วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

2556-04-27 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ


西元二〇十三年 歲次癸巳三月十八日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
ต้นหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่เข้าไปอยู่ใต้ต้น แล้วรู้สึกเย็น แต่พอเย็นสักพักนิสัยเดิมเริ่มออก คิดว่าทำไมต้นใหญ่ต้นนี้ไม่มีใครตัด ก็ติว่า เพราะต้นมีแต่ตะปุ่มตะปั่ม ผลก็ไม่มี สมควรแล้วที่ไม่มีใครตัดไปใช้ มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ อยู่ไปนานๆ เดี๋ยวก็ติ งั้นศิษย์พี่ทำใจไว้ก่อน
(ไม่จบ)  เหมือนเวลาเขาชมเราสวย เราจบไหม (ไม่จบ)  จะทำอย่างไรให้สวยไปตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วโดนว่าล่ะจบไหม (ไม่จบ)  จะทำอย่างไรให้ไม่ ถูกว่าอีก เมื่อไม่จบ ก็คือความทุกข์ที่ต่อเนื่องไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นอะไรแล้วจบ แล้วไม่ค้างคาในใจ ความทุกข์จะเกิดได้อย่างไร ฉะนั้นเราจะทำอย่างไร ที่เราจะอยู่ในโลกแล้วเห็นปุ๊บ จบปั๊บ ไม่เหลืออะไรค้างคา เราพูดยากไหม คนที่ศึกษาธรรมจริง จึงจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูด แต่คนที่เรียนรู้ชีวิตก็น่าจะพอเข้าใจ
ใช่หรือไม่ (ใช่)
(การยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง) ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มี สิ่งที่อยากได้มันก็ไม่จีรัง ใช่ไหม


ชื่อเพลง “ขวานใต้ตัดกิเลสสิบทิศ” ทำนองเพลง “ราชสีห์กับหนู”
เดิม “และบำเพ็ญแพร่ขยาย” แก้ไขเป็น “และบำเพ็ญเจริญขยาย”
เดิม “เดินด้วยปัญญาธรรม” แก้ไขเป็น “เดินด้วยปัญญาพร้อม
เดิม “เข้มแข็งมาด้วยปัญญา” แก้ไขเป็น “เข้มแข็งมาด้วยปัญหา
เดิม “แล้วจบในใจตน” แก้ไขเป็น “และจบในใจตน”
รู้ด้วยใจอันเป็นเนื้อแท้ของสิ่งนั้น รู้ที่สุดทุกสิ่งอันย่อมสลาย
เป็นกระจกเงาสะท้อนภาพทุกสิ่งไป ไม่คงเหลือสิ่งใดให้ค้างคา
มีเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงและจบสิ้น ไม่ถวิลไม่หวั่นไหวไม่โหยหา
เริ่มคือจบมีคือไร้สมมติมายา คงเพียงหนึ่งคือธรรมหนาอันนิรันดร์
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนยังลังเลอยู่ใช่ไหม 
เรียนทางธรรมไม่ได้เหมือนเรียนหนังสือ ทางโลกถือทางธรรมเรียนไว้ตัด
ใต้อำนาจโลกความรู้รู้ยิ่งขัด ธรรมไม่อาจให้แต่ความรู้วิชา
คนผู้ให้รู้ความดีฉวยกระทำ อย่าสะดุดโลกธรรมแต่ความคิดหนา
ใช่ไม่ใช่ไม่อาจรู้ด้วยตา กรรมบัญชาแม้รู้ความยากห้ามใจ
แม้อยู่ในทางโลกใจทวนกระแส ธรรมนั้นแค่รู้ไม่ปฏิบัติไม่ได้
รู้หรือไม่วันเวลาไม่คอยใคร หมายตื่นรู้ในทางใจต้องบำเพ็ญ
คนมีธรรมรู้ว่ามีหลักชัย จึงจะไม่อวิชชาผิดติดความเห็น
เมื่อใจรู้เคืองก็รู้ระงับเป็น ขอบำเพ็ญไม่ว่าเป็นหรือว่าตาย
พูดคิดทำรู้กรรมตามย้อนยอก ดีหรือไม่จากภายนอกแค่นิสัย
รู้นอกสร้างรู้ในสร้างวางวินัย ไม่แก้ไขเดินทางธรรมกินน้ำตา
ใจว่างว่างทางว่างว่างอย่ากังวล เกิดเป็นคนไม่ฝึกใจได้ปัญหา
ชาตินี้ทิ้งร่องรอยใดในโลกา หมดเวลามาเสียดายก็สายเกิน
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
ท่านลองมองไปที่องค์พระ มองไปข้างซ้ายก็ยิ้ม ข้างขวาก็ยิ้ม กลางก็ยิ้ม แต่ทำไมตัวเราไม่ยิ้มก็ไม่รู้นะ ใช่ไหม (ใช่)  กราบพระภายนอกแต่อย่าลืมกราบพระที่อยู่ในใจ มาหาความสงบ มาหาความสุขใช่ไหม (ใช่)  ที่นี่พระก็มีทำไมไม่เห็นสุข ใช่หรือเปล่า
การศึกษาธรรมอย่าติดแค่รูปแบบ อย่าติดกับความคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ๆ ถึงจะใช่ ถ้าไม่ใช่แบบนี้ๆ ไม่ใช่ อย่างนี้เรียกว่าเรียนรู้แล้วก็ขังตัวเองให้ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้สิ่งใดก็ตามต้องรู้แล้วมีวิจารณญาณที่กว้างไกล มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล แต่ทำไมบางทีสิ่งที่เรารู้กลับทำให้เรากลายเป็นคนที่มีวิจารณญาณ มีวิสัยทัศน์ที่คับแคบ ใช่หรือไม่ (ใช่) น่าจะยิ่งรู้มากยิ่งใจกว้าง
เราศึกษาหลักธรรม ไม่ใช่สอนให้เรารู้แบบนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ เป็นแบบนั้นไม่ได้ บางทีการเรียนรู้อะไรก็ตามเขาเรียกว่าเรียนรู้แล้วต้องต่อยอดให้เรายิ่งก้าว ยิ่งกระโดด ยิ่งไกล หรือยิ่งเปิดกว้าง ไม่ใช่เรียนรู้แล้วยิ่งแคบ ยิ่งตีกรอบ อย่างอื่นไม่เอา แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม
สมมติว่าวันนี้อากาศร้อนมากๆ เลย เราเห็นต้นไม้อยู่หนึ่งต้น ตอนนี้อากาศข้างนอกมันร้อน เราไปหลบที่ต้นไม้เราคิดว่าต้นไม้คงทำให้เราเย็น แต่พอสักพักหนึ่งเราเริ่มรู้สึกว่าไม่เห็นเย็นเลย ต้นอะไรก็ไม่รู้ ตอนแรกก็รู้สึกเย็นดี พอนั่งไปสักพักหนึ่งเริ่มติแล้ว ต้นอะไร ถึงว่าอยู่ได้ขนาดนี้ไม่มีใครเอา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นอย่างนั้นไหม บางครั้งเราหนีร้อนจากโลกภายนอกเพื่อมาหวังพึ่งธรรมะ แล้วคิดว่าธรรมะนี้จะให้ความร่มเย็นกับเรา ตอนแรกๆ ก็ร่มเย็นดีแต่สักพักหนึ่งเราเป็นคนช่างติ เดี๋ยวจับผิดนั่น เดี๋ยวตินี่ ไปๆ มาๆ เราเป็นคนอกตัญญูที่ไม่รู้คุณต้นไม้จริงไหม
การนั่งในวันนี้ ผ่านมามีใครบ้างที่ไม่ติเลย เหมือนเวลาเราไปอยู่กับใคร แรกๆ เราก็รู้สึกดีที่ได้อยู่กับเขา แต่อยู่กันไปนานๆ ตินิดติหน่อยก็ยังดี อย่างนี้เราเป็นผู้ที่ไม่กตัญญูกับคนที่อยู่ใกล้เลย เพราะอยู่กับอะไรก็มีเรื่องติได้ตลอด โดยส่วนใหญ่มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ เวลาร้อนๆ แล้วมาเจอต้นไม้
“รู้ด้วยใจอันเป็นเนื้อแท้ของสิ่งนั้น รู้ที่สุดทุกสิ่งอันย่อมสลาย
เป็นกระจกเงาสะท้อนภาพทุกสิ่งไป ไม่คงเหลือสิ่งใดให้ค้างคา
มีเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงและจบสิ้น ไม่ถวิลไม่หวั่นไหวไม่โหยหา
เริ่มคือจบมีคือไร้สมมติมายา คงเพียงหนึ่งคือธรรมหนาอันนิรันดร์”
ถ้าเราอยู่ในโลกมองออกได้ชัดเจน เราก็ไม่กลัวที่จะโดนหลอก แต่ถ้าเราอยู่ในโลกเรามองเห็นอะไรได้ออก อะไรได้ชัด เราก็คงจะไม่กลัวว่าใครจะมาหลอกเราได้  แต่อย่าลืมนะว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่ไม่เห็น บางครั้งสิ่งที่เห็น สิ่งที่เรารู้ก็ยังหลอกเราได้ โดยเฉพาะยิ่งเห็นชัดๆ ยิ่งหลอกเราได้เจ็บมากนัก แต่สิ่งที่ไม่เห็นบางทีอาจจะไม่ได้หลอกเราก็ได้ แต่มนุษย์กลับกลัวสิ่งที่ไม่เห็นมากกว่าสิ่งที่เห็น คนไหนล่ะทำให้ท่านเจ็บปวดใจมากที่สุด ก็คนที่เห็นอยู่ทุกวันนี่แหละ ใช่ไหม (ใช่)
“เริ่มคือจบมีคือไร้สมมติมายา คงเพียงหนึ่งคือธรรมหนาอันนิรันดร์”
ถ้าใครเข้าใจความหมายนี้นะสุดยอด แต่ถ้าตีความนี้แล้วได้มากกว่านี้ จะได้มากกว่าสุดยอดอีก เพราะว่ามนุษย์เราอยู่ในโลก พอโดนอะไรที่เห็นด้วยตาบางทีใจเราก็อยาก แม้บางทีเรื่องราวจบไปแล้ว แต่ใจเราจบไหม
เหมือนเวลาเราเห็นคนนี้ เราไม่ได้เห็นเขาแค่เห็น แต่เราเห็นทั้งเนื้อแท้เห็นทั้งถึงที่สุดเห็นตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นตั้งแต่เกิดจนดับ เรายังจะอยากได้อะไรในตัวเขาไหม เรายังอยากหลงอะไรในตัวเขาไหมถ้าเราเห็นจนหมดแล้ว แต่มนุษย์เราที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะเราเห็นไม่ถึงที่สุด เราเห็นไม่ถึงเนื้อแท้ใช่ไหม หรือเรียกว่าเรารู้เขาแค่เปลือก เมื่อรู้แค่เปลือกแล้วไปเอามาทำไม เมื่อรู้ไม่แท้แล้วยังกอดไว้ทำไม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำไหม (ทำ)
ท่านรู้ไหม ว่าการสงสัยและดำรงรักษาความสงสัยไว้จนหาเจอคำตอบด้วยตัวเอง นั่นเรียกว่า ปริศนาธรรม ฉะนั้นสงสัยไปเลย ดำรงรักษาความสงสัยนั้นไว้ แต่ไม่ต้องรอให้คนอื่นตอบ ให้คำถามมันตอบตัวของมันเอง แล้วจะคงอยู่นิรันดร์กว่ารอคนอื่นตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่เขาเรียกว่า “โกอัน”(ดูความหมายเพิ่มเติมหน้าที่ ๑๘)  ตามภาษาเซน
ตื่นหรือยัง อยากนั่งไหม เห็นบอกว่าให้มานั่งฟังแล้วบอกอิดๆ ออดๆ ไหนใครเปลี่ยนใจอยากอยู่วันเดียวบ้างยกมือขึ้น ใครเปลี่ยนใจ ตอนแรกบอกจะอยู่ครบสองวันเปลี่ยนใจเหลือวันเดียวบ้างยกมือขึ้น ถ้าใครเปลี่ยนใจเหลือวันเดียว วันนี้พยายามซึมซับให้เต็มที่นะ เพราะพรุ่งนี้จะไม่เจอกันแล้ว หรือใครตั้งใจแค่สองวันแล้วไม่มาอีกแล้ว ก็ขอให้ฟังให้เต็มที่นะ ศิษย์พี่ไม่บังคับศิษย์น้อง จะอยู่ก็อยู่ จะไม่อยู่ก็ไม่อยู่ เพราะคนที่จะรับผลทุกข์ของการอยู่หรือไม่อยู่ก็ตัวศิษย์น้องเอง ไม่ใช่ตัวศิษย์พี่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างที่เขาเรียกว่าคิดได้ขึ้นสวรรค์คิดไม่ได้ก็ตกนรก ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นเราอยากทำบ้านเป็นสวรรค์หรือเป็นนรกก็อยู่ที่ตัวเราไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น ผู้ที่เก่งกาจจริงๆ ผู้ที่มีความสามารถจริงๆ ในการดำรงชีวิตคือผู้ที่สามารถทำสรรพสิ่งให้เป็นไปได้ดั่งที่เราต้องการได้ แต่จะทำอย่างไรล่ะ อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดนะ ใช่ไหม (ใช่)
นั่งไม่นั่ง (นั่ง)  ศิษย์น้องเอ๋ยบางทีโอกาสไปแล้วนะ พอจะอยากนั่งตอนนี้บางทีอาจจะไม่ได้นั่งก็ได้ ใช่ไหม ตอนที่เขาให้นั่งไม่นั่ง ตอนเขาไม่อยากให้นั่งดันอยากนั่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วตอนนี้อยากนั่งไหม (อยาก) ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ อยากแต่มักจะไม่ได้ ไม่อยากกลับได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นรอศิษย์น้องไม่อยากก่อน แล้วเดี๋ยวศิษย์พี่จะให้นั่ง ดีไหม
ศิษย์น้องบางคนศึกษาคัมภีร์มาก็ตั้งเยอะ อ่านหนังสือธรรมะมาก็ตั้งมากมาย นั่งสมาธิก็เป็น แถมนั่งเก่งด้วยใช่ไหมหรือบวชมาก็ตั้งหลายพรรษา แต่ทำไมยังขจัดทุกข์ไม่ได้เลยหรือสงบได้แค่ในวัด ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจริงๆ แล้วแค่อ่านหนังสือ แค่สวดมนต์ แค่ไหว้พระเท่านั้นหรือ จุดประสงค์หลักๆ ของการศึกษาธรรมะที่แท้จริงคืออะไร หลายครั้งที่เราอ่านคัมภีร์แล้วเรารู้สึกว่าดีจังเลย อยากปลดทุกข์ได้อย่างนั้น หรือบางทีเห็นพระแล้วเรารู้สึกว่าสงบจังเลย ทำไมท่านถึงยิ้มได้ขนาดนี้ ทำไมท่านถึงยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่สิ่งเหล่านั้นทำไมมันยังอยู่แค่ข้างนอก มันไม่เข้ามาอยู่ข้างในเสียที ใช่ไหม (ใช่)
เราเหมือนคนที่เรียนธรรมะมาเยอะๆ แต่มีความสงบแค่รูป แค่กรอบ เหมือนเราวาดรูปขนมได้สวย ได้เหมือน แต่กินไม่ได้ แล้วธรรมะที่แท้จริงมันต้องเป็นอย่างไรล่ะ เราเคยคิดไหม ไม่เคยใช่ไหม วุ่นวายทีก็หนีโลกไปหาวัด ไปนั่งสมาธิ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ศิษย์น้องอยากพ้นโลกเอาแต่หนีโลกๆ แล้วจะพ้นโลกไหม (ไม่พ้น)  ศิษย์น้องอยากพ้นทุกข์ อยากมีเมตตา อยากเข้าถึงจิตแห่งโพธิ แต่ศิษย์น้องเอาแต่หนีคน เกลียดคน แล้วหนีไปหาความสงบ ศิษย์น้องบอกว่าขอบรรลุก่อนแล้วค่อยกลับไปเมตตาเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ที่เราพยายามไปนั่งสมาธิแล้วหาความสงบเพราะเกลียดคน ถูกไหม แล้วการบรรลุเข้าถึงความเป็นพุทธะคือมหาเมตตา กรุณา อย่างนั้นวิถีทางที่ศิษย์น้องทำอยู่มันถูกไหม (ไม่ถูก)
ฉะนั้นการศึกษาธรรมที่แท้จริงคือเอาศีล สมาธิ ปัญญาความรู้แจ้ง เอาธรรมทั้งมวลมาใช้กับตัวเราเมื่อเราต้องเจอกับ (ปัญหา)  ปัญหาเท่านั้นหรือ ไม่ใช่ พุทธะกล่าวไว้ว่า “เอาสิ่งที่เราเรียนรู้มาใช้ เมื่อเวลาเราเจอกับครู ผู้เป็นตัวแทนแห่งพุทธธรรมที่มีเลือด มีเนื้อ มีชีวิตที่มายืนด่าเราแล้วเราสงบได้ แล้วเราเกิดปัญญาธรรมได้ แล้วเราเปล่งประกายความรู้แจ้งได้” อันนี้ต่างหากเรียกว่าเรียนรู้ธรรมแล้วนำมาปฏิบัติ ทำไมท่านถึงสร้างพระข้างนอก เพราะต้องการจะบอกว่าคนที่ศิษย์น้องเห็น ถ้าเรามองให้เป็นพระ เราก็จะเป็นพระ แต่เรามองเขาเป็นคน และเป็นคนที่เราเกลียด เราก็เลยวุ่นวายๆ ใช่ไหม
จงเข้าใจนะว่าทำไมมีการสร้างพระ เพราะต้องการให้ท่านมองเห็นทุกคนเป็นพระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมวัดต้องสร้างบรรยากาศให้สงบ เพราะต้องการบอกให้เห็นว่า อย่าสงบแค่ภายนอกต้องสงบภายในด้วย ศิษย์น้องเคยได้ยินไหมว่า “ถ้าเข้าใจตนก็เข้าใจโลกทั้งใบ ถ้าไม่เข้าใจตนก็มองไม่เห็นใคร” ยากไหม (ยาก)  การเรียนรู้ธรรมต้องเต็มใจ เรียนรู้ไปพร้อมกัน ถ้าเราทำให้เขาทุกข์ เราควรจากไปดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
“กรรมบัญชาแม้รู้ความยากห้ามใจ”
บางครั้งการรู้เยอะๆ ก็ยิ่งสับสนไม่ใช่หรือ ใช่หรือไม่ ทั้งที่การยิ่งรู้เยอะๆ น่าจะกระจ่าง แต่ยิ่งรู้แล้วก็ยิ่งงง
“แม้อยู่ในทางโลกใจทวนกระแส ธรรมนั้นแค่รู้ไม่ปฏิบัติไม่ได้”
ฉะนั้นการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมถ้าเข้าใจตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้เพราะเจอใครคนนั้นก็คือ ครูคนที่เป็นตัวแทนแห่งพุทธธรรมที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต พอเจอคนแบบนี้เราจะเอาธรรมะมาใช้ได้อย่างไร จะให้อภัยได้อย่างไร
แต่พอเราเจอคนอย่างนี้ เราจะรักจนเกินไปไหม ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมไม่ใช่ตีกรอบว่าต้องปฏิบัติธรรมแค่ตรงนี้ ที่นี่ ไม่ใช่ แต่การเรียนรู้ธรรมคือ เอาธรรมไปใช้กับทุกๆ ที่ และเอาธรรมไปใช้กับทุกๆ คน ทำจนกระทั่งเห็นเขาเป็นพระ แล้วพระของเขาก็จะสะท้อนพระในตัวเรา แต่ถ้าเห็นเขาเป็นแค่คนก็สะท้อนว่าเรายังคือคน จริงหรือไม่ (จริง)  มนุษย์มีกรอบเยอะ ยิ่งมีกรอบมากยิ่งยึดติดกรอบและความรู้สึกมาก บางทีก็ทุกข์มาก เหมือนเวลาเราศึกษาธรรม ท่านบอกให้ค้นหาตัวเองให้เจอ เคยได้ยินไหม (เคย)  ก็เจอแล้ว หนูเป็นคนอย่างนี้ หนูชอบแบบนี้ แล้วหนูจะเอาอย่างนี้ นี่แหละธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ว่าแล้วยิ่งรู้มากแล้วยิ่งงง การเป็นคนศึกษาธรรมะคือค้นหาตัวเองให้เจอ ไม่ใช่ค้นเจอแค่เล็กน้อย แล้วไปต่อไม่ได้แล้วติดตรงนี้ ต้องตรงนี้ๆ เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกแล้วว่า เวลาเรียนรู้อะไรก็ตามต้องเป็นความรู้ที่จะสามารถต่อยอดและทำให้เราเป็นอิสระ ไม่ใช่เรียนตรงนี้ ก็คิดเพียงแค่อย่างนี้ๆ
การค้นหาตัวเองให้พบคือสิ่งที่เป็นอย่างไรกันแน่ คือสิ่งที่เป็นรูปลักษณ์หรือ ไม่ใช่ แต่คืออะไรล่ะ คือตัวตนที่แท้จริง ถึงที่สุดหรือยัง ที่นิสัยอย่างนี้ คนแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ ชอบอย่างนี้ ใช่ที่สุดของชีวิตหรือยัง ยังไม่ถึง ยังมองไม่ถึงสุดนะ มองให้ถึงสุดมากกว่านิสัย มากกว่ารูปลักษณ์ แต่เป็นอนันตลักษณะ ถ้าเราค้นเจอเราจะไม่ทุกข์ อยากไปดูไหม อยากไปฟังดูไหม (อยาก) ศิษย์พี่จะพูดธรรมะมีระดับโลกกับระดับอนุตตร หรือระดับธรรมะ จะเอาระดับไหนดี (ระดับธรรมะ)  ว่าแล้ว เอาแบบธรรมะ แต่พอถึงเวลาก็ใช้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอยากฟังธรรมะเอาระดับโลกก่อนดีไหม เราจะพ้นทุกข์อย่างไร
การเรียนรู้ธรรมะ สอนให้เรารู้ว่าถ้าเราเข้าใจธรรมะ เราจะอยู่กับคนโดยที่ไม่ต้องเข้าใจ พยายามเข้าใจอยู่แต่ไม่เข้าใจเลย พยายามอดทนแล้วนะ ให้อภัยก็แล้ว แต่ยังทำใจไม่ได้ ยังเกลียดเขา ขอด่าเขาก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยให้อภัย ว่าให้เจ็บก่อนเดี๋ยวสักพักค่อยแผ่เมตตา
เราจะทำอย่างไรกับการเข้าถึงธรรม ศิษย์พี่บอกวิธีที่จะแก้ง่ายๆ คือ ไม่ต้องพยายามเข้าใจไม่ต้องพยายามอดทนเลย เพียงแต่คิดว่า “มันก็แค่นั้น” “มันเป็นเช่นนั้น” แล้วเราจะไม่โกรธแต่จะทำอย่างไรถึงจะคิดแบบนี้ได้ เอาง่ายๆ นิสัยของคนมีใครชอบคนที่เอาเปรียบไหม (ไม่ชอบ)  แต่ลึกๆ แล้วในความไม่ชอบเอาเปรียบแล้วเรารักสบายไหม (รักสบาย)  แล้วรู้ไหมความรักสบายทำให้เอาเปรียบจริงไหม ศิษย์น้องจำไว้นะ ทุกๆ ที่ไม่ว่าเราจะอยู่ที่บ้านหรือว่าอยู่ในห้องพระนี้ เมื่อไหร่ที่เราสบายย่อมมีคนที่ต้องเหนื่อยกว่าเราเสมอ
คนที่เหนื่อยกว่ามากๆ มองเห็นคนที่สบาย ก็จะรู้สึกว่าจะนั่งไปถึงไหน เมื่อไหร่จะล้างจาน เมื่อไหร่จะถูบ้าน เมื่อไหร่จะมาทำงาน กว่าจะมาฉันทำงานเสร็จแล้ว ฉันก็เหนื่อย ฉันก็ต้องมาเก็บบ้านถูบ้านเห็นใจกันบ้างไหม พอบ่นกับตัวเองมากๆ จนไม่ไหวก็ระเบิดออกมา ทำบ้างสิ เหนื่อยเหมือนกันนะ ถามว่าเราเอาเปรียบไหม ไม่ได้เอาเปรียบแค่อยากสบาย ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นจงจำไว้นะ เมื่อไหร่ที่ศิษย์น้องสบายๆ เมื่อนั้นระวังเตรียมรับคำบ่น เพราะจะมีคนหนึ่งที่เหนื่อยกว่าเราเสมอและเมื่อนั้นถ้าเราเจอบ่นเราก็จะเข้าใจ อ้อเข้าใจแล้ว ไม่โกรธ แม่บ่นไปเถอะ เพราะผมเข้าใจเพราะผมรักสบายแม่เลยเหนื่อย เพราะคุณเป็นแม่บ้านผมเป็นสามีผมทำงานก็เหนื่อยคุณก็เหนื่อยผมก็รู้ แต่งานหน้าที่ของคุณ คุณทำไปนะ เราก็จะไม่โกรธที่เขาบ่นใช่หรือไม่ เราก็จะเข้าใจและไม่ถามว่าทำไมต้องบ่นด้วย เราจะมีคำว่าทำไมไหม ไม่มี และอีกอย่างหนึ่งจำไว้นะศิษย์น้อง ทุกคนไม่ชอบให้ใครมาว่า เพราะทุกคนมีเหตุผลที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง ทำไมถึงทำอย่างนี้ฉันมีเหตุผลนะ ฉันไม่ได้อยากทำผิดแต่ฉันมีเหตุผลและก็คิดว่ามันไม่ผิดใครจะคิดว่าเธอจะเจ็บ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอเจ็บ ไม่ได้ตั้งใจให้เธอทุกข์ เหมือนแม่บ่นไปแต่หวังดีไหม หวังดีนะลูก แม่หวังดีแค่บ่นมากไปนิดหนึ่ง ใช่ไหม
ความเชื่อมั่น ความมีเหตุผล บางครั้งก็กลายเป็นคนที่ไม่มีใครผิดในโลกเลย แล้วเป็นไปได้ไหมที่โลกนี้ไม่มีใครผิด (ไม่ได้)  เป็นไปไม่ได้ แล้วเราเป็นไหม (เป็น) อย่ามาพาหนูผิด แล้วศิษย์น้องรู้ไหม บางทีเขาว่า เขาก็ไม่ได้ใช้คำแรงเลย พูดดีๆ ด้วยซ้ำ แต่ว่าอย่างไร พอเขาพูด สมมติศิษย์น้อง “อะไรก็ดูดีไปหมดเลยนะ มีอะไรเราก็ทำให้ เห็นอะไรดีๆ เราก็ให้” เราเป็นอย่างนี้ไหม ทำดีกับคนอื่น ทำดีทุกอย่างให้เขาหมดเลย แต่ถ้าผิดหูคำเดียว “ท่านนี้ดูดีไปหมดเลยนะ เรียนก็เก่ง ความสามารถก็มี แต่เสียอย่างเดียว” ถ้าพูดผิดหู ที่ชมมาทำดีมา หายไปหมดเลย ที่เราปลูกความดีมากับเขาแทบเป็นแทบตาย พอเราพูดผิดหูคำเดียว เขาจำขึ้นใจ หลังจากนั้นก็มองหน้าไม่ขึ้น ใช่ไหม เหมือนถ้าวันนี้ศิษย์พี่ถามว่า “เหนื่อยไหม เป็นคนขี้น้อยใจนะ เห็นเงียบๆ อย่างนี้ ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ” ผิดหูไหม แค่ความจริง ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องเข้าใจความเป็นคนของคนในโลก ศิษย์น้องจะเข้าใจความเป็นคนของคนในโลกนี้ ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นคนในตัวเรา ถ้าเรามองชัด มองเห็น เราก็จะรู้เลยว่าความเป็นคนของเขาก็ไม่ต่างกับความเป็นคนของเรา เมื่อไม่ต่างจะต้องอดทนไหม เมื่อไม่ต่างจะต้องถามว่าทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ไหม ไม่ แต่จะเป็นเข้าใจ และก็เข้าใจที่เขาเป็นเช่นนั้นเอง นี่แหละเรียกว่าธรรมะที่เรียกว่าเป็นเช่นนั้นเอง อธิบายไม่ได้ ไม่โกรธ ไม่ต้องอดทน ไม่ต้องพยายามเข้าใจ แล้วก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจแล้วว่า ทำไมเธอถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมเธอต้องทำกับฉันแบบนี้ ฉันรับไม่ได้ ฉันเกลียดเธอ แต่ถ้าเราเข้าใจทั้งหมด เราก็จะบอกว่า ก็แค่นั้น ใช่ไหม (ใช่)  เราจะถือสาหาความคนไหม เราจะต้องมีขันติกับใครไหม ไม่ต้องเลย เหมือนสิ่งหนึ่งที่ศิษย์พี่พูด อยากให้ศิษย์น้องรู้เมื่อเรานิ่งจนถึงที่สุด ความนิ่งนั้นจะสะท้อนความจริงแห่งตัวตนเราให้เรารู้แจ้ง ให้เราเข้าใจ ว่านี่คือคนนะ คนแบบนี้นะ บางคนขี้โวยวาย บางคนพูดดีไม่เป็น เราบอกพูดดีๆ สิ พูดกับเขาไปเถอะสิบรอบ พอถึงเวลา เป็นอย่างไร เขาเชื่อไหม เขาก็ไม่เชื่อ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีครรลองเป็นของตัวเอง เราบังคับไม่ได้ เหมือนตอนนี้ศิษย์พี่พูดแล้วให้ทุกคนยิ้ม เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่
ศิษย์น้องออกไปข้างนอกเจอคนด่า เจอคนเกลียด เจอคนโกง เราก็จะเข้าใจว่า “มันก็แค่นั้น มันก็เช่นนั้น”  เขาไม่ได้อยากโกงเราหรอก แต่บางทีเงินมันล่อตาล่อใจ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนถามศิษย์น้องว่าซื่อตรงกับภรรยาตัวเองไหม ไม่ต้องไปว่าเขา ตัวเราเองแอบเล่นไลน์ แอบเล่นเฟซบุ๊ก กุ๊กกิ๊กๆ กับคนนั้นแต่ก็มีสามีด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ศิษย์รู้ไหมว่าการคิด แค่คิดผิดก็กลายเป็นอกุศล แต่ถ้าคิดถูกมันกลายเป็นบุญและชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ได้ เหมือนศิษย์น้องเห็นศิษย์พี่เป็นเด็กมาสอน แต่ถ้าคิดว่าเด็กตัวแค่นี้ยังพูดธรรมะได้ขนาดนี้ อนุโมทนาด้วย เห็นไหมแค่พูดว่าอนุโมทนาด้วยมันกลายเป็นล้างกิเลส แค่คิดได้ขนาดนี้ก็กลายเป็นเครื่องชำระล้างกิเลสในใจได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนโดนเขาโกงแต่เราบอกว่าไม่เป็นไรให้อภัย จบเลยใช่ไหม แต่พอโดนโกง ไม่ได้ต้องเอามัน จะทำให้เวียนว่ายไม่จบเลยนะ ฉะนั้นแค่ชั่วขณะคิด หนึ่งความคิดอาจจะเป็นบุญ หรือหนึ่งความคิดอาจจะกลายเป็นอกุศลหรือบาปก็ได้
การปฏิบัติธรรมถ้ายังมุ่งหวังวอนขอจะเป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ การปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดคือไม่หวังวอนขออะไร ทำโดยเต็มใจ ใจอยากทำ ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำโดยไม่มีเป้าหมาย เพราะเป้าหมายของการเข้าถึงธรรมะ คือการเข้าถึงแล้วถึงเลยไม่มีเป้าหมาย หรือในภาษาพูด “ปัจจัตตัง” ที่ต้องรู้ได้ด้วยตนเอง แต่สิ่งที่ศิษย์พี่พูดก็เป็นแค่การพูดชี้ทาง ชวนคนที่จะรับรสของหนทางธรรมะ ที่เรียกว่าเข้าใจและปล่อยวางได้ แล้วพ้นทุกข์ได้ก็คือตัวของศิษย์เอง
ศิษย์พี่ยังไม่ได้พูดถึงการเข้าถึงการพ้นทุกข์แบบอนุตตร อยากเข้าถึงไหม (อยาก)
(ศิษย์พี่เมตตาหยิบมะม่วงบนโต๊ะพระ แล้วถามนักเรียนว่าอะไร)
(มะม่วง, ผลไม้, ผลผลิตจากธรรมชาติ)  เอารางวัลไหม
(ความไม่เที่ยงแท้)  แปลว่ามองไปถึงไหน แต่ก็ถูกนะ บางคนบอกว่าอยากกินข้าวเหนียว นี่แหละนะ การจำได้หมายรู้ที่ยึดติดในรสชาติ ทำให้การเห็นสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง พอเห็นมะม่วงนึกไปถึงข้าวเหนียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่แหละมนุษย์
ฉะนั้นถ้าอยากปฏิบัติธรรมเพื่อมีชีวิตอยู่และพ้นทุกข์ เราต้องรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบใจ แล้วมองให้ออกว่าเรากำลังตกเป็นทาส หรือเรากำลังจะควบคุม อย่างที่ศิษย์พี่บอก ถ้าเรามองออก เราเห็นชัด มะม่วงก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ แต่ถ้าเรามองไม่ออก เห็นไม่ชัด ฤดูกาลมะม่วงมาแล้ว เราต้องอ้วนแน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือการมองไม่ออกรู้ไม่ทันตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นมะม่วงแล้วเป็นอะไร ได้มะม่วงไปชีวิตวุ่นวายไม่จบนะ
บางคนเห็นมะม่วงก็คิดว่า โห! ราคาถูกจังเลย เวลาเราเห็นคน เราเคยเห็นเขาชัดจริงๆ ไหม หรือเราเห็นแค่สัญญา ความรู้สึกที่เราติดในรส หรือเราเห็นแค่ความคิดที่มีอยู่ในใจ ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่อยากทุกข์ แล้วต้องรู้จักเอาธรรมมาใช้ เราต้องมองให้ออกเวลาอะไรมากระทบตากระทบใจ แล้วเรารู้เท่าทันใจตัวเราเองไหมว่าเป็นแบบไหน
(เห็นการเกิด)  ตอบได้ดี เกิดในมะม่วงหรือเกิดในตัวเรา เกิดอยากได้ใช่ไหม อันนั้นดีนะเห็นการเกิด เมื่อเราเห็นแล้วเราจะดับมันอย่างไร เหมือนที่เขาเรียกว่า อริยสัจสี่ อยากเอาชนะทุกข์ต้องมองให้เห็นต้นเหตุแห่งทุกข์
(ความว่างเปล่าไร้ตัวตน)  ตอบได้ดีเหมือนกันนะ บอกว่าเห็นมะม่วงแล้วเห็นความว่างเปล่า จริงๆ นะ ถ้าคนไม่ชอบมะม่วง หน้ามะม่วงมาเห็นเหมือนไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เห็นการเกิดของมะม่วง)  แน่ใจว่าเห็นจริงๆ หรือ
(เห็นกิเลส)  กิเลสอยู่ตรงไหน มองให้ดีนะ เวลาเรามีทุกข์ บางครั้งบอกว่า เราโทษเขาเป็นตัวปัญหา มะม่วงคือตัวปัญหาที่ทำให้ฉันต้องอยาก แต่จริงๆ คนที่อยากคือใคร (ตัวเอง)  แล้วคนที่ผิดคือใคร (ตัวเราเอง) ใช่ลิ้นที่ติดรสชาติ สัญญาความจำที่ปรารถนาโหยหา กินแล้วต้องกินอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าเอาแต่โทษคนอื่น
(เห็นความยึดมั่นถือมั่น)  ในมะม่วงหรือ (ในตัวเราที่ยังยึดมั่นถือมั่น)  ในตัวเราที่ยังยึดมั่นถือมั่นว่าอย่างไรต้องกินมะม่วง ใช่ไหม (เห็นตัวเอง)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ ศิษย์พี่บอกตั้งแต่แรกแล้วนะศิษย์น้อง ถ้าจิตเรานิ่ง ทุกสิ่งจะสะท้อนภาพให้เห็นตัวตนอันแท้จริง แม้แต่มะม่วงก็ทำให้เราเห็นใจได้ ใจเรารู้สึกอย่างไร ใจเราคิดอย่างไร บางคนยังไปไม่ถึงเลย ลองคิดให้ดีๆ เช่นเวลาเราเห็นสาวสวยๆ เราก็เห็นกิเลสตัณหาที่กำลังขึ้นในตัวเรา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขา แต่ปัญหาอยู่ที่ใจเรา เห็นแล้วหวั่นไหว ใช่ไหม (เห็นว่าก่อนที่จะเป็นมะม่วง ต้องมีต้น มีเมล็ด ก็มีที่มาที่ไป)  เห็นมะม่วงแล้วเห็นตั้งแต่เกิด จนกระทั่งออกดอกตกผลแล้วกลายเป็นมะม่วงในมือเรา เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม เมื่อไหร่ที่ไม่ยึดติดแบ่งแยก มองเห็นว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นได้ก็เพราะเกิดจากการต่อเนื่องสัมพันธ์กัน เมื่อนั้นศิษย์น้องจะพบวิถีทางเห็นการพ้นทุกข์ แต่เราไม่เคยนิ่งจนเห็น ใช่ไหม (ใช่)
(เห็นความเป็นอนุตตรธรรมมากขึ้น)  เห็นความเป็นอนุตตรธรรมมากขึ้นใช่ไหม
(เห็นปัญหา)  เข้าใจพูดนะ เห็นปัญหาจริงไหม
อยากพ้นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  อยากลองศึกษาธรรมระดับสูงที่จะทำให้พ้นทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่จะบอกให้ว่าธรรมที่จะทำให้เราเข้าถึงพ้นทุกข์ได้จริงๆ เรามองออกและมองเห็นไหม ถ้าเรามองออกมองเห็นเราจะพ้นทุกข์ได้ทันที เพราะว่าอะไรรู้ไหม ศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า และอะไรคือลักษณะที่แท้ของคน ถ้าศิษย์น้องเข้าใจตรงนี้ ศิษย์น้องจะพ้นทุกข์ได้ ศิษย์น้องจะมีวิธีพ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง
อะไรคือลักษณะที่แท้ของคน มองให้ถึงที่สุด มองให้ถึงแก่นแท้ ไม่มีอะไรเป็นลักษณะแท้ของตัวเอง นี่คือหน้าแท้ๆ ของศิษย์น้อง ถ้าไปเอาหน้าตอนอายุห้าขวบมาดู แล้วไปเอาหน้าตอนอายุหกสิบมาดู อะไรคือหน้าตาที่แท้ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะไม่มีลักษณะแท้ใดๆ ในตัวเรา แต่เมื่อใดเราพยายามปรุงแต่งให้เกิดลักษณะที่แท้ หรือลักษณะที่เรียกว่าตัวตน เมื่อนั้นศิษย์น้องกำลังหาที่ให้ตัวเองทุกข์ พอยึดแล้ว ปรุงแล้วยังเกาะกุมว่าเป็นของฉัน ชื่อนั้น ชื่อนี้ นิสัยแบบนั้น แบบนี้ ศิษย์กำลังมีทุกข์เป็นเพื่อน ยึดแล้วนะ ยังไม่ไปศึกษาหรอกธรรมะ เดี๋ยวก็ตายเดี๋ยวก็จบ รู้ไหมว่าเมื่อรู้ขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมศึกษา แล้วยังบอกว่าช่างมัน แล้วยังบอกว่าตัวร่างกายนี้คือลักษณะที่แท้ นี่คือตัวฉัน รู้ไหมว่าถึงที่สุดศิษย์น้องจะมีความทุกข์จนถึงที่สุดหรือต้องทุกข์ทั้งเป็น หรือทุกข์ไม่จบสิ้น
ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นว่าแท้จริงแล้วในตัวตนนี้ไม่มีลักษณะใดแท้เลยที่ เรียกว่าตัวเรา ของเรา เราจะเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะร้อยมือ พันมือ หลายรูปแบบไม่จำกัด ไม่ว่าใครจะมากระทบ ใครจะว่าเราก็ไม่ทุกข์เพราะเราไม่มีรูปแบบแห่งตัวตน เข้าใจไหม (เข้าใจ)  มนุษย์ทุกข์เพราะมีตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่น แล้วบอกว่านี่ของฉัน นี่ของเรา แต่ศิษย์พี่จะบอกว่าสิ่งที่ศิษย์น้องบอกว่าของฉัน ของเรา อันไหนคือของศิษย์น้องแท้ๆ บ้าง มีไหม (ไม่มี)  แล้วยึดทำไม ยึดก็คือหาที่ให้ทุกข์ แล้วหลงรักทำไม หลงรักก็คือคนโง่ เพราะขนาดใจเราเองที่ศิษย์น้องบอกว่าเย็น แต่ใจของศิษย์น้องก็ยังทุกข์ ใจมันยังไม่มีลักษณะแท้เลย เดี๋ยวดีใจ เกลียด ทุกข์ เดี๋ยววันนี้สุข เดี๋ยววันนี้เซ็ง อะไรคือใจที่แท้ มีไหม (ไม่มี)  ใจที่แท้ก็ไม่มี ตัวที่แท้ก็ไม่มี แล้วเรากำลังยึดอะไร ถ้าเรายึดแล้ว บอกว่านี่แหละคือตัวเรา เราก็คือคนที่กำลังมีที่ให้ทุกข์อยู่ จำไว้นะตัวตนนี้แท้จริงไร้รูปลักษณ์ หรือไม่มีรูปลักษณ์ที่แท้จริง
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนหญิงคนหนึ่งออกมาด้านหน้า)
เราแน่ใจได้อย่างไรว่ากายนี้เป็นการเกิดและเป็นการสิ้นสุดของเรา แน่ใจแล้วหรือว่าใบหน้าสวยๆ นี่เป็นของเรา มนุษย์มักจะคิดว่านี่คือตัวเราที่เกิด และสุดท้ายคือตัวเราที่ต้องตาย แต่ถ้าศิษย์น้องเข้าถึงสภาวะไร้ลักษณะที่แท้จริง ศิษย์น้องจะรู้ว่าสิ่งนี้อาจจะเกิดมาแล้วเปลี่ยนมาหลายร่างแล้ว และร่างนี้อาจจะไม่ใช่ร่างสุดท้าย ถ้าศิษย์น้องเข้าใจตรงนี้ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากสูญเสียจะมาทำให้ศิษย์น้องทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าชาตินี้ไม่ใช่ชาติสุดท้าย แน่ใจหรือว่าตัวตนที่เกิดมานี้ คือเป็นชาติแรก และจะเป็นชาติสุดท้าย แล้วจะไม่มาเกิดแล้ว ศิษย์พี่ยืนยันได้เลยนะ ก่อนจะเป็นตัวตนนี้ เป็นอย่างอื่นมามากมายแล้ว และต่อๆ ไปอาจจะเป็นอย่างอื่นได้
ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองขังตัวเอง จนแก่แล้วไม่ไหวแล้ว จริงๆ แล้วถ้าเราเข้าถึงสภาวะ ไร้รูปลักษณ์ อะไรก็มาขังให้เราทุกข์ไม่ได้ ความแก่ก็ทำให้เราแก่ไม่ได้ ความเจ็บป่วยก็ไม่สามารถจำกัดพลังแห่งจิตใจได้ จำไว้ในตัวของเราไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับพลังจิต และถ้าเสริมด้วยปัญญาธรรม เป็นที่สุดของปัญญาธรรมแล้ว ไม่ว่าจะมีเงินหรือทอง หรือใดๆ ในโลก แต่ถ้ามีปัญญาธรรมแล้ว ใครก็มาทำให้เราทุกข์ไม่ได้
ฉะนั้นอย่าไปยึดติด เพราะพุทธะบอกว่าร่างกายนี้น่าเกลียด ถ้ามองให้ดีแล้วศิษย์น้องจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วโลกนี้ถึงจะเป็นมายา แต่ก็ไม่ได้ลวงหลอกใจเท่ากับใจเราเองที่ไม่เข้าใจโลกและไม่เข้าใจตน
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ดีไหม (ดี)  รักษาบุญรักษาโอกาสนะ มาฟังธรรมะอย่าตามใจตัวเองมาก ยอมขัดยอมฝืนบ้างจะได้กะเทาะกิเลส กะเทาะนิสัย กะเทาะความเคยชินให้มันเบาบาง
(มีนักเรียนขอมะม่วงกับศิษย์พี่พระนาจา)
ใครอยากได้ให้ไปเอานะ แต่ศิษย์พี่เป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์จี้กง มีข้อแม้ ให้ไปแล้วอย่ากินคนเดียว ไปแล้วนะ มีโอกาสตั้งใจศึกษาธรรมะอีกนะ เพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาที่ประเสริฐ ที่มีอยู่ในตัวศิษย์น้องทุกคน ที่จะนำพาให้ศิษย์น้องพ้นทุกข์ และทำให้คนรอบข้างไม่ทุกข์เพราะตัวเรา
อธิบายความหมาย โกอัน เพิ่มเติม
โกอัน เป็นภาษาญี่ปุ่น  แปลตามรากศัพท์เดิมว่า เอกสารทางการตัดสินความ ที่แปลกันอยู่ทั่วไปเป็นภาษาไทย มักเรียกว่าปริศนาธรรม โกอัน ใช้เป็นวิธีการในการฝึกหัดเซน ผู้ฝึกฝนย่อมใช้โกอันในการปฏิบัติสมาธิ จนกระทั่งจิตใจของเขาตื่นขึ้น  พูดง่ายๆ คืออาจเปรียบโกอันเหมือนกับโจทย์ทางคณิตศาสตร์ ซึ่งนักเรียนจะต้องทำเพื่อหาคำตอบออกมา แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อแตกต่างอยู่ระหว่างโกอันกับโจทย์คณิตศาสตร์ เพราะการแก้โจทย์คณิตศาสตร์นั้นมีวิธีทำอยู่ในตัวโจทย์เอง แต่คำตอบของโกอันกลับมีอยู่ในชีวิตของผู้ฝึกฝน
โกอัน คือเครื่องมืออันมีประโยชน์ ที่ใช้สำหรับการบำเพ็ญเพียรเพื่อการตรัสรู้ เหมือนกับจอบเป็นเครื่องมืออันมีประโยชน์สำหรับใช้ทำงานบนพื้นดิน สิ่งที่จะได้รับเป็นผลตอบแทนจากการทำงานบนพื้นดิน ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้ทำการงาน มิใช่ขึ้นอยู่กับจอบ โกอันจึงมิใช่ปัญหาอันจะต้องเฉลย นี่เป็นเหตุที่ทำให้ไม่อาจพูดได้อย่างเต็มที่ว่า โกอันเป็นข้อใหญ่ใจความสำคัญของการปฏิบัติสมาธิภาวนา และมิได้เป็นจุดมุ่งหมายหรือตัวสมาธิภาวนา ด้วยโกอันเป็นเพียงอุบายซึ่งช่วยให้ผู้ฝึกฝนได้ไปถึงจุดหมายของเขา
จากหนังสือ กุญแจเซน โดย ติช นัท ฮันห์
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

สิ่งที่เห็นมีมากกว่าสิ่งที่รู้ อย่ามัวหลงทะนงอยู่กู่ไม่กลับ  
เป็นมิจฉาทิฐิตัณหาจับ เป็นมุมกลับของโลกกับความจริง  

เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

เหนือกลางใต้อีสาน แม้ว่าต่างมากมาย ไม่พ้นเกิดแก่เจ็บตาย ต้องมุ่งมั่นบำเพ็ญ ถ้าหากผิดจากนี้ เห็นทีเวียนว่ายไม่พ้น ผู้ฝึกบำเพ็ญแล้วก็จะรู้เอง
ชื่อเพลง : ขวานใต้ตัดกิเลสสิบทิศ
ทำนองเพลง : ราชสีห์กับหนู

สักกะนิดสักกะน้อย ไม่คอยโชคชะตา มีปัญหาทบทวนหัวใจ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรู้ เรานั้นเป็นฉันใด เป็นทุกข์และเหนื่อยตาย
ฉุดใจตนไว้ดีดี โลกวันนี้แสนสบาย ด้านมืดหรือสว่างนั้นซ่อนลาย ทำไปทำมาสับสน
* กล้ายอมรับกล้ายอมรู้ ยิ่งเปลี่ยนชีวิตตน โดนลมฝนไม่ทำถึงตาย สู้อีกนิด สู้หน่อยนะ สู้แบบยิ้มยิ้มไป  ยิ้มแล้วใจจะเบิกบาน
(ซ้ำทั้งเพลง, *)
ทำนองเพลง : ปาป๊า มาม้า
ถึงภัยใต้พันพัว ตัวเราไม่ต่อตี งานธรรมหน่อยหนึ่งที่มี คุณภาพเกินใคร ถึงเราจะตัวเล็ก ไม่เคยว่าอ่อนหัดไป งานเสร็จไปกับมือ ไม่เคยอู้แรง ขวานคนใต้มีแต่ชนะ  ร้อยแปดสู้สิบทิศ ไม่ใช่เรื่องแตกต่างแพ้ ชนะ มาเก็บซ่อนซ่อนไว้ คนต้องต่างพากเพียร และบำเพ็ญเจริญขยาย
ถึงภัยใต้พันพัว ตัวเราไม่หวั่นใจ หนทางที่ยาวไกลคึกคัก เพื่อฉุดช่วยเวไนย ด้ามขวานผนึกกำลังคึกคัก งานธรรมแพร่ขยาย ในจิตเดียวเป็นได้ทั้งพระและมาร เห็นภัยรอบรอบตัว มิสู้ภัยต้องเกิดตาย ต้องเวียนว่ายไม่อาจนับครั้ง รู้ตัวก่อนภัยมาถึง ต้องสว่างข้างใน ถึงปรากฏทางให้เห็น
เหนือกลางใต้อีสาน ตะวันออกก็มี งานธรรมได้คนดี กล้าแกร่งคุณธรรม ถ้าหากผิดจากนี้ เห็นทีวุ่นวายไม่พ้น เดินด้วยปัญญาพร้อม ทั่วไทยทั้งแดน เข้มแข็งมาด้วยปัญหา ความกล้าเริ่มด้วยกลัว เริ่มมาจากใจตัว และจบในใจตน เพียงแค่ฝึกวันละนิดนิดนิด ใจตื่นอย่างผ่อนคลาย
เหนือกลางใต้อีสาน แม้ว่าต่างมากมาย ไม่พ้นเกิดแก่เจ็บตาย ต้องมุ่งมั่นบำเพ็ญ ถ้าหากผิดจากนี้ เห็นทีเวียนว่ายไม่พ้น ผู้ฝึกบำเพ็ญแล้วก็จะรู้เอง

ชื่อเพลง : ขวานใต้ตัดกิเลสสิบทิศ
ทำนองเพลง : ราชสีห์กับหนู

หมายเหตุ : พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้นำบทเพลงพระโอวาทมารวมกันโดย
บทเพลงท่อนแรก ประทานให้ในงานประชุมธรรม ๒ วัน ที่สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา  
เมื่อวันที่ ๑๘ - ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๔
บทเพลงท่อนที่สอง ประทานให้ในงานประชุมธรรม ๒ วัน ที่สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
เมื่อวันที่ ๓๐ - ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
บทเพลงท่อนที่สาม ประทานให้ในงานประชุมธรรม ๒ วัน ที่สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์  
เมื่อวันที่ ๖ – ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖
บทเพลงท่อนที่สี่ ประทานให้ในงานประชุมธรรม ๒ วัน ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ ๒๗ – ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมที่อยู่ชั้น ๓)
ศิษย์ดื้อทั้งหลาย ทั้งขี้แย เอาแต่ใจ คิดมาก ฟุ้งซ่าน ไม่เป็นตัวของตัวเอง ชอบคิดโน่นคิดนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่) บำเพ็ญธรรมจนถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่มั่นคงในการบำเพ็ญธรรมอีก ใช่หรือเปล่า ไม่ใช่โดนนิดโดนหน่อยก็ไปแล้ว เซ อย่างนี้จะได้อย่างไร ฟังธรรมเสียเปล่า ใช่หรือเปล่า อาจารย์บอกว่าอย่างไร บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญตอนไหน บำเพ็ญตอนถูกกระทบ แล้วศิษย์โดนกระทบแล้วศิษย์ไม่บำเพ็ญ แล้วศิษย์จะไปบำเพ็ญตอนไหน ที่ศิษย์มาที่นี่นี้ แค่มาทำงาน แค่ทำทาน แค่มาทำบุญ ใช่หรือไม่ แต่อบรมจิตอบรมใจมันอยู่ที่เวลาเราโดนกระทบแล้วโดนขัดเราจะยอมเกลา ยอมปล่อยตัวตนไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่ใช่ถูกกระทบแล้วไม่ขัด ไม่ขัดก็คือยึดมั่น ยึดมั่นก็คือมีตัวตน เมื่อมีตัวตนก็มีที่ให้เราทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เมื่อโดนขัดแล้วเราปล่อยความเป็นตัวตน ปล่อยความยึดมั่น เราก็คือ “ว่าง” จริงไหม แล้วยังยึดอะไรกัน
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมที่อยู่ชั้น ๒)
ยังกินกันไม่เสร็จอีกหรือ เหนื่อยไหมศิษย์เอ๋ย จำไว้นะบำเพ็ญเมื่อถูกกระทบ ถ้ายึดมั่นความคิดก็คือคนที่ไม่ปล่อยวางจากตัวตน แต่ถ้าโดนขัดแล้วยอมวางได้เราก็ปล่อยได้ จริงไหม โดนกระทบต้องปล่อยใช่ไหม เด็กดีหรือยัง คิดน้อยหรือยัง ทำดีเต็มที่หรือยัง นิสัยดีหรือยัง เป็นคนพูดดีหรือยัง เป็นคนทำดีได้ตลอดหรือยัง เป็นคนยังคิดมากอยู่ไหม ใช่หรือเปล่าๆ วันนี้จะให้อาจารย์มาเคาะกระโหลกใช่ไหม ไม่ต้องเคาะแล้วรุ่นนี้ ยิ่งเคาะยิ่งกระโหลกหนาได้ไหม เคาะแล้วต้องบางซิ ใช่หรือไม่ อาจารย์เคาะแล้วยิ่งต้องบาง ไม่ใช่เคาะแล้วยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ไม่อย่างนั้นเคาะไปก็เปล่าประโยชน์ใช่หรือไม่ อาจารย์จะเคาะให้ทุกคนเลย เคาะแล้วเผื่อจะได้มีปัญญายิ่งขึ้น เคาะแล้วความยึดมั่นถือมั่น ความหลงในโลกนี้มันจะได้เบาบาง ใช่หรือเปล่า (อาจารย์เคาะอีก) เอาด้ามพัดเคาะแล้วกันนะ ต้องลงหนักหน่อยใช่ไหม ศิษย์เอ๋ยเราบำเพ็ญธรรมอย่ากลัวการกระทบ อย่ากลัวการโดนว่า อย่ากลัวการทิ่มแทง เพราะการกระทบ การโดนว่า การทิ่มแทงคือการได้ขัดเกลาและปล่อยวางตัวตน เรายึดมั่นถือมั่นตัวตนเพื่อจะให้เราทุกข์หรือ โลกนี้มันมีอะไรให้เรายึดได้ อย่าไปหลงมันศิษย์ มันสวยหรือ มันดีหรือ มันก็ยึดไม่ได้ทั้งนั้นแม้แต่กระทั่งความรู้สึกมันก็ยังยึดไม่ได้ แล้วมันก็ไม่ใช่ของเรา ใช่หรือไม่ สิ่งที่แท้จริงคือธรรมะมีหนึ่งเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมะ แต่ศิษย์ยึดมั่นแล้วปรุงแต่งเรียกว่าตัวตน มันก็เลยเป็นที่ให้มีทุกข์ มีตัวตนให้ทุกข์และตัวตนนี้ทุกข์แล้วยังปรุงอีก ปรุงแล้วก็ยังหลงอีกแล้วเมื่อไหร่มันจะพ้น มันก็ไม่พ้นใช่หรือไม่ ฉะนั้นเมื่อทุกข์มาเราไม่ได้หลง เราไม่ได้ยึด เราก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ เราก็แค่อยู่กับปัจจุบันแล้วก็รู้กับปัจจุบันก็แค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่) ฟังไปนำไปทำนะศิษย์
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรมชั้นล่างและแม่ครัว)
มาเร็วอาจารย์จะช่วยเคาะกระโหลก เคาะแล้วจะได้เบาบางกิเลส เคาะแล้วจะได้เบาบางความยึดมั่นถือมั่น เคาะแล้วจะได้กลับมาหาอาจารย์บ่อยๆ เคาะแล้วจะได้ไม่ขี้น้อยใจ เคาะแล้วจะได้ไม่ทุกข์เผื่อความทุกข์มันจะน้อย ใช่ไหม ศิษย์เอ๋ยชีวิตคืออะไร ชีวิตคือความสวยงามหรือ ชีวิตคืออะไรกันแน่ ถ้าชีวิตคือการบำเพ็ญเราก็ต้องกล้าที่จะเสียสละ ถ้าชีวิตคือการเสียสละเราก็ต้องยินดีให้โดยไม่หวังผล ถ้าชีวิตคือการค้นหาเราก็ต้องค้นหาให้เจอตัวตนที่แท้จริงว่ามันคืออะไร มันคือแค่ความสวยงามหรือแค่ว่ามันคือความว่างเปล่าแต่เราไปหลงยึด มันคือความโมโหหรือว่ามันคืออะไรกันแน่ ใช่ไหม
ศิษย์เอ๋ยบำเพ็ญให้ดี รู้จักสำรวมระมัดระวัง อย่าทำผิดเพราะเพียงคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ศิษย์จำไว้นะบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เจ็บไม่ได้ บำเพ็ญธรรมไม่ใช่ป่วยไม่ได้ แต่ความเจ็บป่วยมาเพื่อเป็นสัญญาณเตือนว่าศิษย์กำลังประมาท ประมาทที่ยึดมั่นถือมั่น ความเจ็บป่วยมันมาเพื่อบอกให้ศิษย์รู้จักปล่อยวาง ความเจ็บป่วยมันมาเพื่อบอกให้เรารู้อะไร ลูกหลานถึงเวลาก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ต้องไปห่วงมาก ใช่ไหม (ใช่) ถึงเวลาที่สุด เราก็ต้องไปคนเดียวแล้วสิ่งที่เราจะนำไปได้แล้วคุ้มครองเราไม่ว่าตายหรือไป ไหนคือคุณงามความดี คือศีล คือธรรม ใช่หรือไม่ ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้นะ “ทำชั่วแม้จะเล็กน้อย แต่ถ้าขาดการบ่มเพาะอบรมจิตใจในเรื่องศีลปัญญา ชั่วเล็กน้อยก็ทำให้ตกนรกได้ แต่ถึงแม้ศิษย์จะทำชั่วมามากแค่ไหน แต่ทุกวันหมั่นอบรมศีล ปัญญา คุณงามความดี ความชั่วนั้นก็ยังไม่ทำให้ศิษย์ตกนรกเพราะความดีมันเจือจาง” เหมือนที่ศิษย์ชอบพูดกัน ความชั่วก็เหมือนน้ำเกลือแต่เราหมั่นทำความดีเยอะๆ น้ำเกลือมันก็ไม่มีผล แต่ถ้าศิษย์ทำชั่วแต่ความดีไม่ทำ อบรมจิตไม่ทำ ธรรมะไม่ฟัง ปัญญาไม่ไตร่ตรองไม่หยั่งคิดพิจารณาให้เข้าถึงธรรม ความชั่วแม้เล็กน้อยมันก็ฉุดให้ศิษย์ตกนรกได้ เข้าใจนะ ฉะนั้นหมั่นอบรมจิต อบรมใจ อย่าปฏิบัติธรรมแต่ใจไม่ได้อบรม ใจไม่ได้ขัดเกลา ไม่มีประโยชน์ คำมันก็พูดอยู่แล้วเขาพูดให้ขัดหู แล้วเราจะยึดไหม เขามาเพื่อให้ขัดใจด้วย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเขาว่าเราแล้วเจ็บครั้งเดียวแล้วเจ็บให้มันได้คุ้มค่าเลยให้มันได้สอง เท่าเลย ขัดหูแล้วได้ขัดใจด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าซ้ำเติมตัวเองเจ็บหูแล้วยังมาเจ็บใจ อย่างนี้ไม่คุ้ม ถูกไหมศิษย์ ไหนใครอยากถูกเคาะอีก เคาะแล้วต้องทำให้ได้นะ เคาะแล้วต้องคิดให้ได้นะศิษย์เอ๋ย
ลืมห้องผู้ร่วมฟังได้อย่างไร ใช่หรือเปล่า หลับหรือยัง (ยัง) หน้าเก่าๆ แล้ว ไม่ต้องพูดแล้วใช่ไหม งั้นอาจารย์ถามว่าใครอยากให้อาจารย์เคาะอีก (อยาก) ศิษย์เอ๋ย เคาะเพื่อให้เกิดปัญญา ไม่ใช่เพื่อให้งมงายนะ รู้สึกอาจารย์ยิ่งเคาะ อาจารย์ยิ่งติดใจ ศิษย์เอ๋ยบำเพ็ญธรรมอย่ากลัวความทุกข์ ความทุกข์มาทำให้เราได้ใช้กรรม บำเพ็ญธรรมอย่ากลัวความยากลำบาก ความยากลำบากสอนให้เราเข้าใจชีวิต ใช่ไหม (ใช่) ยังจะเอาอีกหรือ เคาะเยอะแล้วนะ ไหนใครยังไม่ถูกเคาะมาให้อาจารย์เคาะซะดีๆ เคาะหรือยังเรา บำเพ็ญธรรมคืออะไร ต้องเข้าใจความหมายให้ถูกนะ อาจารย์ไปเคาะจนหมดแรงแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาให้เลื่อนเก้าอี้ข้างหน้า เพื่อให้ผู้ร่วมฟังและผู้ปฏิบัติงานธรรมข้างหลังได้มีโอกาสนั่งฟังพระโอวาท)
มีคนเขากระซิบดังๆ ให้พระอาจารย์ได้ยิน ใครจะขึ้นมาชั้นนี้ได้ต้องเส้นใหญ่ ถ้าเส้นไม่ใหญ่นั่งไม่ได้ ฉะนั้นศิษย์ดีใจนะว่าศิษย์เส้นก๋วยจั๊บเลย เพราะคนที่เขาเคยฟังแล้วกลับมาฟังอีก ถ้าเขาเส้นไม่ใหญ่จริง เขาไม่ได้ขึ้นนะ ใช่ไหมผู้ปฏิบัติงานธรรม (ไม่ใช่) ทำอย่างไรถึงทำให้เขาคิดอย่างนี้ได้ ไม่ดีเลยนะ
ขอเวลาสักครู่ มีเวลานิ่งๆ ได้นั่งสงบใจ เรามีเวลาอยู่นิ่งๆ ไหม นิ่งแต่มือเล่นมือถือตลอดเวลา กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วหนอ
วันนี้มาฟังธรรมะเป็นวันที่สอง นักเรียนส่วนใหญ่ก็บอกว่าดีใจครบแล้ว บางคนยังเป็นเสือยิ้มยากนะ พอฟังมาเยอะๆ ขนาดนี้แล้ว ถ้าอาจารย์จะถามว่าเป็นอย่างไร ศิษย์ก็ตอบว่า ยังไกลตัวมากเลย ยังไกลกับชีวิตไปนัก ศิษย์ก็รู้นะว่าธรรมะดี แต่ไกลเกินเอื้อม ยังไม่ค่อยอยากจะทำเท่าไหร่ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะหาธรรมะที่เหมาะกับศิษย์แต่ละประเภท ศิษย์บางประเภทเป็นประเภทรักสวยรักงาม บางประเภทไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ใช่ไหม (ใช่) บางประเภทเป็นแบบขวานผ่าซากมีอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องมีลับลมคมใน กับอีกประเภทอะไรก็ดี เชื่อไปทุกอย่าง กับอีกประเภทขี้กังวล ดีไหมหนอ เอาไหมหนอ อย่างไรดี ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นหาธรรมที่เหมาะกับศิษย์แต่ละประเภทของศิษย์ดีไหม
บางครั้งไม่อยากเจอ ไม่อยากได้ ก็ต้องเจอก็ต้องได้ ใช่ไหม (ใช่) นี่แหละคือส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากฟัง แต่บางครั้งก็ต้องจำใจฟัง เพราะนี่คือธรรมดาของชีวิต จริงหรือไม่ (จริง)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี) แม้ลึกๆ ยังไม่เชื่อก็ตามนะ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) พุทธะถึงแม้จะเป็นสัพพัญญู แต่ไม่ใช่เป็นปุ๊บก็รู้ แต่ต้องหยั่งถึงได้รู้ จริงหรือไม่ (จริง) รู้หรือเปล่า รู้หรือ เพราะถ้าท่านเห็นแล้วรู้หมด ท่านก็คงอยากจะฉุดช่วยไปหมดทุกคนแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แต่จริงๆ ท่านเห็นก็รู้ รู้จนตลอดสาย รู้จนถึงที่สุด เหมือนที่อาจารย์เคยบอกศิษย์ไว้ว่า ทำไมพระพุทธองค์เป็นพระสัพพัญญู รู้ว่าพระเทวทัตมาแล้วจะไม่ดีต่อท่าน แต่ทำไมก็ยังให้อยู่ให้บวชเรียน เพราะอะไร เพราะคิดว่าบุญกุศลของพระเทวทัตที่ได้บวชเรียน จะเป็นอานิสงส์ให้เขาได้กลับมาเป็นพระพุทธะแล้วกลายเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้า ได้เหมือนกัน รู้ไหม ฉะนั้นแม้ว่าอาจารย์จะรู้ว่าลึกๆ ในที่นี้ศิษย์ยังไม่ค่อยเชื่อก็ตาม แต่อาจารย์ก็คิดว่าผลบุญของการตั้งใจมาฟังสองวันนี้ จะหนุนส่งนำพาให้ศิษย์แม้ทุกข์แล้วก็จะมีสักชาติหนึ่งหรือคราหนึ่งได้กลับมาผูกบุญกัน หรือกลับมาทำให้ศิษย์คิดได้แล้วพ้นทุกข์
ฟังอาจารย์ไหม (ฟัง) ได้ยินที่อาจารย์พูดใช่ไหม (ได้ยิน) ถึงแม้ว่าจะรู้แล้ว ฟังไปอาจจะจำอะไรไม่ได้ แต่อาจารย์ก็หวังสักนิดหนึ่งว่าผลบุญของการที่ศิษย์มานั่งสองวันนี้ จะช่วยหนุนส่งทำให้เมื่อคราใดศิษย์เจอทุกข์ บุญนี้จะทำให้ศิษย์เกิดปัญญาคิดได้ เมื่อคราใดที่ศิษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด บุญนี้เผื่อจะเป็นบุญสัมพันธ์ที่ทำให้ศิษย์กลับมาเป็นศิษย์อาจารย์จี้กงกัน อีก หรือไม่ต้องเป็นศิษย์อาจารย์ก็ได้ แต่เป็นความดีที่ทำให้ศิษย์มีใจที่จะใฝ่เรียนใฝ่รู้ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
อยากนั่งไหม (อยาก) วันนี้รีบอยากทันทีเลยนะใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าถ้าให้นั่งทันทีเดี๋ยวจะหลับนะ ไหนใครบอกอาจารย์ได้ว่าวันนี้มาฟังไม่แอบหลับเลยยกมือขึ้น ใครมาสองวันนี้รู้สึกว่าอิ่มบุญบ้าง หรือฟังจนอิ่มหาบุญไม่เจอบ้าง จะอิ่มบุญได้เมื่อฟังแล้วได้ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์นะศิษย์ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ถ้าฟังแล้วเกิดคลางแคลงสงสัย ฟังแล้วคิดเล็กคิดน้อย ฟังแล้วตำหนิต่อว่า อย่างนี้ไม่เรียกว่าบุญใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วเกิดปัญญานั่นก็เกิดบุญ ฟังแล้วสามารถพูดต่อได้นั่นก็เป็นบุญ ฟังแล้วยังรู้จักอุทิศให้คนอื่นได้นั่นก็คือการสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังแล้วเขาจะบ่นๆ ไป แล้วเราไม่รู้เรื่อง แต่เราให้อภัยเป็นทานนั่นก็คือการสร้างบุญ บุญทำได้ตลอด บุญทำได้เนื่องๆ ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วคนที่หมั่นสร้างบุญตลอด บุญก็จะคุ้มครองชีวิต ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์รู้จักคิดในสิ่งที่ถูกต้องดีงามก็จะนำพาให้เป็นสุข ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าแค่คิดก็ผิดแล้ว เคยได้ยินคำนี้ไหม (เคย) เมื่อสักพักอาจารย์บอกให้คิดดีนะ ใช่หรือไม่
แล้วอย่างนี้แค่คิดก็ผิดแล้ว อย่างนี้ดีหรือไม่ดี หรือไม่ควรคิดดี ตอบได้ได้นั่ง ตอบไม่ได้ยืนต่อไป ฟังมาวันครึ่งแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ลองแงะแกะเกลาปัญญาตัวเองหน่อยนะ ดีไหม
(ต้องคิด มีสมองไว้คิด คิดดีก็เป็นเรื่องดี คิดไม่ดีก็เป็นเรื่องได้) ต้องคิดใช่ไหม ไม่คิดไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่) เขาพูดถูกไหม (ถูก) แต่บางทีความคิดและวิจารณญาณก็กลับไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ความคิดดีอย่างมากถึงที่สุดคือแค่สวรรค์ แต่ความไม่คิด ไม่มีความคิดเกิด ไม่มีอารมณ์ปรากฏ รู้อยู่แค่สิ่งปัจจุบันกับสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือพ้นทุกข์ นั่นคือบริสุทธิ์ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดหนึ่งไหม ละชั่วทำดี และถึงที่สุดคือทำใจให้บริสุทธิ์ มีความคิดมันก็ยังไม่บริสุทธิ์ แต่พ้นความคิด พ้นอารมณ์ และแค่รู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นแหละเรียกว่า บริสุทธิ์แท้จริง ฉะนั้นทำไมจึงบอกว่าแค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะความคิดบางทีคิดดีก็ยังยึดติดในความดี ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนที่ศิษย์บอก อยู่บนโลกถ้าอยู่ตรงกลางก็เป็นเป้าให้คนยิงได้ แต่ถ้าบำเพ็ญธรรมอยู่ตรงไม่มีทางทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
มีเครื่องจักรกลเข้าเกียร์ว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องดับสิ้น แต่ถ้าชีวิตเข้าสู่ความว่างจะเกิดการกระทำที่สร้างสรรค์ พอจะเข้าใจไหม อาจารย์อธิบายไปแล้วอย่างนี้ไม่มีใครตอบเลย มีตอบแค่คนเดียว อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ อาจารย์บอกว่าใครตอบได้จะได้นั่ง ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นศิษย์จะนั่งเอง หรือให้เขานั่ง (ผมเสียสละให้นั่งทุกคน) ปรบมือให้เขาหน่อย ศิษย์ที่เหลือนั่งลงได้ ปล่อยให้เขายืนไป เอาล่ะสิ แล้วอย่างนี้คนที่นั่งตาปริบๆ จะไม่คิดช่วยเหลือเขาเลยหรือ ใช่ไหม
ใช่หรือไม่ใช่ (ใช่) ช่วยไหม (ช่วย) ใครจะยอมเสียสละช่วยเขาบ้าง ฟังธรรมะมาแทบตายวันนี้ได้ลงมือปฏิบัติหรือยัง อย่ามัวแต่คิด เราต้องอยู่กับปัจจุบันแล้วลงมือกระทำทันที มันจะเป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ ยิ่งคิดมาก ว่าเราจะได้หน้าหรือเราจะเสียหน้าไหม ถ้าเรายืนตอบแล้ว ขืนช้าอย่างนี้มันไม่มีบุญแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าแค่คิดก็ผิดแล้ว (อย่างที่พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเราคิดก็แสดงว่าเรายึดติดกับสิ่งที่ดี แต่ถ้าเราคิดไม่ดีเราก็ยึดติดกับสิ่งที่ไม่ดี มันทำให้เราเกิดขั้วลบในสมองมาก) ฉะนั้นบวกเกินก็ไม่ดีก็เป็นยึด ลบเกินก็ไม่ดี แล้วอะไรดี (ไม่คิดดีแล้ว) เมื่อตั้งใจจะทำอะไรขอให้ไตร่ตรองหยั่งลึกในความถูกต้องชอบธรรมแค่นั้นพอ ขอให้ศิษย์หยั่งลึกในเมตตาธรรมในจิต หยั่งลึกในมโนธรรมสำนึก หยั่งลึกในคุณงามความดี แค่หยั่งลงไปในใจ ปล่อยเขายืนมันถูกต้องในความเป็นคนไหม เขาช่วยให้เรานั่ง เรายังมาอายอะไรอีก ใช่ไหม (ใช่) เห็นไหมว่าแค่หยั่งเราก็ได้ธรรมะทันที ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นปฏิบัติธรรมอย่ารอช้า อย่ามัวแต่คิด
(รู้จักให้เสียสละ) เขากล้าเสียสละแล้ว เราก็ต้องกล้าเสียสละตาม
อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์พิจารณา โลกก็เป็นแบบนี้แหละ นี่แหละเขาเรียกว่าความยุติธรรม ดูเหมือนไม่ยุติธรรมแต่บางที นี่แหละยุติธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ จริงๆ แล้วบางทีเขาอาจจะไม่ได้ก็ได้ คนที่ได้คือคนสุดท้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นแล้วเราจะท้อกับการกระทำดีไหม ท้อไหม (ไม่ท้อ) ถ้าท้อก็แปลว่าศิษย์ยังยึดติดในความดีอยู่ ใช่หรือไม่ ว่าทำดีต้องได้ผล ทำดีต้องได้รับรางวัล ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นศิษย์ยึดไหม (ไม่ยึด) ยังยึดอยู่หรือ ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือเปล่า
เหมือนเวลาศิษย์เห็นคนกำลังจะจมน้ำ ตอนนั้นศิษย์ไม่คิดอะไร วิ่งไปช่วยเลย ลืมไปกระทั่งว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น ไปช่วยเขาปรากฏว่าตัวเองตาย ศิษย์รู้ไหมว่าจิตชั่วขณะนั้นทำให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้เลยนะศิษย์ แต่ถ้าหากคิดแล้วคิดอีกมันก็กลายเป็นแค่ ติดดีกับติดไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นชั่วขณะจิตที่เกิดมโนธรรมสำนึก เกิดเมตตาธรรม เกิดจิตใจอยากช่วยเหลือ นั่นถือเป็นคุณธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นคุณธรรมที่ไร้มลทิน เป็นการกระทำที่ขาวสะอาด แต่คนปัจจุบันนี้ไม่ใช่แบบนั้น จะทำอะไรทีก็กลัว เดี๋ยวจะถูกหลอกไหม เดี๋ยวจะตายไหม แต่พุทธะคิดได้อยู่คำเดียวที่อยากจะบอก ไม่ต้องคิดก็ได้ เดี๋ยวกลายเป็นต้องคิดอีก อยากบอกศิษย์อยู่คำเดียวว่าชั่วขณะนั้น ถ้าจิตเจตนาเราดี มุ่งจะช่วยแม้ตายเป็นตาย แต่ได้ทิ้งธรรมไว้ให้คนได้รับรู้ นั่นถือว่า เรียกว่าประเสริฐแล้ว ใช่หรือไม่
สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่า ชีวิตไม่ใช่คุณธรรมที่อยู่ในหัวใจศิษย์หรือ ถูกไหม (ถูก) แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะหลงลืมไป หลงคิดว่าชีวิตมีค่า คุณธรรมทำเมื่อไรก็ได้ ก็เลยเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ทำสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์เมตตาว่าวันนี้ขอพูดธรรมะให้ตรงกับจริตศิษย์คนละแบบ บางคนชอบความสวยความงาม รักสวยรักงาม คนโดยส่วนใหญ่ก่อนออกจากบ้านสิ่งแรกที่ต้องมองคือกระจก ถ้ากระจกไม่มีก็ตามด้วยโทรศัพท์ ถูกไหม (ถูก) อาจารย์จะให้ศิษย์ปลงได้อย่างไร ก็ศิษย์ยังอยากสวยอยู่ ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์ยังอยากหล่อและดูดีอยู่ แม้ว่าเราจะแก่แล้วยังอยากสวย ถ้าอย่างนั้นธรรมที่เหมาะกับคนที่รักสวยคืออะไรรู้ไหม ศิษย์คงเคยได้ยินว่า คนที่สวยแล้วทำให้ตัวเองยิ่งสวย มองแล้วเป็นอย่างไร คนที่เก่งแล้วพยายามอวดตัวเองว่าเก่ง มองแล้วเป็นอย่างไร (หมั่นไส้)
ดูไม่เก่ง ดูไม่สวยเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนเราอยากสวยได้นะศิษย์ แต่อย่ามากเกิน เพราะถ้ามากเกินจะกลายเป็นหมั่นไส้ กลายเป็นที่รำคาญของคนอื่น ศิษย์ดูง่ายๆ ศิษย์เคยมีเพื่อนไหม คนที่เขารักสวยรักงามเคยเจอไหม เหมือนนกหงส์หยกเวลามองกระจกไหม (เหมือน) ฉะนั้นชีวิตกำหนดอนาคต กำหนดภพภูมิ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นศิษย์เอย ธรรมที่เหมาะกับคนสวยงามคืออะไร คือสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกว่า คนเราพอเวลาสวยมากๆ ถ้าหลงในรูปเกินไปไม่ดี เพราะเวลาโดนคนว่าแล้วเราเจ็บไหม (เจ็บ) โดนคนว่าแล้วเราทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วเวลาพยายามรักษาให้สวยไว้อยู่ตลอดโดยไม่ต้องสวย เหนื่อยไหม (เหนื่อย) แล้วทำไม (ทำ) อาจารย์รู้ว่าเป็นจริตของศิษย์ เป็นความชอบที่แก้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ความชอบนี้แก้ไม่ได้ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมธรรมะข้อหนึ่งว่า ในความสวยมีความไม่สวยอยู่ ใช่ไหม (ใช่) และถึงแม้ใครจะชมศิษย์ว่าสวยขนาดไหน ศิษย์ก็หลงไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม (ลืมตัว) เพราะความจริงของโลกต้องการจะบอกเราว่า ถึงจะสวยขนาดไหน ก็ต้องมีคนที่สวยกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) และถึงจะน่าภาคภูมิใจขนาดไหนที่สวยกว่าเขา สวยกว่าอาจารย์ก็ได้ อาจารย์จะบอกว่าในโลกของความเป็นจริงนั้น เวลาสวยอยู่ด้วยกันมากๆ มองแล้วสบายใจไหม สวยไหม (สวย) อาจารย์ขี้เหร่เลยเห็นไหม ฉะนั้นศิษย์เอย สวยขนาดไหนก็ต้องมีสวยกว่า ฉะนั้นวันนี้ได้รับคำชมจากอาจารย์ว่าสวยอย่าดีใจ เพราะความเป็นจริงแล้วที่เราสวยก็มีไม่สวยซ่อนอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็มีน่าเกลียดซ่อนอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็มีความไม่น่ามองซ่อนอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจำไว้นะ ในโลกความเป็นจริงมีด้านหน้าก็มีด้านหลัง มีสวยก็ไม่ (สวย) เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันแล้วเรียกว่า ชีวิต ฉะนั้นศิษย์อยากสวยอาจารย์ไม่ว่า ศิษย์หลงสวยอาจารย์ก็ไม่ว่า แต่หลงสวยแล้วต้องยอมรับเมื่อตัวเองไม่สวยด้วย ใช่หรือไม่
มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าเกิดศิษย์บอกกับอาจารย์ว่าศิษย์อยากสวยแล้วไม่เอาไม่สวย ศิษย์ก็คือคนที่ไม่รักชีวิตและไม่ยอมรับความจริงของชีวิตใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรเพราะธรรมะที่อาจารย์อยากจะบอกสำหรับคนสวยก็คือโลกนี้เป็นโลกแห่ง สภาวะคู่ มีดีก็มี (ไม่ดี) มีร้ายก็มี (ไม่ร้าย) มันอยู่ตรงข้ามกันแต่จริงๆ แล้วมันอยู่ในจุดเดียวกัน แต่ เป็นเพราะว่าภาวะบางเหตุการณ์ที่ทำให้คนนี้เป็นคนสวยมากเมื่ออยู่กับอาจารย์ แต่พอไปอยู่กับคนที่สวยด้วยกัน เขาก็กลายเป็นธรรมดาจริงไหม สวยๆ อยู่รวมกันมันก็ธรรมดา อาจารย์ไม่ได้ประชดแต่เป็นเช่นนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอคนไม่สวยมาอยู่กับคนสวยก็จะเห็นได้ว่าคนนี้สวยมาก ฉะนั้นจำไว้นะโลกนี้มีความจริงที่เป็นภาวะคู่ ศิษย์อย่าเกลียดสิ่งหนึ่งแล้วรักสิ่งหนึ่ง นั่นเรียกว่าหลอกลวงไม่อยู่กับความจริง ศิษย์จะรักสุขแล้วเกลียดทุกข์ได้ไหม ศิษย์จะรักคนชมแล้วเกลียดคนด่าได้ไหม มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตมันคือความเกี่ยวเนื่องที่ทำให้เรารู้จักชีวิตและทำ ให้เราเป็นชีวิตนี้ ฉะนั้นเจอคนไม่สวยอย่าไปว่าเขา เจอคนสวยกว่าก็อย่าไปอิจฉาเขา เพราะเขาทำให้เรารู้ว่าความสวยเป็นอย่างนี้ ชีวิตต้องปลงเพราะเราไม่สวยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น จำไว้นะศิษย์อยากสวยอย่าลืมว่าโลกนี้เป็นสภาวะคู่ มีสวยก็มีไม่สวย มีเกิดก็มีตาย เหมือนที่ศิษย์ชอบพูด “ดีใจจังเลยฉลองวันเกิด” ใช่ไหม (ใช่) แต่อาจารย์จะบอกว่า “ดีใจตายไปแล้วสิบห้าปี” ถูกหรือเปล่า (ถูก) เพราะฉะนั้นมองให้เห็นเพราะโลกนี้เป็นทวิภาวะ มีความเป็นคู่ ถ้ายังหลงอยู่กับความเป็นคู่ก็ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้ามองเห็นความเป็นจริงและอยู่ตรงกลางได้ ไม่รักสวยไม่เกลียดไม่สวย เราก็จะพ้นทุกข์ใช่ไหมคนสวย
ฉะนั้นอยากสวยไม่ว่าแต่อย่าลืมว่าโลกนี้มีสวยได้ก็ไม่สวยได้ เวลาเห็นใครชมคนอื่นว่าสวย มันก็ธรรมดาๆ ใช่ไหม ฉะนั้นอย่าไปน้อยใจอย่าไปคิดร้าย จำไว้ว่าตัวเราอยู่เราก็สวยแล้วถ้าไปเทียบกับคนที่หน้าตาธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่) จงภูมิใจในความสวยของตัวเองแล้วก็เตรียมใจความไม่สวยของตัวเองด้วยดีไหม แต่อย่าถึงขั้นขนาดทำร้ายตัวเองเพราะอยากสวยนะ
อาจารย์เพิ่งพูดศิษย์ ลักษณะแรก ใช่หรือไม่ (ใช่) ลักษณะที่สองนี้สำคัญต้องหันไปฝ่ายชาย ฝ่ายชายมักเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นคนที่เชื่ออะไรยาก ต้องมีเหตุผล ต้องเป็นจริงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่เชื่อ ใช่หรือเปล่า (ใช่) “ธรรมะที่อาจารย์พูดมันก็ดีนะ แต่ผมรู้สึกมันไกลเกิน ผมไม่ทำหรอก” ใช่หรือไม่ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกว่าธรรมะที่เหมาะกับคนที่เชื่ออะไรยากๆ คืออะไรรู้ไหม ศิษย์พอเดาออกไหม (ความเป็นจริง) ความเป็นจริงในด้านไหน (มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย) ตอบได้ดี ถ้าเราเชื่อตรงนี้แล้วมันจะช่วยอะไรเราหรือ (ช่วยให้พ้นทุกข์) ตอบได้ดี
สิ่งที่คนที่เชื่ออะไรยากๆ เราจะนำธรรมะอะไรมา เพื่อจะทำให้เราไม่หลงในความมั่นใจในตัวเอง และไม่ทำให้เราหยิ่งผยองจนเกินไป และหลงลืมความเป็นจริงในโลกนี้ แม้ศิษย์จะอยากมีเงินมากมายขนาดไหน หรือใดๆ ก็ตาม ในโลกมีความจริงที่ไม่อาจลืมได้อยู่คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (แก่ เจ็บ ตาย) เราหนีไม่พ้น เมื่อเราหนีไม่พ้นเราควรที่จะยึดมั่นถือมั่นไหม เพราะถึงที่สุดแล้วสภาวะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเราควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่น แล้วถ้าไปเจอความไม่เที่ยงของโลก ศิษย์รับได้ไหม อยากแล้วหลงมัวเมา อยากมีไอโฟน ไอแพด อยากมีสิ่งอำนวยความสะดวกไปเรื่อย ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งว่า ความเป็นจริงของโลก จะมีอะไรก็ตาม มีแล้วจะมีจนถึงที่สุดไหม ศิษย์มีแล้วเกิดความอยากยึดครองใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนศิษย์อยากมีแฟน แฟนศิษย์ต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปด้วย ห้ามเปลี่ยน ห้ามบ่น ให้สวยแบบนี้ตลอด ใช่ไหม (ใช่) เหมือนถ้าเราอยากให้มีเงินต้องมีแบบนี้ตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่) ห้ามลด ห้ามขาดทุน อยากเชื่อมั่นตนก็เชื่อมั่นได้ แต่ต้องยืนอยู่บนความเป็นจริงว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เรายึดได้ ถือได้ คุมได้ เหมือนจะจับต้องได้ว่าเป็นของเรา แต่ในที่สุดก็ไม่ใช่ของเรา
วัชรยานสูตรเคยกล่าวไว้ว่า ปวงสังขตธรรม (หมายถึง เป็นธรรมที่มีขึ้น โดยมีเหตุปัจจัยผสมปรุงแต่งให้เกิดขึ้น) เป็นเพียงฟองน้ำ เป็นเพียงมายา เป็นเพียงฟ้าแลบมา จงพิจารณาดังนี้เถิด และศิษย์เข้าถึงไหม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัว แท้จริงแล้วก็คือสิ่งปรุงแต่ง ใช่หรือไม่
ปรุงแต่งให้เป็นตัวเป็นตน กว่าจะมีตัวตนได้ต้องประกอบไปด้วย สรรพสิ่งรวมกันจึงเกิดเป็นตัวตนได้ แต่พอไม่มีแขน ไม่มีขา ยังเรียกว่าตัวตนไหม ก็เรียกแต่ไม่ค่อยสมบูรณ์ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นคนเชื่อมั่นถือมั่นในตัวเองจะมีมากขนาดไหนก็ไม่ควรลืมธรรมะข้อหนึ่ง ที่เรียกว่า “ไตรลักษณ์” เรียกว่าความเป็นจริงของโลกใบนี้ ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานเพลงธรรม ทำนอง : ปาป๊า มาม้า)
สมัยก่อนคนที่รู้จักกันเวลาเขาจะส่งของที่ดีที่สุดให้แก่กัน เขาจะไม่ส่งของขวัญนะ แต่เขาส่งมอบเป็นธรรมะ ธรรมะที่ทำให้รู้แจ้งเข้าถึงปัญญาแห่งความเป็นจริงในชีวิต เพราะมันยั่งยืนกว่า ใช่หรือใช่ไหม ดั่งที่พูดว่าให้ธรรมะเป็นทานประเสริฐกว่าให้สิ่งใดๆ ในโลกนี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วศิษย์ได้ไหมธรรมะ
เมื่อสักครู่อาจารย์เพิ่งบอกจริตของศิษย์ไปแค่สองแบบใช่ไหม (ใช่) อีกแบบหนึ่งคือพวกที่ชอบพูดแบบขวานผ่าซากพูดอะไรก็พูดตรงๆ ไม่เคยแคร์ใคร ศิษย์เป็นแบบนั้นไหม จริงๆ แล้วสิ่งที่อาจารย์พูด ถึงแม้จะแยกเป็นคนละแบบ แต่บางทีก็มีอยู่ในคนๆ เดียว ก็มีใช่ไหม บางครั้งนึกอยากจะพูดก็พูด นึกอยากจะเชื่อมั่นตัวเองก็ไม่สนใจใคร ใช่หรือไม่ นึกอยากจะรักสวยรักงาม เราก็เป็นใช่ไหม ฝ่ายชาย บางทีต้องเนี๊ยบ ต้องดูดี ไม่งั้นออกจากบ้านไม่ได้ เป็นไหม (เป็น) ถูกหรือเปล่า
อีกประเภทหนึ่งของพวกขวานผ่าซาก ใครบ้างที่เป็นคนชอบพูดอะไรไม่ค่อยคิด ยกมือขึ้น เป็นอย่างนั้นไหม เป็นครั้งแรกนะที่อาจารย์เห็นฝ่ายหญิงเยอะกว่าฝ่ายชาย ฝ่ายชายไม่เป็นหรือ เป็นไหม (เป็น) คนที่พูดอะไรขวานผ่าซาก ทำอะไรไม่ค่อยคิด อาจารย์อยากให้ใช้ธรรมะข้อหนึ่งที่เป็นสิ่งเตือนใจ นั่นก็คือ เมตตา มโนธรรม จริยธรรม หรือเรียกว่า ศีลธรรม พูดแล้วมีเมตตาไหม พูดไปแล้วมันขัดกับมโนธรรมสำนึกไหม มีใครบ้างชอบคนเอะอะโวยวายมะเทิ่ง ชอบไหม (ไม่ชอบ) แต่อารมณ์มันพาไปใช่ไหมศิษย์ (ใช่) ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะเอะอะโวยวาย พูดอะไรไม่รู้จักคิด ขอให้ยั้งคิดและถามตัวเองสักนิดหนึ่งว่า มันถูกต้องกับหัวใจเราไหม มันดีกับการที่เราจะพูดไปแล้วเราสบายใจ แต่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจไหม ถ้าพูดไปแล้วเขาทุกข์ พูดไปแล้วเขาเจ็บปวด พูดไปแล้วก็มองหน้ากันไม่ติด พูดไปแล้วดูเหมือนมันไม่มีเมตตาธรรม อย่าพูดเลยดีกว่าจริงไหม ศิษย์ก็รู้ คนเราบางครั้งมองหน้ากันไม่ติดก็เพียงแค่เพราะคำพูดที่ไม่ถูกหู แค่คำๆ เดียวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก่อนจะเอะอะโวยวายมะเทิ่ง ขอให้คิดหยั่งลงที่ดวงใจของตัวเองหน่อยว่า ทำแล้วเมตตาไหม ทำแล้วอย่างนี้เรียกว่ามโนธรรมสำนึกของคนที่เป็นคนดีหรือเปล่า
จริตของมนุษย์มีอีกสองอย่างคือเป็นพวกที่อะไรๆ ก็เชื่อไปหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า ในโลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่นึกจะเชื่อก็เชื่อ นึกจะเกิดก็เกิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนที่เชื่ออะไรงมงายจำเป็นอย่างหนึ่งคือ จะต้องมีปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่) ปัญญาที่มองให้เห็นความเป็นจริงในโลกนี้ว่า โลกใบนี้ล้วนมีเหตุมีผล ใช่ไหม (ใช่) จะเอาแต่ศรัทธาล้วนๆ จะเอาแต่เชื่อมั่นล้วนๆ อย่างเดียวไม่ได้ เหมือนเวลาทำดีแต่ไม่ได้ศึกษาเลย อยากจะทำก็ทำๆ แต่ไม่ได้ศึกษาเลย พอเจอปัญหาปุ๊บเราก็แก้ไม่ได้ คิดไม่ออก ใช่หรือไม่ ปลงไม่ตก ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นการที่จะเอาแต่เชื่อ จะต้องมีคุณธรรมข้อหนึ่งเป็นตัวยับยั้งให้เราไตร่ตรองให้เราคิดนั่นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย การศึกษาอะไร หรือเรียนรู้อะไร อย่าเอาแต่เชื่อโดยขาดปัญญา ใช่ไหม (ใช่) และอีกแบบหนึ่งคือพวกที่ชอบคิดกังวลไปก่อนข้างหน้า จนถึงขนาดนอนไม่หลับ จะนอนก็ต้องข่มตาเพราะกังวล พรุ่งนี้จะมีไหม พรุ่งนี้จะได้ไหม พรุ่งนี้ลูกจะดีไหม เราจะเป็นอย่างไรหนอ เราจะได้ไหม ใช่ไหม เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น) แล้วเราจะแก้อย่างไรหนอสำหรับคนที่คิดแบบนี้ (ปล่อยวาง) แต่ทำไมพลิกซ้ายก็แล้ว พลิกขวาก็แล้วมันไม่หลับ มันปลงไม่ลง มันวางไม่ได้ จะข่มตาหลับมันก็ไม่หลับถ้าความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นมาแล้ว มันหยุดไม่ได้ มันคิดไปเรื่อยเลย ก็ทำให้นอนไม่หลับ ฉะนั้นจะนำธรรมะอะไรช่วยข่มใจเราได้ รู้ไหม (ไม่รู้) คนที่เป็นแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่อายุมากๆ แล้วคนอายุมากๆ ชอบเป็นใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์นะว่าศิษย์ต้องมีธรรมะข้อนี้ให้เยอะๆ เลย แล้วศิษย์จะเป็นคนที่นอนหลับ แล้วถ้าเกิดต้องตายก็ตายตาหลับ คือให้คิดอย่างไรรู้ไหม ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “มรณสติ พึงพิจารณาความตายอยู่เนืองๆ” ไหม ส่วนใหญ่เขาจะบอกกันอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่) แต่อาจารย์ว่าคนที่ช่างคิดอย่างศิษย์ไม่พอ วิธีที่จะคิดและทำให้เราหลับสบายคืออะไร ไม่ต้องกังวลมาก ศิษย์คิดง่ายๆ เลยนะ ถ้าวันนี้ศิษย์ตายเขาก็ไม่ใช่ลูกเราจริงไหม ถ้าวันนี้ศิษย์ตายเขาก็ไม่ใช่ของเราใช่ไหม ถ้าวันนี้ศิษย์ตายตัวนี้มันก็ไม่มีแล้วใช่ไหม (ใช่) นี่แหละเรียกว่าคิดถึงความตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดได้แล้วปลงได้ไหม ยังไม่ค่อยได้อาจารย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ปลงไม่ได้แถมนอนตายตาไม่หลับด้วย ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์จะบอกวิธีคิดทีละเรื่อง แล้วเกิดประโยชน์ แล้วเกิดบุญ เกิดกุศลคืออะไรรู้ไหม ถ้าจะคิดมากแล้วเป็นทุกข์ ให้คิดเสียว่าวันนี้ศีลถึงพร้อมแล้ว วันนี้บุญทานถึงพร้อมแล้ว วันนี้ทำถึงที่สุดจะตายก็พร้อมแล้ว ถ้าคิดได้ขนาดนี้แม้ตอนนี้หลับตาตายก็คุ้มแล้ว เราเคยคิดแบบนี้เนืองๆ ไหม ถ้าคิดได้เราจะได้บุญของการรักษาศีล แล้วความที่เราไตร่ตรองในศีลตลอดเวลา ก่อนนอนคิดถึงศีลห้าฉันทำครบไหม บุญฉันทำถึงไหม ทานฉันพร้อมไหม กุศลฉัน บริบูรณ์ไหม ถ้าคิดได้ครบอย่างนี้นะศิษย์เอ๋ย หลับตาไป ตายก็เป็นสุขแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แต่เราก็ไม่เคยคิด และเราก็ไม่เคยเตรียมตัวใช่ไหม ฉะนั้นศีล ช่วยคุ้มครองยามเรามีชีวิต หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข บุญทานช่วยปกป้องเราเมื่อยามตายและนำพาไปสู่สุคติภูมิ กุศลคุณงามความดีนำพาให้เราพ้นทุกข์
แบบนี้กันบ้างไหม มีให้ชื่นใจสักคนไหม เคยไหม ถ้าเราคิดได้แบบนี้อยู่เนืองๆ ถึงตายเราก็ไม่มีห่วงกังวล เพราะชีวิตเราถึงพร้อมแล้ว แล้วศิษย์พร้อมอะไรสักอย่างไหม เมื่อไม่พร้อม พอความตายมาถึงก็ไม่กล้า
ฉะนั้นศิษย์เอยคิดให้ดีดี อย่าประมาทอย่าหลงลืมสติ อย่ามัวแต่มีสมาธิแต่ขาดสติ สมาธิคือผลพวงของสติ ถ้ามีสติสมาธิก็มี ถ้ามีสติมั่นคงปัญญาก็เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่อยู่ที่เราจะจัดการกับตัวเราอย่างไร หรือจะปฏิบัติอย่างไรแล้วค่อยว่ากัน
(พระอาจารย์เมตตาให้ฝึกร้องเพลง ทำนอง : ปาป๊า มาม้า)
ร้องจนจบแล้วจะยิ้มออกไหม แล้วจะสู้กับอะไร สู้กับชีวิตหากินต่อไปแบบงกๆ ธรรมะก็คือธรรมะไม่เกี่ยวอะไรกับผมใช่หรือเปล่า ธรรมะคือต้องการให้ศิษย์รู้ว่าชีวิตมีเกิดขึ้น มี (ตั้งอยู่) แล้วก็มี (ดับไป) แล้วก็มี (ตาย) หรือเรียกว่ามีอนิจจัง ทุกข์ขัง อนันตตา ใช่หรือไม่ เดี๋ยวก็ตายก็จบๆ ไป อาจารย์จะพูดอะไรให้เยอะแยะ ใช่หรือเปล่า
อาจารย์จะพูดทำไมเยอะๆ ผมทุกข์ก็เรื่องของผมอาจารย์มาเกี่ยวอะไรด้วย ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วถึงเวลาทำไมเราถึงทุกข์ล่ะ เราเคยถามตัวเองไหม แล้วเวลาเราทุกข์เราจะแก้อย่างไร เมื่อวานพระนาจามาบอกว่า มนุษย์เราส่วนใหญ่ที่ทุกข์ก็เพราะว่าคน ไม่ใช่คนภายนอก แต่คือคนที่บางทีเรียกว่าตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วตอนนี้ถ้าอาจารย์บอกว่า แล้วคนที่เป็นตัวเรานี้ เราทำอย่างไรล่ะเราถึงได้ทุกข์บ่อยขนาดนี้ เพราะอะไร เพราะเรายึดมั่น เพราะเราคาดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเกิดมามีชีวิตเราก็ต้องเลี้ยงดูชีวิต แล้วเราจะไม่อยากก็เป็นไปไม่ได้ เราไม่ไขว่คว้าก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะบอกว่า วิธีของอาจารย์ก็คือ ศิษย์ยังอยากก็ได้ แต่อยากแล้วอย่าลืมความเป็นจริงของชีวิต เพราะความเป็นจริงของชีวิต ถ้าวันไหนศิษย์ลืมมันจะมาเคาะบอก จริงๆ ใช่ไหม มันจะมาเคาะบอกอย่าไปยึด เพราะเดี๋ยวมันจะหนี อย่าไปอยาก เพราะความอยากนี้แหละจะทำให้เรารู้จักสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นศิษย์อยู่ในโลกศิษย์จะประมาทในการดำเนินชีวิตไม่ได้ ธรรมะที่อาจารย์อยากให้ศิษย์มีเพียงข้อเดียวคือ โลกนี้ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมเราไปถึงความว่างไม่ได้ ก็เพราะว่าเรายึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อเรายึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่เรียกว่าสิ่งปรุงแต่งนี้มันก็สร้างเหตุให้ ทุกข์ ให้เวียนว่าย แต่ถ้าเรามองเห็นว่าตัวตนนี้อย่าไปสร้างนิสัย อย่าไปสั่งสมอะไร มาว่างๆ ก็ไปว่างๆ แต่เราทำได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราจะแก้อย่างไร ต้องอย่าประมาท และมีสติ โดยใช้ปัญญาเป็นตัวควบคุม ทำให้เรามองโลกอย่างคนเห็นแจ้ง รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เวลาโดนกระทบจะได้ (ไม่ทุกข์) มันจบแล้ว พูดปุ๊ปก็จบปั๊บเลย เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ใช่หรือเปล่า เมื่อสักครู่อาจารย์ตีมันเป็นอดีต ฉะนั้นเราจะไปหลงยึดกับมันทำไม เขาด่าเรา (จบแล้ว) เงินเราหายไป (จบแล้ว) แฟนเราไป (จบแล้ว) ฉะนั้นเราจงอยู่กับปัจจุบัน เพราะว่าอะไรรู้ไหมศิษย์เอ๋ย เกิดมาเราก็มาตัวคนเดียว แล้วก็มาตัวเปล่า ถึงเวลาเราก็ต้องกลับคนเดียวและตัวเปล่า แต่ขออย่างเดียวจิตศิษย์อย่าสั่งสม จิตศิษย์อย่าเก็บขยะไว้ในใจ จิตศิษย์อย่าห่วงอย่ายึด เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นการสร้างภพชาติให้ต้องเวียนว่าย ใช่ไหม
ที่อาจารย์บอก เกิดมาตั้งอยู่ดับไป ตายไปว่างเปล่า มันไม่ว่างเพราะศิษย์สร้างตัวตนใช่ไหม (ใช่) สร้างตัวตนคือ อันนี้คือตัวศิษย์ อันนี้คือตัวศิษย์ที่อยากได้ อันนี้คือตัวศิษย์ที่อยากเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่มีนะศิษย์ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นทุกอย่างเป็นไปตามจิตของศิษย์ เราจะปูทางให้ตัดภพตัดชาติ หรือเราจะสร้างเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น หากเรามองเห็นความจริง ศิษย์ก็จะรู้ได้เลยว่าโลภ โกรธ หลง มาจากอะไร พูดขนาดนี้ ใครพอรู้ได้บ้างว่า โลภ โกรธ หลง มาจากอะไร ใครตอบอาจารย์ได้ ที่เหลือออกมาช่วยวงคำต่อ (จิตที่คิดทะยานอยาก) จิตที่คิดทะยานอยาก ใช่หรือ (ใช่) ยังไม่ถูกนะ (จิตที่ยึดติด) จิตที่ยึดติด ก็ยังไม่ใช่ โลภ โกรธ หลง จะมาได้อย่างไร ถ้าเราเข้าใจถึงความเป็นจริงสิ่งนี้ที่อาจารย์พูด (จากความไม่รู้) จากความไม่รู้หรือ ศิษย์ปัญญาดีมาก เพราะเราไม่รู้จริง ถ้ารู้จริงเราจะอยากไหม ถ้ารู้จริงเราจะโกรธเขาไหม ก็ในเมื่อจบแล้ว (เมื่อเห็นแล้วเราก็เกิดความอยาก) ที่เราอยากเพราะอะไร (เราเห็น) ก็มันยึดไม่ได้ พอเราเห็นแล้วมันอยากใช่ไหมศิษย์ (ใช่ ถ้าเรามองไม่เห็นเราก็ไม่อยาก) ศิษย์มองให้ถึงที่สุด เมื่อวานพระนาจาสอนไว้ไม่ใช่หรือ ถ้ามองให้ถึงที่สุด เรายึดแล้วอยากได้ (เมื่อเรามีกายเนื้อก็ต้องมีความอยากซึ่งไม่สามารถบรรลุได้) อาจารย์ไม่ได้บอกว่าต้องบรรลุ แต่ว่าให้เตรียมใจว่า เพราะเราไม่รู้จริง ถ้ารู้จริงเราจะอยากไม่เต็มที่ เหมือนเรารู้จริงว่าคนนี้ไม่ได้รักเรา เราจะรักเขาเต็มที่ไหม (แต่ก็ยังโชคดีที่ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะให้เป็นที่กระจ่าง) ฉะนั้นใจเย็นๆ คิดให้ดีๆ นะ
เอาอีกไหม มาจากความคิดใช่หรือไม่ ความคิดที่ต้องการแต่มองไม่เห็นแจ่มแจ้ง ใช่หรือไม่ จึงยังหลง จึงยังปรารถนาอยู่ถูกไหม (มีกิเลสแล้วต้องวาง) แต่รู้ไหมว่ากิเลสมันมาจากอะไร (มาจากที่อยากได้ ทุกอย่าง) มันมาจากอะไรหรือเกิดจากอะไร โลภ โกรธ หลงนี้ หาสาเหตุเจอไหม (เกิดจากจิตที่ยังหลงอยู่ในกิเลส) ศิษย์เอยมันหลงกิเลสจริงๆ หรือมันหลงอะไรถึงทำให้เราอยาก (เกิดจากตัวเรา) กิเลสมันเกิดเพราะมีตัวเรา ถ้าไม่มีตัวเรา เราจะอยากไปทำไม ใช่ไหม ตอบได้ดี (ขาดสติ) ก็ตอบได้ดี งั้นทำอะไรขอให้มีสติ อย่าเอาแต่อารมณ์นำชีวิตนะ (เกิดจากกิเลสที่ใจไม่รู้พอ) เกิดจากความไม่รู้พอ ใช่หรือไม่ มีแค่นี้พอไหม ไม่พอ แล้วทุกข์ไหม ทุกข์เพราะไม่พอ ใช่หรือเปล่า (ขาดสติ) ฉะนั้นทำอะไรขอให้อยู่กับลมหายใจก่อนที่จะทำ สูดหายใจเข้าแล้วก็ปล่อยออก ก่อนที่จะคิดก่อนที่จะพูด แล้วสติมันจะมานะ (เกิดจากไม่รู้จักตัวเอง, ไม่รู้จักพอ) ตอบได้ดี (เกิดจากจิตไม่ดี, เกิดจากความคิด, เกิดจากหลงในรูป รส กลิ่น เสียง, ไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง) ตอบได้ดีแล้ว (ขาดศีล ปัญญา และสมาธิ)
(เกิดจากอวิชา) อวิชชาคือความไม่รู้
(เกิดจากการเห็นภาพลวงตา) ไม่มองเห็นความจริงแล้วภาพลวงตาหลอกเราหรือ
(ความไม่พอดี, อยากได้มากเกินไป ไม่พอใจมากเกินไป) บางครั้งไม่ใช่มากเกินไป โกรธเกิดจากเล็กๆ แล้วสะสมจนกลายเป็นเคืองแล้วโกรธ ถ้าสะสมไปเรื่อยๆ จะกลายเป็นแค้นและอาฆาต น่ากลัวนะ
(ชอบไปเปรียบเทียบกับคนอื่น, อารมณ์ชั่ววูบ, คิดแต่เรื่องของตัวเองในโลกแคบๆ) ทำให้มองไม่เห็น มองได้ไม่ชัดเจน
(อัตตา ความอยากได้อยากมี) มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ก็เลยเหนื่อย
(ไม่รู้จักพอ) แต่วัยนี้แล้วน่าจะพอได้แล้วนะ
(ไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่มีอยู่) ทั้งที่มีพ่อแม่ก็มีความสุขแล้ว แต่ก็ชอบหาแฟนใช่ไหม
(ไม่รู้จักฝึกจิตใจตนเอง) ไม่รู้จักจิตใจตัวเอง แล้วคิดว่าคนอื่นจะทำให้เรามีความสุขใช่ไหม (ใช่)

(การเกิดรูปลักษณ์ภายนอกที่เรามองไม่เห็นแก่นแท้ของสิ่งๆ นั้น) เพราะถ้าเราเห็นแก่นแท้เราก็จะไม่ทำลายตัวเราเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ใช่ไหม
(นึกถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก) เกิดจากการที่มองเห็นแต่ตัวเอง เพราะตัวเองทุกข์ก็เลยต้องการที่จะให้ได้ ใช่หรือไม่ แล้วคิดว่าทางข้างหน้ามันคือความสุข แต่จริงๆ แล้วมันทุกข์มากเลยใช่ไหม
(อารมณ์และความรู้สึก) เพียงแค่อารมณ์และความรู้สึกอยาก มันก็ทำให้เราต้องเหนื่อย ต้องเจ็บ ต้องทุกข์ ฉะนั้นทำอะไรขอให้มีปัญญาคิดให้ดีๆ นะ
(จิตใต้สำนึกด้านมืด) อาจารย์ว่ามันไม่ใช่จิตใต้สำนึกนะ มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เพราะถ้ามันเป็นจิตใต้สำนึกศิษย์ลองคิดไตร่ตรอง เอาไม่เอา ดีไม่ดี อย่างนั้นแปลว่าจิตใต้สำนึกบอกว่าไม่ดี แต่ใจยังอยากอยู่ จริงๆ แล้วมนุษย์นี้มีศีลธรรมประจำใจอยู่แล้วแต่ไม่ค่อยคิดเท่านั้นเอง
(คิดดี ทำดี ประสบความสำเร็จ) แต่อาจารย์ถามว่าโลภ โกรธ หลงมันมาจากไหนนะศิษย์นะ ตอบผิดเรื่องแล้วนะ
(เกิดจากความไม่รู้จักพอและอิจฉาริษยา) ฉะนั้นเห็นใครได้ดี อนุโมทนาจะได้เป็นบุญ เราก็จะได้มีสุขด้วย
(ไม่รู้จักการให้อภัย) ที่เรารับเขาไม่ได้เราก็เลยไม่ให้อภัย แต่ต่อไปเราจะเรียนรู้และมองว่าเขาก็คือคนๆ หนึ่งที่เป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนตัวเราที่เป็นธรรมดา มีดีก็มีไม่ดี ฉะนั้นวันนี้ถ้าเกิดเขาหันด้านไม่ดีมาให้เรา เราก็คิดว่าเราแค่มองไม่เห็นด้านดีๆ ของเขาเท่านั้นเอง ก็อาจารย์บอกแล้วโลกนี้มันมีความเป็นคู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัย สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เที่ยงเดี๋ยวมันก็จบไป นำมาใช้บ่อยๆ นะศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)
(ไม่รู้จักประมาณตน) ตอบได้ดีนะ
(กายถูกจิตสั่งให้ทำ) เพราะว่ากายถูกจิตสั่งให้ทำ ใช่หรือ เพราะอะไร (เพื่อทำให้เกิดความอยาก อยากได้อยากมี) แล้วเป็นแท้ๆ ในจิตของเราไหม ไม่ใช่ จิตแท้ๆ เป็นจิตปกติไม่ได้อยาก ไม่ได้โลภ ความอยากโลภมาเกิดตอนที่ถูกกระทบ จิตปกติเกิดมาไม่ใช่ร้องอยากๆ ตั้งแต่เริ่มเดิน ไม่ใช่เรียนรู้แล้วจึงรู้ว่าไม่พอแล้วจึงต้องอยาก จิตเดิมแท้ของศิษย์ทุกคนนั้นใสบริสุทธิ์ ฉะนั้นการที่ให้เรารักษาศีลก็คือกลับคืนสู่ความปกติอันมั่นคงแล้วเห็นแจ้ง ใช่ไหม ศิษย์เคยได้ยินไหม เกิดเป็นคนต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าอาจารย์จะแปลให้ตามตัวก็คือกลับมาสู่ความมั่นคงอันปกติและเห็นทุกสิ่งทุกอย่างอย่างแจ่มชัด ไม่มีอะไรมาลวงหลอกให้เราหลงได้
(จะทำตามความอยากของตัวเอง เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราคิดว่าอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ล่วงล้ำไปถึงความโลภความโกรธ ซึ่งเราลืมคิดไปในส่วนนี้) และบางทีเราก็ล่วงล้ำไปถึงขนาดควบคุมคนอื่นให้ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่าง นี้ ใช่ไหม (ใช่) นี่แหละน่ากลัว เราควบคุมโกรธตัวเองไม่ได้ โลภหลงตัวเองไม่ได้ แล้วเรายังพยายามไปควบคุมคนอื่น จึงเกิดความเคืองแค้นจึงเกิดอารมณ์จึงเกิดการผูกใจเจ็บ เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ต้นเหตุของโลภโกรธหลงได้ เราก็สามารถตัดภพตัดชาติและการผูกกรรมผูกเวรได้นะศิษย์
(โลภโกรธหลง เกิดมาจากไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้แล้วไม่พอใจในสิ่งที่เขาทำกับเรา และความหลงก็คือเราก็ยึดติดในความโกรธ) เพราะมนุษย์เราโดยส่วนใหญ่อยู่ในโลกมักจะแอบหวังใช่ไหม หวังลึกๆ ว่าต้องเป็นแบบนั้น หวังลึกๆ ว่าต้องโชคดี หรือถ้าไม่โชคดีก็ต้องให้ได้มาตรฐานที่ควรจะเป็น ใช่หรือไม่ มีหนึ่งร้อยก็ต้องกลับมา (หนึ่งร้อยยี่สิบ) อาจารย์จะบอกว่ามีหนึ่งร้อยบางทีกลับมาห้าสิบศิษย์ก็ต้องทำใจ เพราะนั่นคือความจริง อาจารย์จึงบอกศิษย์ว่าเชื่อมั่นสูงๆ อย่าลืมธรรมะข้อหนึ่งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ใช่ไหม จะเชื่อมั่นตัวเองขนาดไหนจะมั่นใจโลกใบนี้ขนาดไหนแต่ลืมไม่ได้ว่าโลกใบนี้ ไม่เที่ยง สิ่งที่ศิษย์อยากได้ก็ไม่เป็นจริงอย่างที่เราหวังเสมอ เมื่อเรารู้แจ้งเราจะทุกข์อะไร เมื่อเรารู้แจ้งเราจะโกรธเขาไหม เมื่อเรารู้แจ้งเราจะอยากไปทำไม แต่เพราะเราไม่รู้แจ้ง เราก็เลยยังอยากอยู่ถูกไหม
ความกลัว กลัวที่จะเผชิญกับความจริง ทั้งที่จริงๆ แล้วความจริงเป็นสิ่งที่ (ไม่ตาย) ศิษย์เอยปัญญามันจะเกิดอย่าตายตัวนัก รู้จักพลิกบ้าง ความจริงมันเป็นสิ่งที่ผู้เข้าถึงแล้วจะเป็นอมตะ ไม่ตายนะศิษย์ แต่ไม่ตายอย่างไรล่ะ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่พะงาบๆ (เกิดอาการขาดสติ เพราะว่าถ้าโลภเราก็ไม่รู้จักพอ ถ้าหลงเราก็จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ เท่ากับว่าเราก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้) แต่เราก็มีหมดเลย แล้วสติก็เตลิดทุกที เพราะเรามีสตางค์แต่ไม่มีสติ ใช่ไหม หลายคนที่รู้ดีแต่ถึงเวลากลับทำไม่ได้ น่าเสียดายนะ ใช่ไหม ถ้าอาจารย์ถามสองลูกนี้ เอาลูกไหนดี (เอาสองลูก) ใช้สติ ใช้ปัญญาเต็มที่เลย ใช่ไหม แต่อาจารย์จะบอกว่าบางที โลภมากมัก (ลาภหาย) เอาลูกเดียวก็พอ ตอบว่า (เกิดจากจิตที่ปรุงแต่ง) ถ้า ฉันมีแล้วมันอาจจะดีก็ได้ ใช่ไหม แล้วยังไม่มีเลย แต่เราชอบยืนอยู่บนความฝัน ถ้าฉันมีรถเบนซ์ขับฉันจะโก้มากๆ เลย ใช่ไหม ถ้าฉันใช้กระเป๋าหลุยส์วิคตองฉันจะดูดีกว่าคนอื่นไหม ฉะนั้นอย่าไปปรุงแต่ง จงยืนอยู่บนความเป็นจริงบ้าง (ราคะ โทสะ โมหะ) แล้วมันมาจากไหนล่ะ (มาจากความทะยานอยาก) ทะยานอยากที่ (อยากเป็น อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากมี) ตอบได้ดี (เกิดจากสิ่งภายนอกเข้ามากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา แล้วเราไม่มีปัญญาในการกรอง) ศิษย์เอ๋ย ถึงตาจะถูกกระทบ หูจะถูกกระทบ แต่ถ้าใจมันพอแล้ว มันจะหวั่นไหวเมื่อโดนกระทบไหม (ไม่) ถ้าใจมันเห็นชัดแล้วว่าจะมีไปทำไม ไอ้ตาที่เห็นมันก็เห็น สักแต่เห็น หูที่ได้ยินมันก็สักแต่ที่ได้ยิน ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ใจ ใช่ไหม (ใช่) ถ้า ใจเราบอกว่า พอแล้ว สุขแล้ว อิ่มแล้ว เหมือนที่อาจารย์บอกว่าให้มีศีล มีปัญญาบ่อยๆ เพราะศีล ปัญญา มันจะนำพาซึ่งความสุข และหลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข แต่ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ยิ่งมีมันก็ยิ่งทุกข์ แต่ทำไมศิษย์ถึงสมัครเป็นสมาชิกมันเยอะเลย ใช่ไหม สงสัยมันคงขายตรง (เกิดที่ความที่เราไม่เข้าใจว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง) ถ้าเรารู้ชัดแล้วพยายามมองเห็นชัด มันก็คงไม่ทำให้เราอยากจนโลภ ไม่พอใจจนโกรธ และแม้ไม่ได้ก็ไม่หลง ใช่ไหม ตอบว่า (เกิดความไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี) แล้วตอนนี้พอใจบ้างหรือยัง (พอแล้ว) (เกิด จากความคิด สมมติว่าเราโลภอยากได้ ก็เกิดขึ้นที่ความคิดเรา โกรธ เราโกรธใคร ก็คือทำนองเดียวกันคือความคิด สิ่งแรกที่ว่าเริ่มต้น คือเราต้องคิดก่อน เราถึงจะโลภ โกรธ หลงได้) ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือหยุดความคิด หยุดอารมณ์ แล้วจงอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
“โลกอาจให้ความรู้แต่ไม่รู้ความ ธรรมให้รู้ความแต่อาจไม่ใช่ความรู้
ในทางโลกความไม่รู้แค่ไม่รู้ ในทางธรรมความไม่รู้คืออวิชชา”
ทุกชีวิตคือธรรมะ ทุกทุกสิ่งคือธรรมะ แต่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เป็นตัวตนเรียกว่า สังขาร ใช่หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมะสอนใจเราได้ แต่ว่าเราจะรู้และเอาธรรมะมาสอนไหม เหมือนที่อาจารย์บอกว่า ศิษย์ยังอยากมีอยากได้ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมความเป็นจริงของโลกใบนี้ว่า โลกใบนี้นั้นล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ถึงที่สุดก็คือความว่างเปล่า ฉะนั้นเราอย่าไปยึดมั่น เราอย่าไปหลง แม้กระทั่งตัวตนก็หลงตัวเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้แต่ตัวอาจารย์ก็ไม่ต้องมาหลง เพราะก็ยึดไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่จะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้คือ ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงในสภาวะธรรมที่มีอยู่ในตัวทุกคน แต่ศิษย์เมื่อโดนกระทบ แล้วเคยคิดที่จะหยั่งก่อนที่จะออกมาเป็นอารมณ์ไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้นเรียนเป็นตัวอย่าง)
เมื่อเราโดนขัดใจ แล้วเราไม่อาจตามใจเขาได้เสมอๆ เราจะยังอดทนไหม ยืนต่อไป การปฏิบัติธรรมก็คือ เมื่อเราโดนกระทบทางใจ โดนกระทบทางหู โดนกระทบทางความรู้สึก เราจะเอาอะไรมาทำให้เรารู้ด้วยธรรม เราจะเอาอะไรมาทำให้เราอยู่ที่ไหนก็ได้ปฏิบัติธรรม ตอบได้กลับมานั่ง ตอบไม่ได้ยืนต่อไป ว่าอย่างไรศิษย์คุณหมอ (ถ้าเราคิดว่าเรายังมีตัวตน เราก็จะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเรา พอเขาสั่งให้เราทำนั่นทำนี่ถ้าเราคิดว่าไม่ใช่ตัวเราก็ไม่มีปัญหา)  เราก็จะไม่โกรธ แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้เราจะเป็นคุณหมอแล้วถึงจะโดนสั่งให้ไปซ้ายก็ไป ฉะนั้นตำแหน่งหน้าที่ วัยวุฒิ คุณวุฒิ เป็นแค่สิ่งชั่วคราวนะศิษย์ ชีวิตมันก็แค่ศาลาที่พักชั่วคราว อย่าไปยึดมั่นจนเป็นเหตุให้ทุกข์ อย่าไปยึดมั่นจนเกิดความเคืองแค้นว่า เขาว่าฉัน เขาทำฉัน เพราะทั้งเขาและฉันก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟังธรรมแล้วเอาธรรมะไปเพื่อปลดทุกข์ในใจตัวเองนะศิษย์ ไม่ใช่มาฟังธรรมะแล้ว เบื่อจังเลย กลายเป็นยิ่งทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้ฟังธรรมะเลย ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นวันนี้อาจารย์คงกลับได้แล้วนะ ได้ไหม (ยังไม่ได้)  กลับเถอะ ใช่หรือเปล่า
เพราะถ้าอยู่นานกว่านี้ศิษย์คงเบื่อและกลับบ้านดึก ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นขอให้ศิษย์คิดให้ดีๆ นะ ไม่เชื่ออาจารย์ไม่เป็นไร แต่ขอให้เชื่อธรรมะที่อาจารย์ได้ส่งมอบจากจิตสู่จิต จากใจสู่หัวใจ ให้ด้วยใจล้วนๆ เลยนะ ไม่หวังอะไรเพราะไม่อยากหวัง หวังแล้วมันทุกข์ หวังว่าจะได้ดีก็ไม่อยากหวัง หวังแล้วเดี๋ยวมันเจ็บปวดใจ ฉะนั้นอย่าลืมตัวเองก็พอ ตนเตือนตน นั่นคือที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด เพียรทำตนให้พ้นทุกข์จะได้ไม่เสียเปล่าที่มานั่งฟังธรรมถึงสองวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอาจารย์ก็คิดว่าบุญสัมพันธ์นี้อาจจะทำให้เราได้กลับมาเจอกันอีกนะ ถูกไหม (ถูก)  เพราะอาจารย์ไม่อยากหวัง หวังแล้วมันก็ผิดหวัง ใช่ไหม ฉะนั้นอยู่อย่างคนที่ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องที่สุด ถึงที่สุดแล้วจะเป็นอะไรไม่ต้องไปกลุ้มกังวล เดี๋ยวฟ้าจะช่วยจัดการเอง ขอเพียงทำวันนี้ให้ดี เขาจะรอดไม่รอดไม่ต้องกังวลเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีครรลองเป็นของตัวเอง อาจารย์แค่ชี้นำ ส่วนศิษย์จะเดินอาจารย์ก็ไม่หวัง แต่จงจำไว้นะว่าเมื่อไหร่ที่ทุกข์มากๆ กลับมาหาอาจารย์ อาจารย์จะปลอบใจ อาจารย์จะให้กำลังใจแล้วกลับไปสู้กับโลกใบนี้ใหม่ การเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุดตรงที่ได้สร้างความดีไม่สิ้นสุด แต่เมื่อตายไปเป็นเทพเป็นเซียนแล้ว สร้างความดีไม่ได้แล้วนะ เป็นเทพพรหมสร้างความดีไม่ได้แล้ว มีก็แต่อนุตตรภูมิเท่านั้นเองที่อาจจะกลับมาได้ ถ้าท่านยังมีปณิธานอยู่ คงเป็นเรื่องยากนะ ใช่ไหม อาจารย์จึงมาแค่นี้นะ ถึงที่สุดแล้วอาจารย์ก็ต้องไป มันเป็นความจริง จริงไหมศิษย์ ชีวิตคนมันก็แค่นี้ ฉะนั้นเราทำอะไรได้ที่สุดหรือยัง
อาจารย์ทิ้งท้ายไว้เรื่องหนึ่ง ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งของพระพุทธองค์กล่าวไว้ไหม “เกิดเป็นคนแม้ทำชั่วแค่เล็กน้อยแต่ขาดการอบรมศีล ปัญญาและคุณงามความดี ความชั่วเล็กน้อยก็นำพาให้ตกนรกได้ แต่ในอีกทางหนึ่งแม้เราจะทำชั่วมาขนาดไหนแต่ทุกวันหมั่นอบรมศีล อบรมปัญญา อบรมคุณงามความดี ความชั่วนั้นก็ไม่สามารถยังผลให้ศิษย์ต้องเป็นทุกข์ได้หรือตกนรกได้” เหมือนน้ำที่ถูกเจือจางด้วยความดี ความชั่วก็ไม่สามารถยังผลได้ ความดีมันมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
ชะตาชีวิตอยู่ที่เรากำหนดเอง อนาคตเป็นอย่างไร ไม่ได้อยู่ที่หมอดู แต่อยู่ที่หัวใจเรา ถูกไหม (ถูก)  แค่ศิษย์อย่าหลงโลกแค่นั้นเอง แล้วก็อย่าหลงตัวเอง เพราะโลกไม่เที่ยง ชีวิตไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงเป็นคนรู้จักตน เตือนตนด้วยสติและปัญญาแห่งธรรมนะศิษย์ อาจารย์ไม่รั้งรอแล้ว เดี๋ยวจะเสียเวลาศิษย์ เดี๋ยวศิษย์จะกลับบ้านดึก มีโอกาสกลับมาอีกนะ เสียดายที่ไม่ตอบนะ ดีแล้วที่ตอบ ปัญญาดี (ขอให้บารมีไพศาลอันยิ่งๆ ขึ้น)  อันนั้นอาจารย์ไม่เอาให้ศิษย์ดีกว่า มีโอกาสกลับมาอีกนะ ขอให้หาย รักษาคุณความดีนะ เดี๋ยวก็หายถ้าใจเราสู้ มีโอกาสกลับมาอีกนะรู้สึกจะเชื่อยาก ใช่ไหม ดื้อหน่อยเนอะ มีโอกาสกลับมาอีกนะ อย่าหลงความสวยงาม มันเป็นของไม่จีรัง ใช่ไหมเด็กดื้อ ใช่ไหมคนดื้อ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ ชีวิตไม่เที่ยงแท้นะ ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสมาฟังให้ครบนะ ไม่ต้องร้องไห้นะศิษย์ ชีวิตไม่ใช่ต้องลำบาก ถ้าเรารู้จักควบคุมใจตัวเอง ใช่หรือไม่ จะลำบากก็ตรงที่ชอบไหลไปตามกระแสโลก สบายดีนะ เป็นทุกข์ร้อนขนาดไหนก็ขอให้เข้มแข็งนะ เงินทองมันช่วยเราไม่ได้เท่ากับหัวใจที่เข้มแข็ง ยังหวังอะไรจากอาจารย์อีก ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ รู้จักทำดีแล้วอาจารย์ก็ยินดีด้วยนะ ปลงๆ ได้แล้ว ใช่ไหม มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ ดีใจที่กลับมานะเด็กดื้อ ตั้งใจทำในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามได้ไหม
ไม่จำเป็นต้องเพื่ออาจารย์ แต่เพื่อตัวศิษย์เอง เพื่อชีวิตที่ดี มีโอกาสกลับมาอีกนะเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ชีวิตไม่เที่ยง ทำให้ได้ ควบคุมอารมณ์ให้ดี อย่าใจร้อน อย่าน้อยใจ ใช่ไหมศิษย์เอ๋ย หัวแข็งกันเหลือเกิน ยังดื้ออะไรอีก มีโอกาสกลับมาอีก ขอให้มีสิ่งที่ดีในชีวิตด้วยหัวใจที่รู้จักคิดนะศิษย์ มีโอกาสกลับมานะ ชีวิตนี้ไม่น่าสนุกนะ โลกนี้สวยงามจริงๆ หรือ อย่าไปหลงงมงายมาก อย่าขออะไรอาจารย์เลย แต่ขอให้ศิษย์เข้มแข็งและรู้จักคิดดีกว่านะ ใช่ไหม เราเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วนะ อาจารย์ไม่ทิ้งศิษย์ มีแต่ศิษย์แหละที่หลงโลกจนทิ้งอาจารย์ โลกนี้มันสวยงามแค่ไหน
เข้มแข็งนะ มีโอกาสเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วอาจารย์ไม่ทิ้ง กลัวแต่ศิษย์จะทิ้งอาจารย์ ใช่หรือเปล่า ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่ายอมแพ้หัวใจตัวเอง หัวใจที่รู้จักคิดเข้าใจไหม อย่าหลงโลกนะศิษย์นะ รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น ระมัดระวังอารมณ์ ดีแล้วที่รู้จักเสียสละ อาจารย์ดีใจที่ศิษย์เข้มแข็ง อาจารย์ดีใจที่ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตัว อาจารย์ดีใจที่ศิษย์รู้จักนำพาชีวิต แต่อย่าใช้อารมณ์ อดทน สู้นะศิษย์นะ เข้มแข็งได้แล้วนะ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีพลัง มีปัญญาธรรมที่คิดได้ และรู้จักนำพาชีวิตตัวเอง อย่าทุกข์กับโลกใบนี้เลย กลับมาหาอาจารย์บ้าง ขอให้หาย ขอให้แข็งแรง บอกเขาด้วยนะ มีโอกาสกลับมานะ ศิษย์เอยอย่าไปหลงกับโลกใบนี้เลยนะ ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ แม้จะเจอความยากลำบากก็สู้ได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง รู้จักคิดรู้จักทำ รู้จักระมัดระวังนะ อย่าเอาแต่อารมณ์ ใจเย็นๆ เข้าใจนะศิษย์เอย โลกนี้ไม่สวยงามอย่างที่คิดที่หลงนะ บำเพ็ญสมถะเป็นสิ่งที่ดีนะ เรียบๆ ง่ายๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี ศิษย์ทำได้ใช่ไหม ไปแล้วนะ ระวังตัวเองเรื่องสุขภาพด้วย ไปแล้วนะศิษย์เอย ตั้งใจบำเพ็ญขัดเกลาจิตใจตัวเองให้งดงามเหมือนดั่งแรกเริ่ม เหมือนดั่งทารกใส แล้วเราจะได้กลับมาเจอกันนะศิษย์นะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ด้วยธรรม
โลกอาจให้ความรู้แต่ไม่รู้ความ ธรรมให้รู้ความแต่อาจไม่ใช่ความรู้
ในทางโลกความไม่รู้แค่ไม่รู้ ในทางธรรมไม่รู้คืออวิชชา
รู้ว่าผิดก็ไม่ทำ รู้ว่าเป็นกรรมไม่สร้าง


รู้จากภายในว่างว่าง เดินทางไม่ทิ้งร่องรอย

แก้ไขพระโอวาท
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท
ท่อนที่หนึ่ง
ท่อนที่สาม

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา