุกอย่างแห่งธรรมให้ลงอยู่ในประโยคนี้ประโยคเดียวคือ “ใดๆ ในโลกล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” เพราะทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ครอบครองได้ เราแสวงหาอะไรก็ได้มาเป็นของเรา แต่ใครล่ะที่จะครอบครองได้อย่างแท้จริง เงินของเราหรือ เสื้อผ้าของเราหรือ บ้านของเราหรือ คนโบราณจึงกล่าวว่า “หนึ่งที่นาร้อยพันเจ้าของ เงินหนึ่งบาทร้อยพันคนจับถือ” เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติก็หนีไม่พ้นกฎข้อหนึ่งคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หรือเรียกว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงตรงนี้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มันคลายได้ขณะนั้นไหม สิ่งที่อาจารย์พูดมาศิษย์รู้ไหม รู้ แต่เวลาเจอทุกข์ มันคลายไหม ถึงรู้ขนาดนั้นมันก็ไม่คลาย อย่างนั้นเราจะจัดการกับทุกข์อย่างไร ในเมื่อถึงแม้ว่ารู้แล้วว่าทุกข์นี้ยึดไม่ได้ เราหามาได้ มันก็ไม่ใช่ของเรา อย่างนั้นเราจะจัดการกับทุกข์อย่างไร ถ้าทุกข์มันจรขึ้นมา เมื่อทุกข์มากระทบเราจะทำอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายสองคน และฝ่ายหญิงหนึ่งคนออกมายืนหน้าชั้น ให้ฝ่ายชายร้องเพลงลอยกระทง และหญิงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ให้ทั้งสองฝ่ายร้องเพลงไปพร้อมๆ กัน)
ต่างคนต่างประคองจิตตัวเองให้ร้องให้จบเพลงนะ รักษาสติของตัวเองให้ดี อย่าทำให้ใครต้องทุกข์เพราะเรา หรืออย่าทำให้เราต้องทุกข์เพราะใคร ชีวิตก็อย่างนี้ บางทีเราว่าเราทำของเราถูกแล้ว เราทำของเราดีแล้ว แต่บางครั้งการกระทำของเรามันอยู่ผิดที่ผิดทาง เขาร้องเพลงลอยกระทง แต่เราอยากแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ใช่ไหม (ใช่)
ความทุกข์ก็เหมือนแบบนี้ เราไม่อยากเจอ เราไม่อยากได้ เราเกลียด เรารำคาญ แต่มันก็เพียรมาหาเรา ให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก เราจะทำอย่างไร หันไปสู้กับทุกข์หรือว่าเราจะทำอย่างไร ความทุกข์ก็เหมือนสิ่งที่เราทำอีกสิ่งหนึ่ง แล้วอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่อยากได้ หรือบางสิ่งเป็นสิ่งที่ขวางกับความต้องการของเรา เราจะทำอย่างไร จะสู้กันจนนาทีสุดท้ายหรือว่ารู้จักมีสติก่อนที่จะสู้กับทุกข์ ฉะนั้นเวลาเจอทุกข์อย่าใช้ความคิด เพราะความคิดกับอารมณ์ทำให้เรายิ่งเดินไปแล้วผิดทาง ยิ่งเดินยิ่งทุกข์ พระพุทธะล้วนสอนว่า เมื่อมีทุกข์จงใช้สติพิจารณาจนบังเกิดธรรมเป็นอย่างแรก ส่วนอย่างที่สอง เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ด้วยความเข้าใจจนก่อเกิดความเบิกบานและปาฏิหาริย์แห่งการเข้าถึงธรรม เอาแบบไหนดี
หรือจะเอาแบบอาจารย์ ทุกข์มารู้แบบซื่อๆ ตรงๆ ทุกข์มันมา มันก็แค่นั้น มีทุกข์แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ รู้ว่าเป็นทุกข์ แล้วศิษย์จะกระโดดไปร่วมกับมันทำไม ถ้ารู้แล้วยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ยิ่งจมลงไปในทุกข์ ก็มีแต่แย่กับแย่ แล้วทำไมเราไม่ยืนเฉยๆ แล้วมอง ไม่ร่วม ไม่ปรุงแต่ง ไม่ให้ค่า ไม่สนใจ ฉันไม่แคร์ ด้วยการใช้สติ สติทำให้เรารู้ชัดเมื่ออะไรมากระทบ เพราะถ้าศิษย์ปล่อยให้ก่อเกิดเป็นความคิดและอารมณ์ มันจะกลายเป็นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่เรียกว่าวิบากกรรม แต่เมื่อทุกข์มากระทบแล้วเราไม่ก่อเกิดเป็นอารมณ์ ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส ไม่ก่อเกิดเป็นดีร้ายได้เสีย ทุกข์สุขจะสามารถจบตรงนี้เลย คือเกิดมาเพื่อรู้แจ้งเห็นทุกข์และชดใช้กรรม ฉะนั้นถ้าทุกข์จะทำให้เราเจ็บ แต่ใจเราไม่เจ็บด้วยร่างกายจะทุกข์ก็ทุกข์ไป แต่ใจเราไม่จำเป็นต้องทุกข์ด้วยใช่ไหม 
ความทุกข์เหมือนลูกบอลลอยมา ถ้าเราเอาหัวรับบอล เราก็เจ็บ ทำไมไม่ปล่อยมันไป เพราะทุกอย่างหนีไม่พ้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ฉะนั้นไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวก็หายไป แต่ยิ่งลงแรง ปรุงแต่ง คิดมาก ก็ไม่จบ ฉะนั้น ถ้าทุกข์มาปุ๊บ แค่รู้ แค่เห็น แค่นั้น  จบไหม (จบ)  เมื่อไรที่โดนทุกข์มา จำไว้นะศิษย์ อย่าใช้ความคิด อย่าใช้อารมณ์ไปรับทุกข์ แต่จงใช้สติ สติคือชีวิต เป็นหนทางที่ทำให้ศิษย์พบธรรม และเป็นธรรมที่นำให้ศิษย์หลุดพ้นได้ด้วย ทุกข์กายได้อย่าทุกข์ใจ เจ็บปวดได้แต่อย่าเจ็บใจ อย่าเอาแต่คิดเมื่อเจอทุกข์ แต่จงใช้สติ มองให้เห็น ตื่นให้รู้ทัน เวลาที่ทุกข์มากระทบจะไปกับมันไหม (ไม่ไป)  เมื่อเราไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง เมื่อเกิดขึ้นมันจะจบไปเอง ทั้งโลภ โกรธ หลง เมื่อมากระทบใจ โกรธจะหายไปเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่มากระทบ แล้วเราคิด จะเกิดการก่อบาป ก่อกรรม ก่อวิบากกรรม จองเวร จองกรรม มันก็เวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นเมื่อใดที่เราไม่อยากทุกข์ เมื่อโดนกระทบ ใจอย่ากระแทกแตกออกไปเป็นดีร้าย อย่าคิดว่าเราหวังดี มันไม่ผิดแต่ไม่พ้นทุกข์ จริงไหม
แล้วที่ศิษย์ห่วงอยู่ ห่วงแล้วหายไหม ไม่หาย มันรัดถึงคอเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคิดเพียงแค่หวังดี ห่วงแล้วเป็นอย่างไร แล้วแก้อะไรได้ไหม ถึงเวลาก็ต้องกลับมาทำใจ มันก็ได้แค่นี้แหละ ฉะนั้นศิษย์จงใช้สติ อย่าใช้ความคิด อย่าใช้อารมณ์ ไม่ว่าจะเจอทุกข์ ในเรื่องพลัดพราก เจ็บปวด สูญเสีย ถูกทำร้ายมากแค่ไหนก็ตาม จงใช้สติพิจารณา อย่าเผลอใช้ความคิดกับอารมณ์ เพราะความคิดกับอารมณ์ มันง่ายที่จะทำให้เราหลงผิดทางและง่ายที่จะทำให้เราเห็นแก่ตัว เพราะเมื่อไหร่ที่เห็นแก่ตัว มันก็จะเริ่มมีการชิงชัง ดีร้าย ได้เสีย ไม่จบสิ้น ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อไหร่ที่ทุกข์มากระทบจงมีสติ อย่าเผลอใช้ความคิดและอารมณ์โดยเด็ดขาด เมื่อโดนกระทบแล้วศิษย์ออกมาเป็นดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข มันจะก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่
ใช้สติพิจารณาตามความเป็นจริงของโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนหลงยึดติดในสังขาร เราทำทุกอย่างก็เพื่อสังขารตัวนี้ ถูกหรือไม่ แต่รู้ไหมถ้าสังขารสามารถพูดได้ ก็คงบอกว่า “อย่ามาเป็นเจ้าของฉันเลย และฉันไม่ต้องการใครมาเป็นเจ้าของ เพราะฉันคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วสักวันก็สูญสลายไป และฉันก็ไม่จำเป็นต้องฟังพวกเธอด้วย เพราะถึงเวลาฉันจะไป ฉันก็ไป ถึงเวลาฉันจะเจ็บ ฉันก็เจ็บ ฉันจะมาถามเธอไหม” ฉะนั้นเมื่อสังขารมันไม่ฟัง แล้วเราควรไหมที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา (ไม่ควร)
แล้วเราควรทำอะไรต่างๆ เพื่อหลงในสังขารไหม ถ้าไม่หลงก็จบแล้วนะ การที่จะมีสติพิจารณาให้เข้าถึงธรรม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าสังขารนี้ล้วนแก่ เจ็บ ตาย ถึงเวลาก็ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่ง และถึงเวลาก็ต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่อยากทน แล้วยังมีสติพิจารณาต่ออีกว่าในร่างกายที่ศิษย์กำลังใช้อยู่ แล้วบอกว่าเป็นของตัวเอง รู้ไหมว่ามีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ และเราคือทายาทผู้รับกรรมอันนั้น รู้ไหม ฉะนั้นรู้ได้แล้วนะศิษย์
สติสอนให้เราพิจารณาตามความเป็นจริงคือ พิจารณาว่าเราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราต้องตาย เราต้องพลัดพราก เราต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น และเป็นธรรมดาของทุกชีวิต เมื่อหนีไม่พ้นแล้ว เป็นธรรมดาแล้ว ยังสอนต่ออีกว่า ชีวิตที่เธอหนีไม่พ้น ที่เธอรักหนักหนานี้มันยังเป็นกองทุกข์ที่มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท และเรากำลังเป็นผู้รับผลกรรมที่เรากระทำทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อพิจารณาเนืองๆ เสมอๆ และดำรงรักษาศีลให้ครบ ประพฤติคุณธรรมให้งดงาม ศิษย์เอ๋ยเกิดมาชาตินี้ก็พ้นทุกข์แล้ว แต่มนุษย์เป็นอย่างนั้นไหม ศีลก็ไม่ครบ ธรรมก็ไม่มี ทำอะไรก็เอาแต่คิดตามอารมณ์ตามใจ ไม่เคยมีสติ ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าอาจารย์มีผลไม้ลูกหนึ่งกินแล้วแก่ กินแล้วเจ็บ กินแล้วตาย กินแล้วต้องพลัดพราก กินแล้วต้องทนอยู่ในสิ่งที่ไม่อยากทน อาจารย์ถามว่า เอาไหม (ไม่เอา)  อุตส่าห์บอกแล้วนะให้พิจารณาอยู่เสมอจะได้พ้นทุกข์ อาจารย์ไม่เคยพูดว่าเกิดนะ ศิษย์จำไว้นะ มนุษย์เราสามารถหยุดการเกิดได้ เราเกิดครั้งนี้ต่อไปเราจะไม่เกิดแล้ว ชอบพูดว่าเกิด มีตัวตนเมื่อไรก็เกิดไม่จบสิ้น เมื่อเกิดก็ทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นอาจารย์บอกให้พิจารณาว่าเรามีความแก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก และต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่อยากทน อาจารย์ถามว่าเอาไหม
จำไว้นะศิษย์ ไม่เอาก็ต้องเอาเพราะมันเป็นธรรมชาติของทุกชีวิต และไม่ใช่ของชีวิตอย่างเดียว เป็นของทุกสิ่งที่ศิษย์อยากมีอยากเป็นอยากได้ หนีไม่พ้นแก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก แล้วต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่อยากทน ไม่ว่าศิษย์จะอยากอะไรในโลก อย่าบอกว่าไม่เอา จงเอาแล้วมองให้เป็นธรรมดา เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าเรารู้ชัดไม่ว่าสิ่งนั้นจะเปลี่ยนไปรูปไหน หรือจะทำให้เราทนอยู่ในสิ่งที่ยากทน เรารู้แล้ว เราแก่แล้ว เราเจ็บแล้ว ศิษย์ตื่นรู้นะ ที่ศิษย์บอกว่าอายุ ๑๕ ๑๖ ๓๐ ปี ไม่ใช่นะ พุทธะบอกว่ามันเป็นอายุตาย ไม่ต้องดีใจกับวันเกิด เพราะทุกชีวิตล้วนเดินไปสู่ความดับที่เรียกว่าเป็นธรรมดาของทุกชีวิต
ฉะนั้นศิษย์ต้องตั้งรับให้เป็นก่อน ถ้าศิษย์รู้แล้วแต่ยังปฏิเสธอยู่ยังเกลียดอยู่ ไม่ว่ามันมาอย่างไร ศิษย์ก็จะกลัวมัน แต่ถ้าศิษย์ยอมรับว่ามันคือส่วนหนึ่งของเรา มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้ามันมาเราจะกลัวไหม แต่มนุษย์ตั้งป้อมรังเกียจ ไม่เอาไม่อยากเจอ ดังนั้นศิษย์อย่าตั้งป้อมรังเกียจ จงพิจารณาด้วยสติอยู่เสมอว่า มันเป็นธรรมดาของทุกชีวิตที่เราต้องแก่ ที่เราต้องเจ็บ ที่เราต้องตาย ที่เราต้องพลัดพราก ที่เราต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่อยากทน เมื่อมันมาเราจะสู้ไหว เพราะเรารู้มันก่อนแล้ว และเมื่อเรารู้มันก่อน เรายิ่งรู้ชัด ยิ่งจะไม่อยาก เพราะรู้ชัดแล้วจะอยากไหม (ไม่อยาก)  เพราะทุกชีวิตก็ต้องแก่ ฉะนั้นเมื่อสามีแก่ก็ต้องทำใจได้ สามีเปลี่ยนไปก็ทำใจได้ และเมื่อบางครั้งใครเปลี่ยนใจเราก็รับไหว เพราะว่าเรารู้ความจริง ถ้าเรารู้ความจริง เราก็จะเกิดมาเพื่อแค่ชดใช้กรรม ไม่สร้างกรรมต่อ เพราะเมื่อไหร่ที่เราพิจารณาอย่างเข้าใจ เราจะแค่เป็นผู้รับทายาทของกรรม ไม่สร้างกรรมต่อ แต่ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจ มันจึงเกิดแบบนี้


G:\pic.jpg


ตัวตนพอถูกกระทบก็ก่อเกิดเป็นสองอย่างคือดีกับร้าย ดีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบุญ ร้ายเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบาป พระพุทธะกล่าวไว้ว่าเป็นวัฏสงสาร แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบแล้วใช้สติพิจารณาจบแค่นั้น ไม่ก่อเกิดเป็นดีร้าย บุญบาป วัฏกรรมก็ไม่เวียนว่าย ไม่เพิ่มต่อ
ถ้าศิษย์ถามอาจารย์เมื่อกระทบแล้วดี เป็นบุญแล้วจะเป็นกรรมตรงไหน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ใครบ้างทำบุญแล้วไม่ขอ สาธุขอให้สวย ขอให้รวย ขอให้ชาติหน้าเก่งกว่านี้ ถ้าทำบุญแล้วขอ บุญนั้นจะเป็นเหตุปัจจัยให้กลับมาเกิดเป็นตัวตนอีก ขึ้นอยู่กับบุญที่ศิษย์สร้าง ถ้าทำบุญแบบนี้เรียกว่าเป็นบุญที่ยังเนื่องด้วยกิเลส ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าทำบุญแล้วยกจิตสูงขึ้น ชำระล้างกิเลสให้หมดสิ้น ทำแล้วขอให้กิเลสหมด ทำแล้วแผ้วถางกิเลสได้ไม่เหลือและยกจิตได้สูงขึ้น บุญนั้นจะกลายเป็นกุศล ซึ่งกุศลเรียกว่าทางฉลาดและสามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่ทำไมศิษย์ต้องรอให้เกิดผลแบบนี้ ทำไมศิษย์ไม่หยุดตั้งแต่ตอนต้น เพราะถ้าเมื่อไรที่ตัวตนโดนกระทบคืออารมณ์ ซึ่งถ้าดีแล้วก็ยังไม่พ้นเพราะมีวัฏฏะมีแก่ เจ็บ ตาย และยังสร้างบุญเพื่อสร้างตัวตนต่ออีก พระพุทธะสอนว่า “ถ้าอยากทำบุญแล้วพ้นการเวียนว่ายตายเกิด จงแปรบุญนั้นให้กลายเป็นกุศล” อย่าเป็นบุญที่ขอ อย่าเป็นบุญที่หวัง แต่จงเป็นบุญที่ยกระดับจิตให้สูงขึ้นและพ้นทุกข์
ต้นตอของความร้ายหรือบาปมาจาก โลภ โกรธ หลง ซึ่งท่านเรียกว่า อกุศล ผลที่สุดของอกุศลคือ บาป ความชั่ว และท้ายที่สุดคือทุกข์ ซึ่งวัฏฏะนี้พระพุทธะเรียกว่า ทางแห่งความลุ่มหลง ทางแห่งผู้ที่เสพติดในกาม กามคือความพอใจ ฉันพอใจ ก็อยาก ก็โมโห แล้วจะทำไม ก็วนต่อไปแล้วก็หนีไม่พ้นทุกข์ ท่านบอกว่าทางนี้เป็นทางแห่งผู้ลุ่มหลง เป็นทางแห่งผู้เสพติดในกาม เป็นทางแห่งผู้ที่ไม่มีวันค้นพบความสงบสุข และเป็นทางแห่ง
แล้วบุญของศิษย์จะพอหนุนนำให้ศิษย์กลับมาเกิดเป็นคนไหม ถ้าศีลห้ายังไม่ครบ ใครถือศีลห้าได้ ชาติหน้าจึงเกิดมาเป็นคนได้นะ แต่ถ้าศิษย์รักษาศีลห้าไม่ครบ ไม่มีวันเกิดเป็นคน และยิ่งถ้ายังหลงแปดเปื้อนในโลภ โกรธ หลง ไม่จบสิ้น โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นทางแห่งอบายภูมิ ฉะนั้นเวลาโลภมากๆ พระพุทธะจึงสอนให้รู้จักให้ทาน โกรธมากๆ ท่านสอนว่าให้รู้จักมีศีล หลงมากๆ ให้รู้จักใช้ปัญญา เป็นปลายแล้วไหม ฉะนั้นทำไมไม่แก้ตั้งแต่ก่อนโดนกระทบ แล้วออกมาดีร้ายได้เสียด้วยการวางจิต ที่พระพุทธองค์เรียกว่า ทางสายกลาง ไม่ให้ค่า ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อะไรมาแค่นั้นเท่านั้น ไม่รู้สึกดี ไม่รู้สึกแย่ ไม่รู้สึกรัก ไม่รู้สึกผลักไส นี่แหละเรียกว่าทางสายกลาง ที่มีหนึ่งเดียวและนำพาให้เราพ้นทุกข์ แต่สองทางที่ศิษย์เดินล้วนเป็นทางแห่งความลุ่มหลง เป็นทางแห่งการเสพติดกาม เป็นทางแห่งความไม่สงบสุข และเป็นทางแห่งวิบากกรรมในที่สุด ธรรมะมีแต่ปลุกให้คนตื่น
อาจารย์ชอบพูดบ่อยๆ ว่า ทำไมศิษย์ทำดีแล้วไม่ได้ดี อาจารย์ถามนะ คนเราทำบุญชอบทำที่วัด แต่ทำบาปที่สังคมโลก ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าอาจารย์ตบหัวศิษย์ แล้วไปกรวดน้ำที่วัด จะหายไหม (ไม่หาย)  อาจารย์ไปด่า เกลียด รำคาญ แต่อาจารย์ก็ไปกรวดน้ำ ขอให้บุญที่ข้าพเจ้าทำ
พูดกันแบบยุติธรรมนะศิษย์ ถ้าอาจารย์ขอเนื้อของศิษย์ ทำบุญกับพระพุทธะ ศิษย์ให้ไหม ศิษย์ยังไม่กล้าให้เลย ใช่หรือเปล่า ถามจริงๆ ว่าใครอยากให้เรากินเขาบ้าง มีไหม ที่อยู่ดีๆ จะมีไก่พร้อมตีปีกเดินมารอให้เราฆ่าให้ตายเลย มีไหม แค่จับมันก็วิ่งหนีแล้ว ฉะนั้นศิษย์ คิดให้ดีๆ บุญหรือบาป ก่อนจะทำอาจารย์จึงสอนใช้สติพิจารณา เราเกิดมามีความแก่ เจ็บตาย เป็นธรรมดา เรายังหลงยึดสังขารนี้ทำไม มันสวยหรือ เดี๋ยวก็เหี่ยว ก็แก่ ก็ย่น อยากเข้าถึงความจริง อย่าให้โลกมันลวงหลอก จงมองเห็นลักษณะที่มีมากกว่าลักษณะ แล้วจะพบความจริงที่บังตาเราไม่ได้ มองอย่างคนที่เห็นรอบ อย่ามองแค่สิ่งที่เราอยากเห็นอยากดู แต่จงมองให้รอบ ให้ชัดให้กว้าง
อยากมองกว้างๆ แล้วทำไมใจเราจึงคับแคบเวลามอง ใจเราถึงยึดติดเวลาดู ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องไม่เป็นอย่างนี้ อาจารย์ขอถามว่า ใครบ้างที่อยู่บนโลกนี้มีแต่ได้ไม่มีเสีย (ไม่มี)  มีแต่ชมไม่โดนด่า (ไม่มี)  ถ้าใครคิดอยากจะได้แต่คำชม ไม่ได้รับคำด่า ถูกไหม แล้วศิษย์เป็นแบบนั้นไหม แล้วทำไมเวลาโดนด่า ถึงรับไม่ได้
อาจารย์ถามศิษย์ว่า อะไรที่เป็นต้นเหตุของทุกข์ที่เราควรจะมีสติรู้มันไว้เสมอ มันมาเมื่อไรเราก็ต้องรู้ มีอะไรบ้าง ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง
(ความเจ็บป่วยมา)  เมื่อความเจ็บป่วยมาศิษย์จะใช้สติตั้งรับอย่างไร (ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้)  อาจารย์นึกว่าต้องไปรักษาก่อนแล้วค่อยทนอยู่กับมัน ฉะนั้นเวลามีโรคมา มีความเจ็บป่วยมา ก่อนที่เราจะไปทุกข์กับมันเราต้องตั้งสติก่อน ว่าเป็นธรรมดาของสังขาร ฉะนั้นเจ็บแค่กายอย่าเจ็บไปถึงใจ รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็ (อยู่กับมันให้ได้)  จนเกิดความเบิกบานใจเพราะตัวเราที่แท้จริงไม่ใช่สังขาร สังขารที่แท้จริงไม่ต้องการตัวตน จำไว้นะ เอาผลไม้ไหม (ขอแค่รอยยิ้มของพระอาจารย์ก็พอ)  ผลไม้นี้เมื่อได้รับแล้วไปผูกบุญต่อ เป็นการให้ที่ไม่สิ้นสุด ดีไหม (ดี)
ทุกข์อะไรที่เวลาเกิดขึ้นแล้วเราจะต้องใช้สติพิจารณาตั้งรับและไม่นำพา ให้เรามาทุกข์ทั้งกาย ทั้งใจ มีอะไรบ้าง (ความอยากเป็นสิ่งเราต้องมีสติ รู้ทันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความอยาก) 
(สิ่งนั้นเมื่อเราได้มา สักวันหนึ่งมันก็เสื่อมไป เพราะเราอยากสวย ก็จะเกิดภาวะของความแก่)  ความอยากเป็นสิ่งที่เราต้องระมัดระวัง ถ้าอยากดีก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังเหมือนกัน เพราะอยากดีก็อดที่จะยึดดีไม่ได้ ถ้าอยากแล้วเบียดเบียนคนอื่น อยากแล้วผิดศีล อยากแล้วกลายเป็นโลภ โกรธ หลง ก็หยุดอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากได้ผลไม้ไหม (อยากได้รับองุ่นจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์)  ใช้สตินะ ถ้าความอยากก่อให้เกิดทุกข์ และกลายเป็นความโลภ กลายเป็นความหลง ก็อย่าอยาก อย่างนั้นคิดให้ดีๆ ว่าตอนนี้อยากแล้วจะกลายเป็นความโลภ ความหลงหรือเปล่า ถ้าเป็นโลภ หลง เอาไหม (ไม่เอา)  ปรบมือให้นะ นี่แหละเรียกว่าใช้ธรรมส่องย้อนมองเห็นใจเรา ฉะนั้นคิดให้ดีนะเวลาจะอยาก
(การพลัดพราก)  เวลามันมาเราต้องทำใจให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ซึ่งเราหนีไม่พ้น ทุกชีวิตล้วนต้องพลัดพราก แต่อาจารย์จะบอกธรรมะคำหนึ่งนะศิษย์ ในโลกไม่มีใครตาย ทุกสิ่งล้วนคือสภาวะธรรมที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป มนุษย์มักจะบอกว่าคนโน้นตาย คนนี้ตาย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น มีแต่สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติหมุนเวียนเปลี่ยนผันไป ถ้าเรารู้แจ้งต่อจิตหนึ่ง จิตหนึ่งก็ยังคงอยู่ แต่อยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งตามบุพกรรม ฉะนั้นเราไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง ความหลุดพ้นศิษย์ก็ทำได้ ทำนองเพลง ริมฝั่งน้ำ)
(ความแก่)  ศิษย์เอ๋ย ทุกขณะศิษย์ก็แก่ลงอยู่แล้วนะ ไม่ใช่รอถึงอนาคต ฉะนั้นความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเวลาเจอกับตัว เราจะต้องมีสติรับให้ได้
(ไม่รู้จักพอ)  คนที่คิดไม่รู้จักพอและคิดว่าตัวเองไม่สมบูรณ์คือคนที่จนที่สุด จำไว้นะศิษย์ สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็ยังมีสิ่งที่พร่องที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีข้อเสียอยู่ดี ฉะนั้นอย่าพยายามหาความสมบูรณ์ในโลก ทุกสิ่งย่อมมีข้อบกพร่องเสมอ แต่เกิดเป็นคนอยากมีความสุข ทำไมต้องรอให้ใครมาเติมเต็ม ทำไมเราไม่รู้จักเติมให้ตัวเองเต็มก่อน รักตัวเองไม่เป็นจะรักใครเป็น มีสุขด้วยตัวเองไม่ได้ แล้วใครจะมาเติมให้เรามีสุข
(ความห่วงใยมากไปก็เป็นทุกข์)  ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักทำให้ดีที่สุด ถึงเวลาก็ต้องปล่อยวาง ยอมรับความจริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ใช่หรือไม่ ถ้าหัวใจศิษย์ไม่มีสิ่งที่รัก อะไรคือสิ่งที่เกลียด (ไม่มี)  ถ้าหัวใจศิษย์ไม่มีสิ่งที่ทนได้ง่าย จะมีมีสิ่งที่ทนได้ยากไหม (ไม่มี)  ถ้าหัวใจเราว่าง อะไรล่ะที่เราจะต้องทนได้ยาก ถูกไหม (ถูก)  แต่เพราะว่าหัวใจของมนุษย์มีความคิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทั้งความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ ก็ล้วนไม่เที่ยงและมันมาทีหลัง หาใช่ตัวตนเดิมแท้ไม่ ฉะนั้นอะไรล่ะที่ต้องทนได้ยาก ถ้าเราเข้าใจ อาจารย์พูดนี่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่มีอะไรทนได้ง่าย จะมีอะไรทนได้ยาก ถ้าหัวใจเราเข้าถึงความแจ่มแจ้งของชีวิต จะมีอะไรที่เกินไป ถูกไหม (ถูก) 
(ความตาย)  เป็นสิ่งที่ (หลีกหนีไม่ได้)  กลัวไหม (ไม่กลัว)  ให้มันจริงนะ พระพุทธะจึงสอนให้รู้ว่า จงรู้จักตายก่อนตาย ตายก่อนตายคืออะไร เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมไม่สร้างกรรมต่อ มีสติพิจารณาอยู่เสมอว่า เราเกิดมา แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งหนีไม่พ้น แล้วเราจะไม่สร้างกรรมต่อด้วยการปล่อยให้ถูกอารมณ์กระทบแล้วกลายเป็นดีร้าย ได้เสียที่เรียกว่าวิบากกรรมไม่จบสิ้น ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมากระทบ ศีลธรรมทำถึงหรือยัง คุณธรรมถึงพร้อมหรือยัง ถ้ายังไม่ถึงยังไม่พร้อม ตายก็ยังไม่จบสิ้น แต่ถ้าศีลธรรมถึงพร้อม คุณธรรมถึงพร้อม มีชีวิตอยู่เพื่อดำรงหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ยึดติดดีร้ายได้เสีย เกิดมาก็ตายก่อนตาย อาจารย์พูดยาวนะ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ อย่าพูดว่าไม่กลัวตาย เพราะถ้ายังทำไม่สำเร็จ ศิษย์ก็ตายอย่างคนทรมาน เพราะจิตมันฝังไปด้วยนิสัยอัตตาตัวตน
(ความรักเป็นเหตุแห่งทุกข์)  จงเปลี่ยนความรักเป็นเมตตาโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ถ้าแบ่งได้ความเมตตาจะเป็นคุณธรรมของความเป็นคนอันประเสริฐ เปลี่ยนรักเป็นเมตตา เมตตาที่ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีความเห็นแก่ตัว ทำได้ไหม
(การยึดมั่นถือมั่น)  การไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นธรรมอันเป็นเอก ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ ใดๆ ในโลกล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จำที่อาจารย์บอกตอนต้นได้ไหม โลกเป็นสิ่งที่แสวงหาได้แต่ครอบครองไม่ได้
ศิษย์เอยสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ศิษย์ต้องรับรู้ว่าเราเกิดมาพร้อมกับกรรม ถ้าอยากชดใช้กรรมให้หมดสิ้น ต้องเลิกเบียดเบียนสัตว์
เจ็บปวดหรือมีทุกข์พยายามอย่าเบียดเบียนเนื้อสัตว์ กินพืชผักผลไม้ เพราะว่านี่คือความร้อนที่แผดเผาตัวศิษย์ ศิษย์ต้องใช้เย็นดับร้อน เข้าใจไหม
(ความทุกข์)  อย่าไปรังเกียจ จงอยู่ด้วยความเข้าใจจนก่อเกิดความเบิกบานและความทุกข์ที่เกิดขึ้นต่อไปมัน ก็จะไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ใช่ไหม
(ใจร้อน)  เวลาที่อารมณ์ร้อน ใจร้อนจงอยู่กับลมหายใจ มีสติพิจารณา โกรธไปแล้วได้อะไรไหม โกรธแล้วเราก็เหนื่อย ว่าเขาแล้วสบายใจไหม ฉะนั้นเรียนรู้เปลี่ยนจากความโกรธเป็นความเข้าใจ ไม่มีใครทำเราถูกใจหมด และไม่มีใครเป็นได้ดั่งใจหมด ถ้าทำได้อย่างนี้ศิษย์ก็พ้นทุกข์ไปนานแล้ว ใช่ไหม
จงยอมรับความจริงว่าในโลกนี้มีถูกใจบ้าง มีผิดใจบ้าง มีขัดใจบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราใจกว้างพอก็ไม่มีใครทำเราเกินไปหรอก แต่เพราะเรายังใจไม่กว้าง เลยยอมไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นทำใจกว้างๆ เมื่อจะโกรธ ฉันจะไม่โกรธและควบคุมลมหายใจ เวลาโกรธ โมโหเราจะหายใจรุนแรงถูกไหม ฉะนั้นเวลาโกรธให้หายใจลึกๆ ไม่โกรธหนอ ใจกว้างหนอ ทำได้นะ (ได้)  อาจารย์ให้วิธีนี้ง่ายที่สุดแล้วนะ
(ทุกข์เพราะลูกไม่รัก)  น่าสงสารนะ ศิษย์บ่นน้อยๆ ยอมรับตามความเป็นจริง บุตรมีสองอย่าง บุตรเกิดมาเพื่อตอบแทนพ่อแม่ กับบุตรที่เกิดมาเพื่อพ่อแม่ต้องชดใช้กรรม ฉะนั้นทำให้ดีที่สุด ลูกจะรักหรือไม่รักทำใจนะ เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรรับให้ได้ สักวันหนึ่งลูกจะกลับมา
(ความอยากได้)  ความอยากได้อยากมีที่ใครๆ ก็เป็น แต่ถ้าเรารู้จักพอมี พอกิน พอให้เป็น เราก็ไม่ทุกข์ มนุษย์ทุกข์เพราะไม่เคยรู้จักพอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(ความทุกข์ต้องใช้สติต่อสู้กับทุกข์ที่ได้มา)  ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรขอให้มีสติ เจออะไรขอให้นิ่งด้วยความใจเย็นนะ
(อนาคตเป็นสิ่งที่เราฝันไว้)  ถ้าวันนี้ยังทำไม่ดีแล้วจะมีอนาคตไหมศิษย์เอ๋ย ถ้าวันนี้ยังเอาแต่ใจตัวเอง ยังขี้เกียจจะมีอนาคตให้ฝันไหม ฉะนั้นวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไรอยู่ที่วันนี้ และอนาคตจะเป็นเช่นไรก็อยู่ที่ขณะนี้ อย่ามัวแต่หวังอนาคตจนวันนี้ไม่ทำอะไรเลย น่าเสียดายนะ
(ความคิดที่เราจินตนาการขึ้นมา)  นั่นเรียกว่าฟุ้งซ่าน ปรุงแต่ง ถ้าเราอยากจะหยุดฟุ้งซ่าน ก็จงระมัดระวังความคิด เพราะสิ่งที่เป็นความคิดมันง่ายที่จะทำให้เราเดินผิดทาง เมื่อไหร่ที่เราสามารถดำรงรักษาสติโดยมีจิตที่เรียกว่า ตื่นรู้ แค่รู้ แค่เห็น ไม่คิดปรุงแต่ง ถ้าทำได้อย่างนี้ นั่นแหละเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ฟุ้งซ่าน จงแค่รู้ แต่อย่าไปสร้างปรุงแต่ง อย่าไปร่วมหอลงโลงกับมัน
(ความทุกข์ที่เกิดจากหนี้สิน)  หนี้สินมาจากอะไร (หลายอย่างค่ารถ แล้วก็หนี้สินทางครอบครัว แล้วก็ตัวผม ธกส. ด้วย)  ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ศิษย์ไปอยากมาทั้งนั้นเลย เขายื่นมาเราจำเป็นต้องรับหรือ (ถ้าไม่รับก็แย่)  มันมีวันแย่ด้วยหรือ คนเราถ้ามีปัญญา ไม่มีวันอับจน แต่ถ้าไร้ปัญญาถึงมีเงินก็จน ฉะนั้นเวลาทำอะไร อย่าอยากเกินตัว ดูความเป็นไปได้ของตัวเราด้วย มีเงินมากแต่บริหารไม่เป็นก็กลายเป็นฆ่าตัวเองตาย หากมีเงินน้อยแต่รู้จักใช้จ่ายเราก็ไม่ลำบากชีวิต แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร อยากมากก็ทุกข์มาก ตอนนี้อาจารย์ขอศิษย์เป็นหนี้แล้วมีสุขไม่ได้หรือ (ก็มีความสุขอยู่ครับ ผมอยากรู้เราจะแก้ไขอย่างไร เพราะมันหลายทางเหลือเกิน)  ก็ไม่ยาก ลดความอยากให้เหลือน้อยที่สุด เงินที่มีก็จะกลายเป็นเพียงพอ แต่ถ้าลดความอยากไม่ได้ เงินที่มีใช้เท่าไหร่ก็ไม่พอ ฉะนั้นหามาได้เพื่อใช้หนี้ เป็นลูกหนี้ที่ดี เป็นลูกหนี้ที่มีความสุข ได้ไหม (ได้)  เพราะเราแก้อดีตไม่ได้ ตอนนี้คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วมีความสุข ถูกไหม (ครับ)  ฉะนั้นขอให้ศิษย์ทำอะไรด้วยรู้จักยั้งคิด มีสติไตร่ตรองอยู่เสมอนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ”)
“ทำสิ่งใดด้วยสติอยู่ในธรรม ใจเย็นยั้งใจร้อนทิฐิหนา
ใช้ความนิ่งสยบความวุ่นเลียนใจฟ้า ฝึกพิจารณาตามจริงกว่าตามใจ”
ขอให้ทำให้ได้อย่างที่อาจารย์ให้บ้างนะศิษย์เอ๋ย จะได้ไม่ต้องทุกข์ ถึงเวลาอาจารย์ก็มาแค่ชี้ทาง บอกทาง ส่วนคนที่จะเดินบนทางและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์คือตัวศิษย์เองนะ อย่าทำให้ตัวเองทุกข์เพราะนิสัย อย่าทำให้ตัวเองต้องมีกรรมเพราะอารมณ์ อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ทนเพราะความคิดที่วางไม่ลง อย่าทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดเพราะแค่ยอมไม่เป็น อย่าทำให้ตัวเองต้องเจ็บแล้วเจ็บอีกเพราะไม่รู้จักรักตัวเอง ฉะนั้นธรรมะเป็นเรื่องชีวิต ใครเกลียดธรรมก็หมายความว่าคนนั้นเกลียดชีวิตตัวเอง ฉะนั้นรู้ธรรมก็คือรู้ชีวิต เข้าใจธรรมก็คือเข้าใจชีวิต ธรรมไม่ใช่เรื่องห่างไกลชีวิตเลยนะศิษย์ ไม่เชื่ออาจารย์ไม่เป็นไร แต่ขอให้ศรัทธาเชื่อมั่นในธรรมที่มีอยู่ในตัวศิษย์เอง ซึ่งตัวนั้นจะนำพาให้เราพ้นทุกข์ก็คือสติ สติที่มองเห็นโลกตามความเป็นจริง จนไม่มีอะไรมาลวงหลอกเราได้ ตื่นรู้สักทีนะศิษย์เอ๋ย ฉะนั้นคิดให้ดีก่อนจะทำอะไร ถ้ากินแล้วมันก่อบาป ระมัดระวังกินหน่อยดีไหม ถ้าใส่สวมอุ่นแล้วทำให้เรากลายเป็นคนหลงติดในสังขาร แค่ใส่ก็พอไม่ได้หรือ ใช่ไหม
เพราะสังขารนี้ไม่ต้องการใครเป็นเจ้าของ และไม่เคยต้องการใครมาครอบครอง เพราะถึงเวลามันก็จะทิ้งเราไป เราเป็นแค่ผู้อาศัยในเรือนที่กำลังไหม้ไฟอยู่ เรากำลังถูกความตายเผาอยู่ทุกขณะนะศิษย์ หลงมันหรือ เดี๋ยวถึงเวลามันก็จะไปจากศิษย์ ฉะนั้นอย่าเผลอหลงติดอารมณ์ความคิดจนสร้างเหตุปัจจัยแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น แต่จงทำอะไรด้วยสติตื่นรู้
จะพ้นทุกข์ขณะนี้ต้องทำอย่างไร อาจารย์สรุปง่ายๆ ศีลห้ารักษาให้ครบ มีศีลแล้วยังมีคุณธรรมแห่งความเป็นคน อยู่กับพ่อแม่ต้องกตัญญู อยู่กับเพื่อนต้องซื่อสัตย์ อยู่กับน้องต้องเมตตาเอาใจใส่ อยู่กับชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต้องจงรักภักดี ปฏิบัติให้ได้ถึงศีลและธรรมแห่งความเป็นคน ถ้าทำได้สมบูรณ์พิจารณาดู โลกนี้ไม่เที่ยงไม่มีอะไรเป็นของเรา เราเกิดมาเพื่อรับกรรม ชดใช้กรรม เป็นทาสของกรรม หนีไม่พ้นกรรม ฉะนั้นเราจึงเกิดมาเพื่อหยุดกรรม ถ้าทำได้ขนาดนี้และพิจารณาอยู่บ่อยๆ ทุกขณะ ตายก็ไม่เสียดาย เกิดมาสมบูรณ์แล้วในความเป็นคน ไม่หลงติดโลภรัก เอาชาตินี้สิศิษย์ ทำไมต้องหลงไปอีก หลงแล้วจะกลับมาทันไหม ทุกข์แล้วจะยืนได้เข้มแข็งไหม ทำไมไม่ทำตอนนี้ มีสติพิจารณาอยู่เสมอ เราจะต้องเป็นคนที่ไม่ขาดศีลไม่ขาดธรรม ถึงจะเรียกว่าคน แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ อบายมุขก็เอา ศีลก็ผิด แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ก็มีแต่กรรม ที่ตัวเองต้องรับอย่างเดียว แล้วเราเกิดมาเพื่อทุกข์หรือศิษย์ ไม่ใช่ แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจทุกข์แล้วอยู่ร่วมกับทุกข์ด้วยความเบิกบานใจ ไม่ทุกข์อีกต่อไปต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมรรคคือหนทางอันประเสริฐที่ประกอบไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อประพฤติศีลและธรรมได้มั่นคงไม่หวั่นไหว เราก็จะเห็นแจ่มแจ้งในโลกนี้อย่างชัดเจน ไม่มีอะไรลวงตาลวงใจได้อีกต่อไป ตื่นเถอะนะ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ แต่เกิดมาเพื่อเข้าใจทุกข์ และนำพาให้ตนพ้นทุกข์
มีสิ่งสุดท้ายที่อาจารย์อยากบอกศิษย์ บุญชะล้างบาปไม่ได้ แต่บาปแก้ไขด้วยจิตสำนึก ผิดแล้วไม่ทำอีก รู้จักสำนึกผิด บาปสามารถเบาบางได้ เพราะบาปเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์และการเวียนว่าย ฉะนั้นจงทำอะไรด้วยสติ อย่าเอาแต่อารมณ์ คิดให้ดีนะศิษย์เอ๋ย เพราะชีวิตนี้มันสั้นนักอย่าคิดว่ายาว อย่าคิดว่ายังมีเวลา
ใครอยากจับมือกับอาจารย์บ้าง จับแล้วต้องกลับมาอีกนะ รักษาบุญรักษาโอกาสนะศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์ตั้งมั่นอยู่ในคุณความดี ใจของศิษย์ก็คือใจของอาจารย์ ตั้งใจนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะ อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่หลงอยู่กับโลกใบนี้ ทุกข์มากแล้ว พ้นทุกข์สักที
อย่ามัวหลงกับความดื้อ อย่ามัวหลงกับรูปลักษณ์ภายนอก หัวใจงามกว่านะ ใช่ไหมศิษย์ อาจารย์อวยพรให้ศิษย์มีความเข้มแข็งทางจิตใจ ไม่ดื้อดึง จงมีสติ ทำอะไรด้วยการรู้จักยั้งคิด อย่าไปทุกข์กับมัน มันจบไปแล้ว อย่าไปจำมัน มีความรู้ความสามารถทำอะไรจงรู้จักคิดให้ดี อย่าให้ความรู้นั้นมาทำร้ายตัวเรานะ
มีโอกาสกลับมาอีกนะคนเก่งของอาจารย์ อย่าปล่อยให้อารมณ์ความมีตัวตนมันกักขังตัวเองให้ทุกข์ไม่จบสิ้น อาจารย์อวยพรให้ แต่ศิษย์ก็ต้องรู้จักปลดปลงและปล่อยวาง สังขารไม่เที่ยงอย่ามัวแต่หลงยึดติดกับรูปภายนอก รู้จักเป็นเด็กดี รู้จักทำตัวให้มีประโยชน์ มีโอกาสมาผูกบุญกับอาจารย์ให้ครบสองวันนะ เด็กดื้อทั้งหลายรู้จักคิด รู้จักทำ อย่าเอาแต่อารมณ์  มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์เอ๋ย รักษาบุญ รักษาโอกาสนะ อาจารย์อยากพาศิษย์พ้นทุกข์ แต่ศิษย์ต้องรู้จักควบคุมระมัดระวังความคิดตัวเอง อย่าทำให้ตัวเองทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
มีโอกาสเข้าใจตั้งใจบำเพ็ญนะ มันยากเกินเข้าใจ มันยากเกินเชื่อถือใช่ไหม ไม่เป็นไรขอเพียงศิษย์มีธรรมอยู่ในใจ ศรัทธาในธรรมของตัวเองก็พอ อาจารย์เป็นแค่รูปลักษณ์หนึ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป กลับมาอีกนะศิษย์เอ๋ย มีโอกาสช่วยให้ได้เต็มที่นะ ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า กลับมาอีกนะอย่ามัวทิฐิสูง มีโอกาสลองมาช่วยดูนะ เสียสละอุทิศตน ทำตัวเพื่อผู้อื่นบ้างไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม ทำได้แต่ไม่ค่อยทำ รู้จักระมัดระวัง ทำอะไรคิดให้ดีๆ คนเรามีกรรมมา ฉะนั้นใช้กรรมแล้วจงรู้จักรักษาสิ่งที่ดีงามในตัวเองด้วยนะศิษย์เอ๋ย ทำอะไรคิดให้รอบคอบไม่อย่างนั้นพลาดไปแล้วแก้กลับไม่ได้นะศิษย์ คิดให้ดีๆ เข้าใจนะ อย่าใช้อารมณ์แต่จงใช้สติ
ศิษย์เอย มนุษย์เรามีความประเสริฐตรงการประพฤติ ปฏิบัติ เลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามมากกว่าใช้อารมณ์ มากกว่าหลงติดอบายมุข ฉะนั้นทำอะไรคิดให้ดีๆ ชีวิตเป็นของศิษย์เอง ถ้าพลาดไปแล้ว ผิดไปแล้ว มันแก้ไม่ได้ ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ศีลก็รักษาไม่ได้ ธรรมก็ไม่มี อารมณ์ก็เป็นใหญ่ อย่างนี้จะได้อะไร ดูแลตัวเอง อายุยังน้อย คิดอะไร ทำอะไร ไตร่ตรองให้ดีนะศิษย์ มีศีลมีธรรม รู้จักทำงานรับผิดชอบ ไม่คดโกง รู้จักซื่อตรงมีคุณธรรม ทำให้ได้นะ
เด็กดื้อเป็นอย่างไร บำเพ็ญไปถึงไหน มีอะไรก้าวหน้าบ้างไหม หรือยังคงดื้อเหมือนเดิม เอาแต่ใจเหมือนเดิม น่าเสียดายนะศิษย์ มีโอกาสมาให้ครบสองวันนะ มีโอกาสมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ จงเอาสิ่งที่อาจารย์อธิบายไปพิจารณาให้ดี ทำอะไรด้วยสติ ไตร่ตรองให้หนัก อย่าใช้อารมณ์ อย่าใช้ความใจร้อนวู่วาม รู้จักมีเมตตาจิต อาจารย์อวยพรให้ศิษย์ทุกคนมีจิตใจที่เข้มแข็ง รู้จักคิดรู้จักทำ แต่กลัวอย่างเดียว ความโลภจะทำให้เราวางอะไรไม่ลง ทำอะไรดีไม่ได้ น่าเสียดายนะศิษย์ บุญก็ส่วนบุญ ไม่ประเสริฐเท่ากับกุศลที่สามารถยกระดับจิตใจให้พ้นทุกข์ จงแปลบุญเป็นกุศลด้วยใจ ทำโดยไม่ยึดมั่น แต่ทำโดยยกระดับจิตให้ดีขึ้น ให้งดงามขึ้นนะ
ตั้งใจบำเพ็ญ ดูแลจิตใจตัวเองให้เข้มแข็ง อาจารย์ห่วงและหวังดีกับศิษย์เสมอ อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไม่เจ็บปวดกับร่างกายนี้ ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง เจ็บแต่กายใจอย่าเจ็บ กายสักวันต้องทิ้งไม่เคยอยู่กับเรา จงเอาจิตของศิษย์ที่ประเสริฐ จิตที่สงบ เอาจิตนั้นกลับไปหาอาจารย์ อย่าเอาสังขารไป เพราะสังขารมีแต่ทุกข์  มันไม่ไปกับศิษย์  เอาจิตที่ไม่ว่าศิษย์จะเจอกับอะไร ศิษย์ก็จะพ้นทุกข์ได้ ในตัวศิษย์มีจิตแบบนั้นอยู่แล้วนะ อย่าปล่อยให้ความเป็นตัวตนมันครอบงำจนหลงผิดคิดผิดเลยนะ เรื่องราวในโลกมันมีหลากหลายแต่จงตื่นรู้ได้ด้วยสติ อะไรผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป ผิดแล้วแก้ไขใหม่ได้ด้วยจิตที่รู้สำนึก อย่าผิดซ้ำผิดซาก  สวรรค์ไม่มีที่ให้อยู่สำหรับคนประเภทนั้น มีแต่นรก อาจารย์ก็ไม่อยากเห็นศิษย์ตกนรก  อาจารย์ให้ความเข้มแข็ง อาจารย์ให้ความรัก  แต่ศิษย์ต้องรู้จักรักตัวเองให้เป็น  บำเพ็ญธรรมเพื่อตัวศิษย์เองไม่ใช่เพื่ออาจารย์ พ้นชาตินี้ไม่ต้องพ้นชาติหน้า พิจารณาเสมอ เกิดมาเพื่อพ้นทุกข์นะศิษย์



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีสติ”
ทำสิ่งใดด้วยสติอยู่ในธรรม
ใจเย็นยั้งใจร้อนทิฐิหนา
ใช้ความนิ่งสยบความวุ่นเลียนใจฟ้า
ฝึกพิจารณาตามจริงกว่าตามใจ


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา