วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

2557-10-25 สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี


西元二○一 歲次甲午閏九月初二日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

สูงสุดคืนสามัญล้วนจริงแท้ ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรแลแปรผัน
เหรียญสองด้านต่างหมุนเวียนสลับกัน ล้วนสมมติมายาขันธ์ให้ตื่นใจ
ใดสูงหรือต่ำเตี้ยที่สุดหนา เพราะเรื่องดียังดีกว่าว่าจริงไหม
ทุกสิ่งล้วนชั่วคราวต้องเป็นไป ลองเปิดใจมองให้กว้างเห็นแจ้งจริง
เราคือ
เสียวเสี่ยวฝอถง 小小佛童 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามทุกท่านหายง่วงหรือยัง

ขาดจริยธรรมศีลธรรมปฏิบัติเคร่ง สิ้นยำเกรงคนข่มคนสารพัน
บำเรอใจไม่เหงากินเที่ยวกัน วัตถุวัดเพราะกั้นด้วยความเพลิน
ประเมินเงินด้วยค่าไม่มีค่า ไม่ใช้ธรรมนำชีวาบ้าสรรเสริญ
ลองบำเพ็ญกันอย่างไม่ใช้เงิน ชอบคำสรรเสริญอยู่ขาดซึ่งธรรมะราบรื่นเกินก้าวเดินได้ไม่ไกล รู้หรือไม่ด้วยอุปสรรคจึงชนะ
ตั้งใจนำธรรมมาล้างอาสวะ ยอมสละบางสิ่งเพื่อการบำเพ็ญ
ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มจากศูนย์หรือเริ่มจากหนึ่ง (จากหนึ่ง)  ดูเหมือนเริ่มจากหนึ่ง แต่บางครั้งก็คือศูนย์ แต่ในศูนย์นั้นไม่ใช่หนึ่งหรือ ทุกสิ่งเริ่มต้นจากศูนย์แล้วค่อยมาหนึ่ง แต่เรามักมองไม่เห็นค่าคำว่า “ศูนย์”
ทั้งที่จริงๆ แล้วศูนย์ก็คือหนึ่ง อย่าให้สิ่งสมมติในโลกมาหลอกลวงใจเรา อย่ามองเห็นว่าศูนย์ไม่มีค่า เพราะมีศูนย์จึงจะมีหนึ่งเหมือนกัน เราถามท่านนะ เงินหนึ่งบาทมีค่าไหม (มีค่า)  ถ้าไม่ใช่เพราะหนึ่งบาทก็จะไม่รู้จักสิบบาท เพราะถ้าไม่ใช่หนึ่งบาทรวมๆ กันเป็นสิบ รวมๆ กันก็จะไม่รู้จักหนึ่งร้อย บางครั้งมนุษย์รู้จัก หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า พอถามว่าให้ศูนย์
ได้ไหม ก็ไม่เอา ทั้งที่ทุกชีวิตก็มาจาก (ศูนย์)  เมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับ (ศูนย์)  ฉะนั้นเรากลัวศูนย์ไหม (ไม่กลัว)  จริงหรือ
ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลกนี้ อย่าคิดว่าเราจะเป็นหนึ่งไปตลอด เราจะเป็นหนึ่งได้ตลอดไหม (ไม่)  บางครั้งก็กลายเป็น (ศูนย์)  จริงหรือ ไม่จริง เป็นหนึ่งไม่ได้ตลอดเพราะชอบสอง พอเป็นสองแล้วก็ไม่พอจะเป็นสาม ฉะนั้นพอสองสามสี่แล้วกลับศูนย์ได้ไหม แต่จริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้น พอเราเริ่มมีสอง มีสาม มีสี่ กลับมาเป็นศูนย์ก็รับไม่ได้ กลับมาเป็นเหมือนคนไม่มีก็รับไม่ได้ พอได้มีคู่อยู่ๆ กลายเป็นไร้คู่รับได้ไหม (ไม่ได้)  พอได้มีชีวิตอยู่ๆ ไม่มีชีวิตรับได้ไหม (ไม่ได้)  ก็แค่ศูนย์หนึ่งสองสาม แล้วก็สามสองหนึ่งศูนย์แค่นั้นเอง ชีวิตมีแค่นี้เองนะ ฉะนั้นท่านต้องมองให้ดีๆ เรามาจากศูนย์ วันนี้เราก้าวไปหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก แต่ถึงเวลาเราก็ต้องกลับมาห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ศูนย์ หรือบางทีจากห้าแล้วกลายเป็นศูนย์
ก็ต้องรับให้ได้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเกิดเคยมั่งมี เคยมีชีวิตแข็งแรง
วันหนึ่งชีวิตเหลือแค่ครึ่งชีวิต นั่นคือความเจ็บป่วยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าความเจ็บป่วยมารุกล้ำ เรารับไม่ได้หรือ เราต้องตายหรือ ตายก็ต้องตายได้กลับมาศูนย์ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ศูนย์ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร
ฉะนั้นมาฟังธรรมอย่าคิดแต่จะเอา แต่มาฟังธรรมต้องคิดไม่เอา เป็นเศรษฐีที่รู้จักขอบคุณทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ดีกว่าเป็นยาจกที่เอาแต่ขอกินไม่มีวันอิ่ม ท่านเป็นแบบไหน เป็นเศรษฐีที่ขอบคุณทุกๆ สิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ไม่เป็นไรขาดบ้างบกพร่องบ้างก็ขอบคุณ อะไรๆ ก็ขอบคุณ
เราเป็นเศรษฐีแบบนี้ไหม (ไม่)  แต่เราเป็นยาจกที่เอาแต่ขอๆ ไม่อิ่มๆ เจอหน้าพระก็ขอ ฉะนั้นอยากเป็นเศรษฐีที่ขอบคุณทุกสิ่ง หรือจะเป็นยาจกที่
เอาแต่ขอกินไม่มีวันอิ่ม  (เป็นเศรษฐี)  จริงหรือ เพราะปกติก็เป็นขอทานมากกว่า ใช่ไหม (ใช่)  เราอยู่กับคน เราไม่เรียกร้องเขาหรือ เราอยู่บนโลก เราไม่เรียกร้องฟ้าหรือ ใช่ไหม (ใช่)  บางทีเรายังแอบเป็นขอทานกับตัวเอง เมื่อไรจะรวย เมื่อไรจะสำเร็จ เมื่อไรจะเก่ง จนมันทุกวันเลย จริงไหม (จริง)
“สูงสุดคืนสามัญล้วนจริงแท้ ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรแลแปรผัน
เหรียญสองด้านต่างหมุนเวียนสลับกัน ล้วนสมมติมายาขันธ์ให้ตื่นใจ”
นั่งตรงนี้ก็เหมือนมีเหรียญ เดี๋ยวก็เมื่อย เดี๋ยวก็ดี แล้วแต่ว่าอารมณ์จะไปด้านไหน เวลาอารมณ์ดีก็ดี เวลาเบื่อก็รู้สึกว่าเมื่อไรจะจบ
ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นเหรียญหลายๆ ด้านดีไหม (ไม่ดี)  ทำไม เหมือนหลายใจหรือ ถึงแม้ว่าเราจะหลายด้าน แต่เรามีใจเดียวนะ และก็รักเดียวด้วย
โลกนี้หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่จบสิ้น บางครั้งลองหยุดแล้วมองดูชีวิต เราเหมือนคนที่คล้ายปลาที่ว่ายอยู่ในอ่างน้ำ ว่ายวนไปวนมา ชีวิตเราเป็นอย่างนั้นไหม วนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ดูเหมือนทำแต่เรื่องเดิมๆ ไม่จบสิ้น แล้วเรื่องเดิมๆ ก็ไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้สักที โดนแล้วก็โดนอีก เจ็บแล้วก็เจ็บอีก แล้วใครล่ะที่เป็นคนทำ (ตัวเราเอง)  แล้วเรารู้ตัว
หรือเปล่า (รู้)  รู้หรือ กลัวจะเป็นขว้างงูไม่พ้นคอ บางทีเราทำอันเดิมๆ แล้วก็หมุนกันไปหมุนกันมา เราบอกว่าเราอยากหนีความไม่มี ความจน ความเหงา การอยู่ตัวคนเดียว ความอัตคัดขัดสน ความทุกข์ แต่พอถึงเวลาเราก็วิ่งๆ สุดท้ายก็กลับมาที่เดิม เพราะอะไรรู้ไหม ไม่ใช่กิเลส การเวียนว่ายตายเกิด เพราะความคิดของเราหนีเท่าไรก็ไม่พ้น เพราะเราไม่เคยปล่อยความคิดของเรา ไปวัดคิดว่าจะได้สบาย ก็ลากความคิดไปด้วย เมื่อไรจะหายทุกข์ ลากไปวัดด้วยไหม หายไหม (ไม่หาย)  เหมือนอะไร ไม่ใช่หนีอีกที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ต้องวางใจตัวเอง ต้องให้ทันความคิดตัวเอง เหมือนนั่งตรงนี้มีทุกข์ไหม ไม่ทุกข์หรอก แต่เหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจ มองฟ้าก็มองไปโปร่งใส ฟ้ากว้างๆ แต่ทำไมดูแคบๆ คนอื่นเขายิ้ม แต่ทำไมฉันยิ้มไม่ออกก็ไม่รู้ เพราะเราไม่เคยวางความคิดของเราเลย ทั้งที่จริงแล้ว ทุกๆ วันก็คือวันใหม่ เริ่มต้นใหม่ แต่เรายังจมอยู่กับความคิดเก่าๆ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอยากรู้จักกันหรือยัง อยากคุยกันหรือยัง (อยาก)  เห็นนั่งเบื่อแล้ว ไม่อยากฟังธรรมะแล้ว เราก็เดินเข้าเดินออก จะมาดีไหมหนอ ลองดูสักตั้งหนึ่ง เผื่อจะทำให้ท่านเปลี่ยนอิริยาบถ ดีไหม (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
เราคือ เสียวเสี่ยวฝอถง ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ แต่มนุษย์ตัวใหญ่ แต่ใจนิดเดียว
ถ้าอยากเป็นเศรษฐี เวลาที่เจออะไรก็ขอบคุณๆ นั่นถึงจะเป็นเศรษฐี แปลว่าเจออะไรก็ดีแล้วๆ ใช่ไหม อย่างนั้นนั่งตรงนี้ก็ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยากเป็นยาจก เวลาเจออะไรก็ไม่พอๆ นั่นล่ะเป็นยาจก
เหมือนมีคนมาบอกเราว่า มาฟังธรรมะสิ ฟังแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย เคยได้ยินคนพูดประโยคแบบนี้ไหม (เคย)  แล้วถ้าเราบอกว่า ให้ท่านลองตั้งใจฟัง ถ้าท่านตั้งใจฟังธรรมที่เราพูด ท่านกำลังเหมือนได้เปิดประตูสวรรค์ และกำลังเดินเข้าไปสู่สวรรค์เลย แต่ถ้าท่านคิดในใจว่า “จริงหรือ” เชื่อหรือไม่ว่า ประตูสวรรค์ที่กำลังเปิดอยู่ก็ปิดประตูลงกลอนทันทีเลย จริงไหม (จริง)  เพราะคำว่า “จริงหรือ” แค่คำเดียว ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเขาบอกว่า ตั้งใจฟังธรรมะนะ เราจะได้พบหนทางสว่าง เราก็คิดว่า “จริงหรือ” ยังไม่ทันสว่างเลย เราก็มืดก่อนแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเชื่อไหม (เชื่อ)  ตอนนี้ท่านนั่งเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  ง่วงไหม (ไม่ง่วง)  หลับไหม (ไม่หลับ)  ไม่เชื่อ เพราะทั้งง่วง ทั้งเมื่อย แล้วก็แอบหลับด้วย จริงไหม (จริง)  นั่นไง ฉะนั้นถ้าอยากให้เชื่อก็อย่าโกหก เพราะถ้าเราถามท่านว่า นั่งเมื่อยไหม นั่งเบื่อไหม (ตอนนี้ไม่เมื่อย ไม่เบื่อ)  
หายเมื่อย หายเบื่อแล้วใช่หรือเปล่า เราอุตส่าห์จะบอกวิธีแก้ปวดเมื่อย พอไม่เมื่อย ไม่ปวด อย่างนั้นไม่บอกก็ได้นะ (อยากรู้)  อยากรู้ทันทีเลยหรือ ไหนบอกว่าเป็นเศรษฐีไม่ใช่หรือ แอบจะขออีกแล้วจริงไหม ฉะนั้นอย่าเผลอนะ เผลอนิดเดียวเราก็จะถูกอะไรบีบคั้นจิตใจได้ทันทีเลย สักครู่เราจะเล่าให้ฟัง แต่ค่อยๆ เล่าทีละเรื่องดีไหม (ดี)
ถ้าตอนนี้เราอยากนั่งตรงนี้ให้มีความสุข ไปอยู่ที่ไหนเราก็อยากสร้างสวรรค์ที่นั่น ฉะนั้นอย่ารออนาคต แต่จงทำขณะนี้ เหมือนถามว่านั่งตรงนี้มีความสุขไหม ถ้าเราตอบว่า “ไม่มี” ถ้ากลับบ้านถึงจะมีความสุข คนเช่นนี้ไปอยู่ที่ไหนก็หาความสุขยาก แต่ถ้าเกิดว่านั่งตรงนี้ถามว่ามีความสุขไหม ถ้าตอบว่าไม่รู้ แต่จะพยายามสุขให้ได้ เชื่อไหมว่าคนแบบนี้ไม่ว่าอะไรจะบีบคั้น เขาก็มีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าแม้ไม่มีใครสร้างสวรรค์ แต่เขาจะสร้างสวรรค์ด้วยใจตัวเอง แม้สภาวการณ์จะบีบคั้นเขาก็ไม่กลัว แต่เขาจะบีบคั้นให้ตัวเองมีความสุขให้ได้ ท่ามกลางภาวะ
บีบคั้นและกดดัน ฉะนั้นนั่งตรงนี้มีความสุขไหม (มีความสุข)
เราจะบอกต่อนะ แล้วรู้ไหมว่าคนเราอยู่ในโลก บางครั้งเรารู้สึกว่าเวลามันบีบคั้นจังเลย แป๊บๆ วันหนึ่งก็ผ่านไป ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นกันไหม (เป็น)  ทั้งที่ทำตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอต เหงื่อก็ไหลมากมาย แต่ยังไม่ได้อะไรเลย อยากให้เวลามันบีบคั้นใจเราไม่ได้ไหม (อยาก)  อยากให้ใครพูดอะไรก็บีบคั้นใจเราไม่ได้ไหม (อยาก)  อยากให้ฟ้าจะมืดดำ ฝนตกฟ้าร้อง วันนี้มืด วันนี้สว่าง ชีวิตโชคดีโชคร้าย ก็บีบคั้นใจเราไม่ได้ อยากได้ไหม (อยาก)  นั่นไงเป็นขอทานแล้ว ไหนบอกว่าอยากเป็นเศรษฐีไง เพราะพุทธะกล่าวไว้อย่างหนึ่งว่า “ถ้าเราอยากพลิกใจเหนือกาลเวลา คำพูดใครหรือเรื่องใดมากระทบก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ สิ่งสำคัญก็คือ อย่าให้มีความอยากครอบงำใจโดยเด็ดขาด”  เมื่อเรามีอยากขึ้นมาอย่างหนึ่ง เราต้องทำให้ทัน เวลาธรรมดาก็กลายเป็นเวลามาบีบคั้นทันที แต่ถ้าเราไม่มีอยาก เวลาทำไมมันเรื่อยๆ อยากให้ใครพูดอะไร ว่าอะไร เราก็ไม่บีบคั้นเจ็บปวดใจ นั่นก็คืออย่าไปคาดหวัง หรือติดชอบชังในใจตัวเองมากเกินไป เพราะในใจเรามีชอบ มีชัง พอเขาทำอะไรที่ไม่ตรงกับชอบชังเรา เราก็เหมือนกับถูกบีบคั้น หรือพูดง่ายๆ อยากให้ชีวิตนี้เราเป็นคนสร้างความสุข จงอย่ายกหัวใจเราไปให้ใคร หรืออย่าฝากชีวิตเราไปให้ใคร เพราะไม่อย่างนั้น ถึงเวลาเขาบีบแล้วเราจะ (เจ็บใจ)  เจ็บใจหรือ ไม่เจ็บ เพราะใจอยู่ที่เรา
ฉะนั้นอยากมีชีวิตอยู่แล้วเป็นอิสระ ไม่ทุกข์ ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งใดที่เกิดขึ้น จงอย่าปล่อยให้ความอยาก ความชอบ ความชัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำใจเด็ดขาด เพราะถ้าเมื่อใดปล่อยให้
ความโลภ ความโกรธ ความหลง และความอยากครอบงำใจ ด้วยอารมณ์ที่ติดดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข คนนั้นก็ง่ายที่จะถูกเวลา ผู้คน และเรื่องราว บีบคั้นจิตใจได้เสมอๆ จริงไหม (จริง)
พระพุทธะจึงกล่าวว่า “อย่ามัวไปจัดการบ้านคนอื่น แล้วลืมจัดการบ้านตัวเอง” อย่ามัวไปเรียกให้คนอื่นทำความสะอาดบ้าน ทั้งที่บ้านตัวเองยังสกปรก อย่าคิดไปไล่ตามใคร ถ้ายังไม่รู้ใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ง่ายไหม (ง่าย, ไม่ง่าย)  คนที่บอกว่าไม่ง่ายเพราะเขาเริ่มรู้ใจ คนที่บอกว่าง่ายแปลว่ายังไม่เคยลองทำ ถ้าลองทำแล้วเราจะรู้เลยว่า คุม
คนอื่นว่ายากแล้ว แต่คุมใจตัวเองยากกว่า ระวังคนอื่นว่ายากแล้ว แต่ระวังใจตัวเองให้สุขุมรอบคอบยากยิ่งนัก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ใครมาบีบใจเราเล่น มาทำให้เราทุกข์ ก็อย่า
บ้าคำชม อย่าหลงคำเยินยอ จริงไหม (จริง)  บ้าคำชมไหม หลงคนยกยอปอปั้นไหม (ไม่หลง)
สิ่งที่มนุษย์มักจะเป็นกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถามว่าทำไมบางทีใจเราไม่โปร่ง ไม่โล่ง ชีวิตจริงๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ป่วยไหมก็ไม่ป่วย แต่บางครั้งเรายิ้มได้ไม่ค่อยเต็มที่ หรือสุขไม่ค่อยได้เต็มที่ เพราะอะไรรู้ไหม (ไม่รู้)  เพราะเรามีความกลุ้มกังวลลึกๆ ในใจ แล้วเราก็ยังมีอดีตที่จำฝังใจแล้วลืมไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าเราเคยทุกข์ไหม ทุกคนล้วนเคยทุกข์ เรารู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกข์ที่เราบอกนี้ มันจบไปแล้วหรือยัง
(จบไปแล้ว แต่ใจเราไม่จบ)  แล้วมันผ่านไปแล้วหรือยัง (ผ่านไปแล้ว)  แล้วตอนนี้เราก็ไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมมนุษย์ไม่สามารถอยู่เหนือกาลเวลาได้ มนุษย์ยังตกเป็นทาสของเวลา และเป็นทาสของความทุกข์อยู่ร่ำไป จำไว้นะว่า เพราะชีวิตนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็จบอยู่ทุกขณะ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมชีวิตยังเป็นชีวิตที่วุ่นวายและผูกพัน เพราะว่ามนุษย์ลากสิ่งที่เกิดและจบมารวมตัวเป็นตัวตน และมีที่ให้ทุกข์อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าตัวตนและที่ที่ให้ทุกข์อยู่ที่เรียกว่าชีวิตเรานี้ แท้จริงแล้วมันกำลังเกิดจบ เกิดจบ ทุกวันคือวันใหม่ คำพูดก็บอกอยู่แล้วว่า ทุกวันคือวันใหม่ ชีวิตมีแต่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ใครกล้าบอกว่า ฉันมีวันพรุ่งนี้บ้าง ยกมือขึ้น ไม่กล้ากันเลยหรือ ถ้าเรารู้ว่า ไม่มีวันพรุ่งนี้ แล้วทำไมวันนี้ไม่ทำให้ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  จะไปลากเอาอดีตมาทำไม เพราะมันจบแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนใครที่บอกว่า ถ้ากลับบ้านบ่นเมื่อย แปลว่า เรายังไม่จบ เพราะมันเมื่อยเสร็จแล้ว เมื่อยไหม มันก็เหมือนยังเคล็ดๆ เล็กน้อย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อยกายได้ แต่อย่าเพิ่มความทุกข์ด้วยการเมื่อยใจอีกเป็นสองเท่า เราเคยทุกข์มาแล้ว แล้วมันก็จบแล้ว
เราจะนำกลับมาให้ทุกข์ใจทำไมอีก ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ใช่ไหม (ใช่)  ขอพรก็ไม่สู้ทำสิ่งที่ดี นั่นคือพรอันประเสริฐ ห้อยวัตถุมงคลก็ไม่สู้รู้จักสำรวมระมัดระวังตน มีค่ายิ่งกว่าห้อยวัตถุมงคลและห้อยพระอีก จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าสิ่งใดเกิด ก็ขอบคุณ ดีแล้ว สาธุแล้ว ไม่ว่ามันจะพลิกไปด้านไหนก็จะบีบคั้นใจของท่านอีกไม่ได้ ถ้าท่านทำได้อย่างที่เราพูดนะ ใช่ไหม (ใช่)  จำได้ไหม (จำได้)  ไม่เป็นไรเพราะวันนี้ฟังมาเยอะแล้วใช่ไหม
ถ้าท่านทำได้อย่างที่เราพูดไปเมื่อสักครู่ ท่านจะรู้เลยว่าการเรียนรู้เข้าใจชีวิตแล้ว มีความเบิกบานด้วยปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม
จะนำพาให้เราพบกับความเบิกบานที่แท้จริงได้ ไม่ต้องขอใคร ไม่ต้องเรียกร้องจากใคร แค่มีปัญญารู้เท่าทันและเข้าใจความเป็นจริงบนโลกใบนี้ และความเป็นจริงของตัวเองตนนี้ ท่านก็จะสามารถพบความเบิกบานด้วยปัญญาของตน ที่เรียกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”  ยืมจมูกใครหายใจ ยืมแข้งใครเดินก็ไม่สู้ (ยืมจมูกตัวเอง ยืมแข้งตัวเอง)  จำไว้นะ
ฉะนั้นเวลา ผู้คน และเหตุการณ์ ก็บีบบังคับเราไม่ได้ ถ้าเรารู้จักควบคุมความอยาก ความโลภ ความหลง และชอบชังให้เป็น ทุกสิ่งล้วนเกิดและดับอยู่ทุกขณะ แต่ที่มนุษย์ไม่จบก็เพราะว่าเราลืมควบคุมความอยากใช่หรือไม่ เหมือนตอนนี้เราปวดเมื่อยขาอยู่ เราจะบอกท่านว่าปวดเมื่อยดีแล้วที่ยังมีขาให้ปวด ทุกอย่างอยู่ที่ใจ เราตกเป็นทาสของกายหรือใจเป็นนายเหนือกาย แม้ไปผ่าก็สู้ไม่ได้ จริงไหม คิดให้ดีๆ เพราะชีวิตคือความเปลี่ยนแปลง ถ้าวันนี้เราเจอความเปลี่ยนแปลง แล้วเรารับไม่ได้
ฉันสู้ไม่ได้ๆ แล้วต่อไปเจอความเปลี่ยนแปลงข้างหน้า ท่านจะสู้ได้หรือ
เราบอกแล้วนี่ ถ้าไม่อยาก อะไรก็บีบคั้นใจเราไม่ได้ ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรก็ทำให้เราเจ็บปวดใจไม่ได้ เพราะกายเราไม่เที่ยง แต่เรามีใจที่เที่ยงอย่างหนึ่งคือ ใจที่อย่างไรก็สู้ไม่ถอย ฉะนั้นเราเป็นคนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ ท่านอย่าเป็นคนตัวใหญ่แต่ใจเล็ก เพราะความยึดมั่นถือมั่น จึงทำให้เราไม่สามารถก้าวข้ามความทุกข์ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่น
ที่เรียกว่า ตัวตน ก็ไม่เที่ยง แล้วก็จับต้องไม่ได้ด้วย มันพร้อมจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา จงยกใจให้เหนือกาย แล้วเราจะไม่ได้ทุกข์สองเท่า แต่เราจะแค่เจ็บกาย แต่เราไม่เจ็บใจ ผู้ที่รู้จักหมั่นเพียร ทำสิ่งที่ดีงามย่อมก่อเกิดคุณธรรม ผู้หมั่นเพียรทำสิ่งดีงาม จนก่อเกิดคุณธรรมและประกอบคุณธรรมอย่างไม่ขาดสาย แม้ไม่มีศีล พระพุทธะก็เรียกว่า “มีศีล”
ผู้หมั่นเพียรทำความดีงาม สักวันย่อมค้นพบคุณธรรมได้ ผู้ประกอบคุณธรรมและทำสิ่งที่ดีงาม โดยไม่ย่อท้อ สักวันจะพบคำว่า “ศีลธรรม” โดยที่ไม่ต้องพยายามถือศีลให้เหนื่อย ถ้าพูดแค่นี้ก็คงไม่เข้าใจ เราพูดง่ายๆ คนทำดีบ่อยๆ ด้วยความสงสาร ด้วยความรัก รู้จักให้บ่อยๆ คนก็เรียกคนๆ นั้นว่า “คนมีเมตตา” คนที่รู้จักเมื่อเจอใครก็เคารพนบนอบ เขาเรียกคนนั้นว่า “มีจริยะที่ดีงาม”  การรู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามบ่อยๆ จนก่อเกิดเป็นคุณธรรม คุณธรรมทำบ่อยๆ จนก่อเกิดเป็นศีล ศีลทำบ่อยๆ และไม่ประพฤติชั่ว นั่นเรียกว่า ประพฤติถูกต้องในศีลธรรม แต่มนุษย์มักกลับกัน พยายามรักษาศีลแต่ลืมทำความดี พยายามมีศีลแต่บกพร่องคุณธรรม ใช่ไหม (ใช่)  อย่าเริ่มต้นผิด อยากมีศีลและมีธรรม จงเริ่มต้นที่ทำดีสิ่งเล็กๆ และความดีเล็กๆ จะกลายเป็นคุณธรรม คุณธรรมทำบ่อยๆ จะกลายเป็นศีลธรรม แค่นี้เข้าใจไหม
สมาธิในความหมายของพระพุทธะหมายความว่าอย่างไร สมาธิ ไม่ใช่การนั่งหลับตา แล้วทำตัวแข็งเป็นก้อนหินหรือท่อนไม้ อย่างนั้นไม่ใช่สมาธิที่แท้จริง ซึ่งนำพาให้พ้นทุกข์ได้ แต่สมาธิที่แท้จริง คือ มีสติ ไม่กระเพื่อมไหวเมื่อถูกกระทบ และสามารถพ้นจากการถูกครอบงำของโลภ โกรธ หลง จึงจะเรียกว่า สมาธิที่มั่นคง เมื่อมีสมาธิ มีศีลที่ดีแล้ว การเข้าถึงหลักธรรมในการจะมีชีวิตอย่างเบิกบาน และพ้นทุกข์ด้วยปัญญาของตนเอง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก
เมื่อเราอยู่ในโลกนี้ จะไม่ให้ชอบใครเลยบางครั้งก็เป็นเรื่องยาก
ใช่ไหม (ใช่)  จะให้ไม่เกลียด บางทีก็ยากเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  บางทีเราพยายามอยากเป็นคนดี แต่บางทีคนบางคนก็สุดๆ เลย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าบางครั้งเรารู้สึกว่าเขาเอาเปรียบเรา ใช่ไหม (ใช่)  ชอบเจ้าเล่ห์กับเรา ใช่ไหม (ใช่)  ท่านเคยเห็นคนเลี้ยงไก่ไหม (เคย)  ท่านไม่ชอบคนเอาเปรียบ ไม่ชอบคนฉลาดเจ้าเล่ห์ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเคยฉลาด
เจ้าเล่ห์ไหม (เคย)  กงกรรมกงเกวียนนะ ไม่อยากแต่ตัวเองทำเอง
ทำแล้วก็โดนกับตัวเองจริงๆ เลย เหมือนมีชายคนหนึ่ง อยากประหยัดต้นทุน ไก่ก็อยากเลี้ยง ปลาก็อยากเลี้ยง คิดได้แล้ว อยากประหยัดอาหารปลา จึงเลี้ยงไก่ไว้บนบ่อปลา พอไก่ขี้ ปลาก็กิน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครกินปลา ฉลาดไหม ฉะนั้นอย่าคิดว่าเราจะเอาเปรียบ หรือฉลาด หรือเก่งกว่าใครได้ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง กงกรรมกงเกวียนนั้นหนีไม่พ้น จริงไหม (จริง)
อีกหนึ่งเรื่อง มีพ่อค้าหัวใส เอาสารเคมีมาขายให้เกษตรกร สารเคมีคุณภาพดีไหม ก็โฆษณาว่า ดีมาก ปลูกอะไรก็ขึ้น แต่ถามว่าคุณภาพจริงๆ ดีไหม (ไม่ดี)  พูดไปหนึ่งร้อยอย่าง แต่จริงๆ คุณภาพ
มีเพียงห้าสิบอย่าง เกษตรกรไม่รู้ ก็ซื้อมา แล้วก็นำไปปลูกผัก ปลูกข้าว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วผลสุดท้ายใครมาซื้อผักซื้อข้าวกิน พ่อค้าก็ซื้อข้าวซื้อผักกิน บางทีเราบอกว่าปลูกไปเถอะ เวลายังไม่ควรเก็บ เราก็เก็บไปก่อนเพื่อจะได้กำไร รวยๆ ผลสุดท้ายผักใครกิน เราเองใช่ไหม
ฉะนั้นอยากมากเท่าไร อย่าคิดว่าจะได้มากเท่านั้น อยากมากก็เสียมาก คิดว่าฉลาดมากก็โง่มาก จริงไหม (จริง)  คิดว่าได้มาก สบายมาก
ที่ไหนได้ขาดทุน จงมองให้ดีอย่าไปเกลียดคนโลภ อย่าไปโมโหคนอยาก เพราะถ้าเกิดตัวเองยังไม่เข้าใจหลักสัจธรรมข้อนี้ เราก็ยังอยากและยังโลภอยู่จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเจอคนที่เกินเลยไปบ้าง ก็อย่าไปโกรธเขาเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกื้อหนุนและช่วยเหลือกัน เราคิดว่าเราเก่งกว่าเขาหรือ เราคิดว่าเราชนะเขาหรือ แต่จริงๆ แล้วเรานั่นแหละก็เป็นผู้แพ้ได้ จริงไหม (จริง)  เราคิดว่าเราโมโห เราอยากจะต่อว่าเขาให้เจ็บๆ แต่ที่ไหนได้ เราก็ทำร้ายตัวเองก่อนที่จะไปทำร้ายเขา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นโลกแห่งสัจจะความเป็นจริงหนีไม่พ้น ใครทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น อย่าคิดว่าตัวเอง
เก่งกว่า เหนือกว่า ได้มากกว่า ไม่มีหรอกนะ พุทธะเห็นแล้วกงกรรม
กงเกวียนมีจริง ใครทำอย่างไรต้องได้อย่างนั้น ฉะนั้นอยากน้อยๆ
โลภน้อยๆ และรู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยให้อะไรมาบีบคั้นใจให้ทุกข์
ไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม (จริง)  ไปแล้วนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมฉงเต๋อ จ.กาญจนบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พูดผิดก็โดนว่ากันยกใหญ่ พูดธรรมดาคนคิดร้ายก็ยังมี
คนถือสาคิดทุกเรื่องสุขไม่มี โลกเช่นนี้ผิดหรือถูกไม่หลงไป
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนเหนื่อยไหม

* ขอลัดฟ้าหาทางกลับ ด้วยความตั้งใจ ใช้ศรัทธาจากใจไหลรวมธาร ธรรมหนึ่งเดียว ถึงต้องทนไม่มีสุข ทุกข์มาบีบใจ เพื่อบำเพ็ญจิตใจแล้วทนได้ดีใยจะหนีหนี้กรรม ธรรมจากฟ้ามาดิน ฉุดชีวิตผู้คนบนดิน คนเริ่มชินดาวระดิน จึงไม่ยอมกลับคืน
** ปัจจุบันเรื่องกรรม คล้ายคล้ายเรื่องราวเชยเชยตามเลย ด้วยความหลงโน้มนำ ยิ้มยิ้มแล้วยังคงทำขำขำเล่นไป ติดสบาย ขาดความมุ่งมั่นไร้ทางกลับคืน
(ซ้ำ * ,**)
ชื่อเพลง : ลัดฟ้าหาทางกลับคืน
ทำนองเพลง : นิดนึงพอ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ร้องเพลงสนุกไหม (สนุก)  แล้วมาฟังธรรมะสนุกจริงหรือ การศึกษาบำเพ็ญธรรมนั้นต้องเรียนรู้ที่ใช้สติปัญญามากกว่าใช้ความรู้สึก เพราะความรู้สึกของคนมีเปลี่ยนแปลงได้ มีเฉยชา เบื่อหน่ายและท้อแท้ได้ การบำเพ็ญธรรมถ้าใช้ความรู้สึก พอความรู้สึกครอบงำใจมากๆ เมื่อวันหนึ่งที่ใจเบื่อหน่ายและท้อแท้ เรามิเลิกบำเพ็ญหรือ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมต้องใช้สติปัญญาที่สมบูรณ์ด้วยนะ ไม่ใช่ใช้สติปัญญาแบบเว้าๆ แหว่งๆ ถ้าบำเพ็ญธรรมใช้แต่ความรู้สึก วันหนึ่งหมดความรู้สึก หมดใจ ศิษย์ก็เลิกบำเพ็ญธรรม นักเรียนในชั้นยังใหม่ก็ยังไม่เข้าใจ ถ้าทำอะไรด้วยความรู้สึกว่า วันนี้ดีใจ ก็มีแรงทำเต็มที่ จริงไหม (จริง)  วันนี้สบายใจ สุขใจก็ทำแบบเต็มที่ อะไรเข้ามาก็ทำไหว แต่เมื่อวันหนึ่งหมดใจ เราก็หมดแรง ท้อแท้ไม่สู้ชีวิตแล้ว อย่างนั้นควรมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึก หรือมีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา (สติปัญญา)  ศิษย์ว่าควรมีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญาหรือใช้ความรู้สึก (สติปัญญา)  เหมือนกับมานั่งฟังธรรมะอย่างนี้ ถ้าใช้ความรู้สึกฟังก็ไม่รอด พอเบื่อหน่ายก็ไม่อยากฟังแล้ว แต่ถ้าฟังด้วยสติ ขบคิดด้วยปัญญา จะฟังได้เรื่อยๆ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ ยิ่งเข้าใจยิ่งเห็นแจ้ง
ยิ่งเห็นแจ้งยิ่งรู้ซึ้ง ถูกไหม (ถูก)  มีสติทุกขณะจิต จะง่วงไหม มีสติ
ทุกขณะจิต จะเมื่อยจะท้อไหม อย่างนั้นตอนนี้ฟังด้วยสติหรือฟังด้วยความรู้สึก (ฟังด้วยสติ)  ตอนนี้ใช้สติฟัง แต่ที่ผ่านมาใช้ความรู้สึกล้วนๆ เลย บำเพ็ญธรรมใช้สติปัญญาอย่าเผลอเอาแต่ใช้ความรู้สึก ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ใช้สติปัญญาไหม (ใช้)  อย่างนั้นใช้สติปัญญาจะไม่หลับ ใช่ไหม
เป็นศิษย์อาจารย์จี้กงหลับได้อย่างไร
อยู่ในโลกยากนะ พูดนิดพูดหน่อยผิดนิดผิดหน่อยก็โดนว่า ไม่พูดก็โดนว่า พูดธรรมดาก็โดนว่า อย่างนั้นเวลาโดนว่าจำไว้เลยนะ มองเขาขณะว่ามองแล้วเห็นอะไรไหม อยู่ในโลกนี้ทำก็โดนว่า ไม่ทำก็โดนว่า
ทำมากเกินก็โดนว่า ทำน้อยเกินก็โดนด่า ฉะนั้นจะพูดหรือทำอะไรก็เป็นเรื่องยากที่จะอยู่ในโลกแล้วให้ได้ดี ถ้าโดนอย่างนี้แล้วถ้าเราถือทุกเรื่อง คิดทุกเรื่องที่เขาพูดเราก็ตายกับตาย อยู่ตรงไหนก็โดน ฉะนั้นไม่โดนเป็นเรื่องผิดปกติ แต่โดนนั่นถือเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นเวลาโดนก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แล้วจะไปโกรธเขาทำไมใช่หรือไม่ (ใช่)  จะไปถือสาเอาความเขาทำไม คิดมากไปเราก็ไม่มีความสุข รู้อย่างนี้แล้วพูดไหม รู้อย่างนี้แล้วทำไหม บางคนก็เลือกด้วยการไม่ทำอะไรเลย ไม่เหนื่อยดี โดนด่าก็โดนด่าไป เช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง บางคนก็ทำให้เต็มที่ไปเลย เพราะในเมื่อฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันทำมันถูกต้องแล้ว โดนด่าก็เป็นเรื่องปกติ ไม่โดนด่าสิเป็นเรื่องผิดปกติ ฉะนั้นกลับไปโดนด่าก็เป็นเรื่องปกติ อย่างนั้นเวลาโดนด่าก็อย่าทุกข์นะศิษย์
ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วถูกคนบ่น ก็อย่าทุกข์นะ ได้ไหม (ได้)  เพราะไม่ถูกด่าเป็นเรื่อง (ปกติ)  พูดเองแล้วจำให้ได้นะ เพราะถ้าคนถือสา
ทุกเรื่องคิดสุขไม่มี
“โลกเช่นนี้ผิดหรือถูกไม่หลงไป
ฉะนั้นถ้าผิดจริงๆ ก็แก้ให้ถูกต้อง เมื่อทำถูกแล้วก็อย่าหลงตัวเองใครว่าก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเขาว่าแต่ว่าได้ถูกจริง เราก็ต้องแก้ไข แต่ถ้าเขาว่าแล้วเราทำถูกแล้ว เราก็ต้องไม่หลงตน
ถ้าหากมีคนว่าฉันไม่ได้ เช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  เพราะในโลกนี้ ศิษย์สังเกตดูว่า หูเรามี (สองข้าง)  ฉะนั้นเวลาฟังอะไร อย่าฟัง (ข้างเดียว)  จงฟัง (สองข้าง)  และอยู่ให้กลาง ไม่ฟังข้างนี้ก็เอียง ฟังข้างนั้นก็เอียง เมื่อถึงเวลาฟังสองข้าง มันต้องกลับมาตรง ไม่ใช่จะเอียงไหนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตาเรามีกี่ตา (สองตา)  ฉะนั้นมองอะไรก็ต้องมองให้ชัด ฟังอะไรก็ต้องฟังให้รอบด้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จมูกของเรามีหนึ่งจมูกแต่มี (สองรู)  แต่มีอย่างเดียวในตัวของเราที่มีอยู่หนึ่งอันนั่นคือ (ปาก)
ฉะนั้นธรรมชาติสอนให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคน อย่าพูดมากกว่าฟัง อย่าพูดมากกว่าดู จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวันนี้มาฟังมากกว่า (พูด)  มาดูมากกว่า (พูด)  แปลว่าเรากำลังกลับไปสู่ธรรมชาติของความจริง ซึ่งคนปัจจุบันนี้ไม่เป็นเช่นนี้ คนปัจจุบันนี้ทำอย่างไรก็ได้ให้พูดให้เก่ง พูดให้ดี พูดให้โน้มน้าวคนให้ได้ แต่ฟังให้น้อย ใช่ไหม (ใช่)  แต่ไม่มีวิชาหรือโรงเรียนไหนสอนให้นักเรียนฟังให้เป็น มองให้เห็น แล้วให้เงียบๆ ไว้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ตอนนี้วิชานี้กำลังสอนให้เรา ฟังให้ดี มองให้เห็น แล้วเงียบปากไว้ กรรมมันจะได้น้อย จริงไหม (จริง)
หาเหตุผลหรือใช้ปัญญารู้แจ้งเห็นตน ฉะนั้นอย่ายึดติดถูกๆ ผิดๆ มาก บางครั้งจะผิดหรือถูก แต่การรู้จักตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผิดบ้างเพื่อแก้ไขให้ตัวเองถูก แต่ถ้าถูกแล้วก็ต้องกล้าที่จะยอมผิดได้ ไม่ใช่หลงตัวเอง จริงหรือเปล่า นักเรียนในชั้นนี้ หรือศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้เป็นพวกหลงตัวเองไหม (ไม่หลง)  มีคนบางคนกล้ายอมรับตนเองนะว่าหลง จริงๆ แล้วถ้าเราอยู่ในโลกใครว่าศิษย์ได้บ้าง ใครว่าศิษย์แล้วศิษย์ยอม
ฟังบ้าง ใครว่าศิษย์แล้วศิษย์เชื่อฟังบ้าง ไม่ค่อยจะมี แม้แต่ตัวเองยังว่าตัวเองไม่ลงเลย ใช่หรือเปล่า กำลังจะว่าตัวเองผิด ก็มีเหตุผลหรอกนะ ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกนี้ ตัวเองยังไม่รู้ตัวเอง แถมยังหลงตัวเอง ใครว่าก็ไม่ได้ เราอยู่ในโลกก็เป็นเรื่องยากที่จะพบกับความสุขที่แท้จริง ก็ยังคงหนีไม่พ้นความทุกข์ที่ตนเองทำเอง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่ง)
พอไม่ให้นั่งก็อยากนั่ง พอตอนนี้ให้นั่งไม่ยอมนั่ง แปลกไหม (แปลก)  ไม่แปลก ปกติ เราก็เป็นอย่างนี้ว่าซ้ายไปขวา ว่าขวาไปซ้าย ให้เดินหน้า
ก็ขอยืนเฉยๆ มนุษย์มีความดื้อลึกๆ อยู่ข้างใน แม้จะพูดอะไรดีแค่ไหนถ้ายังฟาดไม่โดนใจก็ไม่ขยับเขยื้อน แค่พูดกระทบผิวนิดๆ แสบๆ คันๆ เฉยๆ เดี๋ยวก็กลับมาเหมือนเดิม จนกว่าชีวิตจะโดนฟาดที่หัวใจ ถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิต มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ ถ้าคิดจะเปลี่ยนใครไปฟาดเขาที่ผิวหนัง ไปด่าให้เขาเจ็บปวดทางกายไม่มีประโยชน์ ต้องพูดแล้วให้ถึงใจจนเรียกว่า ซื้อใจเขาได้ แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกับใครก็ตาม การอยู่ให้ได้ดีก็เรื่องยากแล้ว อยู่ให้ได้ดีแล้วให้เขาเชื่อเราก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ฉะนั้นการเกิดเป็นคนในโลกนี้ทำดีนั้นเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าที่ศิษย์ทำดีเพื่อรอคำชม ทำดีเพื่อรอคนพยักหน้าเห็นด้วยหรือ (ไม่ใช่)  อย่างนั้นทำไมทำดียากล่ะ ถ้าอย่างนั้นทำดีไม่ยากหรอก เพราะเราทำดีเพื่ออยากมีดีอยู่กับตัว ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนอื่นชม แต่เราทำดีเพราะเรารู้สึกว่าความดีเป็นเหมือนเครื่องคุ้มครองเรา ความดีเป็นเหมือนเครื่องค้ำชูให้ชีวิตมีเรื่องที่ดีๆ สบายใจ  ฉะนั้นอย่าหลงประเด็นผิด เราไม่ได้ทำดีเพื่อรอคนพยักหน้า เราไม่ได้ทำดีเพื่อรอ
คนชม แต่เราทำดีเพื่อความดีอยู่ในใจตน ไม่เช่นนั้นแล้วศิษย์จะทำดีแล้วหลงผิด ทำดีแล้วหลงดี
ธรรมะมีพูดอยู่ไม่กี่เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องความทุกข์ ทุกข์คืออะไร ส่วนเรื่องที่เป็นหลักคือ ทำอย่างไรให้พ้นจากทุกข์บนโลกใบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนคิดว่าความตายคือหนทางพ้นทุกข์ แต่ที่จริงแล้ว ก่อนที่เราจะตาย เราจะต้องทุกข์ถึงกี่ครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะหาทางพ้นทุกข์ให้กับตัวเองได้หรือไม่ ก็ต้องอยู่ที่ว่า เรารู้แล้วหรือยังว่าความทุกข์คืออะไร
มีใครตอบได้ไหม (รู้เกิดจากความรู้สึกซึ่งอาจจะหมายถึงความรู้สึกจากข้างใน เช่น นึกถึงตัวเอง ก็คือทุกข์มาจากการที่คิดมาก คล้ายๆ กับมีหลายๆ เรื่องที่เราอยากจะเรียงลำดับก่อนหน้าหลัง บางทีอยากจะนำเรื่องข้างหลังมาไว้ข้างหน้า เพราะว่าอาจจะต้องทำก่อน แต่อย่างไรก็ตาม พอคิดไม่ออกก็จะเป็นทุกข์)  ทุกข์เพราะคิดไม่ออก แต่อาจารย์ว่า ศิษย์กำลังสับสนมากกว่า (ก็อย่างที่แจ้งไป เรื่องข้างหลังเราจะเอามาไว้ข้างหน้าก่อนจะดีไหม)  เราก็ต้องดูตามสถานการณ์และดูตัวเรา ว่าเรื่องไหนควรจะทำก่อน ทำหลัง เรื่องไหนสำคัญก่อน เรื่องไหนต้น เรื่องไหนปลาย ถ้าลำดับไม่ถูกไปเอาปลายมาขึ้นต้น เราก็เป็นทุกข์ ไปเอาเรื่องรองมาเป็นเรื่องหลัก เราก็เป็นทุกข์ แต่จริงๆ แล้ว ความทุกข์จริงๆ คืออะไร ส่วนใหญ่คนมักจะมองว่า ความผิดหวัง ความกลุ้มกังวล ความไม่ได้ดั่งใจคิด หรือการโดนว่า การสูญเสีย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่อาจารย์พูดมาล้วนคือความทุกข์ พูดง่ายๆ ทุกข์ก็คือ ความเสียใจ ร้องไห้และกลุ้มกังวล สุขคือ รอยยิ้ม โดยส่วนใหญ่บอกว่า โดยปกติทั่วไปความคิดเราเป็นอย่างนี้ เราเลยเชื่อมั่นว่า ทุกข์คือแบบนี้
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม “ถ้าวางใจผิด คิดผิดก็จะผิดตั้งแต่ต้นจรดปลาย แต่ถ้าวางใจถูก มองเห็นความคิดได้ถูก จากวุ่นวายก็กลายเป็นเรื่องสงบ ถ้าวางใจผิด คิดผิด เรื่องธรรมดาก็กลายเป็นวุ่นวาย แต่ถ้าวางใจถูก มองเห็นความคิด เรื่องวุ่นวายก็กลายเป็นเรื่องสงบ” อย่างนั้นความทุกข์ของอาจารย์แปลว่าอะไร ใครจำได้ (ทุกข์คือ การ
ยึดมั่น ถือมั่น)  ทุกข์เพราะไม่รู้จักปล่อยวางใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่เราจะมารู้ว่าทุกข์คืออะไร สมมติว่าอาจารย์เป็นคนๆ หนึ่งที่มีเรื่องไม่ค่อยพอใจคนนี้ และอาจารย์ก็อยากจะเอาคำพูดที่อาจารย์เกลียดไม่ชอบคนนี้ ไประบายให้ใครก็ได้ที่เราเกลียดที่เราไม่ชอบ ถ้าสมมติว่าความทุกข์นี้คือแอปเปิล และสิ่งที่ทุกข์นี้อาจารย์อยากจะโยนให้ใครสักคน สมมติว่าอาจารย์โยนแอปเปิลออกไปในชั้นโดนนักเรียนในชั้น ถามว่าคนที่โดนเจ็บไหม (เจ็บแต่ว่าเราไม่ยึดไม่ถือมั่น ไม่เอามาเป็นอารมณ์)  อย่างนั้นอาจารย์กำลังจะบอกศิษย์นะว่า เหมือนตอนนี้ความทุกข์เป็นเหมือนแอปเปิล เขากำลังขว้างมาหาเรา ทำไมเราไม่หลบ แล้วทำไมตกแล้วยังเก็บมาอีก เจ็บแล้วยังถืออีก แล้วอาจารย์ปาไปกี่ทีก็ยังมีคนรับอีก ถ้าทุกข์นี้คือแอปเปิล และอาจารย์กำลังอยากเอาทุกข์ไปให้คนนี้ (อาจารย์ก็เมตตาโยนแอปเปิลไปให้นักเรียนในชั้นคนหนึ่ง)  รับไหม (ไม่รับ)  ทำไมไม่หลบ แล้วไม่เก็บแอปเปิลใช่ไหม (ไม่เก็บ)  อาจารย์จะบอกว่า นักเรียนคนนี้ทำได้ดีอย่างหนึ่ง ทุกข์บางอย่างหลบได้ แต่บางอย่างหลบไม่ได้
อาจารย์อยากยกตัวอย่างง่ายๆ เลยนะศิษย์ ตอนนี้เหมือนศิษย์อยู่กับผู้คนในโลก เราหนีไม่ได้คือเรื่องโดนคนว่า หนีไม่ได้เรื่องความผิดหวัง เราหนีไม่ได้จากความพลัดพราก เราหนีไม่ได้จากความเจ็บปวด เมื่อมันมาถึงตัวบางอย่างมันหนีได้ไหม บางอย่างหลบได้ก็หลบ แต่ถ้าบางอย่างหลบไม่ได้ หนีไม่ได้ เราจะทำอย่างไร เหมือนที่อาจารย์ยกตัวอย่าง ถ้าแอปเปิลคือความเกลียดที่เขากำลังโยนใส่เรา ศิษย์โดยส่วนใหญ่หลบไหม ไม่หลบ รับมาเต็ม แล้วถ้าความเกลียดนี้สมมติเป็นขี้ อาจารย์ถามว่าถ้าเป็นขี้ ศิษย์เก็บไหม (ไม่เก็บ)  ยกตัวอย่าง เขาปาขี้มา ศิษย์บอกไม่เก็บ แต่ในใจคิดว่า ทำไมเขาด่าฉัน ศิษย์ไม่เก็บแต่ศิษย์หยิบขึ้นมาดูแล้วก็ดมด้วย แล้วก็คิดว่า ทำไมเขาด่าฉัน เขาดีกว่าฉันหนักหนาหรือ ศิษย์บอกไม่เก็บ แต่ศิษย์เก็บ เก็บแล้วดม ดมเสร็จก็เล่นขี้ จริงไหม (จริง)  เล่นอย่างเดียวไม่พอ แต่เพิ่มขี้ให้มันมากขึ้นอีก เขาด่ามาก้อนเล็กๆ แต่ศิษย์เพิ่มให้มันมากขึ้นไปอีก ด่าฉันทำไม แกดีกว่าฉันหนักหนาหรือ มีดีอะไรมาด่าฉัน อย่างนี้เรียกว่าเพิ่มขี้ไหม (เพิ่ม)  เพิ่มแล้วเก็บไหม (เก็บ)  พอด่าแล้วเหนื่อย แล้วก็เก็บไว้ก่อน พอสักพักเห็นหน้าเขา ก็ควักขี้มา แกดีกว่าฉันหนักหนาหรือ แหมทำเป็นมองหน้า จริงๆ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับฉันหนักหนาหรอก ถูกไหม (ถูก)  เก็บขี้ขึ้นมา ดมแล้วก็ด่า แล้วก็เพิ่มขี้ แล้วก็เก็บ เมื่อพบเพื่อนก็แบ่งขี้ให้เพื่อน ก็เล่าว่า มันนิสัยอย่างนั้นอย่างนี้ มันแย่มากๆ แกเอาไปหน่อยนะขี้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราแบ่งต่ออีกไหม (แบ่ง)  ในเมื่อรู้ว่ามันไม่ดี จะเก็บมันทำไม เก็บแล้วดมไหม (ดม)  ดมแล้วเพิ่มไหม (เพิ่ม)  เพิ่มแล้วแบ่งไหม (แบ่ง)  แบ่งอย่างเดียวไม่พอ ถึงขนาดว่างก็ควักแล้วเอาขี้ปาใส่เขาต่อ ใช่ไหม (ใช่)  นี่เรียกว่าวัฎจักร วัฎจักรของการเวียนว่ายที่เรียกว่า กิเลส เมื่อกิเลสเกิดก็เกิดกรรม เมื่อเกิดกรรมก็เกิดวิบากกรรม เมื่อเกิดวิบากกรรมก็เกิดการจองเวรจองกรรม เพราะเราแค่เก็บขี้ขึ้นมาดม
ฉะนั้นการที่เรานำขี้ไปแบ่งเขา คือการนินทา การเก็บขี้ไว้ คือการจำไม่ลืม การเพิ่มขี้ คือการนึกถึงแล้วก็ปรุงแต่งแล้วก็ใส่ร้ายป้ายสี แล้วพอทนไม่ได้ควบคุมกิเกสกองขี้นี้ไม่ได้ ว่างๆ ก็เอาขี้นี้ปาใส่เขาเลย จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะสร้างวัฎจักรแห่งการเวียนว่ายนี้ไปอีกถึงเมื่อไร ฉะนั้นจงหยุดตั้งแต่ เมื่อเขาปา เราก็ (หลบ)  ศิษย์เคยได้ยินประโยคที่ว่า
“ถ้าเขาให้ของเรามา เราไม่แบมือรับ ของนั้นมันก็จะกลับคืนสู่เจ้าของไป” ไม่ต้องหลบ ให้ยืนเฉยๆ นิ่งๆ ไม่รับ ไม่สู้ ไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง เพราะว่าถ้าหลบ แปลว่าเรื่องจริง จึงต้องหลบ นี่คือวิธีการจัดการความทุกข์ด้วยการมีสติ ไม่ขาดสาย เมื่อความทุกข์มา เราก็ยืนเฉยๆ ไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง
ไม่เก็บมาไว้ เดี๋ยวมันก็จะหายไปตามกาลเวลา ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราไปเก็บขี้ก้อนนี้มาทำไมหรือ
บางครั้งชีวิตก็เป็นแบบนี้นะศิษย์ อย่าปล่อยให้ความทุกข์แค่เรื่องหนึ่ง มาฆ่าความเป็นจริงแห่งชีวิตทั้งชีวิต คนบางคนแก่ไม่ได้ ดำไม่ได้ เหี่ยวไม่ได้ต้องสวยอย่างเดียว พอโดนคนอื่นว่า ทุกข์ไหม (ทุกข์)  อย่าให้ความทุกข์แค่ช่วงขณะหนึ่ง มาทำให้ชีวิตเราต้องตายไปทั้งชีวิต เพราะชีวิตเรานั้นเปลี่ยนได้เรื่อยๆ เหมือนที่อาจารย์บอกไปเมื่อสักครู่ ถ้าสมมติศิษย์มาชอบอาจารย์ แต่อาจารย์บอกว่าวันนี้อาจารย์เบื่อคนขาว อาจารย์ชอบคนดำ ศิษย์ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ตัวเองดำ ถ้าอาจารย์เบื่อคนผอมชอบคนอ้วน ศิษย์ก็ต้องเปลี่ยนให้ตัวเองอ้วน ฉะนั้นเวลาศิษย์เจอความทุกข์ ความทุกข์นั้นก็แค่ชั่วขณะหนึ่ง เรื่องๆ หนึ่งเป็นแค่ตอนนี้ แต่ชีวิตทั้งชีวิตยังต้องก้าวเดินไป อย่าให้เหตุการณ์แค่ขณะหนึ่งของชีวิต มาฆ่าเราทั้งชีวิต บางคนแค่อกหักอย่างเดียวตายเลยได้ไหม ถ้าเกิดวันนี้รถมอเตอร์ไซด์ล้มหน้าแหว่ง รับไหวไหม (ไหว)  ฉะนั้นอย่าให้เรื่องทุกข์แค่เรื่องเดียวมาทำให้ชีวิตศิษย์ต้องตายทั้งเป็นทั้งชีวิต เพราะชีวิตคือสิ่งที่เรียกว่า “เปลี่ยนแปลง ก้าวเดิน”  ฉะนั้นเหตุการณ์ในขณะที่เราก้าวนั่นก็แค่เรื่องหนึ่งของหนึ่งก้าว นั่นก็แค่เรื่องหนึ่งของชีวิต แต่ยังไม่ถึงที่สุด ฉะนั้นศิษย์อย่าเอาแค่เรื่องเดียวมาทำให้ชีวิตต้องตาย และอย่าทำให้ชีวิตแค่ก้าวเดียวที่เราทุกข์นี้ต้องทุกข์ไปทั้งชีวิต เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมา 4 คน)
อาจารย์ถามหน่อยนะ นักเรียนในชั้นสี่คนนี้ ใครบ้างที่ไม่กลายเป็นที่หนึ่งแล้วก็ต้องเป็นที่โหล่ ไม่มี แล้วในสี่คนนี้ ใครบ้างที่มีทุกข์แล้วไม่มีสุข ไม่มี แล้วในสี่คนนี้ใครบ้างที่โดนชมแล้วไม่โดนด่า ไม่มี ในเมื่อนั่นเป็นธรรมดาของชีวิต แล้วศิษย์กำลังทุกข์อะไรไปกับความเป็นธรรมดาของชีวิต และชีวิตกำลังทุกข์อะไรกับเรื่องหนึ่งของชีวิต หรือทุกข์อะไรกับส่วนหนึ่งที่เรียกว่าชีวิต หัวล้านได้ไหม ดำได้ไหม อ้วนได้ไหม (ได้)
ถ้าศิษย์ไม่อยากมีความทุกข์ในโลกนี้ อย่างแรกอย่าเก็บขี้ อย่างที่สองจงมองว่า ในสิ่งที่เขาว่าขี้ๆ นั้นก็คือความจริงที่อยู่ในตัวเรา ศิษย์จะเกลียดมากขนาดไหน ขี้ก็คือความจริงที่อยู่ในตัวเรา และเป็นความจริงที่เราไม่เอาแล้ว ดูดซับประโยชน์ออกมาเต็มที่แล้ว ถึงปล่อยมันทิ้ง ถึงแม้จะเป็นความทุกข์ ก็ดูดซับมันให้เต็มที่แล้วค่อยเขี่ยมันทิ้ง เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต มันหาใช่ทุกข์จริงๆ ไม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทุกชีวิตต้องเจอ และเป็นเรื่องปกติอันเป็นเรื่องธรรมดา หรือเรียกว่า “ธรรมชาติ” เรียกอีกอย่างหนึ่งที่คนเข้าถึงคือ “ธรรมะ” (ถ้าต้องอยู่กับความทุกข์ไปนานๆ)  ก็เพราะศิษย์เห็นว่ามันเป็นทุกข์ แต่พุทธะไม่เคยว่านั่นคือทุกข์ เห็นมันคือความจริง พอเจอความจริง ศิษย์ก็เลยคิดว่า อะไรคือตอนต้น โดนด่าหรือผิดหวัง และเจ็บปวดไม่ได้ พอพูดคำว่า ไม่ได้ เวลามันมาก็เลยทุกข์ ทั้งที่จริงๆ ทุกข์มีหน้าตาไหม ทุกข์มีลักษณะที่แท้ไหม ทุกข์ของศิษย์ใช่ทุกข์ของเขาไหม ทุกข์ของเขาใช่ทุกข์ของศิษย์ไหม แล้ว
ใช่ทุกข์ไหม (ใช่)
อาจารย์จะบอกให้ คำว่า “ทุกข์” ในความหมายของพระพุทธะ
ที่ต้องการจะเพียรสอนให้มนุษย์ทุกคนรู้จริงๆ แล้ว ทุกข์คือสิ่งที่
ทนได้ยาก อะไรที่ทนได้ยาก อันนั้นคือความทุกข์ ทุกข์ไม่ได้แปลว่า เหงา เศร้าสร้อย หรือตาย ไม่ใช่นะ แต่ทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก พระพุทธะ เรียกอีกอย่างว่าความไม่เที่ยง เพราะในสิ่งที่ทนได้ยากนั้นคือสิ่งที่ไม่เที่ยง แล้วในสิ่งที่ไม่เที่ยงและทนได้ยาก ก็เป็นสิ่งที่ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง เรียกว่า “ลักษณะแห่งธรรมที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว” และถ้าเมื่อใดมนุษย์เข้าใจธรรมนี้ มนุษย์ก็จะพ้นทุกข์ แล้วสิ่งที่ทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น ที่ทนได้ยาก ไม่เที่ยงแล้วหาความเป็นตัวตนไม่ได้นั้น อยู่ในไหน นี่คำพูดคน แอปเปิล เก้าอี้นั่ง ตัวของศิษย์ พัดลม ใช่ไหม (ใช่)  มีหมดทุกอย่าง มันมีความทนได้ยากอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณสิบปี จะยังเหลือคราบพัดลมไหม ห้าปีสิบปีผ่านไปจะยังเหลือคราบความเต่งตึงไหม (ไม่เหลือ)  ผ่านไปยี่สิบปีจะเหลือคราบความเป็นคนไหม (เหลือ)  แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวศิษย์ ที่ศิษย์รักหนักหนา ใครก็ว่าไม่ได้ ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เจ็บไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ จริงๆ แล้วมันกำลังทุกข์อยู่ มันกำลังไม่เที่ยงอยู่ แล้วกำลังหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ เคยเห็นบ้างไหม (ไม่เคย)  แล้วก็ไปยึดติดกับมันว่า ของฉัน ตัวฉัน ตัวมัน ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันบอกอยู่ทุกวันว่า มันไม่ทน ไม่เที่ยง หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้
ฉะนั้นพระพุทธะ จึงสอนไว้ว่า เมื่อมันไม่เที่ยง ไม่ทน และหาตัวตนไม่ได้ ควรหรือที่มนุษย์จะยึดมั่นว่า ตัวเรา ของเรา ควรไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นจึงมีคำสอนว่า ใดๆ ในโลกไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  เป็นอะไร เป็นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงแล้วเราควรเป็นไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากสอนศิษย์ว่า เมื่อไรที่ทุกข์เข้ามา จงใช้สติด้วยความนิ่ง มองความทุกข์ด้วยการไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง ไม่หนี ไม่สู้ แค่มองดูเฉยๆ แล้วความทุกข์หรือกิเลสที่มารุมเร้าจะกลับกลายเป็นกลางและว่างเปล่าไปในที่สุด เหมือนที่อาจารย์บอกว่าเกิดเป็นคนโกรธได้ โลภได้ อยากได้ แต่เมื่อโกรธ โลภ เข้ามาก็มองให้เห็นมันก่อนที่จะเป็นเด็กดีวิ่งตามมันไป เมื่อความโกรธมา ก็ให้เห็นว่าโกรธ แต่ฉันไม่โกรธ มีความอยาก แต่ฉันพยายามไม่อยาก พออยากไปก็ไม่ได้ดี แล้วก็เหนื่อย สวยมากกว่าคนอื่น แล้วดีอย่างไร รวยมากกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายก็ตาย ไม่ต่างกัน โลภ โกรธ หลง มากไปกลายเป็นกิเลส วิบากกรรมและวัฏฏะเวียนว่าย อย่างนั้นก่อนจะโลภ โกรธ หลง เห็นมันก่อนที่จะวิ่งตามมันไปไหม
อาจารย์ถามจริงๆ ปกติเราเป็นเด็กดีไหม (ดี)  ใครพูดอะไรเชื่อหมดเลย ใช่ไหม ไม่ใช่ เมื่อเวลาความอยากมา ความโกรธมา ความทุกข์มา ทำไมศิษย์เป็นเด็กดี ทุกข์มาก็ทุกข์ โกรธมาก็โกรธ เคยแย้งกับสิ่งเหล่านี้บ้างไหม ไม่เคย ก่อนมันมาเห็นมันให้ชัด ก่อนจะเชื่อและตามมันไป ดูให้รู้แท้ก่อนจะวิ่งไปตามกิเลสและก่อเกิดเป็นวัฏจักรแห่งการเวียนว่าย ด้วยการมีสติและนิ่ง เจออะไรก็ตามที่มากระทบทางตา หู จมูก ถ้ามันกลายเป็นความอยากแล้วต้องฆ่าเขา แล้วต่อก่อกรรม ก็อยากให้น้อยๆ หน่อย ดีไหม ถ้าฟังแล้วโมโห เกิดความเกลียดเขา แล้วก่อเวรก่อกรรม จองเวรจองกรรม ก่อนไปเกลียดมองให้เห็นชัดๆ ดีไหม (ดี)  ถึงจะเรียกว่า บำเพ็ญด้วยสติปัญญา หาใช่บำเพ็ญด้วยความรู้สึก ทำยากไหม เมื่อใดที่โดนกระทบก็แค่มีสติ
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมเจี่ยงซือพื้นที่)
อาจารย์ต้องขอบคุณใคร เหนื่อยไหม เป็นลูกศิษย์อาจารย์ต้องยิ้มง่ายๆ ไม่แบกทุกข์ไว้กับตัวเอง อะไรก็สู้ อะไรก็ไหว อุตส่าห์ทำได้แล้ว ต้องทำให้ได้ดี อาจารย์ก็ขอบคุณที่เสียสละมา ทางบ่อพลอยที่มาช่วยด้วยนะ อาจารย์ให้รางวัลส่วนเกิน ขอบคุณในความเสียสละและความตั้งใจอันดี อาจารย์ถามคนพื้นที่ดีไหม เหนื่อยไหมกับการส่งเสริมญาติธรรม ลำบากไหม ที่มาช่วยเตรียมงาน เหนื่อยไหม ลำบากไหม กว่าจะส่งเสริมได้ ยากใช่ไหม (ไม่ยาก)
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถามคนพื้นที่ ห้องพระอยู่ตรงนี้ ลำบากมากไหม (ไม่ลำบากครับ/ค่ะ)  ไม่ต้องฝืนใจ อาจารย์แค่อยากรู้ใจ จริงๆ อาจารย์ก็อยากถามผู้ปฏิบัติงานธรรม ลำบากไหม เหนื่อยไหม พูดมาตามตรง (ไม่ลำบาก ไม่เหนื่อย)  เพราะอาจารย์ก็รู้ว่า บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องยาก แล้วถ้ายังต้องเพิ่มความยากให้ศิษย์เหนื่อยขนาดนี้ ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ก็รู้ความตั้งใจของศิษย์ แต่บางครั้ง ถ้าแรงเท่ากัน แต่ไปทำอีกที่หนึ่งให้มันได้มากกว่า ทำไมไม่เอาแรงนี้ไปส่งเสริมที่อื่น ทำไมเอาแรงเท่านี้ แล้วต้องมากกว่านี้ เพื่อให้ลงตรงนี้ ถ้าใช้แรงเท่านี้แล้วเราสามารถส่งเสริมได้หลายที่ แต่ถ้าตรงนี้ ต้องใช้มากกว่านี้ ทำไมเราไม่เอาสิ่งที่อยู่ตรงนี้ไปที่ที่อื่น เพื่อจะได้กระจายไม่จมอยู่กับแค่ตรงนี้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ศิษย์อยากไปอยู่ที่ไหนอยู่ที่ตัวศิษย์ พื้นที่และกับคนที่ร่วมประสานงาน จำไว้นะ การทำงานธรรมะนั้น ฟ้ากับมนุษย์ร่วมกัน ฉะนั้นถ้าฟ้ารู้ว่าฝืนขนาดนี้ เหนื่อยขนาดนี้ หัวอกของอาจารย์มันเจ็บนะ ถึงงานจะออกมาดี สมบูรณ์ ใช่อาจารย์ชม แต่เหนื่อยนะศิษย์ แล้วทำไมต้องเหนื่อยขนาดนี้ สู้มาส่งเสริม หรือจัดชั้นเรียนเล็กๆ หรือจัดชั้นอะไรก็ได้ที่สนุกสนานเบิกบาน เป็นการเหมือนพาเขามาผ่อนคลายในที่ที่นี้ก็ได้ แต่ไม่จำเป็นจะต้องประชุมอย่างเดียว รถกี่คัน
เงินเท่าไร คนเท่าไร ศิษย์ไม่เหนื่อยหรือ อาจารย์ชี้แล้ว แนะแล้วแต่ไม่เชื่อ อาจารย์ไม่อยากให้เขาลำบากด้วย อาจารย์รู้ว่าศิษย์ก็ลำบาก เขาก็เหนื่อย ศิษย์ก็เหนื่อย อาจารย์ก็รู้ แต่อาจารย์อยากถามเขา เพราะมันไม่ใช่แค่ศิษย์คนเดียวนะ งานฟ้ามันต้องทุกคน ไม่ใช่ศิษย์สร้างกุศลคนเดียว แต่มันต้องทุกคน ไม่ใช่ศิษย์แบกคนเดียวแต่มันต้องทุกคน นี่ถึงจะเรียกว่างานฟ้า แต่ถ้าอะไรก็ศิษย์ อะไรก็ศิษย์ นั่นคืองานของศิษย์ ไม่ใช่งานฟ้า ใช่ไหมศิษย์ แล้วทำไมเรายังต้องฝืน
อาจารย์ว่าเก็บที่นี่ไว้เป็นที่สำหรับการส่งเสริม มีกิจกรรมเล็กๆ หรือกิจกรรมพาเขามาเที่ยว อาบน้ำแร่แช่น้ำนม อะไรของศิษย์ทำไปเลย
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมฐันจู่)
มาเปลี่ยนบรรยากาศในการบำเพ็ญธรรม เรามาฟังธรรมะพอฟังเสร็จ เรายังพาเขามาเที่ยวมาสันทนาการ มาส่งเสริมกิจกรรม มาเล่นสนุก ถือเป็นที่ที่หนึ่งที่ห้องพระเราเป็นรีสอร์ท พักได้ แต่ถ้าต้องประชุมธรรมหาที่ที่มันพร้อมกว่านี้ดีไหม (ถ้าไปบ่อพลอย)  อยู่ที่ตัวศิษย์ทุกคน ถ้าที่พร้อมก็จัด คนพร้อมก็จัด ไม่ใช่แค่ที่แต่คนไม่มี ทุกอย่างต้องอาศัยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ใจเขาไปด้วยไหม มีที่ มีคน แต่ไม่มีใจก็ไม่เอา มันต้องมีที่ มีคนและมีใจไปด้วย แต่ไม่ใช่มีที่คนก็ไม่ค่อยมีใจก็ไม่ค่อยมี บำเพ็ญธรรมมันต้องบำเพ็ญด้วยใจที่ใช้สติปัญญา ไม่ใช่ใช้ใจล้วนๆ
อย่างเดียวศิษย์ เหนื่อยไหม อาจารย์อยากตีศิษย์จริงๆ เลย เหนื่อยขนาดนี้ ลำบากขนาดนี้ก็ยังบอกไม่เหนื่อย แต่ก็แอบบ่นแอบตัดพ้อใช่ไหม ไม่เป็นไรนะศิษย์เอ๋ย อาจารย์เห็นอาจารย์ก็เหนื่อยแทนนะ คิดให้ดีๆ ก่อนจะจัดงานประชุมธรรม เราพูดไม่ใช่พูดเพราะว่าเราเห็นแก่ตัว เราพูดเพราะไม่ใช่เราไม่สู้ แต่เราพูดเพื่อเป็นตัวแทนแห่งความคิดของทุกคน และความเป็นไปได้ที่จะจัด ฉะนั้นสิ่งใดควรพูดก็พูด แต่พูดด้วยความเป็นกลาง ไม่ใช้อารมณ์ นั่นแหละเรียกว่า บำเพ็ญธรรมแล้วรู้จักพูด ไม่ใช่ฝืน จำที่อาจารย์พูดไว้นะ อย่าฝืนนะศิษย์ บางเรื่องฝืนได้แต่คนบางคนฝืนไม่ได้ ถ้าฝืนแล้วเขาบำเพ็ญด้วยความไม่สุข จะไปทดสอบเขาทำไม (ที่บ้านเขาก็มีที่หนึ่ง แต่ว่ายังไม่มีสถานที่และยังไม่มีคน)  นั่นแหละที่อาจารย์ก็อยากจะบอกศิษย์ ถ้าไปลงแรงอีกเขาก็ยังมีอีกที่หนึ่งที่ยังทำไม่เสร็จ แล้วเงินเราก็มีน้อย จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่ได้ต้องการห้องพระใหญ่ สิ่งสำคัญคือส่งเสริมเขาเปลี่ยนแปลงจิตใจ ประชุมธรรมคือแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ประชุมธรรมคือความเข้าใจที่แน่นหนัก แต่แน่นหนักแล้วใช่ว่าเขาจะมาหรือไม่มามันก็เท่ากัน สิ่งสำคัญคือตัวเรามีใจส่งเสริมเขาต่อเนื่องไหม ห้องพระใหญ่หรือเล็กไม่สำคัญสำหรับอาจารย์ เอาไปที่ไหนก็ได้ ถ้ามีใจเอาไปที่ไหนเขาก็ไป แต่ไม่มีใจแม้เขาอยู่บ้านเราก็ไม่มีใจ ห้องพระไม่สำคัญสำหรับอาจารย์ สิ่งสำคัญคือการส่งเสริมเปลี่ยนแปลงจิตใจคน นี่คือหลักสำคัญในการบำเพ็ญธรรม ส่งเสริมเปลี่ยนแปลงจิตใจคน และกล่อมเกลาจิตใจเราให้ลดอัตตาตัวตนลดกิเลส ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วกิเลสเยอะ อยากเยอะไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ
(เข้าใจ)  จะได้ไม่เหนื่อยทั้งด้านหน้า หลัง ซ้าย ขวา ธรรมะไม่มีกฎตายตัว
ถ้าพร้อมส่งเสริมก็เป็นชั้นเรียน แต่ถ้าตอนนี้ไม่พร้อมก็ยังคงเป็นส่งเสริม เอาบ้านเขาดีกว่า ส่งเสริมให้เต็มที่ จัดชั้นให้เต็มที่ กับสองที่นี่เอาให้เต็มที่เลย ไม่ใช่มาเต็มที่ที่นี่ พอหมดแรงส่งเสริม ญาติธรรมไม่ได้ต้องการแค่วันเดียวแล้วดีแตก แต่เขาต้องการทุกๆ วัน น้อมนำจนเกิดการเปลี่ยนแปลง มีใครบ้างประชุมธรรมแล้วมาไม่ขาดสาย มีน้อย ต้องเกิดจากการที่เราส่งเสริมไม่ขาดสาย หลักบำเพ็ญธรรมต้องเข้าใจให้ถูก
ศิษย์เอ๋ยศึกษาบำเพ็ญเพื่อกล่อมเกลาเปลี่ยนแปลงจิตใจตัวเองให้ดีแล้วดียิ่งขึ้น ให้ดีแล้วยิ่งมั่นคงในความดีงาม คนเราจะดีได้ก็ต่อเมื่อไม่มีความทุกข์ คนเราจะดีกันได้ จะสร้างความดีออกจากใจได้ ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ศึกษาธรรมเข้าใจความทุกข์อย่าง
แจ่มแจ้ง มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด เมื่อเราไม่มีความทุกข์
อยู่กับใครก็มีแต่สร้างความสุข การดับทุกข์ อาจารย์ก็บอกแล้วว่า ความทุกข์มาจากไหน เราจะรับมืออย่างไร ส่วนสาเหตุแห่งทุกข์มีอะไรบ้าง
แล้วจะทำอย่างไรที่จะแก้สาเหตุ อาจารย์จะได้บอกว่า ทุกข์มีสาเหตุ
มาจากที่ไหน อยากรู้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานธรรม อ.โพธาราม)
อาจารย์ไม่ถามศิษย์เพราะศิษย์ยังไม่นิ่งพอ ถ้ายังนิ่งไม่พอก็ยังช่วยใครไม่ได้ เพราะตัวตนเองเรายังไม่นิ่ง ยังมีความเปลี่ยนแปลง ยังมีความไม่แน่นอน ที่ไม่ใช่เกิดจากตัวศิษย์เองกำหนดตัวเอง แต่ศิษย์ปล่อยชีวิตไปตามชะตาที่ฟ้าให้ ถ้าฟ้าปล่อยราบรื่นศิษย์ก็ปล่อยไปราบรื่น ศิษย์ไม่เคยฝืนใจตัวเองบ้างเลย สิ่งสำคัญเรือลำนี้อยู่ที่ศิษย์กับคนข้างเคียงศิษย์
จะไปได้ไม่ได้ อยู่ที่ตัวศิษย์นะ มุ่งมั่นศรัทธา เด็ดเดี่ยวไม่ท้อถอย ถ้าทำได้อาจารย์ยินดีให้ชื่อ แต่ถ้าทำไม่ได้ อาจารย์ไม่ให้นะ ตกลงพร้อมไหม ลำบากอย่างไรไม่ท้อ เพียงแต่มีใจหนึ่งเดียวเพื่อช่วยผู้คน เสียสละ อุทิศเพื่อประชา ทำให้ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมว่า เอินเต๋อ 恩德佛堂)
แล้วพร้อมหนักแน่นเมื่อไรจึงค่อยมารับ ต้องขอบคุณคนช่วยส่งเสริมด้วยใช่ไหม ฝากไปให้คนช่วยส่งเสริมศิษย์ด้วย เอาไหม ฝากไปให้แฟนด้วย
อยู่ด้วยกันทำอะไรต้องรับผิดชอบให้ดีนะ คิดอะไรให้รอบคอบ อย่าใช้อารมณ์นะ เอาให้เขาบ้างศิษย์ (แบ่งกัน)  เหมือนที่เมื่อวานเซียนน้อยบอกว่า จิตที่รู้จักสำนึกคุณ ขอบคุณในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะทำให้เรามีจิตใจแห่งมหาเศรษฐี ไม่ว่าจะพบเรื่องอะไรก็ขอบคุณ ขอบคุณฟ้าดินที่ให้โอกาส ขอบคุณฟ้าดินที่ให้เราได้เรียนรู้ ขอบใจขอบคุณในความมุ่งมั่นตั้งใจนะศิษย์เอ๋ย น้อยใจไหม (ไม่น้อย)  โดยส่วนใหญ่ สาเหตุที่มนุษย์เรายังอดทุกข์ไม่ได้ ก็คือความคาดหวัง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็หวังว่าเขาจะเข้าใจ หวังว่าเขาจะเป็นดั่งใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)  อาจารย์ถามจริงๆ นะศิษย์ว่า มีใครพูดได้ดั่งใจเรา มีใครทำได้ดั่งใจ มีใครเป็นได้ดั่งใจเราบ้าง มีไหม (ไม่มี)  แล้วทำไมเรายังหวังอย่างใจเราอีก จริงไหม (จริง)  แล้วก็ชอบหวังว่า เขาจะต้องเป็นอย่างนี้ เขาจะต้องได้อย่างนี้ เขาจะต้องดีอย่างนี้ แล้วก็ให้เหตุผลในการยืนยันความหวังของตัวเองว่า ฉันหวังดี
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกัน ทำไมเราอยู่ร่วมกันแล้วไม่มีความสุข เพราะเราเอาความคาดหวังไปไว้กับเขาหรือเปล่า เราเอาบรรทัดฐานของเราไปวัดกับเขาหรือไม่ จึงทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสุขไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากไม่ทุกข์ อย่าเอามาตรฐานของเราไปวัดผู้คน อย่าให้ผู้คนเป็นดั่งใจเรา เพราะมันเป็นไปไม่ได้ จริงไหม (จริง)
มีใครพูดดั่งใจไหม มีใครทำได้ดั่งใจไหม มีใครเป็นดั่งหวังไหม
(ไม่มี)  แล้วเราหวังไหม (หวัง)  เพราะเหตุผลคือเราหวังดีกับเขา ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ร่วมกันอย่างมีสุข จงยอมรับในความเป็นธรรมชาติของทุกๆ สิ่ง และความสุขจะปรากฏอยู่ตรงหน้า ความทุกข์จะจางหายไปในทันที หรือเรียกง่ายๆ ก็คือ อยากมีสุขสิ่งที่สั้นอย่าทำให้มันยาว สิ่งที่ยาวอย่าพยายามตัดให้มันสั้น ไม่อย่างนั้นเราจะทุกข์ เขาได้แค่นี้เราก็ต้องแค่นี้ อย่าพยายามหวังดีเลย หวังไปก็เหนื่อยเปล่า และอีกสาเหตุหนึ่งเรื่องสุดท้าย มนุษย์ทุกข์เพราะชอบเปรียบเทียบ เราชอบบอกว่าเมื่อก่อนมันไม่เป็นแบบนี้ เมื่อก่อนหน้ามันดีกว่านี้ เมื่อก่อนเราได้มากกว่านี้ ในเมื่อมันกลายเป็นเมื่อก่อนแล้ว เมื่อก่อนมันเรียกอะไรได้ไหม มันเรียกได้แต่ตอนนี้ แล้วตอนนี้เรียกได้ไหม ก็แทบจะไม่ได้แล้ว ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าอยู่กับเมื่อก่อน และอย่ามัวแต่วาดหวังและไม่อยู่กับความจริง แล้วศิษย์จะได้ไม่ทุกข์ อย่าใช้ความรู้สึกนะศิษย์ จงมีชีวิตอยู่ด้วยการใช้ธรรม จะมีธรรมได้ก็ต่อเมื่อมีสติ ทำอะไรด้วยสติ เพราะสติไม่มีวันเหนื่อย ไม่มีวันล้า ไม่มีวันท้อ ไม่มีวันถอย สติและความนิ่งจะทำให้เรามองทุกสิ่งด้วยความเป็นจริง ไม่ปรุงแต่งไม่ให้ค่า มองให้มันเห็นแล้วความคิดความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากร้ายๆ จะกลาย
เป็นกลาง และจากกลางจะกลายเป็นไม่มี ด้วยการที่เราไม่ปรุงแต่ไม่ให้ค่ามัน
จำไว้นะอยู่ในโลกนี้อย่าเก็บขี้มาไว้กับตัว มองให้เห็นว่าอะไรเป็นขี้ ไม่อย่างนั้นแล้วศิษย์จะเผลอหยิบขึ้นมาดม และปรุงแต่ง แล้วก็โยนให้คนอื่นดม ถูกไหม ไม่ถูกนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า
“ใช้ธรรม นำชีวิต”)
มีโอกาสก็กลับมาสถานธรรมอีกนะ มีโอกาสเรามาศึกษาบำเพ็ญ เพื่อนำพาชีวิตตัวเองจะได้ไม่หลง มัวหลงกับโลกใบนี้ โดยไม่มอง
ความจริงก็น่าเสียดาย เลิกอบายมุข เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ รู้จักเลือกสิ่งที่ถูกต้อง เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดใช่ไหม อาจารย์รู้ว่า ศิษย์เข้าใจ แต่บางครั้งความกังขายังทำให้เรายังเปิดใจไม่หมด (ถูกต้อง)  ใจเย็นๆ ค่อยๆ ฟัง
มีโอกาสก็กลับมาหาอาจารย์ มาช่วยอาจารย์อีก สัญญาแล้วนะ อย่าปล่อยให้ชีวิตพัดพาตัวเราให้หลงโลก อายุปูนนี้แล้ว เวลาเหลือไม่มากแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญทำกันได้ ใช่ไหม ศิษย์เอ๋ยยังทุกข์อะไรกับโลกที่ไม่เที่ยงอันนี้ มีโอกาสกลับมาบำเพ็ญอีก อย่ามัวหลงแสงสีบนโลก อาจารย์รอศิษย์เสมอ รอวันศิษย์จะกลับมา ขอเพียงศิษย์อย่าหลง มีสติ ทำอะไรรู้จักคิด อย่าเอาแต่อารมณ์
ใจอาจารย์มีให้เสมอ มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญ เข้ามาศึกษาให้ดีนะ ตั้งใจบำเพ็ญ โรคภัยไข้เจ็บเป็นแค่เครื่องทดสอบให้เรารู้จักปลดปลงและปล่อยวาง ไม่ใช่ให้เรายึดมั่นถือมั่น ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  รู้ทุกอย่างแต่ก็ดื้อทุกอย่าง เหนื่อยไหมเรา แล้วห้องพระนี้ศิษย์ทิ้งเขาแล้วหรือ อาจารย์รู้ แต่ห้องพระนี้ใหญ่ ฉะนั้นคนที่ดูแลต้องใจใหญ่ ใจเล็กไม่ได้ ใจต้องใหญ่ ใจต้องกว้าง และต้องให้มากกว่าปกติ ถึงจะใหญ่ได้เท่าห้องพระ ปณิธานใหญ่แต่ใจเล็กไม่ได้ เข้าใจไหม
ยังหวังให้อาจารย์จับอีกหรือ เด็กดื้อของอาจารย์ อาจารย์ไปแล้ว ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ดื้อ ยอมรับว่าเป็นศิษย์ดื้อของอาจารย์ใช่ไหม อุปสรรคใกล้จะหมดแล้วนะ ตอนนี้ก็เหลือแต่สะสมบุญนะ
อย่ายอมแพ้นะ ตั้งใจบำเพ็ญ อย่าอ่อนแอ มั่นคงและเข้มแข็ง
ไหวนะ บำเพ็ญด้วยหัวใจแห่งพุทธะ มีสติรู้จักคิด ไม่ใช้อารมณ์ เข้าใจนะศิษย์เอ๋ย แล้วเราจะได้พบกันอย่างจริงแท้ในความเป็นพุทธะเหมือนๆ กัน ศิษย์มีจิตอันประเสริฐที่เรียกว่าพุทธะซ้อนอยู่ในตัวตน แต่เพราะความโลภ โกรธ หลง บดบังจึงทำให้เราหลงลืมจิตเดิมแท้ หลงลืมหน้าตาเดิมที่เคยสัญญากับอาจารย์ไว้ว่า ไปแล้วจะกลับมา ลืมคำนี้แล้วหรือ กลับมาบ้าง กลับมาเป็นพุทธะ กลับมาเป็นจี้กงน้อยๆ ของอาจารย์นะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ใช้ธรรม นำชีวิต”
วิทยาการก้าวหน้านำชีวิต จนใจจิตหาทางออกไม่พบ
ยิ่งมียิ่งไม่พอยิ่งไม่จบ แม้ดินกลบยังไม่รู้จักตัวเอง
มีชีวิตอยู่แล้วยิ่งหงุดหงิด เพราะยึดติดมองหาแต่ความเก่ง
ศีลธรรมจริยะไม่ยำเกรง คนข่มเหงกันเพราะวัดค่าด้วยเงิน

ใช้ธรรมนำชีวา ไม่บ้าคำสรรเสริญ


อยู่อย่างไม่ขาดไม่เกิน ก้าวเดินด้วยธรรมนำใจ



(พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมฮุ่ยอวี้
จ.ขอนแก่น วันที่ ๑๘ - ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๗)
กลอนหน้า ๑
เดิม มัวยึดหาติดกระทั่งความดี โลภแตกความเก่งโก้ดิ้นรนไล่
แก้ไขเป็น มัวติดหายึดกระทั่งความดี โลภแต่ความเก่งโก้ดิ้นรนไล่
เพลงพระโอวาท หน้า ๑๕
ย่อหน้าที่ ๒
เดิม
* หลักตัวอาจจะตั้งหลายที  ถ้าเฝ้าจะทำแต่ดี จริตจะถอน คิดบำเพ็ญอีกนิด โลกดั่งละคร  ตั้งใจตั้งตนให้ทุกตอน  เรื่องเหมือนเดิมกินนอน  คือเรื่องคนคนคน  เกิดปัญหาเป็นเพราะว่าตัวเรา  ไม่ขลาดเขลาเบาเรื่องตัวตน  อย่าเดินวนวนพูดเรื่องเดิมทั้งวัน
แก้ไขเป็น
* หลักตัวอาจจะตั้งหลายที  ถ้าเฝ้าจะทำแต่ดี จริตจะถอน คิดบำเพ็ญอีกนิด โลกดั่งละคร  ตั้งใจตั้งตนให้ทุกตอน  เรื่องเหมือนเดิมกินนอน  คือเรื่องคนคนคน  เกิดปัญหาเป็นเพราะตัวเรา  ไม่ขลาดเขลาเบาเรื่องตัวตน  อย่าเดินวนวนพูดเรื่องเดิมทั้งวัน
ย่อหน้าสุดท้าย

เดิม
** มีทุกข์หรือสุขไม่ใช่ตัวกำหนด  ไม่มัวนั่งโทษเพราะอะไรแย่กว่ากัน  ทุกทุกสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน  พอรู้ทุกตอน เห็นแจ้งในความแท้จริง

แก้ไขเป็น
** มีทุกข์หรือสุขไม่ใช่ตัวกำหนด  ไม่มัวนั่งโทษเพราะอะไรแย่กว่ากัน  ไม่จำต้องรู้ไปทุกด้าน แพ้ความคิดอ่านเป็นโลกของปัจจุบัน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา