วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

2555-11-10 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา


西元二一二年 歲次壬辰九月二十七日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ


เมื่อเฉื่อยชาก็เฉยไปในที่สุด เมื่อได้หยุดก็จิตใจไม่ฝึกฝน
เรื่องไกลตัวไม่สู้เรื่องใกล้ตน อย่าปะปนเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวม          

เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


ความคิดการกระทำนั้นเป็นตัวการ หวังประโยชน์ไม่ข้ามผ่านเรื่องน้อยใหญ่
แพ้ไม่เป็นเพราะสำคัญที่นอกกาย เพราะอะไรต้องแก่งแย่งสิ่งเดียวกัน
รู้สึกกลัวสับสนใจยืนไหนดี คนคำนี้คนคนยันป้ายนั่น
เข้าใจจิตคิดพูดทำจึงผ่านผัน ชีวิตสั้นควรรู้จังหวะจะพูดคำ
ก่อนทำต้องคิดก่อนดีจึงเกิด ปัญญาเลิศปวงเมธีไม่ทำผิดซ้ำ
โลภโกรธไปไม่รู้ตัวหัวคะมำ ชะตากรรมคนพาลคนเหมือนจนใจ
ห้ามทั้งหลายเพื่อคุณธรรมจึงห้าม จริยะนั้นงามก็ด้วยถูกแฝงไว้
ทำได้นั้นก็งามปรักปรำทำใจ คุณงามแผ่กลายบารมีไม่สิ้นสุด
งานธรรมไพศาลคนยิ่งห้ามลืมบำเพ็ญ ความยากเข็ญเป็นเบ้าหลอมสู่วิมุติ
หามงานตุนไหล่เหล็กก็ยังทรุด ไม่ห่างจุดบำเพ็ญเป็นธรรมแท้จริง
ทุกเหตุการณ์พฤติญาณวัชระย่อมอยู่ แต่อวิชชามาทุกหมู่ไม่อาจนิ่ง
ฝึกตนใดไม่ฝืนอาจละทิ้ง เท็จในจริงตาบังปิดประโยชน์อะไร
                                                   ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
เป็นการยากที่จะยอมนั่งฟังได้นานขนาดนี้ ยากมากๆ เลยใช่ไหมกับการอดทนโดยไม่ปริปากพูด เอาแต่เป็นผู้ฟังอย่างเดียว เราว่าถ้าวันนี้ท่านทำได้ก็นับว่าเก่งไม่น้อย  มนุษย์อยู่ในโลก ภัยออกจากปากและภัยก็เข้าทางปาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้ได้มานั่งฟังแล้วทำให้เราไม่ได้พูดบ้างก็อาจจะดีไม่น้อย จริงหรือไม่ (จริง)
ฟังมาก็เยอะแล้วใช่ไหม ถ้าให้ฟังต่อจะฟังไหม เราต้องถามก่อนนะ เพราะว่าถ้าไม่อยากฟัง การปล่อยให้ท่านฝืนก็ไม่ใช่ธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากทำอะไรร่วมกับคนหมู่มาก อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง บางครั้งต้องรู้จักฟังผู้อื่นบ้าง จะได้ไม่หาเรื่องใส่ตัว ไม่ทุกข์เพราะตัวเองทำตัวเอง
เป็นการยากอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้ท่านเชื่อ แต่เราก็ไม่ได้บอกว่าท่านต้องเชื่อเราทั้งหมด วันนี้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมด้วยการคุยกันในเรื่องที่ไม่ใช่นินทาคนอื่น แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและธรรมะ ดีไหม (ดี)  บางครั้งคนส่วนใหญ่มักจะมองว่าธรรมะก็ธรรมะ ชีวิตก็ชีวิต แต่จริงๆ แล้ว ในชีวิตมีธรรมะ และในธรรมะก็ต้องมีชีวิต แต่ทำไมเราจึงหาธรรมะในตัวเองไม่เจอ เพราะอะไร
สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาที่สุดในชีวิตคือความสุข และสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการมากที่สุดคือความทุกข์  วันนี้เราคุยสองเรื่องนี้ดีไหม ความสุขคืออะไร (อยู่ที่ใจ)  หาใจเจอก็พบสุข หาใจไม่เจอก็ไม่พบสุข ใจของเราอยู่กับเราหรือเอาไปฝากไว้กับคนอื่น เห็นบอกว่าอยู่กับคนอื่นแล้วจะมีความสุขเลยเอาใจไปฝากไว้กับเขา แต่ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ทุกข์เสียเปล่า
ความสุขคืออะไร เราถามคำถามไม่ยาก ถ้ามนุษย์รู้จักความสุข มนุษย์จะไม่กลัวความทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้ามนุษย์เข้าใจความสุขผิด มนุษย์ต้องเจอความทุกข์โดยความคิดของตัวเอง ความสุขคืออะไร (ความสุขเกิดจากการให้)  แต่ถ้าให้บ่อยๆ แล้วเขาไม่เคยให้กลับ แม้คำพูดดีๆ สักคำเราจะยังสุขไหม
(ความสุขคือความว่างเปล่า ไม่สุขและไม่ทุกข์)  แต่ทำไมอยู่ว่างๆ แล้วเบื่อ (ความสุขคือการดับทุกข์ในใจเป็น)  อย่างนั้นแปลว่าถ้าหาเหตุแห่งทุกข์เจอ เราก็มีสุขได้ ใช่หรือไม่ (ความสงบเป็นสุขอย่างยิ่ง) แต่ตอนนี้พอมีอะไรทำให้เราสงบเรากลับไม่มีสุข เพราะชีวิตเรายังอยากวุ่นวายอยู่ใช่ไหม เราพูดได้ เรารู้หลักการ แต่ถึงเวลาพอเราเจอสิ่งที่เรียกว่าสุข ทำไมเรากลับไม่สุข เราคิดว่าความสงบคือความสุข แต่พอเราได้สงบไม่มีอะไรต้องทำ ไม่มีอะไรต้องกังวล ทำไมเรากลับเบื่อ เราอยากไปหาเรื่องวุ่นวาย เราอยากไปหาผู้คน อย่างนั้นจริงๆ ความสุขคืออะไรนะ
สิ่งที่ทุกท่านตอบ ไม่มีใครผิดนะ เรายกตัวอย่างง่ายๆ ความสุขของมนุษย์คืออะไร ขอคนสักสามคน กิจกรรมของเราเรียกว่าการค้นหาความสุข เราให้ท่านออกไปหาอะไรก็ได้มาอย่างหนึ่ง ภายในหนึ่งถึงสิบแต่ต้องให้ทันเวลานะ เดี๋ยวทุกคนร่วมกันนับหนึ่งถึงสิบ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกไปหาสิ่งของอะไรก็ได้กลับมาภายในช่วงเวลานับหนึ่งถึงสิบ)
ท่านได้อะไร (ความว่างเปล่า) ท่านได้อะไร (เก้าอี้) ท่านได้อะไร (ไม่มีอะไร)  หาทันเวลาก็มีความสุขใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มีวิสัยอยู่อย่างหนึ่ง ได้มาแล้วมักจะไม่พอใจ เมื่อได้แล้วต้องได้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสุขแล้วต้อง (สุขอีก)  ถ้าเราบอกว่าตอนนี้ได้ความว่างมาแล้ว ตอนนี้ได้เก้าอี้มาแล้ว ตอนนี้ได้ความไม่มีมาแล้ว ถามว่าอยู่ไปสักพักหนึ่งจะเริ่มเบื่อไหม เบื่อกับสิ่งที่ตัวเองว่าง ไม่มี แล้วก็เก้าอี้ไหม ลึกๆ เราอยากจะหาอะไรมากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราถามว่าให้ไปหาอีกจะหาได้ไหม ให้ไปหาอีกจะยังสุขไหม ท่านว่าสามท่านนี้จะสุขไหม (ไม่สุข)  ทำไมล่ะ ทำไมจึงไม่สุข เพราะว่าไม่ต้องหาจึงจะสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขที่แท้จริงคือสิ่งที่เราไม่ต้องหาเลยจะดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราถามว่า สุขที่แท้จริงคืออะไร สมมติว่าเขาเหมือนคนไปหาอะไรสักอย่างหนึ่ง พอหามาได้อย่างหนึ่งดีใจไหมที่หาได้ ดีใจทันเวลา ใช่หรือไม่ แต่พอสักพักเริ่มเบื่อแล้ว อยากไปหาอีกอย่างหนึ่ง พอไปหาอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหามาได้เล็กกว่าสิ่งที่ตัวเองมี สุขหรือทุกข์ (ทุกข์) ถ้าใหญ่กว่าที่ตัวเองมีสุขหรือทุกข์ (สุข)  น่าแปลกนะ แล้วถ้าเกิดหามาได้เท่ากับสิ่งที่ตัวเองมีสุขหรือทุกข์ (สุข, ทุกข์)
มีชีวิตต้องหาเงินใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าเราไปหาเงินมาก้อนหนึ่ง พอได้เงินเรามีความสุขใช่ไหม (ใช่)  วันนี้หาได้หนึ่งร้อย หนึ่งร้อยพอใจหรือยัง ดีใจจังได้หนึ่งร้อย สุขใจจังเลย แต่พอผ่านไปสักสามสี่วันเริ่มไม่พอใจ อยากไปหาอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  พอไปหาอีกได้มาห้าสิบบาท สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้วถ้าเกิดว่าได้สองร้อยล่ะ (สุข)  ไหนบอกว่าสุขอยู่ที่ใจไง
เราเฉลยนะ อะไรเรียกว่าความสุขของพุทธะ ความสุขของพุทธะคือความพึงพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ช่วงต่อมาจะมากขึ้นก็ไม่ดีใจ จะน้อยลงก็ไม่เสียใจ นี่แหละเรียกว่าความสุข แต่มนุษย์ไม่ใช่ ความสุขคือ ได้คงจะดี แต่พอได้น้อยกว่าเดิมไม่สุขแล้ว ได้เท่าเดิมก็ไม่สุขแล้ว ต้องมากกว่าเดิม
สมมติเราบอกว่าการออกไปหา คือการไปหาเงิน ต้องได้มากขึ้นๆ เหมือนการไปหาก้อนหิน ต้องให้ได้ก้อนหินที่ใหญ่ขึ้นๆ ถึงจะสุข ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้หามาได้ก้อนหนึ่ง พรุ่งนี้ต้องได้ก้อนที่ใหญ่กว่าก้อนนี้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมะรืนต้องได้ก้อนที่ใหญ่ขึ้นอีก ใช่ไหม (ใช่)  เราคิดเปรียบเทียบ แล้วท่านลองมองดีๆ เราหาเรื่องสุขหรือหาเรื่องทุกข์ (หาเรื่องทุกข์)  ก็ท่านบอกต้องเยอะขึ้นๆ ถึงจะดี แล้วเงินมันต่างอะไรกับก้อนหิน ความสุขที่แท้คืออะไร มองให้เห็นความเป็นจริงในโลกโดยไม่ยึดมั่น เมื่อไหร่ที่เรายึดมั่นถือมั่นเราก็ต้องแบกโลกทั้งมวลไว้กับบ่าและกับหัวใจ นั่นหรือเรียกว่าความสุข
แล้วตอนนี้เรายึดหรือไม่ยึด (ไม่ยึด, ยังยึดอยู่พยายามจะไม่ยึด)  ถามจริงๆ ออกไปต้องได้มากกว่าเดิม ต่างอะไรกับไปหาหินก้อนที่ต้องใหญ่ขึ้น และยิ่งใหญ่มันก็ยิ่งหนัก ยิ่งเยอะมันก็ยิ่งเหนื่อย แล้วนั่นหรือเรียกว่าความสุข ยังมีคนไม่เข้าใจใช่ไหม (ใช่)  เราจะบอกให้ว่าพุทธะเรียกความสุขที่แท้จริงว่าอะไร ความสุขที่แท้จริงก็คือไม่ยึดติด ไม่ผลักไส วางตัวเป็นกลาง และยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นธรรมดา การพูดหนึ่งก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจหนึ่งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอาจจะด้อยปัญญาไป พูดทำให้ท่านไม่เข้าใจ
มนุษย์ปรารถนาความสุขอย่างหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่มนุษย์ได้อย่างหนึ่งแล้วไม่ค่อยพอ ได้อย่างหนึ่งแล้วไม่ค่อยสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามนุษย์เราเข้าใจจิตใจตัวเอง เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต มนุษย์จะรู้ว่าความสุขไม่ได้อยู่ไกล แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรเราจะ “พอ” ความสุขคือมากกว่านี้ก็ไม่ดีใจ น้อยไปกว่านี้ก็ไม่เสียใจ เสมอตัวก็ไม่ทุกข์ใจ  แต่ที่มนุษย์ไม่พอเพราะคิดว่าได้แค่นี้เองหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มีนิทานเรื่องหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งบอกกับนายช่างว่า “นายช่าง วันนี้เราไปเห็นบ้านหลังหนึ่ง เขามีสามชั้นแต่เขาชอบชั้นบนมากที่สุดเลย นายช่างช่วยสร้างชั้นบนให้หน่อยได้หรือไม่” นายช่างก็บอกว่า “ได้ ไม่มีปัญหา” นายช่างก็เริ่มทำชั้นหนึ่งชั้นสอง เขาก็บอกว่า “ชั้นหนึ่งชั้นสองไม่เอา จะเอาแต่ชั้นสาม” นายช่างก็บอกว่า “ไม่ได้ท่านต้องมีหนึ่งสองก่อนแล้วจึงมีสาม” เขาก็บอกว่า “ เบื่อแล้วชั้นหนึ่งชั้นสองอยากได้ชั้นสาม ที่บ้านก็มีชั้นหนึ่งชั้นสองแล้ว อยากได้ชั้นสามเลย” นายช่างก็บอกว่า “ได้ เอาบ้านเก่าทุบหลังคาข้างบน แล้วทำชั้นสามได้ไหม”  เขาก็บอกว่า “ไม่ได้ เอาแต่ชั้นสาม”  เหมือนกับที่มนุษย์ไม่มีวันสุขเพราะแค่นี้พอไหม (ไม่พอ)  ต้องดีกว่านี้ ต้องมากกว่านี้ แล้วต่างอะไรกับการขนหินก้อนใหญ่กว่าเดิม แล้วต่างอะไรกับการที่ได้รับคำชมทุกๆ วันทำไมกลายเป็นไม่ดี วันนี้สวยจัง พรุ่งนี้ผ่านมาก็ “วันนี้สวยจัง” พรุ่งนี้มาผ่านใหม่ก็ “วันนี้สวยจัง” ดีใจไหม ทำไมเริ่มเบื่อ พอห้าหกครั้งก็เริ่มไม่เอาแล้ว พูดอย่างอื่นไม่เป็นหรือ จากชอบๆ ก็เป็นรำคาญ  ฉะนั้นที่มนุษย์ไม่สุขก็เพราะไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้  ได้มากกว่าก็ดี แต่อย่าน้อยกว่า เสมอตัวก็งั้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พุทธะไม่ใช่  ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าสุขจริงๆ มันอยู่ที่ตัวเราเองนะ ถ้ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไป เราก็คือคนที่แบกทุกข์ไว้ ไม่มีวันพบสุข ถ้ามนุษย์ไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องสูญเสีย ถ้าไม่มนุษย์ไม่มีความอยากจนเกินไป ชีวิตก็ไม่วุ่นวาย ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ความทุกข์คืออะไรนะ (ไม่ปล่อยวาง, สิ่งที่ไม่พอใจและยังแสวงหาไปเรื่อย, คนที่ไม่รู้จักพอ)
ความทุกข์คืออะไรหนอ เมื่อสักครู่เขาบอกว่า เราจะแจกผลไม้ให้ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครหวังว่าจะได้ผลไม้ยกมือขึ้น เดี๋ยวเราจะอธิบายความทุกข์ให้ทันทีเลย หวังว่าจะได้ผลไม้ แต่เราไม่ให้ผลไม้จะทุกข์ไหมหนอ ความทุกข์บางทีเกิดจากความคาดหวัง ถ้าเราไม่หวัง เราไม่ยึด เราก็ไม่ทุกข์  หวังแล้วแต่ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าหวังแล้วยึดว่าต้องเป็นอย่างนั้น นั่นก็คือทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของมนุษย์ต้องมีหวัง แต่หวังโดยไม่ยึดได้ไหม (ได้)  ถ้าอย่างนั้นเราไม่ให้ผลไม้แต่เราให้ดอกไม้แทนนะ อย่าดูถูกดอกไม้ของเรานะ ดอกไม้กินไม่ได้แต่ก็ให้ความสดชื่นได้ ใช่หรือไม่  ไม่ได้ตอบจะขอด้วยหรือ (คนนี้เขาก็ไม่ได้ตอบ)  งั้นก็ยืนขึ้นแล้วตอบด้วยเลยแล้วกัน เขาผิดเราก็อย่าผิดตามไปด้วยสิ ตอบว่าอะไร (การไม่รู้จักพอ)  การไม่รู้จักพอทำให้เราเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ แม้จะได้แค่นี้ก็คงไม่ทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ไม่ทุกข์)
ตอบหรือยัง (มีคำถาม)  ถามว่า (มีวิธีอะไรที่ทำให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นเลย เราจะมีความสุขตลอดเวลา เพราะที่มาที่นี่บอกว่าไม่ต้องนั่งสมาธิ มีวิธีคิด ถ้าคิดเป็นก็มีความสุขตลอดเวลา แล้วเราจะทำอย่างไร)  อยากมีพลังของสติที่รู้จักคิดได้แล้วไม่ต้องทุกข์ เราจะบอกให้ไม่ยากเลยนะ อยู่กับความจริงแล้วรับความจริงให้ได้ นั่นแหละคือหนทางแห่งความสุข แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะไม่ยอมรับความจริงและอยู่กับความจริงไม่ได้ คอยคาดหวังเสมอว่าต้องดีกว่านี้สิ ต้องมากกว่านี้สิ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
แล้วเราลืมความจริงไปหรือเปล่าว่า โลกใบนี้เมื่อมีได้ต้องมีเสีย เมื่อมีทุกข์ต้องมีสุข ฉะนั้นผู้ใดที่แสวงหาสุข แต่ไม่ยอมรับความทุกข์ คนนั้นคือคนหลอกลวงไม่อยู่กับความจริง ผู้ใดอยากได้แต่ไม่รู้จักสูญเสีย คนนั้นคือคนที่ปิดบังตาแต่ไม่ยืนอยู่บนความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรที่ทำให้เรามีปัญญาคิดได้และยอมรับความจริงล่ะ ต้นเหตุที่แท้จริงของความทุกข์คืออะไร เราจะบอกง่ายๆ ถ้ามนุษย์ไม่มีตัวตนและไม่มีอารมณ์รัก ชอบ ชัง มนุษย์จะทุกข์จากที่ใด จริงไหม (จริง)  เหมือนที่สำนวนปราชญ์โบราญกล่าวไว้ว่า “เมื่อลมพัดหญ้าย่อมไหว แต่ถ้าไม่มีหญ้า ลมพัดมาอะไรจะไหว” เพราะมนุษย์มีตัวตนที่ยึดมั่นว่าต้องแบบนี้ ถ้าไม่ใช่แบบนี้จะไม่สุขใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเราเข้าใจว่า ตัวตนคือความว่างเปล่า สิ่งที่เรายึดก็คือความไม่เที่ยง ในความว่างเปล่าก็มีความไม่เที่ยง แล้วเราควรยึดอะไรเพื่ออะไร
เอาง่ายๆ เทียบง่ายๆ สมมติว่าความสุขของเราคือการมีคนชม การได้เงิน การมีคนรัก นี่คือความสุขโดยพื้นฐานของมนุษย์ แต่ถ้าท่านอยากได้คนชม อยากได้ความรัก และอยากได้เงินทอง อันนี้มันเป็นสิ่งที่เคยมาด้านเดียวไหม ก่อนได้ต้องเสียก่อน ก่อนจะมีคนรักต้องทำตัวให้น่ารักก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเข้าใจตรงนี้ก็แปลว่า เมื่อไรที่มนุษย์อยากมีสุข มนุษย์ต้องยอมรับความทุกข์ก่อน เมื่อใดมนุษย์อยากมีรัก มนุษย์ต้องรู้จักรักให้เป็นก่อน แม้การรักให้เป็นนั้นอาจจะทำให้เราต้องไม่ได้รักก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
มือมีอะไร  (ด้านหน้ามือ, ด้านหลังมือ)  แยกกันได้ไหม (ไม่ได้)  เคยไหมอยากวิ่งไปหาความสุข การได้เงินคงมีความสุข แต่ทำไมวิ่งไปหากลับเป็นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาฝนตก ฝนตกทำอย่างไร (กางร่ม) ฝนตกต้องกางร่ม เราลืมไปว่าท่านมีร่มตลอดเวลา แต่เคยไหมฝนตกเราต้องหาที่หลบฝน แต่บางทียิ่งหลบมันกลับยิ่ง (เปียก)  ความหมายของเราก็คือว่า บางครั้งมนุษย์ต้องการที่จะแสวงหาสิ่งหนึ่ง แต่ยิ่งเพียรหาความสุขที่ได้กลับกลายเป็นทุกข์ บางครั้งมนุษย์อยากจะหนีทุกข์ แต่ทำไมยิ่งหนีกลับยิ่งเจอทุกข์ แปลกไหม ที่แปลกเพราะเราลืมความจริงไปอย่างหนึ่งก็คือ ในสุขก็คือทุกข์ ในทุกข์ก็คือสุข  ฉะนั้นถ้าเราเอาชนะความทุกข์เราก็คือคนที่พบความสุข เราเกิดมาอยู่ในโลก เราควรกลัวทุกข์หรือควรกลัวสุข โดยส่วนใหญ่บอกว่ากลัวทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราอยากบอกว่าจริงๆ แล้ว เราควรกลัวสุขมากกว่าเพราะความสุขทำให้เรายึดติด เพราะต่อไปถ้าไม่ได้สุขแล้วเราจะกลายเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราเจอทุกข์จนชาชิน ทุกข์จนเราเข้าใจ ต่อไปจะเป็นสุขเป็นทุกข์เราก็ไม่กลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้ามีคนๆ หนึ่ง สิ่งที่บอกว่าทุกข์ เขากลับบอกว่าสุข สิ่งที่บอกว่าหอม เขากลับบอกว่าเหม็น ท่านว่าคนๆ นี้จะอยู่ในโลกลำบากไหม (ลำบาก)  ตอนแรกๆ คงลำบากอยากจะรักษาให้หาย จริงๆ แล้วสิ่งที่เราบอกว่าสุข เขาบอกว่าทุกข์ ถ้าเขาเข้าใจ ต่อไปพอเขาเจอสุขเขาก็จะไม่กลัว เขาก็จะรู้จักรับมือเป็น พอเจอทุกข์เขาก็ชินแล้ว ไม่ใช่หรือ จริงไหม (จริง)  แต่มนุษย์ปัจจุบันเป็นอย่างไร กลัวทุกข์แต่อยากได้สุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงทำให้ไม่กล้าเผชิญความจริงเลยสักครั้ง
เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจทันทีใช่หรือไม่ ทั้งที่สิ่งที่เราพูดเป็นเรื่องที่ท่านรู้กันอยู่ แต่ท่านไม่เคยค้นหาในใจตัวเองเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะยกอีกตัวอย่างหนึ่งแล้วกันนะ  เราถามท่านว่าตอนนี้นั่งอย่างนี้มีความสุขหรือมีความทุกข์ (ความสุข)  ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม คิดดีแม้นั่งตรงนี้ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ คิดไม่ดีนั่งตรงนี้ก็เหมือนตกนรก พอเข้าใจหรือยังว่า ทุกข์กับสุขมันต่างกันตรงไหน มันต่างตรงที่ความคิดว่าเรากล้ายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นไหม
โดยส่วนใหญ่ของมนุษย์ได้อย่างหนึ่งก็หวังอีกอย่างหนึ่ง พอได้ในสิ่งที่หวังก็กลับไม่พอใจ ต้องได้มากขึ้นกว่าเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วความจริงในโลกนี้สิ่งที่ได้มามันคงทนไหม (ไม่)  แล้วหัวใจที่บอกว่าสุขมันคงทนไหม (ไม่)  เหมือนแต่ก่อนไม่เคยจับแบงค์ร้อย พอจับแบงค์ร้อยดีใจไหม (ดีใจ)  แต่เดี๋ยวนี้จับแบงค์ร้อยบ่อยๆ ทำไมเบื่อล่ะ อยากจับแบงค์ (พัน)  เอาพันเลยหรือ ไม่ห้าร้อยก่อนหรือ
ฉะนั้นเราอยากแก้ปัญหาความทุกข์ ถามใจเราเองก่อนว่า ใจที่มันอยากไม่จบสิ้น มันอยากแล้วมันยืนอยู่บนความจริงไหม ถ้าอยากแล้วทำให้ตัวเองต้องลำบาก สู้พอใจตั้งแต่ตรงนี้ก่อนดีหรือเปล่า แล้วพออยากปุ๊บก็ไม่ทุกข์ร้อน เพราะตอนนี้ก็ดีแล้ว พอไปทำก็ทำตามหน้าที่ ได้ไม่ได้ก็ไม่ทุกข์มาก พอกลับมาก็ยังมีหนึ่งร้อยให้อุ่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  น่ากลัวกว่านะถ้าเกิดไปอยากกลับมา แม้แต่ร้อยก็ไม่เหลือ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่ต้องทุกข์เพราะนั่นคือความจริง
เราบอกท่านแล้วว่า สุขคือ พึงพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะมากหรือจะน้อยกว่าเดิมก็ไม่ทุกข์แต่เป็นสุขได้ เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นก็กล้ามองความจริง เมื่อมองความจริงเราก็สามารถวางใจเป็นกลางและยอมรับได้ แต่มนุษย์อดยึดไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วที่เรายึดเรายึดเพราะอะไร เพราะใจชอบ ถ้าได้แบบนี้ชอบ ถ้าได้แบบที่ไม่ใช่แบบนี้จะไม่ชอบ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายในชั้นสองท่านที่แต่งตัวแตกต่างกันออกไปยืนหน้าชั้น)
ท่านว่าคนแรกนี้มีอะไรน่าติไหม คิดดีๆ (มี, ไม่มี)  เราต้องการให้ท่านรู้ว่าแม้จะดูเหมือนบกพร่องที่สุด แต่ถามจริงๆ ว่าสิ่งบกพร่องนี้ดูบกพร่องไหม ถ้าใจเราบกพร่องมองคนนี้ก็บกพร่อง ถ้าใจเรายึดติดมองคนแรกนี้ก็ไม่ผ่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจเรายึดติดมองคนที่สองนี้ก็ผ่าน ถ้าเรายึดติดว่าแบบนี้คือสิ่งที่เราเกลียด ตัวก็ดำแต่งตัวก็มอซอ ท่าทางก็ไม่ดี ไม่ชอบ  แต่คนนี้ภูมิฐาน ขาว ดูดี ใส่แว่นด้วยดูมีวิชาการ เมื่อเรารู้ว่าอะไรเรียกว่าเกลียด เราจึงรู้ว่าอะไรเรียกว่าชอบ แต่ถ้าในหัวใจเราไม่มีอะไรที่เกลียดจะมีอะไรที่ทำให้เราหลงรักและชอบไหม (ไม่มี)  ถ้าในหัวใจเราไม่กำหนดว่าอะไรคือสุข แล้วอะไรทำให้เราต้องทุกข์ อะไรจะเกิดก็ดี แต่ที่มนุษย์ทุกข์เพราะมีคำนิยามของคำว่าน่าเกลียดและคำว่าน่ารัก เมื่อไรที่มนุษย์ไม่ยึดมั่นกับคำนิยามในหัวใจว่าอะไรเรียกว่าสุข อะไรเรียกว่าทุกข์ มนุษย์ก็จะหลุดพ้นจากสุขและทุกข์
ฉะนั้นเมื่อไม่มีอะไรให้ยึดมั่น ความทุกข์จะจับอะไรเราได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อไม่มีอะไรให้เรารังเกียจ ความชอบจะบีบคั้นหัวใจเราไหม (ไม่)  ฉะนั้นต้นเหตุแห่งความทุกข์มาจากหัวใจที่ยึดมั่นถือมั่นว่าแบบนี้คือสิ่งที่เราเกลียด แบบนี้คือสิ่งที่เราชอบ แล้วแบบที่เราเกลียดและแบบที่เราชอบแท้จริงแล้วมันเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  คนที่สองนี้ก็ทำให้ทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในบางครั้งคนที่หนึ่งนี้ก็อาจจะทำให้สุขกว่าคนที่สองก็ได้จริงไหม (จริง)  เพราะอะไรล่ะ อย่าลืมนะ เซอร์ๆ ง่ายๆ แบบนี้ ขาลุย ใช่ไหม แต่ดูดีภูมิฐานอาจเป็นพวกรักสะอาดจนน่ารำคาญ ทำอะไรก็เดี๋ยวเปื้อนเดี๋ยวสกปรก ใช่ไหม ฉะนั้น แน่ใจหรือว่าสิ่งที่ดูน่ารังเกียจ มันจะน่ารังเกียจเสมอไป สิ่งที่เรียกว่าสุขจะทำให้เราสุขไม่ทุกข์ตลอดไป ฉะนั้น การเรียนธรรมะ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือไม่ยึดติด ไม่ผลักไส ยอมรับความจริงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็พอใจ อะไรๆ ก็ดีแล้ว เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)  แต่ยากตรงที่หัวใจมันชอบ ใช่ไหม (ใช่) 
เพราะอะไรหลายคนที่ว่ายน้ำเก่งต้องตายเพราะน้ำ เราต้องทุกข์เพราะสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่ชังกันเล่า ถามลึกๆ สิ อะไรทำให้เราเจ็บปวดมากกว่ากัน ถึงแม้จะชังมากที่สุดแต่ก็ช่างมันเถอะ แต่คนที่ทำเราเจ็บมากที่สุดใช่ไม่ใช่คือสิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก จริงไหม (จริง)  พระพุทธะหรือปราชญ์โบราณจึงบอกว่า “น้ำทำคนตายมากกว่าไฟ” สิ่งที่รักฆ่าเราให้เจ็บปวดมากกว่าสิ่งที่เกลียด
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนทั้งสองท่านกลับเข้าที่นั่ง)  ปรบมือให้หน่อยดีไหม อยากได้ดอกไม้ไหม ไม่อยากหรือ เราไม่ฝืน เชิญนั่ง ยังอยากได้ดอกไม้อีกไหม ได้ก็ดีหรือ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จริงๆ แล้วเราต้องการให้ความหมาย ออกดอกแล้วต้องตกผลจึงจะสมบูรณ์ แต่บางครั้งมนุษย์ออกดอกแล้วไม่ตกผลน่าเสียดายไหม (น่าเสียดาย)  ไม่ต้องเสียดาย เพราะบางครั้งดอกไม้ก็มีคุณค่าแม้ไร้ผล มีคนออกดอกและตกผลแล้ว
ท่านต้องมองให้ออกว่าโลกนี้วุ่นวายเพราะอะไร เพราะใจที่ยึดใช่หรือไม่ อย่างนั้นถ้าหลับตาแล้วใจจะสงบได้หรือถ้าใจมันยังไม่ปล่อย การเข้าใจธรรมไม่ใช่ว่าต้องปล่อยทุกเรื่อง แต่การเข้าใจธรรมคือเห็นแจ้งความเป็นจริง เห็นแจ้งความเป็นจริงไม่ใช่ผู้คนแต่เป็นหัวใจเรา หัวใจที่วางได้ถูก วางได้เป็นก็ไม่ทุกข์ ถ้าวางไม่ถูกวางไม่เป็น ไปอยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์วันยังค่ำ แม้นั่งตรงนี้ก็ยังทุกข์ได้เลย จริงไหม
หลังจากวันนี้ไปแม้จะไม่เจอเรา ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่เรียนรู้สุขทุกข์ให้เป็นนะ เพราะวันนี้เราไม่ได้พูดยากเลย เราพูดเรื่องง่ายๆ คือความสุขที่มนุษย์แสวงหา และความทุกข์ที่มนุษย์หวาดกลัว แท้จริงแล้วไม่ควรหวาดกลัว แต่ควรกลัวใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทดสอบจากสิ่งที่รู้ก่อนจากกัน เราถามว่าเหล้า บุหรี่ คำด่าทอ การสูญเสีย น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ควรกลัวอะไร (ใจตัวเอง)  สอบผ่านแล้วนะ ทำไมจึงบอกว่าควรกลัวใจตัวเอง เหล้าถึงจะมีโทษแต่ถ้าใจมันไม่กระสันอยาก เหล้าจะมาทำให้เกิดโทษในใจไหม (ไม่)  ฉันใดก็ฉันนั้น คนด่าเราจะทำให้เราเจ็บไหม ถ้าเราไม่กระสันไปเอาคำพูดนั้นมาใส่ไว้ในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือถ้าคิดให้ก้าวไปอีกอย่างหนึ่ง มีคนชมก็มีคน (ติ)  มันเป็นความจริงของโลก ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริง เราก็จะพบสุข สุขที่แท้คือพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะมากก็ไม่ดีใจ แม้จะน้อยกว่าเดิมก็ไม่เสียใจ เมื่อไรที่ท่านเข้าใจคำพูดนี้ ท่านจะพบความสุขที่แท้จริงโดยที่ไม่ต้องหลับตาก็สงบใจได้ เพราะใจสงบแล้ว สงบกับคำว่า “พอ” แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องมาก ไม่ต้องน้อย จะได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เสียใจ ใช่ไหม (ใช่) 
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันนะ ความสุขไม่ใช่เรื่องยาก อย่าทำร้ายตัวเองเพราะความคิดยึดมั่นถือมั่นเลย




วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนทำงานงานทำคนจนเหนื่อยใจ อยู่เพื่อหาหาเพื่อใช้อะไรหนอ
กินเพื่ออยู่อยู่เพื่อกินสร้างกรรมต่อ ศิษย์ข้าหนออย่าได้สร้างวัฏฏะกรรม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมจินเอวี๋ยน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม


กระทบกระเทือนกระแทก จะแบกอารมณ์ไปไหน
รู้ทันรู้วางจิตใจ ไม่ทันไม่ยอมปล่อยวาง
คิดดีทำดีต่างทำ อย่าช้ำเพราะโดนคนขวาง
รับฟังเพื่อปรับทิศทาง ก้าวย่างสติรู้ตรอง
ทำงานเพื่อฝึกบำเพ็ญ ใจเย็นคุมอารมณ์ผอง
งานดีใจเสียหลายกอง ขุ่นหมองสำเร็จอะไร
วุ่นวายไม่ชอบก็รู้ ย้อนดูให้เห็นนิสัย
อย่าว่าแต่เขาร่ำไป เห็นไหมศิษย์ผิดเหมือนกัน
ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาพ่อครัวแม่ครัว และผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ยังทานไม่เสร็จอีกหรือ นานๆ อาจารย์จะถือตะหลิวนะ อาจารย์ถือตะหลิวไว้ตีแม่ครัวดีไหม ปกติอาจารย์จะถือไม้ใช่ไหม ฉะนั้นพอเข้าครัวให้เหมือนแม่ครัวต้องถือตะหลิว ถูกหรือเปล่า พ่อครัวหนีไปไหนแล้ว (ไปซื้อของ) เหนื่อยกันไหม (ไม่เหนื่อย) เหนื่อยอย่างไรสิ่งสำคัญต้องระวังใจตัวเอง ไม่ใช่ทำไปบ่นไป อย่างนี้ไม่ได้อะไรนะ ใครจะทำไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเองทำให้เต็มที่ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์นะ ถ้าจิตหนึ่งใจเดียวตั้งใจทำงาน จะมีพลังไม่จำกัด แต่ถ้าใจหนึ่งทำแล้วอีกใจหนึ่งบ่น พลังมันจะลดลงๆ แล้วไปไม่ไหว จำคำอาจารย์ให้ดีนะ ถ้าจิตหนึ่งใจเดียวทำงาน ถ้าศิษย์มีใจเดียวจะทำงาน ไม่น้อยใจคนอื่นไม่ตัดพ้อคนอื่น ศิษย์จะได้พลังของอาจารย์ไม่มีวันหมด เคยทำงานจนรู้สึกว่าทำไมมันทำได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยเลยไหม แต่ทำไมพองานจบ หมดแรง อาจารย์อยากจะบอกว่า ถ้าตั้งใจทำงานนะศิษย์ มันจะไม่มีวันเหนื่อย แต่ถ้ามีจิตหนึ่งแล้วยังมีอีกจิตหนึ่งว่า ทำไมคนนั้นไม่ทำคนนี้ไม่ค่อยทำ ทำไมปล่อยเราทำคนเดียว มันจะเหนื่อยนะศิษย์ ฉะนั้นเชื่ออาจารย์นะ ตั้งใจทำ ทำให้เต็มที่ ทำด้วยใจที่ตั้งใจ ทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ทำด้วยใจที่อยากจะทำให้ นั่นแหละมันจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีวันหมดสิ้นและอาจารย์ก็อยากให้พลังนั้นอยู่กับใจศิษย์เสมอ ขอเพียงอย่างเดียวอย่ามีสองใจ อย่าน้อยใจ อย่าเอาแต่ใจ ใช่ไหม (ใช่) เหนื่อยไหมพ่อครัว ไม่เหนื่อยนะ แล้วทุกคนล่ะเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) แต่ก็อย่าทำจนลืมร่างกาย ศิษย์รู้ไหม คำว่าสงบคืออะไร ใจที่ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป จึงพบความสงบ คำว่าผ่อนคลายคืออะไร กายที่ไม่ตกอยู่กับความหมกมุ่นในการทำงานจนเกินไป จึงเรียกว่าผ่อนคลาย ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญมีทั้งความสงบและผ่อนคลาย ไม่ใช่เหนื่อยจนเกินไปด้วยนะ ได้ไหม (ได้) อย่าให้ไฟบนเตามันเคี่ยวกาย แล้วอย่าให้อารมณ์มันเคี่ยวใจด้วย คิดในสิ่งที่ควรคิด มุ่งมั่นทำอย่างเดียว ให้อย่างเดียว ไม่ต้องไปน้อยใจใคร ไม่ต้องไปตัดพ้อใคร ศิษย์ไม่เคยได้ยินสำนวนที่เขากล่าวไว้หรือ มุ่งมั่นทำหนึ่งเดียวด้วยความตั้งใจ ก็เปรียบปานเทพไทในแดนสรวง ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้นเรียน)
กินก็อิ่มแล้ว มีความสุขหรือยัง มีบ้างหรือยัง หรือยังมียากอยู่ ดีใจไหมวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว อาจารย์ดีใจที่ได้เจอศิษย์นะ แม้ศิษย์บางคนยังคลางแคลงสงสัยอยู่ แม้ศิษย์บางคนยังกังขาลังเลใจอยู่ นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา อาจารย์ไม่ได้ว่าอะไร
“คนทำงาน งานทำคน จนเหนื่อยใจ”
เป็นอย่างนั้นไหม เราเป็นคนทำงานหรืองานมันทำเรา ใช่ไหม ตอนแรกเราก็ว่าเราทำงานนะ แต่ไปๆ มาๆ งานทำเราจนเรารู้สึกเหนื่อย
“อยู่เพื่อหาหาเพื่อใช้อะไรหนอ”
อยู่เพื่อหาหรือหาเพื่อใช้ (หาเพื่อใช้) อาจารย์คิดว่าอยู่เพื่อหานะ บางทีเราหาเพื่อจะใช้ ใช้เพื่อมาบำรุงเรา หรือหาเพื่อใช้หนี้ เคยไหมทำเพื่อจะหามาบำรุงเลี้ยง แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเราต้องไป (ใช้หนี้) ทั้งที่แต่ก่อนคิดจะมีหนี้ไหม (ไม่คิด) แล้วใครทำให้เกิดหนี้ (ตัวเราเอง) เราหาหนี้ใส่ตัวใช่ไหม (ใช่) บางทีรู้สึกว่าอยู่ดีๆ ก็ดีแล้ว หาหนี้ทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ก่อนจะหา ก่อนจะอยากคิดให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะหาหนี้ให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
กินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน (อยู่เพื่อกิน, กินเพื่ออยู่) คิดให้ดีๆ
“กินเพื่ออยู่อยู่เพื่อกินสร้างกรรมต่อ”
ฉะนั้นถ้าไม่ระมัดระวังสิ่งที่กิน ศิษย์ก็อาจจะสร้างกรรมเพราะการกินก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง) ศิษย์บางคนอาจจะถามอาจารย์ว่า ก็อาจารย์เป็นคนบอกศิษย์เองไม่ใช่หรือ ศิษย์อาจารย์จี้กงเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์ถามว่าระหว่างการกินผักกับการกินเนื้อสัตว์อย่างไหนกินง่ายกว่ากัน (กินผักง่ายกว่า) เนื้อสัตว์ยังต้องไปผ่านกรรมวิธีใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องไปทำการฆ่าเขาใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วการฆ่าทำให้ก่อเวรก่อกรรมใช่ไหม (ใช่) แล้วเราอยากมีเวรมีกรรมไหม (ไม่อยาก) ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีกรรมก็อย่าสร้างกรรมต่อผู้อื่น ถ้าไม่อยากมีเวรก็อย่าผูกเวรต่อสิ่งอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ศิษย์ข้าหนออย่าได้สร้างวัฏฏะกรรม”
คำนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ใช่ไหม (ใช่) ไหนใครกินโดยไม่แอบติในใจ ไม่ติกับข้าวเลยสักอย่างเดียวยกมือขึ้น ถ้ากินโดยไม่ติก็แปลว่าเป็นคนกินง่าย แต่ถ้ากินแล้วติว่าโน่นก็หวานเกินไป นี่ก็เค็มเกินไป ขาดรสอีกนิดนึงจะดีมากเลย อย่างนี้เรียกว่าติดในการกิน ติดในรสชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราเป็นแบบไหน (ไม่ติด)  ไม่ติด พอร้านไหนไม่อร่อยไม่ไปอีกเลยเป็นรอบสอง ถ้าร้านไหนอร่อยถึงจะไปร้านนั้น แต่ติด ใช่หรือไม่
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ฆ่าอะไรแล้วมีความสุข (ข้ารักเอ็ง) ว่าอะไรนะ เจอมุกนี้อาจารย์เซเลย ไม่เอา อาจารย์ไม่เอานะมุกนี้ (ฆ่ากิเลส, ค่าน้ำนม)  แบบฆ่าทิ้งนะ อาจารย์หมายถึงว่าฆ่าอะไรแล้วมีความสุข ศิษย์ฟังความหมายให้ดีๆ อาจารย์จะเล่าอะไรให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีวันหนึ่ง มีคนคนหนึ่งมากราบต่อหน้าพระ เขาก็จุดธูปแล้วก็อธิษฐานบอกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ข้าพเจ้าขอพรหน่อย พรของข้าพเจ้ามีดังนี้ อยากให้ทุกคนตายๆๆๆ ตายเยอะๆ สาธุ แล้วเขาก็เดินกลับไป อีกคนหนึ่งเดินมาขอพร บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้คนบนโลกนี้รวย แล้วก็รวยๆๆๆ แล้วก็เดินกลับไป
ศิษยว่าพระพุทธะมองสองคนนี้เป็นอย่างไร คนหนึ่งคือคนที่ดีใช่ไหม (ใช่) อีกคนหนึ่งคือคนที่ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์เป็นพระพุทธะควรให้พรคนแรกหรือคนที่สองดี (คนแรก เพราะเขามองเห็นธรรมนำทางสว่าง) เพราะเขามองเห็นธรรมนำทางสว่างการที่เขาให้คนตายก็ไม่ผิดใช่ไหม หรือว่าไม่ต้องให้ทั้งสองดี หรือว่ามองให้ชัดๆ ก่อนช่วยใครดี (ต้องถามว่าจะให้ตายเรื่องอะไร แล้วจะให้รวยด้วยเรื่องอะไร ถ้าให้กิเลสตายก็สมควร ถ้ารวยเรื่องความพอเพียงก็สมควร) เข้าใจตอบดีนะ ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์ยกตัวอย่างอันนี้ เพราะอาจารย์ต้องการอยากจะบอกให้ศิษย์รู้อะไรบางอย่าง เหมือนเวลาเรามองคนคนหนึ่ง เหมือนเวลาศิษย์มองสิ่งสิ่งหนึ่ง ทำไมศิษย์มองปุ๊บแล้วศิษย์เกลียดทันทีล่ะเพียงเพราะเขาทำแค่สิ่งเดียว พูดผิดแค่คำเดียว เกลียดทันทีเลยหรือ ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าพุทธะมองแค่เพียงว่าเขาอยากให้ทุกคนตาย พุทธะก็เชื่อตามทันที เขาอยากให้รวย พุทธะก็เชื่อทันที อย่างนี้จะเรียกว่าพระพุทธะไหม (ไม่)
ฉะนั้น เรื่องเมื่อสักครู่อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ได้รู้ว่า เมื่อไรที่ศิษย์เห็นคนที่น่าเกลียด ศิษย์เห็นคนที่ดี ศิษย์เห็นเขาจริงหรือ ศิษย์เห็นเขาหมดหรือ ศิษย์รู้จักเขาแท้จริงหรือ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเรารู้ไม่แท้ เห็นไม่จริง เราควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) แล้วเราควรจะปักใจรักเลยดีไหม (ไม่ดี)
อาจารย์จะเฉลยให้ คนที่บอกว่าขอให้คนตายเยอะๆ ดี เพราะว่าเขาทำการค้าคือขายโลงศพ เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ) ฉะนั้น ถ้าเราบอกว่าทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ เขาก็จะบอกว่า คนเราเกิดมาต้องตาย ฉันขอไม่ผิดนี่ ใช่ไหม ว่าเขาได้ไหม ถ้าคนเราเกิดมาไม่ตายทรมานไหม (ทรมาน) โดยเขาย้อนอย่างนี้ เราว่าเขาได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นอย่าเพิ่งเกลียดสิ่งที่น่าเกลียด อย่าเพิ่งรักสิ่งที่น่ารัก
อาจารย์ให้เดา แล้วคนที่อยากให้รวยขายอะไร  คนขายรถ เขาจึงอยากให้คนรวยเพราะยิ่งรวยก็อยากซื้อรถ เพราะเป็นปัจจัยหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากมี ถามศิษย์มีใครบ้างไม่อยากมีรถ มีสองล้อแล้วก็อยากมีสี่ล้อ แล้วยิ่งมีเงินมากขึ้นพอมีสี่ล้อก็อยากมีสิบล้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์อยากคุยกับศิษย์เรื่องเดิมที่เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มาคุยกับศิษย์ เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุยกับศิษย์เรื่องอะไร (ความสุข ความทุกข์) เมื่อวานก็ได้ความสุขไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่ความทุกข์เคลียร์ไม่ออกไปจากใจสักที ถ้าอาจารย์พูดแบบอิงทางพุทธ ทุกข์เกิดจากอะไร โดยส่วนใหญ่ทางพระพุทธศาสนา ทุกข์จะเกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
อวิชชา คือ ความไม่รู้, ตัณหา คือ ความอยาก, อุปาทาน คือ ความยึดติด ยึดมั่น  แปลว่า ต้นเหตุรากเหง้าของความทุกข์มาจากความไม่รู้ ไม่รู้แล้วจึงอยาก จึงยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นพูดเป็นภาษาง่ายๆ ก็คือ ทุกข์เกิดจากความไม่รู้ เมื่อไม่รู้จึงเกิดความอยาก เมื่ออยากมากๆ จึงทำให้เกิดกิเลส เมื่อเกิดกิเลสมากๆ ก็เกิดการสร้างบุญและบาป เพราะเมื่อเกิดกิเลสมากๆ ทำผิดมากๆ เรารู้สึกว่า อยากไปทำดีเหลือเกิน พอไปทำดีเราจึงรู้ว่าอะไรเรียกว่าบุญ อะไรเรียกว่าบาป อะไรเรียกว่ากุศล อะไรเรียกว่าอกุศล และในบุญ บาป กุศล อกุศล ความดี ความไม่ดีนั้น ก็สามารถก่อเกิดเป็นกรรมและการเวียนว่าย
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมากๆ ก็ง่ายที่จะทำให้เรานั้นไม่พ้นการเวียนว่าย แต่ถ้าเราสามารถหาต้นเหตุแห่งทุกข์เจอ แล้วเราก็ดับที่ต้นเหตุ ศิษย์ก็จะหยุดกระแสการเวียนว่ายได้ทันที ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่เราไม่รู้อะไรที่ทำให้เราทุกข์ เราเคยคิดไหม ส่วนใหญ่เราบอกว่าการบำเพ็ญก็คือการหยุดอยาก แต่อาจารย์บอกว่าบำเพ็ญที่แท้จริงไม่ใช่ให้หยุดอยาก แต่บำเพ็ญที่แท้จริง คือรู้จนไม่อยากที่จะอยากอีกต่อไป อะไรดีกว่า แก้ที่ต้นเหตุดีกว่า ใช่หรือไม่
ส่วนใหญ่จะรู้แค่เพียงว่าทำอย่างไรจะไม่ทุกข์ ก็หยุดอยากสิ แต่หยุดได้ไหม ยังอยากอยู่ อาจารย์จะบอกว่าบำเพ็ญที่แท้จริงก็คือการหาความ
รู้แจ้งแห่งความอยากนี้จนเราไม่อยาก “อยาก” อีก
อะไรที่เราไม่รู้แล้วเราทุกข์ เราไม่รู้ความจริง ความจริงที่เรียกว่า “ตัวตนเอง” หนึ่ง และความจริงที่เรียกว่า “สรรพสิ่งในโลก” หรือ “สัจธรรม” อีกหนึ่ง
มีคำกล่าวว่า “ถ้ารู้หนึ่งก็สามารถรู้แจ้งถึงสิบ” พระพุทธะบอกว่า
“ไม่ต้องไปหาพระภายนอกแต่ให้หาพระภายใน” ถ้าค้นหาพระภายนอกเจอศิษย์ก็จะหาพระภายในเจอได้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเรารู้แจ้งในตัวตน ศิษย์ก็จะรู้สรรพสิ่งทั้งมวลได้ อะไรล่ะที่เรียกว่าตัวตนหรือสัจภาวะอันแท้จริง
ถ้าอาจารย์มีสิ่งๆ หนึ่งที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ฝากให้ศิษย์ช่วยดูแลหน่อย ศิษย์มีหน้าที่หาข้าวหาน้ำเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ แต่เขามีนิสัยที่ยากเดา เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาร้ายก็ร้ายน่ากลัว และก็ไม่แน่ด้วยว่าถ้าอยู่กับศิษย์บางคนอาจจะมีแต่ทำมาค้าขึ้น แต่ถ้าอยู่กับศิษย์อีกคนก็อาจจะล่มจมหมดตัว ถามว่าศิษย์อยากได้สิ่งนี้ไปอยู่กับศิษย์ไหม (ไม่อยาก)  ถ้าสิ่งที่เราได้ไปนั้น เราไม่รู้อะไรเลย เราจะเอาไหม (ไม่เอา) แล้วเราจะยึดไหม (ไม่ยึด) ยึดเป็นของเราไหม (ไม่ยึด) อาจารย์ให้ฟรีๆ เลย เอาไปเลย เอาไหม (ไม่เอา) ไม่เอาจริงหรือ แน่นะ (แน่)
อย่างนั้นถามจริงๆ ว่าชีวิตที่ศิษย์เอาไปดูแลอยู่ แล้วกำหนดว่าชื่อนั้นชื่อนี้ ศิษย์เดาได้หรือว่ามันจะดี รักมันแทบตายบำรุงมันแทบตาย ศิษย์แน่ใจหรือว่ามันรักศิษย์ บางครั้งมันก็ทำให้เจ็บปวดไม่ใช่หรือ ใช่ไหม (ใช่) บางครั้งมันก็ด่าศิษย์เจ็บแสบไม่ใช่หรือ แล้วศิษย์รักมันทำไม แล้วศิษย์ยึดว่าเป็นของศิษย์ทำไมล่ะ ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่อาจารย์บอกว่าอาจารย์มีสิ่งหนึ่งอยากให้ศิษย์ดูแล นั่นก็คือตัวศิษย์นั่นเอง ศิษย์บอกศิษย์ไม่เอา ศิษย์บอกศิษย์ไม่ยึด โกหกนี่ ยึดมันไปเต็มๆ รู้ไหม
อาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์รู้ไหมชะตาชีวิตศิษย์เป็นอย่างไร (ไม่รู้) แล้วศิษย์แน่ใจไหมว่าการยึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้เป็นของเรา อันนี้คือชื่อเรา มันจะทำให้ศิษย์มีความสุข ก็ไม่แน่ แต่ศิษย์รักมันไหม (รัก) ทำทุกอย่างเพื่อมันใช่ไหม (ใช่) เมื่อสักครู่บอกไม่เอา แล้วทำไมตอนนี้บอกเอาล่ะ ใช่หรือไม่
ชีวิตนี้ศิษย์รู้อะไรบ้าง ไม่รู้เลย แล้วศิษย์ยังดำผุดดำว่ายยึดกับมันอยู่ถูกต้องหรือ ฉะนั้นเราก็เลยไม่พ้นทุกข์สักที เราก็ดำผุดดำว่ายอยู่กับทุกข์สุข เดาไม่ออกอนาคตจะดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่) แต่เราก็ยึดมันถูกไหม แล้วเราควรหรือที่จะยึด
ฉะนั้นอะไรเรียกว่าความรู้ รู้อะไร สิ่งหนึ่งที่ศิษย์รู้อยู่แล้วแต่ศิษย์ชอบลืม นั่นคืออะไรรู้ไหม อันแรกที่ศิษย์ควรจะรู้ก็คือ รู้ไหม (รู้) แต่ยึดไหม (ยึด) รักไหม (รัก) ทั้งที่จริงๆ แล้วอาจารย์อยากจะบอกว่า สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ยืมเขามาใช้ ไม่ใช่ของๆ เรา ทำไมถึงบอกว่าใดๆ ในโลกไม่ควรยึด เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของๆ เรานะศิษย์ เรามายืมใช้แค่ชั่วคราว ถึงเวลาร่างกายนี้ศิษย์ต้องคืนเขาไป จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเราควรยึดไหม (ไม่ควร) ถ้ามันเป็นของศิษย์จริงๆ ศิษย์ต้องคุมได้ เมื่อบอกให้ไปซ้ายมันต้อง (ไปซ้าย) ไปขวา มันสนไหม (ไม่สน) มันเชื่อไหม (ไม่เชื่อ)  อย่าเจ็บมันก็เจ็บ ใช่หรือเปล่า พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าในเมื่อมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์และมันว่างจากตัวตนที่แท้ ควรหรือที่จะยึดว่ามันคือของเรา เราเป็นนั่นเราเป็นนี่ ไม่ควร นี่แหละคือความรู้อย่างหนึ่งที่ศิษย์ต้องจำไว้ รู้ว่าใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะเราเกิดมาเพียงแค่ยืมเขาใช้ จริงไหม (จริง)
อย่างที่สองที่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ เขาบอกว่าคนเราเกิดมาแล้วต้อง (ตาย) ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์บอกว่าชีวิตคนเหมือนนิ้ว ขึ้นชื่อว่าชีวิต ต้องมีเกิดแก่เจ็บตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และต้องประสบเจอกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็เหมือนกับนิ้ว บางครั้งมันเหมือนมีขึ้นบางครั้งมันเหมือนมีลง บางครั้งมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งชีวิตต้องเจอการพลัดพราก เราก็ต้องคิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิต เมื่อไรเจอความเจ็บ อ้อ มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต เมื่อไรเจอคนด่าไอ้อ้วน เราก็ (มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต) ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น ถ้าเกิดเจอคนว่าอีก ไอ้กุ้งแห้ง เราก็คิดเสียว่า (มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต) ศิษย์ดู นิ้วไหนผอมสุด (นิ้วก้อย) นิ้วไหนอ้วนสุด (นิ้วโป้ง) ฉะนั้น เวลาเจอคนอ้วนก็คิดเสียว่าเขาก็เหมือนนิ้วโป้ง เวลาเจอคนเตี้ยเขาก็เหมือนนิ้วก้อย เวลาเจอคนสูง อ้อ เขาก็เหมือนนิ้วกลาง เวลาเจอคนที่เท่าเรา อ้อ เขาก็เหมือน (นิ้วชี้, นิ้วนาง) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น เวลาเจอคนดี อ้อ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เวลาเจอคนไม่ดีเหมือนนิ้วโป้ง เราก็ อ้อ มันก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราคิดอย่างนี้ เราจะโกรธใครไหม (ไม่โกรธ) เราต้องอย่าลืมอีกอย่างหนึ่งว่า อ้อ อาจารย์ นิ้วนี่มันมีนิ้วบนแล้วก็นิ้วล่าง ฉะนั้น เจอคนบางคนดี๊ดี บางคนไม่ดีก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต ฉะนั้นอย่าเกลียดคนนิ้วล่าง เพราะคนนิ้วล่างทำให้เรายืนได้เข้มแข็ง และคนนิ้วบนทำให้เราเป็นคนเอาแต่ใจและใช้คนอื่น เจอคนดีเราใช้ๆๆ เจอคนไม่ดีเราก็อยากจะเหยียบ แต่จำไว้มีคนแบบนี้ทำให้เรายืนได้เข้มแข็ง ฉะนั้นศิษย์จำไว้เห็นมือจงนึกถึงชีวิต ชีวิตมีขึ้นมีลง เมื่อขึ้นลงเรื่องหนึ่งก็อาจจะโผล่มาอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อขึ้นลงเรื่องนี้ดีแต่บางครั้งไปโผล่อีกเรื่องหนึ่งแย่ ชีวิตตกเป็นเท้าบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้เราจะโกรธใครไหม เราจะรำคาญใครไหม เราจะเกลียดใครไหม ปลดทุกข์ให้สองเรื่องแล้วนะ
แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์ควรรู้ไว้ จำไว้นะในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมและไม่มีใครดีพร้อม ในหนึ่งขวบปีที่เกิดขึ้นคือหนึ่งขวบปีที่ตาย ดีใจจังวันเกิด แต่พุทธะบอกว่าตายมาแล้วสิบห้าปี ดีใจจังถูกลอตเตอรี่แต่เสียไปเท่าไรได้มองไหม ดีใจถูกสามตัวได้สามพันแต่ที่ซื้อมาหมดไปกี่พันก็ไม่รู้ ควรดีใจหรือ ในเรื่องหนึ่งที่ได้ มันมีส่วนที่เสียอยู่ แต่เราหลอกตัวเองไหม ในเรื่องหนึ่งศิษย์บอกว่าเสียใจ ศิษย์มองให้ดีมันมีอะไรได้อยู่ แต่เราปิดบังตัวเองเกินไปจนมองไม่เห็นความจริงใช่ไหม ถ้าเข้าใจตรงนี้ศิษย์จะทุกข์อะไร แต่ศิษย์บางคนบอกว่า “อาจารย์เกิดมาเดี๋ยวก็ตายไม่ต้องไปสนใจมันหรอก หาความสุขไว้กับตัวก็พอ” ใช่ไหม (ไม่ใช่) ใครคิดอย่างนี้ยกมือขึ้น บางคนคิดอย่างนี้ ใช่หรือเปล่า แต่อย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอกให้ศิษย์ควรรู้ไว้นั่นก็คืออะไรรู้ไหม นั่นก็คือศิษย์บอกว่าชีวิตคนเราเกิดมาแล้วก็ตาย แต่จริงๆ แล้วพุทธะบอกว่า “ที่จริงแล้วในโลกนี้ก็คือไม่มีเกิดไม่มีดับ ผู้เข้าถึงสัจจะความเป็นจริงแห่งชีวิตจะรู้ว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงจากอีกเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่ง สภาวะหนึ่งไปอีกสภาวะหนึ่ง” เหมือนตัวเรานี้เราบอกว่ามีกายกับใจแล้วก็จิต ใช่หรือไม่ เมื่อจิตออกกายก็อาจจะทำอะไรไม่ได้แล้วก็สูญสลายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกว่าตัวที่น่ากลัวที่สุดมันไม่ใช่กายนะศิษย์ แต่ตัวที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้เราจะต้องเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดไม่พ้นเกิดตาย นั่นคือ “จิต” จิตของศิษย์ จิตที่สั่งสม เพราะว่าจิตของมนุษย์เราคิดว่าตัวเรามีกาย แล้วเราก็สร้างกายอีกตัวหนึ่งที่เป็นที่อยู่ของจิต เรารู้ว่าเดี๋ยวถึงเวลาเราก็ต้องแตกสลายไป แต่เรามักจะยึดมั่นว่าไม่ใช่เรายังมีอีกตัวหนึ่ง ตัวที่คลุมกายคลุมจิต แล้วเราก็สร้างเป็นตัวเป็นตนที่มีนิสัยอย่างนี้ที่ชอบทำแบบนี้ ที่ติดในรสนั้น ที่ยึดมั่นในเรื่องนี้ เมื่อเราสร้างจิตเป็นรูปเป็นร่างเป็นตัวตน จึงมีตายเกิด ศิษย์เคยได้ยินไหมเมื่อคนตายไปแล้ว ไปตามจิตที่สั่งสม ใช่ไหม (ใช่) จิตศิษย์เป็นคนที่ชอบทำบุญนะ แต่ขี้บ่นแล้วก็ชอบแอบนินทา ใช่ไหม (ใช่)  และบางทีโกงได้ก็โกง โกหกได้ก็โกหก ขอให้ได้เงินก่อนแล้วทำบุญตบท้ายทีหลังใช่ไหม ขอให้มีก่อนเดี๋ยวค่อยไปทำบุญชดเชยใช่ไหม เมื่อเราสร้างจิตสั่งสมขึ้นมาว่าเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้ เราก็เลยกลายเป็นคนที่เหมือนมีตัวอีกตัวหนึ่งซ้อนอีกตัวหนึ่ง ถึงแม้ตัวนี้จะตาย ศิษย์ก็เลยมีตัวอีกตัวหนึ่งที่ต้องเวียนว่าย อาจารย์พูดยากไปไหม
อาจารย์พูดง่ายๆ เหมือนตอนเขาบอกว่าอนาคตดูที่ไหน ดูที่ปัจจุบันว่าเราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าปัจจุบันเรามีนิสัยชอบกิน ขอให้เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ไปไหนก็ได้ต้องให้มีกินก่อน ถ้าไม่มีกินจะหงุดหงิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น จิตเราเลยสั่งสมอยู่กับการกิน แล้วศิษย์เดาได้ไหมว่าอนาคตของคนนี้ถ้าตายแล้วจะไปไหน ถ้าเกิดกินแล้วไม่สนใจผิดชอบชั่วดี ไม่สนใจมนุษยธรรม ไม่สนใจศีลธรรม ศิษย์ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร (หมู) เราก็แค่เดาไปใช่หรือไม่ อาจารย์แค่ต้องการจะบอกศิษย์ เหมือนตอนนี้ศิษย์บอกไม่ต้องสนใจอะไร มีความสุขไปวันๆ ศีลธรรมความเป็นคนไม่ต้องสนใจ ผิดชอบชั่วดีไม่ต้องไปละอายใจ ฉันอยากทำอะไรฉันก็ทำ ศิษย์ดูง่ายๆ เหมือนสรรพสัตว์ วันๆ มันเกิดมากิน อยู่ หลับ นอน ไม่ต้องสนใจความดีความชอบ ผิดชอบชั่วดีไม่ต้องสนใจ ฉะนั้น ถ้าศิษย์มีชีวิตอยู่ ปัจจุบันดำเนินแบบนี้ อนาคตศิษย์ก็เดาได้เลยว่าตายแล้วไปไหน ถูกไหม (ถูก) เพราะว่ามันไปตามจิตที่เราสั่งสม ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าเราอยากหยุดการเวียนว่าย เราจึงต้องเข้าใจถึงความว่างอันแท้จริงและความจริงแท้แห่งชีวิตและจิตญาณตน ถูกหรือไม่
เหมือนที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ ชีวิตของคนมีขึ้นมีลง มีมืดมีสว่าง ใจเราก็เหมือนพระอาทิตย์ ชีวิตก็เหมือนโลกใบนี้ บางครั้งสว่างก็เหมือนพระอาทิตย์สว่างตอนพระอาทิตย์ขึ้น บางครั้งเหมือนพระอาทิตย์ตก ชีวิตหม่นหมองถูกหรือไม่ แต่อาจารย์ถามจริงๆ ว่า ถ้าเราหันไปมองพระอาทิตย์จริงๆ พระอาทิตย์มีขึ้นมีลงไหม (ไม่มี) มีมืดมีสว่างไหม (ไม่มี) ฉันใดก็ฉันนั้น จิตใจมนุษย์แท้จริงมืดสว่างไหม มองให้จริงๆ นะ มันมืดสว่างแค่ชั่วปรากฏการณ์ครู่เดียวเท่านั้น จริงหรือไม่ (จริง)  พูดง่ายๆ ก็คือว่าจริงๆ แล้วภาวะจิตเดิมแท้ของมนุษย์ไม่มีขึ้นไม่มีลง แต่ที่มันขึ้นลงเพราะปรากฏการณ์ที่มากระทบกายกระทบใจแค่นั้นเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ) ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจตรงนี้ ศิษย์จะพบสภาวะความเป็นกลางและความเป็นหนึ่งเดียวในสรรพสิ่งทั้งหลาย แต่เพราะอะไรเราจึงไม่สามารถพบความเป็นกลางและความเป็นหนึ่งเดียว เพราะมนุษย์ยังยึดติดแบ่งแยกยึดมั่น เมื่อยึดติดแบ่งแยกยึดมั่น เราจึงไม่สามารถพบความเป็นกลางและเห็นแจ้งความเป็นหนึ่งเดียวได้ในโลกนี้
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ อีกเรื่องหนึ่ง ศิษย์เคยไหมบางครั้งมีคนชมว่าศิษย์เป็นคนดี เคยมีใครชมศิษย์ไหม (เคย)  แล้วเคยโดนว่าแย่ไหม (เคย) แล้วเวลาชมว่าดีเราเป็นอย่างไร (ดีใจ) หน้าบานเป็นกระด้งเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาโดนคนว่าแย่เป็นอย่างไร (หน้าบึ้ง) หน้าบึ้งเสียใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เป็นแบบขึ้นๆ ลงๆ แล้วแต่ใครจะมีผลต่อจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้ว อาจารย์บอกว่า โดยจริงๆ แล้วเวลาศิษย์บอกว่ามีคนชมว่าศิษย์ดี เหนือฟ้ายังมีฟ้า ใช่ไหม (ใช่) เวลาเขาว่าเราแย่ ยังมีคนแย่กว่าเรา ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น ถ้าศิษย์ไม่ปิดตาตัวเองจนเกินไป ถ้าศิษย์ไม่ใช้ความคิดแล้วหมกมุ่นกับความคิดในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจนเกินไป ศิษย์จะสามารถเกิดปัญญาแล้วมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างทะลุทะลวงและรอบคอบ
ศิษย์ว่าอาจารย์ตัวเล็กไหม (เล็ก) อาจารย์บอกว่าเกิดเป็นคนตัวเล็กนี่ดี แต่จริงๆ แล้วมี (เล็กกว่า) ใช่หรือเปล่า (ใช่) งั้นควรดีใจเมื่อมีคนชมว่าเธอตัวเล็กจัง ดีใจไหม (ไม่ดีใจ, ดีใจ) ถ้าเราดีใจแปลว่าเรามองไม่รอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะไม่แน่ว่าอาจจะมีคนเล็กกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้น ตอนแรกเราบอกว่าดีใจจังเลย เราตัวเล็กกว่าเขา ดีใจไหม (ดีใจ) เรากำลังอยู่สภาวะไหนศิษย์ เราอยู่กับคนตัวใหญ่ เราก็เรียกว่าเล็ก แต่เราอยู่กับคนตัวเล็ก เราก็ใหญ่ งั้นเราควรดีใจที่เล็ก และควรเสียใจที่ใหญ่หรือ (ไม่) ฉะนั้น วันนี้เราถูกล็อตเตอรี่ พรุ่งนี้เราไม่ถูกล็อตเตอรี่ เราควรดีใจที่ถูกล็อตเตอรี่หรือ (ไม่) วันนี้อยู่คนนี้เขาด่าเรา แต่เราอยู่คนนั้นเราได้ด่าเขา เราควรเศร้ากับคนนี้แล้วข่มคนนั้นไหม (ไม่ควร)  คนตัวเล็กถ้าเขาไปเจอคนเล็กกว่า แล้วเขาทำแบบที่อาจารย์เคยทำกับเขาคือ ใหญ่ปุ๊บข่มคนเล็ก เขาก็ไม่ต่างอะไรกับอาจารย์ที่มองไม่เห็นความจริง ใช่หรือไม่
ฉะนั้น มนุษย์มีความเป็นกลางอยู่เสมอ มีความเป็นหนึ่งเดียวอยู่เสมอ มองเห็นให้ถ่องแท้ อย่าจมอยู่กับความคิด อย่าจมอยู่กับความยึดมั่น เปิดปัญญาให้เห็นแจ้งแล้วมองให้ตรง ดูให้รอบคอบ มนุษย์เรามีความเป็นกลางอยู่เสมอ และมีความจริงแท้อยู่เสมอที่เราไม่ควรยึดจนเอียง ไม่ควรจะฝักใฝ่จนเป็นทุกข์ แต่เรามีความกลางอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าเรามองแค่ตอนนี้หรือมองให้รอบๆ มีปัญญา รู้อะไรอย่ารู้แค่ตรงนี้ตอนนี้ แต่ต้องรู้ให้แจ้ง เห็นต้องเห็นให้ชัด มองให้รอบ เหมือนที่อาจารย์เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นว่าคนหนึ่งขอให้ตาย คนหนึ่งขอให้รวย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อใดที่ศิษย์รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต ศิษย์จะหยุดอยาก อาจารย์จึงบอกว่า ความชอบความชังคือส่วนเกินของชีวิต จำคำพูดอาจารย์ไว้ดีๆ นะ แล้วสักวันศิษย์จะเข้าใจ ถ้าชีวิตหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ชอบชังมากๆ ศิษย์จะสร้างความเจ็บป่วยให้กับร่างกายพอกพูนโดยไม่รู้ตัว ความอยากจนเป็นนิสัยคือแอกที่บังคับให้ชีวิตเราไม่มีอิสระ แล้วถ้าเราจมอยู่กับความอยากตลอดไป ศิษย์จะพบความทุกข์จนไม่มีวันพบสุข หรือพุทธะกล่าวว่า คนที่จมอยู่กับความอยากทั้งชีวิตจะไม่มีวันพบความสุขมีแต่หายนะ ฉะนั้นผู้ที่รู้เข้าใจตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ทุกข์สุขดีร้ายเกิดตาย ก็มาทำร้ายคนที่รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตไม่ได้ อะไรที่มายั่วยวนให้หวั่นไหวและเป็นทุกข์ก็จะไม่มีผลอีกต่อไป พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
ถ้าชีวิตหมกมุ่นกับอารมณ์โลภ โกรธ หลง วิตกกังวล จิตใจจะเต็มไปด้วย โรคภัยไข้เจ็บที่พอกพูนสะสมโดยไม่รู้ตัว ถ้าชีวิตมีแต่ความอยากไม่จบสิ้น ศิษย์จะไม่มีวันพบความสุข มีแต่ความวุ่นวาย หรือพุทธะเรียกว่า “หายนะ” มนุษย์เราสังเกตสิ ตื่นขึ้นมาก็คิดว่าอยากทำอะไรนะ อยากกินอะไรนะ ใช่หรือเปล่า ถ้าศิษย์มีชีวิตเกิดขึ้นมา ลืมตาก็บอกว่า “อยาก” นั่นแหละศิษย์ก็ตกเป็นทาสของความอยากอยู่ร่ำไป อย่างนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญเลยนะ ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ที่สุด แล้วเราบำเพ็ญอย่างไรล่ะ พุทธะกล่าวไว้ว่า “ปราชญ์ชนะใจ ปุถุชนแพ้ความโลภ ปราชญ์ดำรงชีวิตอย่างผู้มีสติ แต่ปุถุชนดำรงชีวิตอย่างคนขาดสติ” คนขาดสติก็คือคนที่มีชีวิตติดในกามารมณ์ที่รูปกายนี้ แล้วก็ปล่อยอารมณ์หุนหันพลันแล่น ทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมา นี่เรียกว่าคนมีชีวิตอย่างคนขาดสติ ถืออารมณ์เป็นใหญ่ แล้วเราเป็นแบบนั้นหรือเปล่านะ
ฟังอาจารย์จนจบแล้ว สงสัยต้องทดสอบปัญญาดูบ้างดีไหม เราบำเพ็ญตอนไหน (ตอนมีชีวิตอยู่, บำเพ็ญตอนที่ทำจิตว่าง, ตอนที่มีสติ, บำเพ็ญทุกขณะจิต) อาจารย์อยากจะบอกว่า “บำเพ็ญเมื่อโดนกระทบ” ไม่ว่าจะเป็นกระทบทางตา กระทบทางหู กระทบกระเทือนทางใจ เราเห็นแล้วเราสงบได้ไหม
พระพุทธศาสนาสอนให้วิปัสสนาใช่ไหม (ใช่) เห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต เมื่อเห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต เอากายเอาจิตที่เห็นนั้นมองให้ออกว่าอะไรเป็นกิเลสแล้วเผากิเลส และดึงสติปัญญามาเพื่อโปรดตัวเองให้พ้นจากทุกข์สุขในโลก นี่แหละเรียกว่าวิปัสสนา ฉะนั้น เมื่อไรที่เราโดนกระทบ โกรธมาไหม เกลียดมาไหม ด่ามาไหม ปรุงแต่งมาไหม ถ้ามาเราเอาอะไรดับ เราเอาสติ เอาปัญญา และเราเอาความสงบคือสมาธิใช่หรือไม่ ไม่ใช่โดนปุ๊บด่าปั๊บ อย่างนี้ไม่มีสมาธิเลย สติก็ไม่มี ธรรมก็ไม่เหลือ ฉะนั้น บำเพ็ญเมื่อโดนกระทบ เอาสติมา เอาสมาธิมา แล้วทำให้เห็นกายในกาย อะไรเป็นกาย อะไรเป็นกิเลส แล้วดึงสติปัญญานั้นมาเผากิเลส ดึงตัวเองให้พ้นจากความทุกข์ความสุขในโลก ถ้าทำได้บ่อยๆ ศิษย์จะจุดประทีปแห่งความสว่างในตัวตน จะเปิดปัญญาในใจตนได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)
ขอจับอะไร (จับมือ) จับทำไม มีการบอกขอจับมืออาจารย์ มีบางที่อาจารย์ไป ขอให้อาจารย์เคาะหัวให้หน่อย ศิษย์เอยเวลาโดนคนว่าเขาก็ช่วยเคาะให้ศิษย์แล้วนะ แต่เคาะแล้วศิษย์จะยึดมั่นหรือเคาะแล้วปล่อยวาง ไม่จำเป็นต้องรอให้อาจารย์เคาะแล้วเปิดปัญญา คนทุกคนพร้อมเคาะให้ศิษย์ แต่เขาเคาะแล้วศิษย์จะเปิดปัญญาหรือไม่เปิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเจอคนกระทบกระแทกแดกดันอย่าไปโกรธ เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต บางทีเขาอาจจะเป็นมือ แต่บางทีเขาเป็นเท้าบ้าง ก็อย่าโกรธ เพราะทั้งมือทั้งเท้ามันก็สำคัญ อย่าไปดูถูกเขา
แล้วมนุษย์ยังทุกข์กับเรื่องอะไร (การกิน) บางทีอยากจะกินเจเหมือนกันแต่หากินยาก ใช่ไหม ถ้าศิษย์ไม่เรื่องเยอะนะ อาจารย์อยากจะบอกว่า เริ่มต้นถ้าหายากก็เขี่ยเอา อะไรที่เป็นผักก็กินผักเยอะๆ เวลาสั่งผัดผักก็บอกเอาผัดผักไม่เอาหมู ยอมจ่ายราคาเท่าเดิม มีไหมแม่ค้าจะไม่ทำ รับรองเขาจะยินดีทำให้แล้วแถมพิเศษด้วย ใช่หรือเปล่า ไม่ยากหรอกศิษย์ไม่ต้องไปทุกข์กับการกินหรอก ที่ทุกข์คือควรทุกข์กับความรู้สึกมากกว่า พอไม่มีหมู ไม่มีกระเทียม มันแปล่งๆ เหมือนขาดรสอะไรไปบางอย่าง ใช่ไหม (ใช่)
(เพราะยึดติดยึดมั่น) ยึดกับอะไรหนอ ยึดติดกับความหวังดี ยึดติดกับตัวตน ยึดติดกับความดีในตัวเองหรือเปล่านะ (เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต) ถ้ามองอย่างนี้ได้ก็จะไม่ทุกข์
(ทุกข์เพราะเรื่องงาน) ไม่มีอะไรราบรื่นสำเร็จตลอดใช่หรือไม่ บางครั้งก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง บางครั้งก็มีปัญหาระหว่างคนบ้างใช่หรือไม่ การจะเป็นผู้นำคนหรือการจะนำพาคนจึงเป็นเรื่องยากใช่ไหม (ใช่) เข้มงวดเกินไปเขาก็ว่าเขี้ยว อ่อนเกินไปก็ควบคุมลูกน้องไม่อยู่ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นศิษย์ต้องหาตรงกลางให้เจอ มนุษย์มีความเป็นกลางอยู่แล้วนะ แต่อยู่ที่ว่าเราอย่าปิดบังหูตาตัวเองเท่านั้นก็พอ ฟังแล้วอย่าเอียง มองแล้วอย่าเอียง แต่ต้องมองให้ลึก เปิดใจให้กว้าง
(ทุกข์ที่มากระทบทางจิตใจ) มันเป็นทุกข์ งั้นต่อไปก็คิดเสียว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิต มันทำให้เราเข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ไม่เคยได้ยินเหรอ ยิ่งมันดำมากเท่าไรก็ยิ่งขับให้เราขาวมากเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่) ยิ่งคนรอบข้างไม่ดีมากเท่าไร เราไม่ทำอะไรเราก็กลายเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอเพียงอย่าร้อนรนไปกับสิ่งแวดล้อม
(โดนพ่อแม่ด่า) พ่อแม่ด่าก็เหมือนคำอวยพร ใช่หรือไม่ ที่พวกเขาด่าเพราะหวังดีไหม แล้วเวลาเราโดนด่า เราเคยหันมามองไหมว่าเราผิดไหม เราดื้อไหม (ดื้อ) ถ้าวันใดเขาไม่ด่าเขาไม่บ่น วันนั้นแหละท่านจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า หรือว่าชอบ คิดให้ดีๆ นะ มีคนรักมีคนบ่นมีคนว่าดีกว่าไร้เสาหลัก (ความเป็นห่วง) ความเป็นห่วงเป็นสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ศิษย์ต้องระวังนะ เพราะว่าห่วงมากเกินไปบางทีอาจทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย ใช่หรือเปล่า ฉะนั้น ตอนอยู่ทำให้ดี ตอนจากไปคุยให้รู้เรื่อง เวลาจากไปพ่อแม่จะได้ไม่ห่วง และเราออกมาเราก็ไม่ห่วงพ่อแม่ เพราะตอนเราอยู่เราทำดีที่สุดแล้ว ใช่หรือไม่ ฉะนั้น รู้จักวางตัวให้ถูกต้อง จากไปเราก็จะได้ไม่ต้องห่วง กลัวแต่ว่าตอนอยู่ไม่ค่อยมีเวลาให้ท่าน พอจากไปแล้วค่อยมาห่วง นั่นน่ะสิปัญหา จริงไหม
(การไม่ยอมรับความจริง) เป็นเรื่องที่ยาก เรารู้นะอะไรดีอะไรไม่ดี เขาพูดถูกนะแต่บางทีรู้สึกว่าทำไมต้องยอมฟัง ทำไมต้องยอมแพ้ ใช่หรือไม่ งั้นต่อไปจะยอมได้ไหมล่ะ (ยอม) ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า อยากรู้ไหมว่าคนไหนเป็นคนดี ท่านให้ดูตรงไหนรู้ไหม ท่านบอกว่า คนที่ยอมคนอื่นอยู่ร่ำไปนั่นแหละดีแท้จริง
(ทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง ความอนิจจัง) ถ้าท่านไม่อยากเปลี่ยนแปลง ท่านคงไม่โตขนาดนี้หรอก เคยไหมตอนเด็กๆ อยากโตไวๆ จะได้มีอิสระ บ่นทำไมล่ะพอโตทำไมอยากเป็นเด็กจังเลยอย่างนี้เรียกว่าพวกไม่ยอมรับความจริงใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าไปรังเกียจการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงทำให้เราเข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น และทำให้เรามองเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ร่างกายเด็กๆ ก็ไม่ใช่ของเรา ตอนนี้ก็ไม่ใช่ของเราและอันนี้ก็ไม่ใช่ของเรา (ความอยากได้) ความอยากได้ใคร่ดีเมื่อมาครอบงำเราเมื่อไร ศิษย์เคยเห็นวัวไหม (เคย) มันทำให้เราเหนื่อยอยู่ตลอดไม่มีวันพัก ชีวิตอยากสงบต้องปลดความอยากในใจ ถ้าปลดความอยากไม่ได้ทั้งชีวิตจะไม่มีวันสงบ (การบ้านกลัวทำไม่ทัน) ทันไม่ทันไม่เป็นไรก็ยอมรับผิดบอกอาจารย์ทำไม่ทันขอโทษค่ะ รับการโดนตีไปก็จบ ไปเครียดไปกลุ้มนั่งตอนนี้ก็ไม่สุขไปอยู่ที่โน่นก็ไม่สุขไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สุข ยอมรับมันเสียโดนตีแล้วได้ปัญญาใช่ไหม (เรียนจะจบม.6 แล้วอยากเรียนต่อแต่ขาดปัจจัยหลายอย่าง) ค่อยๆคิดถ้าเราอยากเรียนด้วยทำงานด้วยต้องรู้จักขยันมันมีหนทางศิษย์จะจนใจแค่นั้นเองหรือ อย่าเอาแต่พึ่งคนอื่นควรพึ่งลำแข้งตัวเอง เพราะการหวังวอนคนอื่นไม่สู้หวังวอนตัวเอง แล้วคนอื่นจะช่วยเมื่อเห็นคนนั้นช่วยตนเองจนถึงที่สุด ถ้าไม่ชวยตนแล้วเอาแต่ขอก็ไม่มีใครอยากช่วยศิษย์
(โลภ โกรธ หลง มัวกังวลกับทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง) อารมณ์โลภโกรธหลงน่ากลัวไหม (น่ากลัว)
ทุกข์กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง น่ากลัวไหม (น่ากลัว) โลภโกรธหลง น่ากลัวไหม (น่ากลัว) คนที่ไม่ค่อยยอมตอบอาจารย์ น่ากลัวไหม (น่ากลัว) โลภโกรธหลงไม่น่ากลัว แต่คนที่กำลังพยายามมีโลภมีโกรธมีหลงน่ากลัว ถ้ามีแล้วไม่รู้จักศีลไม่รู้จักธรรม ยิ่งน่ากลัวใหญ่ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น โลภโกรธหลง ไม่น่ากลัว ถ้าศิษย์มองเห็นความเป็นจริง ศิษย์จะไม่โกรธใคร ถ้าศิษย์มองเห็นความเป็นจริงในโลก ศิษย์จะไม่อยากได้อะไร เพราะมันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงตลอด ศิษย์อยากรักใครไหมล่ะ (รัก) ยังอยากได้เงินอีกไหม (อยาก)  ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์อย่าลืมนะในโลกนี้มีสิ่งใดบ้างที่มีคุณแล้วไม่มีโทษ ใช่ไหม (ใช่) เหมือนตอนต้นอาจารย์บอกว่าเราทำงาน แต่ทำไมไปๆ มาๆ ทำไมกลายเป็นงานมันทำเรา ฉะนั้น ถ้าศิษย์อยากจะใช้ความโกรธคิดให้ดีๆ ตอนนี้ศิษย์กำลังจะโกรธ แต่ถ้าเมื่อไรความโกรธมันครอบงำศิษย์ ศิษย์จะคุมตัวเองไม่ได้เลย ฉะนั้น ก่อนโกรธรู้ตัวก่อนดีไหม (ดี) ก่อนอยากมีสติดีไหม (ดี) ก่อนเกลียดคิดให้ดีๆ ได้ไหม (ได้)
คุยก็เยอะแล้ว ถามศิษย์ก็เยอะแล้ว บางคนก็ไม่อยากตอบอาจารย์ ใช่ไหม งั้นเรามาเล่นอะไรกันเป็นหมู่คณะดีไหม
เอามือแตะบ่าคนข้างหน้า พออาจารย์บอกให้ยืนขึ้นก็ยืนพร้อมๆ กัน ถ้าแถวไหนยืนช้ากว่าที่อาจารย์สั่ง พออาจารย์กลับอาจารย์จะให้เต้นเป็ด จำไว้นะ พอบอกยืนขึ้นก็ยืน ผู้ปฏิบัติงานธรรมทำตรงกันข้ามนะ ลองนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกม ยืนขึ้น-นั่งลง)
ศิษย์เอยงานสามสิบปีต้องใช้ความตั้งใจ ต้องใช้ความมุ่งมั่น ต้องใช้ความเสียสละ แต่สิ่งสำคัญที่อาจารย์อยากฝากไปบอกคนที่ทำงานสามสิบปี งานเสร็จแต่ใจเสร็จด้วยอาจารย์ไม่เอา งานดีแต่หัวใจรู้สึกแย่ อาจารย์ก็ไม่เอา ฉะนั้นกลอนวันนี้ที่อาจารย์ให้ ฝากเอาไปให้เขาด้วย ฝากไปบอกเขาด้วยว่า
“ทำงานเพื่อฝึกบำเพ็ญ ใจเย็นคุมอารมณ์ผอง
งานดีใจเสียหลายกอง ขุ่นหมองสำเร็จอะไร”
ฝากไปด้วยนะ ฉะนั้นถึงงานสามสิบปีจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ถ้าเต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกัน การประชดประชันกัน อาจารย์ไม่อยากได้ เราบำเพ็ญธรรมคือลงแรงที่จิต ยอมได้ยอม อย่าเอาความรู้สึกทำงาน เพราะถ้าเอาความรู้สึกทำงาน มันจะไปไม่รอด ใช่ไหม (ใช่) ทำอะไรต้องทำด้วยหัวใจที่เสียสละ มุ่งมั่นเต็มที่ ไม่มีสองจิตไม่มีสามใจ แล้วจะมีพลังวิเศษที่อาจารย์ส่งมอบให้ พลังนั้นจะทำให้ศิษย์ไม่มีวันเหนื่อย ไม่มีวันท้อ แต่ถ้ามีสองจิตสามใจ ทำไปก็เบื่อคน ทำไปก็ท้อใจ จำไว้นะศิษย์
หลังจากนี้ศิษย์ฟังไปสองวันแล้ว อาจารย์ก็ขอให้ตั้งใจดีตลอด อย่าขาดความตั้งใจดีไหม อาจารย์ถามคำถาม ใครตอบได้แอปเปิลลูกนี้จะเป็นของคนนั้น ถ้าได้ลูกนี้ไปจะเอาไปทำอะไรดี ใครตอบได้ถูกใจอาจารย์จะให้ (จะเอาไปทำเจ, ถ้าเรากินแล้วทำให้มีสติมีปัญญา, เอาไปสวดมนต์แล้วระลึกถึงพระอาจารย์) เอาไปตั้งไว้เฉยๆ อาจารย์ไม่ได้ต้องการแค่นั้น (ฝากลูก, บำรุงสมอง, เอาไปเตือนใจให้นึกถึงพระอาจารย์) เอาแอปเปิลไปเตือนใจให้นึกถึงพระอาจารย์พอเหี่ยวก็ลืมเลย (เอาไปรักษาโรค) เอาไปรักษาโรคตัวเองหรือรักษาผู้อื่น (โรคตัวเอง) อย่างนั้นได้ครึ่งเดียว
ตอบว่า (ขอเพื่อเปิดบารมี) บารมีเกิดจากตัวเรานะ คนที่รู้จักพูดในสิ่งที่ถูกต้องดีงามก็สร้างบารมีได้ แต่ถ้าเอาแต่นินทาว่าร้ายคนอื่นบารมีก็หดหายได้เหมือนกัน ฉะนั้น พูดน้อยๆ
(เอาไปไว้เพื่อสติเตือนใจ)  อาจารย์อยากจะบอกว่าเมื่อไรที่เห็นแอปเปิลก็ขอให้คิดถึงอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกนี้  (เอาไปแจกเพื่อนบ้าน) ตอบได้ดีนะ อาจารย์ยอมให้ลูกนี้ของอาจารย์เลย (เอาไปฝากเพื่อนบ้านแล้วชวนมาด้วย) ต้องเป็นคนอารมณ์เย็น ใจเย็นๆ อย่าหงุดหงิดนะ
(เอาไปแก้ปวดขา) แก้ได้แต่ได้ชั่วครู่ แต่ถึงเวลามันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีขาให้ปวดดีกว่าโดนตัดขาแล้วไม่เหลือให้ปวดนะศิษย์เอ๋ย (พิจารณาถึงจุดกำเนิดว่ามาจากไหน เป็นปริศนาธรรม) ศิษย์เอ๋ยไม่ต้องไปคิดไกล เอาง่ายๆ ธรรมดาพอ ไม่ต้องมองแอปเปิล มีสติรู้ตัวของตัวเองเสมอก็ดีแล้ว
(เอาไปเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม) อาจารย์อยากให้มีโอกาสเอาไปแจกผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่อาจารย์มุ่งหวัง เหมือนวันนี้ศิษย์มาสองวัน ศิษย์บอกว่าเอาบุญมาฝาก บุญนี้มีแอปเปิลด้วย เป็นแอปเปิลมงคลยิ่งแจกยิ่งได้นะ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น แม้จะไม่ได้แอปเปิลจากมืออาจารย์แต่ถ้าได้แอปเปิล หรือผลไม้จากห้องพระ ศิษย์ก็บอกได้ว่าเอาบุญมาฝาก กินแล้วจะได้เป็นมงคล กินแล้วจะได้แข็งแรง แค่พูดเราก็ได้แล้ว แค่อวยพรเขาเราก็ได้แล้ว แต่บางคนปากหนักพูดดีๆ ไม่เป็น รอแต่ให้เขาอวยพร แล้วเมื่อไรเราจะได้ ฉะนั้น เราอวยพรให้ก่อน มีโอกาสให้ได้ก็ให้ไป เพราะยิ่งให้เรายิ่งได้นะศิษย์เอ๋ย แต่ยิ่งเอาแต่รอรับมันมีแต่เสียแล้วก็เสีย ใช่หรือไม่
(ฝากลูก) ฝากลูกอย่างเดียวพอไหม ฝากเพื่อนบ้านด้วย บางครั้งเพื่อนบ้านยังช่วยเรามากกว่าลูกอีก จริงหรือไม่ ฉะนั้นอย่ารักลูกจนเกลียดเพื่อนบ้าน น่าเสียดาย เอาไปฝากแฟนทำงานอยู่บ้านและยอมให้เรามาอยู่ที่นี่ใช่ไหม


(เอาไปบูชา) ไม่ต้องบูชา อาจารย์อยากให้กินแล้วก็รู้จักแบ่งปัน นั่นแหละคือจุดประสงค์ของอาจารย์ที่แจกศิษย์ อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักนึกถึงตัวเองแล้วก็เผื่อแผ่เพื่อนบ้าน อย่าแค่นึกถึงตัวเองแล้วไม่รู้จักแบ่งปันอย่างนี้ไม่ถูกต้อง (ถ้าอย่างนั้นขอไปฝากหลานได้ไหมคะ หลานป่วย) ลูกเดียวแต่ให้ด้วยความตั้งใจย่อมดีกว่าให้หลายลูกเชื่อ อาจารย์ แล้วฝากเพื่อนบ้านด้วยนะ (ให้คุณแม่) ตอบได้ดีนะ
(เอาไปขูดขอหวย)  เหลืออยู่ลูกเดียวนะคนหวย จะเอาจริงๆ หรือ (เอาจริงๆ ครับ สองตัวก็ดีครับ) สองตัวก็ดี ศิษย์เอยอาจารย์บอกหน่อยนะ เมื่อแสวงหาโชคศิษย์จะต้องเตรียมรับมือกับเคราะห์ภัย ยังจะเอาอีกไหม (เอา)  มนุษย์นี่แปลกนะ ชีวิตไม่ยืนอยู่บนปากเหว ไม่ยืนอยู่บนความตายก็ไม่กลัวตาย ยังประมาทอยู่อีก แต่เวลาความจริงถ้าเจอเข้ากับชีวิตตอนนั้นศิษย์จะเรียกใครก็เรียกไม่ได้ หวยสองตัวที่ได้มาเป็นเงินสามพันก็ช่วยอะไรไม่ได้ คุณค่าของชีวิตไม่ใช่อยู่ที่ตัวเลขนะศิษย์ คุณค่าของชีวิตอยู่ที่ความดีงามในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าทำได้ดีได้ถูกต้อง โชคลาภไม่ต้องขอเดี๋ยวก็มาเอง สิ่งที่ศิษย์อยากทั้งชีวิต ผลที่ได้คือเงินทองหรือ ถ้าเป็นอาจารย์ อาจารย์ไม่เอา ถ้าอาจารย์ทำดีมาตลอดชีวิต สิ่งที่อาจารย์อยากได้คือการปล่อยวางแล้วไม่ต้องยึดอีกเลย นั่นคือผลของความดีที่อาจารย์อยากให้ศิษย์มี ฉะนั้นอาจารย์จึงได้คิดหนักไงว่าควรให้หรือไม่ควรให้ เพราะอาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ไม่ยึดมั่น แต่ถ้าให้แล้วยึดมั่น อาจารย์ก็คือนำศิษย์ผิดทาง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะสิ่งที่อาจารย์ต้องการมาในวันนี้คือปลดทุกข์ในใจที่แท้จริง ไม่ใช่ปลดจากเรื่องนี้ไปเจอเรื่องนั้น ไม่เอา ฉะนั้นอาจารย์ถึงยังลังเลว่าจะให้ดีไม่ให้ดี เอาไปทำอะไรดี (บูชา)  บูชาเสร็จแล้วเอามาให้คนอื่นได้กินดีไหม (ดี)  รู้จักแบ่งปัน รู้จักแบ่งบุญ ประเสริฐว่าแจกหวยแจกเลขอีกนะ คิดให้ดีๆ นะศิษย์ เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง แล้วบางครั้งชีวิตก็เอาเงินต่อชีวิตไม่ได้ ชีวิตต่อด้วยอะไรที่ทำให้เราได้ยั่งยืน ต้องต่อด้วยบุญกุศลและความดีงาม
วันนี้อาจจะทำให้ศิษย์ไม่กระจ่างได้ทั้งหมด แต่อาจารย์ก็หวังว่าจะเป็นสักส่วนหนึ่งในเสี้ยวหนึ่งของหัวใจศิษย์นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “การกระทำ”)
จริงๆ แล้วจิตเดิมแท้ของศิษย์นั้นมีอยู่ แต่ถูกบดบังไปเพราะความหลงไม่รู้และยึดมั่นถือมั่นในสิ่งผิดๆ ฉะนั้นก่อนคิดจะทำอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าสร้างเวรกรรมให้ตัวเองต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น อาจารย์ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะพูดคุยให้ศิษย์ได้เข้าใจ แต่ถ้าวันนี้พูดทั้งหมดก็คงจะแน่นเกินไป
ความรู้ที่แท้จริงสามารถทำให้ศิษย์เข้าถึงและสามารถปลดทุกข์ในใจได้ รู้นั้นคืออะไร คือรู้ในหัวใจตนเอง รู้เท่าทันใจและรู้ความเป็นจริงในโลกว่า ใดใดในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อย่าพยายามหาความสมบูรณ์พร้อมในโลกใบนี้ มีได้ย่อมมีเสีย มีเกิดย่อมมีดับ มีทุกข์ย่อมมีสุข เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต แล้ววันหนึ่งเมื่อชีวิตเปลี่ยนไปเราจะได้ยอมรับได้ ไม่ยึดติดไม่ยึดมั่นในรูปนาม
คนดื้อทั้งหลายร้องเพลง “ตั้งใจ” ส่งอาจารย์ดีไหม (ดี)
ว่าอย่างไร ต่อไปจะเริ่มทำงานได้หรือยัง ไม่ดื้อกับอาจารย์แล้วใช่ไหม รับปากอาจารย์แล้วนะ สู้ต่อไปนะ อย่ายอมแพ้ บำเพ็ญเพื่อช่วยคน ไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวลำบาก นั่นคือหัวใจของศิษย์ของอาจารย์นะ อย่ายอมแพ้ เข้มแข็งได้แล้วนะ ไม่ต้องให้อาจารย์ปลอบนะ มีโอกาสมาให้ครบ อย่าฟังไปเปล่า มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ
รักษาสุขภาพกันนะ ตั้งใจบำเพ็ญ อย่ายอมแพ้ เข้มแข็งนะ อาจารย์หวังว่าศิษย์จะกลับมากันบ้าง และก็มั่นคงไม่หวั่นไหวไปกับแรงภายนอกของโลก เข้าใจนะ กลับมาอีกนะ อาจารย์รอศิษย์มานานแล้ว แต่บางครั้งศิษย์ก็หลงในโลกมากเกินไปหรือเปล่า ไม่ต้องเศร้า ถึงเวลาแล้ว มีโอกาสก็กลับมาหาอาจารย์อีก อย่าดูเบาตัวเอง เข้าใจไหม ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ อาจารย์รอ รอให้ขวัญรอให้กำลังใจศิษย์เสมอ ขอเพียงอย่าคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดเท่านั้นเอง ความเข้มแข็งอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่รออาจารย์ให้แต่ต้องเกิดจากพลังใจตัวเอง ใช่หรือไม่ ไปล่ะนะ ศิษย์คนดีของอาจารย์มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะอย่าจากแล้วจากเลย อย่าไปแล้วไปลับ ความหวังดี ความห่วงหาอาทร อาจารย์มีให้ศิษย์เสมอ ระวังชะตาชีวิตเพราะความคิดและการกระทำที่ไม่ถูกต้องนะ เป็นคนใจเย็นๆ อย่าใจร้อนเอาแต่ใจนะ การเป็นเด็กดียากหรือคนหัวดื้อ อย่าแค่ขอพรแต่ศิษย์ต้องรู้จักทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นพรเป็นมงคลแก่ชีวิตนั่นคือความดีงามและความถูกต้อง
อาจารย์อยากเห็นศิษย์เป็นคนดีจริงๆ นะ ไม่จำเป็นต้องมีคนชมเราก็ทำดีได้ใช่ไหม อาจารย์รู้ไม่ต้องน้อยใจนะ ศิษย์เอยศิษย์เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จี้กงนะรู้ไหม อย่าทำผิดทำพลาดรู้จักคิดรู้จักทำ เข้าใจไหม ศิษย์คือลูกศิษย์ของอาจารย์ที่เคยสัญญาว่าจะมาช่วยอย่าลืมนะ อย่ามัวแต่ห่วงตัวเองจนลืมช่วยคนนะ มีโอกาสกลับมาอีก อย่าลืมนะ รูปกายภายนอกไม่สำคัญเท่ากับความงดงามภายในถูกไหม ศิษย์งามอยู่แล้ว กลับมาอีกนะ
เข้าใจบ้างหรือยัง (มีความอิจฉามากกว่าความดี)  ความอิจฉาเป็นสิ่งที่ไม่ดี เปลี่ยนจากความอิจฉาเป็นรู้จักวางใจเป็นกลาง และยินดีในสิ่งที่เขาได้ดีเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดนะ
อาจารย์อยากให้พลังเพื่อให้ศิษย์เข้มแข็ง ไม่ต้องเก็บกดเข้าใจนะ มาช่วยเหล่าซือนะ อาจารย์ดีใจที่ศิษย์กลับมาแล้วเสียสละมาช่วยคนอื่นนะ
ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่ายอมแพ้ จับมือกับอาจารย์แล้วแปลว่าสัญญาแล้วต้องไม่เปลี่ยนแปลง ความมุ่งมั่นตั้งใจต้องรักษาให้เสมอต้นเสมอปลายนะ คนที่ไม่ได้จับมือกับอาจารย์แปลว่าจิตต้องมั่นคงไม่ต้องให้อาจารย์ห่วงอีกต่อไป ใช่ไหม อย่าให้อาจารย์พะวงหน้าพะวงหลังเลยนะศิษย์ เข้มแข็งได้แล้ว มุ่งมั่นแล้วเดินต่อไป ยังมีคนอีกมากมายที่เราต้องช่วย อย่ามัวแต่ห่วงตัวเองจนลืมนึกถึงผู้อื่น จิตใจของอาจารย์จี้กงคืออยากให้ศิษย์มีเมตตาจิต ช่วยเหลือผู้คน มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ

เพลง ตั้งใจ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง พุทธสถานอิ๋งเซียน กรุงเทพมหานคร
ทำนองเพลง : ศรัทธา ๑๖ – ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๕


ตั้งใจให้ดีต้องมีทุกวัน กังหันมีลมก็มีเส้นชัย แต่คนบำเพ็ญก็ต้องแข็งใจ ให้ไม่ไม่มีใครเลยก็จะต้องทำ
ตั้งใจต้นทุนใช่โชคชะตา ปัญญาอันลึกกว้างคือเส้นชัย ศิษย์เอ๋ยตั้งใจก็อย่าท้อใจ ก้าวทุกก้าวทำจากใจเท่าไหร่เท่ากัน
* บนเมฆสูงต่าง หลายๆ เหตุการณ์ จงอย่าเผลอก้มหน้า ศิษย์เป็นเมฆบนนั้น
ตั้งใจทุกคนก็ล้วนตั้งใจ ทำไมพอเรื่องเปลี่ยนทำไม่ได้ ศรัทธาไม่มีมากพอตั้งใจ มุ่งมั่นจะทำอะไรต้องมีทิศทาง
ถึงความมั่นใจไม่มากเยอะพอ เพียงพอให้ตั้งใจพอเพียง ภาระบางทีแบกหามตัวเอียง จะรับ...รับศิษย์นั้นได้เพียงตั้งใจ  (ซ้ำ *)
เรียกความตั้งใจแบบนี้ ปณิธานอันเด็ดเดี่ยวหนา ศิษย์ตั้งใจเหนื่อยแล้วถอนใจ ไม่เคยมีวันตัดใจ  (ซ้ำ *)

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา