วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

2555-05-26 สถานธรรมหมิงอี้ จ.ตาก


西元二○一二年 歲次壬辰閏四月初六日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมหมิงอี้ อ.เมือง จ.ตาก
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ


ใจศรัทธาใจอุทิศพลีสละ สร้างนาวาแห่งพุทธะอันเฉิดฉาย
เปี่ยมมงคลอันดีงามคุณค่าไกล จากการร่วมพลังใจพลังสามัคคี
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงอี้ แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


สติเป็นยามคุมประตูทั้งหกมั่น ก่อนท่องเที่ยวไปตามฝันมายาผอง
หลายมิติกายนอกใจขันธ์หลายกอง ค้นในท่องจิตตามประชิดเท่าทัน
อย่าเพียงแค่เห็นใจไม่เห็นจิต ใจถูกไหวหวั่นชนิดปรุงแต่งฝัน
การสงบให้เป็นปูแต่พื้นฐาน จิตมนุษย์กระทบพลันรู้ผลทันที
เข้าใจชัดเห็นจบต่างจากเดิม มองโลกทั้งใบเริ่มจากใจนี้
ปลงจากใจตนสู่ธรรมเห็นวิธี พ้นทุกข์ได้หากมีการลงมือ
ทัศนะแบ่งถือยึดให้หยุดไม่อยู่ จากรูปนามสมมุติไม่รู้เลิกยื้อ
ระงับตนจากเหตุสร้างมากับมือ กลัวแต่ผลทันมื้อแต่พลาดยาว


คนบำเพ็ญแก้ไขตนไม่ลอยล่อง แม้แต่ไม่เคยก็ต้องพยายามเข้า
ชินในโลกตามกิเลสใจหมองเศร้า ไม่ทันตนทันเขาก็ป่วยการ
ธรรมะไม่แต่ค้นคว้าต้องทำจริง ช้อนเท่าทันใจนิ่งปล่อยน่าสงสาร
ใครไม่เคยฉุดตนพ้นจากนรกานต์ จะไถหว่านเนื้อนาบุญได้อย่างไร
ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ฟังธรรมะเบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  คิดถึงบ้านไหม เห็นหลายคนนั่งฟังไปก็คิดถึงบ้าน ถ้าอยู่บ้านคงสบายกว่านี้แล้ว อยู่ตรงนี้ต้องนั่งทนฟังนานๆ ก็รู้สึกเมื่อยรู้สึกเบื่อเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า วันนี้ได้ฟังธรรมก็มากแล้ว ได้สนุกก็มากพอ‌ประมาณแล้ว แต่ยังไม่ค่อยได้สงบสักที ใช่ไหม (ใช่)
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เดี๋ยวมีความสุขสนุกสนาน แต่บางครั้งก็ต้องมีภาวะที่เรียกว่าอยู่เฉยๆ เงียบๆ บ้าง แล้วเราอยู่เฉยๆ นิ่งๆ กับตัวเองได้นานไหม (ไม่นาน)  ต้องหาเรื่องคิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ ไปทำอย่างนั้น ไปทำอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)
อายุมากยังขยันทำก็ดีน่ายกย่อง แต่ถ้าอายุยังไม่มากเกียจคร้านก็ไม่ดีสักเท่าไร เพราะถ้าอายุมากแล้วไม่ทำอะไรเลยก็มีแต่ถอยหลัง นับวันมีแต่เสื่อมถอยแล้วก็หดหู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งอายุมากยิ่งต้องพยายามสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เข้มแข็งไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วความเสื่อมถอยจะฆ่าเราให้ค่อยๆ ตายไปทีละน้อย จริงหรือไม่ (จริง)  กลัวไหมตายทั้งเป็น (กลัว)  น่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรล่ะให้เราไม่ตายทั้งเป็น นั่นก็คือมีชีวิตอย่างคนที่รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น ถูกหรือเปล่า (ถูก)
จิตมนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง พอนั่งก็ทุกข์อยากจะยืน พอยืนก็เปลี่ยนเป็นอยากจะนั่ง ตกลงทุกข์เพราะนั่งหรือทุกข์เพราะยืน ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม แล้วอะไรที่ทุกข์กันแน่ ใช่นั่งหรือยืนไหม แต่เป็นจิตใจที่ไม่รู้จักพอดีใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจที่ไม่รู้จักการอยู่กับสิ่งที่มี ยินดีกับสิ่งที่ได้ ได้อย่างหนึ่งก็หวังอีกอย่างหนึ่ง พออยากหวังได้อย่างหนึ่งแล้วก็ไปหวังอีกอย่างหนึ่ง เราเหมือนคนไล่ตามความสุขแต่หาความสุขไม่พบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าถ้ายืนคงจะดี แต่พอได้ยืนกลับบอกว่าอยากนั่ง แต่พอได้นั่งก็อยากยืนอีก จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เราอยากมาคุยกับท่านเรื่องความทุกข์ วันนี้เราเรียนรู้ความทุกข์กันไหม ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัวแต่ใจที่ไม่รู้จักคิดให้เป็นแล้วทำให้ตัวเองต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกน่ากลัวยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนตอนนี้ได้นั่งก็ดีแล้ว แต่เรากลับบอกว่าไม่ดีอยากยืน เหมือนตอนนี้ได้ยืนก็ดีแล้วเราก็บอกว่าไม่ดีอยากนั่ง ใช่หรือไม่
มนุษย์ตอนยังไม่อยากกินก็หิว อยากจะกิน พอกินเสร็จแล้วก็เป็นทุกข์เพราะว่ากินมากเกินไป แล้วก็บอกตัวเองว่า จำไว้นะจะกินน้อยกว่านี้ แต่พอถึงเวลาหิวจำไหม (ไม่จำ)  กลับไปกินมากเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงเจ็บแล้วเจ็บอีก แล้วใครที่ทำให้ตัวเองทุกข์ (ตัวเอง)
(สิ่งศักดิ์สิทธ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)
อย่างนั้นให้ยืนใหม่เอาไหม (ไม่เอา)  ยืนใหม่เถอะนะ  เพราะชีวิตก็เป็นแบบนี้เอง อยากให้เป็นแบบนี้แต่เป็นแบบนั้น อยากให้เป็นแบบนั้นแต่เป็นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เราอยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  แต่รู้สึกว่าการพ้นทุกข์เป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจริงๆ ยากไหม (ไม่ยาก)  จริงๆ ไม่ยาก แต่มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขนิสัยความเคยชินที่ตนเองมีอยู่ พอแก้ไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นทำอย่างอื่นแทน ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราขอยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ว่า อยากจะสิ้นทุกข์ได้ ต้องสิ้นกิเลส เพราะกิเลสนั้นทำให้มนุษย์ประพฤติไม่ดี เมื่อประพฤติไม่ดีก่อกรรมชั่ว ก็มีผลทำให้ต้องทุกข์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ก็จงอย่าลื่นไหลไปกับกิเลสตัณหา แต่มนุษย์ห้ามตนเองไม่ให้ลื่นไหลไปกับกิเลสตัณหาได้ไหม ห้ามได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อหนีตนเองให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ห้ามตนเองทำผิดยังห้ามไม่ได้ ก็เลยแก้ไขด้วยการทำความดี แก้ไขด้วยการทำบุญ
แต่ทำไมมนุษย์จึงบอกว่าเมื่อทำดีแล้วแต่ก็ยังมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมว่าเหมือนวงกลมไหม (เหมือน)  ถามว่าอยากจะสิ้นทุกข์ได้ต้องสิ้นกิเลส ถ้าอยากพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ต้องสิ้นกิเลส แต่มนุษย์กิเลสยังไม่สิ้น ยังมีความอยาก ยังมีความโลภ ยังมีความโกรธอยู่ เมื่อตัดโลภ โกรธ หลง และอยากไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นหมั่นทำดีด้วยการทำบุญทำทาน และพยายามทำตัวให้ดีเข้าไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราพยายามเบาบางกิเลสให้น้อยลง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เราจะต้องทำตัวให้ดีไหม ไม่จำเป็น เพราะว่าตอนนี้เรากำลังทำอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไรที่เราพยายามบอกตัวเองว่า ต้องทำดีๆ แปลว่าลึกๆ เรายังทำไม่ดี ถ้าทุกคนเป็นคนดีจะมีใครเรียกร้องให้คนต้องทำดีไหม ไม่ต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทุกคนมีเมตตาจิต สังคมจะเรียกร้องให้คนต้องมีเมตตาจิตไหม ก็ไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้ามนุษย์อยากสิ้นทุกข์ต้องรู้จักสิ้นกิเลส เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์สามารถประกอบกรรมชั่ว และเมื่อประกอบกรรมชั่วก็มีผลให้เราต้องทุกข์ เมื่อเราทุกข์แล้วอยากพ้นทุกข์ได้ เราก็ต้องพยายามเบาบางกิเลส แต่มนุษย์กลับแก้ตรงกันข้าม “กิเลสฉันยังเบาบางไม่ได้อย่างนั้นฉันขอไปตักบาตรแล้วกัน ฉันขอพยายามทำดีก็แล้วกัน” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมนุษย์ก็หันกลับมาตัดพ้อต่อฟ้า พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราแก้ถูกทางไหม (ไม่ถูก)  ถ้าเราไปตีคน เราไปด่าคนมาแล้ว แล้วเราค่อยไปทำบุญ ไปทำดีกับคนนั้น แต่เราไปทำชั่วกับคนนี้ ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนี้เรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นอยากแก้ที่ต้นเหตุไม่อยากทุกข์ และก็อยากเป็นคนดีโดยที่ไม่ต้องเรียกให้ตัวเองทำดี นั่นก็คือแค่เบาบางกิเลสเองนะ
ถ้ามนุษย์มีชีวิตอยู่ทุกวันไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แต่รู้จักใจกว้าง รู้จักเห็นใจ รู้จักเมตตา ต้องเรียกให้ตัวเองเป็นคนดีไหม (ไม่ต้อง)  ไม่จำเป็น ทุกขณะเราก็เป็นคนดีอยู่แล้ว คือเราพยายามไม่โกรธเขา เราพยายามเมตตาเขา เราพยายามไม่ด่าเขา เราพยายามอยากน้อยๆ เพื่อไม่เบียดเบียนทำร้ายเขา เมื่อเราพยายามไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เราก็พ้นทุกข์ได้แล้ว เราก็สามารถเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการจะแก้ต้องแก้ให้ถูกที่ต้นเหตุ อย่าได้มีโลภ โกรธ หลง แล้วค่อยไปทำบุญ แล้วค่อยพยายามเป็นคนดี อย่างนี้คือแก้ที่ปลายเหตุ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามาดูก่อนว่า ทุกข์คืออะไร เรารู้จักคำว่าทุกข์ไหม (รู้จัก)  อย่างนั้นบอกให้เราชื่นใจหน่อยว่า ทุกข์คืออะไร  (ทุกข์คือใจไม่สบาย อยู่ตรงไหนก็ไม่สุข)  ทุกข์คือจิตใจที่ไม่สบาย ไปอยู่ตรงไหนก็ไม่สุข นี่เรียกว่าทุกข์
เราต้องมองให้เห็นที่ต้นเหตุนะ อย่ามองเห็นที่ปลายเหตุ ที่เราทุกข์และไม่สบายเพราะอะไร เรากังวลไหม เราห่วงใช่ไหม เราไม่พอใจกับสิ่งที่มีใช่ไหม เราทนกับสิ่งเดิมๆ ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองแค่ปลายเหตุ แต่เราต้องสืบหาไปถึงต้นเหตุ ถ้ามนุษย์รู้จักว่า “ทุกข์คืออะไร” การแก้ทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตอนนี้มนุษย์ยังมองหาเหตุแห่งทุกข์หรือว่าทุกข์คืออะไรไม่พบ ใช่ไหม (ใช่)  ถามให้ดีๆ เวลาที่เราไปไหนก็รู้สึกไม่สบาย เป็นทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะห่วงใช่ไหม ทุกข์เพราะวางไม่ลงใช่ไหม จากไปแล้วแต่ยังเอาอะไรตามมาเกี่ยวให้กังวลตลอด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นทุกข์คืออะไร (ทุกข์ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว สมมติเป็นเหตุการณ์ที่เกิดในครอบครัวของเรา เราก็จะมีความทุกข์ คิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ ว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้พ้นทุกข์ตรงนี้ไป เราก็จะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำไมเราแก้ไขไม่ได้สักที คือต้นเหตุของการเกิดทุกข์)  ทุกข์เพราะว่าจมอยู่กับอดีตหรือว่าทุกข์อยู่กับอดีต อดีตที่แก้ไขไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้เราอยู่กับปัจจุบัน และอันนั้นเป็น (อดีต)  แล้วเราจะทำอนาคตได้อย่างไรถ้าเรามัวจมอยู่กับอดีต ปัจจุบันก็จะกลายเป็นอดีตที่มีแต่ความทุกข์เต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทางที่ดีคือควรอยู่กับปัจจุบัน แล้วเห็นอดีตเป็นแบบอย่างเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่ผิดซ้ำ ไม่เช่นนั้นแล้วอนาคตก็จะมีแต่อดีตที่เต็มไปด้วยทุกข์แต่แก้อะไรไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นคือต้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงไหมหนอ แล้วอะไรคือทุกข์ ทุกข์คืออะไร ไม่มีใครตอบได้อย่างกระจ่างแจ้งเลย ใช่ไหม
เราให้ความหมายของทุกข์ คือ
๑. ทนได้ยาก
๒. มองแล้วน่าเกลียด
๓. ว่างจนน่าเกลียด
ทุกข์มีแค่สามความหมายนี้นะ “ทนอยู่ไม่ได้  มองแล้วน่าเกลียด ว่างจนน่าเกลียด” หรือที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ความไม่เที่ยงล้วนเป็นทุกข์  สิ่งใดที่หาตัวตนไม่ได้แม้ชั่วขณะหนึ่ง  สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” นั่นเรียกว่าความทุกข์ อย่างนั้นทุกข์คืออะไร
เรามีวิธีแก้ทุกข์อย่างสามัญกับแก้ทุกข์อย่างผู้หลุดพ้น แต่ท่านต้องเข้าใจทุกข์ให้ได้ก่อนว่าทุกข์คืออะไร ถ้าท่านไม่เข้าใจทุกข์ ท่านจะแก้ทุกข์ไม่ออก ถูกหรือไม่
ทุกข์มองแล้วน่าเกลียด (น่าเกลียด)  แล้วก็ว่างอย่างน่าเกลียดไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านลองดูว่าสามข้อที่เรียกว่าทุกข์เหมือนกับอะไร ทุกข์คืออะไร (ตัวเราเอง)  ตอบได้ดีแล้ว ตอบได้ประเสริฐแล้ว มองให้ดีๆ ตัวเรานี้คือต้นเหตุแห่งทุกข์ ทนได้ยากไหม ให้นั่งเดี๋ยวเดียวทนไหม ไม่ทนอยากยืน ยืนเดี๋ยวเดียว ทนไหม ไม่ทนอยากนั่ง กินเดี๋ยวเดียวอิ่ม เบื่อไม่น่ากินเลย แต่อยากกินไหม เดี๋ยวไปกิน บ่นไหม บ่นแล้วเหนื่อย อย่าบ่นดีไหมแต่ก็อดบ่นไม่ได้ รักแล้วเป็นทุกข์รักไหม (รัก)  ห่วงกังวลแล้วได้อะไร ยังห่วงไหม (ห่วง)  เป็นสภาพที่ทนไม่ได้และทนได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเป็นแล้วก็อยากจะหนีไปจากสิ่งที่เป็น แต่พอหนีไปจากสิ่งที่เป็น แต่พอหนีแล้วก็กลับมาเป็นใหม่ เหมือนหนีไปด้านโน้น แล้วพอด้านโน้นเป็นก็เบื่อๆ ทนไม่ไหว กลับมาด้านนี้ก็เบื่อๆ ทนไม่ไหว กลับไปด้านโน้น ก็คือเราทั้งนั้นเลย ถูกไหม (ถูก)  ไม่เคยทนอะไรได้นานเลย นิดๆ หน่อยๆ ก็เบื่อแล้ว ที่ทนไม่ได้เพราะอะไร นั่งอย่างนี้ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย เบื่อจังเลย มองแล้วตัวเองไม่มีคุณค่าอะไร มองแล้วน่าเกลียด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วพอไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ว่างจนน่าเบื่อ
ฉะนั้นเราคือต้นเหตุแห่งทุกข์ อยากจะดับเหตุแห่งทุกข์ อย่างแรกก็คือ ต้องมองเห็นตัวเองให้ชัดก่อน เราเป็นอย่างนี้ไหม เมื่อเราเป็นเรายอมรับไหม (ยอม) อีกอย่างคือสภาวะแวดล้อมภายนอกก็ทำให้เราทุกข์ได้ เช่น ลูก แฟน ใช่ไหม (ใช่)  เราทนกับเขาได้นานไหม เราทนกับเพื่อนร่วมงานได้นานไหม (ไม่นาน)  พอทนได้ไม่นานมองแล้วน่าเกลียดไหม แล้วเห็นคุณค่าอะไรของเขาไหม (ไม่เห็น)  เมื่อเห็นสามสิ่งที่ครบเบ็ดเสร็จท่านก็เห็นเขาเป็นตัวทุกข์ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเสื้อตัวหนึ่งเราเห็นเราอยากได้ พอได้มาเป็นของเราแล้วเราพอใจหรือยัง (ยัง)  อยากได้อีกไหม (อยาก)  อยากทำไมเราถึงอยากได้อีก เพราะสิ่งที่มีที่เพิ่งซื้อมาใหม่มองแล้วเป็นอย่างไร ชักไม่ชอบแล้ว ชักเบื่อแล้ว เพราะเบื่อสักพักหนึ่ง เห็นก็เหมือนไม่เห็นมันใช่ไหม หรือบางทียิ่งเห็นก็ยิ่งน่าเกลียด ต้องไปซื้อตัวใหม่ ทุกสิ่งสามารถเป็นทุกข์ได้ถ้าเราเห็นครบเบ็ดเสร็จทั้งสามอย่างนี้
ฉะนั้นถ้าเราอยากจะแก้ เราต้องแก้อย่างไร วิธีแก้แบบธรรมดาง่ายๆ กับวิธีแก้แบบหลุดพ้นอยากได้แบบไหนดี (หลุดพ้น)  วิธีแก้ก็คือมองให้ออกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทุกข์ก็คือ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงหาตัวตนไม่ได้  ที่เราบอกว่านอกจากสามอย่างนี้แล้วทุกข์เพราะอะไร
ทุกข์เกิดจากเมื่อสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานั่นคือความทุกข์ เมื่อความไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงจนหาตัวตนไม่ได้แม้ชั่วขณะหนึ่งนั่นก็คือความทุกข์ แปลว่าถ้าเราอยากจะเอาชนะทุกข์เราต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า โลกนี้เป็นโลกแห่งความไม่เที่ยง เมื่อไรที่เราพยายามอยากควบคุม เมื่อนั้นเราคือคนที่ปิดตาและหลอกตัวเองให้ตัวเองทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราพยายามไหมเหมือนตัวเองอย่าให้แก่แต่ก็แก่ อย่าให้เจ็บแต่ก็เจ็บ อย่ารักเลยแต่ก็รัก อย่าทุกข์เลยแต่ก็ทุกข์ เราห้ามอะไรได้ไหม เราห้ามไม่ได้ สิ่งแรกอย่างหนึ่งคือ ยอมรับในความเปลี่ยนแปลง เมื่อยอมรับในความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่สองที่ตามมาก็คือ ได้อะไรก็ดีแล้ว อะไรเกิดขึ้นมาก็ดีแล้ว เพราะอะไรเราถึงยอมรับได้เช่นนี้เพราะว่าเราคุมสิ่งต่างๆ ไม่ได้ แม้ว่าเราจะคุมจนเต็มที่แล้วแต่สุดท้ายเราก็คุมไม่ได้ ไม่อยากให้ร่างกายเจ็บแต่ก็เจ็บ แต่สิ่งที่เราต้องพยายามควบคุมให้ได้ก็คืออยู่กับมันแล้วทำใจยอมรับให้เป็น ฉะนั้นแม้จะนั่งจนไม่ได้ยืนก็ดีแล้ว แม้จะยืนแล้วไม่ได้นั่งก็ (ดีแล้ว)  เพราะล้วนเป็นธรรมดาเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อเข้าใจความเป็นธรรมดาเป็นเช่นนั้นเอง เราก็จะไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเป็นเรื่อง (ดีแล้ว)  เมื่อเราพอใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเปลี่ยนไปซ้าย ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปขวา เราก็มองว่า “ดีแล้ว”  และสำคัญก็คือเราอย่าคิดให้เป็นทุกข์ ท่านเคยได้ยินไหมว่า คนเกิดมามีชะตาชีวิตกับจิตใจ  ถ้าจิตใจดี ชะตาชีวิตดี ก็เรียกว่าบุญวาสนาล้นพ้น แต่ถ้าเกิดมาชะตาชีวิตไม่ดี แล้วยังจิตใจไม่ดีอีก อย่างนี้เรียกว่า อาภัพอับโชค ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าชะตาชีวิตไม่ดี แต่เรารู้จักวางจิตให้ดี เราก็เรียกว่าเป็นคนที่สามารถควบคุมชีวิตได้ และสามารถแปรร้ายเป็นดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้อะไรจะเกิด แต่ถ้าเราคิดว่า “ดีแล้ว”  ได้ไหม (ได้)  พุทธะมักจะพูดบ่อยๆ นะ ถ้าเขาด่าเราก็ (ดีแล้ว)  เพราะถ้าท่านอยากเข้าถึงความพ้นทุกข์อัน‌นิรันดร์ ท่านจะต้องเข้าใจตรงนี้ให้ได้ เขาด่าเราก็ (ดีแล้ว)  เขาเอาเงินเราไปไม่คืนก็ (ดีแล้ว)  สามีไปมีใหม่ก็ (ดีแล้ว)  ก็เมื่อสักครู่เราบอกแล้วว่าถ้าชะตาชีวิตไม่ดีแล้วจิตใจยังคิดไม่ดีอีก คนนั้นก็คือคนที่อาภัพอับโชค แต่ถ้าชะตาชีวิตไม่ดีแต่เราคิดด้วยจิตใจที่ดี วางจิตใจว่าไม่เป็นไร บุญเราคงมีกับเขาเท่านี้ เราได้ชดใช้กรรมกับเขา เราจะหมั่นสร้างแต่สิ่งที่ดี ไม่โกรธแค้น ไม่ผูกใจเจ็บ เราก็คือคนที่แปรเคราะห์เป็นโชค ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ (ดีแล้ว)  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง ไม่แน่นะ เขาเอาสามีเราไป ตอนนี้เราอาจจะบอกว่าโกรธ ทำไมเอาของเราไป แต่ถ้าสามีไปอยู่กับคนอื่นแล้วกลายอัมพาต อัมพฤกษ์ เราจะบอกว่าอย่างไร (ดีแล้ว)  ทำไมยิ้มได้เลยละ แต่ถ้าในทางตรงกันข้าม ถ้าเขาไปอยู่กับผู้หญิงอื่นแล้วเขารวยขึ้น ดีแล้วไหม (ดีแล้ว)  ได้ไหม เดี๋ยวเขากลับมาเย้ยเราอีก เราจะดีได้ไหม “อยู่กับเธอไม่เห็นดีขึ้นเลย ไปอยู่กับเขาเพียงไม่กี่วัน มีแต่รวยกับรวย” โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ฉะนั้นต้องพยายามทำใจให้ได้นะ เพราะเรามีทุกข์โดยพื้นฐานคือตัวตน อย่าให้ภาวะแวดล้อมมาทำให้เราต้องทุกข์เพิ่มเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเคยได้ยินคำหนึ่งไหมว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นเช่นนั้นเอง อะไรเกิดสิ่งนั้นก็ดีได้ ถ้าเรารู้จักวางใจให้เป็น คิดให้ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)
วิธีแก้ที่จะทำให้ยากขึ้นไปอีกหน่อย แต่จริงๆ แล้วเราว่าไม่ยากเลยนะ อยู่ที่ตัวท่านจะทำได้หรือไม่ อีกวิธีหนึ่งคืออะไร ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า มนุษย์เราหนีไม่พ้นเรื่องเศร้ากับเรื่องน่ายินดี ถ้าเกิดว่าในชีวิตนี้เราไม่เศร้า แล้วเราก็ไม่ยินดี นั่นแหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม เพราะผู้ใดที่บรรลุถึงภาวะทั้งห้านี้ได้จะเข้าถึงความเห็นแจ้งในญาณเดิมของตน คือ
๑. ไม่มีอะไรเศร้าไม่มีอะไรน่ายินดีนั่นคือ ภาวะเข้าถึงธรรม
๒. ไม่มีอะไรชอบ ไม่มีอะไรชังนั่นคือ ภาวะความเป็นกลาง
๓. แม้สำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่เปลี่ยนแปลงตนเองนั่นก็คือ ภาวะความสงบ
๔. ไม่ปล่อยให้ความอยากเทียมแอกชีวิตและจิตใจนั่นคือ ภาวะความว่าง
๕. แม้อยู่ในโลกแต่ก็ไม่ผูกพันติดยึดนั่นคือ ภาวะความบริสุทธิ์
ผู้ใดบรรลุถึงภาวะทั้งห้าย่อมสามารถเห็นแจ้งญาณเดิมแท้ เมื่อไรที่เห็นแจ้งญาณเดิมแท้ เมื่อนั้นแปลว่าบรรลุถึงภายใน ใช้ภายในมาควบคุมภายนอก เมื่อนั้นดำเนินชีวิตยากจะประสบความทุกข์และมีปัญหา เมื่อใดที่บรรลุความเห็นแจ้งภายใน เมื่อนั้นชีวิตจะเข้มแข็ง จิตใจจะสงบ ความคิดจะสุขุม สติจะกระตือรือร้น ตื่นตัวเห็นแจ้งความเป็นจริงในสรรพสิ่งได้ ฉะนั้นท่านต้องรู้อย่างหนึ่งว่า การศึกษาธรรมไม่ใช่ศึกษาแค่เพียงเป็นคนดี มีศีลมีธรรมไม่ใช่แค่นั้น การศึกษาหลักธรรมแก่นของธรรมะอยู่ที่ไหน แล้วทุกข์อยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเรามองอย่างเข้าใจและเห็นชัด เราจะเป็นผู้ดับทุกข์ด้วยตนเอง
ไม่มีอะไรเป็นสุขที่ประเสริฐเท่ากับการรักษาจิตให้ปกติ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่มากระทบ นั่นแหละคือสุขที่ประเสริฐที่สุด เพราะอะไรมนุษย์จึงไม่เห็นแจ้งในตรงนี้ เมื่อใดเห็นแจ้งถึงปัญญาตรงนี้ ทุกข์ก็ไม่สามารถทำอะไรชีวิตและจิตใจเราได้ เราตั้งใจมาพูดแค่นี้เองนะ พอเข้าถึงไหม เดี๋ยวเราจะค่อยๆ แตกย่อยให้ทีละข้อ
ถ้ามีคนเกิดกับคนตาย เราก็มักจะมองการเกิดเป็นเรื่องน่ายินดี การตายเป็นเรื่องน่าโศกเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรามองให้ดี การเกิดน่ายินดีจริงหรือ การตายน่าโศกเศร้าจริงไหม คนโดยส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเมื่อบ้านไหนมีเด็กเกิดเราบอกว่าน่ายินดี แต่เมื่อบ้านไหนมีคนตายเราคิดว่าน่าโศกเศร้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราถามท่านล่ะ แท้จริงแล้วการเกิดน่ายินดีไหม แล้วการตายน่าโศกเศร้าไหม ถ้าเกิดแล้วดำรงชีวิตไม่เป็น การเกิดก็คือการสร้างทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามีชีวิตแล้วเราทำชีวิตได้ดี ได้ถูกต้อง การตายก็คือการกลับคืนสู่บ้านเดิม ฉะนั้นบางทีการมีชีวิตอยู่ก็คือการพลัดพรากจากบ้านเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เคยคิดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แน่ใจหรือว่าตอนนี้ที่ท่านบอกว่าบ้านที่เป็นหลัง คือบ้านของท่าน ตอนนี้ท่านอาจจะหลงทาง บ้านที่แท้จริงคือบ้านหลังไหนล่ะ
มนุษย์มักจะพูดว่าการเกิดคือเรื่องน่ายินดี แต่ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่า “เมื่อพระราหุลเกิด เมื่อเด็กเกิดก็มีห่วงแล้ว” เมื่อมีห่วงแล้วตัดได้ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการเกิดคือเรื่องน่ายินดีหรือ นั่นหมายความว่าอย่างไร ฉะนั้นสิ่งที่เราบอกว่าน่ายินดีแท้จริงอาจจะ (ไม่น่ายินดี)  เหมือนมีคนให้ของเรา เราดีใจไหม (ดีใจ)  มีคนชมเรา เราดีใจไหม (ดีใจ)  มีคนด่าเรา เราโกรธไหม (โกรธ)  เราเสียใจไหม (เสียใจ)  อย่างนั้นถ้าเราถามท่านนะ เหมือนวันนี้เราชมท่านว่า “ไม่แก่เลย” ดีใจไหม (ดีใจ)  หล่อจังเลย ดีใจไหม (ดีใจ)  หุ่นก็สมส่วนดีจังเลย ดีใจไหม (ดีใจ)
เมื่อสักครู่ชมครั้งแรกก็นั่งเฉยๆ พอครั้งที่สองเริ่มสั่นๆ ครั้งที่สามสั่นทั้งตัวเลย เหมือนเราชมเขาว่า หน้าตาดีจังเลย ดีใจไหม (ดีใจ)  หุ่นก็ดีจังเลย แล้วก็ดูท่าทางเป็นคนปราดเปรื่องจังเลย ดีใจไหม (ดีใจ)  ตอนแรกเราดีใจแต่ต่อไปเราเป็นอย่างไร เราโง่ไม่ได้แล้ว เพราะเขาชมเราว่าปราดเปรื่อง พอใครว่าเราโง่เราโกรธไหม (โกรธ)  ฉะนั้นสิ่งนั้นควรดีใจหรือ เพราะเมื่อไหร่ที่เราได้รับคำชม เราเริ่มยึดมั่น เมื่อเรายึดมั่นแล้วเป็นอย่างไร เราหลงผิด เหมือนเวลามีคนชมท่าน เหมือนเวลาเราได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เราดีใจไหม (ดีใจ)  เงินเดือนขึ้น เราดีใจไหม (ดีใจ)  แน่ใจหรือว่าควรดีใจ ถ้าความสามารถเราไม่ถึงกับตำแหน่ง พอขึ้นไปแล้วเราก็หนาวๆ ร้อนๆ ถูกไหม (ถูก)  ตำแหน่งขึ้นเงินเดือนขึ้น แต่เราคุมคนข้างล่างไม่ได้เลย เราควรจะดีใจไหมที่เราจะได้มาคุมคนอื่นทั้งที่เราไม่มีความสามารถเลย (ไม่ควร)  ถ้าอย่างนั้นสลับกันนะ มีคนพูดกับเราว่า “โง่จริงๆ เลย ไม่ได้เรื่องเลย” เสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  ให้เขามองดูเราต่ำดีกว่า แล้วเรามีอะไรซ่อนอยู่ ทำแล้วให้เขาเห็นว่า “ไม่น่าเชื่อ คนโง่นี้ก็เก่งได้เหมือนกัน” ดีกว่าเขาชมเราฉลาดก่อน แล้วเขามารู้ทีหลังว่า จริงๆ แล้วโง่ เอาอย่างไรดี (ให้เขามองว่าเราโง่)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นท่านจะเข้าใจเลยว่า สิ่งที่เราบอกว่าเศร้า น่ายินดี แท้จริงแล้วไม่มีอะไรที่แท้จริง สิ่งที่เราบอกว่าเราชอบเราชัง แท้จริงแล้วเหมือนคนที่เรารักที่สุดกลับทำเราเจ็บช้ำที่สุด และบางครั้งคนที่ชังที่สุดกลับทำให้เราเข้าใจตัวเองมากที่สุด ฉะนั้นเราควรชอบแล้วชังไหม (ไม่ควร)  ในทางกลับกันสำเร็จล้มเหลว ดีไหม คนบางคนอยากรวย แต่ทำชีวิตเหมือนคนที่เลี้ยงวัววันๆ หนึ่ง จะรวยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเคยเห็นไหม คนรวยเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วคนรวยน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  แล้วยังอยากรวยไหม อยากใช่หรือไม่ ลองมองดูง่ายๆ นะ วันหนึ่งถ้าเกิดเราจนมาก่อนแล้วอยู่ๆ เราถูกลอตเตอรี่แล้วรวย จากที่ไม่มีญาติจะมีญาติมาเป็นสิบคน จากเป็นคนที่คนไม่เคยเห็นหัวจะมีคนสนใจ แล้วจากที่ไม่เคยถูกใครยืม มีแต่เคยไปยืมเขา ตอนนี้จะมีคนมายืมเต็มไปหมดเลย แล้วแต่ก่อนไม่เคยมีใครรู้จัก พอรวยมีแต่คนรู้จักเต็มไปหมดเลย จนอยากจะหนีไปแล้วไม่อยากให้ใครรู้เลยว่าเรารวย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นรวยดีไหม (ไม่ดี)  จนดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนั้นควรจะดีใจที่จนหรือรวยไหม ก็ไม่ควรที่จะดีใจอะไรเลย อย่างนั้นไม่ว่าจนหรือรวยถ้าเราเข้าใจชีวิต เราก็จะสามารถเป็นอย่างไร
เมื่อไม่มีอะไรเศร้า ไม่มีอะไรน่ายินดี เมื่อนั้นเข้าถึงสภาวะธรรม เมื่อไม่มีอะไรชอบ ไม่มีอะไรชัง เมื่อนั้นเข้าถึงภาวะความเป็นกลาง ทำไมพระพุทธะจึงบอกให้เดินทางสายกลาง แล้วทางสายกลางคืออะไร (ไม่น้อยไปไม่มากไป)  ทำได้ไหมยากไหม (ยาก)  แม้สำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่เปลี่ยนแปลงสูญเสียความเป็นคนดีในตัวตน เมื่อนั้นเข้าถึงสภาวะสงบ เมื่อไม่ปล่อยให้ความอยากเทียมแอก เมื่อนั้นจะเข้าสู่สภาวะความว่าง เมื่ออยู่ในโลกแต่ไม่ติดในโลก เมื่อนั้นจะเข้าสู่สภาวะความบริสุทธิ์ ทำได้ไหม ยากใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากแก้ความทุกข์ก็เริ่มง่ายๆ ก่อน โดยอย่าปล่อยให้ความอยากมาทำให้เรายึดมั่นถือมั่นแล้วหลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะสอนให้มนุษย์รู้จักเฉย ไม่อยาก ไม่มีอะไรเลยอย่างนั้นไหม (ไม่)  แต่ให้รู้จักอยู่ร่วมแต่ไม่กลายเป็นทาสของสรรพสิ่ง เหมือนเราต้องหาเงิน ก็ยังคงหาเงินแต่ไม่ทำให้เงินนั้นมาจูงเราจนกลายเป็นคนที่ตกเป็นทาสของเงินอยู่ร่ำไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์มาจากความว่าง แล้วความมีมาทีหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราพูดยากเกินไปไหม (ไม่)  แล้วทำได้ยากไหม (ไม่)  ไม่ยาก ต้องลองดู สิ่งสำคัญคือต้องลองควบคุมใจของตัวเอง ถ้าท่านควบคุมใจตัวเองได้การประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก ความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
วันนี้สิ่งที่เราพูดมาแม้จะยากไปสักนิด แต่ถ้ามนุษย์รู้จักประพฤติปฏิบัติดำรงตนอยู่ในศีลธรรมก็เป็นเรื่องไม่ยาก เพราะศีลธรรมเป็นตัวควบคุมความประพฤติ พุทธะเคยกล่าวไว้ว่า “อยากรู้ว่าอนาคตตัวเองเป็นอย่างไร จงใช้ธรรมะเป็นกระจกส่องใจ ถ้าผู้ใดรู้จักเลื่อมใส นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะและรักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะตกต่ำหรือไหลไปสู่นรก สามารถเป็นผู้ปิดอบายภูมิและพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิแห่งสัตว์เดรัจฉานได้”
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คืออะไร พระพุทธใช่แค่พระพุทธรูปไหม พระธรรมใช่แค่ตัวอักษรไหม พระสงฆ์คือบุคคลที่ปลงผมแล้วนุ่งจีวรแค่นั้นไหม แต่หมายถึงอะไร พระพุทธก็คือตัวตนเอง พระธรรมก็คือความเห็นแจ้งในตัวตนเองที่เป็นพุทธะ พระสงฆ์คือผู้ลด ละ เลิก กิเลสตัณหา นั่นแปลว่าในตัวเราสามารถเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ด้วยการเริ่มต้นรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้วเราจะสามารถเข้าถึงความรู้แจ้งได้ อย่ามัวกังวลอยู่ว่าตัวเองทำไม่ได้
เหมือนเรื่องๆ หนึ่งถ้าเราจะเล่า มนุษย์ก็คงไม่ต่างกับเรื่องๆ นี้ เราถามท่านง่ายๆ เหมือนเวลาเราจับลูกช้างมาเชือกหนึ่งเราผูกไว้กับเสาต้นเล็กๆ ที่ตอกไม่ค่อยลึก ช้างพอจะก้าวไปสักก้าวสองก้าว ติดเชือกก็จะไม่ก้าวแล้วเพราะกลัวเจ็บ แต่ช้างมีวันโตขึ้นไหม (โต)  ฉะนั้นพอช้างโตขึ้น ตอที่ผูก เชือกที่ผูกก็ยังเท่าเดิม ตอที่รั้งก็ยังเท่าเดิม พอช้างก้าวหนึ่งก้าว สองก้าวเจ็บไม่ก้าวแล้ว น่าเสียดายไหม (เสียดาย)  ทั้งที่ช้างโตและใหญ่สามารถที่จะหลุดพ้นเชือกและตอได้ มนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน ถามว่า “จิตใจเข้มแข็งไหม” เข็มแข็ง รู้ผิดชอบชั่วดีไหม (รู้)  อะไรถูกอะไรผิดรู้ไหม (รู้)  แต่ไม่ทำ กลัวเจ็บเหมือนช้างที่คิดว่าตัวเองเป็นลูกช้างอยู่ร่ำไป เดินไปสองก้าวแล้วเจ็บ ก็ไม่เอาถอยหลังกลับ เราก็เลยไม่เคยพ้นทุกข์ได้สักที เราจึงไม่ต่างอะไรกับช้างเชือกเดิม ที่โตแล้วแต่เชือกกับตอยังคงเท่าเดิมอยู่ เหมือนถามว่าทุกข์ที่เราพบทุกวันเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม)  ทุกข์เพราะไม่รู้จักคิด ทุกข์เพราะวางใจไม่เป็น ทุกข์เพราะปล่อยวางไม่ได้ จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “หากมนุษย์รู้จักปล่อยวาง ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความยึดมั่นถือมั่นต่างหากที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถใช้สติปัญญาได้อย่างถ่องแท้”
เราย้ำอีกที “ถ้ามนุษย์รู้จักปล่อยวางให้เป็น ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว” แต่ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่ผิดๆ ตัวตนนี้น่ายึดหรือ ทั้งที่จริงๆ มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์นะ เรายึดมั่นไหมก็ยึด เรารักมันไหมก็รัก แล้วควรรักควรยึดไหม ไม่ควรเลยเพราะมันมีแต่ทุกข์ เพราะความยึดมั่นถือมั่นนี่เอง จึงทำให้เราไม่สามารถใช้สติปัญญาตัดความทุกข์ได้ ตัวตนนี้คือกองทุกข์
เราเกิดมาเพื่อใช้กายสร้างคุณธรรมอันประเสริฐ ถึงเวลาต้องปล่อยมันไป อย่ายึดมั่นถือมั่น ถ้าเข้าใจในสิ่งที่เราพูด ท่านจะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่ายึดเลย ความสวยน่ายึดไหม (ไม่)  เงินทองน่ายึดไหม (ไม่)  ยึดมากก็ทุกข์มาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมองให้ออกชีวิตนี้คือความทุกข์ แต่เราจะพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทุกๆ สิ่งในโลกไม่น่าเอา ให้เรามายืมใช้ ถึงเวลาต้องคืนไป แล้วควรยึดไหม ไม่ควรยึด วันนี้มีคนเอาไป วันนี้มีคนให้ก็ไม่ควรน่าดีใจหรือเศร้าใจอะไรสักอย่างเพราะมันไม่เที่ยง
ฉะนั้นต่อไปถ้าใครชมก็ไม่ดีใจ ใครด่าก็ไม่เกลียดไม่น้อยใจเพราะรู้ว่ามันเป็นทุกข์ที่ไม่น่าจะยึดถือเอาเป็นสาระ แต่สิ่งที่เป็นสาระคือเราควรรู้จักตัวเอง เราทำถูกหรือยัง ถ้าเราทำถูกแล้ว คำชมคำด่าของคนอื่นจะมีประโยชน์อะไร แต่ถ้าเราทำไม่ถูกแล้วมีคนด่าต้องดีใจ ใช่หรือไม่ ถ้าเราทำผิดทำไม่ดีมีคนว่า แปลว่ายังมีคนห่วงยังรัก แต่ถ้าเราทำผิดแล้วไม่มีใครติใครบ่น แปลว่าเราไม่มีอะไรน่าอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ฉะนั้นมองให้ดีแล้วเราจะเข้าใจชีวิต
วันนี้เราคงต้องไปจริงๆ แล้วนะ ขอให้นำกลับไปทบทวน ถ้าอ่านไม่ออกให้ลูกให้หลานอ่านให้ฟัง เพราะว่าฟังแค่นี้ไม่มีทางจำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากเข้าถึงความพ้นทุกข์จำไว้นะ
๑. ไม่มีอะไรน่าเศร้า ไม่มีอะไรน่ายินดี เมื่อนั้นเราจะเข้าถึงสภาวะธรรม
๒. ไม่มีอะไรน่ารังเกียจ ไม่มีอะไรน่ารัก เมื่อนั้นเราจะเข้าถึงสภาวะความเป็นกลาง
๓. ได้มาหรือเสียไป ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความดีงามใจในตนเอง เมื่อนั้นจะเข้าถึงความสงบ
๔. ไม่ปล่อยให้ความอยากมาคอยฉุดรั้ง รู้จักพอรู้จักยินดี ได้บ้างหยุดบ้าง เมื่อนั้นจะเข้าถึงความว่าง
๕. อยู่ในโลกแต่ไม่ติดในโลก เมื่อนั้นจะเข้าถึงความบริสุทธิ์
เมื่อใดที่รู้แจ้งภาวะทั้งห้า เมื่อนั้นท่านจะเข้าถึงภาวะแห่งจิตญาณอันเดิมแท้ หรือบรรลุถึงภายใน รู้จักภายในตนเอง ไม่ต้องรอให้ใครมารู้ เรารู้ด้วยตนเอง และความรู้นี้ทำให้เราพ้นทุกข์ได้นิรันดร์ อยู่ในโลกแต่ไม่ทุกข์เพราะโลก และไม่ทุกข์เพราะตน
วันนี้เราคงต้องไปแล้วนะ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีก ดูพัดสิกางแล้วแต่หุบยากเหลือเกิน แล้วเวลาจะหุบก็กางยากไหม (ไม่ยาก) ถ้ารู้จักเทคนิคและการควบคุม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตก็เหมือนกัน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แต่เราจะเอาชนะทุกข์ได้ถ้าเรารู้จักควบคุมใจของตนเองให้เป็น ไม่มีอะไรยาก ขอเพียงเรากล้าที่จะสู้กับใจตนเอง บำเพ็ญธรรม ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขคนอื่น เริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตนเองและจัดการกับตัวเองให้ดีก่อน  ถ้าทุกคนในโลกรู้จักจัดการตนเองให้ดีจะไม่มีใครต้องเปลี่ยนใคร และจะไม่มีใครทำร้ายใคร
ฉะนั้นศึกษาธรรมให้เข้าใจ ธรรมะที่แท้จริงไม่ใช่เพียงเป็นคนดีและรู้จักทำบุญ แต่ธรรมะที่แท้จริงคือ ความพ้นทุกข์อันนิรันดร์ พ้นทุกข์ตัวนี้ก็คือพ้นตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ สถานธรรมหมิงอี้  จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


กว่าจะสร้างใช่เรื่องง่ายสำเร็จลง การรักษาให้อยู่คงยากยิ่งกว่า
จิตแรกเริ่มให้มีไว้คงเส้นวา ไม่เหนื่อยล้าเพราะรู้ว่าได้ช่วยคน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงอี้ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนอิ่มไหม


ตามความคิดจิตจึงห่างญาณเดิมแท้ ตามอารมณ์จิตจึงแปรเป็นหมองหม่น
ตามกิเลสจิตจึงล้าและทุกข์ทน ตามใจตนสร้างนิสัยกรงขังตัว
หากลงแรงแต่ภายนอกลืมดูจิต พอใครผิดเบื่อหนักหนาลืมดูตัว
มองเขาชัดสอนเขาเป็นเก่งไปทั่ว แต่เรื่องตัวกลับไม่เห็นไม่เข้าใจ
การบำเพ็ญปลุกคนหลงให้รู้ตื่น ตื่นจากหลงเรียกคืนด้วยสติไซร้
เก่งงานนอกแต่ไม่เคยบำเพ็ญจิตใจ รู้ใครใครแต่ไม่เคยจับใจตน
อย่าได้หลงหนทางการบำเพ็ญ ทำอะไรคิดให้เป็นธรรมเป็นต้น
เดินอยู่บนจริยะของสุภาพชน แลสมานใจผู้คนด้วยเมตตา
ฝึกลดละอัตตาทิฐิมั่น รู้ยอมกันอภัยกันไม่ถือสา
โดนขัดใจไม่ยอมรับไม่วางตา โดนอารมณ์ชังน้ำหน้า เฮ้อ... ศิษย์เอ๋ย... บำเพ็ญอะไร
ฮา ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยากคุยกับอาจารย์หรือเปล่า (อยาก)  จริงหรือ (จริง)  ยังมีคนบอกว่าไม่รู้จักอาจารย์ ถามว่าอาจารย์เป็นอย่างไร บอกว่ายังนึกไม่ออกเลย ใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ร่วมฟังเข้ามานั่งฟังในห้องพระทั้งหมด)
อะไรใหม่ๆ นี่ก็ดีนะ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์ล่ะใหม่หรือเก่า (ใหม่)  เราทำตัวใหม่ทุกวันไหม อาจารย์ว่าดูเหมือนเก่านะ สิ่งใหม่ๆ มองดูแล้วสะอาดสะอ้านสบายตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเก่าแล้วเป็นอย่างไร (ไม่สวย)  แล้วมองดูเป็นอย่างไร ไม่สะอาด สกปรก ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นลองหันไปดูจิตเราสิ ใหม่หรือเก่า (ใหม่)  อาจารย์ว่าไม่ใหม่เลยนะ รู้สึกว่ามันจะเน่าๆ เหม็นตุๆ ใกล้เคียงกับสกปรกมากกว่าใกล้เคียงกับความสะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันอาบกายอย่าลืมอาบจิต แล้วเอาอะไรช่วยอาบจิตใจชำระจิตใจเราให้ใสสะอาด ถ้าไม่ใช่การรู้จักระมัดระวังคำพูด การกระทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอาบกายอย่าลืมอาบจิต อบรมกายอย่าลืมอบรมจิต เพราะของใหม่ๆ มองอย่างไรก็สะอาด เห็นไหมว่าทุกวันคือวันใหม่ของเราเสมอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วตัวเราใหม่หรือเก่า (เก่า)  เก่าแบบมีคุณค่าหรือเก่าแบบเขาอยากโละทิ้ง (เก่าแบบมีคุณค่า)  จริงหรือ คุณค่าที่คิดเอาเองแต่คนอื่นไม่เห็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
“กว่าจะสร้างใช่เรื่องง่ายสำเร็จลง การรักษาให้อยู่คงยากยิ่งกว่า
จิตแรกเริ่มให้มีไว้คงเส้นวา ไม่เหนื่อยล้าเพราะรู้ว่าได้ช่วยคน”
พุทธสถานหมิงอี้ มีพี่สาวเป็น (พุทธสถานหมิงเฉิง)  ฉะนั้นพี่น้องต้องรักกัน ไม่ใช่พี่น้องตัวใครตัวมันนะ ใครอยู่จังหวัดตาก ยกมือขึ้น รู้ไหมว่าตอนนี้ที่จังหวัดตาก มีสถานธรรมกี่ที่ (สองที่)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  เวลาเรายินดีเราหน้าอย่างไร (ยิ้ม)  เมื่อสักครู่อาจารย์มาไม่ยิ้มเลยนะ พอบอกให้ยิ้มก็รีบยิ้มเลย อย่างนี้โดนบังคับยิ้มนี่ ไหนใครโดนบังคับมาบ้าง (ไม่มี)  จริงหรือ ถ้าเริ่มต้นดีก็น่ายินดีด้วยสำหรับที่นี่ เต็มใจมาแล้วก็เต็มใจอยู่ แต่ไม่เต็มใจกลับ
อิ่มแล้วใช่ไหม อิ่มอะไร (อิ่มข้าว, อิ่มบุญ) อิ่มอกอิ่มใจไหม ฟังธรรมะแล้วอิ่มอกอิ่มใจหรือ มีแต่ได้กระทำได้เสียสละถึงจะเรียกว่าอิ่มอกอิ่มใจ แต่ถ้าได้ฟังอย่างเดียวไม่น่าจะเรียกว่าอิ่มอกอิ่มใจนะ การได้ฟังธรรมน่าจะเกิดความกระจ่างแจ้ง อิ่มข้าวใช่ไหม ถ้ากินอิ่มๆ นั่งก็ไม่ดีใช่ไหมศิษย์ กินอิ่มๆ นั่งทันทีจะเป็นอย่างไร (จะจุก)  เพราะข้าวเหนียวมันย่อยยาก ใครรู้ว่าตัวเองอายุมากแล้วลมมันดันขึ้น แล้วไปกินข้าวเหนียวมากๆ ลมมันดันไม่ขึ้น ก็เหมือนฆ่าตัวเองให้ทรมาน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วกินเยอะไหม (ไม่เยอะ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมแตะหัว ไหล่ เอว เข่าตามคำบอก ถ้าใครทำผิดโดนเต้นเป็ด)
ให้ช่วยเหลือกันและกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไม่ต้องไประวังเขา ให้ระวังตัวเอง ทำให้ดีทำให้ถูกต้อง เขาก็ไม่เดือดร้อนแล้ว ถ้าไปมัวระวังเขา ไม่ระวังตัวเองก็จะไม่ได้ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกันต่างคนต่างระวังตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองไประวังคนอื่น ไม่อย่างนั้นจะไม่รอดทั้งคู่
ศิษย์จำไว้นะเวลาเราอยู่ร่วมกัน ไม่ต้องไประวังคนอื่นให้ระวังตัวเอง ถ้าตัวเองทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่น่ากลัวก็คือ มัวแต่ไประวังคนอื่น ไปห่วงคนอื่น แล้วตัวเองก็เอาไม่รอด ถ้ามนุษย์รู้จักดำรงชีวิตแล้วรู้จักระมัดระวังตัวแบบนี้ก็ดี เราก็คงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
การเต้นเป็ดน่าอายหรือศิษย์ อาจารย์ว่าไม่น่าอายนะ แต่การดำรง‌ชีวิตอย่างไม่รู้จักระมัดระวังแล้วเอาแต่คอยจับผิดผู้อื่นนั่นแหละน่าอายกว่าอีกนะ ตัวเองไม่ดูแลตัวเองแต่ชอบไปจับผิดคนโน้นจับผิดคนนี้ ด่าคนนั้นด่าคนนี้ ตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  การเต้นเป็ดทำให้คนอื่นมีความสุข แต่การที่ศิษย์ทำอะไรไม่ระมัดระวัง ทำให้คนอื่นเขาทุกข์แล้วทุกข์อีก อันไหนน่ากลัวกว่ากัน อันไหนควรจะระมัดระวังมากกว่ากัน
ถ้าศิษย์ทำผิดกับอาจารย์ อย่างมากอาจารย์ก็ให้ศิษย์เต้นเป็ด เต้นไปก็มีความสุข คนอื่นก็มีความสุข แต่ถ้าศิษย์ไปทำผิดกับคนอื่นเขาไม่ให้อภัย แล้วศิษย์บอกว่าเดี๋ยวจะเต้นเป็ดแก้ไข ใครจะมองดู ใช่หรือไม่ (ใช่)  เล็กๆ น้อยๆ เขาก็อาจให้อภัย แต่ถ้ามากเกินไปศิษย์ไปเอาเขาถึงชีวิต ศิษย์ไปเบียดเบียนเขาจนเขาทุกข์กายทุกข์ใจ มีคำกล่าวว่า “คนอื่นว่าเราแค่ครั้งเดียว แต่การจำไม่ลืม ทำให้เราเหมือนโดนว่าเป็นร้อยเป็นพันครั้ง” แล้วเมื่อเราจำไม่ลืม แล้วเราผูกใจเจ็บเราแค้น เราก็สร้างกรรมแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น
ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรู้จักระมัดระวัง พูดน้อยหน่อยจะเป็นอะไร ใจเย็นสักนิดหนึ่ง ช้าไปสักหน่อยหนึ่งจะเสียหายไหม (ไม่)  ใจร้อนแล้วกลายเป็นคนวู่วาม แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง สู้ใจเย็นหน่อยไม่ดีกว่าหรือ เหมือนว่าไปแล้วจะเอาคืนกลับมาได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำอย่างไรแก้ตัวทันไหม (ไม่ทัน)  เพราะของบางอย่างเสียไปแล้วกว่าจะทำดีชดเชยมันยากมาก จริงหรือไม่ (จริง)  อยู่ในโลกไม่ใช่คิดจะพูดก็พูด นึกจะทำก็ทำ ไม่ต้องสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมหัวดำหัวขาวได้หรือ (ไม่ได้)  ถ้าเรารู้อย่างนี้เราจะทำใครเจ็บช้ำน้ำใจไหม (ไม่ทำ) จริงหรือ (จริง)  ขี้โม้ทั้งเพ เพราะไปทำมาแล้ว ตอนนี้เพิ่งรู้ แล้วมันก็สายไปแล้ว เพราะเราต้องรับผลจากการกระทำของตัวเราเอง ดูง่ายๆ ถ้าเราเป็นคนดี พูดน้อย ใจเย็น ไม่ว่าเขา ไม่ใจร้อน ไม่มักโกรธ ไม่นินทา คนรอบข้างก็จะต้องเป็นแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นดูคนรอบข้างเราว่าเป็นอย่างไร ขี้บ่นไหม เราเป็นอย่างไรก็มีเพื่อนอย่างนั้น อยากรู้ว่าเราเป็นอย่างไรดูเพื่อนเราสิ
อาจารย์อยากจะบอกว่าคนเราเมื่อเวลามองเห็นกัน เราเห็นกายเนื้อ ถัดจากกายเนื้อเราเห็นนิสัย พอเห็นนิสัยนานๆ เข้าเราก็เริ่มเกลียด เริ่มเบื่อ ใช่ไหม (ใช่)  เราก็เริ่มมองไม่เห็นแล้วว่าเขามีดีอะไร พออยู่กันไปอยู่กันมาก็เริ่มเซ็ง แล้วก็บอกว่าเบื่อ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   ถึงมนุษย์จะมีกายเนื้อเหมือนๆ กันหรือแตกต่างกันบ้างตามผิวพรรณและสีผิว หรือตามแต่บุญกรรมที่สร้างสมกันมา แต่พุทธะบอกว่า “ในกายเนื้อนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เหมือนกัน และทำให้พุทธะยังเห็นและยังอยากโปรดเวไนยสัตว์”  คืออะไรรู้ไหมศิษย์ สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ากายเนื้อนี้ สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านิสัยนี้ คืออะไรที่อยู่ในตัวมนุษย์ คือธรรมะ ธรรมะที่ทำให้เราเห็นแจ้งจริง ธรรมะที่ทำให้เราเข้าถึงความพ้นทุกข์อันนิรันดร์
กลับมาเรื่องเดิม เวลาเราเห็นกัน บางครั้งเราอยู่ด้วยกัน แล้วเราก็เริ่มเบื่อหน่าย แล้วก็ทนนิสัยกันไม่ได้ แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ถ้าศิษย์อยากจะอยู่กับคนหมู่มากและสามารถทำใจให้สงบได้ นั่นก็คือเราต้องเห็นมากกว่ากายเนื้อพระพุทธะกล่าวว่า “ในกายเนื้อของมนุษย์นั้น มีธรรมอันนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์อันนิรันดร์ได้” ถ้าเราเห็นธรรมที่อยู่ในตัวมนุษย์ได้ การที่เราอยู่ร่วมกับคนนั้นก็นำพาให้เราพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน แต่ทำอย่างไร ศิษย์ยังไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  มองอย่างไรก็เห็นนิสัย มองอย่างไรก็เห็นความเป็นตัวตนของเขา
อย่างนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ต่ออีกว่า คนในโลกนี้ที่มองไม่เห็นเพราะอะไร มีบางอย่างที่ปิดบังอยู่ เหมือนถามว่าลูกหลานเรารักไหม ครอบครัวเรารักไหม ทรัพย์สมบัติเรารักไหม ชื่อเสียงเกียรติยศเรารักไหม ก็รัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ก็รักเหมือนกับศิษย์ ถามว่าถ้าอาจารย์มีครอบครัวอาจารย์ก็รัก ถ้าอาจารย์มีเงินอาจารย์ก็รัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้อาจารย์เป็นอาจารย์ แล้วศิษย์ยังเป็นศิษย์ คืออาจารย์รักอะไรมากกว่าครอบครัว รักอะไรมากกว่าเงินทอง รักอะไรมากกว่าลูกหลาน นั่นคือธรรม ธรรมที่ทำให้เราสามารถพ้นทุกข์และนำพาคนที่เรารักพ้นทุกข์ได้
แล้วธรรมนั้นคืออะไรอาจารย์ ศิษย์นั่งฟังมาเกือบสองวันศิษย์ยังหาธรรมไม่ค่อยจะเจอเลย หาธรรมเจอหรือยัง (ยัง)  ทั้งที่อาจารย์บอกมันอยู่ในนี้ แต่เมื่อวานท่านหันต้าเซียนบอกว่าสิ่งนี้มันทุกข์ แล้วมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร นั่นแหละคือธรรมแท้จริง แต่ถ้ามันเป็นสัจธรรมมันจะมองไม่เห็น พระพุทธะก็เลยแปลงสัจธรรมออกเป็นคุณธรรมแล้วนำมาประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าถามว่าแค่นี้ศิษย์ก็ยังคงไม่เข้าใจ แล้วอะไรที่อาจารย์เห็นในตัวคน สิ่งของ ครอบครัว เงินทอง เกียรติยศแล้วทำให้เห็นธรรมได้ นั่นก็คือความไม่เที่ยง ใช่ไหม (ใช่)  เงินทองมีความเที่ยงไหม ตัวมนุษย์มีความเที่ยงไหม ลูกหลานมีความเที่ยงไหม หรือแม้แต่ตัวเราเองมีความเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)
แล้วอะไรที่ไม่เที่ยง อย่างเช่น เวลาอาจารย์ประสบกับความเกิดความตาย แต่ศิษย์อาจจะบอกว่าความเกิดกับความตายคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน ซ้ายกับขวา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “หนึ่งขวบปีที่เกิดคือหนึ่งขวบปีที่ตาย”  ฉะนั้นศิษย์บอกว่าฉลองวันเกิด แต่พุทธะบอกว่าไม่ใช่ เรากำลังฉลองวันตาย ตายครบสิบห้าปี ตายครบสามสิบปี ฉะนั้นวันเกิดหนึ่งวันก็คือวันตายหนึ่งวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่แหละเรียกว่าเที่ยงไหม แล้วเราควรยึดไหม ดีใจจังเลยฉันได้เกิด ไม่ใช่แต่มันคือความตาย เราควรดีใจไหม (ไม่ควร)  วันนี้เราโชคดี ถูกลอตเตอรี่สามตัว ดีใจไหม (ดีใจ)  แต่ถ้าลองคำนวณศิษย์ซื้อลอตเตอรี่มากี่ใบกว่าจะได้สามตัว เสียมันไปกี่ใบ ดีใจจังเลยได้ห้าพันบาท แต่จริงๆ เสียเงินไปกี่หมื่นบาทแล้ว เราควรดีใจหรือศิษย์ วันนี้โชคดีมีคนเอาเงินมาให้ โชคดีจริงๆ ไหม เงินที่เขามาคืนให้ถามไปถามมา เขายืมไปตั้งแต่สองสามปีที่แล้ว ลืมไปเลยว่าเขายืมไป เราไปเจอเงินที่ตกข้างทางเป็นอย่างไร เป็นแบงก์พันดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจหรือ เก็บไหม (เก็บ)  ระวังนะเจ้าของเขาจะมาทวงคืน ควรดีใจไหม (ไม่ควร)
ไม่ว่าชีวิตนี้จะพบเรื่องดีหรือพบเรื่องร้าย พบสุขหรือพบทุกข์ แท้จริงแล้วก็คือสิ่งเดียวกัน ถึงแม้จะไม่เที่ยงก็ตาม แต่ว่าควรดีใจไหม ควรเศร้าใจไหม ก็ไม่ควร แล้วเราควรที่จะอยากได้อะไรไหม เหมือนความอยาก เราอยากได้ทอง แต่กว่าจะได้ทองมาเส้นหนึ่งศิษย์ต้องทำงานเท่าไร กว่าจะได้ทองมาศิษย์ต้องปาดเหงื่อไปเท่าไร ไปแข่งกับเขาตั้งเท่าไร ควรดีใจที่ได้ทองไหม ควรดีใจไหมที่เงินบัญชีในธนาคารเพิ่มขึ้นๆ แต่เราต้องแลกกับชีวิตเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเราเห็นความเป็นจริงอันไม่เที่ยง กิเลสจึงมอด ความเกิดจึงไม่มี ภพชาติจึงดับสูญ ความตื่นโพลงจึงปรากฏขึ้นทันที แล้วเมื่อนั้นอาจารย์จึงได้รู้คำว่าพ้นทุกข์คืออะไร แต่ศิษย์ฟังจนจบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ลองนำคำอาจารย์ไปคิดแล้วศิษย์จะรู้ แต่บางครั้งศิษย์คิดว่า อาจารย์จะให้ศิษย์เป็นคนที่ตายด้านไม่ต้องรู้สึกอะไรเลยดีไหม ก็สิ่งที่อาจารย์พูดมามันคือการตายด้านไม่ต้องรู้สึกรู้สาอะไรเลย ทั้งๆ ที่จริงแล้วโลกใบนี้ยังสวยอยู่มองไปมองมาผู้หญิงก็ยังดูน่ารักอยู่ เงินทองก็ยังดูน่ายินดีอยู่ โลกใบนี้ที่อาจารย์บอกว่าทุกข์ ศิษย์ว่ายังสุขอยู่ แต่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่ไม่น่ายินดี แต่คนประมาทบอกว่าน่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารัก แต่คนประมาทในการดำเนินชีวิตบอกว่าน่ารัก สิ่งที่บอกว่าเป็นความทุกข์ แต่คนประมาทในการดำเนินชีวิตบอกว่ามันคือความสุข” แล้วศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “เกิดเป็นคนถ้าประมาทในการดำเนินชีวิตก็คือนำพาชีวิตไปสู่ความตาย” เรายังน่ายินดีไหม (ไม่)  ถ้าวันนี้มีคนมาบอกว่า “รักนะจุ๊บๆ” ชอบไหม (ชอบ)  ศิษย์ยังอยากรักอยู่ใช่ไหม เมื่อไรที่เรารู้จักรัก เมื่อนั้นเราจะรู้จักคำว่าเกลียดทันที อย่างนั้นอาจารย์พูดต่ออีก ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ และการต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่รักก็เป็นทุกข์” อย่างนั้นเราควรรักหรือ
แล้วเรายังควรชอบชังโลกนี้อยู่ไหม ถ้าเรามองเห็นจริงๆ เราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เรามองเห็นว่าสวยว่าน่ารัก จริงๆ แล้วสวยไหม เมื่อวานท่านแปดเซียนสอนว่า ทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก มองแล้วเป็นอย่างไร (น่าเกลียด) และถึงที่สุดก็คือว่างและน่าเกลียด แต่เราเห็นมันน่าเกลียดไหม เงินยังวูบวาบอยู่เลย ทองยังแวววาวอยู่เลยอาจารย์ ส่วนผู้หญิงนั้นตึงๆ ยังสวยอยู่เลย ถ้าอาจารย์บอกแบบนี้แล้ว เรายังดันทุรังทำแบบนี้ เราก็คือคนที่พยายามปิดบังตัวเองแล้วก็หลอกตัวเองให้โง่แล้วก็เดินไปทางนั้น
รู้ว่ามีรักที่ไหนมีทุกข์ที่นั่นแล้วยังอยากมีรักไหม แล้วเมื่อมีรักก็ต้องมีเกลียด แล้วเมื่อเจอคนเกลียดทนไหวไหม แล้วจะรักจะเกลียดทำไม เฉยๆ ดีกว่า ด้านๆ บ้างก็ดี เมื่ออะไรผ่านมา ไม่ว่าจะมีคนชม คนสรรเสริญ คนด่า แล้วก็ผ่านไป แล้วอาจารย์ก็สละคืนโดยที่อาจารย์ไม่รู้สึกอะไร เมื่ออาจารย์ไม่ยินดีไม่ยินร้าย อาจารย์ก็เลยไม่โกรธ ไม่เกลียด และไม่หลงรักอะไร เมื่อเราสามารถวางใจไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รักอะไร เมื่อนั้นเราก็เข้าสู่สภาวะความว่าง ฉะนั้นศิษย์บำเพ็ญธรรม อยากรู้ว่าเราอบรมกายอบรมใจขนาดไหน ไม่ยากเลย เมื่อเวลาอารมณ์มากระทบเรา ให้อารมณ์ครอบงำไหม เขาด่ามาคำ คำด่ายังอยู่ในใจหรือไม่ ถ้ายังครอบงำอยู่แปลว่าศิษย์ไม่ได้อบรมกายอบรมใจเลย เมื่อมีเรื่องดีใจมา ก็ดีใจจัง เมื่อเวลามีเรื่องเศร้ามาก็โศกเศร้า นี่เรียกว่าไม่ได้บำเพ็ญอะไรเลย ไม่ได้อบรมกายอบรมใจเลย ฟังธรรมะเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ฟังแล้วก็ฟังเลย ใช่ไหม (ใช่)
อยากรู้ว่าบำเพ็ญหรือไม่ก็อยู่ที่ว่า พออารมณ์มากระทบแล้วครอบงำเราไหม ถ้าเรามองเห็นว่าไม่เที่ยงแล้วไม่ปล่อยให้มาครอบงำ เราปล่อยวางเฉยเราก็คือคนที่อบรมกายอบรมจิตได้ดี แต่เราเป็นแบบนั้นไหม สามวันดีสี่วันไข้ ห้าวันเซ็ง หกวันเบื่อ เจ็ดวันหน่าย ใช่ไหม (ใช่)  พออารมณ์ตก ดึงขึ้นยากไหม กระปรี้กระเปร่าไม่ออกแล้ว เหนื่อยหน่ายเซ็ง แต่พอดีใจขึ้นมา คึกยังกับอะไรดี ใช่ไหม (ใช่)  บำเพ็ญธรรมไม่ใช่การแสดงออกซึ่งคุณธรรม แต่การบำเพ็ญคือการนำธรรมมาอบรมขัดเกลาจิตใจ และรู้เท่าทันจิตตัวเอง ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจนกลายเป็นความโลภความโกรธหลงชักพาพอรู้เรื่องไหม (รู้)
อาจารย์ถามว่าในโลกนี้มีอะไรที่ศิษย์รักมากกว่าตัวตน แม้จะต้องเจ็บ แม้จะต้องป่วย แม้จะต้องเหนื่อย เราก็ไม่กลัวเราก็ไม่หวั่นเราก็ทำได้ เพียงเพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งนี้ ศิษย์ตอบอาจารย์ได้ไหม เอาแค่ธรรมดาก่อนนะ เรารู้ว่ามีอะไรที่มีค่ายิ่งกว่าตัวตน แต่ถึงเวลาเราก็ไม่เคยมองแล้วไปถึงสักที ใช่ไหม ไม่ต้องคิดให้สวยหรู ศิษย์เอ๋ยพอถึงเวลาจริงๆ ศิษย์ก็ยอมทิ้งมันลงได้ คืออะไร
(รักพ่อแม่)  รักพ่อแม่มากกว่าตัวตน ตอบได้ดี แต่ถึงเวลามัวแต่ทำมาหากินมากกว่าดูแลพ่อแม่อีกนะ
(รักธรรมะ)  จริงหรือ แล้วชีวิตนี้อยู่กับธรรมะมากกว่า หรืออยู่กับความอยากมากกว่า (ความอยากมากกว่า)  ความอยากที่ไม่รู้จักพอ บางทีศิษย์รักมันมากกว่าตัวเองอีก ทำจนเหนื่อย ทำจนห่วง แล้วถึงเวลาก็ปล่อยไม่ได้ วางไม่ลง ใช่ไหม ฉะนั้นอย่าโกหกอาจารย์ ชีวิตเรานี้เรารักอะไรมากกว่าตัวเรา ว่าอย่างไร
(ธรรมะ)  รักธรรมะมากว่าตัวเองจริงไหม (จริง)  ถ้าเรารักธรรมะ ถึงเวลาแล้วเอาธรรมะเป็นใหญ่หรือเอาอารมณ์เป็นใหญ่ (ธรรมะ)  แน่นะ (แน่)
(ความสุข)  บางทีเพื่อความสุขเราทำทุกวิถีทาง บางครั้งทำจนไม่สนใจคนรอบข้าง สนใจแต่ความสุขตัวเอง อย่ามัวแต่มองความสุขของตัวเองจนลืมเห็นความสุขของคนรอบข้างนะบางคนเพียงเพื่อความสุข ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองจะทุกข์ขนาดไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นไปเที่ยวตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงเที่ยงคืน กลับมาเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แต่เพื่อความสะใจ เพื่อความสุขใจ แล้วตื่นเช้ามาก็ตาโบ๋
(รักจิตญาณ)  รักจิตญาณมากกว่าตัวเอง แล้วจิตเราอยู่ไหน ศิษย์รักอะไรมากกว่าตัวเรา อันนั้นไม่ได้เรียกว่าจิตญาณแต่เรียกว่าความรู้สึก คนบางคนรักความรู้สึกมากกว่าตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
(รักลูกมากกว่าตัวเอง)  ไม่มีใครพิสูจน์ได้มีแต่ตัวศิษย์เท่านั้นที่รู้ดี นี่แหละคุณธรรมของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่ถ้าศิษย์รักลูกมากกว่าตัวเอง ลูกจะเป็นอะไรศิษย์ก็ต้องรับให้ได้ อย่าเอาความเป็นตัวเราไปใส่ในตัวลูก อย่างนี้ไม่เรียกว่ารักแท้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
(รักความโลภกับทุกสิ่งมากกว่าตัวเอง)  เพื่อความร่ำรวย เพียงเพื่อความอยาก เหนื่อยขนาดไหน ลำบากขนาดไหน เราก็ไม่กลัว กลายเป็นเราเห็นเงินมีค่ากว่าตัวเองอีกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อไปนี้ให้รู้จักพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้
(เงิน)  รักเงินมากกกว่าตัวเอง แล้วผลสุดท้ายเงินมันก็ฆ่าเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่ ทุกวันนี้เดือดร้อนก็เรื่องเงิน)  เพราะเป็นหนี้ (ใช่)  แล้วใครที่หาหนี้ให้เรา คนอื่นไหม (ไม่ใช่)  ตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเป็นหนี้ก็พยายามชดใช้นะ อย่าหนีหนี้ (จะไม่หนี จะพยายามสู้ต่อไป จะหาเงินด้วยความสุจริต)  ทำในทางที่ถูกต้อง
(รักความถูกต้อง, รักสิ่งที่ถูกต้องดีงาม)  อย่างนั้นเราคงเป็นคนยุติธรรมไม่ลำเอียง ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ไม่เคยเชื่อสักคนเลยนะ ถึงเวลาลูกเรากับลูกเขา ใครถูก (ลูกเรา)  สามีเรากับสามีเขา ใครดีกว่า (สามีเรา)
(รักความสะดวกสบาย)  เพื่อความสบายเราลืมตัวลืมตนไปเลย แล้วพอถึงเวลามันคุ้มไหม (เหนื่อย)
(รักปัจจัยสี่)  เพียงเพื่อให้ได้ปัจจัยสี่มา บางทีเราก็ยอมทิ้งกายเลย แต่ถามว่าตอนนี้มีครบไหม ก็ครบแต่เราก็ยังไม่เคยพอสักที บ้านมีไหม มี เงินมีไหม มี ความรักมีไหม (มี แต่มีน้อย)  ศิษย์เคยได้ยินไหมนกน้อยรู้จักทำรังแต่พอตัว คับที่อยู่ได้แต่คับใจอยู่ไม่ได้ บ้านหลังใหญ่แต่ต้องเหนื่อยแทบตาย คุ้มหรือ
(รักผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี)  ถ้าเรารู้จักรักคนที่จิตใจดีมากกว่าตัวเองแปลว่าเราเห็นเขามีคุณค่า เมื่อเราเห็นเขามีคุณค่าแปลว่าเราก็อยากจะเลียนแบบเขาและเป็นแบบเขา ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นขอให้ศิษย์จงทำให้ได้แบบนั้นด้วยนะ อย่าแค่รัก แต่จงเป็นให้ได้อย่างเขา
(รักสิ่งสวยงาม)  มากกว่าตัวเองหรือ ดีไหมนี่ แล้วอย่ารักจนขนาดทำร้ายตัวเองให้เจ็บนะ อย่างนั้นก็เรียกว่ารักไม่ถูก ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)
(รักพ่อแม่)  รักพ่อแม่มากกว่าตัวเองจริงไหม มีครอบครัวหรือยัง (มีแล้ว)  แล้วจะมีเวลาดูแลพ่อแม่หรือ (อยู่กับแม่)  อย่างนั้นก็ดูแลท่านให้ดีนะ อย่าเผลอมัวแต่รักลูก รักสามี จนลืมรักพ่อแม่ตัวเอง มีอะไรก็นึกถึงแต่ลูก สิ่งนี้ลูกชอบกิน สิ่งนี้สามีชอบกิน มีไหมที่นึกถึงพ่อแม่
คำถามที่อาจารย์ถามจะทำให้เรามองเห็นตัวเองได้ชัดเจน เพราะคนในโลกนี้ โดยส่วนใหญ่ เพียงเพื่อตัวเองรู้สึกดี รู้สึกชนะ รู้สึกเก่ง แม้ตัวเองจะต้องเหนื่อย แม้จะต้องลำบากก็ไม่เป็นไร ขอให้รู้สึกดีไว้ก่อน ใช่ไหม (ใช่)  หรือเพียงเพื่อตัวเองอดไม่ได้ ต้องได้กิน ฉะนั้นจะเป็นเหล้า จะเป็นบุหรี่ แม้มันจะทำให้ตัวเองต้องตาย ต้องเจ็บก็ไม่เป็นไร เพราะรู้สึกแค่เพียงว่ามันอดไม่ได้ มันต้องกิน
เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่า สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคืออะไร อาจารย์ถามอย่างนี้ใครๆ ก็ตอบเหมือนกันว่า “ธรรมะ” แต่ถามจริงๆ เวลามาช่วยงานธรรมแล้วรู้สึกแย่ ยังจะมาไหม ไม่เอาแล้วอาจารย์ ถ้ามาช่วยงานธรรมแล้วถูกคนว่า รู้สึกโกรธ ธรรมะก็ไม่เอาแล้วอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคือธรรมะ แต่ถึงเวลาศิษย์สนใจธรรมะไหม ศิษย์ก็ไม่สนใจ แต่ศิษย์กลับสนใจความรู้สึกมากกว่า
ชีวิตของมนุษย์ ถามว่าเรารักตัวตนไหม อาจารย์รู้ ใครก็รัก แต่ถึงเวลาศิษย์เกลียดตัวตนมากกว่าอีก แต่สิ่งที่ศิษย์กังวลและสนใจมากที่สุดคือความรู้สึกในตัวตน ศิษย์ยอมทำทุกอย่างได้ เหนื่อยก็ได้ ลำบากก็ได้ เจ็บปวดก็ได้ ขอเพียงรู้สึกดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้ารู้สึกแย่ไม่เอา ถึงจะเป็นธรรมะแต่พอรู้สึกแย่ไม่เอา
ฉะนั้นถามว่าชีวิตนี้เรารักอะไรที่สุด ศิษย์รักอยู่อย่างเดียวคือรักความรู้สึก ถามว่ามันมีตัวตนไหม (ไม่มี)  ศิษย์รักแต่ความรู้สึก ศิษย์สนใจมันอย่างเดียว ถ้ามันรู้สึกชอบ ศิษย์ก็ทำแบบไม่กลัวตาย ไม่กลัวเหนื่อย แต่ถ้ามันไม่ชอบแล้วนะศิษย์ไม่ทำเลย หางตายังไม่แล เมื่อรู้สึกดี เหนื่อยอย่างไร ก็ทำได้ แต่พอรู้สึกแย่ก็ไม่ทำเลย ทั้งที่แต่ก่อนนั้นเคยมีความรู้สึกดีให้มาก่อน แต่พอรู้สึกแย่ก็ทิ้งทันทีเลย
ฉะนั้นชีวิตคือความรู้สึก ถ้าวันนี้รู้สึกดีก็ทำ วันนี้รู้สึกไม่ดีก็ไม่ทำ แล้วศิษย์เคยมองไหมว่าความรู้สึกคืออะไร สิ่งที่ศิษย์รู้สึกคือตัวเอง ใช่ไหม แล้วมันคือตัวตนที่เราควรจะทำทุกอย่างเพื่อมัน ใช่ไหม (ไม่)  อยากกินก็ไปกิน อยากด่าก็ด่าเลย รู้สึกดีก็ทำเลย รู้สึกแย่ก็เลิกเลย แค่นั้นเองหรือ ชีวิตวิ่งไปตามความรู้สึกแค่นั้นเองหรือ ทั้งที่จริงแล้วความรู้สึกนั้นเที่ยงไหม (ไม่)  แล้วจับได้ไหม (ไม่ได้)  คือตัวตนของศิษย์ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อไม่ใช่แล้วทำไมเชื่อฟังมันจังเลย เราเชื่อมัน บางคนบอกว่า “อะไรที่ไม่มีรูป จับต้องไม่ได้ ศิษย์ไม่เชื่อ พิสูจน์ไม่ได้ ไม่เชื่อ” แต่ถึงเวลาทั้งชีวิตเชื่ออยู่อย่างเดียวคือ “ความรู้สึก” จับได้ไหม ไม่ได้ พิสูจน์ได้ไหมก็ไม่รู้ แต่ก็เชื่อ แต่เวลาให้ฟังธรรมะ พิสูจน์ไม่ได้จับต้องไม่ได้ ก็ไม่เชื่อ
ศิษย์เหมือนคนโกหกตัวเอง แต่ตัวตนที่บังคับศิษย์ให้ ไปซ้าย ไปขวา เดินหน้า ถอยหลัง เซ็ง เบื่อ คืออะไร ความรู้สึก เราวิ่งตามชีวิตอยู่เพียงแค่รู้สึก แล้วความรู้สึกนี้มันคืออะไร ถ้าว่ากันแบบอิงธรรมะ มันก็คือกิเลส กิเลสที่เรียกว่าชอบก็คืออยาก ไม่ชอบมากๆ ก็กลายเป็นเกลียด โกรธ เฉยๆ ก็กลายเป็นได้ก็ดีไม่ได้ก็ดี แต่รู้จักสละวางแล้วไม่อยากได้ไหม ไม่ ยังหวงอยู่ นี่จึงต่างกัน ถ้าเราตื่นแล้วพ้นแล้ว เราจะสละแล้วคลายออกวางทิ้งไป
แต่ความหลงก็คือเฉยๆ ไม่เกลียด ไม่รัก แต่ยังอยากเก็บเอาไว้ก่อน นั่นแหละเรียกว่าความหลง เป็นแค่อารมณ์สามอารมณ์ซึ่งถ้าศิษย์ตามทัน ชีวิตศิษย์ก็มีแค่นี้ ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง เมื่อเราแก้ไม่ได้ เราก็เลยต้องใช้คำว่า ทาน ศีลและปัญญา แต่ถ้าเรารู้เท่าทันอารมณ์แค่นี้ ทาน ศีล ปัญญาไม่จำเป็นต้องมี แล้วพอเราต้องใช้ทาน ศีล ปัญญามาควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงก็เลยเกิดเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็เกิดภพ เกิดชาติ เกิดชรา เกิดมรณา แล้วก็เกิดการเวียนว่ายเป็นวัฏสงสารที่เรียกว่าเกิด หมายความว่า เกิดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น
เมื่อมีรูป สิ่งที่มีตัวตนเรียกว่ารูป แล้วศิษย์ก็ไปตามความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนา แล้วรู้สึกนั้นก็ก่อเกิดเป็นสัญญา สังขารทางธรรมะเรียกว่าสิ่งปรุงแต่ง  วิญญาณ พุทธะบอกว่าวิญญาณถ้าออกทางตาเรียกว่า จักษุวิญาณ ถ้าออกทางหูเรียกว่า โสตวิญญาณ เรามีวิญญาณอยู่ในขันธ์ทั้งห้า แต่มนุษย์เห็นนึกว่าวิญญาณคือดวงกลมๆ ที่มันอยู่ในตัวเรานั้นแหละเรียกว่าวิญญาณ ตัวตนที่ศิษย์เห็น มองอาจารย์เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  อาจารย์เบื่อจะแย่อยู่แล้ว พอมองแล้วน่าเกลียดแล้วก็ว่างจนน่าเกลียด เบื่อเถอะ แล้วศิษย์จะได้คลาย ศิษย์จะได้ไม่ยึดมั่น แล้วศิษย์เคยได้ยินคำที่พระพุทธะสอนไหม “ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น เพราะหาตัวตนไม่ได้” เหมือนตัวนี้ นี่คือตัวจริงของอาจารย์ไหม (ไม่ใช่)  ตัวจริงของอาจารย์คือความว่างเปล่า
เหมือนเวลาเรามองเห็นคนๆ หนึ่ง เราคิดว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  มีอะไรอีก ยังมีความเปลี่ยนแปลงซ่อนอยู่ในนั้น และในความเปลี่ยนแปลงนั้น ไปถึงที่สุดคือความว่างเปล่า นี่แหละที่พระพุทธะบอกว่าทนได้ยากเพราะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มองดูแล้วมันน่าเกลียดเพราะว่าหาความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ และถึงที่สุดก็ว่างจนน่าเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตของเราที่พยายามทำทุกอย่าง เราบอกว่าเรารักตัวเองแต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ แต่สิ่งที่ศิษย์สนใจ สิ่งที่ศิษย์กังวลและสิ่งที่ศิษย์ทุกข์ที่สุดก็แค่ความรู้สึกที่อยู่ในนี้ และความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เดี๋ยววันนี้อารมณ์ดี เดี๋ยววันนี้อารมณ์ร้าย เดี๋ยววันนี้ยิ้ม เดี๋ยววันนี้ร้องไห้ เดี๋ยววันนี้เซ็ง เดี๋ยววันหน้าหน่าย อารมณ์ก็ไม่เที่ยง ตัวตนก็ไม่เที่ยง  ฉะนั้นเราไม่ควรที่จะยึดมั่นว่านี่คือตัวฉัน เพราะยึดไม่ได้เลย ขนาดความรู้สึกยังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วตัวตนเปลี่ยนไหม ถ้าเมื่อไรเรายึดเราก็คือ “ไอ้หน้าโง่” จริงไหม (จริง)  ยึดกับความไม่เที่ยงที่สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ได้ทุกขณะ ถ้ามีคนที่เรารัก วันนี้รัก พรุ่งนี้หน่าย มะรืนเซ็ง วันหน้าด่า เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเรามีนิสัยแบบนี้หรือเปล่า แล้วรักมันไหม (รัก)  แล้วยึดไหม (ยึด)  แค่วันนี้ชม “รักนะคนดี รักจังเลย” แต่สักพัก “เบื่อจังเลย เมื่อไรจะไปจากกันสักทีจะได้หาใหม่” จริงไหม แค่หนึ่งชั่วขณะ พูดว่าเขาดี แต่พอลับหลังเบื่อเขาจะตายอยู่แล้ว เมื่อไรจะไปพ้นๆ สักทีจะได้หาใหม่ แล้วเป็นแบบนี้ศิษย์รักไหม แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  อาจารย์พูดจริงๆ มันยึดไม่ได้เลย เพราะถ้าเมื่อไรศิษย์หาเรื่องยึดกับมัน ศิษย์ก็คือหาเรื่องทุกข์ แล้วก็กำลังปิดบังความจริง หลอกตัวเอง
ฉะนั้นเวลาฟังธรรมะอย่าฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เวลาโดนอะไรมากระทบจงรู้จักวางเฉยบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นกลับบ้านไปโดนสามีด่า “ไปทำอะไรเนี่ย กลับมาเย็นเลย” โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ถ้าสามีโดนภรรยาด่า “ไปทำอะไร หายไปทั้งวันเลย มีกลิ่นผู้หญิงมาด้วย”  โกรธไหม (ไม่โกรธ)
อย่างนั้นอาจารย์ถามง่ายๆ  อะไรที่ศิษย์อยากจะแก้ไขตัวเองที่เป็นสิ่งไม่ดีแล้วศิษย์อยากแก้ไข แล้วทำให้ดียิ่งขึ้น
(ความทุกข์ของตัวเอง) เรารู้ทางแก้แล้วหรือยัง มันแค่รู้สึกใช่ไหม
(เป็นคนหงุดหงิด)  อายุปูนนี้แล้วยังขี้หงุดหงิด อย่างนั้นต่อไปใจเย็นๆ นะ
(ใจ) อยากแก้ใจตัวเองเพราะใจตัวเองเป็นอย่างไร ใจร้อนไหม ขี้บ่นไหม
(เป็นคนอารมณ์ร้อน) วิธีทำให้ใจเย็นก็คือ รักเขาให้เหมือนรักตัวเรา อาจารย์รู้ว่าเป็นเรื่องยากที่บางทีกับคนนี้เราเกลียด แต่กับบางคนไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบ แต่พยายามทำให้มันเท่ากัน รักให้เท่ากัน เพราะโลกนี้สันติได้เพราะจิตใจที่เมตตารักทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ฉะนั้นขอให้ศิษย์ทำให้ได้นะ
(กังวล) อย่างนั้นบางครั้งก็ต้องรู้จักปล่อยวางบ้างนะ ห่วงเฉพาะในสิ่งที่ควรห่วง ถ้าห่วงในสิ่งที่ไม่ควรห่วงบางทีต้องวางทิ้ง วางเฉย เพราะห่วงไปถึงที่สุดแล้วทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  มีแต่ทุกข์กับตัวเอง และความห่วงนี่ต้องระวัง ห่วงมากจะเป็นแรงดลให้เขายิ่งเป็นไปตามที่เราห่วง ต้องระวังพลังจิตของตัวเองนะ
(เกลียดอารมณ์ตัวเอง)  อารมณ์อะไรที่น่าเกลียด ขี้น้อยใจ เวลามีความคิดเห็นแล้วก็ไม่ค่อยฟังใคร ใช่ไหม (ใช่)
(แก้ไขความรู้สึกตัวเองไม่ให้อยากได้อยากมี)  ให้รู้จักพอ แค่ปัจจัยสี่ก็พอ ได้ไหม (ได้)  ทำให้ได้นะ
(นิสัย)  นิสัยไม่ดีเลยก็ต้องแก้ ถ้าศิษย์เป็นคนอารมณ์ดีอย่างนี้ตลอดก็ดีแล้ว แต่ที่ต้องระวังคือ บุหรี่ เหล้า เลิกกินหรือยัง (เลิกแล้ว)  เลิกจริงๆ นะ ไม่ใช่พอเพื่อนบอก “สักเป๊กหนึ่งเอาไหม”  แล้วอย่างนี้มันจะแก้ที่อะไร (แก้ที่นิสัย)  แก้นิสัยที่ใครชวนก็ใจง่าย ให้มีสติหน่อย เหล้า บุหรี่ มันไม่ดีเลย ติดไหม (ไม่ติด)  ไม่กินก็ได้ ใช่ไหม (ได้)  ถ้าทำไม่ได้มันจะตายเพราะนิสัยนะ ให้แก้ที่นิสัยเรา อย่าใจง่าย ตั้งใจจะเลิกก็ต้องเลิกให้ได้ ศีลห้าถ้าถือไม่ครบชาติหน้าเกิดมาจะไม่ได้เป็นคน  จะทำอะไรมีสติหน่อยนะศิษย์  ไม่อย่างนั้นจะทำบาปโดยไม่รู้ตัว
(สิ่งที่เราชอบทุกอย่าง)  สิ่งที่เราชอบทุกอย่างเราอยากแก้ไข ให้รู้สึกเป็น “ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี”  เราจะได้ไม่รังเกียจ หรือเราจะได้ไม่ทุกข์กับมัน  (เชื่อคนง่าย)  ถ้าอย่างนั้นทำอะไรก็ขอให้คิดให้ดี สิ่งที่เขาบอกเรานี้ตรงกับศีลห้าไหม ตรงกับคุณธรรมไหม มีเมตตาไหม ถ้าทำแล้วผิดศีลก็อย่าไปเชื่อเขา รู้จักมีสติปัญญาไตร่ตรอง ทำอะไรต้องคิดให้ดี  (คำพูดที่หยาบโลน)  รู้จักพูดให้สำรวมระมัดระวัง  (นิสัยเอาแต่ใจ)  ไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของพ่อแม่ ใช่ไหม (ใช่)  แก้ให้ได้นะ
อาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญทำโดยไม่หวังผลบ้างนะ สิ่งใดมันผ่านไปแล้วก็ผ่านไปนะศิษย์ ตั้งใจสร้างแต่สิ่งที่ดีเพราะว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ถ้าเรามีโอกาสได้ชดใช้น่าดีใจ ไม่ควรเสียใจ
แปลกนะอาจารย์มีผลไม้ให้กลับไม่อยากเอา ศิษย์ไม่เอาไม่เป็นไร ศิษย์เอาไปฝากคนที่ศิษย์รักสิ อุตส่าห์มานั่งฟังทั้งที เขาจะได้เข้าใจว่า มีผลบุญมาฝาก มีบุญมาแบ่ง เหมือนเวลาเราออกมาฟังธรรมะ คนที่บ้านถามว่าไปไหน “ไปเอาบุญ แล้วเดี๋ยวเอาบุญมาฝาก” คนฟังก็ดีใจและอยากอนุโมทนา ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากคนในบ้านถามไปไหน เรากลับไปตอบว่า “อย่ามายุ่งกับฉัน” ถูกไหม (ไม่ถูก)
(โกรธง่าย)  กลัวที่จะตอบอาจารย์หรือ เพราะอะไรกลัวว่าทำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นต่อไปใจเย็นๆ เวลาจะโกรธ ให้คิดว่าโกรธแล้วดีไหม โกรธแล้วมีแต่สร้างศัตรู ทำให้คนเกลียด เราชอบหรือ เราอยู่ในโลกเราก็อยากได้คนรัก แล้วจะเริ่มจากไหน เราต้องรู้จักรักเขาด้วยใจที่กว้าง คนทุกคนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ตัวเราก็มีข้อดีข้อเสีย เราเกลียดข้อเสียของเขา แล้วเราล่ะ เราก็มีข้อเสีย ถ้าเรารู้ว่าเราก็มีข้อเสีย เขาก็มีข้อเสีย แล้วเราจะโกรธใครไหม (ไม่)
(ความเครียด)  ความเครียดเกิดจากอะไรศิษย์ เครียดเกิดจากทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เป็นดั่งใจเราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราควบคุมได้ไหมศิษย์ (ไม่ได้)  ฉะนั้นก็ต้องรู้จักปล่อยนะ ยิ่งอายุมากขนาดนี้ เครียดมากๆ ไม่ดี (เป็นโรคหัวใจ)  และที่น่ากลัวก็คืออาจจะทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ได้ ฉะนั้นศิษย์ต้องปล่อย วางได้ก็วาง ถ้าเราถึงที่สุดแล้วเขาไม่เชื่อเราก็ต้องทำใจเพราะไม่ใช่เวลาของเราแล้ว
(ระงับใจตัวเอง ต้องมีเหตุผล) แต่เหตุผลมักจะเข้าข้างตัวเองใช่ไหม ต้องรู้จักรับฟังผู้อื่นบ้าง  (รักหลาน)  รักหลานมากแล้วดีไหม (ดี)  ไม่ทุกข์ มีความสุข เพราะตอนนี้เขายังไม่ดื้อ อย่างนั้นรู้จักรักให้ถูก อย่าตามใจจนเขาเสียนิสัย แต่รู้จักรักด้วยการให้เขาเป็นคนที่มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือ รู้จักขยัน อย่าสอนหลานให้ช่างขอ
(อารมณ์ร้อน)  แล้วจะทำอย่างไร (ปรับปรุงตัวเอง) เพราะถ้าศิษย์แก้ได้คนข้างๆ เขาก็จะชื่นชม แล้วตัวเราก็จะสบายใจ เพราะความโกรธเหมือนไฟเผาใจ โกรธหนึ่งครั้งก็ร้อนรนหนึ่งครั้ง
(ความวุ่นวายภายในจิตใจ)  ความไม่สงบ เพราะเราไม่เคยมีความสุขในตัวเอง บางครั้งไม่มีอะไรก็มีความสุขได้  เกิดมามีร่างกายที่สมบูรณ์ก็น่าจะดีใจแล้ว ส่วนอะไรที่อยากได้ก็ต้องขวนขวายด้วยความขยัน แต่ถ้าทำแล้วไม่ได้ก็ต้องทำใจ คุณค่าเราอาจจะไม่ใช่มาทางนี้แต่อาจจะไปอีกทางหนึ่ง อาจจะไม่เก่งด้านนี้แต่อาจจะเก่งด้านอื่นที่ไม่ใช่ด้านเรียนก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อารมณ์)  ควรจะใจเย็น ยิ้มง่าย เพราะว่าเราเกิดมาโชคดีนะ คนตัวเล็กใครเห็นก็เอ็นดูรักใคร่ คนตัวใหญ่ใครเห็นเขาก็รำคาญ แต่คนตัวเล็กได้เปรียบ ใครเห็นก็รัก แต่จะรักได้อย่างไรถ้าเรายังเป็นคนยิ้มยาก ฉะนั้นต้องยิ้มง่าย มีอารมณ์ดี
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ดูแลสถานธรรม)
ใครที่ต้องดูแลที่นี่ ไหวไหม (พอไหว)  อย่างนี้อาจารย์จะฝากได้อย่างไร แค่เริ่มต้นก็บอกว่าพอไหว (ไหว)  รุ่นพี่ต้องช่วยดูแลบ้านรุ่นน้องด้วย ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลนะศิษย์ เวลาไหว้พระก็พยายามจัดสรรให้ดี อย่าให้เกิดความแตกแยก แต่ต้องประสานกันให้ดี อย่าเกิดการแบ่งพรรคพวก ที่นี่หมิงอี้ (明義) ที่นี่หมิงเฉิง (明誠) ห้ามเลยนะศิษย์นะ จะต้องระวังตัวเราเพราะ “หมิง” เหมือนกัน
“หมิง 明” แปลว่าสว่าง ฉะนั้นไม่ว่าสถานธรรมนี้หรือสถานธรรมนั้นต้องมีความสว่างในจิตใจ แต่จิตใจสว่างได้ก็เกิดได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ช่วยกันคิดในด้านที่ดี เสียสละอุทิศให้ อาจารย์ฝากขนมไปให้คนที่มาช่วยทำที่นี่ สร้างที่นี่จนเสร็จด้วยดีไหม (ดี)  เอาน้ำอาจารย์แล้วกันนะ คนที่มาช่วยสร้าง คนที่มาช่วยลงแรง ไม่ว่าจะเป็นลงแรงทรัพย์ ลงแรงกาย ลงแรงใจ อาจารย์ไม่ให้กินหรอก อาจารย์เอามาพรม ไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหน อาจารย์อยากให้ศิษย์อยู่ข้างหลังแต่รู้จักทำโดยไม่หวังผล มันประเสริฐกว่า เพราะว่าการทำโดยหวังผลนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถาวร แต่จงทำโดยไม่หวังผลประเสริฐกว่า น้ำที่เหลือแล้วแต่ศิษย์ เผื่อคนป่วยจะหายได้บ้างนะ (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)  ศิษย์ที่เป็นคนดูแลที่นี่ โชว์ตัวหน่อย ถ้ามาครั้งหน้าไม่เจออาจารย์ก็ถือว่าเขาเหล่านี้เป็นตัวแทนอาจารย์นะ
(นักเรียนอยากให้อาจารย์รักษาโรค นักเรียนเล่าให้พระอาจารย์ฟังว่าไปผ่าสมองมา จำอะไรไม่ค่อยได้)
อยากให้อาจารย์รักษาโรค ศิษย์เอย คนที่จำได้ดีบางครั้งก็อยากมีชีวิตลืมๆ บ้าง แล้วเราไม่ดีหรือ ที่บางครั้งจำได้ บางครั้งจำไม่ได้ ถ้าจำได้แต่เป็นทุกข์ สู้บางครั้งลืมไม่ดีกว่าหรือ ศิษย์อย่าคิดว่าตัวเองบกพร่องสิ ไม่จริง ร่างกายก็แค่ร่างกาย สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตใจ อาจารย์ปัดเป่าได้ก็แค่ชั่วคราว แต่ถ้าศิษย์ไม่ดำรงอยู่ในศีลธรรม กรรมเวรก็จะกลับมาหาศิษย์ ใครทำอะไรต้องได้รับอย่างนั้น อาจารย์ดูแลรักษาได้แค่ชั่วคราว แต่ถ้าศิษย์ไม่ประกอบด้วยสุจริต ไม่มีมโนธรรม ไม่มีศีลธรรม  กรรมก็พร้อมกลับมาตามทวงได้เสมอ ทำบุญโดยไม่หวังผล ทำบุญโดยมีแต่อุทิศให้ เพราะตัวนี้ไม่ใช่ของเที่ยง
ศิษย์เอยชีวิตนี้นอกจากเรียกว่าทุกข์แล้ว อาจารย์จะบอกว่าร่างกายนี้คือผลรวมของกรรม  ถ้าอาจารย์ยั้งกรรมศิษย์ ไม่ให้กรรมนี้มา แต่ว่ากรรมเป็นของศิษย์อาจารย์ยั้งได้แค่ชั่วคราว อาจารย์ถามหัวอกศิษย์นะ ถ้าวันนี้คนนี้ไปทำคนนี้ให้เจ็บปวดใจ แล้วเขาแค้นจะมาเอาคืน อาจารย์บอกรอก่อนๆ เขาอาจจะยอมให้เพราะเห็นแก่อาจารย์ แต่พอถ้าถึงเวลามีโอกาสแล้วเขาจะมาไหม (มา)  แล้วเขาจะเอาอีกไหม (เอา)  เขาจะเลิกก็ต่อเมื่อเราชดใช้เขา เรายอมรับผลกรรม
คนเราเกิดมาเพื่อรับผลกรรมที่ตัวเองก่อ อาจารย์จะบอกว่าผลกรรมที่ศิษย์รับเมื่อเป็นมนุษย์ยังถือว่าเป็นเศษกรรมนะ สิ่งที่ศิษย์รับเต็มๆ คือตอนที่ศิษย์ตกลงนรก แล้วตอนนี้เกิดเป็นคนเพื่อมารับเศษของกรรมแค่นั้น เป็นแค่เศษเท่านั้น ถ้าตอนนี้ศิษย์ไม่ชดใช้เศษให้หมด ศิษย์ยังบอกเอาไว้ทีหลัง แล้วถึงเวลากรรมมาทีเดียวแล้วศิษย์จะทนไหวหรือ  ฉะนั้นถ้าศิษย์มีโอกาส เขามาเอาคืนจงให้เขาไป แล้วเราอยากมีกรรมอีกไหม เราก็ไม่อยาก ถ้าไม่อยากมีกรรมก็ต้องรู้จักระมัดระวัง อย่าสร้างเหตุจากปาก อย่าสร้างเหตุจากการกระทำ อย่าเพียงเพราะความอยากกลายเป็นคนทำร้ายผู้อื่น อย่าเพียงเพราะความโกรธ ด่าเขาให้เจ็บปวดเลย คนเราเวลาเขาเกลียด ถ้าเขาถ้ามีธรรมะเขาอภัยได้เรื่องก็จบ ถ้าเกิดเขาไม่มีธรรมะ เขาเกลียดศิษย์แล้วเขาเอาให้ถึงที่สุด ศิษย์จะทำอย่างไร แล้วศิษย์มาแก้ ผลสายไปไหม ทำไมเราไม่ระวังตั้งแต่ต้น ช่วยศิษย์แก้ที่ปลายเหตุ อาจารย์ไม่อยากช่วย แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์แก้ตั้งแต่ต้นเหตุ อย่าสร้างกรรมที่จะทำให้เราต้องรับผล แล้วกรรมอะไรที่ทำให้เราต้องรับผลให้เราต้องเจ็บปวดปางตาย นั่นก็คือความอยาก อยากแล้วไปทำร้ายคนอื่น อยากแล้วไปฆ่าคนอื่น ความโกรธ ความเกลียด ความหลง แค่สามตัวนี้เองนะ แต่ถ้าต่อไปศิษย์รู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึก อย่าให้มันใหญ่จนขาดคุณธรรม แล้วจะนำหลักธรรมใดไปใช้ อาจารย์ให้สองคำใช้ได้ตลอดชีวิต ถ้าเกิดเป็นคนแล้วรู้จัก “เมตตา” แล้วรู้จัก “อดทน” ถ้าศิษย์เมตตาแล้วจะทำให้ใครเจ็บปวดไหม ถ้าศิษย์รู้จักอดทนอดกลั้นแล้วศิษย์จะมีเรื่องกับใครไหม
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์ทิ้งไว้แค่สองสิ่ง คือ เมตตากับอดทน ทำให้ได้นะศิษย์ เกิดเป็นคนถ้าเมตตา อดทนได้ ศิษย์ก็เบาบางเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ แต่มันก็เป็นปลายเหตุจริงๆ แล้วถ้าอยากแก้ ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้สึก แล้วก็ความยึดมั่น ทำไมเราอยาก ก็เพราะว่าอยากมีตัวตน ทำทุกอย่างเพื่อตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนนี้มันหาแก่นสารได้ไหม  สิ่งที่เป็นแก่นสารที่แท้จริงคือธรรมะที่อยู่ในตัวตน คือความเห็นแจ้งว่าอะไรในโลกมันไม่น่ายึดแล้ว แม้กระทั่งความรู้สึกก็ไม่ควรเชื่อมัน เพราะเรามัววิ่งไปตามความรู้สึกแล้วผลสุดท้ายเราก็ต้องเจ็บปวดกับความรู้สึก
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เห็นชัดในตน”)
“ท่องเที่ยวไปนอกกายมิเห็นจิต ท่องในใจตามประชิดไม่หวั่นไหว
ถูกกระทบสงบให้เป็นเห็นชัดใจ โลกทั้งใบเริ่มจบได้จากใจตน
หากยึดถือแบ่งรูปนามสมมุติ ไม่รู้หยุดเหตุจากตนแก้แต่ผล
ทันโลกแต่ไม่เคยตามทันตน ทันคนแต่ไม่เคยเท่าทันใจ”
ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือเมื่อวานนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนพูดเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ขอให้มองเห็นชัดในตน เพราะถ้าเรารู้จักเห็นชัดในตนแล้วควบคุมตนได้ การจะสร้างกรรมสร้างทุกข์ก็เป็นเรื่องยาก แต่การจะหยุดทุกข์และหยุดกรรมก็เป็นเรื่องง่าย แต่อยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะเอามันไปอบรมกาย อบรมจิตหรือไม่ เมื่อกระทบแล้วควรปล่อยวางหรือปล่อยให้มันรู้สึกแล้วครอบงำใจ ถ้าปล่อยให้มันรู้สึกแล้วครอบงำใจ ศิษย์ก็คือคนที่ไม่ได้อบรมใจอบรมจิตเลย ฟังธรรมะไปก็แค่นั้น แต่ถ้ามันกระทบแล้วเราปล่อยวาง เราปลง เราโล่ง นั่นก็คือคนที่ผ่านการอบรมกาย อบรมจิตได้ดี มนุษย์เราติดกับการยึดมั่นถือมั่น ใช่ไหม (ใช่)
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว สิ่งที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่นก็มีไม่กี่อย่าง ไม่ยึดมั่นตัวเอง ก็ยึดมั่นชื่อ ยึดมั่นลูกหลาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แท้ที่จริงแล้วมันมีอะไรให้ยึดมั่นได้ ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งที่พระพุทธะเคยไหม “จิตเมื่อยังเกี่ยวเนื่องกับความยึดมั่นถือมั่น จะหาความสงบในโลกไม่ได้เลย” เพราะสิ่งที่ศิษย์ยึดถือไม่ว่าจะเป็นตัวเอง เงินทอง เกียรติยศมันมีวันเปลี่ยนแปลงไหม แล้วถ้าวันหนึ่งมันเปลี่ยนแปลง ใจศิษย์ไม่ต้องแหลกสลายไปกับการเปลี่ยนแปลงหรือ แล้วอะไรที่เราควรยึดมั่น ความว่างที่แท้จริง ความปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความเห็นแจ้งจริงทำให้เราเกิดปัญญาสว่างโพลง ไม่ยากเลยศิษย์ แต่ยากอย่างเดียวตรงที่ศิษย์ไม่เคยเอาไปทำ  ถึงเวลาโดนกระทบก็ด่า ก็เกลียด ถึงเวลาโดนกระทบก็แช่งชักหักกระดูก อย่างนี้ไม่ได้บำเพ็ญเลยนะศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาโดนกระทบ ให้เมตตา ให้อดทน ให้อภัย ทำได้ไหม (ได้)  เพราะถึงที่สุด เราอายุมากแล้ว เราก็เอาอะไรเราไปไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ลูกหลานทำมาดีขนาดไหนเขาก็ไม่ช่วยเรา สิ่งที่จะช่วยเราคือตัวเราเอง วันหนึ่งเราต้องอยู่กับตัวเอง ตัวเองที่ไม่มีอะไรเลย และบางครั้งทำอะไรไม่ได้ ศิษย์คงต้องตายแน่ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักปล่อยวาง
ฉะนั้นวันนี้ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้การปล่อยวางบ้าง ทำไมไม่เรียนรู้การวางเฉยและเป็นสุขด้วยความสงบบ้าง ต้องรอให้ภาวะความเจ็บปวดมาบีบบังคับ แล้วเราถึงจะบอกว่า “ไม่ไหวอาจารย์เจ็บ ปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้มันทุกข์เหลือเกิน”  กายเจ็บแต่ใจไม่เจ็บก็ได้นะศิษย์ ทำไมเวลาทำงานเพียงอยากได้เงิน กายเหนื่อยขนาดไหนศิษย์ก็ไม่เคยเหนื่อย แต่ถึงเวลาโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ทำไมเราไม่ปล่อยใจออกมาจากกายล่ะ เจ็บแค่กายแต่ใจไม่เจ็บ เคยไหมคนเจ็บกายแล้วเจ็บใจ นั่นเรียกว่าโง่ซ้ำสอง
ฉะนั้นศิษย์ต้องฉลาดแล้วอยู่กับโรคให้เป็น เจ็บแต่กายใจไม่เจ็บ แก่แต่กายใจไม่แก่ นี่ถึงเรียกว่า “จิตที่หลุดพ้นจากตัวตนอันนิจนิรันดร์” จริงไหม (จริง)  เพราะถึงที่สุดสรรพสิ่งทุกอย่างในโลกต้องคืนสู่ดิน ฟ้า อากาศ ศิษย์เอาอะไรไปไม่ได้ เอาไปได้แต่บุญบาป และกรรมเวรที่เราสร้าง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์รู้ว่ากรรมมันน่ากลัว ศิษย์จะไม่อยากโกรธใครในโลก ถ้าศิษย์รู้ว่ากรรมมีจริง ศิษย์จะไม่อยากไปเอาของใครในโลก แต่คงเพราะว่านรกไม่อยู่ตรงหน้า ศิษย์เลยไม่กลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วต้องรอให้ชีวิตเราเจอนรกตรงหน้า และอยู่กับนรก แล้วเราถึงจะบอกว่ากลัว มันไม่สายไปหรือศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  เกิดเป็นคนขอแค่ให้รู้จักระวังเท่านั้นเอง เพื่อตัวเองนะศิษย์ ไม่ได้เพื่ออาจารย์
ถึงเวลาอาจารย์จะไปแล้ว มีโอกาสคงกลับมาหาอาจารย์อีก อย่าไปแล้วไปเลย อุตส่าห์ช่วยสร้าง แล้วจะช่วยอยู่ต่อไหม ทำให้ได้นะ มีโอกาสอย่ามัวห่วงเงินทองจนลืมคุณธรรมความดีงามนะศิษย์ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  บำเพ็ญธรรมไม่มีคำว่าเหนื่อย เพราะมีแต่ใจที่จะช่วยผู้คนใช่ไหม ไม่มีคำว่าเหนื่อย ไม่มีคำว่าเหงา เพราะเราเข้มแข็ง อาจารย์อยากให้ศิษย์มีหัวใจที่เข้มแข็ง รู้จักอดทน รู้จักบำเพ็ญตน ถ้าศิษย์ทำได้แค่นี้อาจารย์ก็ชื่นใจแล้ว ดีใจที่ศิษย์ยังตั้งใจบำเพ็ญ ทำให้ได้บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ยากที่สุดคือความมั่นคงของศิษย์ อาจารย์ดีใจนะที่ศิษย์กลับมาบำเพ็ญ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ อย่ามัวหลงเที่ยวหลงเพลินอะไรในโลก มันยากนักหรือบำเพ็ญธรรม น่าจะยากตรงที่ความดื้อมากกว่านะ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากปลอบขวัญ อยากให้กำลังใจให้ศิษย์รู้จักอดทนและเข้มแข็ง รู้จักบำเพ็ญธรรม อบรมกาย อบรมจิต อย่าเอาแต่อารมณ์ อย่าเพียงแค่รู้สึก เพียงแค่รู้สึกแย่ก็ไม่เอาธรรมะแล้ว เพียงแค่รู้สึกไม่ดีก็ไม่บำเพ็ญแล้ว น่าเสียดายนะศิษย์ ความเข้าใจที่เปราะบางทำให้ศิษย์กับอาจารย์ไม่ได้อยู่ด้วยกัน  มันน่าจะเป็นความเข้าใจที่เข้มแข็งมั่นคง
ฉะนั้นขอให้ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็งมั่นคงในการบำเพ็ญธรรม รู้ว่าควรทำอะไร ตั้งใจทำสิ่งที่ดีก็ดีแล้ว แต่สิ่งสำคัญก็คือต้องระวังอารมณ์ ระวังความคิดร้าย ต้องรู้จักประคับประคองจิตให้ดี อย่าปล่อยให้เพียงความคิดชั่ววูบมาทำร้ายเรา ตั้งใจบำเพ็ญนะ ดีใจที่ศิษย์บำเพ็ญ แต่กลัวอย่างเดียวมัวแต่หลงทางโลกจนไม่อยากบำเพ็ญ ใช่ไหมศิษย์ โลกนี้ปล่อยได้ก็ต้องปล่อยมันไม่เคยช่วยอะไรเราได้ มีแต่ธรรมะ แล้วแต่ว่าเมื่อไรที่ศิษย์จะเดินได้ด้วยตัวเอง เดินอย่างคนที่มีธรรม รู้จักคิด
อย่ายึดมั่นถือมั่น บางครั้งปล่อยได้ก็ต้องปล่อยนะศิษย์ เราควบคุมอะไรทุกอย่างไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งมันต้องเจอ มันต้องเกิด เราก็ต้องรับให้ได้ เข้าใจไหม การทำสิ่งที่ดีงามบางครั้งมันต้องมีอุปสรรค อย่ายึดติดมากเข้าใจไหม รู้จักทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตั้งใจบำเพ็ญธรรม มีความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งประเสริฐนะศิษย์ อาจารย์ไปแล้วนะ อาจารย์มีแต่ห่วง มีแต่ความรัก อยากให้ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตน แต่บางครั้งศิษย์ก็มีทิฐิมากเกินไป ทำให้ไม่ได้อยู่ครบสองวัน แล้วก็ทำให้ศิษย์กับอาจารย์เหมือนห่างกันไกล แม้จะอยู่กันใกล้แค่นี้ก็ตาม ตั้งใจบำเพ็ญธรรมนะ อย่ายอมแพ้ สิ่งที่มุ่งมั่นขอให้ทำให้สำเร็จ อย่าอ่อนแอนะ ทำดีแล้วก็ทำต่อไป อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาอีกดีไหม ใช่ไหมเด็กดื้อ ระวังตัวเองนะ บางครั้งชะตากรรมอาจจะเจอไม่ดีแต่ขอให้คิดในสิ่งที่ถูกต้องแล้วจะผ่านพ้นได้ อาจารย์ดีใจที่ศิษย์รู้จักเสียสละตัวเองช่วยผู้คน ขอให้รักษาจิตนี้ให้อยู่ตลอดนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อตัวเองและเพื่อบรรพชน มีความเข้มแข็ง มีความอดทน ตั้งใจทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ประเสริฐแล้ว แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งต้องระวังอารมณ์ตัวเอง อาจารย์ไปแล้วนะ เจ็บไหมอดทนนะ อาจารย์ก็อยากช่วยแต่อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์ได้หมดกรรมนะ ตั้งใจนะศิษย์ อาจารย์ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญไม่เพื่อตัวเองก็รู้จักช่วยผู้คนนะศิษย์



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
“เห็นชัดในตน”
ท่องเที่ยวไปนอกกายมิเห็นจิต ท่องในใจตามประชิดไม่หวั่นไหว
ถูกกระทบสงบให้เป็นเห็นชัดใจ โลกทั้งใบเริ่มจบได้จากใจตน
หากยึดถือแบ่งรูปนามสมมุติ ไม่รู้หยุดเหตุจากตนแก้แต่ผล


ทันโลกแต่ไม่เคยตามทันตน ทันคนแต่ไม่เคยเท่าทันใจ

ประชุมธรรมครั้งที่ ๑ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง ๑๗-๑๘ มีนาคม ๒๕๕๕
หน้า ๑ กลอนพระโอวาท บรรทัดที่ ๑๐ และ พระโอวาทครอบ
จากเดิม ปัญญาอันที่ควรรู้แยกแยะ หากแกร็นแคระอย่าหมายได้วิโมกข์
เพิ่มเป็น ปัญญาอันควรที่รู้แยกแยะ หากแกร็นแคระอย่าหมายได้วิโมกข์


ประชุมธรรมครั้งที่ ๓ สถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี ๓๑ มิ.ย. – ๑ เม.ย. ๒๕๕๕
พระโอวาทครอบ บรรทัดที่ ๑๓
จากเดิม จริยะ  เป็น  เครื่อง  หมาย  ประพฤติ  ใน  ธรรม
แก้เป็น จริยะ  เป็น  เครื่องหมาย  ประพฤติ  ใน  ทาง  ธรรม
จากเดิม ยืม “คือ” จาก “เครื่อง”   ยืม “มา” จาก “หมาย”
แก้เป็น ยืม “เครื่อง” จาก “เครื่องหมาย”


ประชุมธรรมครั้งที่ ๔ สถานธรรมผูถี จ.พิษณุโลก ๒๘ – ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕
หน้า ๑ กลอนพระโอวาท บรรทัดที่ ๔ จากล่าง และ พระโอวาทครอบ
จากเดิม จริยะจากใจการุณก็จากใจ อันมารยาทเพียรใช้ย่อมได้คือ
แก้เป็น จริยะจากใจการุณก็จากใจ อันมารยาทเพียงใช้ย่อมได้คืน


หน้า ๑๙ บรรทัดที่ ๒ จากล่าง และ พระโอวาทครอบ
จากเดิม ใจวุ่นวายแม้บำเพ็ญก็พิกล เมื่อรู้ตนรีบเปลี่ยนอย่าเสียเวลา

แก้เป็น ใจวุ่นวายแม้บำเพ็ญก็พิกล เมื่อรู้ตนรีบเปลี่ยนคืนกตญาณ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา