西元二00九年嵗次己丑九月十四日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ทุกสิ่งล้วนมีที่มาและที่ไป อย่าหลงลืมความเป็นไปในชีวิต
จะสูงสุดหรือสามัญตามแต่จิต ล้วนไม่ผิดย่อมลงสู่ผืนเดียวกัน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
เล็งมุ่งหมายเป้าชัดเจนเด่นคุณธรรม ถูกหนามคมอย่าสำทับทุกข์ใส่เกล้า
สรรเสริญแม้สนใจคารมเป็นภัยเอา ตามสัจธรรมไม่ตามเงาถ้านึกตรอง
หลายคนมักกังวลในความผิดเขา ลืมมองเข้าหาสิ่งดีในสมอง
รู้เราคิดทำลายหัดใช้ธรรมมอง วิถีมองเปลี่ยนเพื่อคุมตนเท่านาน
คนดีคิดดีน้ำหนุนเรือลอย สร้างสรรค์น้อยต้องฟังยาวพูดสั้น
อยู่ร่วมมีเพียบพร้อมทั้งคุณโทษกัน ฝึกไม่เป็นติดธรรมมั่นว่าบำเพ็ญ
มีสติรู้ตัวแต่ไม่ห้ามใจ เข้าข้างตนคนใครให้ความเห็น
แข็งใจไม่ขืนใจอ่อนกิเลสเหม็น ลังเลเล่นไว้ลมพัดไหวไหมตาม
ฮา ฮา หยุด
เห็นถึงความจริงย่อมหมดความยึดหลง เพราะหัวใจตรงไม่หลงตามให้หมองไหม้ เฝ้ารู้ใจย่อมพ้นได้ ผู้สนใจรุดบำเพ็ญ
แม้รู้ตัวเองไม่ช่วยตนสักครา ทั้งร้อยเวลาก็เลยหายใครรั้งอยู่ แก้ไขตัวไม่ไขใจ ไม่นานไพล่เสียธรรมจากตน
* ในความรู้รู้ตน ใช้เป็นจึงร่นหนทางครรลอง ใช้มิต้องสอดคล้องตริตรองหมองใจ ต้องขวนขวายทนโลกของตนทับตา เรื่องเสียน้ำตาเกิดปัญญาร้อยเท่า เรื่องของธรรมเห็นด้วยใจ ขอคิดไกล ไร้กังวล ใดไหนไม่เป็นใจ เอาหัวใจบำเพ็ญ (ซ้ำ * , ซ้ำที่ขีดเส้นใต้ 3 รอบ)
ชื่อเพลง : ยกภูเขาออกจากอก ยกโลกที่เคยทับตา
ทำนองเพลง : แหวนแลกใจ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
นั่งฟังธรรมะอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่างน้อยต้องรู้ความอดทนอดกลั้น พากเพียร แล้วก็ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเองว่าจะทนฟังให้จบได้หรือไม่ (ได้) ยังมุ่งมั่นในความคิดของตัวเองอยู่หรือไม่ (มุ่งมั่น)
เราอยู่ในโลกนี้พึงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ประมาทสติตัวเอง ไม่ประมาทอารมณ์ กิเลส ที่มากระทบใจของตัวเอง เพราะความคิดชั่วแล่นก็สามารถทำให้เรานั้นผิดพลาด ล้มเหลว และเสียใจได้ เราอยากมีอดีตที่เลวร้ายไหม อยากมีอนาคตที่สดใสหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะมนุษย์ทุกคนมักหวั่นวิตกกับอนาคต และก็กลุ้มเสียใจกับอดีตที่ผ่านมา จึงทำให้วันนี้กลายเป็นอดีตที่น่าเสียใจ และวันนี้กลายเป็นอนาคตที่ไม่สดใส ฉะนั้นอยากมีอนาคตที่สดใสและมีอดีตที่ไม่น่าเสียใจก็จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ดังคำปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า ถ้ารู้จักควบคุมการใช้จ่ายในชีวิต แม้ในปีที่ข้าวยากหมากแพง ท่านก็จะไม่ตกระกำลำบาก ฉันใดก็ฉันนั้นผู้ที่รู้จักสั่งสมความดีให้มีอยู่ เมื่อเจอกลียุคคนชั่วร้าย ความชั่วร้ายก็จะไม่ระคายศักดิ์ศรี หรือทำลายความดีในจิตใจเขา ผู้ที่มุ่งมั่นหมั่นเพียรทำสิ่งที่ดีเป็นนิจศีล แม้จะต้องพบกับยุคที่เจอแต่คนชั่ว ความชั่วเลวร้ายก็ยากจะทำให้ระคายศักดิ์ศรีความดีของเขาได้
ฉะนั้นจะดูว่าตัวเรานั้นเคยมุ่งมั่นที่จะสั่งสมคุณธรรมหรือไม่ หรือเห็นแก่ลาภยศ เงินทอง จนไม่สนใจคุณธรรมที่ควรสั่งสมในชีวิตก็ให้ดูว่า ถ้ามีคนมาขอจากเรา เราจะให้ได้ไหม ขอข้าวสักหนึ่งชาม หรือขอเงินขอทอง เราจะให้หรือเปล่า ผู้ที่รู้จักสั่งสมคุณธรรมความดีอยู่เป็นนิจศีล ต่อให้ต้องยกบ้านยกเมือง กองทัพม้าเป็นพัน ก็ยกให้ได้ด้วยใจที่ยินดี แต่ผู้ที่ไม่สามารถมองข้ามเรื่องเงินทองทรัพย์สิน ผู้ที่ไม่ค่อยทำบุญทำทาน ไม่ค่อยมีจิตเมตตาเสียสละ แค่ขอข้าวสักชาม ขอแกงสักถ้วย หน้าเขาก็เปลี่ยนสีแล้ว ฉะนั้นการดำเนินชีวิตโดยไร้คุณธรรมนั้นง่าย แต่ดำเนินชีวิตอย่างผู้มีธรรมแล้วยึดกุมหัวใจคน หาได้ยากในโลกนี้ เพราะมนุษย์มิเคยมองข้ามผลประโยชน์ได้สักที เห็นแก่ประโยชน์ เห็นแก่เงินทองมากกว่าคุณธรรมที่ควรมี จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก
แล้วทำไมวันนี้เราต้องมาฟังธรรมะ การฟังธรรมะก็เพื่อควบคุมตนเองให้รู้จักมีสติยับยั้งอะไรดี อะไรชั่ว เพราะคนที่รู้จักควบคุมตนเอง รู้จักมีสติยับยั้งนั้น ต่อให้เขาผิดพลาดไป กิเลสความเลวร้ายก็ยังไม่มาก แต่คนที่ไม่เคยควบคุมตนเองเลย วันใดวันหนึ่งอยากจะควบคุม ถามว่ากิเลสเขายังคงมีมากหรือไม่ คนที่รู้จักควบคุมเสมอๆ พลาดไปครั้งหนึ่งกิเลสก็คงไม่เยอะ แต่คนที่ไม่เคยควบคุมกิเลสในตัวเองเลย ตามไม่ทันอารมณ์ของตัวเองเลย วันนี้อยากจะทำดีสักหนึ่งวัน แต่กิเลสก็ยังคงมากมายอยู่ เพราะเขาไม่เคยตัดทิ้งเลยใช่ไหม (ใช่)
ทุกท่านในที่นี้เป็นคนชอบทำบุญ และมักคิดว่า ทำบุญก็พอแล้ว ทำบุญเยอะๆ ก็ดีแล้ว ทำไมยังต้องมาบำเพ็ญ ทำไมยังต้องมาขัดเกลาอีก ศีลห้าเอาไว้ทีหลัง ฉันชอบทำบุญอยู่เป็นนิจแค่นี้ก็ดีนักหนาแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แต่ท่านรู้ไหมว่า คนที่ขยันทำบุญแต่ไม่เคยตัดกิเลสในใจ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองในใจ มีหรือจะไม่หลงตัว มีหรือจะไม่หลงตน พอไปทำบุญมา ก็รู้สึกว่าเราจะสูงกว่าเขาหนึ่งก้าว แล้วพอใครทำผิดก็รู้สึกว่าเขาแย่จังเลย ถึงแม้จะทำดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่รู้จักตัดกิเลสข่มอารมณ์ คนดีก็หลงได้ คนดีก็ผิดได้ แล้วคนดีก็ง่ายที่จะพัวพันกับกิเลสที่ไม่สิ้นสุดได้ ฉะนั้นอย่าคิดว่าแค่ทำบุญก็หลุดพ้นแล้ว แค่ทำบุญเยอะๆ ก็สามารถเสวยสุขไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ถ้าทำบุญแล้วแต่ยังตัดกิเลสไม่ได้ ข่มอารมณ์ไม่เป็น บุญนั้นก็กลายเป็นการสร้างเหตุให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องกลับมารับผลของบุญแล้วก็ต้องรับผลของกรรมด้วย หลายคนทำบุญเพราะหวังชาติหน้าจะได้สบาย แต่อย่าลืม ส่วนที่เลวร้ายเราตัดหรือยัง ส่วนที่ไม่ดีเราข่มบ้างหรือยัง รับแต่สิ่งที่ดีแล้วแน่ใจหรือว่าสิ่งเลวร้ายที่ยังไม่ได้ตัดจะไม่ได้รับด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก) แม้จะทำบุญขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้ากิเลสไม่เคยตัด อารมณ์ไม่รู้จักข่ม นิสัยไม่รู้จักควบคุม มีบุญมากขนาดไหนก็มีกรรมมากขนาดนั้น รับส่วนดีได้ขนาดไหน ท่านก็ต้องกลับไปรับส่วนเวรกรรมขนาดนั้นเช่นเดียวกัน
ฉะนั้นถ้าอยากจะทำบุญให้พ้นจากการเวียนว่าย ก็ต้องทำแล้วไม่หวังผล ทำแล้วต้องตัดการยึดมั่นถือมั่นอารมณ์กิเลสในตัวตนด้วย
ชีวิตเกิดมาพร้อมกับบุญและกรรม หวังว่าจะได้บุญ แต่ถ้าอารมณ์กิเลสไม่ได้ตัด กรรมก็ย่อมตามมาด้วย ฉะนั้นเราจึงมีคำที่อยากจะบอกท่านอย่างหนึ่งว่า “บุคคลใดก็ตามที่สามารถดำรงจิตได้ถูกต้อง จะสามารถปราศจากซึ่งสิ่งบดบัง 3 ที่มนุษย์กลัวนักกลัวหนา นั่นก็คือกิเลส เวรกรรม และการตกนรก” แล้วจะดำรงจิตอย่างไร ที่จะสามารถควบคุมความถูกต้องและปราศจากภัยอันตรายทั้ง 3 นี้ได้
ชีวิตเกิดมาพร้อมกับบุญและกรรม หวังว่าจะได้บุญ แต่ถ้าอารมณ์กิเลสไม่ได้ตัด กรรมก็ย่อมตามมาด้วย ฉะนั้นเราจึงมีคำที่อยากจะบอกท่านอย่างหนึ่งว่า “บุคคลใดก็ตามที่สามารถดำรงจิตได้ถูกต้อง จะสามารถปราศจากซึ่งสิ่งบดบัง 3 ที่มนุษย์กลัวนักกลัวหนา นั่นก็คือกิเลส เวรกรรม และการตกนรก” แล้วจะดำรงจิตอย่างไร ที่จะสามารถควบคุมความถูกต้องและปราศจากภัยอันตรายทั้ง 3 นี้ได้
เรามาศึกษากันดีไหม นักเรียนนั่งเงียบเลย แปลว่าไม่ค่อยอยากจะสนใจ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) น่าเสียดายนะถ้ารู้ธรรมก็มาก แต่ไร้ซึ่งการลงแรงปฏิบัติ ธรรมแม้จะศักดิ์สิทธิ์เพียงใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ลงมือทำ
บางครั้งเราทุกข์เพราะหลอกตัวเองก็มี และทุกข์เพราะพยายามหลอกผู้อื่นก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นยังจะหลอกอีกไหม (ไม่หลอก) กลัวเราหลอก แต่ตัวท่านอย่าหลอกตัวเองก่อน ดีหรือไม่ (ดี) ในโลกนี้แม้จะเกิดมามีฐานะแตกต่างกันไปบ้าง แม้ความรู้ โอกาสและชะตาชีวิตจะพลิกผันเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน แต่ถึงที่สุดแล้วสัจธรรมที่มนุษย์ทุกคนพึงมีไว้และไม่ประมาทนั่นก็คือ สูงสุดย่อมคืนสู่สามัญ แม้จะโดดเด่นโด่งดังขนาดไหน แต่ถึงเวลาก็หลงลืมความเป็นสามัญไปจากใจไม่ได้ แม้ชีวิตจะสนุกสนานขนาดไหนแต่ถึงที่สุดก็ต้องมีวันจบลง แม้คนที่รักจะผูกพันมากเพียงใด แต่ถึงเวลาก็ต้องมีวันพลัดพราก แม้สิ่งที่ได้มาลำบากเพียงใดแต่ถึงเวลาก็ต้องรู้จักเสียก่อนจึงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคน เมื่อดำรงชีวิตจึงไม่ควรลืมสัจจธรรมความเป็นจริง เพราะถ้าลืมสัจจธรรมความเป็นจริงแล้วดำเนินชีวิตอย่างฝืนชะตาชีวิต หรือฝืนความเป็นจริง คนนั้นก็คือผู้ที่หาความทุกข์ใส่ตน มีใครบ้างไหมที่อยู่บนโลกนี้พบแล้วไม่พราก ได้แล้วไม่เสีย กำไรแล้วไม่ขาดทุน มีคนชมแล้วไม่มีคนว่า เป็นไปได้หรือ (เป็นไปไม่ได้) ถ้ามนุษย์พึงสังวรและตั้งตัวเองอยู่ในความไม่ประมาท แม้จะพบกับชะตากรรมที่พลิกผันเปลี่ยนแปลงอย่างไรเราก็รับไหว สติเราก็คงไม่เตลิดไป จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นถ้ารู้จักว่าชีวิตนี้ได้นั่งก็ต้องได้ (ยืน) ได้ยืนก็ต้องได้ (นั่ง) แต่จะได้นั่งเมื่อไหร่นี้ต้องคิดให้ดี ถึงเราจะรู้ว่าได้ยืนแล้วต้องได้นั่ง แต่แน่ใจหรือว่าจะได้นั่งทันที ฉะนั้นจงอย่าประมาท ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้ว เคยไหมที่คิดอย่างหนึ่งแล้วมักจะได้อีกอย่างหนึ่งเสมอ นี่แหละสัจธรรมความเป็นจริงในชีวิต หวังอย่างมักได้อีกอย่าง หวังยืนกลับได้ (นั่ง) หวังนั่งกลับได้ (ยืน) แล้วตอนนี้หวังยืนหรือหวังนั่ง อยากคิดแบบทุกข์หรืออยากคิดแบบพ้นทุกข์ (พ้นทุกข์) อย่างนั้นคิดพ้นทุกข์ ควรคิดว่าอย่างไร (ยืนก็ได้นั่งก็ได้) ถูกต้องแล้ว
ผู้ดำรงจิตถูกต้องย่อมปราศจากสิ่งบดบังทั้ง 3 คือ กิเลส เวรกรรม และนรก แล้วทำอย่างไรจึงเรียกว่าผู้ดำรงจิตถูกต้อง นั่นก็คือ รู้จักควบคุมตนเอง รู้จักตามเท่าทันสติของตัวเอง แม้จะสะดุด หกล้ม ผิดพลาด ก็ไม่กลุ้มกังวล รู้จักสำรวมระมัดระวังตัวเองมากกว่าสำรวมระมัดระวังผู้อื่น แม้จะเดินไปก็ยากที่จะไหลลื่นผิดทาง
ควบคุมตัวเอง สำรวจตัวเอง ไม่สำรวจใคร แค่นั้นเองหรือที่จะสามารถทำให้เราพ้นจากกิเลส พ้นจากเวรกรรม และพ้นจากการตกนรก ท่านว่าเป็นไปได้ไหม ดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ แต่ถามว่า ถ้าตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่คิดฟังเสียงใคร ถ้าหัวใจเราไม่ปรารถนาใคร่ดี รู้จักเก็บสำรวมระมัดระวังอยู่กับตัวอยู่กับใจ จะก่อเหตุที่ทำให้เกิดกิเลสเวรกรรมและตกนรกได้ไหม แต่เมื่อไรที่มนุษย์ลืมตาดู หูฟัง ปากลิ้มรส ใจสัมผัส เราก็อดไม่ได้ที่จะเกิดกิเลส เกิดอารมณ์ แล้วเมื่อเกิดกิเลสอารมณ์ ลืมควบคุม ไม่ควบคุม ก็ย่อมกลายเป็นเวรกรรมที่ก่อเกิดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดเป็นเวรกรรม เผลอทำผิดคิดร้ายผลก็คือลงสู่นรก
เมื่อไรที่มนุษย์สามารถหยุดยั้งการไขว่คว้าหาความผิดของผู้อื่น เมื่อนั้นมนุษย์จะสามารถตัดทางเข้าแห่งกิเลสได้ เมื่อใดมนุษย์หลุดพ้นจากอารมณ์รัก ชอบ ชัง มนุษย์จะสามารถอยู่เย็นเป็นสุขพ้นจากทุกข์ได้ เมื่อใดที่มนุษย์รู้สึกว่าเขาด่าเรา เขาว่าเรา เขาแช่งเรา เขาเอาชนะเรา เขาทำร้ายเรา เขาลักขโมยของเรา คิดอยู่อย่างนั้นเสมอ เมื่อนั้นแล้ว เวรกรรมย่อมติดตาม ไม่ว่าโลกนี้หรือโลกไหน ไม่ว่ากาลนี้หรือกาลไหนๆ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมเก่าแก่ที่มนุษย์รู้อยู่ภายในใจลึกๆ แต่มนุษย์เมื่อมองเห็นก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาด่าเรา เขาทำร้ายเรา เขาชิงชังเรา เขาเอาชนะเรา เขาลักขโมยของเรา เมื่อไรที่คิดอย่างนี้ เมื่อนั้นเรากำลังเริ่มที่จะผูกเวร และก่อเวรที่ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นอยากหยุดเวร อยากหยุดกิเลส และอยากหยุดกรรม จงอย่าพยายามเฝ้าจับผิดผู้อื่น จงอย่าพยายามให้อารมณ์รักชังมาควบคุมใจจนเกินไป และจงอย่าพยายามคิดว่าเขาทำร้ายเรา อย่าผูกยึดมั่นเกินไป ถ้าเมื่อไรเราสามารถตัดเหตุแห่งภัยทั้ง 3 นี้ได้ สิ่งที่จะมาบดบังก็ยากที่จะเกิดขึ้นในใจเราได้
ที่มนุษย์ชอบเป็นก็คือ ผืนดินที่นาในหัวใจของเราเอง ไม่เคยชำระล้าง ไม่เคยคิดจะถอนสิ่งที่ไม่ดีทิ้ง แต่ชอบคิดจะไปกำจัดหญ้าของบ้านคนอื่น แต่หญ้าของบ้านตัวเองกลับมองไม่เห็น ฉะนั้น อยากจะเป็นผู้บำเพ็ญจึงต้องรู้จักสำรวมระมัดระวังตน ไม่ให้มือตัวเอง ใจตัวเองไปชี้หน้าว่าใคร บางครั้งเราก่อเวรก่อภัยและก่อนรก เพียงเพราะปากที่ชอบไปยุ่งเรื่องคนอื่น หูที่ชอบไปฟังเรื่องของผู้อื่น ถ้าเราอยากหยุดเวร หยุดภัย และไม่อยากตกนรกก็จงหันมามองตัวเองเยอะๆ แก้ไขตัวเองเยอะๆ ก่อนที่จะคิดไปแก้ไขใคร
เหมือนวันนี้เราเดินไปเดินมา ท่านก็ถนัดที่จะมองตัวเราที่เดินไปเดินมา มากกว่าหันมองตัวเอง แล้วเวลามองก็อดที่จะพยายามจับผิดไม่ได้ หรือแม้ยามที่จะฟังก็อดคิดไม่ได้ว่าเขามีอะไรผิดไหม เพราะว่าตาเรานั้นเป็นตาที่มองออกมากกว่ามองเข้า แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์รู้จักสงบ ตาแม้จะมองออกก็หันกลับมามองเข้าได้
เราอยู่ในโลกเราอดได้ไหมที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้ความรัก ความชังมามีบทบาทในตัวเรามาก ไม่ค่อยได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าในชีวิตเราไม่มีสิ่งที่รักมาก เราจะมีสิ่งที่เกลียดมากไหม ไม่มีสิ่งที่กำหนดว่าชอบจะมีสิ่งที่ตรงกันข้ามแล้วไม่ชอบไหม ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสุข จะมีทุกข์ให้บังเกิดไหม ฉะนั้นถ้าเรามองทุกอย่างว่าอะไรได้ก็ดีแล้ว อะไรเกิดก็พอแล้ว เราจะมีทุกข์หรือสุขให้วิ่งวนไหม (ไม่มี)
การมีอารมณ์มากเกินไปฉันใด บ่งบอกให้เห็นถึงจิตใจตัวเองได้ฉันนั้น เคยเห็นคนที่เราเกลียดมากๆ ไหม เราเทียบเขาเหมือนกับอะไร (ไส้เดือน, กิ้งกือ) ท่านนี้บอกว่าเห็นคนน่าเกลียดเหมือนกิ้งกือไส้เดือน เวลาเราเจอคนหลอกลวง คนคิดคด เรารู้สึกเกลียดเขาจนรู้สึกเขาเหมือนอะไร แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน คนที่น่ารังเกียจท่านคิดว่าเขาเหมือนตัวอะไร (เหมือนสุนัข, หัวผักกาด) ทำไมถึงคิดว่าเขาเหมือนหัวผักกาดล่ะ (ไม่ชอบกินหัวผักกาด) ก็น่ารักดีนะ แล้วท่านอื่นล่ะ (เหมือนตัวเงินตัวทอง) เมื่อสักครู่เราบอกแล้ว ถ้าคนมีสติไตร่ตรองสิ่งที่เราพูด เขาจะคิดได้ว่า สิ่งที่เราชอบ ชัง ล้วนบ่งบอกความเป็นตัวเองหรือจิตใจภายในของเรา ฉะนั้นเราค้นหาความผิดของผู้อื่นมากเท่าใด ก็แสดงว่าเรามีสิ่งที่เป็นความผิดของผู้อื่นสถิตอยู่ในตัวมากเท่านั้น เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ) นั่นก็คือเมื่อไรที่เราเห็นเขาน่ารังเกียจ แปลว่าใจของเราก็มีสิ่งที่น่ารังเกียจ ฉะนั้นพุทธะจึงกล่าวว่า “คนเกลียดกันขนาดไหน ถ้ามองเขาแล้วบอกว่าเขาเหมือนกองขี้หมา นั่นก็แปลว่าใจของเรานั้นก็มีกองขี้หมาอยู่ด้วย” ฉะนั้นพุทธะจึงไม่แบ่งแยกมนุษย์ว่าเป็นคนที่น่ารังเกียจ หรือคนที่ดี เพราะรู้ว่าเมื่อไรมองผู้อื่นเป็นอย่างไรนั่นแสดงว่าจิตใจของตัวเองมีสิ่งนั้นสถิตอยู่ฉันนั้น มองผู้อื่นฉันใด ใจเรานั้นก็ไม่ต่างกับเขาฉันนั้น ก่อนที่จะว่าคนอื่นแปลว่าในใจเรานั้นต้องมีสิ่งนั้นมาก่อน เมื่อใดที่มนุษย์คิดค้นหาความผิดของผู้อื่น แปลว่าตัวเองก็มีสิ่งนั้นอยู่ด้วยไม่ต่างกัน เราก็บอกไว้ตั้งแต่ต้น อารมณ์ชอบชังเป็นบทบาทของจิตใจ ฉะนั้นเราพูดอย่างไร เกลียดอย่างไร คิดเห็นอย่างไร จิตใจเราก็ไม่ต่างกัน
อย่าลืมว่าตัวเราก็มีทั้งดีและร้าย ถ้าคนอื่นเขามีร้ายแล้วเขาจะไม่มีดีหรือ ตัวเราบางครั้งอารมณ์ดี แล้วบางครั้งจะไม่อารมณ์ร้ายหรือ ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมจึงควบคุม สำรวจตัวเอง แต่ไม่พยายามควบคุมและสำรวจผู้อื่น เพราะการพยายามค้นหาความผิดของผู้อื่นเป็นหนทางแห่งกิเลส การพยายามปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์รัก โลภ ชัง ล้วนเป็นหนทางแห่งการทุกข์ยาก การพยายามตำหนิคนอื่นว่าเลวร้ายไม่ดี ล้วนเป็นหนทางแห่งการจองเวรจองภัยที่ไม่สิ้นสุด ฉะนั้นอยากตัดภพตัดชาติ หรือก่อภพก่อชาติ ขึ้นอยู่กับตัวท่านจะรู้จักควบคุมตัวเองและสำรวมตัวเองหรือไม่ เพราะความมีตัวตนล้วนเป็นเหตุแห่งทุกข์ การแบ่งแยกและยึดมั่นล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ยาก แต่น้อยคนนักที่รู้แล้วจะลงแรง ตัดอกตัดใจ หมั่นควบคุมกิเลสตัวเองภายในใจให้ลดน้อยเบาบางได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ยกภูเขาออกจากอก ยกโลกที่เคยทับตา” ทำนองเพลง “แหวนแลกใจ”)
มีหลายท่านนั่งฟังแล้วเหมือนฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะไม่รู้ปล่อยให้อะไรบังตาบังใจ ถ้าความกังขาบังตาบังใจ ฟังธรรมะก็ฟังไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง ฉะนั้น สิ่งที่วันนี้เราพูดมามีอยู่แค่ประเด็นเดียวนั่นก็คือ ทำไมเราถึงต้องบำเพ็ญธรรม ควบคุมอารมณ์และมีสติตามเท่าทันตัวตน และรู้จักเข้มงวดตัวเองมากกว่าเข้มงวดผู้อื่น สำรวจความผิดตัวเองมากกว่าสำรวจความผิดของผู้อื่น เพราะผู้ที่ปฏิบัติได้ย่อมสามารถหลุดพ้นจากกิเลส เวรกรรม และการตกนรก สิ่งที่เราให้ทำเป็นเรื่องยากไหม ต้องจำธรรมะเป็นพันข้อไหม (ไม่) แค่เพียงควบคุมตัวเอง หันมามองตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่คิดแก้ไขความผิดใครเท่านั้นเอง เพราะการเพ่งเพียรหาความผิดของผู้อื่น เป็นหนทางแห่งกิเลสทั้งสิ้น การเอาแต่โทษผู้อื่นเป็นการก่อเวรกรรมที่ไม่สิ้นสุด และการหมุนเวียนไปตามอารมณ์ที่ไม่รู้จักควบคุมก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ แล้วเราจะปรับจิตปรับใจอย่างไรที่จะทำให้รักกับชัง ทุกข์กับสุขเป็นระนาบเดียวกัน ทำได้ไหม (ได้) เงินให้ความสุขที่สุดได้ เงินก็พลิกให้ความทุกข์ที่สุดได้ ฉะนั้น เวลาได้เงินก็จงอย่าดีใจ เพราะได้เงินก็อาจจะได้ทุกข์และเสียใจด้วย วันนี้คนชมก็อย่าดีใจ เพราะว่าในใจเขาอาจจะแอบว่าเราก็ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเรามองทุกข์สุขเป็นระนาบเดียว ชอบชังเป็นสิ่งเดียว เราก็คงไม่ปล่อยให้อารมณ์นั้นมาควบคุมจนทำให้เรามีแต่ความทุกข์ไม่มีวันพ้นทุกข์หรอก ใช่หรือไม่
ควบคุมผู้อื่นยาก แต่ควบคุมตัวเองยากกว่า ผู้ที่รบชนะ คือชนะใจตัวเอง ประเสริฐกว่าชนะใจผู้อื่น ชนะคนอื่นเรียกว่า เข้มแข็ง แต่ถ้าชนะใจตัวเองเรียกว่า ผู้มีปัญญา ฉะนั้นเอาชนะตัวเองให้ได้ อย่าทำให้สิ่งที่รักที่สุดทำให้เราทุกข์ที่สุดเพราะตัวเองกำหนดเอง ถ้ารักทุกๆ คนเท่ากัน ไม่แบ่งว่า นี่สามีฉัน นี่ลูกฉัน นี่ของฉัน เราก็คงไม่เจ็บปวดมากเพราะมีคำว่า “ฉัน” หรอกนะ แล้วฉันกับเขา เขากับเธอ ถึงที่สุดก็กลับสู่ดินเดียวกันใช่หรือไม่ จะแบ่งทำไม ยอมได้ก็จงยอม ลดได้ก็จงลด ไม่ดีกว่าหรือ ถือเงินหนึ่งบาทหนักไหม (ไม่หนัก) แต่จะหนักทันทีเมื่อเป็นของเรา หนึ่งบาทก็กลับเป็นหนักได้ ถ้าวันใดวันหนึ่งอยากจะซื้อเสื้อราคาหนึ่งร้อยแต่มีเงินเพียงเก้าสิบเก้าบาท ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นชีวิตขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ทุกข์สุขเราเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น วิงวอนกราบขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าตัวเองทำใจไม่ได้ ปรับใจไม่ได้ ไหว้พระทั้งเก้าวัดก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทำบุญมากมายแต่ยังยึดมั่นหวังผล ก็ทำให้เรายิ่งเป็นทุกข์
วันนี้ทุกสิ่งล้วนมีที่มาและที่ไป สัจธรรมความเป็นจริงปรากฏได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งผู้อื่นและตัวเรา ไม่มีใครหนีความจริงบนโลกใบนี้ได้ ขอให้เอาความรู้นี้มาใช้ให้ถูกต้อง ฟากฝั่งแห่งพระพุทธะก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม หนทางแห่งความพ้นทุกข์ก็จะไม่อยู่ไกลจากสายตาเรา ถ้าเรารู้จักควบคุมตัวเองไม่ไปคิดควบคุมใคร ไปล่ะนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนทุกคนชื่นชอบในความดี เผลอหลงยึดความดีจนปฏิบัติไม่ได้
อะไรที่คิดเห็นต่างก็ปฏิเสธไป เมื่อไม่ปรับเข้ามาใช้หายตามกาล
คนยุคใหม่หมายจะปรับจะฉีกกฎ ทำทุกสิ่งได้หมดไม่ยึดมั่น
เมื่อเป็นคนที่ไม่คิดจะฟังกัน อย่างน้อยพึงยึดมั่นในความดี
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับเราไหม
วายุพัดใบไม้แรงแรงร่วงหล่น ชีวิตคนก็หมุนสุดตามขวากหนาม
สาระอันที่ทำมากินเกียรติกาม อาจารย์เตือนอย่าตามเจ้ากลับแนบสนิท
ใจอย่าบอดเจ้ารู้ว่าดูชัด คนฉลาดเหมือนใครรู้ทำน้อยนิด
บำเพ็ญให้ได้แรงได้กุศลในจิต มารมีฤทธิ์มิฝึกกล้าฝ่ากำแพง
ศิษย์เอยก่อนมาใจรับไม่ฟัง บางพลังเปลี่ยนแปลงจงไม่หน่ายแหนง
บำเพ็ญจักรู้ผลอย่ารู้ปรุงแต่ง เจ้าคล้ายเหมือนรู้แสร้งเลยแสร้งรู้
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กินอิ่มร้องเพลงมีความสุขดี ใช่ไหม (ใช่) การกินก่อให้เกิดสุขหรือก่อให้เกิดทุกข์ ถ้าห้ามความโลภไม่ได้การกินก็ก่อให้ทุกข์ เพราะสิ่งนี้ก็อยากกิน สิ่งนั้นก็น่ากินจนกินไม่รู้จักอิ่ม ถ้ากินจนไม่รู้จักหยุด ก็ทำให้เกิดทุกข์ได้ จากความสุขที่ควรจะได้ก็กลายเป็นทุกข์ทันที
ศิษย์เคยเดินออกไปแล้วเจอฝนไหม (เคย) ฝนเบาๆ หรือฝนหนักๆ หรือเจอทั้งเบาทั้งหนัก ฝนที่ตกพรำๆ หรือฝนที่ตกหนักๆ ทำให้ศิษย์เป็นไข้ ถ้าโดนฝนน้อยๆ แล้วไม่รีบอาบน้ำ คิดว่าช่างเถอะ แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นไข้ แต่ฝนตกหนักๆ พอเรารู้ว่าตัวเปียกก็ต้องรีบอาบน้ำ ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า บางครั้งกลับทำให้เราป่วยน้อยกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้แม้บางทีฝนจะตกหนักขนาดไหน จิตใจก็สามารถตัดได้ทัน แต่ถ้าเกิดฝนตกพรำๆ จิตใจกลับตัดได้ยาก เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดไหม
ฝนก็เหมือนกับกิเลส โดนนิดๆ หน่อยๆ ศิษย์ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร ยังสู้ไหว ยังทนได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เราลืมไปว่าหัวใจเราอ่อนแอ พอโดนอีกสักหน่อย น้อยๆ แต่บ่อยๆ ศิษย์ก็เจ็บช้ำจนไม่ลืมก็มี แต่บางเหตุการณ์แม้เจอหนักหนาสาหัสขนาดไหน แต่ถ้าเปรี้ยงเดียว บางครั้งกลับทำให้ศิษย์ตัดอกตัดใจได้ไวก็มี ฉะนั้นชีวิตนี้เราควรจะปล่อยให้ตัวเองโดนฝนจนเปียกปอน เจ็บจนช้ำในแล้วจึงรู้จักป้องกันไหม เราควรจะปล่อยให้ถูกกิเลสคลุกเคล้า ถูกอุปสรรคปัญหาชีวิตสอนให้รู้จักชีวิตแล้วศิษย์ค่อยรู้จักป้องกันชีวิต ไม่สายเกินไปหรือ (สาย) แล้วเราควรยึดถืออะไรที่จะทำให้เรารู้จักยับยั้งชั่งใจ รู้จักควบคุมการดำเนินชีวิตได้โดยไม่ประมาทผิดพลาดไป แม้ล้มลุกคลุกคลานไปก็ยังมีกำลังใจกลับมายืนใหม่ได้ (ถือศีล, ธรรมะในใจ) ถือธรรมะเป็นที่พึ่งดีกว่านะ แต่ธรรมะข้อใด และเหมาะกับอะไร เดี๋ยวศิษย์กับอาจารย์มาคุยกันดีไหม (ดี) อาจารย์มีเรื่องจะพูดกับศิษย์เยอะแยะ อยากจะพูดแต่เวลามีน้อยเหลือเกิน
สิ่งที่ศิษย์ทุกคนปรารถนาตั้งแต่เกิด นั่นก็คือความอิสระ เมื่อไหร่พ่อแม่จะให้อิสระเสียที อิสระที่จะพูด อิสระที่จะคิด อิสระที่จะทำ มนุษย์ปรารถนาความอิสระ แต่ถ้าเกิดว่าเราปรารถนาความอิสระแต่ไม่ระมัดระวังว่าในความอิสระนั้นมีข้อจำกัด อิสระนั้นก็จะสอนให้รู้จักคำว่า “จำกัดไม่ลืมไปตลอดชีวิต” พูดแบบนี้ศิษย์คงนึกไม่ออก
ยกตัวอย่างง่ายๆ คนๆ หนึ่งเกิดมามีชีวิต เรียนก็ไม่อยากเรียน อยากมีชีวิตอิสระ อยากทำอะไรก็ได้ตามที่ใจคิด แม่ซื้อรถมอเตอร์ไซด์ให้คันหนึ่ง พอได้รถก็ขับอย่างเร็ว โดยไม่สนใจอะไร แต่ผลสุดท้ายความอิสระสอนให้เขารู้ว่า ทุกชีวิตมีข้อจำกัด แล้วถ้าเกิดไม่ลืมเลือนข้อจำกัดนี้ อิสระก็ยังอยู่ได้ยาว ผลสุดท้ายเขาก็ประสบอุบัติเหตุแล้วก็ไม่ได้อิสระอีกเลยในชีวิตนี้
ฉ้นใดก็ฉันนั้น มนุษย์เราถ้าคิดอยากจะมีอิสระ อาจารย์จะห้ามความคิดของศิษย์ได้อย่างไร ศิษย์อยากคิดอาจารย์ไม่ว่า แต่ถ้าศิษย์หยุดความคิดไม่ได้ คนที่ต้องตายทั้งเป็นเพราะความคิดคือใคร (ศิษย์เอง) ศิษย์เคยนอนไม่หลับเพราะความคิดไหม (เคย) แล้วเคยบอกว่า หยุดสักทีอยากนอนแล้ว หยุดได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร คิดมากเกินไปเขาก็ว่าฟุ้งซ่าน คิดน้อยเกินไปก็เป็นอันตราย ไม่คิดเลยก็ไม่ได้ ฉะนั้นอยู่คนเดียวต้องระวังความคิด คิดโดยไม่ศึกษาไม่ได้ และศึกษาโดยไม่คิดก็ไม่ดี ความคิดที่เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อขึ้นอยู่กับตัวคนก็ต้องรู้จักจำกัด เพราะไม่อย่างนั้นจะตายเพราะความคิด
ศิษย์อยากกินอะไรก็กิน แล้วการกินโดยที่ลืมความจำกัดของชีวิตจะทำให้ศิษย์ตายทั้งเป็นไหม ยังไม่ตายก็ทรมาน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วการกระทำถ้าทำโดยไม่ยั้งคิด คิดจะทำก็ทำ ทำโดยไม่สนใจข้อจำกัดของตัวเอง หรือข้อจำกัดของสังคม เท่ากับศิษย์กำลังเดินไปสู่หนทางแห่งความตายแท้ๆ อิสระที่แท้จริงต้องไม่ลืมข้อจำกัดของชีวิตด้วย อย่าเป็นคนที่ชอบแต่จะแหวกกรอบ ไม่อย่างนั้นคนที่แหวกกรอบบ่อยๆ ก็จะได้รู้จักกรอบที่หนีไม่พ้นแน่ๆ อิสระที่แท้จริงที่มนุษย์ควรไขว่คว้า ควรค้นหาและควรทำให้ได้ ควรจะปรารถนาให้มีในชีวิตแล้วจะนำความบริสุทธิ์แห่งจิตใจมาสู่ตัวเราได้ จะนำความสงบสุขมาสู่ชีวิตเราได้ นั่นก็คือ มีอิสระจากกิเลส อารมณ์ และความพัวพันในโลกนี้ มนุษย์ถ้ามีอิสระจากกิเลส อารมณ์ ความยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าจะไปจะมาก็มีความเป็นอิสระ แม้จะดำรงอยู่กับสิ่งใดก็มีความกระจ่างชัด ปราศจากสิ่งบดบัง คนผู้นั้นจะยังคงความบริสุทธิ์ดีงามกับมีความสุขใจได้ คนที่สามารถมีอิสระในความปรารถนาใคร่อยาก หลุดพ้นจากความปรารถนาใคร่อยากด้วยความรู้พอแล้ว คนนั้นจะพบความสงบสุขได้ นี่แหละเรียกว่าอิสระที่นำไปสู่ความบริสุทธิ์และความสุขที่แท้จริง
เราสามารถมีอิสระจากกิเลส อารมณ์ ความยึดมั่นในตัวได้ ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ โดยไม่ผูกพัน จิตไม่ยินดียินร้าย ดำเนินชีวิตโดยไม่ให้แพ้หรือชนะ ได้หรือเสีย มาก่อความวิตกกังวลจิตใจ เมื่อนั้นหนทางแห่งความบริสุทธิ์ หนทางแห่งปัญญาที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น ก็จะอยู่ไม่ไกลตัวศิษย์เลย แต่หลายคนในโลกอยู่ด้วยความผูกพัน เกาะเกี่ยวด้วยความติดยึด หนีไม่พ้นความแพ้ชนะ ได้เสีย ยินดียินร้าย หัวใจจึงไม่สามารถค้นพบความสงบและความบริสุทธิ์ได้เสียที โลกนี้มีอะไรให้ศิษย์ห่วงหรือ ชีวิตนี้มีอะไรให้ศิษย์รักจนปล่อยไม่ลงหรือ ในเมื่อทุกสิ่งล้วนเป็นความไม่เที่ยงและความว่างเปล่า มีทุกข์ไม่เที่ยง และไร้ตัวตน เรากำลังค้นหาอะไร หาความมีเยอะๆ เพื่อไปสู่ความทุกข์ที่ไม่เคยได้พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้ารู้จักมีอย่างพอประมาณ ทุกข์ก็น้อยหน่อย ปล่อยวางได้มาก
สมมติมือหนึ่งศิษย์ถือกระเป๋า อีกมือศิษย์ก็ถือโทรศัพท์ อีกมือถ้าหิ้วได้ศิษย์จะถือขนมของกินไว้เผื่อจะหิว ศิษย์เดินไปไหนมาไหนสะดวกไหม (ไม่สะดวก) เวลาของที่เราถือไว้ตกหล่น ใจเราตกไปด้วยไหม หายไปด้วยไหม (หาย) แล้วตกแล้วหายแล้ว ทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วเรายังอยากเกี่ยวอยากยึดอีกไหม ตกก็ทุกข์เก็บมาก็ทุกข์ โลภอีกทุกข์ไหม (ทุกข์) เก็บอีกไหม (เก็บ) อาจารย์เห็นศิษย์เป็นอย่างนี้กันทุกวัน อาจารย์ก็ได้แต่บอกว่า เมื่อไรจะพ้นสักที ของบางทีเก็บมาแล้วไม่เก็บน้อยด้วย นิสัยมนุษย์เก็บอย่างเดียวไหม (ไม่) ซ้ายขวาเก็บได้เก็บหมด ซ่อนได้ก็ซ่อน ใช่ไหม (ใช่) พอเก็บมาแล้วคนที่หนักใจเพราะของที่เก็บมากๆ คือใครล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วมีวันสงบสุขไหม (ไม่มี) อาจารย์บอกให้ศิษย์เลิกแสวงหาหรือเปล่า (เปล่า) แต่ให้รู้จักหาอย่างพอและปล่อยวางบ้าง ถ้าวันต่อวันศิษย์ยังปล่อยไม่ได้ พอแก่ตัวไปแล้วจะปล่อยได้ไหม (ไม่ได้) เพราะแบกมาเต็มที่แล้ว จะปล่อยสักอย่างหนึ่งศิษย์ยังปล่อยไม่ลงเลย
ในที่นี้ทุกคนล้วนนับถือศาสนาพุทธ แต่ข้อปฏิบัติของพระพุทธองค์ที่ศิษย์นับถือและศรัทธาบอกว่าดี ศิษย์กลับทำไม่ถึง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์ถามจริงๆ นะ หนทางที่พระพุทธองค์กำหนด แท้ที่จริงแล้วถ้าเรารู้จักนำมาศึกษาปฏิบัติทีละข้อๆ ศิษย์ว่าทำได้ไหม (ได้) แต่ศิษย์สู้ท่านไม่ได้ก็ตรงหัวใจที่ไม่มั่นคง หัวใจที่ไม่เด็ดเดี่ยว เมื่อไม่มั่นคง ทำอะไรจึงไม่ทำให้ถึงที่สุด ไม่แพ้ภัยผู้อื่นก็แพ้ภัย (ตัวเอง) แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า อย่าไปโทษผู้อื่นเลย โทษตัวเองดีกว่า ตัวเองไม่แน่จริง พอเจอข้อทดสอบก็ละลาย ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่นับถือความดี แต่ถึงเวลากลับไม่เคยเอามาประพฤติปฏิบัติ
คนในโลกนี้มักจะเป็นคนฉลาดไม่มีใครยอมใคร ทุกคนหัวแข็งทั้งนั้น ใครสอนใครได้บ้าง ใครว่าศิษย์ได้บ้าง ไม่ว่าจะสูงกว่า ระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าก็ว่าศิษย์หัวแข็งคนนี้ไม่ได้เลย ถึงจะพยักหน้าแต่ใจไม่ยอมรับ จึงทำให้แม้จะเป็นคนดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่คิดจะแก้ไขสิ่งที่ผิด คนดีก็พร้อมที่จะเป็นคนไม่ดีได้ คนดีที่แท้จริงที่พระพุทธะเคยกล่าวไว้ก็คือ คนที่คิดเสมอว่า ตัวเองต้องปรับปรุง ตัวเองต้องแก้ไข ตัวเองต้องรู้จักน้อมนำรับฟังคำติเตียนของผู้อื่นได้มาก ปรับปรุงแก้ไขให้ตัวเองดีขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ ยิ่งต้องแก้ให้ดียิ่งขึ้น แต่มนุษย์ในโลกหัวแข็ง มักจะบอกว่าดีแล้ว หรือไม่ก็เลวแล้ว ไม่เอาแล้ว ใช่ไหม
สิ่งที่ทุกศาสนาสอนเหมือนกัน นั่นก็คือละเว้นจากความชั่ว ยังกุศลให้บังเกิดในจิตใจและทำจิตใจให้บริสุทธิ์ วันนี้อาจารย์ก็ขอเอาสามอย่างนี้มาเป็นหนทางการบำเพ็ญให้ศิษย์ในที่นี้ได้รู้จักดำเนินตาม ละเว้นจากความชั่ว ยังกุศลให้บังเกิด และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ศิษย์คิดว่าเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก) แต่เพราะอะไรเราจึงไม่สามารถกำจัดความชั่วร้ายในจิตใจ และยังกุศลให้บังเกิดในชีวิตแล้วชะล้างจิตให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง อะไรที่เมื่ออยู่ในใจเราแล้วมักจะทำให้เรากลายเป็นคนประพฤติผิด (กิเลส, ความคิด, ความโลภ, ความหลง, ความเห็นผิด, ความยึดติด, ความกลัว, ความอิจฉา, ความรักมากไป, ความไม่รู้จักพอ, การยึดติด, ทำอะไรเร็วเกินไป, ความทิฐิ, อารมณ์ของตนเอง, ความอดทน, ความยึดมั่นถือมั่น) แปลว่าถ้าสังคมชั่วร้ายศิษย์ก็จะชั่วร้ายตามเขา ใช่หรือไม่ สังคมไม่ดีใช่ว่าเราจะต้องไม่ดีตามสังคม ที่ควรจะทำก็เลยไม่ได้ทำสักทีใช่หรือไม่
(ความไม่รู้จักพอ, ความมักง่าย, ความอิจฉา, ความเห็นแก่ตัว, ความลังเล, การไม่รู้จักประมาณตนเอง, มารผจญ) มารผจญรอบๆ ตัวเราหรือ ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงไม่กลัวมาร ถ้าคิดว่าเขาเป็นมารศิษย์ก็เป็นมารด้วยนะ จำไม่ได้หรือ เมื่อวานท่านหันต้าเซียนท่านพูดไว้ว่า “เราว่าคนอื่นเป็นอย่างไรแปลว่าเราก็มีอย่างนั้น”
สิ่งที่จะสามารถทำให้ศิษย์หลุดพ้นจากความชั่วร้ายได้นั่นก็คือ การมีศีล ผู้ที่ดำรงอยู่ในศีลจะไม่สามารถประพฤติผิดได้ แต่เมื่อไรที่ผู้ใดผู้หนึ่งไม่สามารถรักษาศีลได้สักข้อหนึ่ง แม้ข้อที่ง่ายที่สุดคือ ห้ามโกหก ศิษย์ก็จะสามารถทำชั่วได้ง่าย แล้วข้อใดที่เป็นกิเลสที่ทำให้เราไม่สามารถพ้นความผิดบาปได้นั่นก็คือ ความโลภในจิตใจ เมื่อใดที่มีความโลภ ผู้นั้นจะไม่สามารถยังความบริสุทธิ์ผุดผ่องในจิตใจได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์ชอบกินอาหาร แล้วอาหารที่ศิษย์กินต้องเป็นอาหารที่ชอบ ตามใจลิ้นแล้วก็ตามใจหัวใจหรือความทรงจำนี้ว่าอยากจะกินอะไรตอนหิวๆ แต่เราถึงกับลืมเลือนความเมตตาไป เพียงเพราะอยากกินแล้วโมโหหิว เพียงเพราะว่าตามใจลิ้น ตามใจจนลืมคุณธรรมแห่งความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือถ้าพูดง่ายๆ ศิษย์ทุกคนชอบกินเนื้อสัตว์ อาหารชนิดไหนไม่มีเนื้อสัตว์กินไม่ค่อยอร่อย กินไม่ค่อยลง ถ้าเกิดหัวใจศิษย์มีความเมตตา อาจารย์ถามว่าศิษย์จะกินเนื้อสัตว์ลงไหม (ไม่ลง) แต่เพราะอะไร เพราะกลิ่นมันหอม เพราะลิ้นมันจำรสได้ว่าต้องกิน ฉะนั้นศิษย์ยอมทิ้งคุณธรรมแห่งความเมตตาเพียงเพราะความรู้สึกของลิ้น คนๆ หนึ่งยอมทิ้งความเมตตาเพียงเพราะตามใจลิ้น นี่หรือเรียกว่า “คน”
บางครั้งเรายอมโกหกผู้อื่นเพียงเพราะจะได้ไม่เสียหน้า เราอยากได้ของผู้อื่นเพียงเพราะฉันอยากได้ ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเดือดร้อน ฉะนั้น ถ้ามนุษย์ผู้ใดรู้จักมีศีลธรรม ผู้นั้นจะไม่สามารถสร้างความผิดบาปให้เกิดขึ้นในชีวิตและจิตใจได้เลย และเรารู้ไหมว่าเมื่อมีศีลก็บังเกิดธรรม ในศีลนั้นถ้ารู้จักรักษาก็จะประกอบไปด้วยคุณธรรมด้วย ไม่ฆ่าสัตว์คือ มีความเมตตา รู้จักรักชีวิตผู้อื่น รักชีวิตตัวเองก็รักชีวิตผู้อื่น เคารพชีวิตตัวเองก็เคารพชีวิตผู้อื่น เมื่อทำได้เช่นนี้ความเมตตาจะบังเกิดในจิตใจ เมื่อรู้จักรักของๆ ตัวเองก็ต้องคิดว่า คนอื่นก็ต้องรักของๆ เขาด้วย เมื่อไม่คิดอยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง มโนธรรมสำนึกจะบังเกิด เมื่อเราไม่ผิดลูกผิดเมียใคร จะบังเกิดจริยธรรม แล้วข้อต่อไปคือ ไม่มุสา สามารถยังคุณธรรมข้อสัตยธรรมให้กับชีวิต อีกข้อหนึ่งคือ ไม่ดื่มสุราจะบังเกิด “สติ” หรือเรียกว่า “ปัญญาธรรม” ถ้ารู้จักมีศีลมีธรรมความชั่วร้ายจะไม่บังเกิดในจิตใจของศิษย์เลย
อีกข้อหนึ่ง ยังกุศลให้บังเกิดในจิตใจ เราจะสามารถยังกุศลให้บังเกิดได้อย่างไร ถ้าเรายังเป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหร้าย ความอดทนสั้น พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ชนใดก็ตามมีความอดทนในการถูกด่า ถูกว่า ชนผู้นั้นเรียกว่า “ผู้ประเสริฐสุด” ถ้าอยากจะยังกุศลให้บังเกิดก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ไม่ให้เป็นคนโมโหง่าย หงุดหงิด และเอาแต่ใจ การให้ทานที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ความเป็นตัวตนออกไปจากใจ นี่แหละเรียกว่า ทานที่ยิ่งใหญ่โดยแท้
ยังความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นในชีวิต จะยังความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างไร ตัดโลภ ตัดโกรธได้ ตัดความหลง มนุษย์เราอดหลงตัวหลงตนไม่ได้ เมื่อหลงตัวหลงตนก็แบ่งตน แบ่งเขา แบ่งเรา เราจึงไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ แต่ถ้าอารมณ์โลภ โกรธ หลง ศิษย์ตัดไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้น ภพทั้ง 3 และภูมิวิถี 6 โลภตัดไม่ได้ ก็เป็นเปรต โกรธตัดไม่ได้ก็เหมือนนรก หลงตัดไม่ได้ก็เป็นเดรัจฉาน ฉะนั้นธรรมที่ศิษย์พึงรู้ไว้ไม่ว่าศาสนาใดก็สอน นั่นก็คือไม่ทำความชั่วให้ปรากฏ ยังกุศลให้เกิดแก่จิตใจและนำพาจิตใจสู่ความบริสุทธิ์ด้วยการควบคุมโลภ โกรธ หลง ให้ดีให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ไม่ดี ภพแห่งการเวียนว่ายตายเกิดก็เกิดขึ้นได้เมื่อศิษย์หมดสิ้นอายุขัยเป็นแน่ ชอบนักเกิดเป็นคนมีอะไรต้องดูให้หมด เวลาตายก็ไปตามสายตาที่ชอบดู เกิดมามีอะไรแปลกๆ ศิษย์ต้องกินให้หมด เวลาตายศิษย์ก็ไปตามปาก เรื่องที่ไม่ควรฟังก็อยากฟัง อยากรู้ เวลาตายไปก็ออกไปตามหู แล้วนึกออกไหมไปทางตาเป็นสัตว์อะไร ไปทางหูเป็นตัวอะไร ถ้าวันนี้ศิษย์ไม่เข้มงวดตัวเอง ชะตาชีวิตไม่ต้องวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะตัวศิษย์เองเป็นผู้กำหนด เมื่อวานศิษย์ก็รู้แล้ว อนาคตจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน อยากจะมีอดีตที่น่าเศร้าใจไหม (ไม่) ศิษย์อยากจะมีชาติต่อไปที่ต้องเศร้าใจไหม (ไม่) ฉะนั้นจงรู้จักถือธรรมเป็นสรณะ อย่าถืออารมณ์กิเลสเป็นใหญ่ในชีวิตเลย ถ้าเราทำได้ เราก็สามารถพ้นจากความทุกข์ได้ ไม่เบื้องต้นก็เบื้องปลายก็ยังดี
เราจะยังคุณธรรมข้อใดให้มีอยู่ในตัวเราไปตลอดชีวิต ที่จะทำให้ศิษย์ไม่ทำผิด บังเกิดกุศล และรักษาจิตให้บริสุทธิ์ได้ (จริยธรรม) อาจารย์อยากสอนศิษย์นะ รับแล้วก็จงรู้จักพอบ้าง วันนี้ถ้าไม่เรียนรู้คำว่า “พอ” ต่อไปคำว่า “พอ” จะสอนศิษย์ให้จำไปจนวันตาย รู้จักหยุด ก่อนที่จะโดนบังคับให้หยุดโดยไม่รู้ตัว รักเขาจนมากมาย มีคนเตือนบอกให้หยุด ศิษย์ก็ไม่เชื่อ สุดท้ายศิษย์ก็ต้องหยุดเองโดยที่จำใจหยุด
คุณธรรมข้อไหนที่ทำให้เรามีแล้ว ไม่คิดที่จะทำผิด ยังความบริสุทธิ์ให้บังเกิด และสามารถสร้างกุศลให้กับตนเอง (ความเสียสละ) ยอมได้ก็ยอม ให้อภัยแม้เขาจะตีหน้าศิษย์ แม้เขาด่าศิษย์จะให้อภัยไหม (ให้) ศิษย์จะถือคำว่า “ให้อภัย” ไปตลอดชีวิต สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีนะ เมตตาก็ดี ให้อภัยก็ดี ต้องให้อภัยได้แม้จะทำให้เราเจ็บปวดที่สุดในชีวิต นั่นจึงเรียกว่า สุดยอดของการให้อภัย ทำได้ไหม แย่งสิ่งที่รักที่สุด ทำลายสิ่งที่รักที่สุด วันนี้พูดได้ แต่ถึงเวลาทำให้ได้นะ แล้วฺศิษย์จะพ้นทุกข์ได้จริงๆ
(การให้) มีชีวิตนี้เพื่อจะให้โดยไม่ขอ แน่ใจหรือ (แน่ใจ) อาจารย์เห็นคนในโลก รับดีกว่าให้ ขอดีกว่าให้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดตอนนี้ทั้งเนื้อตัวศิษย์มียี่สิบบาท อาจารย์ขอหมดได้หรือเปล่า (ได้) ศิษย์พูดกับอาจารย์แล้ว ถึงเวลาศิษย์ต้องจำไปจนวันตายนะ เพราะถ้าศิษย์ทำได้จริงๆ คนที่จะได้รับผลของการรักษาคุณธรรมก็คือตัวศิษย์เอง ไม่ใช่อาจารย์
เราจะสามารถรักษาคุณธรรมข้อใดดีที่ควรมีประจำใจประจำชีวิต ที่มีแล้วจะทำให้เรานั้นไม่ทำผิด ยังกุศลให้บังเกิด และรักษาจิตให้ดีงาม (มโนธรรมสำนึก) มโนธรรมสำนึกหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งคือ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ถ้าเรามีจิตใจที่รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป เงยหน้าก็ไม่ (อายฟ้า) ก้มหน้าก็ (ไม่อายดิน) เราก็คงไม่กล้าคิดผิด ทำผิด ทำชั่วร้าย
ถามเรื่องดีๆ ศิษย์คิดยาก อย่างนั้นอาจารย์ถามกลับว่า อะไรที่ร้ายๆ ในตัวศิษย์ อาจารย์คิดว่าคงมีคนตอบได้ ใช่หรือไม่ (เจ้าอารมณ์) เอาออกมาให้อาจารย์แล้วต่อไปอย่ามีนะ ถ้าพูดออกมาแล้วต่อไปอย่าเผลอมีอีกนะ ว่าอย่างไร (โมโหง่าย) ให้อาจารย์มาแล้วต่อไปจะมีอีกไหม (รับปากไม่ได้) รับปากไม่ได้อย่างนั้นจะรับผลไม้นี้ได้ไหม ถ้าอดทนมากๆ ก็คงโมโหน้อยลง มีอะไรในโลกได้ดั่งใจเราบ้างไหมศิษย์ (ไม่มี) แม้แต่ตัวศิษย์เองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าอยู่บนความคาดหวัง อย่าอยู่บนความยึดมั่น เพราะความยึดมั่นและคาดหวังจะทำให้เรา (ผิดหวัง) และจงยอมรับสภาพที่ควรจะเป็น แม้จะไม่ได้มาตรฐานในสายตาศิษย์ก็ตาม คนบางคนถ้าเกิดเขาคิดจะเดินขาเป๋ ศิษย์จะให้เขาเดินขาตรงได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าเขาเดินขาตรงแต่หัวเอียงศิษย์จะให้เขาหัวตรงได้ไหม (ไม่ได้) แล้วในโลกนี้เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) ส่วนคนที่เดินได้ทั้งหัวตรง ขาตรง แต่ใจเบี้ยว เอาไหมล่ะ (ไม่เอา) ฉะนั้นอย่ามองแต่ภายนอกแล้ววัดภายใน อย่าคิดว่าภายนอกไม่ดีแล้วภายในจะไม่ดีด้วย และในทางกลับกันอย่าคิดว่าภายนอกดีแล้วภายในจะดีด้วย เพราะหลายครั้งคนหน้าตาดี มักจะ (ไม่ดี) อาจารย์ไม่ได้ว่านะ
(ขี้โมโห) อย่างนั้นต่อไปจะอดทนให้มากๆ โมโหให้น้อยๆ (โลภโกรธหลง) ถ้าให้อาจารย์แล้วศิษย์ต้องพยายามมีให้น้อยลงนะ (เอาแต่ใจตัวเอง) ถ้ารู้จักเห็นใจผู้อื่นเยอะๆ การเอาแต่ใจตัวเองก็คงไม่ค่อยมี (หลงตน) หลงตนว่าสวย ใช่หรือเปล่า หรือหลงตนว่าถูก
คนเราถ้าอยากเอาชนะความชั่วร้ายในจิตใจ สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องพยายามฝึกให้มี คือกล้ายอมรับเป็นผู้ผิดบ้าง คนในโลกนี้บางครั้งไปดีแล้วไปไม่ถึงที่สุด เพราะไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดบ้างเลย และไม่ยอมรับให้ตัวเองรู้จักเสียสละและอดทนก่อนบ้างเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าคนอื่นใจร้อน เราก็บอกว่าไม่ เขาต้องใจเย็นก่อนสิ แล้วฉันค่อยใจเย็นทีหลัง อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) ฉะนั้นถ้าอยากฝึกฝนให้ได้ดี เราต้องรู้จักยอมทำก่อน ถ้าไม่ยอมทำก่อน ไม่ยอมผิดก่อน ก็ยากจะดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ความเกียจคร้าน) ถ้ารู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่รักสบายจนเกินไป ความเกียจคร้านก็คงไม่มีหรอก จริงไหม
(ความเจ้าชู้) วัยนี้แล้วยังชอบเที่ยวอีกหรือ (เคยไป) ตอนนี้น้อยลงแล้วใช่ไหม (ไม่มีแล้ว) ตอบได้ดี ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเลย เพราะผลสุดท้ายแมลงเม่ามักจะตายเพราะกองไฟ
(ความเครียด) ถ้าลงมือทำ ความเครียดก็จะน้อยลง เกิดเป็นผู้ชายจะกลัวอะไร กล้าทำก็กล้ารับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่ลงมือทำเอาแต่คิด ก็ฟุ้งซ่านเปล่าๆ แล้วก็ไม่ได้อะไรในชีวิตด้วย
สิ่งที่มนุษย์ชอบเป็นแล้วไม่สามารถทำความดีให้สำเร็จก็คือ ความเกียจคร้าน เริ่มจากในบ้านก่อน พ่อแม่เหนื่อยไหม พ่อแม่อยากสบายไหม แต่ทำไมพ่อแม่ถึงสบายไม่ได้ เพราะอยากให้ลูกสบาย ถูกหรือไม่ (ถูก) ถ้าคนในบ้านศิษย์ไม่เห็นใจ แล้วศิษย์จะเห็นใจคนนอกบ้านได้หรือ คนในบ้าน ศิษย์ยังไม่เห็นใจแล้วไปรักคนอื่นมากกว่าคนในบ้าน อย่างนี้จะเรียกว่ามีความเป็นคนเหลืออยู่หรือ ใช่หรือไม่
เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อแม่บังเกิดเกล้า โดยเฉพาะสาวๆ ถูกไหม (ปากไว) พูดอะไรไม่ค่อยคิด เพราะขาดสติ ฝึกสติอย่างไรดี พยายามตามให้เท่าทันอารมณ์ที่มากระทบจิตกระทบใจ (ประมาท, เห็นแก่ตัว, อารมณ์โมโหมีเล็กน้อย) อารมณ์โมโหมีเล็กน้อยถึงปานกลางแล้วเตรียมจะไปมากใช่หรือไม่ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์เคยเห็นแม่ปูไหม ลูกปูเอาแต่บ่น แม่ปูเดินไม่ตรง แต่ผลสุดท้ายลูกปูก็เลียนแบบแม่ปู ระวังนะเกลียดสิ่งไหนก็เป็นสิ่งนั้น จงภูมิใจเถอะถ้าพ่อแม่ไม่รักไม่ห่วงเขาก็ไม่พูดให้เมื่อย ถ้าอดทนได้ถึงจะเรียกว่าผู้ประเสริฐ คราวหน้าแม่บ่นมากๆ เข้าไปกอดเลยแล้วบอกว่า “แม่บ่นยังไงผมก็รัก” ดูสิแม่จะบ่นต่อไหม ไม่เชื่อลองใช้วิธีอาจารย์ดูสิ สามีกลับบ้านโดนภรรยาบ่น เข้าไปกอดเลย “ยังไงผมก็รักคุณ ยังไงผมก็รักคุณ” ดูสิจะบ่นได้อีกไหม (เคยโมโหง่าย แต่จะใจเย็นขึ้น) ใจเย็นขึ้น อย่างนั้นต่อไปไม่มีโมโหเลยไม่ดีกว่าหรือ (จะพยายาม)
(ความกลัว, ไม่ปล่อยวาง) ยึดในสิ่งที่ควรยึด ปล่อยในสิ่งที่ควรปล่อย อยากค้นหาความสงบอันแท้จริงถึงเวลาก็ต้องรู้จักปล่อย อย่ามัวอาลัยอาวรณ์กับโลกใบนี้มาก เพราะถึงที่สุดสิ่งที่ศิษย์จะเอาติดตัวไปได้นั่นก็คือความบริสุทธิ์งดงามในจิตใจ อาจารย์อยากจะบอกว่า จิตที่ผ่องใสย่อมนำไปสู่ภูมิอันบริสุทธิ์ จิตที่หมองหม่นย่อมนำไปสู่ภูมิอันหมองไหม้
ฉะนั้นถึงเวลา อะไรที่ควรจะเกิดเราก็ต้องก้มหน้ายอมรับ เพราะโลกใบนี้ศิษย์หนีไม่พ้นความเป็นจริงเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีได้ก็มี (เสีย) มีสมหวังก็มี (ผิดหวัง) เป็นธรรมดา บางครั้งเราทำเต็มที่ ทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับผลแห่งการกระทำของตนเอง อย่าคิดว่าการสูญเสียจะไม่ได้ประโยชน์ บางครั้งสูญเสียแล้วเราอาจจะได้คุณธรรมอะไรสักอย่างที่ตราตรึงใจก็ได้ ฉะนั้นต้องลองเสียเพื่อได้
ส้มหอมไหม (หอม) เพราะว่าส้มเคยตกมาก่อน ศิษย์ถึงได้รู้จักสรรพคุณของเปลือก แต่ก่อนเรากินเนื้อก็ทิ้งเปลือกไป แต่บางครั้งเปลือกก็มีประโยชน์ เราต้องบำรุงร่างกาย แต่อย่าบำรุงร่างกายจนลืมจิตใจ และบางคนสนใจจิตใจจนลืมดูแลร่างกายก็ไม่ได้
ฉะนั้นสรรพสิ่งในโลกนี้ต้องรู้จักดำรงให้เสมอภาค รู้จักดำรงความเป็นกลางไม่เข้าข้างตนจนเกินไป ไม่หลงผู้อื่นจนเกินไป ไม่ห่วงตนเองจนเกินไป และก็ไม่ห่วงผู้อื่นจนเกินไป จงทำให้ได้สมดุล แล้วชีวิตจะมีความพอดีอันบริบูรณ์
ศิษย์เอ๋ยความทันสมัยก็มีคุณ แต่ความทันสมัยก็มีโทษเหมือนกัน อาจารย์ไม่ได้บอกว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องเล่นคอมพิวเตอร์เป็น ยิ่งประกาศให้คนอื่นรู้มากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งพยายามจับผิดเรามากขึ้นเท่านั้น อาจารย์เคยบอกแล้วเป็นผู้บำเพ็ญธรรมคืองำประกายไม่สำแดงเดช แม้เราจะเป็นคนดีขนาดไหนก็จงไม่อวดตน ผู้ที่อวดตนแปลว่ายังมีส่วนไม่ดีให้เขาต้องติอยู่ ถ้าศิษย์กลัวการติ ก็อย่าอวดตัวเอง จะได้รอดปลอดภัย เพราะยิ่งสูงเด่น คนก็ยิ่งอยากจะติ อยากจะทำให้เกิดความบกพร่อง
เป็นผู้บำเพ็ญธรรมจงรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน งำประกายไม่สำแดงเดช นั่นก็คือเก็บงำความดีของเราไว้ไม่ต้องไปอวด อยากทำสิ่งใดอาจารย์รู้ว่าดี แต่รากฐานไม่มั่นคงต้นไม้ก็ไม่มีวันเติบโตนะ มุ่งมั่นจะทำสิ่งใดขอให้ศึกษาเข้าใจให้กระจ่างชัด ศิษย์อยากเป็นคนดีอาจารย์รู้ แต่คนดีต้องไม่กลัวมารทดสอบ คนดีต้องไม่กลัวอุปสรรค คนดีที่แท้จริงต้องไม่เปลี่ยนแปลงความดีเพียงเพราะไม่ได้รับผลดีตอบ ยากเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมพระพุทธะจึงยอมทำ กว่าอาจารย์จะช่วยใครได้สักคนหนึ่ง อาจารย์ต้องยอมทำตัวให้ต่ำให้เตี้ย ให้เขาดูถูกดูแคลน เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับเขาและช่วยเขาได้ แล้วกว่าจะช่วยเขาได้สักคนหนึ่งอาจารย์ต้องทนคำดูถูกเหยียดหยาม ทำไมอาจารย์ไม่เป็นพุทธะที่แต่งตัวดีๆ ทำไมอาจารย์ต้องแต่งตัวมอซอ เพราะจิตที่น้อมต่ำจึงสามารถโอบอุ้มสรรพสิ่งให้อยู่ร่วมกับเราได้ แต่จิตที่ถือดีถือตัว คิดว่าตัวเองสูงส่ง ช่วยใครไม่ได้หรอกนะ ฉะนั้นมีแต่จิตที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นได้ในทุกๆ สิ่ง จึงจะสามารถโน้มนำคนทุกประเภทและช่วยเหลือเขาได้ จิตใจที่กล้าลงไปคลุกกับฝุ่น คลุกกับโคลน จึงสามารถค้นหาเพชรที่แท้ได้
อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นอย่างนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม จิตใจต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่อยากจะฝึกฝนทำดี ต้องไม่กลัวภัยที่เกิดจากตัวเอง สู้ไม่สู้ (สู้) แล้วจะเป็นให้ถึงที่สุด ดีหรือไม่ (ดี) สัญญากับอาจารย์แล้วก็ต้องทำให้ได้ อย่าเป็นคนพูดอย่างแต่ทำไม่ได้อย่างที่พูด น่าเสียดายนะศิษย์ ที่เกิดมาชีวิตหนึ่ง อยากดีแต่ไม่เคยดีได้จริงๆ สักที เป็นคนดีได้แค่เพียงชั่วครู่ชั่วคราว
วันนี้อาจารย์มาพูดไม่ใช่ต้องการให้ศิษย์แค่ฟังแล้วรู้สึกดี แต่ขอให้เอาสิ่งที่ฟังนั้นไปประพฤติปฏิบัติ และเป็นคนดีที่แท้จริงให้จงได้ คนดีที่แท้จริงคือ มุ่งขัดเกลาตัวเองไม่ให้มีความด่างพร้อยในเรื่องไม่ดี รู้จักยังกุศลให้บังเกิด และนำความบริสุทธิ์ให้กลับคืนมาสู่จิตใจให้จงได้ ลองทำดูนะอย่าเอาแต่ฟัง แล้วจะรู้ว่าตัวเองนั้นมีดีแล้วได้ดีหรือเปล่า เราดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราทำดีเพราะอยากรักษาความดีให้อยู่คู่กับใจ แต่ไม่ได้ทำดีเพราะต้องการคนชม ไม่ได้ทำดีเพราะต้องการหวังผล นี่แหละจึงจะเป็นความดีที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง คนดีที่แท้จริงคือ คนที่ทำโดยไม่ยึดติดในอารมณ์ กิเลส หรือความยึดมั่นถือมั่น เมื่อคิดกระจ่างแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดมาบดบังให้มืดบอด คงความบริสุทธิ์ใจให้อยู่กับตัวเราให้ได้นะ
ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้ว เห็นน้ำก็นึกถึงศิษย์ ศิษย์เอ๋ยน้ำแม้จะสกปรกแต่เมื่อน้ำนิ่งแล้วก็กลับเป็นใสได้ คนแม้จะผิดพลาดไปบ้างแต่ถ้ารู้สำนึกแก้ไข ก็กลายเป็นคนดีได้ ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่า ศิษย์เห็นน้ำแล้วจะจำคำพูดอาจารย์ สกปรกไปแต่ถ้ารู้จักนิ่งใส รู้จักสำนึกก็กลับเป็นคนดีได้
คนดีที่แท้จริงช่วยตัวเองแล้วไม่คิดจะช่วยผู้อื่นบ้างหรือ ตัวเองรู้แล้วไม่คิดให้ผู้อื่นรู้บ้างหรือ แล้วถ้าตัวเองมีสุขได้ดีแล้วไม่คิดให้ผู้อื่นมีสุขได้ดีบ้างหรือ หัวใจอันประเสริฐอยู่ที่ตัวเราเอง รู้จักกล้าทำ กล้าเรียน เมื่อมุ่งมั่นบำเพ็ญแล้วไม่ท้อถอยแม้เพียงก้าวเดียว ใช่ไหมศิษย์ดื้อ
ต้องกลับมาศึกษานะ อย่าเอาแต่เป็นศิษย์ที่เอาแต่ฟัง แต่ไม่เคยลงแรง รักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง ดูแลผู้อื่นเหมือนดูแลตัวเอง ศิษย์ก็คือศิษย์ของอาจารย์นะ ถ้าห่วงแต่ตัวเองแต่ไม่เคยช่วยงานอาจารย์ ศิษย์จะกลับไปหาอาจารย์ได้อย่างไร อย่าเอาแต่ฟังแต่ไม่เคยลงแรง จงเข้มแข็งดูแลตัวเองให้ดี มีโอกาสก็ไปช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าช่วยตัวเองไม่ได้แล้วจะช่วยใครได้ กลับมาหาอาจารย์หน่อยดีไหม อย่าทิ้งอาจารย์นะ อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ จากกันเพียงกายแต่ความห่วงใยของอาจารย์ยังมีให้กับศิษย์ทุกคนนะ
อาจารย์รักษากายศิษย์ไม่ได้เท่ากับรักษาใจนะ อาจารย์อยากรักษาใจศิษย์ให้เข้มแข็ง รู้จักอดทนต่อความทุกข์ยากด้วยหนทางอันประเสริฐ นั่นก็คือ การพึงมีธรรมประจำใจ รู้จักมีความเมตตาให้อภัยผู้อื่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจนเกินไป เพราะการมีตัวตนมากเท่าไร ก็มีที่ให้ทุกข์มากเท่านั้น รู้จักยอมลดตัวตนได้มากเท่าไหร่ทุกข์ก็น้อยลงเท่านั้น ศิษย์ลองเอาคำของอาจารย์ไปคิดให้ดีๆ นำไปปฏิบัติแล้วทำให้จงได้นะ อาจารย์ดีใจที่เจอศิษย์ และจะดีใจมากๆ ถ้าศิษย์มุ่งมั่นบำเพ็ญจนกลับไปหาอาจารย์ได้อย่างที่พูดนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ฝึกฝนย่อมได้ดี”
ชัดเจนเป้าหมายอย่าสนใจคมหนาม แม้ทุกข์เป็นเงาตามไม่กังวล เข้าหาสิ่งดี ถ้าความคิดทําลาย หัดคุมเพื่อเปลี่ยนน้ําดี คิดต้องมีเพียบพร้อมทั้งคุณธรรม ติดเป็นคนรู้ตัว แต่ใจขืนไม่ไว้ลมพัดไหว ไม้ใบก็หมุนสุดแรง เจ้าอย่าทําตาบอด เจ้ารู้เหมือนใครรู้ทําน้อยดูมิได้แรง ได้ฝึกใจมาก่อน กล้ารับผลเปลี่ยนแปลง จงอย่าแสร้งรู้เหมือนไม่รู้เลย
พระอาจารย์เมตตาเพิ่มเติมเพลงพระโอวาท
ของการประชุมธรรมที่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น วันที่ ๒๔-๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒
ของการประชุมธรรมที่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น วันที่ ๒๔-๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒
พระโอวาทเพลง “ตามองดาวเท้าเหยียบดิน” หน้าที่ ๑๔
เพิ่มเนื้อเพลงท่อนที่สาม (ก่อนเนื้อเพลงท่อน “เจ้ามักหมดแรงข้างในกัน”)
“วุ่นว่างว่างวุ่น รูปลักษณ์ไม่มี เจ้าสิย้อนมองตนจะเห็นตัวเอง พุทธะน้อยๆ”
ยังคอยศิษย์ ณ ผิงซัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง ทำนองเพลง: จ๋งอิ่วอี้เทียนเติ่งเต้าหนี่
อาจารย์วนเวียนมา สู่สถานพุทธา ศิษย์ดูเลื่อนลอยดั่งเช่นเคยวันนี้ได้พบกัน ใกล้จะเป็นอดีต ศิษย์เอ๋ยเจ้าซึ้งในธรรมเพียงไร อาจารย์มีใจ แต่ศิษย์กลับเฉยเชือน กล้ำกลืนเศร้ายากจะมอบใจ ห่วงศิษย์ยังเล็กนัก เกรงเจ้าจะมัวเมาโลก โปรดรับใจจริงจากอาจารย์ที
อาจารย์เป็นดิน ศิษย์เป็นต้นอ่อน ปลูกเลี้ยงทุกต้นให้เป็นร่มโพธิ์ ศิษย์เป็นลูกๆ อาจารย์เป็นพ่อ ผูกพันจิตพ่อลูกมั่นไม่คลาย ภูผาสูงเพียงไร กระแสน้ำไหลเชี่ยว ศิษย์ดึงดื้อ อาจารย์ไม่ทิ้ง ต่อให้นานแสนนาน ชั่วฟ้าดินสลาย อาจารย์จะคอยศิษย์ยังผิงซัน