วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

2557-05-31 สถานธรรมหงหยัง จ.เชียงใหม่


西元二一四年歲次甲午五月初三                     仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗  สถานธรรมหงหยัง จ.เชียงใหม่
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

มีความว่างเป็นเพื่อนอันเคยคุ้น มีความวุ่นเป็นเพื่อนให้เรียนรู้ใจ
มีความนิ่งทุกก้าวเดินที่ก้าวไป ด้วยสติครองคู่ใจเกิดปัญญา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกาย น้อมอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

วางใจไม่ยินดีก็ไม่ยินร้าย ยินดียินร้ายก็ร้อนใจกว่าเก่า
กรรมยังไม่ผลักก็ล้มเอาล้มเอา โดนเสือกไสไม่ชอบเราเลยเปลี่ยนใจ
มองทะลุไม่ต้องชังอันใดเป็นแกว ผู้ทำใจไว้ก่อนแล้วไม่หวั่นไหว
ความติดยึดเลยไม่มาย้ำกล้ำกราย ไม่ยึดไม่ต้องผลักไสใจนิ่งเบา
ต่างมีความในเอยรู้ทุกผู้คน ความสับสนเฉยทำให้ใจคนเขลา
การบำเพ็ญขอให้เป็นแต่เข้มงวดเรา แม้รู้เช่นนี้และความเขลาเฝ้ารังแก
ไม่ดูแลรักชอบเกลียดกันพักหลัง เพราะความชังบดบังใจจนเป็นแผล
ฟื้นคนเดิมใจจิตใจแน่วและแน่ หนทางแท้มุ่งได้ไม่อาจลดมือ
ทุกข์แน่แน่เพราะข้างหน้าเฝ้าเปลี่ยนแปร อย่าได้แพ้ตนเองในความยึดถือ
อย่าได้แพ้ตนเองเพราะดื้อแสนดื้อ แม้ยุดยื้อใช่ของเราเฝ้าเปลี่ยนไป

ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดท่านหันเซียงจื่อ
ในชีวิตคนเรามีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ผลสุดท้ายเราก็หนีไม่พ้นความว่าง ความวุ่น ความนิ่ง บางทีก็วุ่นวาย บางทีก็ทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เหตุผลที่ทำให้ทุกท่านมาฟังธรรมกัน ในวันนี้ ก็เพื่อหาทางหลุดพ้นหรือ หาทางดับทุกข์ในใจ  ในที่นี้มีใครบ้างไม่เคยทุกข์ (ไม่มี)  แล้วมีใครบ้างที่ทุกข์แล้วหาทางพ้นทุกข์ได้ ก็ไม่มีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นโดยส่วนใหญ่ที่เราเรียนรู้กัน เป็นเพียงการเรียนรู้ทางโลกเพื่อเอาไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต หล่อเลี้ยงร่างกาย
เราเรียนรู้ทางธรรมเพื่ออะไร (ดับทุกข์)  เรียนธรรมมากี่ครั้งแล้ว เคยตั้งใจเรียนธรรมจนจบไหม ไม่เคยเรียนจนจบเลยใช่ไหม ส่วนใหญ่ไม่เคยตั้งใจเรียนธรรม เวลาให้เรียนธรรมะ จะบอกว่าไม่เรียนหรอกไปทำบุญก็พอใช่ไหม (ใช่)  เราเรียนรู้ทางโลกเพื่อดำรงเลี้ยงชีวิต วันนี้มาเรียนทางธรรมเพื่อเข้าใจตัวตน ผู้คน และสรรพสิ่ง เพื่อจะได้นำพาเราให้อยู่กับทุกข์และไม่เป็นทุกข์ คนเราแปลกอยู่ในโลกแต่ไม่เข้าใจตนเองและไม่เข้าใจคน  เรียนรู้ทางโลกก็เพื่อเอาตัวรอดไปหนึ่งวัน  การเรียนรู้ธรรมนอกจากจะทำให้เราเข้าใจตัวเราเอง เรายังเข้าใจผู้คนและเข้าใจสรรพสิ่งในโลกได้
ฉะนั้นธรรมจึงเปรียบเหมือนยานพาหนะให้คนดำเนินอยู่ในโลกได้ แต่ธรรมไม่ใช่สิ่งที่ให้เราเรียนรู้แล้วเอาไว้แบกหาม เอาไว้อวดโอ้ผู้คน ธรรมเปรียบเหมือนแสงสว่าง เราควรเอาแสงสว่างไปส่องหน้าคนอื่นหรือย้อนมาส่องตัวเรา (ตัวเรา)  เวลาไปฟังธรรมะมาก็เอาธรรมมาส่องคนอื่น คนนี้ยังไม่ดี คนนี้ยังไม่ได้เรื่อง นี่คือเรียนรู้ธรรมไม่ถูกต้อง ธรรมคือเรียนรู้แล้วเอาความสว่างมาส่องใจตนเองให้คลายความมืดมน เราจึงไม่ทุกข์ เราก็อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเกษมและมีสุข  เราเรียนรู้ธรรมแล้วไปส่องคนอื่นแล้วเราหายทุกข์ไหม (ไม่)  เอามาใช้กับตนเองไหมหรือคอยแต่เอาธรรมะไปวัดหรือตรวจคนอื่นๆ ต่อว่าคนนั้นต่อว่าคนนี้  ฉะนั้นเราเรียนรู้ธรรมเพื่อตรวจสอบตนเองและนำพาตนให้พ้นทุกข์หรืออยู่กับทุกข์แล้วไม่ทุกข์  ถ้ามีคนกลุ่มหนึ่ง กำลังถือคบไฟ แล้วก็บอกว่าร้อน ๆ  เราเห็นแล้วจะบอกเขาว่าอย่างไร (วางลง)  วางลงแล้วจะได้หายร้อน ใช่ไหม
วันนี้นั่งฟังธรรม บ่นเมื่อย เมื่อไรจะจบ เราฟังธรรมเพื่อนำธรรมะมาส่องสว่างความทุกข์   แต่ทำไมตอนนี้เราฟังธรรมแต่กลับยิ่งร้อน ยิ่งนั่งยิ่งทุกข์ เวลาคนอื่นถือคบไฟร้อนเรากลับสอนให้เขาวางสิ่งที่ยึดมั่นว่าร้อนลง แล้วตอนนี้ฟังธรรมะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้ายังยืนยันว่าไม่ทุกข์ก็แก้ทุกข์ไม่ได้  ส่วนใหญ่จะทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เพราะเมื่อย ทุกข์เพราะเบื่อ  ฉะนั้นคนถือคบไฟร้อนๆ ถือไปบ่นไปว่าร้อน ทั้งที่ไฟคือความสว่างคลายความมืด คลายความทุกข์ แต่ทำไมถือแล้วจึงเป็นทุกข์ เหมือนของอย่างเดียวกัน จับได้ถูกก็เกิดประโยชน์ ของอย่างเดียวกันจับไม่ถูกก็เกิดโทษ เจ็บตัว  เหมือนอย่างตอนนี้มาฟังธรรม วางใจถูก วางใจเป็น ก็สบายแต่ถ้าวางใจไม่ถูก วางใจไม่เป็นก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราเห็นคนอื่นทุกข์ เราบอกให้เขาทิ้งความทุกข์ ทิ้งได้หรือไม่ (ไม่ได้)  มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะลูก ทรัพย์สิน เงินทอง ภรรยา  สามี หน้าที่การงานยิ่งจับเท่าไรก็ทุกข์เท่านั้น แล้วปล่อยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะปล่อยไม่ได้ก็เอาแต่บ่น อย่างนั้นคนฉลาดควรทำอย่างไร (ปล่อยวาง)  วันนี้ปล่อยเดี๋ยวกลับมาก็มาเจอเหมือนเดิม  ฉะนั้นควรรู้จักจับให้เป็น จับอย่างไรไม่ให้ร้อน ไม่เอาไฟมาสุมทรวง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จับแล้วร้อนทำไมยังจะจับ ถ้าอยู่ด้วยแล้วมันร้อนอกร้อนใจ เราควรถอยสักก้าว แล้วลองกลับไปมองใหม่ด้วยปัญญาและหัวใจที่เปิดกว้าง ถ้าจับแล้วร้อนก็รู้จักวางให้ดี หรือหาวิธีอะไรมาจับ ปล่อยทิ้งไปก็อาจจะเกิดปัญหาสังคม ฉะนั้นวางอย่างไรแล้วจะไม่เกิดทุกข์แก่เราและทุกข์แก่ผู้อื่น อย่าเอาแต่บ่นว่าร้อนโดยไม่ทำอะไร 
หลักธรรมที่เราศึกษาโดยส่วนใหญ่ล้วนมีหนึ่งเดียว และเป็นหนึ่งเดียวตลอดเวลา เพียงเข้าใจหนึ่งเดียวก็สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่ง เพียงเข้าใจหนึ่งเดียวอย่างทะลุปรุโปร่งก็เกิดปัญญาตัดกิเลส ตัดภพ ข้ามภพ ข้ามชาติได้ สิ่งนั้น คืออะไร  (ไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยงทั้งสามคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)  เราเรียนรู้ธรรมะตั้งมากมาย แต่หลักและใจความสำคัญของธรรมะมีหนึ่งเดียว ที่ใช้ได้ตลอด ที่ทำให้เราพ้นทุกข์และเข้าถึงปัญญา ตัดกิเลส ห้วงแห่งกรรม และการเวียนว่ายได้  นั่นคือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป   ทุกท่านรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เด็กจนแก่ แต่รู้แล้วพ้นทุกข์ไหม พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงเอาสิ่งที่รู้มาไตร่ตรองพิจารณาจนเกิดปัญญา  ฉะนั้นการรู้หนึ่งจะตัดกรรม ตัดกิเลส ตัดการเวียนว่ายได้  เรารู้แล้วต้องเอามาไตร่ตรองพิจารณาในทุกขณะที่ดำเนินชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้มานานแล้วว่าสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์และถึงที่สุดคือความว่างเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาสามสิ่งนี้อยู่เสมอ ในทุกขณะที่เราดำเนินชีวิต เราจะสามารถเข้าถึงความแจ่มแจ้งแห่งชีวิตอันแท้จริงว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า 
นอกจากนั้นเรายังรู้อีกว่า ๑) ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันหนุนเนื่อง  ๒) อยู่ในโลกไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นไม่มีใครดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เลวที่สุด แย่ที่สุด  ๓) ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบันขณะ
แล้วเราเคยทำได้แบบนี้ไหม ทำไมหนึ่งจึงเป็นแค่หนึ่ง เพราะเราไม่เคยเอาหนึ่งนั้นมาหยั่งคิดพิจารณาแล้วมองให้เกิดความแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทุกข์คือสภาพที่ทนได้ยากและถึงที่สุดว่างเปล่า แล้วเรากำลังยึดอะไรเป็นของเรา ถ้าเรากำลังยึด เราก็หาความว่างเปล่าในความว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงพยายามมองให้ออกทุกขณะ แล้วเราจะเข้าถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ฉะนั้นเมื่อเกิดความไม่สมบูรณ์ของหน้าตา เมื่อไรที่เกิดความไม่สมบูรณ์ของชีวิต เราจะไม่ทุกข์ เพราะเป็นความจริงที่ต้องเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความไม่สมบูรณ์ของหน้าตา ถึงที่สุดแล้วใช่ความไม่สมบูรณ์จริงไหม
(ไม่จริง)  ถึงที่สุดก็ยังต้องเปลี่ยนไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครกล้ายืนยันว่าชีวิตนี้ไม่เปลี่ยนอะไรแล้วบ้าง แล้วใครกล้ายืนยันว่าหน้าตาแบบนี้จะไม่เปลี่ยนแล้ว (นักเรียนหญิงท่านหนึ่งตอบว่าไม่เปลี่ยนแล้ว) แน่ใจหรือ เขายืนยันว่าชีวิตนี้ หน้าตานี้จะไม่เปลี่ยนแล้ว เขาถูกในส่วนหนึ่ง ความหมายของเขาคือเขาจะไม่เปลี่ยนหน้าตานี้แล้ว คือเขาจะไม่ทำให้สวยกว่านี้แล้ว นี่คือความหมายท่านใช่ไหม (ใช่)  แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะบอกท่านคือแม้หน้าตานี้ก็ยังเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านแน่ใจไหมว่าหน้าที่การงาน บ้าน สิ่งที่ครอบครอง ที่ตอนนี้อยู่กับท่าน แน่ใจไหมว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่แน่ใจ)  ทุกสิ่งเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ จริงหรือไม่ (จริง)  ขนาดใจของเราเองยังเปลี่ยนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกขณะที่เรายืนนิ่งๆ แน่ใจหรือว่าร่างกายไม่มีอะไรที่กำลังตาย ใช่ไหม (ใช่)  แค่หนึ่งกระพริบตา ท่านรู้ไหมว่ามีเซลล์หลายเซลล์กำลังตายอยู่  ฉะนั้นอย่ามั่นใจว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ขนาดเรายืนอยู่ตรงนั้น เรายังต้องย้ายมายืนตรงนี้ แล้วเราจะยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไหม (ไม่)  เรายังต้องเปลี่ยนไปยืนอีกที่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง อะไรหรือที่เราครอบครองได้ (ไม่มี)  แล้วตอนนี้ท่านกำลังยึดถืออะไร ฉะนั้นเมื่อเราเข้าถึงความจริงอันนี้ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจึงรู้ว่าใดๆ ในโลกล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันหนุนเนื่อง หนุนนำ แล้วเราจะขอพระให้เรารวยหรือไม่  ถ้าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไม่มีอะไรเป็นของเรา
หาความสมบูรณ์ไม่ได้ เราจะขอหวยพระหรือไม่ เราจะขอให้รวยหรือไม่ เราจะขอให้บ้านสมบูรณ์หรือไม่ (ไม่ขอ)  ไม่ขอเพราะเราเข้าใจในความจริงอันนี้
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่ขอเราก็ไม่งมงาย เราก็ไม่อยาก เราก็ตัดความโลภได้แล้ว เห็นหรือไม่ว่าความจริงอันเป็นหลักธรรมสามารถตัดความอยากได้ เมื่อเราเข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนไม่สมบูรณ์แบบ
เหมือนวันนี้สมมุติเราคิดว่าคนนี้คือคนที่เรารักมากที่สุด คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดไม่แน่นอน หากสิ่งดีที่สุดเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่สุด เราจะโกรธหรือไม่ (ไม่โกรธ)  และถ้าสิ่งที่ดีที่สุดยังไม่แน่นอน แล้วสิ่งที่ไม่มีดีจะแน่นอนหรือ (ไม่แน่)  แล้วท่านจะโกรธทำไมในเมื่อยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ดีก็อาจจะไม่ดีที่สุด  สิ่งที่ไม่ดีก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด  ฉะนั้นแล้วเราจะรักหรือไม่ ไม่กล้ารัก แล้วจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ฉะนั้นเมื่อเราไม่รัก ก็แปลว่าเราไม่อยาก เมื่อเราไม่เกลียดก็แปลว่าเราไม่โกรธ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด และไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด  เมื่อไม่รักก็ไม่เกลียดไม่โกรธ ฉะนั้นเมื่อไม่เกลียด ไม่รัก ก็ไม่อยาก ก็ไม่โลภ และไม่เกลียด  ฉะนั้นโลภกับเกลียดตัดได้เลยไหม (ได้)  เพราะเราเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดดีที่สุดแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน  และแม้แต่ปัจจุบันขณะก็ยังอาจจะเชื่อไม่ได้  ฉะนั้นควรรักหรือควรเกลียด หรือไม่ควรทั้งรักและเกลียด (ไม่ควรทั้งรักและเกลียด)  ใช่ ไม่ควรรักและเกลียดเลย เพราะไม่เที่ยง เมื่อเราไม่ปักใจรักและไม่ปักใจเกลียด กิเลสจะมาครอบงำใจ ทำร้ายใจเราให้เกิดความโลภ โกรธ หลงไหม   นั่นจึงเรียกว่าปัญญาทำให้เราเข้าถึงความแจ่มแจ้งแห่งชีวิต และสามารถตัดความโลภ โกรธ หลงได้ด้วย (ปัญญา)  นอกจากตัดสามอย่างนี้แล้ว ยังทำให้เราตัดความอยาก หยุดความเกลียดและเข้าใจ ไม่ลุ่มหลงได้  ฉะนั้นหากเห็นใครที่ยังโลภ ยังหลงอยู่ เราก็เข้าใจว่าเขายังไม่แจ่มแจ้งความจริงอันเป็นหลักธรรมอันนี้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้ยังมีใครรักอีกไหม (ไม่มี)  ตอนนี้ยังมีใครเกลียดอีกไหม (ไม่มี)
ฉะนั้นเราจึงต้องการให้ท่านรู้ว่า ถ้านำเรื่องนี้ไปพิจารณาให้ทะลุ
ปรุโปร่ง  ท่านจะสามารถเข้าถึงความเป็นจริงได้ว่า โลกนี้เป็นปัจจัยอันเกื้อหนุน
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ และไม่มีสิ่งใดเป็นของเราอย่างแท้จริง จงอยู่กับ (ปัจจุบัน)  เราว่าปัจจุบันก็ยังช้าไป จงอยู่กับขณะนี้และเดี๋ยวนี้ก็พอ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเข้าใจจนครบสามอย่างนี้ ท่านก็จะสามารถตัด โลภ โกรธ หลง ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องพยายามทำบุญและให้อภัย  แม้เราจะพูดให้ท่านเข้าใจถึงธรรมะตรงนี้แต่สิ่งหนึ่งที่ขวางกั้น  แม้จะเรียนรู้หลักธรรมมากมาย  แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถหยั่งและพิจารณาเข้าถึงหลักธรรมอันแท้จริงได้ ไม่สามารถนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ได้  เพราะมีสิ่งหนึ่งที่ขวางกั้นทำให้มนุษย์ไปไม่ถึงความแจ่มแจ้งอันแท้จริง แห่งธรรมะ นั่นคือ ความคิด ความรู้สึก  
แม้วันนี้เราจะพูดได้ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ขวางกั้นทำให้เราไปไม่ถึงซึ่งความจริงของธรรม คือความคิดของตน  ถ้าความคิดขาดสติ ความคิดจึงง่ายที่จะไหลลื่นลงสู่ที่ต่ำ และถูกชักพาไปในทางที่ร้ายมากกว่าดี แม้ว่าเราจะรู้จนกระทั่งแจ่มแจ้งถึงตรงนี้แต่บางครั้งเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเรา เราก็จะง่ายที่ไหลไปตามความคิดก่อน การเรียนรู้หลักธรรมสิ่งที่น่ากลัว คือ รู้หลักธรรมแต่ขาดสติ ยับยั้งความคิด ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ฟังธรรมะไปแล้วก็อาจไม่ได้ผลอะไร  ยกตัวอย่างง่ายๆ มีรถสองคันกำลังขับสวนกัน รถคันหนึ่งตะโกนบอกอีกคันที่สวนมาว่า “อย่าไปๆ ตาย”
แต่อีกคันได้ยินแต่คำว่า “ตาย” ก็ยังคงขับต่อไป แต่ในใจคิดว่ารถคันนั้นตะโกนแช่งเราทำไม  จนกระทั่งขับไปแล้วไปพบคนนอนตายอยู่จริงๆ จึงเข้าใจว่ารถคันแรกเตือนให้ขับระวังเพราะมีคนนอนตาย  ฉะนั้นหนึ่งเรื่องเดียวกัน เราพูดอาจจะทำให้คนหนึ่งพ้นทุกข์  แต่กับบางคนพูดเรื่องเดียวกันเขาก็อาจจะยังจมกับความทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง  สมมุติเกิดเหตุแผ่นดินไหว ทุกบ้านมีความเดือดร้อน บ้านเราก็เดือดร้อน เพื่อนบ้านก็เดือดร้อน  แต่มีวันหนึ่งเพื่อนบ้านเดินมาที่บ้านเราแล้วถามว่า “ท่านมีอาหารหรือไม่  มีไฟฉายหรือไม่ มีเงินหรือไม่” เราจะตอบว่า “ไม่มี” เพราะเราคิดว่าเขาจะมาขอจากเราซึ่งก็กำลังเดือดร้อนเหมือนกัน แต่ความเป็นจริงคือเพื่อนบ้านกำลังจะเอาอาหาร ไฟฉายและเงินมาแบ่งปันก็ได้ เรายกตัวอย่างเพื่อจะบอกท่านว่าสิ่งที่ขวางกั้นทำให้ท่านมองไม่เห็นความเป็นจริงอย่างถ่องแท้ได้คือความคิด ความคิดที่ง่ายจะไหลลงต่ำ  คิดร้ายมากกว่าคิดดี ชอบด่วนสรุปมากกว่าจะมองตามความเป็นจริง  เพื่อนข้างบ้านเดือดร้อน เราก็เดือดร้อน เมื่อเขามากดกริ่งหน้าบ้าน แล้วถามว่าท่านมีข้าวไหม  ถ้าในใจเราคิดว่า เรามีข้าวอยู่ แต่เขาจะมาขอข้าวหรือเปล่า แล้วถามว่าไฟฉายมีไหม เรามีอยู่แต่ก็บอกไม่มี แล้วถามว่ามีเงินไหม ท่านบอกไม่มี โดยส่วนใหญ่เราจะปฏิเสธก่อน ตั้งแง่มองร้ายก่อน  แต่ถ้าเขาบอกว่า เราต่างเดือดร้อน แต่เขาคิดว่าเขามีมากกว่าเรา เขาจึงอยากมาแบ่งปัน  เรารู้สึกผิดไหม(รู้สึกผิด)
คนด่าไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดของเราที่เอาคำด่ามาปรุงแต่ง เติมแต่ง
ใส่ร้ายป้ายสี คิดนั่นคิดนี่จนคำด่านั้นน่ากลัวกว่าคนที่ด่าเรา 
สิ่งที่ขวางกั้นมนุษย์ไม่ให้สามารถก้าวข้ามความทุกข์ได้ คือความคิด เหมือนเวลาถูกด่าว่าไม่ดีคำเดียว เราก็เอามาปรุงแต่งต่างๆ  ฉะนั้น คำด่าว่าคำเดียวไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดที่ไม่ยอมรับและว่าเราซ้ำแล้วซ้ำอีก  ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรม ถ้ามีความคิดอะไรเกิดขึ้นในจิตเราต้องเชื่อทุกความคิดไหม (ไม่เชื่อ)  โดยส่วนใหญ่เชื่อหมดเลย คิดไปสูงก็ไปสูง คิดลงต่ำก็ไปต่ำ คิดไปทุกข์ก็ไปทุกข์ คิดไปสุขก็สุข  เราเคยยับยั้งและหยุดความคิดและมองความคิดไหม  เราไม่ได้ทุกข์เพราะถูกคนอื่นว่า แต่ทุกข์เพราะเอาคำว่าคำด่ามาคิดแล้วไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความคิดมีดีและไม่ดี และถ้าไม่ดีแล้วยังรวมตัวกับอารมณ์ ทิฐิ ความยึดมั่นถือมั่น ความคิดนั้นย่อมนำพาไปสู่หายนะได้เสมอ เพราะพื้นฐานของความคิดของมนุษย์ทุกคน มักคิดลบมากกว่าคิดบวก  ฉะนั้นแม้เราจะรู้หลักธรรมเต็มอก แต่เราแพ้ความคิดตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราจะพูดดีขนาดไหน
แต่ถ้าความคิดท่านบอกว่า “ไม่แน่ หลอกหรือเปล่า” สิ่งที่ดีวันนี้หายทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนไม่ใช่ต้องเชื่อทุกความคิด  ถ้าความคิดนั้นไม่อิงกับหลักธรรมอย่าหลงเชื่อ ไม่อย่างนั้นความคิดจะพาเราลงต่ำมากกว่าขึ้นที่สูง คิดไม่ดีมากกว่าคิดดี  ฉะนั้นไม่มีใครน่ากลัวเท่ากับความคิด
(ท่านหันต้าเซียนเมตตากำมือแล้วหันนิ้วหัวแม่มือลง)  แบบนี้คืออะไร อันนี้คืออะไร (แปลว่า “แย่”)  จะคิดว่านิ้วหัวแม่มือหันลงแปลว่า “แย่” หรือจริงๆ แล้ว
สิ่งที่เรากำลังมองเห็นอยู่ก็คือ แค่นิ้วหัวแม่มือหันลงเท่านั้นเอง แต่เมื่อเห็นสัญลักษณ์ก็คิดว่า “แย่” ทันทีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถามกลับ
(ท่านหันต้าเซียนกำมือหันหัวแม่มือขึ้น)  แบบนี้แปลว่าอะไร (ดี, ยอด) 
ถ้าอย่างนี้ก็หลงตัวเองเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงคิดดีแล้ว แต่การคิดดี
ต้องทำให้เราไม่หลงตน
ฉะนั้นสิ่งที่ขวางกั้นความเข้าใจธรรมะ นอกจากความคิดแล้วอีกอันหนึ่งก็คือความรู้สึก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรู้สึกของมนุษย์ระหว่างชอบกับชังสิ่งไหนสลัดยากกว่ากัน (ชอบ,ชัง)  เราอยากบอกท่านว่าจริงๆ แล้ว ทั้งชอบและชังสลัดได้ยากพอๆ กัน จริงไหม (จริง)  หากท่านบอกว่าความชังสลัดได้ง่าย ท่านเคยมือเหม็นไหม (เคย)  มือเหม็นแล้วล้างออก แล้วนำมาดม แล้วล้างใหม่ไหม (ล้าง)  แล้วดมไหม (ดม)  แล้วเหม็นไหม (เหม็น)  หายไหม (ไม่หาย)  เหมือนเราเกลียดคนนั้น เกลียดแล้วเรามองไหม (มอง)  แปลกนะ ยิ่งเกลียดยิ่งมอง แล้วแปลกนะคนมีตั้งเยอะแยะที่ทำให้เรามีความสุขไม่มอง แต่พอมีคนที่เกลียดคนนั้นยืนอยู่บรรยากาศมันมัวทันทีเลย ใช่ไหม (ใช่)  ไปไหนเราก็เห็นเขา ขนาดหลบอยู่ในซอกหลบอยู่ในมุมก็ยังเห็น เกลียดไหม (เกลียด)  แล้วไหนบอกสลัดง่าย แล้วรักสลัดออกง่ายหรือไม่ ยิ่งรักก็ยิ่งตามติดยึดมั่น อย่าบอกว่ายิ่งรักยิ่งเกลียดเพราะถ้ารักมาก เวลาเขาไปจากชีวิตเราจริงๆ เรารับได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความรู้สึกของมนุษย์สลัดไม่ง่าย จึงไม่สามารถมองได้ชัด  เมื่อมองไม่ได้ชัดจะเอาธรรมะมาสอนก็ยิ่งไม่ได้เพราะมีอารมณ์ มีความคิดมาเหนี่ยวรั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้เรามองเห็นเขาและตนเองได้ไม่แจ่มชัด ท่านอาจเคยได้ยินว่าเรื่องเล็กๆ หากทำใจได้ก็มีความสุข แต่หากทำใจรับไม่ได้ แม้เรื่องจะเล็กก็ใหญ่ได้และเป็นทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถึงจะเป็นเรื่องเดียวกันหากเรากล้ายอมรับและวางใจเป็นกลางจะทำให้เรา เอาชนะและอยู่กับความทุกข์ได้อย่างเป็นสุข  แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะคาดหวัง ซึ่งจะทำให้เห็นได้ไม่จริงและเกิดทุกข์  ฉะนั้นความจริงในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับความรู้สึกที่ไม่กล้ายอมรับความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราพูดแค่นี้จบได้หรือไม่  ธรรมะมีข้อเดียวเองคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แล้วก็ว่างเปล่า  แต่ทำไมเราถึงไม่หยั่งแจ้งให้เกิดปัญญาในใจตนและไม่สามารถเข้าถึงได้ เพียงเพราะความคิด ความรู้สึกแค่นี้หรือ เหมือนถ้าวันนี้รู้สึกไม่ชอบจะฟังต่อไหม (ฟัง)  ถ้าวันนี้ความคิดบอกไม่เอาจะอยู่ต่อไหม  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในโลกไม่ใช่ผู้คน แต่คือความคิดและความรู้สึกที่อยู่ในใจ  ปัญหาในโลกไม่น่ากลัว
แต่ปัญหาที่เกิดจากใจที่ไม่ยอมรับความจริง ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรามีความคาดหวัง มีความคิดยึดมั่นถือมั่น เขาต้องเป็นแบบนั้น เขาต้องเป็นแบบนี้ เขาต้องพูดกับฉันอย่างนั้น เขาต้องพูดกับฉันเช่นนี้  เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น เราก็เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะเรา (เรา)  ฉะนั้นวันนี้ขอให้นำธรรมที่เราบอกนี้ไปพิจารณาทุกขณะที่ดำเนินชีวิต อย่าเอาแต่โทษผู้อื่น อย่าเอาแต่โทษฟ้า โทษดินไม่ยุติธรรม  แต่ลองถามตัวเองสิว่า
ใจเราบริสุทธิ์ยุติธรรมไหม ใจเราเที่ยงตรงเป็นกลางไหม ใจเราไม่ยึดมั่นถือมั่นไหม ใจเราเอาแต่คาดหวังแล้วไม่ยอมรับความจริงหรือเปล่า  เหมือนตอนนี้ถ้านั่งแล้วมีความสุขก็โชคดี ถ้านั่งแล้วมีความทุกข์ แล้วใครที่คิดให้ตนเองทุกข์ใจ (ตัวเอง)
เรียนธรรมะเรียนให้จบนะ ธรรมะทำตอนดำรงชีวิต ธรรมะปฏิบัติตอนไหน ปฏิบัติยามมีลมหายใจ ทุกขณะซื่อตรงต่อหน้าที่ ซื่อตรงต่อความคิดและความรู้สึก ทำสิ่งใดด้วยใจรัก ทำโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นความเห็นแก่ตัว รู้จักคิดถึงผู้อื่น ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้ว ทำด้วยใจรัก ทำด้วยเคารพหน้าที่ ทำด้วยรู้จักเผื่อแผ่ผู้อื่น ถ้าทำได้ทุกวันนั่นก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้ว  ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ควรทำด้วยใจรัก ทำด้วยความซื่อตรง ทำแล้วเคารพหน้าที่ ทำแล้วรู้จักเผื่อแผ่ผู้อื่น  ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม ไม่ยากเลยใช่หรือไม่  ฉะนั้นเราก็หวังว่าวันนี้แม้จะเหนื่อยแต่ก็คงได้อะไรไปไม่มากก็น้อยนะ ดีไหม (ดี)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ



วันอาทิตย์ที่ ๑ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๕๗
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อย่าจมกับความรู้สึกจนมองไม่เห็น อย่าจมกับความเคยชินจนเป็นนิสัย
อย่าตอกย้ำตนเองจนเป็นทุกข์ใจ    ต่างเกิดมาเพื่อเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
สายน้ำทอดยาวออกไปประกายสวยงาม  ยุคสามผู้คนออกเดินด้วยความไม่แน่ใจ  ในความสิ้นหวังก็แอบมองเห็นปลายทางนั้น  ถึงฝันก็ขอตามจนหยุดหายใจ  
  *ส่วนหนึ่งชีวิต  ส่วน(หนึ่ง)ความหมาย  ศิษย์เอ๋ย เอาทุกข์โยนออกไป
**ถึงชาตินี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่  น้ำตาเป็นสายจะรินไป ใจสบายไหม  ถึงชาตินี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่  หนทางเส้นนี้ศิษย์มุ่งไป  อาจารย์อยู่ตรงปลาย(ของ)ทาง
(ซ้ำทั้งเพลง, *, **)
ทำนองเพลง : สู่กลางใจเธอ
ชื่อเพลง : อาจารย์อยู่ตรงปลายทาง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ร้อนจังเลย ถือพัดก็เมื่อยจะมีใครถือพัดลมตามอาจารย์ได้บ้างไหม คนโดยส่วนใหญ่พึ่งตัวเองแล้วเหนื่อย พึ่งคนอื่นดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครจะอาสาถือพัดลมตามอาจารย์บ้าง  มีหรือไม่ ก็มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนี้ พึ่งตัวเองแล้วเหนื่อย เบื่อ เมื่อย พึ่งคนอื่นดีกว่า ใช่หรือไม่
เราอยู่ในโลกแล้วเราเป็นแบบนี้ไหม พึ่งคนนั้นทีพึ่งคนนี้ที แล้วถึงที่สุดเราพึ่งคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้) บางทีนึกว่ามีพัดแล้วจะเย็นใจ จริงๆแล้วเย็นไหม บางทีใจก็ไม่เย็นเลย พัดก็แล้วใช้พัดลมก็แล้ว บางครั้งเราคิดว่าเราพึ่งคนอื่นได้ แต่ถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องกลับมาพึ่งตนเอง  พึ่งใจของเรา ไม่มีอะไรทำให้เรามีความสุขได้ ถ้าใจเรายังไม่รู้จักพอ จริงไหม (จริง)  ถึงแม้จะพึ่งคนอื่นได้เป็นสิบหน พึ่งคนอื่นทำให้เรามีความสุขได้ แต่ถ้าใจเราไม่พอ เราก็ยังปรารถนาเรียกร้องไม่จบสิ้น เหมือนตอนแรกอาจารย์ไม่รู้จักพัดลมอาจารย์ก็พึ่งพัด พึ่งมือตนเอง ถามว่าพึ่งพัดลมหายร้อนไหม (ไม่หาย) แล้วพึ่งอะไรให้หายร้อน (ไม่มี) เพราะพัดลม แอร์ และพัด ไม่สามารถดับใจที่ร้อนอยู่ภายในได้ ดับได้แค่เพียงความทุกข์ทางกายช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ไหน (ใจของเรา) ปัญหาอยู่ที่ใจของตัวศิษย์เอง ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะพึ่งเขาไม่ได้ แต่เพราะเราลืมพึ่งตนเอง ไม่ใช่เขาทำให้เราไม่มีความสุขแต่เราเคยมีความสุขด้วยตนเองไหม (ไม่มี) เราอยู่กับตนเองมีความสุขไหม (ไม่มี) เพราะไม่มีจึงเที่ยวหาไปเรื่อย
ถ้าตัวเราพึ่งตัวเองได้ ตัวเราสามารถอยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ เราจะต้องง้อหน้าอินทร์หน้าพรหม หัวดำหัวขาวไหม (ไม่ง้อ)  ไม่ง้อแล้วเขาจะทำให้เราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะเป็นอย่างไร ฉันสุขได้ด้วยตัวเอง
มนุษย์ชอบพูดคำหนึ่ง “ฉันอยากมีสุข”  อยู่บนโลกอยากมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอยากมีความสุขไม่ยากเลย วิธีของอาจารย์ ตัดคำว่า “ฉัน” ออก ตัดคำว่า “อยาก” ออก มีหรือยัง (มี)  แต่เพราะเราเอาแต่บอกว่า “ฉันอยาก” มันก็เลยไม่สุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตัดคำว่า (ฉัน,  อยาก)  แล้วตอนนี้มีสุขหรือยัง (มีแล้ว)  แต่เรามักไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  ฉะนั้นเวลาทำอะไรขาดทุนก็ขาดทุนสองเท่า จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ อย่างน้อยฉันมีสุขที่มีตัวเองอยู่ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเกิดมาเราโชคดีแล้วนะ แต่มนุษย์มักไม่เห็นคุณค่าแห่งความมีตัวเองนี้ว่าโชคดี มีตัวเองนี้เรียกว่ามีสุข ต้องคอยไปพึ่งคนนั้นพึ่งคนนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีพัดเลย สุขได้ไหม เย็นใจได้ไหม (ได้)  ได้ด้วยอะไร (ตัวเราเอง)  ได้ด้วยตัวเราเองนะศิษย์ เพราะถ้าวันหนึ่งไม่มีใคร ไม่มีอะไร เราต้องกล้าหาญ เป็นศิษย์อาจารย์จี้กงแล้วนะ ต้องกล้าหาญและอยู่ให้ได้
โลกนี้เป็นโลกที่ไม่เขาทำเราก็เราทำเขา ไม่เราว่าเขาก็เขาว่าเรา เป็นโลกที่กระทบกันไปกระทบกันมา ทุกข์กันไปทุกข์กันมา ฉะนั้นเราจะทำอย่างไร ที่จะอยู่บนโลกนี้โดยถูกกระทบแล้วไม่ทุกข์ ถูกตีแล้วไม่เจ็บ ถูกว่าแล้วไม่เศร้า สูญเสียแล้วไม่เสียใจ พลัดพรากแล้วไม่ผิดหวัง เคยคิดกันบ้างไหม ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้ซึ่งกันและกันดีไหม อาจารย์ว่าอากาศร้อนแบบนี้พอเรายิ่งพัดก็ยิ่งร้อน อยู่เฉยๆ จะดีกว่า จริงหรือเปล่า (จริง)
เวลาร้อน ยิ่งพัดก็ยิ่งร้อนนะ ไม่พัดเลยยังเย็นกว่าอีกใช่ไหม (ใช่)  ลองปิดพัดลมแล้วเย็นด้วยตนเองสิแล้วจะรู้ว่าเย็นนานกว่า อาจารย์บอกว่ายิ่งพัดก็ยิ่งไม่หายร้อน ยิ่งเปิดพัดลมบางทีก็ไม่หายร้อนหรอก บางคนหันมาจ่อตัวเองตรงๆ ไม่ต้องพัดให้ใคร เพราะเวลาพัดลมส่ายไปมาแล้วเราร้อน ถ้าพัดลมจ่อคนใดคนหนึ่งก็ดูเหมือนเห็นแก่ตัวเกินไป ฉะนั้นไม่ต้องมีพัดลมเลยดีไหม (ดี)  เสียงส่วนใหญ่ให้ปิดพัดลมนะ (พระอาจารย์เมตตาให้ปิดพัดลม)  ศิษย์เอ๋ยเป็นลูกศิษย์อาจารย์จี้กงแล้วนะ อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวลำบาก อย่ากลัวร้อน ในเมื่อศิษย์ไม่เปิดพัดลมอาจารย์ก็จะไม่พัดด้วยนะ เราก็จะได้ร่วมทุกข์ด้วยกันดีไหม (ดี) ไม่ให้ใครเสียเปรียบกันเลยนะ ศิษยไม่เปิดพัดลม อาจารย์ก็ไม่พัด
อยากนั่งหรืออยากยืน (นั่ง) ลูกศิษย์อาจารย์จี้กงไม่กลัวทุกข์ไม่กลัวลำบากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอยากนั่งหรืออยากยืน (ยืน)  เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่ากลัวความลำบาก อย่ากลัวทุกข์ เพราะคนสามารถมีสุขได้ด้วยตนเอง สามารถพึ่งลำแข้งตัวเองไม่ต้องพึ่งลำแข้งของคนอื่น แม้ใครจะทำให้ศิษย์ทุกข์ขนาดไหนศิษย์ก็สามารถแหวกจนหาทางสุขได้พบ  ถ้าตอนอยู่กับอาจารย์ ถูกอาจารย์เข้มงวดกวดขันแล้วศิษย์ทำใจได้ ออกไปอยู่ข้างนอกก็ไม่ต้องกลัวจริงไหม (จริง)
ถ้าอาจารย์ไม่ให้เปิดพัดลม ไม่ให้นั่ง ศิษย์ก็ต้องทนได้ และสามารถมีความสุขได้  รู้ไหมทำไมเราถึงไม่สามารถเอาชนะทุกข์ได้  เพราะแค่เริ่มต้นศิษย์ก็กลัวเสีย แล้ว ยังไม่ทันรับมือศิษย์ก็กลัวแล้ว ใช่ไหม(ใช่)  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าศิษย์ตั้งใจเรื่องชีวิตไว้ว่า ลำบากก็ไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่ได้ เจ็บก็ไม่ได้ ฉะนั้นเจออะไรก็ทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วจริงไหม ศิษย์ต้องเริ่มต้นชีวิตให้ถูก ถ้าเริ่มต้นชีวิตถูก ลำบากก็ได้ เจ็บก็ได้ ทุกข์ก็สู้ ฉะนั้นเวลาเจ็บ เวลาลำบาก เวลาทุกข์มา ศิษย์จะกลัวไหม (ไม่กลัว)  เพราะพร้อมรับมือหรือเรียกว่าผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย และผู้ประมาทย่อมเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นทุกข์ก็ไม่ทุกข์ เจ็บก็ไม่เจ็บ กลัวก็ไม่กลัว  รับรองว่าได้วิชาคงกระพันจากอาจารย์แน่เลย เมื่อยก็ไม่เมื่อย ไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวเจ็บ ลำบากก็ไม่กลัวแล้วชีวิตนี้จะมีอะไรทำให้ศิษย์ต้องทุกข์อีก  
ฉะนั้นจำไว้นะ ทุกข์ก็ไม่กลัว เจ็บก็ไม่กลัว ลำบากก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เพราะเราพึ่งคนอื่นไม่ได้ตลอด พึ่งวัตถุ รูป นาม อะไรก็ไม่เที่ยงแท้ ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พึ่งมากที่สุดก็คือตัวเราเอง เพราะว่าในโลกนี้ เป็นโลกแห่งความจริงอันเปลี่ยนแปลงที่หาที่สุดไม่ได้  และเมื่อเปลี่ยนแปลงหาที่สุดไม่ได้ ก็เพราะโลกนี้อยากบอกให้เรารู้ว่า ใดๆ ในโลก เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ควรจะยึด ฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงอันแท้จริงที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ จึงสอนให้เรารู้ว่าใดๆ ในโลก อย่าได้ยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้าเมื่อใดเรายึด เราก็ทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าเรารู้เช่นนี้แล้ว เราต้องเรียนรู้และเปิดใจให้กว้างยิ่งขึ้น ไม่ใช่เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็ยังคงดำผุดดำว่ายอยากมีอยากเป็นไปไม่จบสิ้น
เคยได้ยินไหม มนุษย์มักจะพูดว่า หาไปมากมายถึงที่สุดก็เอาไปไม่ได้ ขนาดเอาเงินใส่เข้าไปในมือหรือปากก่อนตาย เพื่อที่จะได้ให้วิญญาณเอาไปด้วย สามารถเอาไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นหาไปถึงที่สุด หาไปมากๆ หาไปแล้วเบียดเบียน ก่อทุกข์ก่อความรำเค็ญ สร้างบาป สร้างกรรมให้คนอื่น สู้หาน้อยๆ ดีกว่า เพราะถึงที่สุดแล้วก็เอาไปไม่ได้ แล้วศิษย์เคยเห็นบางคนหรือไม่ ที่หาแทบเป็นแทบตาย ถึงเวลานึกว่าจะได้ใช้เงิน ผลสุดท้ายตายก่อน ฉะนั้นเราก็ไม่ควรหาจนถึงกับโลภจนเกินไป แล้วศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ บางคนหาเพื่อจะได้ใหญ่กว่าคนอื่น เพื่อจะได้แน่กว่าคนอื่น เพื่อจะได้เก่งกว่าคนอื่น แต่ในที่สุดแล้ว เราใหญ่หรือแน่ขนาดไหน ก็เล็กกว่าโลง หามามากขนาดไหน ก็ใส่โลงไปไม่หมด เมื่อรู้แบบนี้เรายังจะอยากอวดเบ่ง อวดโก้กับคนอื่นไปทำไม แล้วมีใครบ้างที่ไม่หลงว่าตัวเองสวยหรือหล่อ  แล้วรู้หรือไม่ว่า สวยไปก็แค่นั้น แต่ถึงที่สุดก็คือผ้าปิดกระดูกผี
อาจารย์ยืมคำมนุษย์มาพูดนะ พยายามสวยไปเพื่ออะไร ถึงที่สุดสิ่งที่สวยนั้นคือผ้าปิดกระดูกผี ฉะนั้นเราจะแสวงหาจนก่อเกิดโลภ ก่อเกิดบาป ก่อเกิดกิเลส เกิดความทุกข์ไปเพื่ออะไร ในเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ แต่ศิษย์มักบอกอาจารย์ว่า “เกิดมาเป็นคนทั้งที จะให้ไม่มีความสุขเลยคงไม่ใช่ ต้องหาความสุขบ้าง มีเล็กๆ น้อยๆ “ แล้วศิษย์เคยได้ยินไหม ร่างกายเหมือนขวดเหล้ากินน้อยๆ ก็เป็นยา กินมากๆ ก็เหมือนเอาน้ำทองแดงกรอกตัวเอง ร่างกายนี้ก็เหมือนกันรู้จักใช้ให้เป็นมันก็เกิดประโยชน์ ถ้าใช้ไม่เป็นใช้ร่างกายอย่างหนักศิษย์ก็คือคนโง่ตกเป็นทาสร่างกาย ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์จึงบอกว่าร่างกายไม่ต่างกับขวดเหล้ากินเป็นก็เป็นยา ใช้เป็นก็คือแสงสว่าง แต่ถ้ากินไม่เป็น ใช้ไม่เป็นก็เผาใจตนเองจริงไหม(จริง)  แล้วตอนนี้ศิษย์พกขวดเหล้า ศิษย์นอนกอดขวดเหล้าอย่างลุ่มหลงหรือรู้จักใช้ให้เป็น ถ้าใช้เหล้าเพียงนิดเดียวก็เป็นเพลิงที่ให้ความอบอุ่น ร่างกายถ้ารู้จักใช้เป็นก็นำพาชีวิตพบความสว่าง  แต่ถ้าใช้ร่างกาย ใช้ใจไม่เป็น เราก็คือคนที่ขังตนเองอยู่ในความโลภ หลง โกรธ ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ที่ตนเองสร้างขึ้น ใช่ไหม(ใช่) 
ตอนนี้มีคนแอบพัดด้วยนะ ร้อนไหม  อาจารย์ยังไม่พัดเลย แถมอาจารย์ยังใส่เสื้อตั้งสองชั้นนะ  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ถ้าใจมัวกังวลจดจ่อเรื่องอื่นอยู่ ไม่กังวลเรื่องร่างกายก็จะไม่รู้สึกร้อน ถ้าใจศิษย์จดจ่ออยู่กับอาจารย์ศิษย์ก็จะลืมร้อน จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าใจศิษย์ไม่อยู่กับอาจารย์ คิดแต่ว่า “เมื่อไรจะเปิดพัดลมๆ” จากร้อนก็จะก่อเกิดเป็นกิเลส แล้วเกิดการทำลายล้างกัน
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย อยู่ในโลกนี้จงใช้ขวดเหล้านี้ให้เป็น ใช้ไม่เป็น หลงกินมันมากมันก็ตกเป็นทาสขวดเหล้านี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นใช้ให้ดีมันก็นำความสว่าง ใช้ไม่ดีมันก็จุดไฟเผาตัวเองให้มอดไหม้ จริงหรือไม่ (จริง)
รู้จักสุขไหม ส่วนใหญ่ศิษย์ชอบความสุขใช่ไหม (ใช่)  อยากให้นั่งเก้าอี้นี้แล้วมีความสุขมากๆ ไหม (อยาก)  ลองยืนขึ้นสักหนึ่งชั่วโมง พออาจารย์ให้นั่งศิษย์จะมีความสุขในการนั่งเก้าอี้ทันที จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์ให้นักเรียนทุกคนนั่ง ยกเว้นนักเรียนหนึ่งคน)
เมื่อสักครู่ศิษย์เป็นคนบอกเองใช่หรือไม่ว่าอยากจะมีทั้งสุขและทุกข์  ตอนนี้คนอื่นเขานั่งแล้วมีสุขแล้ว แต่ศิษย์ยังต้องยืนศิษย์ก็จะได้รู้จักคำว่า (ทุกข์) ตอนนี้อยากรู้จักสุขหรือยัง  เชิญนั่งนะ สุขหรือยัง (สุขแล้ว) สุขหรือทุกข์อยู่ที่ตรงไหน ใช่อาจารย์กำหนดหรือไม่ (ไม่) เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า จะมีสุขได้ต้องมีเงินมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าอาจารย์อยากมีความสุขจากที่มีเงินมาก ถ้าอาจารย์อยากจะมีเงินมาก อาจารย์ก็ต้องทำงานให้เต็มที่  ตลอดเวลาก็คิดว่า ฉันจะต้องมีเงินเยอะๆ เพื่อจะได้มีความสุข  ช่วงที่คิดอยู่นี้มีความสุขหรือไม่ (ไม่มี) เพราะความสุขอยู่ที่เงิน พอได้เงินมามากๆ แล้วมีความสุขหรือไม่ (ไม่) เพราะอะไร (เพราะกลัวเงินหมด) จริงนะ อาจารย์จะเทียบเวลาให้ดู กว่าเราจะได้เงินมาก้อนหนึ่ง ยังไม่ทันได้ชื่นใจกับเงินก้อนนี้เลย เราก็เริ่มวิตกกังวลแล้วว่าจะเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหน จะรักษาอย่างไรให้เงินงอกเงย รักษาอย่างไรไม่ให้เงินสูญ แล้วมีความสุขตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เราบอกว่าจะมีความสุขต้องมีบ้าน มีรถ มีเงิน แต่พอหาเงิน หาบ้าน หารถ มาได้ กว่าจะหามาได้ก็ทุกข์ พอหามาได้มีใครบ้างที่มีบ้านแล้วไม่ทุกข์
มีรถแล้วไม่ทุกข์เพราะรถ ฉะนั้นการมีอะไรสักอย่างเพื่อมีความสุข แท้จริงแล้วเรายังไม่ได้ลิ้มรสความสุขนั้นเลย ปรากฎว่าเราต้องกังวลแล้วว่า เราจอดรถตรงนี้จะปลอดภัยไหม ตื่นเช้ามาจะยังมีรถอยู่หรือเปล่า
ศิษย์มักจะพูดว่า ความสุขของศิษย์คือการได้มีคนมารัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่เราบังคับให้ใครมารักเรา หรือพยายามเรียกร้องให้ใครมารัก ความรักเป็นเรื่องแปลก เรียกให้รัก เขากลับไม่รัก แต่เมื่อรู้จักให้ความรักเขา เขาจะรักตอบ ฉะนั้นอย่าคิดว่า ทุกอย่างจะได้มาต้องแสวงหา ต้องบังคับให้เธอต้องรักฉัน  ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะอะไร ยิ่งพยายามทำอย่างนี้ เขาก็ยิ่งหนี แล้วศิษย์ทำอย่างนั้นหรือไม่ ฉะนั้นความรักหรือความสุข ไม่ได้เกิดจากการแสวงหา หรือเอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ต้องถามตัวเองก่อน ว่ารู้จักให้ใครบ้างหรือไม่ อย่าเอาแต่เรียกร้องคนอื่น อย่าเอาแต่ไขว่คว้าจากผู้อื่น จนลืมที่จะหยิบยื่นให้ผู้อื่นบ้าง และเมื่อรู้จักความสุขบางอย่างแล้ว คราวนี้มาเรียนรู้เรื่องความทุกข์บ้าง
อยากรู้จักทุกข์ไหม (อยาก) พุทธะไม่เคยเรียกว่าโลกนี้มีความสุข พุทธะทุกพระองค์ล้วนเรียกโลกนี้ว่าความทุกข์ ทุกข์มาก ทุกข์น้อย แค่นั้นเอง แต่มนุษย์มักเรียกว่าสุข จริงๆแล้วไม่ใช่สุข ในสุขนั้นมีทุกข์อยู่ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์อยากทุกข์และเรียนรู้ทุกข์ให้เป็น  สิ่งสำคัญคือใจศิษย์กล้าจะสู้ไหม คนกล้าจะทุกข์ครั้งเดียวหลังจากนั้นจะไม่ทุกข์อีกเลยแต่คนใดที่ไม่กล้าสู้ ทุกข์ คนนั้นจะทุกข์ไปตลอดชีวิต จำคำอาจารย์ไว้ให้ดีนะ คนใดกล้าสู้ทุกข์ เขาจะเจอทุกข์แค่ครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นเขาจะไม่ทุกข์อีกเลยแต่คนใดที่ไม่กล้าสู้ทุกข์คนนั้นจะต้องเรียนรู้ทุกข์ไปตลอดชีวิตเพราะความทุกข์คือความยึด ความสุขคือการเรียนรู้ ฉะนั้นถ้าจะเรียนความทุกข์กับอาจารย์ ศิษย์พร้อมจะกล้าไหม (กล้า) เช่นนั้นจงดูให้ดีความทุกข์ที่ศิษย์ต้องเจอมีอะไรบ้าง
๑) พลัดพรากจากสิ่งที่รัก
๒) สูญเสียจนเกือบหมดตัว
๓) เจ็บปวดจนถึงขั้นเสียชีวิต
๔) ความตาย
เราจะเรียนรู้ได้ศิษย์ต้องกล้าเผชิญสิ่งที่อาจารย์พูดนี้ให้ได้ก่อน ถ้าศิษย์ยังบอกว่าไม่กล้า ศิษย์จะไม่มีวันเข้าใจ  เรียนรู้  เอาชนะและข้ามไปได้นะศิษย์ เหมือนบอกว่าศิษย์อยากว่ายน้ำเป็น ทำอย่างไร คนฝึกต้องโยนคนว่ายน้ำไม่เป็นตกน้ำไปเลย กล้าๆกลัวๆทำไม ใช่ไหม แต่คนโยนต้องว่ายน้ำเป็นด้วยนะไม่งั้นอาจฆ่าเขาตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์สู้ไหวไหม ความทุกข์ที่ศิษย์ต้องเจอข้อที่ ๔ คือ ความตาย กล้าหรือไม่ (กล้า) ฝ่ายชายเงียบเลย สู้ผู้หญิงไม่ได้เลย ผู้หญิงขาลุยแต่ถึงเวลาห้ามหลบนะ ถ้าศิษย์อยากเอาชนะทุกข์ และเรียนรู้ทุกข์ให้เข้าใจ และจะเป็นทุกข์ครั้งเดียวในชีวิต ไม่ทุกข์อีกเลย ศิษย์จะต้องเอาชนะและเข้าใจตรงนี้ให้ได้ พลัดพรากจากสิ่งที่รักได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าศิษย์ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่ยากเลยคือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามชะตาชีวิต
ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากเร่งให้เราพลัดพรากจากสิ่งที่รักเร็ว จงอย่าพลัดพรากชีวิตใครให้ห่างจากสิ่งที่เขารัก เราเป็นคนชอบพรากชีวิตผู้อื่นหรือไม่ เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นหรือไม่ (เบียดเบียน)  ดังนั้นหากต้องการความพลัดพรากให้เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นต่อไป แต่หากศิษย์ไม่ต้องการจงหยุดการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น หยุดเอาชีวิตเขามา ถ้าไม่อยากตายเร็วก็อย่าฆ่าใครเพื่อชีวิตตัวเอง  สิ่งเหล่านี้มาตามชะตาชีวิตที่ศิษย์เป็นผู้กำหนด  
ทุกวันนี้เบียดเบียนใครหรือไม่  (ไม่)  แน่ใจหรือ เราเบียดเบียนเขาทั้งกายทั้งใจ เอาทั้งเนื้อ เอาทั้งชีวิตของเขามากินใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหากไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รักเร็ว ก็จงอย่าพลัดพรากชีวิตใคร
ถ้าไม่อยากสูญเสียจนหมดตัว จงรู้จักซื่อสัตย์เป็นชีวิตจิตใจ ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา  คนที่สูญเสียจนหมดตัวเพราะอยากได้ของๆคนอื่นจนลืมนึกถึงความถูกต้องชอบธรรม อย่าโลภเอาของใครมาเป็นของตนเอง ศิษย์ก็จะไม่ต้องเรียนรู้เรื่องนี้ให้เจ็บปวด
ถ้าไม่อยากเจ็บปวดจนสุดชีวิตก็อย่าไปคิดอิจฉาริษยาใคร แช่งชักหักกระดูกใคร เกลียดใคร อาฆาตแค้นใครก็อย่ามี  เพราะถ้ามีศิษย์ก็คือที่ทำให้ชีวิตนั้นเจ็บปวดได้ง่าย
พอเห็นใครได้ดีก็คิดว่า “ไม่รู้ว่าดีตรงไหน เธอก็ไม่ต่างจากฉันหรอก” คนที่มีชีวิตเช่นนี้ มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความสุข มีแต่ความเจ็บปวด ความอาฆาตแค้น ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะพบเขาอีก ก็คิดไปเลย แล้วก็จองเวร จองกรรมไปเลย แล้วศิษย์ก็จะกลับมาเกิด มาพบกับเขาอีก ศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา) ฉะนั้นถ้าเวลามีใครทำอะไรไม่ดีกับศิษย์ ศิษย์ก็จง (ให้อภัย) และเมื่อใครได้ดี ศิษย์ก็จงยินดีด้วย สาธุด้วย
ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บปวดจนเสียชีวิต หรือไม่อยากมีโรคภัยเจ็บออดๆ แอดๆ อย่าคิดริษยา อย่าผูกใจเจ็บ
ถ้าไม่อยากตายไว จงรู้จักเมตตามากๆ ไม่อยากตายไวก็อย่าฆ่าใคร และชีวิตก็จะพบกับเรื่องนี้ช้าลง แต่ไม่ใช่ว่าจะหนีพ้น เพียงแต่เป็นการที่เราไม่เร่งกรรมให้มาไว แต่ไม่ใช่ว่าเราจะหนีกรรมแห่งความเป็นจริงได้หมด เพราะทุกคนต้องสูญเสีย เจ็บปวด และพบกับความตาย ทุกคน แต่เราจะทำอย่างไร ที่เราจะเผชิญสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไม่ทุกข์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แปลก ตัวเรามักจะมีโรคอยู่อย่างหนึ่ง เวลามีใครว่าอะไร ใจเราก็รับไปหมด ดีก็รับ ไม่ดีก็รับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจเราก็แปลกทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนี้ทุกข์ ไม่ควรจะเอา เราก็เอา สิ่งที่ชมไม่ยั่งยืน ไม่ถาวร เราก็เอาตัวเราไปรับหมดทุกเรื่อง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ใจเราไปผูกติดกับทุกเรื่อง ดีก็ใจนี้ เสียก็ใจนี้ ทุกข์ก็ใจนี้ สุขก็ใจนี้ แล้วใจนี้เป็นเหมือนอะไร เป็นเหมือนกระโถนท้องพระโรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  รับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ใครด่ามาก็รับ ใครชมมาก็รับ  ใครแช่งมาก็ (รับ)  แล้วใจนี้เราเป็นกระโถนท้องพระโรงหรือ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นก่อนจะเรียนรู้ทุกข์เราต้องเรียนรู้ก่อนว่า
๑) ใจเรารับไหวไหม 
๒) เราจะทำใจอย่างไรให้สู้กับทุกข์ได้
เรามารู้จักใจตนเองก่อนดีไหม ช่วยอธิบายให้พระอาจารย์จี้กงฟังหน่อยว่า “ใจที่ชอบทุกข์เป็นแบบไหน”  ใจศิษย์เป็นแบบไหน (ใจที่คิดมาก)  ใจก็ใจ สิ่งที่คิดก็คิด ตกลงว่าใจศิษย์เป็นสมองหรือสมองเป็นใจ (ใจที่ชอบแบกรับไว้มากมาย) แล้วใจเป็นอย่างไร เอาใจออกมาให้อาจารย์รักษาสิ  ความคิดก็อยู่ส่วนความคิด  หัวใจก็หัวใจอยู่คนละที่กันนะ อยากหยุดความคิดให้หยุดที่สมองหรือให้ความรู้อันกระจ่างแจ้งก็มาคลายความคิดให้เลิกฟุ้งซ่าน แล้วใจศิษย์อยู่ตรงไหน กลมหรือเหลี่ยม ไม่มีรูปร่าง เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ที่มากระทบ อารมณ์ใดเป็นใหญ่อารมณ์นั้นก็มาครอบงำศิษย์ แต่ถ้าอารมณ์ใดไม่มีใจนั้นก็ไม่มี แล้วจริงๆ ใจไม่มีนะ แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นความเคยชิน อารมณ์ นิสัยที่สร้างให้เรามีใจที่ครอบงำบดบังใจแท้  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะเห็นใจหรือแก้ใจตนเองศิษย์จะทำอย่างไร  ใคร ตอบอาจารย์ได้ (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางได้แต่ความคิดไม่ปล่อย ทำอย่างไรที่เราอยู่บนโลกนี้แล้วสามารถเรียนรู้ความจริงได้ เป็นเพราะใจเราแคบไปหรือไม่ ใจเรามีกรอบหรือไม่ ใจมีรักชอบชังใช่หรือไม่ ฉะนั้นหากเราทะลุซ้ายขวาไม่มีชอบ ไม่มีชัง จะมีใครมาทำให้เราเจ็บปวดได้  แต่เป็นเพราะใจของเรามีชอบ มีชัง หากไม่อยากมีทุกข์จงเปิดใจให้กว้าง กว้างจนหาที่สุดไม่ได้ เมื่อหาที่สุดไม่ได้พอใครมากระทบก็ไม่เจ็บเพราะเราไม่มีใจที่ยึดว่าแบบนี้ ได้ แบบนี้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ ยากหรือไม่
อธิบายให้เพื่อนฟังสิ (ใจเราไม่มีรูปร่าง แต่เป็นเพราะความคิดความรู้สึกของเรามากกว่า ที่ไปกำหนดว่าสิ่งนี้ใช่ สิ่งนั้นไม่ใช่ สิ่งนี้เรารู้สึกทุกข์หรือรู้สึกต่างๆ ทุกสิ่งคือความว่าง แต่ตัวเราไปกำหนดเอง อยู่ที่เราคิดว่าสิ่งนั้นคืออะไร ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความทุกข์สำหรับทุกคน แต่บางคนก็ทุกข์ อยู่ที่ตัวเราเอง)  เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ก่อนจะเรียนรู้ทุกข์นี้ให้เข้าใจ  ศิษย์ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าใจศิษย์ตีกรอบ บังคับว่าแบบนี้ชอบ แบบนั้นไม่ชอบ ใช่ไหม (ใช่)  แบบนี้เรียกว่าสุข แบบนั้นเรียกว่าทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเวลาพบแบบที่ไม่ชอบ ก็เลยเป็นทุกข์ เมื่อพบแบบที่ชอบ ก็เลยเป็นสุข  แต่ถ้าตอนนี้ใจเรากว้าง ไม่มีอะไรที่ชอบและไม่ชอบ จะมีอะไรที่เรียกว่าทุกข์และสุขไหม (ไม่มี)  ใจเราเหมือนฟ้ากว้างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ใจเราเป็นฟ้ากว้างไหม (ไม่เป็น)  ใจเราชอบตีกรอบว่าต้องเป็นแบบนี้ อย่าเป็นแบบนั้น ต้องพูดแบบนี้ อย่าพูดแบบนั้น  ถ้าไม่อยากทุกข์ แก้ตั้งแต่แรกเลยคือแก้ที่ใจ ใช่ไหม (ใช่) แก้ที่ใจคือทำให้ใจกว้างจนหาขอบเขตและหาความมีตัวตนเข้าไปอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าเรามีตัวตนเข้าไปอยู่มันก็เริ่มจัดแล้วว่านี่ทุกข์ นี่สุข นี่เอา นี่ไม่เอา ใช่ไหม (ใช่) 
เมื่อสักครู่เราเรียนรู้วิธีเข้าใจใจของตนเองแล้ว ต่อไปเราก็ต้องเรียนรู้ความทุกข์ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามว่า มนุษย์มีทุกข์อะไรบ้าง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนทุกคนถือเก้าอี้ที่ตัวเองนั่ง แล้วเดินเคลื่อนไหวไปตามคำสั่ง)
นั่งเฉยๆก็ทั้งเบื่อ ทั้งเมื่อย ทั้งทุกข์ ตอนนี้อาจารย์ให้ศิษย์แบกเก้าอี้ ดีไหม (ดี)
ถ้ามีคนหนึ่งอยู่กับศิษย์ แล้วให้ศิษย์แบกเก้าอี้ไปทางซ้าย แบกไปทางขวา เดินไปข้างหน้า เดินไปทางหลัง  แล้วเราจะแบกชีวิตนี้ไปอีกนานแค่ไหน  ทำไมชีวิตต้องเล่นกลกับเรา เดี๋ยวถอยหลัง เดี๋ยวเดินไปข้างหน้า เดี๋ยวเดินไปทางซ้าย เดินไปทางขวา เราจะทำอย่างไรดี ทั้งที่ คือ ความทุกข์ เราจะแบกทุกข์ต่อไปหรือเราจะเรียนรู้ทุกข์ให้เข้าใจ (เรียนรู้ทุกข์) เราน่าจะเรียนรู้กับความทุกข์สักตั้งหนึ่งนะ ทำไมอาจารย์สอนให้ศิษย์เรียนรู้ความทุกข์แต่ยังไม่ถึงความทุกข์ ศิษย์เอาชนะทุกข์อย่างไร จำไว้นะทุกข์ไม่ได้มีไว้เพื่อละ ทุกข์มีเพื่อกำหนดรู้ สิ่งที่ควรละคือต้นเหตุแห่งทุกข์ เราต้องละให้ได้ แต่ความทุกข์ที่เจอในชีวิตเราละให้หมดได้ไหม (ไม่ได้)  ตราบใดที่ศิษย์ยังไม่สามารถรักษาจิตให้กว้างโดยที่หาประมาณไม่ได้แล้วไม่มี ตัวตน ศิษย์ยังหนีไม่พ้นทุกข์
ฉะนั้นเมื่อใดที่เจอทุกข์จงรู้จักกำหนดรู้ทุกข์ให้ได้  ถ้าเรากำหนดรู้ได้ เราจะเห็นทุกข์ทันทีแล้วเราจะไม่เป็นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนวางเก้าอี้ที่ถือลงพื้น)
ฉะนั้นถ้าตอนนี้เรามีเก้าอี้ ที่เป็นตัวทุกข์ สามวันนี้ศิษย์เกลียดเก้าอี้ตัวนี้มาก จริงหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นเวลาที่เราโดนกระทบ ไม่ว่าจะทางหู ตา หรือทางใจ ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ก่อนที่ศิษย์จะเกิดทุกข์ จงพยายามมองให้เห็นด้วยสติ บ่อยครั้งที่ศิษย์โดนคนอื่นว่า ศิษย์ก็โกรธทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยเห็นมันก่อนที่จะเกิดบ้างไหม พระพุทธะสอนไว้ว่า เวลาที่ความทุกข์เกิดขึ้น ให้กำหนดรู้ และมองมันให้เห็น เมื่อมองเห็นแล้วก็จะไม่เป็นทุกข์   (พระอาจารย์เมตตาให้ยกเก้าอี้ขึ้นเหนือศรีษะ) คราวนี้ศิษย์เห็นทุกข์หรือยัง (เห็นแล้ว)  แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน (เก้าอี้)
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์เมื่อเห็นทุกข์แล้วก็วางลง  แต่ทุกสิ่งเวลาที่มากระทบแล้วทำให้ศิษย์ทุกข์ เราวางทันทีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไรเราวางไม่ได้ ถ้าทุกข์นั้นเห็นชัดแบบเก้าอี้ จับได้อย่างเก้าอี้เราคงวางได้ทันทีใช่ไหม แต่ทำไมเราเห็นทุกข์ไม่ชัด เช่นเวลาเราโดนคนมาว่าเราโง่ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  โง่ไหม (โง่)  ศิษย์เอยถูกคนว่าโง่ไม่ทุกข์ก็ได้นะ เพราะถ้าเราเห็นตัวเราเองโง่ แล้วเราจะโง่ไหม (ไม่โง่)  ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เวลาความทุกข์มา เราเป็นทุกข์ไหม เวลาความพลัดพราก ความสูญเสีย ความเจ็บปวด ความตายมา เรามองเห็นไหม ที่เรามองไม่เห็นเพราะเราปล่อยให้อารมณ์ครอบงำแล้วเราก็ไปเป็นทุกข์ แต่จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อศิษย์หาว่าสิ่งเหล่านี้เกิดที่ไหน  ถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ทุกข์ ศิษย์ต้องหาให้พบว่าทุกข์อยู่ตรงไหน ถ้าหาไม่พบศิษย์จะจัดการไม่ได้ ความพลัดพราก ความสูญเสียเกิดที่ไหน (ที่ใจ)  ฉะนั้นต้องจัดการที่ไหน (ที่ใจ)  ใจแบบไหนที่สูญเสีย พลัดพรากแล้วเป็นทุกข์ (ใจที่ยึดมั่น)  ใจที่ยึดแล้วไม่ยอมรับความจริงและปล่อยไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อรู้ถึงใจแล้วต้องมองให้ออกว่าใจแบบไหนที่ทุกข์ ใจที่ยึดไม่ปล่อย ใจที่ยึดแล้วไม่มองความจริง ใช่ไหม (ใช่)  ใจที่ยึดแล้วไม่ยอมเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์ต้องมองให้เห็น ถ้าศิษย์มองไม่เห็นศิษย์จะเอาชนะทุกข์ไม่ได้ แล้วศิษย์ก็จะไม่ได้ทุกข์ครั้งเดียว แต่ศิษย์จะทุกข์ไปตลอดชีวิต  ฉะนั้นทุกข์ที่ใจ ใจที่ไม่ยอมรับความพลัดพราก ทั้งที่ความพลัดพราก การสูญเสีย ความเจ็บปวดและความตาย เป็นธรรมดาของทุกชีวิต และเป็นความจริงอันหนีไม่พ้น  ฉะนั้นเรากำลังทุกข์กับความเป็นธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  เรากำลังทุกข์อยู่กับความจริง ใช่ไหม (ใช่)  ในเมื่อเป็นธรรมดาและเป็นความจริง เราจะไปยึดทำไม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เข้าใจแล้วก็ต้อง (ปล่อยวาง)  ถ้าเรามองว่าใครๆ ก็พลัดพราก ใครๆ ก็สูญเสีย ใครๆ ก็ต้องเจ็บปวด และใครๆ ก็ต้องตาย ทุกข์แค่เพียงกาย ทุกข์แค่เพียงใจ แต่เราไม่ไปทุกข์ด้วย ดึงเราออกมาสิ ดึงออกมาแล้วเราจะมองเห็นว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง สิ่งนี้เป็นทุกข์ ไปยึดสิ่งนี้ทำไม ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ก็อย่ายึดมั่น สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ขอแค่เพียงมองให้ออก และไม่ยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แต่จงมองความเป็นจริง และความจริงจะไม่ทำให้เราทุกข์ใจ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานกล้วยหอมให้นักเรียน)
ศิษย์เอ๋ย กินกล้วยอย่างไรไม่ให้ทุกข์ กินโดยไม่คาดหวัง กินโดยไม่วอนขอ กินโดยไม่ยึดติด ไม่เช่นนั้นเราอยู่ในโลกจะซื้ออะไรก็อาจเป็นทุกข์ได้ ซื้อผลไม้ก็คิดว่ามันต้องหวาน แต่พอได้เปรี้ยวมาเป็นอย่างไร (ทุกข์)  คบใครก็นึกว่าจะดี แต่ปรากฏว่าไม่ดี ทุกข์ไหม
ฉะนั้นศิษย์อยู่ในโลกไม่ว่าจะกินกล้วย ไม่ว่าจะคบเพื่อน หรือไม่ว่าจะมีใคร อย่ากินกล้วยด้วยความหวัง อย่ากินกล้วยด้วยความยึดมั่นถือมั่น ไม่อย่างนั้นกินกล้วยก็มีทุกข์ด้วย จะไม่ใช่กล้วยๆ  เชื่อไหมว่ามนุษย์ทุกข์ได้ทุกกรณีแค่ขนาดปอกกล้วยยังคิดว่าต้องหวาน อร่อย พอปอกเปลือกมาทานไปหนึ่งคำ ทำไมเฝื่อนอย่างนี้ ทุกข์ไหม (ทุกข์) มนุษย์ทุกข์ได้ทุกเรื่อง แต่เราต้องมีสติ ทุกข์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ได้ ถ้ารู้แล้วเห็นชัดด้วยสติเราจะไม่ทุกข์ ทุกข์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ได้แต่ต้องรู้ด้วยสติเมื่อเห็นชัดแล้วเราจะไม่ ทุกข์ ฉะนั้นแม้ปอกกล้วยออกมากินแล้วหวานก็จะไม่ดีใจ เพราะฝาดก็ทุกข์ หวานก็กิน ฉะนั้นกินแล้วไม่ควรคาดหวังที่ใจแล้วเราจะได้ไม่ต้องทุกข์
ใครอยากได้กล้วยบ้างยกมือขึ้น อาจารย์ถามว่าเอากล้วยไปทำอะไรดีจะได้ไม่ทุกข์  (กิน) กินไม่แบ่งเดี๋ยวก็มีทุกข์นะ เวลาได้อะไรไปคิดดูให้ดีบางทีไม่คิดมากนึกจะกินก็กิน แต่อย่าลืมว่าถ้ากินแล้วเราลืมมองข้างๆ เรากำลังทำให้คนข้างๆ ทุกข์หรือเปล่า มนุษย์คิดว่า ฉันมีชีวิตอยู่ของฉัน อยากทำอะไรก็ทำ ศิษย์แน่ใจหรือว่า สิ่งที่ทำโดยไม่คิด จะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน 
อาจารย์ถามว่า ถ้าอาจารย์ให้กล้วย ศิษย์จะเอากล้วยไปทำอะไร (กิน อิ่มและดับทุกข์)  ชีวิตอย่ามัวมองแต่ตัวเองรู้จักคิดถึงคนอื่นบ้าง จะได้ไม่ทุกข์
(ให้ลูก)  ให้แล้วอย่าไปคาดหวังเขานะ ศิษย์เอ๋ย แต่จงกล้ายอมรับไม่ว่าลูกจะดีหรือไม่ดี
(ให้หายโรค)  นี่เขาเรียกว่ากินเพื่อความคาดหวังนะศิษย์  โรคมันเกิดจากการที่ศิษย์ไม่ดูแลจิตใจตัวเอง ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ใช่หรือไม่ เอาแต่หาเงิน ไม่เคยดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี กินก็ไม่ค่อยถูกเวลา ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นช่วยได้แค่ระยะหนึ่ง เอาดิบๆ ไปแล้วกัน
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนชายท่านหนึ่ง)
อาจารย์รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เชื่อยาก และลึกๆ ในใจศิษย์ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่ออะไร แต่เรื่องราวบางเรื่องก็อยู่เหนือเหตุผล ถามว่าทำไมชีวิตของศิษย์จึงเป็นแบบนี้ หาเหตุผลหรือใครมาพิสูจน์ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ต้องถามใจของศิษย์เองว่า ใครเป็นคนกำหนดชะตาชีวิต การที่ศิษย์รู้จักแข็งเกินไปก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี ศิษย์เคยได้ยินไหม ความแข็งใกล้กับความตาย ความอ่อนนุ่มคือการมีชีวิต
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “แลไม่ผลักไส”)
กลอนพระโอวาทนี้มีความหมายเนื่องต่อจากกลอนพระโอวาทที่จังหวัดพิษณุโลกคือ “ไม่ยึดติดแลไม่ผลักไส”
ถ้าเราอยู่ในโลกนี้อย่างไม่อยากทุกข์ ฉะนั้นไม่มีสิ่งใดที่เราอยากยึดมั่นและไม่มีสิ่งใดที่เราอยากขจัดออก ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันเกิดแล้วมันก็จบเอง แต่ใจที่เรายึดมั่นถือมั่นเลยทำให้เรื่องราวต่างๆ ในโลกมันเกิดแล้วมันไม่จบ เพราะใจเรายังคั่งค้างอยู่ ฉะนั้นในพระโอวาทซ้อนจึงมีบทกลอนว่า
“ไม่ยินดียินร้ายก็ไม่ผลักไส ไม่ชอบก็ไม่ต้องชังอันใดเลย
ไม่ยึดไว้เลยไม่ต้องผลักไสเอย ในความเฉยขอให้เป็นเช่นนี้แล”
ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนมีความทุกข์เข้ามาอย่าเอาใจเราเข้าไปร่วม จงมองเห็นแค่ความทุกข์ เห็นทุกข์แต่ไม่เป็นทุกข์ เห็นความโกรธแต่ไม่โกรธ เมื่อนั้นใจรักษาระยะห่างระหว่างความทุกข์ ความโกรธได้  ไม่เติมเชื้อ ไม่เติมการปรุงแต่ง ไม่เติมความอยากมีอยากได้ลงไป ความทุกข์ก็จะดับไปเองโดยที่ใจเราไม่ต้องทำอะไร แค่เห็นเท่านั้น หรือเวลาที่อะไรเกิดขึ้นกับกาย ใจก็สุข ขอเพียงวางใจ รับรู้แต่ไม่รับเก็บ อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ายอมรับเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องเปลี่ยนไป
“รักชอบและความเกลียดชัง บดบังจิตใจเดิมแท้
มุ่งได้ไม่อาจแน่วแน่ เพราะแพ้ตนเองข้างใน”
ฉะนั้น ถ้าศิษย์ยังยืนยันอยากมีความรัก ความชอบ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้และคนที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุด ไม่ใช่คนอื่นแต่คือหัวใจศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)  ยึดรักยึดชัง แต่ท้ายที่สุดทั้งรักทั้งชังก็ยึดไม่ได้ ศิษย์เคยมองเข้าไปลึกๆ ในหัวใจศิษย์ไหม ใจจริงๆ แล้วที่สุดคือความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน แต่เพราะเรายึดมั่นและสร้างตัวตนครอบใจไว้ เมื่อเราครอบไว้เราก็ไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ ซึ่งจิตเดิมแท้นี้แหละคือสภาวะธรรมที่ว่างเปล่าจากการปรุงแต่ง ไม่มีรูปลักษณ์ แต่ว่าใจที่เรายึดติดว่า นิสัยอย่างนี้ ชอบอย่างนั้น มันมาบดบัง เมื่อบดบังก็เลยสร้างตัวตน เมื่อสร้างตัวตน  พออะไรกระทบแล้วชอบในสิ่งที่เราชอบก็บอกว่าดี ไม่ชอบในสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็บอกว่าแย่ แล้วก็เกิดทุกข์เกิดสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ จงปล่อยวางใจที่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน เพราะใจนั้นก็ยึดไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับกายนี้ ใช่ไหม ฉะนั้นใจทุกข์แต่เราไม่ทุกข์ กายเจ็บแต่จิตไม่เจ็บ ดึงตัวเองออกมาแล้วมองให้เห็นว่า เจ็บแค่กายและใจแต่ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราเดิมแท้แล้วไม่มี เราจะไปสร้างตัวตนรับทำไม ทั้งที่ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนไป แล้วสิ่งที่เรารักจะอยู่นานไหม ความทุกข์เคยอยู่กับใครนานไหม (ไม่นาน)  ฉะนั้นศิษย์จงมีสติแล้วนำปัญญามองเห็นความจริงให้แจ้ง
จริงๆ แล้วอาจารย์อยากจะบอกว่ามนุษย์ทุกคนพ้นทุกข์มาตั้งนานแล้ว แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไปรองรับทุกข์ เราจึงเหมือนทุกข์ไม่จบสิ้น จำไว้นะศิษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเกิดแล้วก็จบ ชั่วขณะที่มันเกิดมันก็จบอยู่ทุกขณะอยู่แล้วนะ แต่คนที่ไม่ยอมจบก็คือตัวเรา ศิษย์บอกว่า “มันยังมีอยู่อาจารย์ มันยังเป็นอยู่อาจารย์” แต่สิ่งที่มีที่เป็นนี้มันกำลังตายอยู่ทุกขณะ แล้วเราไปยึดอะไรกับความตายอยู่ทุกขณะ  ฉะนั้นตื่นเถิดนะศิษย์ ตื่นแล้วจงปลุกตัวเองด้วยสติ มองให้เห็นด้วยปัญญา เมื่อเราตื่นเราเข้าใจชีวิต ความทุกข์จะมาทำอะไรศิษย์ไม่ได้ แต่ทุกข์มาเพื่อให้เรียนรู้ใจ ทุกข์มาเพื่อทำให้เราเห็นแจ้งว่าใจนี้มันคือสภาวะธรรมอันเปล่าไร้ ตื่นได้แล้วนะ ตื่นด้วยสติ รู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทำสิ่งผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งที่จะช่วยทำให้เราห่างไกลความทุกข์นั่นก็คือความดีงาม
ฉะนั้นถ้าเราอยากห่างไกลทุกข์ เลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามถ้าทำแล้วหลงมันก็กลายเป็นทุกข์ เหมือนที่ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ศิษย์ก็เป็นคนดีนะทำดีก็มากแต่ทำไมยังทุกข์อยู่ ความดีไม่ช่วยอะไรเลย ใช่ไหม” นั่นเป็นเพราะว่าศิษย์ทำดีโดยหวังวอนขอ ทำดีโดยยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความดีนั้นจึงไม่สามารถนำพาให้พ้นทุกข์ได้ ถ้าอยากทำความดีแล้วพ้นทุกข์ จำคำอาจารย์ไว้ว่า “จงทำโดยไม่มีกิเลสแปดเปื้อน จงทำด้วยจิตบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งตัวตน” ยิ่งทำยิ่งขัดเกลากิเลส ยิ่งปล่อยวางตัวตนได้ ความดีนั่นแหละจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ แต่ถ้าทำความดีแล้วยังเต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ความดีนั้นยังหนีไม่พ้นทุกข์ ยังหนีไม่พ้นอำนาจของพญามาร จำไว้นะจงทำดีโดยไม่หวังผล จงทำดีโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วความดีนี้แหละจึงเป็นความดีที่สามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นศิษย์ต้องรู้จักยืนด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงกล้าที่จะรับความจริง และเรียนรู้ชีวิตด้วยความกล้า สิ่งใดที่ผิดจงแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะศิษย์ไม่รักษาปณิธานที่ศิษย์มีไว้ กรรมเลยมาไว เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ ฉะนั้นอะไรที่จะเกิดต้องกล้าเรียนรู้และรับความจริง แก้ไขให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อาจารย์ให้ปัญญามากแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นจงรู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยสติ ทำอะไรใช้สติอย่าใช้อารมณ์ จงมีสติให้มากๆ จงมีสติที่เรียนรู้ชีวิต จงมีสตินำพาตัวเอง สติจะทำให้เรารู้จักคิด สติจะทำให้เราเกิดปัญญา สติจะทำให้เรากล้าหาญ ร่างกายนี้มันเป็นของปลอมอย่าไปยึดติด
ร่างกายนี้อาจารย์ ว่าเหมือนผ้าปิดกระดูกผี ฉะนั้นอย่าไปหลงกระดูกผีนะศิษย์เอย  กระดูกผีน่ากลัว เรามาเพื่อแค่ยืมใช้ ถึงเวลาก็ต้องคืนคือความเป็นจริงของโลกใบนี้ไป จงมีสติไม่หลง
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ รับปากแล้วนะ ชีวิตนี้ต้องรู้ว่าจะทำอะไรต้องไตร่ตรองให้ดี ทุกขณะ ฝึกหัวใจอย่างฟ้าให้ได้นะ ใจที่ยิ่งใหญ่ ใจที่รู้จักเสียสละ ใจที่รู้จักให้  ใจที่กล้ายอมรับความทุกข์ และนำพาชีวิตให้ดี โลกนี้สวยงามแค่ไหนก็ยังน่ากลัวอยู่  ถ้ายังหนีไม่พ้นทุกข์  คิดให้ดีนะว่าสิ่งที่อาจารย์พูดจะมาหลอกศิษย์ทำไม ใช่หรือไม่ พุทธะทุกพระองค์ล้วนอยากให้คนพ้นทุกข์ไม่ให้จมอยู่กับโลกใบนี้
เรามีสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่ากาย นั่นคือจิตอันบริสุทธิ์  จิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะธรรม จิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะฟ้าเบื้องบน แต่ที่เรามองไม่เห็นเพราะเรายึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ลองปล่อยวางแล้วใช้ชีวิตด้วยสติแล้วมองให้เกิดปัญญา ศิษย์จะรู้ว่าศิษย์มีสภาวะหนึ่งเดียวกับฟ้าอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เพราะอะไรจึงมองไม่เห็น เพราะความหลง ความโลภ ความโกรธ ความโง่เขลาเบาปัญญา แค่นั้นเอง เมื่อใดที่ศิษย์มองทะลุได้ สภาวะธรรมนั้นก็คือศิษย์ ศิษย์นั้นก็คือผู้พ้นทุกข์ได้ เชื่ออาจารย์นะ




I:\laoshi\laoshi3.jpg




พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “แลไม่ผลักไส”
ไม่ยินดียินร้ายก็ไม่ผลักไส ไม่ชอบก็ไม่ต้องชังอันใดเลย
ไม่ยึดไว้เลยไม่ต้องผลักไสเอย ในความเฉยขอให้เป็นเช่นนี้แล
รักชอบและความเกลียดชัง บดบังจิตใจเดิมแท้
มุ่งได้ไม่อาจแน่วแน่ เพราะแพ้ตนเองข้างใน







อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา