วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

2556-05-25 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


西元二○一三年 歲次壬辰四月十六日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

เห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตไหม เห็นความโลภโกรธหลงไปในทุกอย่าง
เห็นความทุกข์แล้วไม่พอยังไม่วาง เห็นทุกอย่างเพราะไม่นิ่งจึงทุกข์ทน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ทุกข์แล้วการุณย์คำว่าทุกข์จะเบา ใครไม่เข้าถึงรู้จะคับข้อง
ทุกข์แล้วลุกขึ้นด้วยธรรมเบาสมอง ทุกข์ลอยฟ่องต้องตนแต่ไม่ระคาย
ยกใจนั้นเท่าเครื่องค้ำชูชีวิต สหายมิตรว่ากันเองมารยาทอย่าหาย
คนสำนึกรู้ด้วยตนไม่หลงไป ความคิดเที่ยงสิ่งสำคัญในการบำเพ็ญ
จงกำราบเคยชินนี้อย่ารู้เบื่อ คำที่กล่าวก่อนนั้นเหลือกี่เปอร์เซ็นต์
ทุกสิ่งมารวมในกายนอกเห็น การบำเพ็ญอย่านำตนไปโยนกลอง
เก่งสามารถสติมีย่อมรู้ตัวว่า คนไม่มีธรรมปัญญาไม่มีของ
การบำเพ็ญต้องปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ผู้ฝึกฝนนำมาจ้องศึกษาตน
ฝึกการให้ฝึกอภัยรู้ทั้งรู้ ในการอยู่ร่วมคนมักไม่พ้น
ประชดคำว่าคำกายใจอดทน ฟังรู้ตนบำเพ็ญจิตแล้วหรือยัง
ใช้ชีวิตอย่าหลวมหลวมรวมรวมไป มองทะลุเห็นสัจธรรมใจไปถึงฝั่ง
กลับสู่หนึ่งเป็นรวมทุกสิ่งว่าง ในสว่างโดยไม่กลับไปกลับมา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
การศึกษาเรียนรู้ธรรมะ เป็นเรื่องต้องใช้ความอดทนไหม (อดทน)  แค่พูดก็เห็นใจแล้ว การเรียนรู้ศึกษาธรรมะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เมื่อต้องใช้คำว่า “อดทน” แปลว่า ยังไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า “อดทน” เคยได้ยินคำนี้หรือเปล่า เพราะไม่เข้าใจจึงต้องพยายามอดทนฟังให้จบ คุยแค่นี้พอไหม (ไม่พอ) เห็นว่าฟังมามากมายแล้ว ฟังอีกนิดหนึ่งจะล้มคว่ำเลยไหม ฟังได้นานหรือเปล่า
เราอยู่ในโลกนี้เรามีสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย บางครั้งเรามองเห็นบางครั้งเรามองไม่เห็น บางทีเราเห็นชัดๆ แล้ว แต่กลับทำอะไรไม่ได้ บางทีเห็นตัวเองโกรธ เห็นว่าตัวเองโลภ ตัวเองหลงมืดมัว แต่ถามว่าเห็นแล้วเราทำอะไรกับสิ่งที่เราเห็นไหม ที่ทำไม่ได้เพราะใจไม่นิ่ง ที่อดไม่ไหวเพราะใจอยู่เฉยไม่เป็น ฉะนั้นไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตาที่เราเห็น กับหูที่เราได้ยิน หรือกับใจที่ยังรู้สึก เพราะอะไรเราจึงวิ่งไปตามอารมณ์ต่างๆ มากมาย ก็เพราะว่าพอเราเห็น พอเรารู้สึกแล้วเราไม่เคยหยุดนิ่ง เห็นปุ๊บก็ไปปั๊บ อยากปุ๊บก็ทำทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเห็นปุ๊บแล้วลองนิ่ง แล้วลองถามตัวเองว่า เราต้องทำตามใจอยากเสมอไปไหม เราต้องโกรธตามที่ใจเราบอกให้โกรธตลอดไปอย่างนั้นหรือ เราเคยนิ่งและถามใจตัวเอง เคยนิ่งจนรู้เท่าทันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจตัวเราเองไหม ไม่เคยเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนใหญ่จะตกผลโกรธไปแล้ว ด่าไปแล้ว แล้วค่อยเพิ่งมาเห็น ถูกหรือเปล่า (ถูก)  อย่างนั้นก็ไม่ถูกต้องแล้วนะ รู้ได้เมื่อสายทุกที แปลว่าชีวิตที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะเราขาดการรู้เท่าทันใจและนิ่งไม่พอ
นี่เป็นการศึกษาธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง ท่านอาจจะยังไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ว่ากระไร ลองคุยกันดูสักหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  การมาของเราทำให้ท่านทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าทำให้ท่านทุกข์เรายินดีไปนะ
การแต่งตัวก็บ่งบอกถึงความประพฤติและจิตใจได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่เหนื่อยกันใช่ไหม (ใช่)  เหนื่อยไหมในการฟังธรรมะ (ไม่เหนื่อย)  อย่างนั้นพร้อมที่จะฟังต่อไหม (พร้อม)  ถ้าพร้อมก็เชิญทุกท่านนั่งลงได้
มาฟังธรรมะก็อยากหาทางปลดทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นก่อนที่เราจะคุยกัน เราขอถามท่านหน่อยนะว่า ถ้าวันหนึ่งชะตาบอกให้เราต้องเจ็บป่วย เราก็ต้องเจ็บป่วยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันหนึ่งชะตาบอกให้เราต้องทุกข์ทน เราก็ต้องทุกข์ทนใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันหนึ่งชะตาบอกให้เราต้องหมดตัว เราก็ต้องหมดตัวใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเริ่มเปลี่ยนไปล่ะ เราพูดใหม่ก็ได้ เราถามท่านว่าถ้าวันหนึ่งชะตาชีวิตบอกให้เราต้องเจ็บป่วย เราก็ต้องเจ็บป่วยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันหนึ่งชะตาชีวิตบอกให้เราทุกข์ทน เราก็ต้องทุกข์ทนใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าชะตาชีวิตบอกให้เราต้องหมดตัว เราก็ต้อง (ไม่หมดตัว)  แล้วทำไมเมื่อครู่คิดไม่ได้ แล้วตอนนี้ถึงมาคิดได้แล้วล่ะ
ถ้ามนุษย์ยังคิดว่าชะตาชีวิตอยู่ที่ฟ้ากำหนด ถ้าฟ้ากำหนดให้อย่างไรเราก็ต้องว่าอย่างนั้นโดยไม่ขัดขืน ถ้าเกิดชะตาชีวิตให้เราทุกข์ เราจำเป็นต้องทุกข์ไหม (ไม่จำเป็น)  ถ้าชะตาชีวิตให้เราหมดตัว เราจำเป็นต้องหมดตัวไหม (ไม่จำเป็น)  อย่างนั้นท่านก็รู้ทางพ้นทุกข์แล้ว เราก็คงไม่ต้องบอกอะไร ถ้าชะตาชีวิตกำหนดให้เราทุกข์แต่เราไม่ทุกข์ ชะตาชีวิตก็ทำอะไรเราไม่ได้ คนที่ไม่รู้จึงปล่อยชะตาชีวิตไปตามยถากรรม แต่คนที่รู้จะไม่ยอมปล่อยชะตาชีวิตเป็นไปตามยถากรรมโดยเด็ดขาด ฉะนั้นตอนนี้ท่านนั่งตรงนี้ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไม่ลำบากใจ ไม่แอบว่าคนที่ชวนมาเลยใช่ไหม เหมือนตอนนี้นั่งทุกข์ไหม ชะตากำหนดหรือใจเรากำหนด
(ใจเรา)  จะโทษคนที่พามาได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ก็รู้ทางแก้แล้ว อย่างนั้นเราไม่ต้องบอกอะไรแล้ว ฉะนั้นต้องจำไว้ ผู้รู้จะไม่ปล่อยตัวเองไปตามยถากรรม แต่ผู้รู้จะบอกตัวเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากใจ ถ้าเกิดชีวิตต้องทุกข์ แล้วเราต้องทุกข์ตามที่เขากำหนดอย่างนั้นหรือ เราแก้ได้ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากใจ แล้วทำไมเราจะแก้ที่ใจตัวเองไม่ได้ ถ้าเกิดชะตาชีวิตควบคุมเราไม่ได้เสียแล้ว แล้วโชคดีโชคร้ายจะมีอิทธิพลต่อหัวใจเราไหม เพราะว่าสิ่งสำคัญคือใจเรา ไม่ใช่ผู้อื่น ไม่ใช่ฟ้า ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ผู้ที่มีโชคดีที่สุดจะหาความสุขได้ในทุกๆ วัน ผู้ที่มีความสุขคือผู้ที่ยินดียอมรับในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตได้”
ฉะนั้นทุกข์สุขอยู่ที่ใครกำหนด ถ้าอยู่ที่เรากำหนด ฉะนั้นถ้าตอนนี้คนเขาด่าให้เราทุกข์เราจำเป็นต้องทุกข์ไหม ถ้าวันนี้เรากลับบ้านไปถูกขโมยขึ้นบ้านเราจำเป็นต้องหมดตัวจริงๆ ไหม ฉะนั้นชะตาชีวิตคนไม่รู้จึงปล่อยไปตามยถากรรม แต่คนที่รู้จะกำหนดด้วยหัวใจตัวเอง
แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่ถึงแม้จะรู้สิ่งที่เราบอก แต่ถึงเวลาก็ทำไม่ได้เมื่อทุกข์มาก็ซื่อสัตย์ให้ตัวเองต้องทุกข์ เมื่อความสูญเสียเจ็บปวดมาก็ซื่อสัตย์กับความสูญเสียและความเจ็บปวดใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงหาทาง
พ้นทุกข์ไม่ค่อยเจอถูกหรือเปล่า (ถูก)  อย่างนั้นเราขอถามท่านนะ ระหว่างมนุษย์กับความรู้สึกที่เรียกว่าได้เสียทุกข์สุข อะไรมาก่อนกัน ทุกข์มาก่อนตัวเราใช่ไหม ทุกข์สุขมาก่อนตัวเราใช่ไหม เชิญนั่งลงนะ แล้วท่านอื่นล่ะ ท่านคิดว่ามีตัวเราก่อนจึงรู้จักทุกข์สุขดีร้ายได้เสีย หรือว่าเรารู้จักดีร้ายได้เสียก่อนแล้วค่อยมีตัวเรา (ตัวเรามาก่อน)  เพราะมีตัวเรา เราจึง
รู้ว่าอย่างไรเรียกว่าสุข อย่างไรเรียกว่าทุกข์ เราเป็นคนกำหนดไม่ใช่หรือว่าถ้าทำแบบนี้ฉันจะสุข ถ้าทำแบบนี้ผมจะทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นผู้กำหนดทุกข์สุขดีร้ายได้เสียในชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพอถึงเวลาทุกข์สุขได้เสียมาถึงแล้ว เราก็เลยกลายเป็นคนที่ตายเพราะสิ่งที่ตัวเรากำหนดใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเราเป็นคนกำหนดเองไม่ใช่หรือ ทุกข์สุขนั้นมาทีหลังตัวเราอีกนะ
ถามว่าทำแบบนี้ทำไมเราเรียกว่าดีใจ ทำแบบนี้ทำไมเราเรียกว่าเสียใจ แล้วทำแบบนี้ทำไมเรียกว่าสุข ทำแบบนี้ทำไมเรียกว่าทุกข์ แต่ละคนมีมาตรฐานเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนบอกว่าสุขแต่บางคนบอกว่าไม่สุข ฉะนั้นทุกข์สุขได้เสียกำหนดเรา หรือเรากำหนดทุกข์สุขได้เสีย (เรากำหนด)  จริงหรือ (จริง)  แต่ทำไมยิ่งมีชีวิตๆ กลายเป็นว่าทุกข์สุขที่เรากำหนดนั้นกลับมากำหนดบังคับเรา ใช่ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ทำไมหรือ ถ้าทุกข์มาแล้วเราต้องทุกข์ ถ้าเราเจอความเจ็บป่วยมาแล้วเราต้องเจ็บป่วย ไม่จริง ถ้าเจ็บป่วยมาแล้วต้องเจ็บป่วย ทำไมท่านหนีไปหาหมอ ถ้าทุกข์แล้วท่านต้องทุกข์ทำไมท่านถึงพยายามดิ้นรนหาความสุข ถ้าสูญเสียแล้วต้องหมดตัวทำไมท่านถึงต้องพยายามแสวงหาเพื่อไม่ให้ตัวเองหมดตัว ฉะนั้นถามตัวเองให้ดีๆ นะ เรากำหนดชีวิตหรือว่าชีวิตกำหนดเรา (เรากำหนดชีวิต)  เราเป็นผู้กำหนดความทุกข์ความสุขหรือความทุกข์ความสุขกำหนดเรา (เรากำหนดความทุกข์ความสุข)
อย่างนั้นถ้าเราถามท่านว่า กิเลสตัณหาความเจ็บป่วยความทุกข์ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อเราใช่หรือไม่ แท้จริงแล้วความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่ดี จริงไหม การสูญเสีย การโดนว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีจริงไหม เราโดนคนว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราโดนคนด่าเป็นสิ่งที่น่าหดหู่ เข้าใจถูกต้อง เราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต อย่าให้สิ่งที่เรากำหนดแล้วเราบอกว่าเราชอบหรือไม่ชอบหันกลับมาควบคุมเรา ใช่เราเกลียดคนด่าแต่เราต้องเกลียดคนที่เราด่าทุกคนเสมอไปไหม (ไม่)  เมื่อมองสิ่งใดต้องมองให้ดี เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่ปัญหาอยู่ที่หัวใจเราที่ไม่รู้เท่าทันสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แล้วก็กลับมาทำร้ายตัวเอง
เราถามใหม่อีกที เงินคือกิเลสตัณหาที่ชั่วร้าย ผู้หญิงคือปัญหาของบุรุษ บุรุษคือตัวอันตรายของสตรี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าท่านเข้าใจชีวิตท่านจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะว่ากิเลส ตัณหา ผู้หญิงหรือผู้ชาย เงินทองล้วนไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือคนที่พยายามมีเงิน กิเลส ผู้หญิง บุรุษ ถ้ามีแล้วไม่เป็น ขาดคุณธรรม การมีนั่นแหละเป็นปัญหา ถ้ามีแล้วนำพาให้ตัวเองสุขไม่ได้ การมีนั่นแหละที่จะทำให้ท่านจมอยู่กับความทุกข์จนหาสุขไม่เจอ เหมือนถ้ามีเงินแล้วใช้ไม่เป็น หลงในเงิน เงินก็ฆ่าเราได้ เช่นนั้นแล้วเงินฆ่าเราหรือความคิดฆ่าเราเอง (ความคิด)  แล้วท่านเห็นได้อย่างนั้นหรือเปล่า (ทุกอย่างที่ท่านกำลังพูดมาไม่มีสิ่งไหนที่ดีสุดโต่งและเลวสุดโต่ง เพราะในความชั่วบางครั้งก็มีสิ่งดีอยู่ ในสิ่งที่ชั่วก็มีสิ่งที่ชั่วจัดอยู่ ในดีก็ยังมีดีสุด แม้ในดีก็ยังมีไม่ดีแฝงอยู่ คิดง่ายๆ เปรียบเหมือนศาสตร์สองหน้า มีหัวมีก้อย อยู่ที่ว่าเรากำหนดจะเอาตรงไหนมาใช้ ถ้าคุมดีก็จะใช้ได้ดี คิดทุกอย่างทำทุกอย่างไม่ว่าดีชั่ว ต้องมีสติและศีลธรรม แค่นั้นก็ประคองได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ดีหรือชั่ว หรือทุกอย่างที่เราเห็นทั้งหมด ซึ่งมีอยู่แล้ว เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ เป็นสิ่งที่อยู่ในธรรมะคือธรรมชาติ เพราะฉะนั้นที่เราประคองตนว่าดี ชั่ว สุข ทุกข์ อยู่ที่เราคิด ถ้าไปอยู่ในมุมโจรเราต้องเป็นโจรกับเขาไหม ก็ไม่ใช่ แล้วถ้าอยู่ในคนดีเราต้องเป็นคนดีกับเขาไหม บางครั้งเราก็เป็นโจรได้ อยู่ในหมู่โจรเราอาจเป็นคนดีในหมู่โจรก็ได้ จะเหมาว่าคุณไปอยู่ในหมู่โจร จะต้องเป็นโจรก็คงไม่ใช่)  ตอบได้ดี
แต่ถามว่าเมื่อถึงเวลาที่เราเจอกับตัวและเราคิดจะพ้นทุกข์ได้ไหม เพราะส่วนใหญ่มนุษย์ชอบที่จะมองออกมากกว่ามองเข้า และมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะมองปัญหาที่อยู่ภายนอกมากกว่าปัญหาที่เกิดจากใจ เหมือน
คำกล่าวที่ว่า “เรารู้ทั่วโลกชัด เรารู้คนแจ่มแจ้ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้และไม่เห็นคือ หัวใจเรา” ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดเราไม่ได้หมายถึงให้ท่านต้องไปแก้ที่ใคร แต่สิ่งที่เราพูดคือ การศึกษาเรียนรู้บำเพ็ญธรรม สิ่งสำคัญคือการหันกลับมามองตน อะไรจะเกิดก็แล้วแต่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อเราต้องไปอยู่ร่วมกับสิ่งที่เกิด เรารู้เท่าทันใจตัวเองไหม แล้วเราเคยยอมรับบ้างไหมว่าเราก็อาจจะเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้คนเขาไม่ดี คนโดยส่วนใหญ่ในโลกมักจะพูดว่าตัวเองดี ตัวเองเก่ง ตัวเองรู้แล้ว เราถามท่านนะว่า คนที่ดีแล้ว เก่งแล้ว รู้แล้ว คนเช่นนี้จริงๆ แล้วยังไม่ดี ยังไม่เก่ง ยังไม่รู้
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่ดีจริงเก่งจริงจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ถึงรู้ก็บอกว่ายังไม่รู้ ถึงเก่งก็บอกว่าไม่เก่ง ถึงเข้าใจก็ยังบอกว่ายังโง่ยังขลาดเขลา เพราะการที่คิดแบบนี้จะทำให้หลายๆ คนอยากให้ความรู้เขา เพราะคิดแบบนี้หลายๆ คนอยากแนะนำตักเตือนเขา แต่ถ้าท่านพูดว่ารู้แล้วเข้าใจแล้วเห็นแล้ว เชื่อไหมว่าไม่มีใครอยากบอกอะไรดีๆ กับท่านหรอก
รากฐานแห่งความดีงามเป็นรากแก้วที่สำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถเป็นคนดีและเติบโตในสังคมที่ชั่วร้ายได้ นั่นคือความอ่อนน้อมถ่อมตน
ถ้ารากแก้วแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งใหญ่มากเท่าไร โอกาสที่ท่านจะได้เรียนรู้ศึกษาก็ยิ่งเพิ่มพูน แต่โดยส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะเราน่ากลัวใช่ไหม (ไม่ใช่)  เพราะกลัวโดนเราหลอกใช่หรือไม่ นั่นก็เลยเป็นกำแพงแก้วบางๆ ที่ทำให้ท่านไม่อยากคุยกับเรา ไม่กล้าเปิดใจทั้งหมด
ไม่เป็นไรหรอก เป็นธรรมดาที่ท่านจะคิด แต่เราแค่อยากบอกว่าให้วางสิ่งที่ท่านรู้ไว้ก่อน แล้วมาคุยกันด้วยหัวใจที่ว่างๆ ดีไหม ท่านก็รู้ว่าน้ำที่เต็มแก้วใส่อะไรก็ไม่ได้ จิตใจที่เต็มไปด้วยม่านกังขาทิฐิความยึดมั่นคุยกับใครก็ย่อมไม่รู้เรื่อง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นลองเปิดใจสักนิดหนึ่ง ได้หรือไม่ (ได้)  เราจะได้คุยกันต่อได้ยาวๆ หรือถ้าไม่เปิดใจแค่นี้ก็ได้นะ
ฟังไปตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ บางคนก็ลืมไปแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอยากจะบอกท่านนะว่า ชะตาชีวิตไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม ผู้รู้เข้าใจว่าทุกๆ สิ่งล้วนเกิดจากใจ ฉะนั้นมีหรือเราจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตไม่ได้ ฉะนั้นถ้าชะตาชีวิตไม่สามารถควบคุมใจเราได้ อย่างนั้นแปลว่าเราสามารถมีอำนาจเหนือชะตาชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรที่มีอำนาจเหนือชะตาชีวิตถ้าไม่ใช่จิตใจของเรา
ฉะนั้นใจเรายิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งใด และใจเรานี่แหละสามารถสร้างทุกสิ่งและทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตาถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าทุกข์เกิดจากใจไม่ใช่เกิดจากผู้อื่น การแก้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเกิดเรามองว่าทุกข์เกิดจากผู้อื่นอยู่ร่ำไป การแก้ก็เป็นเรื่องยากทุกๆ วันใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้ เวรภัยย่อมไม่มีแก่ผู้สำรวมระมัดระวัง เคยได้ยินคำนี้ไหม ฉะนั้นผู้ฉลาดจึงละบาป ผู้ปรารถนาความสงบจึงตัดกิเลสโลภโกรธหลง
ให้สิ้น เคยได้ยินคำพูดคำนี้บ้างไหม ไม่เคยเลยใช่หรือเปล่า บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้ เวรภัยย่อมไม่มีแก่ผู้สำรวมระมัดระวัง ผู้ฉลาดย่อมละบาป
ผู้ปรารถนาความสงบสุขต้องตัดให้สิ้นซึ่งโลภโกรธหลง แปลว่าไม่ว่าจะเป็นเวรภัย ไม่ว่าเราปรารถนาบุญวาสนา หรือไม่ว่าเราต้องการที่จะพบความสงบแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดได้ด้วยการทำที่ตัวเอง
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์กลับชอบเรียกร้องคนอื่น พอทำดีไม่ได้ดีเราก็โทษฟ้า พอทำดีไม่ได้ดีเราก็ด่าว่าคนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราเคยหันกลับมาไหม เมื่อทำความดีถามสิว่าทำถึงที่สุดหรือยัง เมื่อทำดีไม่ได้ดี ว่าคนอื่นไม่ดี ถามตัวเองว่าตัวเองไม่ผิดเลยสักนิดหนึ่งหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามองอย่างนี้เราจะโทษใครไหม (ไม่โทษ)  ฉะนั้นพุทธะจึงกล่าวว่า การทำสิ่งใดก็ตามจะทุกข์หรือสุขอย่ามัวแต่โทษฟ้าโทษชะตา แต่ต้องหันกลับมาตรวจสอบตน ว่าทำเต็มที่ไหม ทำโดยหวังผลหรือเปล่า แล้วเคยได้ยินไหมว่า บางครั้งแม้จะทำดีขนาดไหนแต่บางทียังมีกรรมเก่าที่เราต้องชดใช้ให้หมดสิ้นก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทำดีแล้วไม่ได้ดีอย่าเพิ่งน้อยใจ เพราะนั่นท่านกำลังได้ชดใช้กรรมเก่าอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเจอเรื่องอะไรก็ตามถ้าเราทำแล้วหันมาตรวจสอบตน
สักนิดหนึ่ง อดทนหรือยัง อยากเป็นคนดีไม่ดีหันมาตรวจสอบตามที่เราบอก อดทนไหม อันที่สองหนักก็เอาเบาก็สู้หรือเปล่า อันที่สามใครว่า
นิดๆ หน่อยๆ ก็พาลโกรธเอะอะหาเรื่องยอมไม่ได้ แล้วเวลาทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบใครหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้ยังไม่เรียกว่าคนดี เพราะคนดีต้องอดทนได้ คนดีหนักก็เอาเบา
ก็สู้ คนดีคือคนที่กล้ายอมเสียเปรียบแม้ผู้อื่นจะได้เปรียบ และคนดีคือคนที่ใครว่าอะไรก็ไม่ตัดพ้อต่อว่า ยินดีรับฟัง ใช่ไหม (ใช่)
เราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่ต้องถามว่าท่านทำดีด้วยกายใจพร้อมบริสุทธิ์หรือไม่ อย่างนั้นเรายกตัวอย่างง่ายๆ ให้ดูว่าถ้าเกิดว่าทำดีขนาดนี้แล้วเรายังจะทำอยู่ไหม แล้วทำไมเกิดเป็นคนจึงต้องพึงรักษาความดีไว้ในชีวิต ไม่จำเป็นจะต้องดีก็ได้นี่
“มีชายคนหนึ่งไม่ได้ร่ำรวยอะไร เป็นคนยากจนเสียด้วยซ้ำไป แต่เขาเห็นว่าทุกครั้งที่คนหมู่บ้านนี้จะไปอีกหมู่บ้านหนึ่งต้องเดินผ่านลำคลอง แต่ลำคลองนี้ยังไม่มีสะพาน เห็นแบบนี้แล้วเขาก็เลยเสียสละตัวเองรับจ้างพาคนข้ามคลอง ให้เงินก็เอาไม่ให้ก็ไม่โกรธ และช่วงที่ข้ามฝั่งท่านคิดว่าบางครั้งต้องมีเซ มีลื่นไหม แล้วเวลาคนที่เขาข้ามฝั่งเขาต้องเกาะ
ที่บ่า มือที่ดึงก็ต้องดึงที่หัว เขายึดอาชีพนี้จากคนที่มีผมกลายเป็นคนผมน้อยเพราะโดนดึงผม แต่เขาก็ไม่โกรธเพราะคิดว่าได้ทำงานได้ช่วยคน จนกระทั่งเขาเก็บหอมรอมริบเงินจากการที่พาคนข้ามฝั่งได้จำนวนหนึ่งมาสร้างสะพาน เพื่อให้คนสามารถข้ามไปได้ แต่ช่วงที่สร้างสะพานเงินก็
ไม่พอ แต่การที่เขาตั้งใจทำสิ่งที่ดีแบบนี้กลับกลายเป็นว่าชาวบ้านชาวช่องที่รู้ก็เลยยินดีช่วยเหลือ สร้างจนสะพานนี้สำเร็จ แต่วันที่เปิดใช้สะพานสำเร็จวันนั้นฟ้าเกิดมืดครึ้ม เสียงฟ้าผ่าร้องลงมาดังเปรี้ยง ปรากฏว่าคนที่อุทิศเสียสละตัวเองทำสะพานจนเสร็จโดนฟ้าผ่าตาย ชาวบ้านละแวกนั้นตกใจเลยสลักไว้ที่ตัวคนว่า คนดีที่ถูกฟ้าลงโทษ” ถ้าเป็นเราทำดีขนาดนี้แต่โดนฟ้าผ่าตาย ยังอยากทำไหม คิดให้ดีๆ นะ แค่ชั่วขณะหนึ่งที่คิดได้ เราจะบอกท่านให้นะว่าสามารถละลายหนี้บาปเวรกรรมถึงหนึ่งพันครั้งได้ แค่ชั่วขณะจิตที่คิดดีได้สามารถละลายหนี้บาปเวรกรรมเคราะห์ร้ายพันๆ ครั้งด้วยการทำดีหนึ่งครั้งได้
ในจิตไม่มีสักนิดที่จะตัดพ้อต่อว่า ในจิตไม่มีสักนิดที่จะถามว่าทำไม ถ้าทำดีแล้วโดนขนาดนี้ ตลอดขณะจิตตายไปแล้วก็ยังรู้สึกว่าทำ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ไม่โกรธเลย ท่านรู้ไหมว่าชั่วขณะจิตของเขาที่ทำมาแทบแย่สามารถล้างเคราะห์กรรมเป็นพันครั้งเพราะยอมตายเพียงแค่หนึ่งครั้งเอง ฉะนั้นถ้าท่านคิดว่าการทำดีไม่มีค่าหรือ แต่ต้องอดทน แม้จะต้องเสียเปรียบก็ยอม แม้จะต้องถูกคนดูถูกดูหมิ่นก็ยอม แม้จะต้องหวานอมขมกลืนก็ยอม ถ้าท่านยอมได้ดีได้ขนาดนี้ ท่านไม่ต้องกลัว
เคราะห์กรรมในโลกแล้ว ท่านรู้ไหมหนึ่งความคิดที่คิดได้ แม้จะเป็นแค่ความคิดเดียวแต่สามารถบังเกิดบุญกุศลเป็นพันๆ ครั้งได้
เราถามท่านนะ ถ้าเรามีวิชาเสกเหล็กให้เป็นทองท่านอยากได้ไหม (ไม่อยากได้)  เราจะบอกให้ ถ้าใครบอกว่าอยากและไม่อยาก ผลจะเป็นอย่างไร เรื่องที่เราเจอกับตัวเราเองมาเล่าให้ท่านฟัง ก่อนที่เราจะฝึกฝนเป็นพุทธะเซียนต้องสร้างบุญกุศลถึงพันครั้ง แต่อาจารย์ที่สอนเรานั้น ถามเราว่ามีวิชาเสกเหล็กให้เป็นทอง เราจะเอาไหม เราไม่ตอบอาจารย์ว่าอยากหรือไม่อยาก แต่คำตอบที่เราตอบอาจารย์ไปคือว่า อาจารย์มันอยู่ได้กี่ปี โลภไหม เราถามอาจารย์ว่าถ้าเรียนวิชานี้แล้ว จะอยู่ได้กี่ปี สามปีแค่นั้น เอาไหม เราเลยบอกอาจารย์ว่าไม่เอา เพราะว่าสามปีแรกเขามีความสุข แต่สามปีหลังเขาจะต้องทุกข์และแอบกลับมาด่าเราไม่น้อย ฉะนั้นเราเลยบอกอาจารย์ว่าไม่เอา แค่หนึ่งความคิดหนึ่งพริบตา อาจารย์บอกว่าหนึ่งความคิดของเจ้าได้สร้างกุศลครบสามพันเรียบร้อยแล้ว เห็นไหมว่าแค่ความคิด หนึ่งความคิดสามารถละลายหนี้บาปเวรกรรม หนึ่งความคิดที่ถูกต้องดีงามสามารถสร้างร้อยพันกุศลได้ แค่เรามีทองแต่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเราไม่เอา ใช่หรือไม่
คนๆ นี้พอตายไปแล้วเขาไม่โกรธ ในจิตเขากับปิติสุขว่าความมุ่งมั่นตั้งใจเขาสำเร็จแล้ว ถึงตายเขาก็ไม่เสียดายชีวิต เชื่อไหมจากร่างกายที่กลายเป็นขอทาน เขาได้กลับไปเกิดเป็นลูกของกษัตริย์ ฉะนั้นชะตาชีวิตไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด ไม่ใช่อยู่ที่ใครบีบบังคับให้เราต้องทุกข์ แต่เราจะบอกว่า มันอยู่ที่จิตของท่าน มุ่งมั่นตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามกับมโนธรรมสำนึก คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเองหรือไม่ และเราอยากจะบอกอีกว่า
การทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แม้เราจะไม่ได้รับผลนั้น แต่ลูกหลานย่อมได้รับผลบุญกุศลนั้น และนำพาให้เขาเจริญรุ่งเรืองด้วย
เราถามท่านนะ ท่านชอบทำบุญสุนทานไหม (ชอบ)  ถ้าเกิดว่ามีคนตลอดสามปีมาขอท่านไม่ขาดตกบกพร่องสักวันเดียว ท่านยังจะยินดี
ให้ไหม (ให้)  ตลอดสามปีมาขอท่านทุกวัน ขอไปก็บอกว่ามากกว่านี้หน่อย ขอไปก็บอกว่าเมื่อวานนี้ไม่อร่อยเลย วันนี้จะแย่กว่านี้ไหม แต่ขอไหมก็ขอเหมือนเดิม
ตลอดสามปี ท่านยังยินดีจะให้โดยไม่อิดหนาระอาใจหรือไม่ (ให้)  ว่าอย่างไร (ถ้าให้แล้วเราไม่เดือดร้อนก็ให้)  แล้วถ้าเกิดว่าเขาก็ยังขอ มีมากมีน้อยก็ยังขอให้ไหม (ก็ให้แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเขาเอาไปทำมาหากินหรือเปล่า) ส่วนใหญ่จะคิดแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่เรายกตัวอย่างนี้เพื่อให้ท่านรู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง ตั้งแต่เราอยู่ใน โลกนี้ตราบจนเราลงมาบนโลกมนุษย์ ก็ไม่เคยเห็นใครทำได้เท่าผู้หญิงคนนี้ เชื่อไหมว่าแม้เขาไม่มี เขาก็ให้นะ ตลอดสามปี แม้ตัวเองจะไม่ได้กินก็ยังให้ เชื่อไหมว่าตลอดสามปี ที่เขาให้แม้จะลำบากอย่างไรเขาก็ยินดีปรีดา อ้าวมาแล้วหรือวันนี้มาช้าจัง แม้ตัวเองจะไม่เหลืออะไรเขาก็ยังให้ เชื่อไหมว่าตายไปแล้วลูกเขาเจริญรุ่งเรืองเท่ากับเมล็ดงาหนึ่งถังเต็มๆ คิดดูว่าเมล็ดงาหนึ่งถังเต็มๆ ลูกเขาได้รับผลบุญจากการที่ให้โดยไม่อิดหนาระอาใจ ให้เพราะว่ายินดีที่จะให้ ฉะนั้นทุกท่านที่บอกเราว่าเป็นคนดีเมื่อเทียบกับสามคนนี้ เราเทียบอะไรไม่ได้กับขี้เล็บเขาเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเพราะอะไรพุทธะจึงอยากให้มนุษย์รู้จักกุมชะตาชีวิต อย่าปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม และรู้จักสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีงามเป็นรากฐานเพราะว่าความถูกต้องดีงามทำให้เราเกิดก็เป็นสุข ตายก็เป็นสุข และเมื่อแม้เราตายแล้วลูกหลานเราก็ได้สุขนั้นด้วย และเคราะห์กรรมที่เราหวาดกลัวในชีวิตเราก็ไม่ต้องกลัวเพราะชาตินี้เรายินดีชดใช้แล้ว ฉะนั้น
ทำดีอดทนหรือยัง ทำดีหนักเอาเบาสู้ไหม ทำดียอมเสียเปรียบหรือเปล่า ทำดีโดนว่าแล้วโกรธหรือไม่ ถ้าทำได้ครบสี่อย่างนี้นั่นแหละเรียกว่าดี แต่ถ้ายังไม่ครบสี่อย่างนี้ เวลาทำแล้วยังลังเล ทำไปแล้วยังอดบ่นตัดพ้อต่อว่าอย่างนี้ไม่เรียกว่าดี แล้วหวังว่าจะทำดีละลายหนี้บาปเวรกรรมไม่มีทาง แล้วหวังว่าทำดีแล้วลูกหลานจะเป็นสุขยิ่งไม่ใช่ แล้วหวังว่าทำแล้วจะได้สร้างกุศลผลบุญเป็นสิ่งที่ดีก็ยิ่งห่างไกล ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรมจึงอยากบอกให้ท่านรู้ว่าดีหรือไม่ดีไม่ใช่ฟ้ากำหนด แต่อยู่ที่เรากำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมต้องมีดีก็เพราะว่าการมีดีนี่แหละคือหนทางนำพาไปสู่ชีวิตที่ประเสริฐ จริงหรือไม่ (จริง)  ยังอยากดีไหวไหม ฉะนั้นคนที่หลงว่าตัวเองดีแล้วฟังเรื่องสามเรื่องนี้ดีหรือยัง (ยัง)  ฉะนั้นคนคนหนึ่งเกิดมาแล้วจะไม่ลองทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามหรือ หรือจะมานั่งฟังแค่เปล่าๆ แล้วไม่ได้อะไร ใช่ไหม
ไม่ต้องเบื่อเรานะ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านอีก ฉะนั้นวันนี้เป็นโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาแลกเปลี่ยน สนทนาธรรมกัน โดยส่วนใหญ่มนุษย์อยู่ร่วมกัน ไม่ว่าคนโน้นก็ว่าคนนี้ วันนี้ได้นั่งเฉยๆ แล้วได้มีโอกาสฟังธรรมบ้างก็ดีไม่ใช่น้อย ไม่ใช่หรือ ดีกว่าแอบไปนั่งนินทาว่าร้ายคนอื่น ได้หยุดใจตัวเองบ้าง การมาฟังธรรมก็คือ หยุดแล้วหันมองตน ไม่ใช่เอาแต่มองผู้อื่น ท่านเคยเห็นองค์พระไหม ทำไมองค์พระ
ทุกองค์ตาจะไม่มองออก แต่ตากลับมองเข้า นั่นท่านต้องการบอกปริศนาธรรมอะไร ยิ่งมองออกยิ่งทุกข์ ยิ่งมองออกยิ่งวุ่นวาย บางครั้งถ้าอยากพบพุทธะคือ หันกลับมองเข้า ท่านก็คือพุทธะ ท่านก็คือคนดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราไม่เคยมองเห็น เพราะเราเอาแต่มองออกไม่มองเข้า เอาแต่ว่าเขาแต่ไม่ว่าเรา เอาแต่เรียกร้องคนอื่นแต่ไม่เคยเรียกร้องตัวเอง
ฉะนั้นร้อยความดีกตัญญูมาเป็นหนึ่ง ถ้าขนาดพ่อแม่เรายังไม่เคยมีเวลาดูดำดูดี แล้วเราจะมีเวลาดูดำดูดีใครได้หรือ ขนาดพ่อแม่เรายังอดตัดพ้อต่อว่าไม่ได้ แล้วไปอยู่กับใครเราจะไม่ติเขาหรือ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงเริ่มต้นด้วยตัวเอง แล้วปฏิบัติกับคนรอบข้างโดยเฉพาะพ่อแม่เรา แม่เราเรายังดีไม่ได้ท่านจะไปรักใครได้ ถ้าพ่อแม่เราท่านยังแอบบ่นตัดพ้อ แล้วใครในโลกท่านจะไม่กล้าว่าบ้าง ไหนใครไม่เคยว่าพ่อแม่บ้าง อย่างนั้นถามท่านนะใครไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่เลย ขนาดคนที่รักท่านยังกล้า
ไม่ซื่อตรงได้ แล้วคนข้างหน้าจะซื่อตรงหรือ
อย่างนั้นมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันนะ หันมามองตนนั่นคือการศึกษาธรรม หันมาเรียกร้องตนนั่นคือการบำเพ็ญธรรม ท่านเป็นคนมีปัญญา เราขอยกย่อง และในชั้นนี้ก็เป็นคนมีปัญญาทั้งนั้น แต่บางครั้งปัญญาจะยิ่งเปิดกว้าง ถ้าเรารู้จักรับฟังบ้าง




วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

สิ่งที่เกิดขึ้นในจิต ความคิดปรุงแต่งยึดมั่น
จำได้หมายรู้สำคัญ รูปขันธ์หลงนามอัตตา
สร้างโลภโกรธหลงนิสัย ครองกายปองโลกหนักหนา
หลงรูปสมมติมายา ความจริงลวงตาบังใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยังอยากเจออาจารย์ไหม

รักสบายมากไปไม่เห็นดี แม้ความดียังรอคนที่เห็นค่ามาทำ ทำดีแค่นิดเดียว หมั๊นหมั่นไส้คนบ่นงึมงำ โยนทิ้งไปไม่เห็นทำ สองตาแดงก่ำโทษแรงกรรมหรือตัวเอง
ลุ้นมากก็คือลุ้นคน ลุ้น ลุ้นบ่นบ่นหลายหลายเพลง คนรู้ยังไม่เห็นเร่ง ถึงเหนื่อยศิษย์เองต้องทำให้ดี
ชื่อเพลง : ทำดีไม่ต้องรอ
ทำนองเพลง : รักปักใจ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์ไม่ได้มาสอนนะแค่มาคุยด้วย ศิษย์อาจารย์นั้นหัวแข็ง ให้สอนก็คงจะไม่ยอมฟังหรอก มาชวนศิษย์คุยดีหรือเปล่า ชวนคุยน่าจะคุยได้นานกว่า แต่พอบอกว่ามาสอน ฟังได้นานไหม ถ้าไม่เชื่อไม่ศรัทธาพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นอาจารย์บอกว่า อาจารย์ไม่ได้มาสอน แค่มาชวนคุย จะได้คุยกันไปเรื่อยๆ และนานๆ มากกว่า ถ้ามาสอนเดี๋ยวก็เบื่อ แล้วก็ไม่ฟังสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย
อาจารย์เคยได้ยินว่า มนุษย์ส่วนใหญ่นิยามชีวิตว่า เวลากินต้องกินให้ดี เวลาอยู่ต้องอยู่ให้นานจริงหรือ ส่วนใหญ่จะนิยามตัวเองว่า ถ้าจะกินต้องกินให้ดี ถ้าจะอยู่ต้องอยู่ให้สบาย ถ้ากินไม่ดี อยู่ไม่สบาย จะอยู่ไหม หนีไปไหนต่อไหนแล้ว ฉะนั้นชีวิตที่ปัจจุบันนี้ศิษย์พยายามดิ้นรนขวนขวายกันให้เต็มที่เพื่อจะได้ กินดีอยู่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์รู้ไหมแค่เริ่มต้นก็อาจจะผิดได้เหมือนกัน ถ้าคิดว่ากินแล้วต้องกินให้ดี อยู่แล้วต้องอยู่ให้สบาย ถ้าศิษย์จะเป็นศิษย์อาจารย์จี้กงแล้วล่ะก็ อาจารย์จะบอกว่า
นิยามของอาจารย์ “ถ้าจะมีชีวิตอยู่บนโลกกินไม่จำเป็นต้องอิ่ม ถ้ากินอิ่มและกินดี แล้วมีกรรมเกี่ยวท้ายอาจารย์ไม่เอา ถ้าอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องสบาย ขอให้มีที่นอนก็พอแล้ว ถ้าอยู่สบายแล้วต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาด แล้วต้องกลายเป็นคนไม่มีทำนองครองธรรม อย่างนั้นอยู่แบบง่ายๆ เรียบๆ ดีไหม” เวลาใส่เสื้อผ้าใครบ้างกล้าใส่เสื้อผ้าขาดออกจากบ้านยกมือให้อาจารย์ดู ถ้าวันหนึ่งใส่เสื้อขาดแล้วต้องไปอยู่กับคนใส่เสื้อดี อายไหม (ไม่อาย)  อย่างนั้นแปลว่า ถ้ากินก็ไม่จำเป็นต้องอิ่ม ใส่เสื้อผ้าก็ไม่จำเป็นต้องหล่อ อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องสบาย ชีวิตเริ่มต้นก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแล้ว แต่มนุษย์แค่เริ่มต้นคิด กินก็ต้องอิ่ม อยู่ก็ต้องสบาย ใส่เสื้อผ้าก็ต้องสวย มันยุ่งยากตั้งแต่คิดแล้ว อาจารย์ถามว่าใส่เสื้อผ้าแล้วทำไมต้องสวย เสื้อผ้าปุๆ ปะๆ อาจารย์ก็ยอมใส่ เพราะถ้าใส่แล้วสวยแล้วต้องหลงหนังหน้าตัวเองอาจารย์ก็ไม่ใส่ จริงไหม (จริง)  ถ้าใส่แล้วต้องหลงหนังกำพร้านี้จะใส่ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า จริงๆ แล้วจุดประสงค์หลักของการใส่เสื้อผ้าก็คือ การปกปิดร่างกาย แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าปกปิดอะไรรู้ไหม ปกปิดถุงขี้ ปกปิดถุงหนังที่ประกอบไปด้วยทวารทั้งเก้า ฉะนั้นถ้าเราใส่เสื้อผ้าแล้วทำให้เราหลง อาจารย์ก็ยอมใส่ที่มันโทรมๆ หน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร ขาดๆ หน่อยก็ไม่ได้ลำบากอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามศิษย์นะ ตอนนี้ยังนิยามชีวิตไหมว่า กินต้องกิน (ดี)  พูดจบแล้วยังตอบว่า กินต้องดี ศิษย์บอกว่าก็เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอกินดีๆ หน่อย อาจารย์ถามนะว่า ถ้ากินดีแล้วต้องก่อกรรมทำเข็ญ เคยได้ยินไหมว่า เกิดมาแล้วก็ฆ่าๆ คนนั้นจะอายุไม่ยืน (เคย)  เราบอกว่าไม่ได้ฆ่า แต่เรายืมมือเขาฆ่า เขาฆ่ามาแล้ว จริงๆ แล้วสัตว์ที่จะกินได้มีอยู่สี่ประเภท ถ้าพ้นจากสี่ประเภทนี้ศิษย์กินได้เลยอาจารย์ไม่ว่า ประเภทแรกคือ ไม่ได้ยินเสียงการฆ่า ประเภทที่สอง ไม่ได้เห็นการฆ่า ประเภทที่สาม ไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อฆ่า ประเภทที่สี่ ไม่ได้ฆ่าเพื่อมาให้เรากิน ถ้าพ้นจากสี่ประเภทนี้ศิษย์กินไปเถอะไม่บาป
ก็อาจารย์บอกแล้วว่าชีวิตของศิษย์จะนิยามการกินจะต้องกินดีใช่ไหม แล้วคำว่ากินดีนั้นจำเป็นต้องมีเนื้อสัตว์หรือไม่ อาจารย์ถามง่ายๆ นะสมมติว่าอาจารย์ชี้หน้าศิษย์อย่างนี้ โกรธไหม ศิษย์ก็ต้องถามว่า มาทำฉันทำไม ส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ศิษย์จะต้องคิดว่าทำๆ ไม เป็นอะไร ใหญ่มาจากไหนมาทำฉัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ายังมีคำว่าทำไม อย่างนั้นศิษย์แน่ใจได้อย่างไรว่า สัตว์ที่ศิษย์กิน มันจะไม่ถามศิษย์หรือว่า มากินฉันทำไม ใช่ไหม (ใช่)  เขาตบศิษย์ครั้งเดียว ศิษย์ยังจำไม่ลืม แล้วก็ไม่ขอโทษด้วยนะ ศิษย์เห็นหน้า ศิษย์ก็รู้เลยว่าคนนี้เขาเคยตบฉัน ใครด่าศิษย์ ศิษย์จำไหม (จำ)  แล้วสิ่งที่ดีๆ จำไหม จำแต่สิ่งที่ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  การเก็บจำไว้ นั่นคือ การจองเวรผูกใจเจ็บ ถ้าเราไม่เมตตาไม่ให้อภัย ก็คือการอาฆาตมาดร้าย แล้วศิษย์แน่ใจหรือว่า เมื่อศิษย์ไปทำเขาแล้ว เขาจะไม่อาฆาตมาดร้าย ถ้าไม่อยากมีกรรมก็อย่าเผลอ เพื่อกินดีแล้วสร้างกรรม เพื่ออยู่ดีแล้วเบียดเบียน คนแค่เริ่มต้นชีวิต ถ้าเริ่มต้นคิดผิด ก็จะผิดตั้งแต่ต้นไปจนถึงสุดท้าย แต่ถ้าเราเริ่มต้นถูก ทำอะไรมันก็มีแต่สิ่งที่ถูกต้อง จริงหรือไม่ (จริง)  จริงๆ ชีวิตกินแล้วอิ่ม อิ่มแล้วก็ขี้เกียจ ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเป็นลูกศิษย์อาจารย์ กินไม่ต้องอิ่ม ใส่ไม่ต้องหล่อ ไม่ต้องสวย อยู่ไม่ต้องสบาย ถ้าทำได้ก็เป็นศิษย์ของอาจารย์ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จงหลงโลกต่อไป
ศิษย์บางคนอาจจะบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกตายแล้วก็จบกันใช่ไหม (ไม่ใช่)  ศิษย์เอ๋ยก่อนตายแค่คิดว่าโกรธก็ตกนรก ถ้าคิดว่าห่วงก็อาจจะกลายไปเป็นปู่โสมหรือจิ้งจกเฝ้าทรัพย์ใช่ไหม (ใช่)  ล้วนเกิดจากจิตที่สั่งสมถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วตอนนี้จิตเราเข้าถึงความว่างความพ้นทุกข์บ้างหรือยัง (ยัง)  หาทางพ้นทุกข์เจอบ้างไหม ยังไม่เจอเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นก่อนที่จะพูด รู้จักอาจารย์หรือยัง (ยัง)  บางทีไม่รู้บ้างก็อาจจะดีก็ได้นะ เพราะมีชื่อมีตัวมีตนจึงมีทุกข์ ถ้าไร้ชื่อไร้ตัวไร้ตนทุกข์จะเกาะที่ใดจริงไหม (จริง)  อย่างนั้นบอกว่าอย่ารู้จักชื่อเลยดีไหม ชื่อก็แค่เป็นสิ่งสมมติใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นรู้จักชื่อสมมติอาจารย์หน่อยแล้วกันนะ จริงหรือรู้เรื่องหรือเปล่า แค่นี้ก็หายใจไม่ออกแล้ว อาจารย์ถามว่ายังอยากเจออีกไหม ตอนนี้อย่างไรก็ต้องเจอ หนีไม่พ้นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แปลกนะ เราเห็นพุทธะแต่เหมือนไม่ใช่พุทธะ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เห็นคนเป็นพุทธะ ศิษย์นั่นแหละก็คือพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายังเข้าไม่ถึงเลย มองเห็นเป็นแค่คนอยู่ร่ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยากนั่งกับอาจารย์ไหม อยากนั่งหรือยัง แต่โดยส่วนใหญ่เวลาอาจารย์มา อาจารย์ไม่ค่อยให้นั่งง่ายๆ ต้องตอบได้ก่อน อาจารย์ถึงให้นั่งนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พุทธะช่วยคนที่รู้จักช่วยตน การเอาแต่วอนขอโดยที่ไม่ลงมือทำเรียกว่า งมงาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าอาจารย์ถาม ศิษย์ตอบได้ ศิษย์มีทางเลือกสองทางคือ ช่วยตัวเองแค่นั้น หรือว่าไม่ช่วยตัวเอง แต่ช่วยผู้อื่น ฉะนั้นถ้าอาจารย์ถามว่า เราอยู่ในโลกนี้ อะไรเป็นสาเหตุทำให้เราทุกข์ ใครตอบได้ (ใจของเราเอง)  อย่างนั้นคนที่ตอบจะนั่งหรือให้คนอื่นนั่ง (ให้คนมีอายุนั่ง)
ทุกข์เกิดจากอะไร ส่วนใหญ่จะตอบว่าทุกข์เกิดจากใจ ก็เพราะคิดอย่างนี้ เลยแก้ทุกข์ไม่เคยพ้นสักที เลยหาทางพ้นทุกข์ไม่ได้เลย เหมือนตอบแล้วก็เอาหัวชนกำแพง แต่ถ้าพูดตามหลักพุทธศาสนา ทุกข์เกิดจากอะไร (อวิชชา)  อวิชชาแล้วตามมาด้วย (ตัณหา อุปาทาน กรรม)  อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน กรรมอย่าเพิ่งไปถึงตรงนั้น มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร
(ทุกข์เพราะไม่รู้)  อาจารย์ศิษย์ก็รู้แล้วว่า ทุกข์เพราะไม่รู้ ไม่รู้จึงเกิดความอยาก อยากในโลภ โกรธ หลง แล้วพออยากในโลภ โกรธ หลงแล้วก็ยึด ทางพุทธศาสนาที่ศิษย์เรียนมา เมื่อรู้ขนาดนี้แล้วทำอย่างไรต่อ ท่านก็เลยบอกว่า ให้ใช้คำว่า รักษา (รักษาใจ)  วิธีแก้ก็คือ ต้องมีทาน ศีลและภาวนา ศิษย์ของอาจารย์จะเป็นพุทธะเต็มที่แล้วนะ เมื่อเราไม่รู้ก็จะเกิดความอยาก และต้นเหตุของความอยากก็คือ โลภ โกรธ หลง เมื่อมีโลภ โกรธ หลง อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ แห่งบาป แห่งความวุ่นวายทั้งมวลและเป็นต้นเหตุแห่งกรรม พระพุทธะให้มนุษย์รู้จักคำว่า “ทาน ศีล ภาวนา” เพราะว่าทานนั้นเอามาใช้คู่กับ (โลภ)  ฉะนั้นท่านจึงสอนให้เรารู้ พอเราไม่รู้แล้วเราไปยึดในตัวนี้ก็จะเกิดความอยาก ท่านจึงสอนให้มีทาน ศีลและภาวนา คำว่า “ทาน” จึงใช้คู่กับความ “โลภ” โลภมากๆ จึงต้องให้ทาน โกรธมากๆ จึงต้องมีศีล หลงมากๆ จึงต้องมีปัญญารู้แจ้ง ปัญญาก็คือ เข้าถึงและหยั่งรู้ความจริงบนโลกใบนี้ อาจารย์ถามศิษย์อีกหน่อย เรามีความโลภมากๆ ก่อนแล้วจึงทำทาน นี่คือทานที่ถูกต้องใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราไปโกรธมามากๆ ไปด่าคนนั้น ไปเกลียดคนนี้แล้วค่อยมารักษาศีลที่วัด เราไปหลงมาแล้ว แล้วค่อยมานั่งฟังธรรมหาปัญญารู้แจ้ง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วที่ทำกันอยู่นี่ใช่ทั้งนั้นเลย ศิษย์ไปประพฤติผิดด้านหนึ่งแล้วศิษย์ก็ไปรักษาศีลอีกด้านหนึ่ง ศิษย์ไปทำร้ายเบียดเบียนคน ไปด่าคนมา อีกด้านหนึ่งไปโลภของเขามา แล้วศิษย์ก็ค่อยมาทำบุญอีกด้านหนึ่ง ฉะนั้นศิษย์ก็เลยเป็นคนที่ บุญก็มี กรรมก็สร้าง ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ที่บอกว่าไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ภายนอกและภายใน วันนี้อาจารย์จะบอกศิษย์สองเรื่องคือทำอย่างไรให้รู้จักภายนอกและภายใน ก่อนจะไปอยาก เพราะมีความอยากจะทำให้ขาดความเมตตา อดความอยากและให้ทานเขา เราไปแย่งชิงขับเคี่ยวด่าเขาเรียบร้อยแล้ว ค่อยไปอุทิศส่วนกุศลให้เขา เขาจะรับหรือ ถูกไหมศิษย์ (ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม เป็น ไปด่าเขาเป็นคุ้งเป็นแควแล้วค่อยแผ่ส่วนกุศลให้ไปว่าอย่าโกรธกันเลยนะ อย่าเกลียดกันเลยนะใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นการประพฤติธรรมไม่ใช่แค่ประพฤติในวัด แต่การประพฤติธรรมที่แท้จริงคือประพฤติในทุกๆ ที่ให้เราสามารถมีทาน มีศีลและหยั่งเห็นความแจ้งจริงในโลกใบนี้ เมื่อนั้นแหละถึงจะเรียกว่ารู้แล้วไม่อยาก ไม่หลง ไม่ยึดใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรายังต้องรู้อะไรอีกในโลกที่จะทำให้เราไม่ทุกข์ (รู้ใจตัวเอง)  รู้ใจตัวเอง รู้ตัว คนที่ไม่ตอบกับคนที่ตอบอาจารย์ยังย้ำเหมือนเดิม (ปัญญาและศรัทธา)  ปัญญาและศรัทธาหรือ คนที่ตอบจะให้เขานั่งแล้วตัวเองไม่ต้องนั่งเอาไหม นี่แหละศิษย์กำลังได้ทำทานใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ให้ศิษย์ฟังและปฏิบัติเลย รู้แล้วทำเลย แต่ศิษย์รู้แล้วทำไหม เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สอนนี่ อยากทำดีต้องอดทน อยากทำดีต้องยอมเสียเปรียบคนไม่ใช่หรือ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าเมื่อศิษย์กล้าตอบแล้วศิษย์ต้องกล้าให้เขานั่งแล้ว เรายืนไหม กล้าไหม (กล้า)  แล้วคนที่ไม่ตอบกล้านั่งหรือ โลกใบนี้นะศิษย์ อาจารย์รู้ว่าเมื่อยนะแต่อดทนหน่อย อาจารย์อยากจะบอกว่าโลกใบนี้มีคนอยู่สามประเภท ประเภทแรกคือรักดี อีกประเภทหนึ่งคือไม่รักดี กับอีกประเภทหนึ่งคือจะรักดีก็ไม่แน่ใจจะรักชั่วก็ไม่เอา ยังไม่รู้เหมือนกันเพราะยังลังเล แต่เชื่อไหมว่าคนรักดีมักถูกคนสองประเภทนี้ถล่มจนไม่อยากศรัทธาในความดี ใช่ไหม (ใช่)  เวลาเราทำดีเขาก็ว่า ทำไปทำไม เขาชั่วก็ปล่อยเขาไปเถอะ นั่นคือประเภทที่สามซึ่งชอบพูด พอทำเสร็จแล้วเราก็มักจะไม่ได้ดี อาจารย์ว่าประเภทที่สามนั่นแหละที่น่ากลัวที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฟังยาวๆ แบบนี้งงไหม (ไม่งง) ไม่งงนะคงพอจะเข้าใจบ้าง เพราะว่าอาจารย์พูดไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นประเด็นหลักๆ ที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ในวันนี้ก็คือ รู้อะไรแล้วไม่ทุกข์ รู้นอกหรือรู้ใน หรือรู้ทั้งนอกในแล้วไม่ทุกข์ อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นว่างอยู่แล้ว แต่ความหลงไม่รู้ มักเผลอไปยึดเอาว่ามี ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นว่างด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่เพราะคนไปหลงคิดว่ามี (เพราะหลงจึงต้องก่อกรรม หลงจนไม่มีอะไรจะหลง ก็หมดความหลง)  อาจารย์จึงบอกว่า ก่อนจะหลงจนไม่หลง รู้อะไรที่ทำให้ไม่หลง (ทำยากเย็นแสนเข็ญ)  ไม่ใช่เรื่องยากเชื่ออาจารย์เถอะ อาจารย์จะบอกวิธีง่ายๆ อยากรู้ไหม (อยาก)  เพราะวิธีที่อาจารย์จะบอกนี้ง่ายที่สุดแล้ว
สมมติอาจารย์มีแอปเปิลอยู่หนึ่งใบ ในแอปเปิลมีฝั่งหนึ่งถ้ากินแล้วจะมีความสุข กินแล้วจะสบายและมีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข แต่อีกฝั่งหนึ่งกินแล้วต้องเจ็บ ต้องสูญเสียพลัดพราก กินแล้วต้องทุกข์และถึงที่สุดกินแล้วต้องตาย อาจารย์ถามศิษย์ว่า “อยากกินแอปเปิลนี้ไหม” (ไม่อยาก, ไม่ขอมีแอปเปิลเลย)  ไม่ขอมีแอปเปิลเลยเป็นไปได้ไหม คิดให้ดี ถ้ากินไม่ถูกฝั่งอาจจะตาย อาจจะเจ็บ อาจจะพลัดพรากอาจจะต้องสูญเสีย ยังอยากกินไหม บางคนบอกว่ายังอยากกินอยู่ แต่ต้องพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดในแอปเปิลให้เจอ บางคนบอกว่าไม่เอาดีกว่า อาจารย์จะบอกให้ว่า แอปเปิลนี้ก็คือ ร่างกายของศิษย์ทุกคน เป็นได้ทั้งเงิน ทรัพย์สิน เกียรติยศชื่อเสียง ลูกหลาน ที่ศิษย์ห่วงนักห่วงหนาว่าเป็นของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  ในความเกิดมีความตาย สิ่งที่ศิษย์บอกว่าไม่เอา แต่ในร่างกายศิษย์ ศิษย์รู้ว่ามี แต่วันหนึ่งก็ต้องสูญเสีย (รู้)  เมื่อรู้แล้วศิษย์ควรไหมที่จะยึดแอปเปิลไว้เป็นของตัวเอง ไม่ควร แต่ก็ยังต้องมี แล้วมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ ช่วงใช้ครอบครองอย่างไรจึงไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ ชีวิตศิษย์ไม่มีวันที่ต้องสูญเสียหรือ ไม่มีวันที่ต้องตายหรือ ไม่มีวันที่ต้องเจ็บปวดหรือก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ถึงเวลาชีวิตจริงศิษย์เลี่ยงได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์เคยได้ยินไหมรู้อะไรแล้วไม่ทุกข์ ยึดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น (รู้เท่าทันจิตตัวเองแล้วจะไม่ทุกข์)  ตอบได้ดี รู้เท่าทันจิตตัวเองแล้วจะไม่ทุกข์ อีกข้อหนึ่งที่ศิษย์ต้องรู้ไว้และมันเป็นความจริงอันเป็นสัจจะของโลกนี้ ถ้าศิษย์ลืมเมื่อไร ความทุกข์จะมาเคาะใจศิษย์ให้เรียนรู้ทันที นั่นก็คือ ใดใดในโลกล้วนไม่เที่ยง เมื่อมันไม่เที่ยง ศิษย์ก็ไม่ต้องไปยึด ถึงเวลามันก็แก่ ถึงเวลามันก็เจ็บ ถึงเวลามันก็ตาย เมื่อไรที่เราไปยึด เราคือคนโง่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหนีไม่พ้นสัจจะความเป็นจริงข้อนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราหนีความแก่ได้ไหม  เราหนีความเจ็บได้ไหม เราหนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อกายเจ็บ อย่าทำให้ใจเจ็บ เมื่อถึงเวลาที่เราสูญเสีย อย่าทำให้ใจเสียศูนย์ไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้น เราต้องไม่ลืมว่า อ้อมันเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อเราไม่ยึดตั้งแต่แรก มีอะไรก็ปล่อย อ้อฉันรู้แล้วนี่ ฉะนั้นถึงเวลาก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเจ็บ เราจะเจ็บมากไหม ไม่มาก เพราะใจเรารู้อยู่ก่อนแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาอาจารย์มักจะเทียบ เหมือนเวลาเราดูหนัง ถ้าเราดูจนจบแล้ว พอดูอีกรอบหนึ่ง มันสนุกไหม (ไม่สนุก)  แล้วมันจะหลอกศิษย์ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไร (ดูแล้ว) จำไว้นะศิษย์ โลกใบนี้หลอกศิษย์ให้ทุกข์ไม่ได้ ถ้าศิษย์บอกว่า อ้อเดี๋ยวมันก็ (ไป) เดี๋ยวมันก็เจ็บ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นถึงเวลาถ้าสามีไม่อยู่กับเรา เงินไม่อยู่กับเรา เราก็คิดเสียว่า อ้อฉันรู้แล้ว แต่ถึงเวลาความทุกข์มันจุกอก ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นในชีวิต เราอ้อไหม (ไม่อ้อ)  เราอื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์ถามว่าเรารู้ไหม (รู้)  แล้วทำไมเราถึงลืม ฉะนั้นมันคือความจริงที่ศิษย์ไม่ควรจะลืม ถ้าลืมศิษย์ก็กำลังประมาทในการดำเนินชีวิต และพาชีวิตให้เดินไปสู่ความตายทั้งเป็น รู้อยู่แล้วว่ามันต้องไป รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเปลี่ยน ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า ใดๆ ในโลกล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เราเกิดมาเพื่อยืมใช้ ใช่ไหม (ใช่)  เราควรหลงมันไหม หนังหน้าอย่างนี้หลงไหม (ไม่หลง)  ศิษย์เอ๋ยหน้าแบบนี้มันถาวรไหม (ไม่)  ฉะนั้นเมื่อถึงเวลามันก็เปลี่ยนมันก็เหี่ยว เห็นแค่นี้แล้วหมดทุกข์ไหมก็ยังใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์มีวิธีบอกศิษย์อีกวิธีหนึ่ง เราเรียนรู้ต้องเรียนรู้ทั้งภายนอกทั้งภายในใช่ไหม อย่างนั้นถ้าอาจารย์ถามว่าแอปเปิลกับสับปะรดรวมกันเป็นอะไร พายแอปเปิล คิดได้นะศิษย์ อยากพ้นทุกข์อาจารย์มีวิธีแก้อยู่อย่างหนึ่ง แค่อยากรู้ว่าแอปเปิลกับส้มรวมกันเป็นอะไร ศิษย์บอกอาจารย์ว่า มันรวมกันได้อย่างไร รวมกันเป็น (ผลไม้, น้ำผลไม้รวม)  เข้าใจตอบ
ถ้ามนุษย์ยึดติดในกรอบของความคิด ความรู้ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ความรู้และความคิดอาจทำให้เราอับจนปัญญาได้ รู้มากแล้วไม่พ้นทุกข์ เพราะยึดในสิ่งที่รู้ เมื่อไรที่ปล่อยวางในสิ่งที่รู้ เราอาจจะพ้นทุกข์ได้ อาจารย์ถามว่าแอปเปิลกับส้มรวมกันได้ไหม (ไม่ได้)  จำไว้นะบนโลกใบนี้เรื่องไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ ตราบใดที่มนุษย์ไม่จมอยู่กับความรู้สึกและปัญญาอันคับแคบจนเกินไป อะไรในโลกก็เกิดขึ้นได้ อาจารย์เขียนว่า เอาไปคนละลูก ถ้าอาจารย์เขียนว่า หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับศูนย์ หนึ่ง สอง สามหรือติดลบ อาจารย์ถามว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต บางทีเราไม่อยากมีเรื่องแต่คนอื่นเขาจะมีเรื่องกับเรา บางทีเราอยู่ของเราดีๆ แล้ว แต่ทำไมอยู่ๆ เขาเดินมาหาเรื่องเรา ฉะนั้นบางครั้งหนึ่งบวกหนึ่งอาจไม่เป็นสอง แต่มันอาจจะเป็นได้ทั้งหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ในโลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราก็อยู่ของเราดีๆ คนทั้งโลกมีตั้งมากมายไม่รัก ทำไมต้องไปรักคนๆ นี้ คนทั้งโลกมีมากมายกลับไม่เกลียด แต่ไปเกลียดคนๆ นั้น เขาทำอะไรให้ ไม่ได้ทำ แต่ไม่รู้ทำไมพอเห็นหน้าแล้วรู้สึกเกลียดมาก เคยเป็นไหมศิษย์ (เคย) แล้วบางคน เห็นนิดเดียวรู้สึกชอบมาก ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกว่า เราอยู่ในโลก บางทีเราก็ไม่ได้อยากเป็นหนึ่งบวกหนึ่ง แต่บางครั้งถ้าเกิดมีอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมา เราทำใจได้ไหมว่า ถ้ามันไม่ใช่สอง แต่มันเป็นศูนย์ ถ้าอีกสิ่งหนึ่งมาแล้วเราคิดว่ามันจะมีความสุข แต่มันกลายเป็นศูนย์ ยิ่งมีเขาเรายิ่งมีทุกข์ ยิ่งมีเขาเรายิ่งเจ็บปวด ยิ่งมีเขาเรายิ่งรู้จักว่าชีวิตมันคืออะไร ยิ่งมีแล้วยิ่งติดลบ
ฉะนั้นความจริงในโลกนี้ที่ศิษย์ควรรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ใดๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ขอเพียงศิษย์อย่าตีกรอบ อย่าคาดหวัง อย่าจมอยู่กับความคิดและความรู้ ปัญญาจะทำให้ศิษย์หลุดพ้นจากทุกข์ได้ แต่เพราะความคิดความยึดมั่น เช่น หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็น (สอง)  นี่คือสิ่งที่ทำให้ทุกข์อยู่วันยังค่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นติดลบ ถ้าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสามได้ไหม (ได้)  ทำไมเป็นสาม อันนี้ศิษย์รู้เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ควรจะรู้ และเป็นความจริงของโลก ก็คือ ในโลกนี้ ทุกข์ก็คือทุกข์ สุขก็คือสุข มันคนละเรื่องกัน มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่อาจารย์จะบอกว่า มันคือเรื่องเดียวกัน และมันเกี่ยวสัมพันธ์กัน อย่าคิดว่าทุกข์แล้วสุขไม่ได้ อย่าคิดว่าสุขแล้วทุกข์ไม่เป็น อย่าคิดว่าเกิดแล้วตายไม่ได้ อย่าคิดว่ามีแล้วเสียไม่เป็น เพราะโลกแห่งความเป็นจริงมักมีสองด้าน แต่ในสองด้านมันไม่ใช่ด้านที่สุดขั้ว แต่มันคือด้านเดียวกัน เหมือนชีวิตของศิษย์มีความเป็นแต่ก็มีความตาย ในความทุกข์ก็มีความสุข ตราบใดยังมีรูปลักษณ์อยู่ในโลกนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ใช่หรือไม่ศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ควรรู้ก็คือ ในทุกข์มีสุข ในสุขมีทุกข์ ในได้มีเสีย ในเคราะห์ดีมีเคราะห์ร้าย ในความเกิดมีความตาย ฉะนั้นเราควรกลัวมันไหม (ไม่ควร)  เหมือนที่อาจารย์บอกว่า แอปเปิลมีสองด้าน แต่ในสองด้านก็อยู่ในลูกเดียวกัน แล้วเราจะเลือกกินด้านหนึ่งแล้วทิ้งอีกด้าน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์ควรจะรู้แล้วเตือนสติไว้เสมอก็คือ ในไก่มี (ไข่)  ในไข่มี (ไก่)  ฉะนั้นไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน มันมาพร้อมกัน ใช่ไหม (ใช่)  ความรู้อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ ก็คือ ในทุกข์ที่สุดมันมีสุข ขอเพียงไม่จำกัด ไม่ตีกรอบไม่ยึดมั่นความคิดว่า สุขฉันต้องเป็นแบบนี้ สุขฉันเป็นแบบนั้นไม่ได้ แล้วเราก็จะพ้นทุกข์ได้ด้วยความคิดและปัญญาของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์มีปัญญาแต่บางครั้งความรู้มาก ทำให้บางครั้งเรามองปัญญาไม่เห็น
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง “รักปักใจ” และให้นักเรียนในชั้นร่วมตั้งชื่อเพลง)
ศิษย์จริงๆ แล้วการรู้ภายนอกไม่ประเสริฐ ไม่สำคัญ เท่ากับการรู้ภายใน ฉะนั้นการรู้ภายนอกก็คือ มองให้เห็นว่าสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง และในสิ่งที่เราเรียกว่าทุกข์แท้จริงก็มีสุข สิ่งที่ได้แท้จริงก็มีเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเวลามีคนชม เราก็จะไม่ (ยินดี)  ใช่ เราก็จะไม่ยินดี โดนคนว่าเราก็จะไม่เสียใจ เพราะว่าในคำชมนั้นก็มีคำว่าอยู่ ใช่หรือเปล่า เราจึงต้องรู้ความจริงในข้อนี้ ในคำชมไม่ใช่มีคำว่า แต่ในคำชมมีสิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังอยู่ และในคำว่า ก็มีสิ่งดีที่แอบแฝงอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  และเมื่อไรที่มีคนยกย่องเรา ว่าเราเป็นคนเก่ง เราก็จะได้ไม่หลงตัวว่าเราเก่ง เพราะในความเก่งนั้นมีความ (ไม่เก่ง)  เพราะว่ามันเก่งแค่สถานการณ์หนึ่ง ถูกไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ถามศิษย์นะว่า ศิษย์ท่านนี้สูงหรือไม่สูง เอาธรรมะที่อาจารย์พูดไปแล้วคิดนะ สูงหรือไม่สูง (สูง, ไม่สูง)  รู้ธรรมะแล้ว ใช้ธรรมะให้เกิดประโยชน์ สูงหรือไม่สูง เขาสูงหรือเขาเตี้ย อย่างนั้นพูดง่ายๆ อาจารย์อุตส่าห์ละคำนี้แล้วนะ จะได้สบายใจ เขาสูงหรือเขาเตี้ย (ทั้งสูงและเตี้ยครับ)  เขาตอบถูกนะศิษย์ ไม่เสียแรงที่ฟังธรรมะจากอาจารย์ไป เขาทั้งสูงและเตี้ยอยู่ที่ว่าเขากำลังจะไปอยู่กับสถานการณ์ใดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาอยู่กับคนที่เตี้ยกว่าเขาก็สูง ถ้าเขาอยู่กับคนที่สูงกว่าเขาก็เตี้ย ฉะนั้นเขาสูงหรือเขาเตี้ย (ทั้งสูงและเตี้ย) ถูกต้องจำไว้นะศิษย์
ฉะนั้นเวลาศิษย์บอกว่า ฮาๆๆ ดีใจเขาชม แต่จริงๆ แล้วมันมีคำเสียใจอยู่ ดีใจจังมีคนชมว่าศิษย์สวยจริงๆ แล้วศิษย์อัปลักษณ์อยู่ แต่ศิษย์มองมันไม่เห็นศิษย์กำลังแค่อยู่สภาวการณ์สภาวะหนึ่งมันบังคับทำให้ ศิษย์เห็นว่า อ้อ มันก็แค่นั้น ฉะนั้นเมื่อไรที่เราทุกข์จริงๆ มันทุกข์หรือศิษย์มัวแค่มองสภาวการณ์ อาจารย์หาคนมาแล้วจะนึกออก ศิษย์มานี่เร็ว น้องใส่แว่น ไปช่วยทำให้เขาสูงหน่อยเร็ว ศิษย์ใส่แว่นมาด้วย เห็นไหมอยู่ที่ว่าตอนนี้ศิษย์กำลังอยู่กับภาวะอะไร บางครั้งเราบอกว่าอาจารย์ศิษย์ทุกข์จังเลย ศิษย์สบายจังเลยมีความสุข แต่เราควรสุขใจไหม มันเป็นแค่สภาวการณ์หนึ่งหลอกเรานะศิษย์ ฉะนั้นจริงๆ แล้วมนุษย์มีความเป็นกลางอยู่เสมอ แต่เรามองไม่เห็นความเป็นกลางของชีวิตตัวเอง เราแค่โดนปรากฏการณ์บางอย่างมันหลอกตาหลอกใจให้เรายึดให้เราหลง ฉะนั้นควรดีใจไหมที่สูงกว่าเขาแค่นิดหนึ่งเอง ลองไปดูสิ แล้วควรเศร้าใจไหมที่เตี้ยกว่าเขา
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ วันใดที่ความทุกข์มาจุกอก ให้คิดถึงธรรมะของอาจารย์สองข้อ มันไม่เที่ยงใช่ไหม (ใช่)  ใครๆ ก็เจ็บได้ ฉะนั้นไม่ต้องไปเศร้า เขาก็เจ็บ ฉันก็เจ็บ ใครๆ ก็ทุกข์ได้ หรืออีกอย่างหนึ่ง เดี๋ยวมันมาเดี๋ยวมันก็ไป นี่แหละคาถาเด็ดของอาจารย์จำไว้ ฉะนั้นตอนนี้เศร้าไหม (ไม่เศร้า)  แล้วควรดีใจไหม (ไม่ควร)  แต่ควรถามตัวเองว่าอย่าลืมตัวเอง อย่าลืมความจริงของโลกใบนี้ แล้วความจริงของโลกใบนี้มันจะได้มาเคาะ ให้เราต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะเรารู้แล้ว ฉันรู้แจ้งเห็นชัดกับแกแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าแกจะทำให้ฉันเตี้ยหรือทำให้ฉันสูง ฉันก็จะไม่เจ็บไม่ทุกข์ เพราะนี่แหละเรียกว่าปัญญามองเห็นความแจ้งจริงในโลกใบนี้ ศิษย์เข้าใจหรือยัง พอแก้ความทุกข์ได้ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดวันหนึ่งเราต้องสูญเสีย วันหนึ่งเราต้องเจ็บปวด วันหนึ่งเราต้องพลัดพราก ก็คิดเสียว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัย แต่ถ้าวันหนึ่งความเจ็บปวดนั้นมันยากเกินเยียวยา อย่างเช่นหมดตัว โดนเขาทำร้าย ศิษย์จะทำอย่างไรดี คิดอย่างไรดีให้ตัวเองพ้นทุกข์ ตอบอาจารย์ได้ไหม เหมือนโดนบังคับมานั่งฟังอย่างนี้ (ทำใจเพราะเป็นเวรกรรม)  ทำใจเพราะเป็นกรรมอย่างนี้
(ปล่อยวาง)  จำไว้นะศิษย์ทุกสิ่งทุกอย่างจบเอง เริ่มเอง เดี๋ยวก็จบเอง ถ้าศิษย์บอกว่าปล่อยวาง แสดงว่าศิษย์ไปยึดมันแล้วต้องปล่อยนะ ใดๆ ในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงตลอด ไม่ต้องไปยึดเดี๋ยวมันก็จบของมันไปเอง จะไปผูกใจเจ็บจะไปเกลียดเขาทำไม หรือว่าวันนี้ศิษย์รักเขาแต่เขาไม่รักศิษย์ แล้วเขาก็ทิ้งศิษย์ทิ้งหนี้สินไว้กองพะเนิน ศิษย์ทำใจได้ไหม เขาไปแล้วอาจารย์แต่เขาเอาหนี้สินมาให้ศิษย์ ศิษย์ทำใจได้ไหม (ได้)  อาจารย์จะบอกว่า บางอย่างทำไมต้องเป็นเรื่องของเรา อาจารย์จะบอกว่า เรามีโอกาสได้ใช้กรรม ฉะนั้นเขาทำในสิ่งที่เราไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ศิษย์ก็คิดว่าดีแล้ว ได้ฝึกอภัยเป็นทาน เราได้ละลายหนี้กรรมกับเขาและจะไม่ผูกใจเจ็บอีก จะได้จบกัน ดีไหม (ดี)
คิดชื่อเพลงได้ไหม (ทำดีไม่ต้องรอ, ลุ้นคนให้เป็นคนดี, รักสบายต้องทำดี,)  ศิษย์เอยรักสบายแล้วจะทำดีได้หรือ ทำดีมันต้องอดทน มันต้องยอมเหนื่อย อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ดูเนื้อเพลง รักสบายมากไปไม่เห็นดี ศิษย์ลองสังเกตดูว่า คนที่ไม่ค่อยทำดี เพราะมักคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องของฉัน ทำไมฉันต้องหาเรื่องเดือดร้อน ส่วนใหญ่จะคิดอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาคนที่คิดอยากจะทำดี พอทำดีแล้ว ทำไปสักนิดหนึ่ง ก็จะพบพวกที่ขี้บ่นว่า ทำไมไม่ทำอีกนิด ทำไมไม่ทำแบบนั้น ทำไมไม่ทำแบบนี้ กว่าเราจะตัดสินใจทำก็ยากแล้ว พอทำแล้วถูกบ่น เรารู้สึกอย่างไร ก็รู้สึกหมั่นไส้มันจริงๆ เลย ไม่ทำแล้วยังพูดอีก ใช่ไหม (ใช่)
อยากตั้งชื่ออีกไหม (ทำดีไม่ได้ดี)  แล้วยังทำไหม (ไม่ทำ)  ไม่ทำเลย เพราะว่าทำแล้วไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้แปลว่าสิ่งที่ศิษย์ทำนั้น ศิษย์ทำเพราะหวังผล ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่า ทำไมพระพุทธะหรือคนโดยส่วนใหญ่จึงบอกให้เราทำดี ศิษย์เคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนเราต้องทำดี อาจารย์ถามว่า ถ้าคนที่อยู่รอบข้างศิษย์ มีแต่คนไม่ดีทั้งนั้น ศิษย์ก็อยากจะหาคนดีๆ มาอยู่ใกล้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะอะไร (อยากเป็นคนดี)  แล้วเมื่อสักครู่ศิษย์บอกว่า ทำแล้วมันไม่ได้ดี จะทำไหม
จริงๆ แล้ว สิ่งที่บอกว่าเราทำดีเพื่ออะไร ก็คือมโนธรรมสำนึกในใจบอก ทำไมเราต้องทำดี เพราะเรารู้สึกว่า เวลาเราทำผิดคิดร้าย มือก็สั่น ตาลอกแลก ใจมันไม่สงบ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เวลาเราทำดีแค่นิดเดียว ทำไมอิ่มใจไปทั้งวัน แปลว่าโดยพื้นฐานจิตของเรานั้นใฝ่ดีหรือใฝ่ชั่ว (ใฝ่ดี)  อาจารย์อยากจะบอกว่า ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำดี ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังผล แต่ทำดีเพราะว่าจิตสำนึกของตนบอกว่าต้องทำ แล้วศิษย์จะทำได้นานกว่า จะไม่ถามด้วยว่าทำไมต้องทำ เพราะจิตสำนึกบอกว่าต้องทำดี ถ้าอาจารย์ถามว่า “เป็นอย่างไรสบายดีไหม” ศิษย์จะรู้สึกว่ารื่นหูใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอาจารย์บอกว่า “ไปตายเหอะ” ชอบไหม (ไม่ชอบ)  ทำไมไม่ชอบ เพราะฟังแล้วมันไม่ดี จริงไหม (จริง)  แปลว่าลึกๆ แล้วสำหรับเราอะไรก็ต้องดี เหมือนกินก็ต้องกินดี ใส่เสื้อผ้าก็ต้องใส่ดีๆ อยู่ก็ต้องอยู่ดีๆ แล้วทำไมถึงต้องมีดี เพราะใจมันบอก เหมือนศิษย์เลือกผู้หญิงศิษย์ยังต้องเลือกที่ดีๆ ถ้าสวยแล้วไม่ดีเอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำดีเพราะจิตสำนึกบอกให้ทำ อย่าทำเพราะหวังผลนั่นไม่มีประโยชน์
คนหนึ่งคิดชื่อได้สองชื่อด้วยหรือ (ทำดีต้องอดทน, ลุ้นมากต้องลุ้นคน)  ลุ้นตัวเองดีกว่า (ทำดีด้วยตัวเอง, เห็นค่าแค่ทำดี)  ทำดีมีคุณค่าอยู่ในตัวอยู่แล้ว อาจารย์ให้เลือกสักชื่อด้วยการใช้จำนวนเสียงของคนที่ยกมือ ใครเลือกชื่อแรก “ทำดีไม่ต้องรอ”
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง “รักปักใจ” และให้นักเรียนในชั้นร่วมตั้งชื่อเพลง “ทำดีไม่ต้องรอ”)
ไม่ต้องขอบคุณอาจารย์นะ เป็นสิ่งที่ศิษย์ช่วยกันคิดเอง มีบางคนก็ยังดื้อยังแข็งอยู่ อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว มีบางคนยังอยากฟังอาจารย์ต่อ
ร้องเพลงอีกรอบนะ เพลงคือความในใจที่อาจารย์บอกนะ คนที่บ่นคืออาจารย์ บ่นมาหลายๆ เพลงแต่ศิษย์ก็ยังไม่รู้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  บ่นว่าศิษย์ผ่านเพลง ศิษย์ก็ยังไม่รู้ตัวใช่หรือเปล่า อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า เมื่อครู่เราเรียนรู้เรื่องความรู้แจ้งเห็นจริงในโลกใบนี้ภายนอก แต่ยังไม่เคยรู้จักภายในใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากจะบอกว่าการรู้ภายนอกไม่สำคัญเท่ากับการรู้ภายใน สิ่งที่เรียกว่าตัวตนนี้ประกอบไปด้วยกาย ใจ จิต เรารู้จักกาย กายเป็นอะไรเรารู้หมด บางทีกายเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสังขาร สังขารนี้พุทธะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสิ่งปรุงแต่ง แล้วยังมีใจและจิตด้วย ในตัวเราประกอบไปด้วยสามอย่างนี้ศิษย์อยากฟังแบบละเอียดยิบหรือเอาหยาบๆ แล้วจบ ถ้าหยาบๆ แล้วจบเดี๋ยวอาจารย์จะบอกให้
การที่จะรู้ตัวเองก็คือถ้าสมมติอาจารย์ทำอย่างนี้ (พระอาจารย์เมตตาทำท่าหยิกแก้มนักเรียนในชั้น)  อย่าแค่รู้ภายนอกแต่ให้รู้ภายใน เมื่อโดนหยิกสิ่งที่เราเห็นคือ หนึ่งความรู้สึก สองตัวฉัน สามตัวอาจารย์ แล้วก็ถามว่าทำไมทำกับหนู เวลาเราโดนกระทบเห็นไหม สิ่งที่เรามองเห็นคือ เขาโดนหยิก มีตัวเขา มีตัวอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นแบบนี้ เราเห็นอย่างนี้ชัดใช่ไหม แล้วก็เกิดเป็นอารมณ์ว่า ทำฉันทำไม หรือไม่ก็เกิดเป็นอารมณ์โกรธถูกไหม มีอารมณ์อีก ความรู้สึกจริงๆ กับอารมณ์ก็คือตัวเดียวกัน อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ความรู้สึกนั้นตกอยู่ในภาวะแห่งความเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ตัวฉันเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ตัวเขาเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เดี๋ยวมาเดี๋ยวก็ (ไป)  เมื่อเห็นแบบนี้ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นเราแค่เป็นผู้เห็น และผู้เห็นนั่นแหละก็คือ จิตเดิมแท้ที่อยู่เหนือสภาวะการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในโลก ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เป็นแต่เพียงแค่ผู้เห็น นี่พูดอย่างหยาบๆ เข้าถึงไหม ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ความรู้สึก ตัวตนเขา มันเกิดขึ้น เรานิ่งแล้วมองเห็นไหม ถ้านิ่งแล้วเห็น แล้วแยกชัดว่า อันนี้คือความรู้สึก อันนี้คือตัวเขา อันนี้คือตัวฉัน แล้วสิ่งที่เรายึดว่า ฉันเกลียด ทำไมต้องทำฉัน ฉันโกรธ ทำไมต้องด่าฉัน มองสิว่ามันเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ไม่เที่ยง แล้วควรยึดไหม (ไม่ควรยึด)  ไม่ยึด ถึงเวลามันมา มันก็ไป แล้วฉะนั้น โกรธ โลภ หลง มีได้ แต่เราไม่เอา แล้วเราจะทุกข์ตรงไหน ใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะว่าเวลามีอะไรกระทบปุ๊บ เราก็โกรธ แล้วเราด่าปั๊บ มันเลยไม่จบ แต่ถ้ากระทบปุ๊บ แล้วเราเห็นชัด นี่คือรู้สึก นี่คืออารมณ์ ความรู้สึกและอารมณ์เที่ยงไหม ไม่เที่ยง ตัวเขาเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เมื่อเขาด่าเสร็จ เขาก็ไป เดี๋ยวเขาทำเราเสร็จ เขาก็ไป ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตัวเราเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  แล้วเราควรยึดไหม (ไม่ควร)  เขามาด่าฉันทำไม เขามาหยิกฉันทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นแค่ผู้เห็น พอเราเห็นแล้ว ความโกรธ เราไม่เอา ความเกลียด เราไม่เอา นั่นแหละเราก็พ้นทุกข์ แต่เราไม่เคยเข้าถึง เพราะเราไม่เคยนิ่งพอ จริงไหม (จริง)  กระทบปุ๊บ ด่าปั๊บ ตีปุ๊บ เตะปั๊บ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมะจึงบอกว่า รู้อะไรก็ไม่สู้รู้เท่าทันใจที่โดนกระทบทางหู ทางตา ทางปาก ทางใจ นั่นเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  นี่แค่หยาบนะ หยาบยังไปขนาดนี้แล้ว ถ้าละเอียดล่ะจะรู้เรื่องไหม เอาไหม (เอา)  อยากเอาละเอียดไหม (อยาก)  ก็ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ด้วยตัวเอง ปฏิบัติด้วยตัวเอง และเข้าถึงด้วยตัวเอง ฟังแล้วไม่ปฏิบัติ ไม่มีวันเข้าถึง ฟังแล้วไม่เอาไปใช้ ไม่มีวันพ้นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  อย่ารู้เลย เพราะรู้ไปแล้วศิษย์ก็ไม่เชื่ออาจารย์ รู้ไปให้หนักสมองเปล่าๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“รู้ด้วยตนเอง”)
ได้คำว่าอะไร (รู้ด้วยตนเอง)  รู้แต่ไม่ปฏิบัติก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในนี้ยังมีกลอนครอบข้างในอีกนะ ถึงเวลาศิษย์เอาไปอ่านแล้วไปศึกษาเองแล้วกันนะ อาจารย์บอกให้หมดก็ไม่ดีเท่ากับศิษย์ต้องรู้ด้วยตัวเอง
รู้แล้วไม่ทุกข์ รู้ด้วยสติ ปัญญา ธรรม ปฏิบัติ ฝึกฝนแล้วก็รู้ด้วยตัวเองถึงจะพ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าศิษย์แค่รู้ด้วยตัวเองแต่ขาดสติ ขาดปัญญา ขาดการฝึกฝน ขาดการปฏิบัติก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ บอกจนไม่รู้จะบอกอะไรแล้ว พอถึงที่สุดแล้วศิษย์ก็แค่นี้
อาจารย์ขอถามศิษย์ก่อนกลับนะ มนุษย์ยังทุกข์เพราะอะไรหรือ ทุกข์เพราะอาจารย์ยังพูดไม่จบใช่ไหม (ไม่ใช่)  มนุษย์ทุกข์เพราะอะไรเป็นคำถามสุดท้ายก่อนอาจารย์จะกลับ เผื่ออาจารย์จะช่วยศิษย์แก้ได้บ้าง (ทุกข์เพราะความไม่พอดี)  ใช่หรือ (ทุกข์เพราะอารมณ์) อย่างนั้นต่อไปเวลาโดนกระทบมองให้เห็นรู้ให้เท่าทัน นิ่งก่อนที่จะไปกระทบต่อ (ทุกข์เพราะความคิด)  สิ่งที่รู้แต่เมื่อรู้แล้วเอามาทำประโยชน์ไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์ (ทุกข์เพราะทำใจไม่ได้)  ก็ในเมื่อทุกสิ่งมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามครรลอง เราไปบังคับให้เป็นอย่างที่คิดได้ไหม ไม่ได้ ฉะนั้นแค่เราทำให้ดีที่สุด ถึงเวลาอะไรจะเกิดก็แค่ก้มหน้ายอมรับ (ทุกข์เพราะความโลภ)  แล้วตอนนี้ยังอยากอีกไหม เพราะถ้ายิ่งโลภมากบางทีอาจจะกลายเป็นยิ่งเสียมากกว่าได้ ฉะนั้นก่อนโลภคิดให้ดีๆ ก่อนนะ (ทุกข์เพราะรู้แล้วไม่ทำ)  รู้ดีไปหมดแต่ไม่ยอมทำซะที แล้วต่อไปจะทำหรือยัง (จะทำ)  (ทุกข์เพราะความรู้สึก)  แล้วความรู้สึกมันเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  แล้วความรู้สึกที่บอกว่าไม่ดี จริงๆ แล้วไม่ดีหรือเปล่า ก็มีดีอยู่แต่เราหาไม่เจอ (ทุกข์เพราะคิดมาก)  คิดมากไปแล้วดีไหม ยิ่งคิดมากไปกลับกลายเป็นยิ่งแช่งตัวเองให้เป็นไปอย่างนั้น สู้เปลี่ยนความคิดเป็นสู้ดีกว่านะ (ทุกข์เพราะความห่วง)  ความห่วงถึงที่สุดแล้วทำอะไรได้ไหมถ้าเขาไม่เชื่อ
ฉะนั้นทำตัวเองให้ดี ถึงเวลาเขาจะเป็นเช่นไรต้องยอมรับให้ได้และให้กำลังใจเขา สักวันหนึ่งเขาก็จะเห็นคุณค่าเราเอง (เพราะว่ามีความอดทนน้อย)  ต่อไปจะต้อง (มีมากกว่านี้)  ตอบได้ดีและต้องทำให้ได้นะ (เราไปยึดติดกับมันถ้าไม่เกิดกับเราเราก็ไม่ยึดติด)  แล้วถ้าหากว่าเกิดขึ้นกับเรา (ก็เราไปยึดติด ถ้าเราคิดว่ามันมาแล้วมันก็ไป เราก็จะไม่ทุกข์)  พยายามมองให้เห็นตลอดว่า มันมาแล้วมันก็ไป ขอแค่นิ่งเวลาอะไรมากระทบ เรานิ่งดูก่อนและมองตัวเองก่อน อย่าเพิ่งเอาแต่โทษคนอื่น (ตัดกิเลสไม่ได้)  แค่บางทีเราพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ความโลภ โกรธ หลง อาจจะไม่มีประโยชน์ก็ได้ เพราะยิ่งมีก็ยิ่งช้ำ (เพราะพลัดพราก)  แน่ใจหรือสิ่งที่เราพลัดพรากนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ไม่แน่การพลัดพรากอาจจะทำให้เราเจอคนที่ดีกว่าก็ได้ (เพราะความไม่รู้)  แล้วตอนนี้รู้หรือยัง (รู้แล้ว) (ทุกข์เพราะไม่มี)  ไม่มีจริงๆ หรือ ความไม่มีคือสิ่งเดิมแท้ของตัวเรา อย่ากลัวความไม่มี เพราะไม่มีจึงเรียนรู้ที่จะมีเป็น แต่กลัวว่ามีแล้วไม่มีไม่ได้น่ากลัวกว่า คิดให้ดีๆ (ทุกข์เพราะอยาก)  ก็อยากให้น้อยๆ หน่อยดีไหม ไม่อย่างนั้นจะเดือดร้อนทั้งตัวเองและคนรอบข้าง (ทุกข์เพราะสามี)  โลกนี้มีคนให้เลือกตั้งมากมาย แต่ศิษย์ไปเลือกเขามา ศิษย์ต้องทำใจแล้วนะ มีก็ดีแล้วถึงเวลาไม่มีศิษย์จะช้ำใจ (ทุกข์เพราะอวิชชา)  ทุกข์เพราะไม่รู้ แล้วศิษย์รู้ภายนอกแล้วหรือยัง รู้ภายนอกแล้วอย่าลืมรู้ภายใน (ทุกข์เพราะอารมณ์)  อย่างนั้นต่อไปก่อนที่อะไรจะมากระทบก็นิ่งก่อนดีไหม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกระเทือนแล้วมีปัญหา (ทุกข์เพราะจิตเรา)  จิตเราไม่ยอม ฉะนั้นบางทียอมได้ก็ยอมนะ (ทุกข์เพราะไม่ถูกหวย) อาจารย์ถามว่า ถ้าถูกหวยแต่มีลูกล้างผลาญ จะเอาไหม ถูกหวยแต่ไม่มีปัญญาใช้เงิน จะเอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นอยากถูกหวยอีกไหม (อยากถูก)  ศิษย์เคยได้ยินไหม บุญจะเจริญบุญจะเกิดได้เพราะรู้จักการให้ ชีวิตไม่รู้จักการให้เอาแต่ขอ ก็ไม่ต่างอะไรกับขอทานนะ
ความดีไม่เคยสร้าง กรรมก็ทำไปเรื่อยๆ ดีก็ไม่สร้างแล้วไปหวังโชคลาภลอย ถ้าโชคลาภมันมาจริงๆ แต่ไม่มีชีวิตอยู่ เอาไหม ยังเอาอีกไหมสองตัว ฉะนั้นศิษย์เอยจงคิดให้ดี ในโลกใบนี้มีเงินแต่ใช้เงินไม่เป็น มีเงินแต่ลูกล้างผลาญ มีเงินแล้วดีหรือ อย่าคิดว่าความสุขของชีวิต คือการมีเงิน แต่ถ้ามีเงินแล้วเหลือเราคนเดียวศิษย์เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นสู้ไม่มีมาก ไม่รวยมาก มีพอดี แล้วยิ้มกับคนได้ทุกคน รักกับคนได้ทุกคน แต่พอรวยแล้วมองคนไม่ขึ้น เห็นใครเดินมา ก็คิดว่า มันจะมาขอไหม อย่างนี้อาจารย์ว่า ไม่มีดีกว่านะ ใช่ไหม (ใช่)
จำไว้นะว่า ความไม่มีคือสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนต้องเรียนรู้ ความไม่มีคือสิ่งสุดท้ายที่ทุกชีวิตต้องเรียนรู้ เพราะถ้าศิษย์ไม่รู้จักเรียนคำนี้ หากถึงวันหนึ่งชะตาชีวิตหมดสิ้น เราจะวางมันไม่ลง อาจารย์อยากจะบอกว่า ในตัวเรานี้ ที่ศิษย์รักมากและพยายามดูแลมันมาก มันเป็นของตาย แต่จิตที่อยู่ในศิษย์นี้ คิดก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น ฟังก็ไม่ได้ยิน เมื่อเผชิญหน้ากับมัน ก็หาที่เริ่มต้นไม่ได้ เมื่อตามมันไปก็หาที่สิ้นสุดไม่เจอ สิ่งนั้นคือ จิตเดิมแท้ที่ไม่มีวันตาย มันเป็นจิตหนึ่งที่อยู่ในตัวเรา แต่เราหลงไปเอากายมาเป็นตัวเรา หลงเอาความรู้สึกมาเป็นตัวเรา ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทั้งกายและความรู้สึกมันไม่เที่ยง แต่จิตเที่ยงกว่า แล้วจิตนี้มันพ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย มานานมากแล้ว แต่เพราะว่าเราหลงไม่รู้ แล้วไปยึดว่าสิ่งนี้คือตัวของฉัน สิ่งที่รู้สึกแบบนี้ คิดแบบนี้ หน้าแบบนี้ นิสัยอย่างนี้ มันคือตัวฉัน พอใครมากระทบความรู้สึก ความเป็นตัวตน เราจึงรู้สึกเจ็บ เราจึงรู้สึกโกรธ ทั้งที่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เรียกว่าตัวตน ความรู้สึกนั้น มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของศิษย์ ของศิษย์จริงๆ คือ จิตที่อยู่ข้างใน จิตที่เห็นโลก จิตที่มองเห็นความรู้สึก จิตที่รู้ว่าอะไรเรียกว่าโกรธ อะไรเรียกว่าหลง อะไรเรียกว่าโลภ เห็นแล้วไม่เอา นั่นคือจิตเดิมแท้ แต่ถ้าเห็นแล้วเอา นั่นคือความหลงไม่รู้ตื่น
ฉะนั้นแม้อาจารย์จะพูดยากแค่ไหน แต่ถ้าศิษย์ไม่รู้ก็เปล่าประโยชน์ ศิษย์เอ๋ยตอนนี้ศิษย์ยังโชคดีมาก ยังไม่มีความทุกข์อะไรมาทำร้ายใจ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ถ้าวันหนึ่งชีวิตมันเกิดหาไม่ ศิษย์ดึงจิตออกจากกายใจได้หรือยัง ถ้ายังดึงไม่ได้ ศิษย์ก็จะต้องทรมานจนถึงที่สุดใช่ไหม (ใช่)  ทำไมอาจารย์จึงต้องมาพูดกับศิษย์ ศิษย์เคยรู้สึกไหมว่า บางครั้งในโลกนี้มีคนที่เห็นก่อนกับเห็นที่หลัง แล้วถ้าคนเห็นก่อนไม่ไยดีคนเห็นหลัง ในโลกนี้จะมีใครช่วยคนที่เห็นข้างหลังบ้าง นี่คือสาเหตุที่อาจารย์มาหาศิษย์ เพราะอาจารย์เห็นก่อนจึงอยากให้ศิษย์รู้ แต่อาจารย์ไม่โกรธที่คนข้างหลังยังไม่รู้ แล้วคนข้างหลังยังว่าคนที่รู้ก่อนว่ามาสอนฉันทำไม เพราะอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ เพราะถ้ารู้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ ตัวอาจารย์รู้แล้วอาจารย์บอกไปแล้วอาจารย์พ้นแล้ว แต่ถ้าศิษย์รู้แล้วไม่สนไม่ไยดีศิษย์ก็ทุกข์ต่อไป แต่ตอนนั้นมาเรียกอาจารย์จะสายไปไหม เพราะตัวศิษย์ยึดมั่นอยู่แต่กายกับความรู้สึกทั้งที่จริงๆ แล้วกายเป็นของตาย แต่จิตเป็นของ
นิรันดรที่พ้นทุกข์อยู่แล้ว เราเกิดมาเพียงแค่เห็น เห็นความเกิดดับ เห็นแล้วไม่เอา เห็นแล้วแค่ยืมใช้ถึงเวลาก็ปล่อยวาง แต่ถ้าเห็นแล้วเอา
ทุกอย่าง ศิษย์ก็จะทุกข์ไม่มีวันจบสิ้น เพราะใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยงแล้วมีทุกข์ คนที่ยึดมั่นถือมั่นก็คือคนที่หาเหตุให้ทุกข์ ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นคิดดูให้ดีนะที่อาจารย์พูดมานี่ ไม่ศรัทธา อาจารย์ไม่ว่า แต่จงศรัทธาในความดีงามที่ศิษย์สามารถพ้นทุกข์ได้ ไม่เชื่ออาจารย์ไม่ว่า ขอให้เชื่อมั่นความถูกต้องดีงามในหัวใจศิษย์ เราเคยทำดีจริงๆ จังๆ ด้วยความอดทนไหม เราเคยซื่อตรงโดยที่ไม่คดในข้องอในกระดูกไหม
ฉะนั้นอาจารย์มายืนยันให้ศิษย์ได้รู้ว่า จงศรัทธาในความดีงามของตน อย่าดูถูกดูเบาคุณค่าตน ศิษย์ก็เป็นคนหนึ่งที่พ้นทุกข์ได้ ศิษย์ก็เป็นคนหนึ่งที่รู้ตื่นและนำพาชีวิตให้ไปสู่แสงสว่างอันดีงามได้ อย่าหลงกับตัวตนนี้ มันคือของปลอม มันคือของตาย ถึงเวลาที่ศิษย์ต้องทิ้งมันไว้ในโลก รักมันแค่ไหนก็ต้องทิ้งมัน สิ่งที่เอาไปได้คือจิต จิตที่รู้ตื่นแล้วไม่อยากได้อะไรในโลกแล้ว เพราะอยากไปมันก็ไม่เที่ยง มันทุกข์ มันว่างเปล่าแล้วจะไปยึดทำไมให้เจ็บ
ฉะนั้นเราเกิดมาศิษย์เอ๋ยทำไมไม่ลองทำดูสักครั้ง ถึงอาจารย์จะเห็นว่าถึงที่สุดศิษย์ไม่ทำ แต่อาจารย์ก็เชื่อว่าเผื่อผลบุญของการฟังธรรมะในวันนี้ จะหนุนนำให้ศิษย์คิดดีได้สักวันหนึ่ง หรือคิดแล้วนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้สักครั้งหนึ่งแล้วไม่ต้องเวียนว่ายตาย เกิดในโลกนี้ ทุกข์ใดๆ ในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น การเกิดของจิตเรานี้ มันไม่มีวันเกิด ไม่มีวันดับนะ จิตนี้หลุดจากกายนี้ไปตามแรงบุญแรงกรรม แต่ถ้าพ้นทุกข์แล้ว มันตัดภพตัดชาติทันที ไม่ต้องเวียนว่ายต่อไป เหมือนที่ศิษย์บอก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน แล้วก็กรรม ถ้าศิษย์เข้าถึง ศิษย์ตัดกรรมได้เลย
คนในโลกนี้สอนยาก ไม่มีใครยอมให้ใครสอน ไม่มีใครยอมให้ใครว่า มีคนที่ว่าศิษย์ได้คนเดียวคือพุทธะ ใช่ไหมศิษย์
ฉะนั้นถ้าพุทธะไม่ลงมาโปรด ไม่ลงมาชี้นำ ไม่ลงมาเตือนศิษย์ ใครในโลกจะเตือนศิษย์ได้บ้าง แล้วใครในโลกที่จะพาศิษย์ให้เปลี่ยนแปลงได้บ้าง ไม่มีหรอก เพราะศิษย์ไม่เชื่อใคร เชื่อแต่ตัวเอง
อาจารย์ต้องกลับแล้วนะ ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันนะศิษย์ ไหนใครจะมากราบขอบคุณอาจารย์ ไม่ต้องขอบคุณ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ศิษย์ทำถูกต้อง ศิษย์ทำดีแล้ว จงเมตตากับเขาให้มากกว่านี้ ไม่มีใครในโลกอยากเป็นคนไม่ดี เมื่อเราเจอคนไม่ดี ใช้ความเมตตาและความอดทนในใจให้มากๆ แล้วเราจะฟันฝ่าเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยหัวใจที่เมตตาและให้อภัย ร้ายมาเราร้ายตอบ มันก็ไม่จบสิ้น ศิษย์อยากเวียนว่ายในโลกนี้หรือ ศิษย์อยากเจอคนไม่ดีหรือ ศิษย์ก็ไม่อยากเจอ แล้วทำไมเราไม่พยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง เกิดมาเพื่อใช้กรรม ฉะนั้นเมื่อไรที่เขาไม่ดี เราได้สะสางหนี้กรรม เราได้เปิดใจ เราได้ให้อภัย ก็ดีใจเถิด จะได้หมดสิ้นกันชาตินี้
มีโอกาสก็กลับมาอีก อย่าไปแล้วไปเลย อย่ามัวแต่หลงโลกใบนี้ ความหล่อมีประโยชน์หรือเปล่า (จะฟังคำสอนของอาจารย์)  ทำให้ได้นะ อาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ แต่กลัวจะไม่ทำ โลกนี้ไม่ง่ายนะ ยากเพราะทิฐิกับอารมณ์เรา อาจารย์อยากจะบอกว่า ศิษย์ทำได้ดีแล้ว อาจารย์คุ้มครองศิษย์ แต่ว่าความดีที่ศิษย์ยอมเสียสละจะคุ้มครองศิษย์ยิ่งกว่า มีโอกาสก็ทำให้ได้ คำว่า “เสียสละ” คำนี้ทำยาก อย่ามัวหลงอะไรในสิ่งที่ไม่ควรหลง อย่ามัวดื้อเอาอารมณ์เป็นใหญ่ ชีวิตเหนื่อยมามากแล้ว มีโอกาสก็กลับมาหาอาจารย์อีก เมื่อไรที่ท้อและทุกข์ อาจารย์จี้กงจะปลอบใจ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ด้วยตนเอง”
การเข้าถึงคำว่ารู้แล้วไม่ทุกข์ จะต้องลุกขึ้นด้วยตนเองเท่านั้น
แต่คำว่ารู้ด้วยตนเองนี้สำคัญ สิ่งที่เคยกล่าวก่อนนั้นนำมารวม
ในตนย่อมมีสติปัญญาธรรม มีปฏิบัติฝึกฝนนำมาอยู่ร่วม


คนบำเพ็ญคำว่าตนอย่าหลวมหลวม จิตกายใจรวมเป็นหนึ่งเห็นสัจธรรม


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา