西元二○○八年 歲次戊子 九月二十 七日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ. อุตรดิตถ์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
วิริยะขาดศรัทธาไปไม่ถึง วิริยะซึ่งขาดปัญญาไปชักช้า
วิริยะมีมุ่งมั่นเป็นธงชัยนา วิริยะมีอดทนมาเป็นหางเสือ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ชีวิตมีเรียบง่ายและยุ่งยาก มีลำบากและสบายสลับเปลี่ยน
อาจพบหลักการหนึ่งเดียวในทุกบทเรียน ขอน้องเพียรด้วยปัญญาอันตื่นตัว
คนตื่นอยู่และหลับอยู่ย่อมต่างกัน จิตใจนั้นตื่นหรือหลับพี่ขอถาม
เป็นคนด้วยความเพียรพยายาม น้องนั้นงามหรือไม่ทั้งกายใจ
จงมาเรียนรู้ธรรมเพื่อปฏิบัติ การฝึกหัดมีทั้งทำได้และไม่ได้
แต่จงรู้แก่นแท้ของการปฏิบัติใด เพื่อปรับปรุงจิตใจดวงแท้เดิม
แม้ก้าวเดินแต่ใจนั้นต้องรับรู้ ชีวิตอยู่อย่างใจลอยนั้นไม่ได้
ห่วงเกินไปเครียดเกินไปล้วนทำลาย จะสบายกายใจต้องอยู่ในธรรม
เป็นมนุษย์ต้องมีมนุษยธรรม ศีลธรรมคอยเป็นกรอบอันจำกัด
สัตยธรรมทำให้คนนั้นเด่นชัด ปรมัตถ์ล้วนอยู่ที่การลงมือ
สองวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต อย่ายึดติดความรู้ความคิดเก่า
จงย้อนมองส่องตนตัวของเรา จงทำเท่าที่รู้ให้สมดุล
อันกิเลสก่อกวนใจให้มัวขุ่น จงมีลุ้นชำระใจของตนนี้
โอกาสมีแก่ผู้ที่ไม่รอที ทำทุกทีไม่ว่ามีโอกาสหรือไม่
จงรักษาพุทธระเบียบให้เคร่งครัด และจำกัดตนเองเป็นนิสัย
เรื่องที่ยากอยู่ที่ทำหรือไม่ คนสบายจนชินหลุดพ้นยาก
ในยุคท้ายขอน้องนั้นบำเพ็ญจริง ด้วยใจนิ่งวิ่งให้ทันเบื้องบนบัญชา
แม้หลักการมากมายที่รู้มา คงไม่เท่าฝ่าอุปสรรครอดพ้นเอย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป น้องทั้งหลายจงตั้งใจฟังธรรมะ
สองวันนี้เวลาต้องสละ ทิ้งขยะในใจให้มากที่สุด
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
คนมีใจแต่กลับไร้เรี่ยวแรง คนมีแรงแต่ใจแทบหมดสิ้น
คนมีธรรมอย่าไม่รู้เป็นอาจิณ คนรู้สิ้นอย่าไร้ธรรมให้จำทน
เราคือ
ต้าเซี่ยวฝอถง (大笑佛童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านวันนี้ยิ้มแล้วหรือยัง
ไร้ความเห็นมองด้วยใจบริสุทธิ์ วาจาหยุดคิดหยุดเกิดมุมต่าง
เบายึดติดเพียงสะกิดจิตกระจ่าง สงบยั้งสติไหนว่าตามกัน
ด้วยใจรับรู้ไวอารมณ์ไว คนคุมได้ทันทีมีพื้นฐาน
พิจารณาเที่ยงจากวังวนแห่งสังขาร จึงไม่ชังขันธ์อันประเสริฐคุณ
คนติดรักนี้มากนักปัจจุบัน กำลังผ่านทวีที่ใจหมกมุ่น
สำรวมทุกข์พ้นมีรักสาวรุ่น รูปว่างดับเวียนหมุนห้วงทรมาน
เมื่อไปเกิดอยู่ในบ้านบำเพ็ญ แม้ลำเค็ญแจ้งในใจมุ่งมั่น
คนรู้ในจึงรู้นอกวิญญาณ ธรรมย่อมมีสามัญคือความดี
ชีวิตคือความไร้แต่ไรมา ส่วนธรรมาคือใจไม่อาจชี้
รูปนามเหมือนความว่างทว่ามี ความต่างมีคุณทว่าต้องเข้าใจ
ฝึกใจรักษาสมดุลให้คงที่ ฝึกเป็นดีขี้เกียจเป็นกระแสไหล
ใจหนึ่งพาชีวาไม่วุ่นวาย รักเสรีอยู่โลกีย์ไม่เข้าใจเสรี
ชีวิตเพื่อในเพื่อนอกชำระเมื่อย พ้นแต่เหนื่อยไม่บังควรวุ่นศักดิ์ศรี
ระหว่างใจนทีน่านฟ้าช่วงดรี ระหว่างนี้เช่นกันมุ่งตรงธรรม
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง
วันนี้ท่านมาฟังธรรมะ ท่านมาชื่นชมยินดี หรือมาเก็บเกี่ยวสิ่งที่น่ายินดี หรือมาปล่อยสิ่งที่ไม่น่ายินดีออกจากตัว เป็นแบบไหนกัน มนุษย์นั้นถนัดที่จะมองออกมากกว่าที่จะมองเข้า ถนัดที่จะเห็นผู้อื่นมากกว่าเห็นตัวเอง ถนัดที่จะเรียกร้องให้คนอื่นทำ แต่ลืมเรียกร้องตัวเอง แล้วเมื่อเห็นผู้อื่นแล้วก็รู้สึกไม่ได้ดั่งใจ ไม่เห็นดี ถ้าเห็นมากๆ เราก็เบื่อ เราก็หน่าย หน่ายมากๆ เราหยุดที่จะมองหรือไม่ (ไม่) เราก็ยังอยากมองไปเรื่อยๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก) ทำไมเมื่อมองออกไปแล้วไม่คิดว่า “ก็เป็นเช่นนั้นเอง” หากมองออกไปแล้วเขาไม่ดีด้วยเราก็เลยพลอยไม่ดีด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาเห็นคนๆ หนึ่งทำงาน คนๆ นี้ทำงานเก่งก็จริง แต่พอเวลาพูดทีก็น่ากลัว บางคนพูดได้เก่งจริงๆ แต่ถึงเวลาทำงานก็ทำไม่ได้เรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่) เรามองเห็นคนอื่นชัดไปหมด พอมองเห็นชัดเราก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่เห็นมีอะไรดีเลย แล้วเราก็เป็นทุกข์กับสิ่งที่เราเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่แท้ที่จริงแล้ว ความจริงที่เราเห็นนั้นไม่ได้บอกให้เราต้องเป็นทุกข์ แต่ให้เราเห็นความจริงในสิ่งที่เรามองอยู่ และเราทำใจยอมรับความจริงนั้นได้หรือไม่ และเคยเอาความจริงนั้นมาสะท้อนใจบ้างหรือไม่ (ไม่เคย) เคยได้ยินไหมว่า ผู้นำในการดำเนินชีวิตที่ฉลาด หรือผู้นำในการดำเนินชีวิตที่เป็น คือเอาข้อดีของคนอื่นมาแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง รู้จักกระจายข้อดีของคนอื่น และไม่เปิดเผยข้อเสียของใคร นี่ถึงจะเรียกว่า เอาสิ่งที่เห็นมาแก้ไขปรับปรุงและดำเนินให้สอดคล้อง
ท่านเคยเห็นกลองหรือไม่ วางเฉยๆ ถ้าไม่ตีก็ไม่ดัง ถ้าตีมั่วๆ ก็กลายเป็นน่ารำคาญ ฉะนั้นถึงจะมีกลองดีขนาดไหน ไม้ที่ตีงามขนาดไหน แต่หากคนตีไม่รู้จักจังหวะและความสอดคล้อง การมีอุปกรณ์ที่ดีก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นต้องมีทั้งอุปกรณ์ดี และคนใช้เป็นด้วย ถามว่าเราเป็นคนที่ดำเนินชีวิตเป็นหรือไม่ (ไม่เป็น, เป็น) ท่านคิดว่าตั้งแต่มีชีวิตมาท่านดำเนินชีวิตเป็นหรือไม่ (เป็น) ถ้าเป็น ตีอย่างไรก็ต้องไพเราะ แต่ไม่ใช่ยิ่งตีคนยิ่งรำคาญ กลองเหมือนชีวิต ชีวิตเคลื่อนไหวได้จึงเรียกว่าชีวิต ถ้าไม่เคลื่อนไหวเรียกว่าของตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) กลองจะเรียกว่ากลองต้องตีแล้วเกิดเสียงดัง แล้วยิ่งเป็นจังหวะจะโคนเหมาะสมเรียกว่ากลองดี ชีวิตก็เหมือนกัน เมื่อมีชีวิตแล้วเคลื่อนไหวได้กลมกลืน สอดคล้อง
มีจังหวะมีห้วงทำนอง คนก็เรียกว่าชีวิตนั้นดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
มีจังหวะมีห้วงทำนอง คนก็เรียกว่าชีวิตนั้นดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
ตีกลองเป็นแต่ใช้ชีวิตไม่เป็นก็น่าเสียดาย เล่นดนตรีเป็นร้องเพลงเพราะ แต่กลับนำชีวิตตัวเองได้ไม่ดีก็น่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่) เราชอบเต้นไหม (ชอบ) มีเสียงจังหวะอย่างไรเรายังรู้จักเต้นให้เข้าจังหวะ บางทีเต้นไม่เข้าจังหวะแต่ท่าแปลกดี คนก็ยังชื่นชม ถูกหรือเปล่า (ถูก) ทำไมเรายังรู้จังหวะ แล้วทำไมชีวิตเรา เราไม่รู้จักจังหวะของชีวิตล่ะ แล้วจังหวะของชีวิตเต้นคนเดียว ร้องคนเดียวสนุกไหม (ไม่สนุก) บางครั้งจังหวะของชีวิตสนุกสนานเพราะมีหลายๆ คนร่วมเต้น หลายๆ คนร่วมบรรเลง ดนตรีจึงเสียงเพราะขึ้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากำหนดเสียงกลองที่แตกต่างในแต่ละแถว พูดเสียงไหนแถวนั้นยืน)
ก็เหมือนเวลาเราเล่นดนตรี ตรงนี้เขาเสียงดัง แล้วท่านก็เสียงดังตาม น่ารำคาญไหม ตรงนี้เขา “ตุ๊ม” เราก็ “ตุ่ม” ทำไมบางคนเสียงดังเรายังรู้จักเงียบ หรือเสียงเบาๆ ไว้ ถ้าไปดังแข่งกับเขาก็ยิ่งหนวกหู ใช่ไหม
เช่นเดียวกับจังหวะของชีวิตก็ต้องดูด้วยว่า ตอนนี้เขาให้ความสำคัญกับใคร เมื่อเขายังไม่ต้องการที่จะฟังท่านพูด แต่ท่านพูดออกมา เขาจะให้ความสำคัญไหม (ไม่) ต้องดูด้วยนะ ฉะนั้นชีวิตจะมีจังหวะที่น่าไพเราะ มีจังหวะที่สนุกสนาน หรือมีจังหวะเศร้าสร้อย อยู่ที่คนนำ เรารู้จักนำจังหวะดนตรีได้ เรารู้จักนำเพลงชีวิตได้ แต่ทำไมเราไม่รู้จักนำใจตัวเองให้เป็นล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยู่ในสังคมบางครั้งเราต้องทำงานกับคนหมู่มาก บางคนพูดเก่ง มีความรู้ แต่ไม่ลงมือกระทำ แต่คนบางคนเก่งในการลงมือกระทำแต่ไม่ค่อย (คิด) ไม่ค่อยศึกษาหาความรู้ เวลาเราทำงานก็จะพบคนสองประเภทนี้ จึงบอกว่า “ม้าดีมักหาได้ยาก” คนที่เก่งสมบูรณ์แล้วเอามาใช้งาน หาได้ยาก ส่วนใหญ่ที่ใช้งานมักจะเป็นม้าธรรมดาๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นคนอยู่ใกล้ ทำงานได้แต่ไม่ได้เรื่อง สู้คนไกลก็ไม่ได้ ได้เรื่องแต่ช่วยทำงานไม่ได้ เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) แล้วเราชอบคนไหนมากกว่า คนที่ได้เรื่องแต่ช่วยทำงานไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนอยู่ใกล้เรามักจะว่าเขา นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี สู้คนอยู่ไกลก็ไม่ได้ แต่เราอยากบอกว่าคนอยู่ไกลทำงานดีแต่ใช้งานไม่ได้ สู้คนอยู่ใกล้ใช้งานได้แต่ไม่ค่อยดี ดีกว่านะ แล้วเรามักจะพบแต่คนที่ใช้งานได้แต่ไม่ค่อยดีมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่) จึงทำให้คนที่อยู่ใกล้แม้จะทำงานแทบตายหรือทำงานมากขนาดไหน แต่ทำไปก็ไม่เคยได้ดั่งใจ ไม่ดีในสายตา ทำให้คนใกล้ก็อยากออกห่าง และคนไกลอยากเข้าใกล้ไหม (ไม่อยาก)
ในโลกก็มีคนอีกประเภทคือเป็นคนที่ขยันสร้างสิ่งที่ดี แต่ไม่ค่อยใฝ่เรียนรู้ศึกษา เหมือนผู้บำเพ็ญธรรมขยันลงแรง ขยันทำงาน แต่พอมาให้มาฟังธรรมะ ไม่ฟัง ส่วนคนในโลกเป็นคนที่ฟังมากแต่ไม่กระทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราก็เลยกลายเป็นคนสองประเภทที่เข้ากันไม่เคยจะได้
สักครั้ง จริงไหม (จริง)
สักครั้ง จริงไหม (จริง)
เหมือนเวลาเราอยู่วงนอก เราก็รู้ไปหมด แต่ถามว่าถึงเวลาเราทำ เราก็ไม่ต่างจากเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรากลับไม่คิดอย่างนั้น เราบอกว่าฉันเป็นผู้รู้ เธอทำไม่ได้เรื่อง พอถึงเวลาเราลงมือไปทำถึงได้รู้ว่าเราก็ไม่ต่างจากเขา ฉะนั้นในสังคมจะต้องมีคนประเภทนี้อยู่เสมอ มีคนรู้ก่อนกับคนรู้หลัง มีคนเก่งกับคนไม่เก่ง ฉะนั้นถึงเวลาที่เรารู้ก่อนอย่ารำคาญคนรู้หลัง คนเก่งอย่าดูถูกเหยียดหยามคนไม่เก่ง เพราะถึงเวลาที่ตัวเองกลับเป็นคนไม่เก่ง กลับเป็นคนไม่รู้บ้าง จะได้ไม่เสียใจภายหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เคยได้ยินไหมอยากได้สิ่งใดตัวเราต้องเป็นผู้เริ่มทำสิ่งนั้นก่อน อยากได้รอยยิ้มจากผู้อื่น แต่ตัวเองหน้าบูดบึ้งจะได้รอยยิ้มจากใครไหม อยากให้คนอื่นทำดีกับเราก่อน แต่ตัวเองกลับไม่เคยคิดจะทำดีอย่างจริงๆ จังๆ สักที แล้วใครจะจริงจังมั่นคงให้เราเห็น
วันนี้ใครยังไม่ยิ้ม เอานิ้วชี้จิ้มมุมปากซ้าย เอานิ้วชี้อีกนิ้วหนึ่งจิ้มมุมปากขวา ยิ้มขึ้นไหม อย่างนั้นออกเสียงง่ายๆ ตอนนี้อายุสิบสี่ ชอบไหมอายุนี้ อย่างนี้มาเล่นกันหน่อยนะ รู้สึกว่าท่านฟังธรรมะมากๆ แล้วท่านจะเริ่มเมื่อย เบื่อแล้วก็ง่วง เพลียแล้วก็เหนื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) คราวนี้เราจะไม่ออกเสียงแล้วนะ แต่ใช้เป็นการนั่งแทนดีไหม (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากำหนดเสียงที่แตกต่างกันเพื่อให้นักเรียนแต่ละแถวยืนตามเสียงนั้น แต่บางคนในแถวยืนช้ากว่าคนอื่น)
เรารู้แล้วว่าทำไมท่านถึงโกรธคนที่พูดครั้งหนึ่งเขาก็ยังนั่งมอง พูดครั้งที่สองก็ยังนั่งมอง พูดครั้งที่สามก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด เรื่องง่ายๆ ย่อมมีคนรู้ช้าและรู้เร็ว ฉะนั้นพบคนประเภทนี้ต้องทำใจ ไม่เป็นไรถ้าท่านพูดสิบเที่ยวแล้วไม่เข้าใจ ท่านต้องหันกลับมามองตัวเองว่าตัวเองพูดภาษาอะไรเขาถึงไม่เข้าใจ ใช่ไหม (ใช่) เอาแต่โกรธเขาได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วยิ่งถ้าคนส่วนมากไม่เข้าใจท่านคนเดียว ท่านก็ต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเอง ถูกหรือเปล่า (ถูก) แล้วเราอยากรู้ว่าสิ่งที่เราพูดนั้น เขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจเราต้องพยายามย้ำหลายๆ หนนะ อย่าเพิ่งโมโห
เคยพบแบบนี้ไหม เรายังไม่ทันพูดอะไรแค่อ้าปาก เขาก็บอกว่ารู้แล้วไม่ต้องพูด โกรธไหม (โกรธ) เราเป็นไหม (เป็น) อย่ารู้ใจคนอื่นไปหมด เพราะถึงเวลารู้มากเกินไปเขาจะรำคาญ รู้ใจตัวเองดีกว่า แล้วอย่าคิดว่าการเดาของตัวเองเป็นการเดาที่ถูก บางครั้งอาจจะผิดก็ได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนแต่ละแถวเล่นเกมลุกขึ้นยืนเป็นจังหวะ แล้วนักเรียนทำผิด)
เห็นไหมว่าจังหวะของชีวิตถ้าเราคุมเป็น ใจเย็นๆ หน่อย เราก็จะมองเห็นความเป็นจริงของคน ถ้าเรามองเห็น อารมณ์เราก็จะไม่ขุ่นมัว เพราะเรายอมรับความเป็นจริง อยู่บนโลกนี้ถ้ารังเกียจความเป็นจริงแล้วท่านจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร ความเป็นจริงถึงแม้จะดีหรือไม่ดีเราก็ต้องพยายามรับมือให้จงได้ ได้ดังใจหรือไม่ได้ดังใจบางครั้งเราก็ต้องอดทนให้ไหว เพราะคนมีหลายแบบ บางคนได้ดังใจ บางคนไม่ได้ดังใจ เหมือนเรื่องราวในโลกนี้ก็เฉกเช่นกัน บางเรื่องดี บางเรื่องไม่ดี เราก็ต้องใช้ใบหน้ายิ้มแย้มเข้าไว้ เพื่อเป็นตัวฟันฝ่าหาทางออกให้พบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่ง่ายแล้วท่านก็พบอยู่ทุกๆ วัน ถ้าท่านมองเห็นเป็นเรื่องสนุก ท่านจะยิ้มรับมือได้กับทุกเรื่อง แต่ถ้าท่านมองเห็นเป็นเรื่องเป็นราว ถือสาหาความ ท่านก็หนัก ถือมาตั้งมาก เมื่อยไหม หนักไหม แล้วคนที่ถือเล็กๆ ก็ไม่เท่าไร พอนานเข้าเราก็เหนื่อยใจ พบเรื่องหนักๆ ไม่เท่าไร แต่พบเรื่องที่ขัดหูขัดใจ เราก็เหนื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นปล่อยวางบ้างไม่ดีหรือ (ดี) อย่าถือมาก อยู่กันอย่างง่ายๆ ยิ้มกันอย่างง่าย แล้วเรื่องในชีวิตก็เป็นเรื่องที่สนุกสนานได้ง่าย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แต่จังหวะของชีวิตและการดำเนินของชีวิตบางทีไม่ใช่แค่การกระทำ บางครั้งเป็นอะไร บางครั้งเป็นความเงียบ ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าคิดว่าชีวิตนี้ต้องกระทำเสมอไป บางครั้งการหยุดกระทำก็อาจจะให้ผลดีกว่าการที่พยายามตะบี้ตะบันกระทำเข้าไปก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเราลองรู้จักสิ่งที่เรียกว่าไม่กระทำบ้างดีหรือไม่ (ดี)
สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาที่สุดในโลกคืออะไร อยากมีความสุข
ใช่หรือไม่ (ใช่) (อยากมีเงิน, อยากมีทอง, อยากให้ครอบครัวมีแต่คนแข็งแรง, อยากให้แม่มีความสุข) อยากให้แม่มีความสุขเราก็ต้องพยายามอยู่ใกล้ๆ พ่อแม่สิ (อยากให้ลูกหายจากเจ็บป่วย, อยากให้ครอบครัวมีความสุข, อยากให้ลูกเป็นคนดี, อยากให้ลูกเรียนเก่ง) มีแต่อยากให้คนอื่น ไม่ได้อยากให้ตัวเองเลย (อยากให้มีชีวิตที่ราบรื่น) แต่ชีวิตที่ราบรื่นมากเกินไปท่านก็เบื่อหน่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) (ปรารถนาไปนิพพาน) อยากไปนิพพานต้องรู้จักการอยู่แบบคนมี แต่เหมือนไม่มี ถึงอยากได้แต่ก็ไม่เอา นิพพานเป็นสิ่งไร้ ถ้ายังหวังอยากได้ อยากมี ก็ยังไปไม่ถึงนิพพาน และคนที่จะไปนิพพานได้ต้องรู้จักดับก่อนตาย ถ้ายังดับก่อนตายไม่ได้ ท่านจะไปดับตอนที่ตายไม่มีทางหรอกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใช่หรือไม่ (ใช่) (อยากมีเงิน, อยากมีทอง, อยากให้ครอบครัวมีแต่คนแข็งแรง, อยากให้แม่มีความสุข) อยากให้แม่มีความสุขเราก็ต้องพยายามอยู่ใกล้ๆ พ่อแม่สิ (อยากให้ลูกหายจากเจ็บป่วย, อยากให้ครอบครัวมีความสุข, อยากให้ลูกเป็นคนดี, อยากให้ลูกเรียนเก่ง) มีแต่อยากให้คนอื่น ไม่ได้อยากให้ตัวเองเลย (อยากให้มีชีวิตที่ราบรื่น) แต่ชีวิตที่ราบรื่นมากเกินไปท่านก็เบื่อหน่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) (ปรารถนาไปนิพพาน) อยากไปนิพพานต้องรู้จักการอยู่แบบคนมี แต่เหมือนไม่มี ถึงอยากได้แต่ก็ไม่เอา นิพพานเป็นสิ่งไร้ ถ้ายังหวังอยากได้ อยากมี ก็ยังไปไม่ถึงนิพพาน และคนที่จะไปนิพพานได้ต้องรู้จักดับก่อนตาย ถ้ายังดับก่อนตายไม่ได้ ท่านจะไปดับตอนที่ตายไม่มีทางหรอกนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อยากพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด) อยากพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดต้องรู้จักหยุดความอยากก่อน ถ้าหยุดความอยากได้ เราก็หลุดพ้นไปได้หนึ่งเปราะ แต่หากยังมีความอยากอยู่เราก็ไม่มีวันหลุดพ้นไปได้ (อยากประสบความสำเร็จในทุกๆ อย่าง) อยากประสบความสำเร็จในทุกอย่าง แล้วเคยเห็นหรือไม่ว่าคนที่จะสำเร็จนั้นต้องเคยล้มมาเป็นพันๆ ครั้งถึงจะสำเร็จได้ ไม่มีใครในโลกสำเร็จโดยที่ไม่เคยล้มเหลว จริงหรือไม่ (จริง) อย่าอยากในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคนที่อยากนั่นแหละจะทุกข์คนแรก ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อยากให้ครอบครัวประสบความสำเร็จ) เมื่อสักครู่อยากให้ตนเองประสบความสำเร็จ แต่คนนี้อยากให้ครอบครัวประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องที่ยากสุดขีดเลย คุมตนเองว่ายากแล้ว คุมคนอื่นยากกว่าไหม (ยาก) แล้วจะมีความสุขได้หรือ สิ่งที่ท่านอยากแต่ละอย่าง เราพูดตามตรงได้เลยว่า ไม่มีวันมีความสุขหรอกนะ เพราะท่านอยากมีในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อย่างเช่น อยากให้ลูกเป็นคนดี น่าจะบอกว่าอยากให้ลูกเป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น พ่อแม่ก็ภูมิใจแล้ว รักในสิ่งที่เขาเป็น อย่าไปรักในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น ไม่อย่างนั้นคนที่อยากจะเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวเราถามตัวเองสิว่าวันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมง เราคิดร้ายกี่ชั่วโมง คิดดีกี่ชั่วโมง แล้วทำดีกี่ชั่วโมง เลือกที่จะทำไม่ดีมากกว่าทำดี ตัวเองยังเป็นแบบนี้ แล้วทำไมไม่เอาตัวเองไปมองลูกล่ะ ถ้าเข้าใจตัวเองเราจะเข้าใจลูก ถ้าเข้าใจความเป็นคนของตนเอง เราจะเข้าใจความเป็นคนของผู้อื่น
ตัวเรายังมีวันแข็งแรง และวันเจ็บป่วย อยากมีแต่ความแข็งแรงเป็นไปได้ไหมในเมื่อยังกินตามใจปากอยู่ โรคภัยเกิดจากปาก อยากหยุดได้ก็ด้วยปาก (อยากจะให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ) วันนี้กินแอปเปิ้ลแล้วหายโรค แต่ถ้าต่อไปยังทำนิสัยเหมือนเดิมเดี๋ยวก็เป็นอีก ถ้าวันนี้กินแอปเปิ้ลหายไปโรคหนึ่ง แต่ถึงเวลาทำนิสัยเหมือนเดิมก็จะกลับมาเป็นโรคเดิมอีก (อยากให้นักการเมืองไทยและคนในประเทศไทยมีความสามัคคีกันไม่ทะเลาะกัน) ถ้าพุทธะทำได้อยากให้มนุษย์ทุกคนเดินสู่หนทางสวรรค์ไม่ต้องไปลงนรก แต่ถามจริงๆ ว่าการเป็นคนดีแบบถูกบังคับกับการเป็นคนดีโดยเกิดมาจากจิตใจ อันไหนประเสริฐกว่ากัน (จากใจ)
ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติย่อมมีสูง มีต่ำ มีสดใส มีมืดมน มีขาว มีสะอาด แล้วธรรมชาตินั้นมีอยู่ในตัวคนไหม (มี) มนุษย์ก็ยังมีสิ่งที่ขาวสิ่งที่ดำ สิ่งที่ดีและสิ่งที่ร้าย นั่นแหละความเป็นจริงของธรรมชาติ ถ้าเราทำใจได้ เราจะรู้แจ้งเห็นจริงว่า ทำไมฟ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงมองเห็นคนร้ายก็ยังเป็นคนดี คนดีก็ยังมีร้าย ทำไมท่านไม่หลงคนดีแล้วรังเกียจคนร้าย เพราะท่านมองเห็นว่า ในรากลึกของคนดีก็แอบมีร้ายเหมือนกัน ในรากลึกของคนร้ายแท้จริงเขาก็มีดีอยู่ แต่เพราะความหลงและความไม่รู้ทำให้เขาแตกต่างกัน ใช่หรือไม่ เราบอกท่านแล้วตั้งแต่ต้น ในโลกนี้มีคนรู้ช้ากับรู้เร็ว มีคนฉลาดกับคนโง่ เรารู้ก่อน เขายังไม่รู้ เราอย่าโกรธ แม้เราเตือนแล้ว เขายังทำผิดเหมือนเดิมเราก็ต้องไม่โกรธ เราต้องย้อนถามตัวเองก่อนว่าเราทำอะไรผิดหรือเปล่า
(อยากทำทุกวันให้ป๊ามีความสุข) แค่เป็นคนดีทำตัวเองให้ดี คนรอบข้างก็มีความสุขแล้ว (อยากให้ตัวเองมีความสุข, ขอให้คนไทยมีสัจจะ) เริ่มมีสัจจะที่ตัวเองก่อนนะ (อยากเรียนหนังสือเก่งๆ ) ถ้าขยันก็เก่งได้ (อยากให้ร่างกายสมบูรณ์ไม่ปวดเมื่อย) เป็นไปได้ไหมหนอ คนเราเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ดีนะ โรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่เตือนให้มนุษย์รู้ว่าตอนนี้เรากำลังดำเนินอะไรผิดปกติ เพราะเวลามีโรคแปลว่าเรากำลังทำอะไรผิดปกติ ทำไมเราปวดใจ เพราะเราคิดอย่างผิดปกติ ทำไมเราจึงปวดขาก็เพราะว่าเราใช้อย่างผิดปกติ ฉะนั้นการเจ็บป่วยจึงเป็นข้อเตือนใจที่ดีทำให้มนุษย์เรารู้ว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรผิดปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมเราถึงถามว่ามนุษย์ในโลกนี้อยากได้อะไร เพราะว่าสิ่งที่มนุษย์อยากคือ อยากมั่งมี มั่งมีความรู้ มั่งมีเงินทอง มั่งมีคนรักใช่หรือไม่ (ใช่) ความมั่งมีจะเกิดได้ หรือความมีจะเกิดได้ต้องมีพื้นฐานของความว่าง ความมีจะเกิดประโยชน์ได้ก็เพราะมีความว่าง ถ้าท่านสร้างอะไรมาอย่างหนึ่งแต่ไร้ความว่าง สิ่งที่มีนั้นก็เปล่าประโยชน์ เพราะว่างมาก่อนเราจึงรู้สึกอยากมี ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติง่ายๆ ถ้าเราอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง มีทุกอย่างที่คนอื่นเขาอยากมี อยากมีทีวีก็ได้ทีวี อยากมีรถยนต์ก็ได้รถยนต์ อยากมีเก้าอี้ก็ได้เก้าอี้ อยากมีเงินก็ได้เงิน อยากมีทองก็ได้ทอง มีทุกอย่างหมด ชีวิตเป็นอย่างไร (มีความสุข) มีความสุขจริงหรือ ถ้าชีวิตนี้นึกอะไรปุ๊บก็ได้ปั๊บ พออยู่ไปนานๆ ยังไม่ทันสองปีหรอก ท่านก็เริ่มเบื่อแล้ว ชีวิตนี้ก็ไม่มีรสชาติ ไม่มีความกระตือรือร้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราอยากจะบอกว่าความมีที่มนุษย์ปรารถนานั้น ไม่สู้เท่ากับความขยันหมั่นเพียร มีเงินมีทองมีอะไรก็ตามแต่ ถ้าขาดความขยันหมั่นเพียรแล้ว ความมีนั้นก็พร้อมพลิกเป็นความไม่มีได้ แต่ถ้ามีความขยันหมั่นเพียร ไม่งอมืองอเท้า ไม่ยอมแพ้ชีวิตจะเป็นตัวที่ช่วยชดเชยความไม่มีให้สมบูรณ์ได้ ใครก็ทำร้ายไม่ได้ ถ้าคิดจะมีต้องมีให้ถูก ไม่อย่างนั้นสิ่งที่มีจะทำให้เราเจ็บปวด
ใครๆ ก็อยากมีความรัก แต่พอมีความรักมีใครบ้างที่ไม่ต้องสูญเสียรัก ใครๆ ก็อยากมีเงิน แต่พอมีเงินมีใครบ้างไม่สูญเสียเงิน แล้วพอมีปุ๊บเราทำใจได้กับความไม่มี ได้ไหม (ไม่ได้) ทั้งที่จริงๆ แล้วความมีกับความไร้เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน เหมือนท่านเห็นด้านหน้าก็ต้องเห็นด้าน (หลัง) ท่านเห็นด้านหลังก็ต้องเห็น (ด้านหน้า) ท่านจะเอาแต่ด้านหลังไม่เอาด้านหน้าได้ไหม (ไม่ได้) ท่านจะเอาความมีโดยไม่เอาความไร้ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะว่าเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน มีสิ่งหนึ่งก็ต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง ท่านต้องยอมรับให้ได้ ถ้าไม่อยากทุกข์ท่านก็ต้องเลิกหวัง แต่ถ้าให้ทำอย่างนั้นก็รู้สึกทำใจลำบาก ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นตัวเตือนให้ท่านรู้ก็คือว่า เมื่อท่านเห็นสิ่งหนึ่งต้องระลึกไว้เสมอว่า สิ่งนั้นพร้อมที่จะกลับเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เหมือนเวลาเราเห็นภายนอกของเขาแต่เราก็สามารถเดาข้างในเขาได้ด้วย ฉะนั้นเมื่อไรที่เราเห็นทุกข์ เราจะต้องเห็นสุขข้างในด้วย และเมื่อไรที่เราเห็นสุขเราก็ต้องสามารถเห็นทุกข์ข้างในด้วย นั่นเรียกว่าปัญญาอันกระจ่างแจ้งแล้วเราจะเป็นคนที่ยากจะพบทุกข์ เพราะมีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท
เมื่อเราเห็นสิ่งที่รัก เราต้องพร้อมจะเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจในสิ่งที่เรารัก แล้วความรักของเรานี้ก็จะไม่ทำให้เรารักจนหลง หรือรักจนหน้ามืดตามัว หรือพูดง่ายๆ ก็คือความรักของเราจะอยู่ในความไม่ประมาท เพราะเรารู้จักประมาณ เข้าใจไหม (เข้าใจ) เหมือนเวลาที่เราบอกว่า คนรู้ก็คือคนที่พร้อมจะไม่รู้ คนที่ไม่รู้ก็คือคนที่พร้อมจะรู้ แต่เมื่อไรที่เราพูดว่าเรารู้ เมื่อนั้นเราคือคนที่ไม่รู้ เมื่อไรที่เราพูดว่าเราไม่รู้ เราคือคนที่พร้อมจะรู้ จริงไหม (จริง) อยากเป็นคนที่มีความรู้ แต่ถ้าทุกวันบอกว่าฉันรู้แล้วๆ ท่านจะได้รู้ไหม เพราะปากก็พูดว่ารู้แล้วๆ แล้วใครจะบอกให้ท่านรู้ ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ถ้าเราอยากเป็นคนรู้เราก็ต้องบอกว่า เรายังไม่รู้ แต่มนุษย์กลัวที่จะเสียหน้า จึงทำให้รู้แบบคนไม่รู้ไปตลอดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าลืมว่าความเป็นจริงของโลกใบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ตายตัวแต่มนุษย์ชอบกำหนดให้ตายตัว เหมือนดังคำพูดที่มนุษย์พูดว่า “มนุษย์กำหนดทุกสิ่งด้วยภาษา และมักจะมองภาษาเป็นความจริง” ทั้งที่จริงๆ แล้วความจริงเป็นสิ่งที่ไม่คงที่ แต่ภาษาเป็นสิ่งที่ตายตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีชายคนหนึ่งเดินออกไปข้างนอกแล้วบอกว่า “ฉันเห็นนายบีนั่งอยู่ตรงโน้น” แต่ชายอีกคนหนึ่งเดินออกไปข้างนอก “ไหนนายบี ไม่อยู่ ไม่มี มีแต่เก้าอี้” แล้วสองคนก็เถียงกันเอาเป็นเอาตายว่านายบี อยู่หรือไม่อยู่ เพราะอะไร เพราะภาษาที่ตัวเองคิดว่ารู้ เพราะความเข้าใจที่ตัวเองคิดว่ารู้ ทั้งที่ความเป็นจริงมนุษย์ทุกคนสามารถแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา หรือความเป็นจริงของชีวิตคนสามารถไหลเป็นกระแสไม่หยุดนิ่ง ฉะนั้นอย่าบอกว่าเรารู้ แต่แท้ที่จริงแล้วเรายังไม่รู้ แม้จะรู้มากขนาดไหนก็ตาม แต่ความเป็นจริงนั้นพร้อมจะทำให้เราเป็นคนไม่รู้ได้ทันที
เหมือนวันนี้ท่านบอกว่าวันนี้ท่านเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พรุ่งนี้ต้องเห็นแน่ พูดอย่างนี้ฆ่าตัวเองตายไหม (ตาย) ตายเพราะความยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองรู้ มนุษย์ทุกข์เพราะความรู้ และรู้อย่างยึดมั่นถือมั่นจึงทุกข์มาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วใครบ้างในโลกนี้รู้แล้วไม่ยึดมั่น ไหนยกมือขึ้นใครว่าตัวเองเป็นคนโง่ เมื่อไรที่คิดว่าตัวเองไม่โง่นั่นแหละตายเพราะความฉลาด พูดจบท่านยังทำเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเขาพูดว่าเราไม่รู้ เราก็เป็นทุกข์ทันที เราก็ยากที่จะมีสุข ความสุขของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งคืออยากอยู่ไม่อยากตาย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรารู้ได้อย่างไรว่า การอยู่ของเรานี้ การมีชีวิตยืนยาวของเรานี้ ไม่ใช่เป็นความหลงอันยาวนาน มนุษย์เกลียดความตาย แล้วท่านเคยรู้ไหมว่า ที่เราเกลียดความตาย จริงๆ แล้วอาจจะเป็นการลืมกลับบ้าน ท่านกำลังหลงทางแล้วลืมกลับบ้าน เหมือนคนที่ออกไปเที่ยวเสียนาน พอถึงเวลาก็ไม่รู้ว่าทางกลับบ้านอยู่ไหน แต่จะกลับบ้านก็ไม่อยากกลับ เพราะหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราจะเล่านิทานให้ฟัง มีชายคนหนึ่งคิดว่าการเกิดเป็นสิ่งที่มีความสุข การตายเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ วันหนึ่งเขาก็ไปพบหัวกะโหลก เขาก็พูดกับหัวกะโหลกว่า “น่าเสียดาย การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่มีความสุข การตายเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ท่านนี่โชคร้ายจริงๆ” พอถึงเวลากลางคืนเขาก็เอาหัวกะโหลกมาเป็นหมอนหนุน แล้วในคืนนั้นเขาก็ฝันเห็นกะโหลกพูดกับเขาว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าความตายเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ เราตายมาแล้วเราจึงรู้ว่าการเกิดนั่นแหละเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ การตายเป็นสิ่งที่เป็นสุข เป็นความสงบอันแท้จริง ไม่ต้องรู้จักความเจ็บปวด ไม่ต้องรู้ว่าคนนี้เจ้านาย คนนี้ลูกน้อง เพราะตายแล้วทุกอย่างเท่ากันหมด”
ฟังจากนิทานเรารู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้สิ่งที่เราเผชิญอยู่เป็นสิ่งที่เรียกว่าสุข และความตายที่ท่านกลัวกันนักหนาเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ) ฉะนั้นอย่ากลัวการตาย เพราะไม่แน่ความตายอาจทำให้เราหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราแบกมาทั้งชีวิตก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกชีวิตเกิดมาหนึ่งวัน ก็คือตายหนึ่งวัน เกิดห้าวัน ก็คือตายห้าวัน แล้วเรามีอะไรที่ตายไปจากชีวิตเราบ้าง เกิดห้าวันก็มีสิ่งที่ตายจากเราห้าวัน เกิดร้อยวันก็มีร้อยวัน แล้วสิ่งที่เรามีก็คือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ กังวล ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสิ่งที่ไม่มีแน่ใจหรือว่าจะทำให้เราสุขไม่ได้ มนุษย์น่าจะคิดได้ สิ่งที่มีคือสุข สิ่งที่ไร้คือทุกข์ แต่พุทธะอยากบอกว่าบางครั้งสิ่งที่มีนั่นแหละเรียกว่าทุกข์ แต่สิ่งที่ไร้นั่นแหละเรียกว่าหนทางสู่ความสุข
ความสุขของมนุษย์มีอะไรอีกบ้าง ทำเพื่อตามใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่เอาแต่ใจคือคนที่เหมือนเด็กไม่ยอมโต มีคนชมได้แต่ห้ามมีคนว่า เวลาที่คนยกย่องคือความสุขที่สุดของชีวิตเราแล้ว การที่ได้ทำอะไรที่ตามใจตัวเองคือความสุข ได้ในสิ่งที่หวังสิ่งที่ชอบนั้นคือความสุข แต่คนที่คิดอย่างนี้คือคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อความเป็นจริง มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบตามใจตัวเอง ชอบมีในสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ไม่ชอบอย่าได้มี อย่าได้เข้าใกล้ รังเกียจ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่ตัวเองกำหนด จึงจะเรียกว่าความสุข ความดี ความสมหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่านรู้ไหมว่าเมื่อไรที่กำหนดว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้งาม สิ่งนี้ถูกต้อง นั้นแหละท่านกำลังกำหนดสิ่งที่เรียกว่าไม่งาม ไม่ดี ไม่ถูกต้องทันที เมื่อไรท่านชอบสิ่งที่เรียกว่าสวย สิ่งที่เรียกว่างาม เมื่อนั้นท่านจะพร้อมมีสิ่งที่ไม่ชอบทันที ที่เรียกว่าไม่สวย ไม่งาม ฉะนั้นไม่อยากอยู่ในวังวน ก็อย่ากำหนดอะไรให้ตัวเองต้องติดอยู่ในวังวนนั้น แต่มนุษย์ชอบเอาตัวเองเป็นมาตรฐานแล้วกำหนดตัวเอง แล้วชอบไปกำหนดผู้อื่น นี่แหละที่เรียกว่าผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อความจริง กำหนดว่าคนขาว สูง เพรียวนั้นสวย แต่เมื่อไรที่ดำเตี้ย ม่อต้อ ไม่สวย ชอบเอามาตรฐานมากำหนดแล้วก็ทุกข์กับมาตรฐานที่ใจตัวเองกำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่) เรากำลังบิดพลิ้วกับความจริงใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ชอบกำหนดว่าอย่างนี้เรียกว่าสุข เมื่อไรที่กำหนดว่าอย่างนี้เรียกว่าสุข ท่านก็พร้อมจะรู้ว่า อย่างนั้นๆ คือทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่แท้ที่จริงแล้ว แน่ใจหรือว่าเป็นทุกข์แล้วจะไม่เป็นสุข ท่านกำหนดว่าเสื้อต้องใหม่ กางเกงต้องมียี่ห้อ ใส่แล้วโก้ เดินแล้วมีความสุข แต่ถามจริงๆ เสื้อเก่าๆ ไม่มียี่ห้อ เดินแล้วจะอมความทุกข์ไหม (ไม่) ถ้าอยากมีสุขจงอย่ากำหนดสุขของตัวเอง เมื่อไรที่กำหนดเมื่อนั้นต้องมีทุกข์แน่ จงซื่อสัตย์กับความเป็นจริง อะไรก็ได้ อะไรก็ดี แล้วชีวิตนี้จะไม่มีทุกข์
วันนี้นั่งดีไหม (ดี) ฟังดีไหม (ดี) น่าจะพูดว่านั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ฟังก็ดี ไม่ฟังก็ดี ใช่หรือไม่ แต่มนุษย์พอนั่งก็บอกว่าไม่ดี พอยืนก็บอกว่าไม่ได้ ชีวิตนี้ก็เลยไม่รู้จะนั่งหรือยืนดี ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นต้องพอใจในสิ่งที่เป็นธรรมดาสามัญ เมื่อไรเราพอใจในสิ่งที่เป็นธรรมดาสามัญ ความสุขก็จะไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม แต่ความสุขเป็นสิ่งที่แค่นี้ก็ดีแล้ว เท่านี้ก็สมควรแล้ว ถ้าเรามัวหวังไกล คนที่ทุกข์ก็คือตัวคนที่หวัง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าจะหวังก็ต้องเผื่อความผิดหวังไว้ เห็นนอกก็ต้องมองเห็นข้างใน เห็นดีก็ต้องเห็นร้าย ในร้ายก็ต้องเห็น (ดี) ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกสิ่งที่หนึ่งที่มนุษย์ชอบคือ ชอบคนชมไม่ชอบคนติ ชอบคน
ยกย่องแต่ไม่ชอบคนเหยียบย่ำ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าวันนี้เดินออกไปแล้วมีคนชมว่าสวย รู้สึกเหมือนใจสวยตามไปด้วย หรือว่ามีคนชมว่ายังดูหนุ่มอยู่เลยนะ ไม่แก่เลย ท่านรู้สึกว่าวันนั้นมีความสุข นอนหลับ แต่ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า เมื่อใดที่ยกสิ่งหนึ่งขึ้นมาให้โดดเด่น แปลว่าสิ่งนั้นขาดไปจากสังคม (ไม่เคย) หากวันนี้ทุกบ้านมีลูกกตัญญูหมด เขาจะมีใบเกียรติคุณยกย่องลูกกตัญญูหรือไม่ (ไม่มี) ถ้าทุกคนเป็นคนซื่อตรงหมด ไม่ขโมยของๆ คนอื่น เขาจะมีการยกย่องชมเชยคนที่เก็บของได้แล้วเอามาคืนหรือไม่ (ไม่มี) เพราะคนส่วนใหญ่เก็บของได้ก็เอาเข้ากระเป๋าตัวเอง คนที่กตัญญูก็หายไปหมดแล้ว เขาจึงต้องยกย่องคนกตัญญู ยกย่องคนที่เก็บของได้แล้วรู้จักคืน ฉะนั้นเมื่อไรที่เขาชมท่านว่าสวย จงคิดว่าท่านขาดสวยไป แล้ววันนี้เพิ่งสวย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อไรที่เขายกย่อง นั่นแปลว่าจะทำให้เกิดการชิงดีแข่งขัน ถ้าทุกอย่างราคาเท่ากันหมด เราก็คงไม่ให้ค่าความสำคัญอะไร แต่ถ้าเมื่อไรเรากำหนดว่าอันนี้คือสิ่งที่มีค่าสูงสุด เราจะแย่ง จะชิงดี จะแข่งกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่มีคนเก่งหนึ่งคน คนสำเร็จหนึ่งคน ท่านเตรียมตัวหนาวหลังได้เลยว่า เบื้องหลังท่านจะมีคนแย่งตำแหน่ง อยากดี อยากเก่ง อยากสำเร็จเหมือนท่านบ้าง เพราะสูงแล้วเด่น แล้วใครในโลกไม่อยากเด่นบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นปราชญ์ หรือพุทธะจึงมองเห็นเรื่องคำชม การยกย่อง การมั่งมี ความสุข และความทุกข์ เป็นเรื่องไม่เที่ยงแท้
ยกย่องแต่ไม่ชอบคนเหยียบย่ำ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าวันนี้เดินออกไปแล้วมีคนชมว่าสวย รู้สึกเหมือนใจสวยตามไปด้วย หรือว่ามีคนชมว่ายังดูหนุ่มอยู่เลยนะ ไม่แก่เลย ท่านรู้สึกว่าวันนั้นมีความสุข นอนหลับ แต่ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า เมื่อใดที่ยกสิ่งหนึ่งขึ้นมาให้โดดเด่น แปลว่าสิ่งนั้นขาดไปจากสังคม (ไม่เคย) หากวันนี้ทุกบ้านมีลูกกตัญญูหมด เขาจะมีใบเกียรติคุณยกย่องลูกกตัญญูหรือไม่ (ไม่มี) ถ้าทุกคนเป็นคนซื่อตรงหมด ไม่ขโมยของๆ คนอื่น เขาจะมีการยกย่องชมเชยคนที่เก็บของได้แล้วเอามาคืนหรือไม่ (ไม่มี) เพราะคนส่วนใหญ่เก็บของได้ก็เอาเข้ากระเป๋าตัวเอง คนที่กตัญญูก็หายไปหมดแล้ว เขาจึงต้องยกย่องคนกตัญญู ยกย่องคนที่เก็บของได้แล้วรู้จักคืน ฉะนั้นเมื่อไรที่เขาชมท่านว่าสวย จงคิดว่าท่านขาดสวยไป แล้ววันนี้เพิ่งสวย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อไรที่เขายกย่อง นั่นแปลว่าจะทำให้เกิดการชิงดีแข่งขัน ถ้าทุกอย่างราคาเท่ากันหมด เราก็คงไม่ให้ค่าความสำคัญอะไร แต่ถ้าเมื่อไรเรากำหนดว่าอันนี้คือสิ่งที่มีค่าสูงสุด เราจะแย่ง จะชิงดี จะแข่งกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่มีคนเก่งหนึ่งคน คนสำเร็จหนึ่งคน ท่านเตรียมตัวหนาวหลังได้เลยว่า เบื้องหลังท่านจะมีคนแย่งตำแหน่ง อยากดี อยากเก่ง อยากสำเร็จเหมือนท่านบ้าง เพราะสูงแล้วเด่น แล้วใครในโลกไม่อยากเด่นบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นปราชญ์ หรือพุทธะจึงมองเห็นเรื่องคำชม การยกย่อง การมั่งมี ความสุข และความทุกข์ เป็นเรื่องไม่เที่ยงแท้
เที่ยงแท้ คือทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ที่ตั้งอยู่ และทุกข์ที่ดับไป หามีตัวตนไม่ เพราะมีตัวตนจึงมีทุกข์ เพราะมีที่ให้ทุกข์อาศัยอยู่ มนุษย์เจ็บปวดเพราะมีตัวตน มีชื่อเสียง แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้จักปล่อยวางชื่อเสียง ปล่อยวางตัวตน ทุกข์จะมาหาเราได้อย่างไร จริงไหม (จริง) แก่นของพุทธศาสนาคือไตรรัตน์ ไตรรัตน์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงคือตัวเรา ตัวเรามีความไม่เที่ยงอยู่ แล้วเรามีตัวตนไหม ไม่มี ทุกสิ่งล้วนประกอบขึ้นมาเป็นขันธ์ แล้วที่สุดคือความว่างเปล่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่อมีและไปสู่ความว่าง ทุกวันเดินไปสู่ความดับและความไร้ แต่ตอนนี้เรามีเพื่อ และมีเพื่อมีมากๆ เพื่อไปสู่ความไร้ที่เจ็บปวด ฉะนั้นต้องมีแล้วปล่อยวางบ้าง อย่าไปห่วงมันเลย เพราะถึงเวลาก็เอาไปไม่ได้ แต่มนุษย์ห่วงไปหมดตั้งแต่ผมยันขี้เล็บ ห่วงมากก็ทุกข์มาก
ถ้าเกิดวันหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดินมาแล้วทำหน้าบึ้ง พอเห็นหน้าท่านแล้วก็ถอนหายใจ ท่านจะทำใจได้ไหม นี่แหละคือความจริง มนุษย์ชอบแต่ความจริงที่สวยงาม แต่ความจริงในโลกนี้มีทั้งสวยและไม่สวย มีทั้งดีและไม่ดี เราต้องรับให้ได้ เมื่อเรารับได้เราจะมีปัญญาอันกระจ่างแจ้ง ปัญญาอันกระจ่างแจ้งจะทำให้เรามองเห็นกรอบที่ไร้กรอบ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัด ไม่มีอะไรที่เรียกว่าถูก ไม่มีอะไรที่เรียกว่าผิด ไม่มีอะไรที่เรียกว่าดีอย่างแท้จริงหรือถาวร และไม่มีอะไรที่เรียกว่าเลวร้ายจนหาดีไม่พบ ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ท่านจะเข้าใจจิตแห่งพุทธะอันกระจ่างและสามารถรองรับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างเป็นกลาง ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ารักและไม่มีสิ่งที่เรียกว่าน่ารังเกียจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอย่างนั้นเอง
วันนี้เราก็ต้องไปแล้ว สักวันทุกคนก็ถึงเวลาไป ฉะนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่จงสร้างคุณค่าของการมีชีวิตให้ประเสริฐที่สุด อย่ามัวแต่ตามใจตัวเองจนลืมสนใจผู้อื่น อย่ามัวแต่เอาใจตัวเองจนลืมเอาใจผู้อื่นบ้าง คนที่ประเสริฐคือคนที่รู้จักคำนึงถึงผู้อื่นบ้างและมีชีวิตเพื่อผู้อื่นบ้าง ไม่ใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว คุณค่าของความเป็นมนุษย์อันประเสริฐคือ มีชีวิตอยู่แล้วเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อผู้อื่นบ้าง แล้วท่านจะเข้าใจว่าใจแห่งฟ้าเป็นใจที่ยิ่งใหญ่ เป็นใจที่สามารถรองรับมวลชนที่แม้จะดีหรือเลวได้ ใจแบบนี้ที่เราหวังให้ท่านกลับไปหาให้พบ ไม่ต้องมองคนอื่น แต่จงหันมามองตัวเอง คนมีดีมีเลว เราก็มีดีมีเลว เข้าใจตัวเองก็จะเข้าใจคนอื่น เรามีพูดเสียงเบา เสียงหนัก คนก็มีพูดเสียงหนักเสียงเบา บางครั้งเรายุติธรรม แต่บางครั้งเราก็ไม่ยุติธรรมอย่างไม่มีเหตุผล บางครั้งเราก็ยึดมั่นถือมั่นแบบหัวชนฝา ชอบใครก็ชอบแบบหน้ามืดตามัว แม้ใครจะเตือนอย่างไร แต่เราก็ยังชอบ บางทีเราก็เคยโง่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าเข้าใจตัวเอง มองเห็นตัวเอง แล้วเราจะมองเห็นคนอื่นและเข้าใจคนอื่น คนนั้นก็ไม่ต่างจากคนนี้ใช่ไหม (ใช่) นั้นแหละก็เรียกว่า คน คน คน เมื่อไรจะหยุดคนเท่านั้นเอง ถ้าหยุดคนได้เมื่อนั้นก็ประเสริฐนักแล ไปแล้วนะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ทั้งลุกนั่งยืนนอนไม่เหมาะสม ทั้งอารมณ์ความคิดวุ่นวายใหญ่
ทั้งเข้าออกขึ้นลงยังวุ่นวาย ทั้งใจกายดับกิเลสพ้นได้ทัน
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า
พักหลังคนต่างทิ้งวิญญาณ ใส่ใจความรู้ ไม่เชิดชูเหล่าคุณธรรม เปลี่ยนแลกใจกับเงินกอบกำ กับผลของงาน จึงเป็นคนด้วยความทุกข์ทน ลึกลงจิตใจ ไม่เคยโล่งดี
ความงดงามใช้ธรรมบ่งชี้ อยู่ด้วยความดี เห็นเงินตรารู้ที่ควรพอ อาจใช่ทำดีขึ้นกว่านี้ แต่ใช้จิตดี อย่างเข้าใจจะเกิดปัญญา ทุกคนทุกวัย ต่างมีของดี ทุกทางทุกที่ ให้เคารพกัน (ซ้ำ ๓ ครั้ง)
ชื่อเพลง : อย่าทิ้งวิญญาณบำเพ็ญ
ทำนองเพลง : ตลอดเวลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ตอนนี้อาจารย์เข้าถ้ำเสือต้องได้อะไร (ลูกเสือ) แล้วสุดท้ายกลายเป็นเสือหรือเปล่า (เปล่า) วันนี้ฟังธรรมะเป็นวันที่สองแล้ว เข้าใจเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ (เพิ่ม) คนที่มาเป็นนักเรียนสองวันนี้ ถ้าตั้งแต่มายังไม่ได้ตอบอะไรใครเลย แล้วก็ยังไม่ค่อยคุยกับใคร ส่วนใหญ่จะฟังอย่างเดียว ก็จะเป็นการขาดดุลไป ฉะนั้นเวลามาที่นี่เมื่อถามก็ต้องตอบ เราอาจจะไม่ตอบใคร ไม่คุยกับใครก็ได้ แต่ต้องคุยกับอาจารย์ด้วย เพราะอาจารย์อุตส่าห์มา ศิษย์ของอาจารย์ก็ต้องอุตสาหะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
รู้จักไฟกับน้ำหรือไม่ (รู้จัก) เรารู้จักไฟกับน้ำดี ไฟหากอยู่ในหลอดนีออนเหมาะสมหรือไม่ (เหมาะสม) เหมาะสมดี น้ำอยู่ในตุ่มเหมาะสมหรือไม่ (เหมาะสม) แล้วน้ำที่มาท่วมบ้านเรา กับไฟที่ไหม้บ้านเหมาะสมหรือไม่ (ไม่เหมาะสม) ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีความเหมาะสม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดให้ถูกที่และถูกเวลา ไฟและน้ำสามารถเป็นประโยชน์ฉันใด ไฟและน้ำก็สามารถเป็นภัยได้ฉันนั้น เปรียบประหนึ่งตัวเราก็เช่นกัน เราทุกคนมีอายตนะซึ่งเป็นของดีหรือไม่ (ดี) ตาฝ้าฟาง ปากชอบพูดด่าคน หูชอบฟังเสียงนินทา ดีหรือไม่ (ไม่ดี) อันนี้เปรียบเสมือนสิ่งที่เป็นของดีแต่เราทำให้กลายเป็นของไม่ดี
ฉะนั้นการที่เราจะเป็นคนดีก็แค่เปลี่ยนจากพื้นฐานที่เป็นเรื่องที่ไม่ดีของเรา ทำให้ดีขึ้น เรามีตา หู จมูก ปาก ปกติแล้วเราใช้ไม่ค่อยมีคุณเท่าไร เราแค่เปลี่ยนจากที่เราชอบใช้ให้เป็นโทษกลับมาให้เป็นคุณ ทำยากหรือไม่ (ไม่ยาก) คนเคยด่าก็ต้องเลิก (ด่า) คนเคยบ่นก็ต้องเลิก (บ่น) คนเคยว่าก็ต้องเลิกว่า (ว่า) คนเคยเพ้อก็ต้องเลิก (เพ้อ) คนเคยเห็นแต่ในเรื่องที่ไม่ดี ก็ต้องเห็นแต่ในสิ่งที่ (ดี) ถามว่าสิ่งที่เข้ามาให้เราเห็นเป็นสิ่งเดิมหรือไม่ (สิ่งเดิม) ตัวเราที่เห็นในกระจก สามีเรา ลูกเรา บ้านเรา ทุกอย่างเป็นสิ่งเดิม แต่ว่าเราต้องเห็นสิ่งดีในของเดิม ถึงจะเรียกว่า น้ำและไฟแปรจากภัยเป็นประโยชน์ได้ แปรจากโทษเป็นคุณ เวลาโมโหเขาเรียกอะไรออกหู (ลมออกหู) เวลาพูดไม่ออกเขาเรียกอะไรท่วมปาก (น้ำท่วมปาก) ตัวเรามีทั้งไฟ น้ำ มีดินคือสังขารอันนี้ มีลมคือลมหายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ลมหายใจเข้าออก ทุกสิ่งทุกอย่างดินน้ำลมไฟต้องหัดใช้ให้เป็นประโยชน์
เช่นเดียวกัน ขยับออกมาจากตัวเรา สิ่งที่อยู่รอบกายเรา วันนี้เรานั่งฟังอะไร (ธรรมะ) ปกติเรารู้ไหมว่าโลกนี้มีธรรมะ (รู้) แล้วรู้ไหมว่าธรรมะปฏิบัติอย่างไร ต้องถามคำถามง่ายขึ้น รู้ไหมว่าการเป็นคนดีเป็นอย่างไร (รู้) เรารู้ แต่ถามว่าเราทำหรือเปล่า (ไม่ทำ) เราทำบ้างไม่ทำบ้าง เหมือนไฟติดๆ ดับๆ เหมือนน้ำไหลๆ หยุดๆ ถามว่ารำคาญไหม (รำคาญ)
ธรรมะที่ให้ประโยชน์แก่ชีวิตของเราได้ ธรรมะที่เป็นคุณต่อจิตใจของเราได้ ธรรมะที่ประสิทธิ์ประสาทและเปลี่ยนแปลงตัวเราให้เป็นคนที่มีความสุขได้ แต่เรามองเห็นธรรมะเป็นเรื่องไกลตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มองเห็นความทุกข์เป็นเรื่องใกล้ตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถามว่าอยู่ดีๆ เราจะหายทุกข์ได้อย่างไรล่ะ ทำตัวของเราเหมือนๆ เดิม เราจะหายทุกข์ไหม (ไม่) เราไม่มีวันหายทุกข์ได้ด้วยตัวของเราเอง ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าตัวเราไม่รู้จักตัวเราเอง ตัวเราก็มองไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเราเอง ตัวเราไม่เคยมีความสุขกับตัวเราเอง สิ่งที่ได้มาก็บอกว่าเป็นสิ่งที่ยังไม่ดี สิ่งที่เป็นของคนอื่นเราบอกว่าเป็นของดีกว่าของเรา เราเป็นอย่างนี้เสมอเลย เรามักจะเอาตาของเรามองของๆ คนอื่น แล้วของๆ ตัวเราเอง เราบอกว่าดีไหม (ไม่ดี) แล้วตัวของเราดีหรือเปล่า แต่เราบอกว่าตัวของเราดี เราทะเลาะกับคนอื่นใครผิด (คนอื่น) คนอื่นผิด ใครถูก (เราถูก) ทำไมเราถูกล่ะ ก็เรามีแต่อะไรที่ไม่ดีทั้งนั้นเลยนี่ เราจะถูกได้อย่างไร ตัวเราพูดดีไหม (ไม่ดี) พูดก็บอกว่าตัวเองพูดไม่ค่อยดี เวลาคิด คิดดีไหม คิดๆ ไปแล้วก็บอกว่ายังไม่ค่อยดี แล้วเราจะเป็นคนดีได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่เราจะดีขึ้นต้องดีจากที่ไหน (ที่ตัวเรา) ดีจากการมีวัตถุสิ่งของเสื้อผ้าของใช้ที่ดีขึ้นกว่านี้ (ไม่ใช่) หรือดีขึ้นจากการที่เรามีเงินมากขึ้นกว่านี้ ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) หรือดีจากการที่ถ้าเราเกิดมาแล้วสวยกว่านี้คงดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น มีแต่จะทำให้เราแย่ลง ทำไมถึงบอกว่าการมีเยอะๆ ทำให้เราแย่ลงล่ะ เราอยากมีของเพิ่มขึ้นหนึ่งชิ้น เราต้องหาเงินมาซื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราหาเงินแล้วไม่มีอะไร หาเงินแล้วไม่มี (เวลา) หาเงินแล้วไม่มีเวลา ไม่มีเวลาแล้วยังไงอีก ไม่มีเวลาแล้วก็ไม่ได้พักผ่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) พอไม่ได้พักผ่อนแล้วก็ป่วย ป่วยแล้วเป็นอย่างไร (หาหมอ) ไปรักษาหาหมอ แล้วเงินที่ได้มาก็เอาไปไหน (ให้หมอ) หมอรวยแย่เลย เราอยากได้ของหนึ่งชิ้น เราทุ่มเทด้วยสิ่งที่เราคาดไม่ถึงตั้งมากมายลงไปในนั้นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) กว่าเราจะรู้ตัว เรากลายเป็นคนที่ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย ทั้งเบื่อ ทั้งไม่มีเวลา เป็นคนที่เบลอๆ เป็นคนที่อารมณ์ไม่ดี เป็นคนที่เจ็บป่วยใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าโรคเหล่านี้เราเป็นหมดหรือยัง โรคเหล่านี้เป็นทุกคนหรือยัง (เป็นแล้ว) ทุกคนเป็นโรคเหล่านี้ เป็นโรคเบื่อไม่มีสาเหตุ เป็นโรคเหนื่อยไม่มีสาเหตุ เป็นโรคไม่มีความสุขไม่มีสาเหตุ รู้แต่ว่าอยากจะสุขเดี๋ยวนี้ ต้องไปทำสิ่งนั้นๆ แล้วจะมีความสุขขึ้นมานิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างเช่นตอนนี้สามทุ่มแล้ว อยากมีความสุขเดี๋ยวนี้ไปทำอะไร (นอน) อาจารย์เห็นมีแต่คนนอนไม่หลับ เวลากินก็ไม่ยอมกิน เวลานอนก็ไม่ยอมนอน เวลานอนก็ไม่ยอมตื่น ตอนนี้สามทุ่มถ้าอยากมีความสุขเดี๋ยวนี้ เราก็ไปดูหนัง พอทีวีปิดลงไปแล้วมีความสุขไหม (ไม่) ความสุขไปกับพระเอกนางเอกเรียบร้อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
มนุษย์ทุกคนรู้จักแต่วิธีการสร้างความสุขชั่วคราว การสร้างความสุขเหมือนลูบหน้าปะจมูก ขายผ้าเอาหน้ารอด ความสุขประเดี๋ยวประด๋าว มีแล้วหายไป เหมือนกับหมอกเหมือนกับควัน เหมือนลมเย็นจากพัดลม ปิดพัดลมก็หายเย็น ใช่หรือเปล่า (ใช่) เรามีแต่ความสุขประเภทนี้ทั้งนั้นเลย พัดลมตัวนี้เสียไปแล้วไปหาพัดลมตัวใหม่มา มีความสุขต่อไหม ถามว่าจริงๆ แล้วความสุขมาจากพัดลมเย็นๆ นั้นไหม (ไม่ใช่) ความสุขมาจากไหน (ตัวเรา) เคยเห็นคนไปยืนกลางแดดร้อน แล้วไม่รู้สึกตัวเองว่ากำลังยืนกลางแดด ไม่รู้สึกว่ากำลังร้อนไหม เคยเห็นคนที่ยืนอยู่ใต้พัดลม แล้วไม่รู้สึกตัวเองว่าหนาวไหม เราเคยมีความทุกข์แบบนั้นไหม อย่างน้อยคงมีหลายๆ คนเคยเป็นอย่างนี้ อยู่กลางที่ร้อนไม่รู้สึกร้อน อยู่กลางที่หนาวไม่รู้สึกหนาว อยู่เย็นไม่รู้สึกเย็น อยู่ทุกข์ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นกำลังทุกข์อยู่ หลายๆ คนเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นเราจึงใช้เวลาชั่วชีวิตหาความสุขที่แท้จริงไม่มีทางเจอเลย เพราะว่าเราแค่ไม่รู้จักตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะรู้จักกับตัวเองและสัมผัสและรู้จักตัวเอง นี้คือผิวหนังของเรา นี้คือเลือดของเรา นี้คือกระดูกของเรา นี้คือความเจ็บของเรา นี้คือความร้อน ความหิว ความเย็นของเรา นี้คือหน้าตาของเรา นี้คือเส้นผมของเรา เส้นผมกลายเป็นสีขาวงอกมาเส้นเดียว ห่วงไหม (ห่วง) ต่อให้เป็นผมขาวงอกขึ้นมาเส้นเดียวก็ห่วง ผมขาวทั้งหัว สีดำงอกขึ้นมาห่วงไหม (ห่วง) ก็ห่วง สายตาสั้นก็ห่วง สายตายาวก็ห่วง เจ็บปวดทุกข์ร้อน เหนื่อย เพลีย อะไรก็ห่วงไปหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นความสุขชั่วคราวในชีวิตของศิษย์ทั้งสิ้น เป็นเพราะว่าไม่รู้จักตัวเองจึงไม่สามารถมีความสุขจริงๆ ได้ ความสุขมาจากทรัพย์สมบัติหรือไม่ ความสุขมาจากเงินหรือเปล่า
มีหลายครอบครัวปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำ เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ลูกหลานนั้นเป็นคนที่ขยันขันแข็ง เพราะว่าเห็นพ่อแม่ขยัน ตัวเองก็เลยเป็นคนขยันใช่หรือไม่ (ใช่) พอมาถึงรุ่นที่สองตัวเองเป็นคนสบายแล้ว มีกิจการการค้า มีเงินทองมากมาย ลูกหลานเกิดขึ้นมาก็เห็นแต่แอร์ เห็นแต่ทีวี เห็นแต่รถ เห็นแต่บ้าน ต้องหาเช้ากินค่ำไหม ต้องปากกัดตีนถีบไหม (ไม่) เด็กก็เลยเติบโตขึ้นมาอย่างสบายมาก เป็นเพราะวาสนาของผู้มาเกิด แต่ถามว่าหลังจากที่มาเกิดแล้ว เขารู้ไหมว่าเขาจะต้องไปหาความลำบากเพื่อที่จะเรียนรู้บ้าง มีใครที่จะสามารถฝ่าฝืนหรือว่าทวนกระแสแห่งความสบายนี้ได้บ้าง (ไม่มี) ทุกคนนั้นยิ่งอยู่ในความสบายก็ยิ่งไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงรุ่นหลาน รุ่นหลานขึ้นมาดูแลกิจการค้าแล้วถามว่าล่มไหม (ล่ม) ส่วนใหญ่ก็ล่มสลายลงในรุ่นที่สามนี้ เพราะว่าเกิดมาสบายใช่หรือไม่ (ใช่) เกิดมาสบาย รักษาของได้ไหม (ไม่ได้) กลับกันกับคนที่เกิดมาอย่างยากลำบาก ปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำ คนนี้รักษาสมบัติได้ไหม (ได้) ถามว่าสมบัติของเราผู้เป็นรุ่นลำบากไปถึงรุ่นสบายเป็นสมบัติชิ้นเดียวกันไหม (ชิ้นเดียวกัน) เป็นสมบัติชิ้นเดียวกัน แต่สมบัตินี้ยังอยู่ไหม (ยังอยู่) แต่เรายังอยู่ไหม (ไม่อยู่) เราไม่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทรัพย์สมบัติอยู่ได้ยาวนานกว่าเรา แต่ว่าหลบหนีความไม่เที่ยงของโลกพ้นไหม (ไม่พ้น) ในที่สุดแล้วทรัพย์นั้นก็มีอันต้องสลายหายไป เช่นเดียวกันกับเราผู้สร้าง
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี้ รวมทั้งกายสังขารที่เราต้องอาบน้ำเช้าเย็นไม่อย่างนั้นเราจะเหม็นเน่านี้ด้วย มันก็สลายหายไปพร้อมๆ ความมี เพราะมีความสุขนานๆ จะลืมตัว มีความทุกข์แป๊บเดียวดีไหม มีความทุกข์แป๊บเดียวก็ดี จะทำให้เราไม่ต้องเป็นคนขาดสติ แต่ชีวิตนี้เลือกได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ชีวิตนี้เลือกไม่ได้ เพราะว่าเราเลือกชีวิตของเราตั้งแต่อดีตชาติแล้ว ในปัจจุบันสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราได้ ทุกสิ่งในชีวิตที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราได้วางแผนมาแต่อดีตชาติแล้ว ถ้าคิดได้อย่างนี้ชีวิตของเราจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวด จะได้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ไม่รู้สึกหนาว หิว ไม่รู้สึกเสียใจดีใจกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตของเรา ไม่ต้องรู้สึกทุกข์ใจกับสิ่งที่มีและเสียไป เพราะว่าชีวิตของเรานั้นได้วางแผนมาในอดีตชาติแล้ว กลัวแต่ว่าที่มาเป็นชาติปัจจุบันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะไม่ได้วางแผนอะไรเลยนี่สิน่ากลัวที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงแม้ว่ากำลังเสวยสุขและทุกข์ของอดีตชาติมา แต่อนาคตต่อไปตอนนี้เรากำลังวางแผนอยู่ ตอนนี้เรากำลังวางแผนในเรื่องอนาคตอยู่ ถามว่าเราวางแผนอะไรบ้าง เป็นอย่างเราทุกวันนี้ ชาติหน้าเกิดมาจะสบายไหม ใครไม่แน่ใจยกมือขึ้น ไหนใครคิดว่าชาติหน้าไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสบายหรือเปล่า เราเคยเห็นคนที่แย่กว่าเราไหม (เคย) เราอยากเป็นคนที่แย่กว่าปัจจุบันไหม (ไม่) เราต้องดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ที่อาจารย์มาหาศิษย์ในวันนี้ไม่ได้พูดว่าทำอย่างไรให้ชาติหน้าสบายขึ้น อาจารย์มีสบายยิ่งกว่าสบายมาเสนอศิษย์ เอาไหม (เอา) ศิษย์ต้องทิ้งให้หมดเลย ได้หรือเปล่า ทิ้งอะไรบ้าง ทิ้งความสุข ความทุกข์ ความเศร้าใจ ความดีใจ ความมี ทิ้งสังขารและทิ้งลูก สามี ภรรยา พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทิ้งบ้าน ทิ้งรถ ทิ้งหมดเลย ก็คิดดูขนาดสังขารเรายังเอาไปไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะเอาอะไรล่ะ อารมณ์ดีก็ทิ้ง อารมณ์เสียก็ (ทิ้ง) ทิ้งให้หมดเลย แต่ที่สำคัญคืออะไร ที่ให้ทิ้งทุกอย่างก็เพราะทุกอย่างที่กล่าวมานี้คือกิเลส เราต้องทิ้งทั้งหมด
อาจารย์ให้มองปัจจุบัน ไม่ใช่มองเรื่องวุ่นวายในชีวิต ศิษย์หลายคนไม่สามารถที่จะสลัดทิ้ง เพราะวุ่นวาย ณ ปัจจุบันถึงไม่สามารถทิ้งอะไรได้เลย สุดท้ายแล้วอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขออยู่กับทุกข์ปัจจุบันก่อน ทั้งๆ ที่บอกว่าเบื่อทุกข์ เบื่อจะแย่แล้ว แต่ถามว่าทิ้งได้ไหม (ไม่ได้) เป็นเสียอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นอนาคตอย่างไรก็ช่างไว้ก่อน ตอนนี้พูดถึงปัจจุบันก่อนดีหรือไม่ (ดี)
ใครอยากให้ชีวิตวุ่นวายน้อยกว่านี้ อาจารย์มีวิธีการง่ายๆ เป็นเคล็ดลับที่เปิดเผยได้ อยากรู้หรือไม่ (อยาก) อยากรู้ต้องทำตาม ง่ายนิดเดียว ในทุกปัญหาที่มากมายของศิษย์ มีอย่างหนึ่งที่เข้าไปเป็นหัวใจของปัญหาทุกข้อคืออะไร (ความทุกข์)
ในความทุกข์ทั้งหมดของเรามีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ด้านในของความทุกข์ เราจะเอาสิ่งนี้ออกมา แล้วความทุกข์ใหญ่ๆ ของเราก็จะกลายเป็นความทุกข์ที่เล็กลง ถามว่าสิ่งที่เหมือนกันในความทุกข์เกือบทุกๆ ข้อมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน (ทุกข์กายทุกข์ใจ, การเจ็บป่วย, ทุกข์จากการสูญเสียสิ่งที่รัก, ทุกข์จากการไม่รู้จักพอ) แล้วตอนนี้รู้จักพอหรือยัง หากไม่รับผลไม้นี้ก็จะรู้จักพอ จะเอาผลไม้ไหม (ไม่เอา)
เร็วเกินไปดีหรือไม่ ช้าเกินไปดีหรือไม่ (ไม่ดี) แล้วตรงไหนดี (พอดีๆ) พอดีๆ คืออะไร ถ้ามีเลข 1 2 3 พอดีคืออะไร ตรงกลางคืออะไร (สอง) แต่ชีวิตของเรามีคนมาตีเส้นให้หรือไม่ (ไม่มี) ชีวิตของเราบอกว่านี้คือพอดี แต่พอดีของเราก็ไม่พอดีกับเขา พอดีของอาจารย์ แต่ก็อาจจะไม่พอดีต่อศิษย์ทั้งหลาย
โลกนี้คำว่า “พอดี” ยากมากเลย เพราะพอดีไม่ได้แปลว่าตรงกลางเสมอไป พอดีไม่ใช่ตรงกลางระหว่างสองฟากเสมอไป เพราะว่าคนมีบรรทัดฐานหลายอย่าง บางทีถ้าเอาคนรวยไปทำงานกับคนจน ตรงกลางของคนทุกคนก็ยังเป็นคนที่รวยกว่า ถ้าหากว่าเอาคนเก่งไปทำงานกับคนไม่เก่ง ตรงกลางของทุกคนก็เป็นคนกลางที่เก่งกว่าเสมอ เป็นเพราะว่าใจของคนนั้นมีอคติแล้วก็ลำเอียง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าตรงกลางของศิษย์ในแต่ละเรื่องนั้นคืออะไร หรือตรงไหน แต่อาจารย์จะบอกให้ วิธีการพูด พูดในสิ่งที่ผู้อื่นชอบ ปัญหาก็จะน้อย ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มันกลับกัน เรามักพูดในสิ่งที่ตัวเราชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) พูดไปแล้วมีคนฟังไหม (ไม่มี) พูดแล้วไม่มีคนฟัง จุดประสงค์ของการพูดคืออะไร ถามว่าเราพูดให้กำแพงฟังกับพูดให้คนฟังเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) พูดให้กำแพงฟังมีประโยชน์ไหม (ไม่มี) กลับกันถ้าอาจารย์พูดให้ศิษย์ฟังมีประโยชน์ไหม (มี) เพราะฉะนั้นการที่เราพูดก็คือพูดให้ผู้อื่นฟังจึงจะมีประโยชน์ เราจึงต้องพูดในสิ่งที่ผู้อื่นชอบ แม้กระทั่งเราจะเตือนสติผู้อื่นว่าทำอย่างนี้ไม่ดี ทำอย่างนั้นไม่ดี ยังจำเป็นต้องพูดให้คนที่ฟังแล้วฟังได้ด้วย ไม่ใช่พูดแล้วเขาฟังไม่ได้ฟังไม่ลง อย่างนี้มีประโยชน์หรือเปล่า (ไม่มี) เราต้องพูดแล้วให้เขาทำตามเรา หรือต้องพูดแล้วให้เขารู้สึกฟังเรา หรืออย่างน้อยต้องเข้าใจในสิ่งที่เราพูด นั่นคือประโยชน์สูงสุดของการพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ส่วนการฟังเป็นอย่างไร ฟังในสิ่งที่เราชอบ พูดในสิ่งที่ผู้อื่นชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าแม่บ่น พ่อบ่น ยายบ่น อยากฟังไหม (ไม่อยาก) ตอนนี้เราถูกบังคับให้ต้องยืนฟังอยู่ตรงนี้ แต่ถามว่าเราฟังเข้าหูไหม (ไม่เข้า) เราฟังไม่เข้าหู เพราะสิ่งที่เขาพูดมาไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นฟังอยู่กับไม่ฟังเหมือนกันไหม ต่อให้ฟังก็เหมือนไม่ได้ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่) คนฟังในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็ให้ศิษย์ฟังในสิ่งที่ศิษย์ชอบนั่นแหละ คำบ่นแม้ว่าไม่อยากฟัง แต่ถ้าหากฟังไปเรื่อยๆ ก็ให้แต่สิ่งที่ดีๆ กับเรา นอกจากให้ศิษย์ฟังในสิ่งที่ศิษย์ชอบ ยังเรียกร้องให้ศิษย์นั้นรู้จักแยกแยะว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี ขอให้เลือกพูดแต่ในสิ่งที่ดี สิ่งที่มีประโยชน์ หากต้องการว่ากล่าวตักเตือน ก็ต้องพูดให้คนอื่นยอมรับได้ หากว่าเราต้องฟังก็ขอให้ฟังแต่ในสิ่งที่มีประโยชน์ และสิ่งที่ทำให้เกิดโทษนั้นอย่าไปฟัง ดีหรือไม่ (ดี)
คนเราสามารถรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปว่าผิดหรือถูกไหม (ไม่รู้) อาจารย์บอกให้ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั้นคนรู้ว่าตัวเองทำผิด แต่อีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั้น คนก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิด หากว่าต้องให้อภัยแก่คนๆ หนึ่งซึ่งทำผิดไป คนไหนที่น่าให้อภัยกว่ากัน ระหว่างคนที่เจตนาทำ กับคนที่ไม่เจตนาทำ (คนที่ไม่เจตนาทำ) คนที่ไม่เจตนาทำนั้นน่าให้อภัยยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ทีนี้เราลองมาทบทวนสิ่งที่เราทำไป มีเจตนาทำผิดหรือเปล่า (ไม่มี, มี) หลายๆ คนก็ยังอยากจะตอบว่ามีบ้าง ไม่มีบ้าง คนที่ตอบแบบนี้เป็นคนที่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักตัวเองว่าตัวเองนั้นทำดีหรือไม่ดี คนดีเขาจะตอบว่าส่วนใหญ่ที่ทำไปไม่เจตนา ส่วนคนไม่ดีจะบอกว่าส่วนใหญ่ที่ทำลงไปเป็นเจตนา เราเป็นคนที่ก้ำกึ่งระหว่างคนดีกับคนชั่ว เรามีเจตนาบ้าง ไม่มีเจตนาบ้าง แต่ถามว่าทั้งเจตนา และไม่เจตนาทำผิดนั้นมีความผิดเหมือนกันหรือเปล่า กรรมนั้นมีบาปหรือไม่ (มี) ไม่มีกรรมชนิดไหนที่เราสร้างแล้วไม่มีบาปเลย เพียงแต่ขอให้รู้จักสร้างกรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว เพียงแต่ขอให้รู้ตัวในการทำสิ่งใดลงไปมากกว่าที่จะตอบว่าไม่รู้ตัว เวลาใช้ไปหยิบของบอกว่าลืมได้ แต่ว่าเวลาทำให้ใครเขาเจ็บช้ำน้ำใจ เจ็บตัว เจ็บใจบอกว่าลืมได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์เผชิญกับความเจ็บป่วย เผชิญกับอุบัติเหตุ เจอกับเรื่องเสียใจ เจอกับเรื่องทุกข์ใจ แล้วเจ้ากรรมนายเวรของศิษย์บอกว่าลืมไป ทำให้เจ็บมากไปหน่อยได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ณ วันนี้ ทุกสิ่งที่เราเจอทั้งความเจ็บป่วย พลัดพราก ทั้งความสมหวังและไม่สมหวังต่างๆ นานานั้นเป็นสิ่งที่เป็นผลของการกระทำของเราทั้งสิ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสามท่านออกมาวาดวงกลมบนกระดาน และในวงกลมมีจุดศูนย์กลาง)
วงกลมสามวงแล้วมีจุดอยู่ตรงกลาง จุดนี้คือจุดศูนย์กลาง เป็นกึ่งกลางระหว่างวงกลมใช่หรือไม่ (ใช่) วงกลมนั้นหมายถึงการเวียนว่าย
เราอยากเป็นคนที่ไม่มีทุกข์ เราก็ต้องหาเหตุแห่งทุกข์นั้น ในทุกข์ทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจของความทุกข์ สิ่งนั้นคืออะไร เหมือนกับวันนี้อาจารย์เอาวงกลมอีกร้อยวงมาเรียงเข้าไป เล็กบ้างใหญ่บ้าง ถามว่าตรงกลางของวงกลมนั้นเรียงซ้อนกันได้ไหม ตรงกลางของวงกลมเป็นจุดเดียวกันหรือเปล่า (เป็น) ตรงกลางของวงกลมนั้นเป็นเหมือนกับรูที่สามารถที่จะร้อยด้วยเส้นด้ายได้ เพราะฉะนั้นความทุกข์หลายๆ เรื่องมีสิ่งที่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งนี้สามารถนำเอาออกมาได้ เมื่อนำออกมาได้แล้วความทุกข์นั้นๆ ของเราจะโล่งขึ้น มีใครคิดว่าตัวเองรู้ยกมือขึ้น (อัตตา) อัตตาแปลว่าตัวตน เราเอาตัวของเราเข้าไปพัวพันในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ ปัญหา
อันดับรองลงมาก็คือ “ทิฐิ” เพราะฉะนั้นอัตตา ทิฐิ ที่เรามี ทำให้เรานั้นมีความทุกข์มากยิ่งขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าสามารถนำมันออกมาได้ ถ้าหากว่าเราเอาอัตตาของเราออกจากปัญหา เอาอัตตาออกจากความทุกข์ จะทำให้เรามีความทุกข์น้อยลงไหม (น้อยลง) ตอนนี้เรากำลังเจ็บแขนอยู่ แขนนี้แขนใคร (แขนเรา) เห็นไหม แขนของเราอีกแล้ว ตอนนี้พ่อแม่ของเราตาย พ่อแม่ของใคร ตอนนี้ผมยาวเกินไปแล้ว ผมใคร (ผมเรา) เสื้อตัวนี้เลอะ เสื้อนี้ของใคร (ของเรา) กลับบ้านดึกอีกแล้ว คนนี้สามีใคร ดื้ออีกแล้ว คนนี้ลูกใคร (ลูกเรา) เห็นไหมว่าในทุกๆ อย่าง มีเราเป็นเจ้าของ อะไรก็แล้วแต่ที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราจะทำให้เรามีความทุกข์ เพราะฉะนั้นเมื่อเหตุเกิดตรงไหนก็ให้ดับเหตุตรงนั้น
อัตตา ก็เป็นเหมือนไฟ สามารถที่จะเผาได้ และสามารถที่จะเป็นแสงสว่างก็ได้เหมือนกัน วุ่นวายเพราะอัตตา ก็ให้อัตตาเป็นผู้ดับความวุ่นวายของเรา ใช้อัตตาซึ่งเคยเป็นไฟเผาผลาญเรา กลับกลายมาเป็นแสงสว่างให้เรา ให้อัตตานี้มาเป็นผู้เยียวยารักษาเรา มีโรคที่อัตตาก็รักษาที่อัตตา เพราะอัตตาหรือตัวตนเป็นหัวใจของความทุกข์หลายๆ เรื่อง เพราะว่าเรานั้นรักมากเกินไป โลภมากเกินไป คิดว่าเป็นของเรามากเกินไป เราก็เลยเกิดความทุกข์ แล้วก็เป็นความทุกข์ซ้อนความทุกข์ ไม่จบไม่สิ้น เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่เรามีตัวตนน้อยลง เราก็มีความทุกข์น้อยลง ดึงทิฐิออกมาอย่าทำหน้าบึ้ง อย่าทำหน้างอ อย่าใช้เสียงข่ม อย่าทำเสียงดัง อย่าพูดจาไม่มีเหตุผล อย่าคิดโดยไม่พิจารณาอะไร อย่าคิดร้าย อย่าคิดลบ
พูดให้น้อยกว่านี้หน่อย ฟังให้น้อยกว่านี้หน่อย ทำให้น้อยกว่านี้หน่อย คิดให้น้อยกว่านี้หน่อย เดินให้น้อยกว่านี้หน่อย แล้วความทุกข์นั้นก็น้อยลง บางทีเราก็ฟัง พูด คิด ทำ มากเกินไป เราก็เลยมีอารมณ์มากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าเราไม่เห็น แปลว่าเราถูกปิดหูปิดตาหรือเปล่า บางทีคนที่ไปทำอะไรไม่ดีๆ เพราะคิดว่าคู่ชีวิตของเขาคงรับไม่ได้หากรู้ว่าเขาไปมีภรรยาน้อย ฉะนั้นก็เลยไม่บอกภรรยา พอภรรยารู้ทีหลัง ถามว่ารู้แล้วรับได้หรือเปล่า อาจารย์ยกตัวอย่างปัญหาง่ายๆ ที่เกิดมาเป็นพันๆ ปี อย่างนี้ บางทีอาจบอกว่าอาจารย์พูดเรื่องนี้บ่อย ก็เพราะมันเป็นปัญหาพันปี เป็นปัญหาที่คู่กันมาของคนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดยากๆ ไปชีวิตก็ยาก คิดง่ายๆ ชีวิตก็ง่าย ถ้าหากว่าคิดยากแล้วอยู่ยาก ก็คิดง่ายเพื่อให้อยู่ง่าย
เบื่อหรือยัง (ยัง) ธรรมะไม่มีอะไรที่ไม่น่าสนใจ เมื่ออยู่ภายใต้ธรรมะ ศิษย์จะรู้สึกร่มเย็น กลับกันกับโลกภายนอกที่หวือหวาฟู่ฟ่า รุนแรงเร้าใจเย้ายวน แต่เมื่ออยู่นานไปจะรู้สึกมีความร้อน นั่งๆ ไปแล้วเหงื่อแตก นั่งๆ ไปแล้วตื่นเต้น เวลาออกจากตรงนั้นมา ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นหมดแรงไปเลย ตรงข้ามกับธรรมะ นั่งฟังแล้วอาจจะรู้สึกเบื่อๆ บ้าง แต่ยิ่งนั่งฟังไปจะร่มเย็น เมื่อศิษย์ฟังธรรมะเสร็จ ศิษย์จะมีแรง ตรงข้ามกับการไปกินไปเที่ยวไปเล่น อยู่ภายใต้สิ่งนั้นนานๆ ศิษย์จะมีสภาพที่หมดแรง สังเกตว่าหลายๆ คนไปเที่ยว เที่ยวเสร็จแล้วไม่มีแรง แต่มาฟังธรรมะ กลับไปถึงบ้านมีแรงไหม (มีแรง) มีแรงจะทำดี นี่คือความมหัศจรรย์และคุณวิเศษของธรรมะ
มนุษย์มักชอบพูดบอกว่า ทำงานหมดแรง เสร็จแล้วต้องไปชาร์ตไฟ ไปชาร์ตไฟด้วยอะไร ส่วนใหญ่ไปกินหรือไม่ก็ไปเที่ยว กินมากกระเป๋าแห้ง เที่ยวมากกระเป๋าแบน เพราะฉะนั้นถ้าหากเป็นผู้บำเพ็ญธรรมเมื่อรู้สึกหมดแรงต้องมาชาร์ตไฟด้วยการฟังธรรมะ ฟังธรรมะแล้วจะทำให้จิตใจของเรานั้นมีแรง คือมีความแกร่ง
รู้สึกคุ้นเคยกับอาจารย์หรือยัง (คุ้นเคย) อาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์มาสถานธรรมบ่อยๆ มารับแสงแห่งพุทธะ เวลาจุดตะเกียงมีแสงของพุทธะส่องสว่าง เพียงแต่แสงส่องสว่างนั้นเป็นอีกมิติหนึ่งที่ศิษย์ไม่รับรู้ แต่วิญญาณของศิษย์ย่อมรับรู้ได้ เป็นการเพิ่มความสุขในใจ เพิ่มบารมีในใจ เป็นแสงซึ่งส่องสว่างให้แก่จิตวิญญาณที่มืดมิด และอับเฉาของศิษย์ ฉะนั้นจึงอยากให้ศิษย์มาสถานธรรมบ่อยๆ มาไหว้พระบ่อยๆ อย่าพาตัวไปในที่ไม่ควรไป อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ เพราะการทะเลาะเบาะแว้งเป็นอัปมงคล เมื่อเราสร้างสภาวะอัปมงคลขึ้นมา ความอัปมงคลนั้นก็เป็นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าใส่ร้ายป้ายสีกัน อย่านินทากาเล อย่าดุด่าว่ากล่าวโทษกันบ่อยๆ เรื่องเหล่านี้เป็นอัปมงคลในบ้าน ยิ่งมีความอัปมงคลมากเท่าไร ความอัปมงคลนั้นก็เป็นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราชมกันบ่อย ยิ้มให้กันบ่อยๆ ปลอบใจกัน ให้กำลังใจกันบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้เป็นมงคลในบ้าน เมื่อเราสร้างบ่อยๆ ความมงคลก็เป็นของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความสุขนั้นไม่สามารถใช้เงินทองแลกมาได้ ต่อให้วันนี้ในกระเป๋าของศิษย์ทุกคนมีเงินมากกว่านี้ ก็ไม่ทำให้มีความสุขได้ ความสุขไม่ได้อยู่ที่เฟอร์นิเจอร์ ไม่ได้อยู่ที่เครื่องอำนวยความสะดวก ไม่ได้อยู่ที่ความสบาย แต่ความสุขอยู่ที่ใจ อยู่ร่วมกันด้วยความสุขก็ย่อมจะมีสุข แต่หากคิดว่าร่ำรวยกว่านี้แล้วจะมีสุขนั้นคิดผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)
กลับมาสถานธรรมบ่อยๆ กลับมาทำความคุ้นเคยกับพี่น้องของศิษย์ พี่น้องนี้แม้ไม่ได้เกิดร่วมท้องเดียวกันมา แต่ว่าทุกคนย่อมมีความปรารถนาดี หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันให้มีความสุข ทุกคนที่เกิดมาพบปะกันนั้นเป็นเพราะว่ามีบุญกันมาแต่ในอดีตชาติ ทุกๆ คนที่เกิดมาย่อมมีความสามารถ ย่อมมีพลังและย่อมมีภาระหน้าที่เป็นของตน ฉะนั้นเกิดมาอย่าเอาแต่หน้าดำคร่ำเครียดทะเลาะกัน อย่าเอาแต่ส่งเสียงเอ็ดตะโรโวยวาย ทุกๆ คนย่อมมีบทบาทของตนเอง เขาจะดีได้ก็เพราะว่าเรานั้นให้กำลังใจ ทุกคนต้องการความเข้าใจ แม้แต่ในเวลาที่ตัวเองทำผิดก็ยังอยากให้คนอื่นเข้าใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นศิษย์จงเป็นพุทธะในโลก จงเข้าใจคนอื่นให้มาก จงยิ้มให้ผู้อื่นให้มาก
ทุกเรื่องที่ทำไปนั้นต้องใช้จิตที่ดี ที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจจริงๆ จึงจะได้เกิดปัญญา สิ่งใดที่เราทำดีอยู่แล้วก็ขอให้ทำ แต่ว่าในการทำดีนั้นๆ ยังจำเป็นที่จะต้องใช้ความเข้าใจ อย่างเช่น เรามีหน้าที่ส่งผ้าให้ญาติธรรม เราก็ต้องมีหน้าที่เตรียมเอง เสร็จแล้วก็ซักตากแล้วก็เก็บอีก หากว่าวันนั้นเราเหนื่อย หรือว่าเราไม่ชอบใจ เห็นว่างานนี้ไม่เหมาะกับเรา เราเกิดหน้าบึ้งหน้าตึงขึ้นมา อาจารย์ก็จะบอกว่า จงใช้จิตที่ดีเข้าไปทำงานนั้นๆ เข้าใจสิ่งนั้นๆ ให้เกิดเป็นปัญญาขึ้นมา งานทุกงานที่ทำไป ทั้งงานทางโลก งานทางธรรม งานส่วนตัวและงานส่วนรวม ทุกเรื่องที่ทำไปนั้น ขอให้ทำให้ดีแล้วใช้จิตที่ดีใส่ลงไปในนั้น ให้เป็นคนคิดแง่บวกเข้าไว้ แล้วก็มีความเข้าใจในเนื้อหาสิ่งนั้นมากๆ รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไร ต่อไปเป็นอย่างไร ลงท้ายอย่างไร เข้าใจในงานของตัวเองให้ถี่ถ้วน เพราะคนส่วนใหญ่ทำงานไปตามหน้าที่ ทำไปตามระบบ ไม่เข้าใจว่างานตัวเองเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมจะต้องทำงานนี้ ไม่เข้าใจความหมายของงาน แล้วจะไปพลิกแพลงปรับปรุงงานให้ดีขึ้นได้อย่างไร เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่เกิดงานที่ดีขึ้นมาได้ ใช้ใจแบบนี้ไปทำงานทุกอย่าง แล้วงานทุกๆ ชิ้นที่ผ่านมือศิษย์ก็จะพัฒนา คนที่ทำงานพัฒนาขึ้นมา ทำงานล้ำสมัยขึ้นมา หรือทำงานให้ก้าวหน้าขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเพราะเขาทำงานเก่ง เป็นคนเก่ง หรือมีความสามารถ แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนดีที่มีความใส่ใจต่องานของตนเอง และมีจิตใจที่แข็งแกร่งมากกว่าที่มีฝีมือดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง : อย่าทิ้งวิญญาณบำเพ็ญ ทำนองเพลง : ตลอดเวลา)
คนในโลกชอบพูดว่าวิญญาณเสรี แต่อาจารย์ว่าวิญญาณของศิษย์เสรีอยู่แล้ว แต่ถูกกักขังด้วยกายสังขาร เสื้อผ้าอาภรณ์ เงินทอง วัตถุ ทำให้วิญญาณของศิษย์นั้นไม่มีวันเสรี เมื่อทำสิ่งใดก็มีรูปแบบหลักการ หลักเกณฑ์ เหตุผล เต็มไปหมด วิญญาณของศิษย์จึงไม่เคยเสรี แต่วันนี้อาจารย์เรียกร้องศิษย์ว่าอย่าทิ้งวิญญาณของการบำเพ็ญ เราบำเพ็ญที่วิญญาณ บำเพ็ญที่จิต บำเพ็ญที่ตัวแท้ที่อยู่ข้างใน
คนปัจจุบันนี้ทิ้งวิญญาณของตนเอง ไม่คิดว่าจะทำให้ตนเองพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ทุกวันก็คิดแต่เรื่องเฉพาะหน้า หรือบางทีก็คิดเพ้อฝันไป คิดแต่เรื่องไกลโพ้น แต่เรื่องใกล้ตัวก็ไม่ยอมทำให้ดี อาจารย์จึงบอกว่าคนสมัยนี้ใส่ใจแต่ความรู้ คือต้องมีปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ต้องมีความรู้ ต้องรู้เฉพาะด้านอย่างนั้นอย่างนี้ จึงถือว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนมีความสามารถ แต่ศิษย์เคยเห็นหรือไม่ว่าคนที่มีหน้าที่การงานดี คนที่มีวิชาชีพดีแต่กลับทำเรื่องชั่วเลวทราม อย่างเช่นการฆ่าคนก็ทำได้ การให้ร้ายคนยิ่งทำบ่อย การแย่งชิงชื่อเสียงลาภยศเงินทองยิ่งบ่อยมาก เป็นเพราะมีแต่ความรู้แต่ไม่มีคุณธรรม มีความรู้ในโลกสูง แต่ความดีในตนมีต่ำลง สวนทางกับความรู้ที่ตนมี คนสมัยนี้ทิ้งวิญญาณของตนเองในการทำให้ตนเองหลุดพ้น ใส่ใจแต่เรื่องความรู้แต่ไม่เชิดชูคุณธรรม
คนมักเอาใจของตัวเองนั้นไปแลกเปลี่ยนกับเงิน กับผลงาน จึงเป็นคนด้วยความทุกข์ทน ลึกๆ ลงไปในจิตใจไม่เคยมีใครโล่งใจเลย อยากทำให้ตัวเองดีขึ้นกว่านี้ ใส่ใจเรื่องข้างนอกให้น้อยลงกว่านี้หน่อย ใส่ใจสิ่งที่ตาเห็นหูฟังให้น้อยกว่านี้หน่อย ใส่ใจความสุขสบายให้น้อยกว่านี้หน่อย แล้วหันกลับมาใส่ใจจิตวิญญาณของตัวเอง วิญญาณของศิษย์เจ็บปวดและทรมาน ก็เพราะความทุกข์ใจ ความไม่สมหวัง ทำให้ศิษย์นั้นรู้สึกดิ้นรน เป็นเพราะศิษย์นั้นยึดติดอยู่กับกายสังขารมาก ปรนเปรอกายสังขารมาก มีความทุกข์ข้างในก็เอาความทุกข์ข้างนอกดับ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ แต่น้ำที่อยู่ภายนอกไหนเลยจะลดไฟที่อยู่ข้างในได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ศิษย์ของอาจารย์นั้นมีไฟในใจจำเป็นจะต้องใช้ธรรมะดับ ธรรมะเปรียบประหนึ่งน้ำทิพย์เย็นชื่นใจใช้ดับไฟได้ การยอมคนก็ทำให้ศิษย์ใจนั้น เย็นลงได้ การให้อภัยคนก็ทำให้ศิษย์นั้นเย็นลงได้ การให้ทานเสียสละแก่คนก็เป็นน้ำได้ ดับได้ถึงข้างใน ศิษย์จะยอมเอาน้ำนี้มาดับหรือไม่ขึ้นอยู่กับความยินยอมของศิษย์เอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พบธรรมพบสุข”)
“พบธรรมพบสุข” ถ้าหากว่าศิษย์ได้พบธรรมะศิษย์จะเจอความสุข ในวันนี้มานั่งประชุมธรรมสองวันถือว่าได้พบธรรมหรือยัง (พบแล้ว) ธรรมที่ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีรูปร่าง ธรรมนี้สามารถให้ความสุขกับศิษย์ได้ พบธรรมไม่ใช่แค่พบสุข แต่พบธรรมนั้นสามารถพบตน พบสิ่งที่ดีๆ พบธรรมยังพบการหลุดพ้นได้อีก อยู่ที่ว่าศิษย์นั้นพบแล้วก็แค่พบ หรือว่าพบแล้วสามารถนำไปปฏิบัติด้วย ถ้าหากว่าศิษย์นั้นลงมือปฏิบัติ ศิษย์ย่อมจะได้ดีที่ตัวศิษย์เอง หาใช่อาจารย์ที่มาพูดให้ศิษย์ฟังไม่ หาใช่คนรอบข้างที่เอาใจช่วยศิษย์ไม่ หากศิษย์ปฏิบัติธรรมศิษย์ย่อมได้ธรรมะมาอยู่ที่ตัว ย่อมได้ดีแก่ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์มาที่นี่เป็นเวลานานแล้วใครยังไม่ได้แอปเปิ้ลยกมือขึ้น บางคนไม่ได้แอปเปิ้ลไปสักลูกหนึ่งในขณะที่บางคนได้ตั้งสามลูก แสดงว่าเราเป็นคนไม่มีฝีมือ เข้าถ้ำเสือ แต่ออกไปมือเปล่ามากมายเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถามกลับกัน ในวันนี้อาจารย์เข้าถ้ำเสือแล้ว อาจารย์ได้ลูกเสือหรือเปล่า (ได้) ตกลงศิษย์เป็นเสือใช่หรือเปล่า (ใช่) วันนี้อาจารย์เข้าถ้ำสมบัติแล้ว ถามว่าอาจารย์ได้สมบัติไปหรือไม่ (ได้) อาจารย์ก็หวังว่าอาจารย์จะได้สมบัติที่มีค่ายิ่งกว่าสมบัติ คือได้หัวใจใฝ่บำเพ็ญของศิษย์ไปด้วย การฟังธรรมะไม่ได้ช่วยให้เราก้าวหน้ามากขึ้น แต่การที่เรานั้นเข้าใจและปฏิบัติจึงทำให้เราก้าวหน้ามากขึ้นได้
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าศิษย์มีความทุกข์อยู่มากมาย หนึ่งถึงร้อยข้อ ในร้อยข้อนี้มีสิ่งที่เหมือนกันเป็นหัวใจ เป็นเหมือนกระดูกของสังขารนั่นคือ “อัตตา” ขอให้ศิษย์เคลื่อนย้ายอัตตาของศิษย์ออก หากเอาออกมากไม่ได้ ขอให้ค่อยๆ เอาออกมา ออกน้อยดีกว่าไม่เอาออกเลย ถ้าศิษย์ไม่เคลื่อนย้ายสิ่งใดออกเลย ความทุกข์นี้ก็จะไม่หมดไป ทำให้ความทุกข์นั้นหนาขึ้น ให้ความทุกข์นั้นหยาบขึ้น หนักขึ้น ความทุกข์บางเรื่องเป็นความทุกข์ที่คิดวนไปวนมา ถ้าเอาอัตตาออก เอาตัวตนออก เอาความรักในอัตตานั้นออก ศิษย์ก็อาจจะหมดทุกข์ คือเรียกว่าเป็นคนทำใจได้ คิดได้ ปลงตก ความทุกข์นั้นแก้ได้ง่ายนิดเดียว เพียงรู้จักยอมรับความจริงบ้าง บางทีเราจนเราก็อย่าไปคิดว่าเราจะรวย บางทีเราไม่สวยเราก็อย่าไปคิดว่าเราต้องสวย บางเรื่องคิดไปหัวแทบแตกก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นทำใจบ้าง ปลงตกบ้าง ยอมรับความจริงบ้าง แล้วชีวิตนี้ก็จะมีความสุขยิ่งขึ้น
หลังจากสองวันนี้ไปอาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นกลับมาศึกษาธรรมะบ่อยๆ การศึกษาธรรมะนั้นไม่ใช่การมานั่งฟังอย่างเดียว แต่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่ฟังด้วย แม้ว่าคนที่บรรยายให้ฟังอาจจะมีความรู้น้อยกว่าเรา หรืออาจจะพูดในสิ่งที่เรารู้แล้วก็ตาม ทุกๆ สิ่งที่เป็นธรรมะล้วนเป็นสิ่งที่ดี ฟังแล้วต้องมาปฏิบัติใส่ใจและลงแรง อาจารย์คงไม่ต้องสอนศิษย์คนดีว่าความดีทำอย่างไร อาจารย์แค่รอว่าเมื่อไรศิษย์จะทำ อย่าทำบ้างไม่ทำบ้าง ทำให้สม่ำเสมอ
ในมุมมองของเราไม่เคยมีใครดีเท่าเราอยู่แล้ว ฉะนั้นทุกคนที่ทำดีกว่า เขาก็อาจมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ เราทำดีออกไปก็อย่าคิดว่าทำดีกว่าคนอื่น อย่าคิดว่าดีแล้วต้องได้รับคำชม ต้องได้รับสิ่งตอบแทน ขอให้คิดว่าทำความดีเพื่อความดี ทำความดีเพื่อฝึกฝนจิตใจของเราเอง ทำความดีเพื่อขัดเกลาจิตใจของเราเอง ให้จิตใจอันแข็งกระด้าง ไม่ยอมอ่อนให้ใครอย่างเราดีขึ้น ยืมคนรอบข้างมาฝึกฝนตัวของเราเอง ดีหรือไม่ (ดี) แล้วก็อย่าเผลอทำตัวไม่ดีให้คนอื่นเขามามองว่าเราเป็นคนไม่ดี
เวลาผ่านไปเร็ว ศิษย์ทางอุตรดิตถ์ ทางเหนือ ส่วนใหญ่จะเป็นคนพูดน้อย แต่เวลาพูดก็พูดไม่ยอมหยุดเลย วันนี้อาจารย์มาจริงๆ ก็ยังไม่คุ้นเคยเท่าไร ศิษย์ของอาจารย์ก็เลยไม่ค่อยพูด ใช่หรือเปล่า
เห็นไหมว่าสังขาร เนื้อหนังมังสาของศิษย์ทุกคนนั้นอุ่นดี มีเลือดลมอยู่ หมายถึงว่ามีชีวิตอยู่ เมื่อเป็นคนมีลมหายใจมีชีวิตอยู่ อย่ารู้ด้วยความรู้สึกมาก อย่ารู้สึกไปหมดทุกเรื่อง ใช้ความรู้สึกมากเกินไปก็มีแต่ทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน
ร่วมแรงร่วมใจนะ อุตรดิตถ์ก็ไปได้เรื่อยๆ อิ๋งเซิ่งก็ไปได้เรื่อยๆ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนก็ไปได้เรื่อยๆ รักกันเข้าไว้ ชีวิตคนมีแต่นับถอยหลัง ฉะนั้นขอให้ทุกวันเวลาอยู่ร่วมกันอย่างมีค่า เข้าใจซึ่งกันและกันให้มาก อันนี้เป็นความล้ำค่า วันนี้ศิษย์คิดว่าเราอยู่ร่วมกันมีค่าหรือไม่ (มี) วันหน้า วันหลัง วันต่อๆ ไปเราละทิ้งกายเนื้อ เราก็ยังต้องมาอยู่ด้วยกันอยู่ดี ฉะนั้นอย่าไปเหม็นเบื่อหน้าใคร เพราะต่อไปก็ต้องไปอยู่ด้วยกัน บำเพ็ญมาด้วยกัน ก็ไปอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว
วันนี้เวลาสั้นๆ ที่เราเจอกัน ก็หวังว่าศิษย์ทุกคนจะมีดวงตาเห็นธรรมเปิดกว้าง เข้าใจธรรมะมากขึ้น ปล่อยวางความทุกข์ในใจหายโล่งขึ้น หวังว่าศิษย์ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ก้าวย่างต่อไปได้อย่างคนทำใจมากขึ้น ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ผ่านไปอย่างง่ายดาย ทุกเรื่องราวทุกจังหวะชีวิตผ่านไปอย่างยากเย็นแสนเข็ญทั้งสิ้น หวังว่าอุปสรรคนั้นจะเป็นกำลังใจให้ศิษย์ ไม่ใช่มาทำลายกำลังใจของศิษย์ จึงหวังว่าศิษย์รู้จักคิด ชีวิตนี้จึงจะมีประโยชน์ รู้จักใช้ชีวิตศิษย์ก็จะฉุดช่วยคนรอบข้างได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
มีทุกข์มากๆ ก็อย่าหันหลังให้ความทุกข์ เพราะความทุกข์คือบทเรียน คนปัจจุบันยังต้องเรียนประวัติศาสตร์ นับประสาอะไรศิษย์ของ
อาจารย์ก็ต้องดูบทเรียนชีวิตที่ผ่านมาให้เป็นคติสอนใจของเรา อย่าให้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบคนที่หาทางออกให้กับปัญหาไม่ได้ ปัญหามีตั้งมากมายหลายรูปแบบ ทั้งปัญหาที่คนอื่นสร้างและปัญหาที่ตัวเองสร้าง ปัญหาที่ควรหลีกเว้นที่สุด ก็คือปัญหาที่ตัวเองสร้าง ปัญหาที่ผู้อื่นสร้างให้นั้นเราอาจจะหลีกไม่พ้น แต่ปัญหาที่เราสร้างให้กับตัวเราเองนั้นหลีกพ้นได้แน่นอน หวังว่าศิษย์เข้าใจธรรมะง่ายๆ อย่างนี้ หลุดพ้นได้ในเร็ววันนะอย่าเหลวไหล รีบๆ บำเพ็ญนะศิษย์นะ
ชั้นประชุมธรรม วันที่ ๒๕-๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
ณ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
ณ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์
พระอาจารย์จี้กงเมตตาส่งเสริมผู้ดูแลสถานธรรมและผู้ปฏิบัติงานธรรม จ.อุตรดิตถ์
ร่วมแรงร่วมใจนะ อุตรดิตถ์ก็ไปได้เรื่อยๆ
อิ๋งเซิ่งก็ไปได้เรื่อยๆ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนก็ไปได้เรื่อยๆ รักกันเข้าไว้ ชีวิตคนมีแต่นับถอยหลัง ฉะนั้นขอให้ทุกวันเวลาอยู่ร่วมกันอย่างมีค่า เข้าใจซึ่งกันและกันให้มาก อันนี้เป็นความล้ำค่า วันนี้ศิษย์คิดว่าเราอยู่ร่วมกันมีค่าหรือไม่ (มี) วันหน้า วันหลัง วันต่อๆ ไปเราละทิ้งกายเนื้อ เราก็ยังต้องมาอยู่ด้วยกันอยู่ดี ฉะนั้นอย่าไปเหม็นเบื่อหน้าใคร เพราะต่อไปก็ต้องไปอยู่ด้วยกัน บำเพ็ญมาด้วยกัน ก็ไปอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว
อิ๋งเซิ่งก็ไปได้เรื่อยๆ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนก็ไปได้เรื่อยๆ รักกันเข้าไว้ ชีวิตคนมีแต่นับถอยหลัง ฉะนั้นขอให้ทุกวันเวลาอยู่ร่วมกันอย่างมีค่า เข้าใจซึ่งกันและกันให้มาก อันนี้เป็นความล้ำค่า วันนี้ศิษย์คิดว่าเราอยู่ร่วมกันมีค่าหรือไม่ (มี) วันหน้า วันหลัง วันต่อๆ ไปเราละทิ้งกายเนื้อ เราก็ยังต้องมาอยู่ด้วยกันอยู่ดี ฉะนั้นอย่าไปเหม็นเบื่อหน้าใคร เพราะต่อไปก็ต้องไปอยู่ด้วยกัน บำเพ็ญมาด้วยกัน ก็ไปอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พบธรรมพบสุข”
มองเห็นความคิด ยึดติดเพียงไหน
สติยั้งใจ คุมได้ทันที
ไม่ติดรักชัง จากวังขันธ์นี้
ผ่านทุกข์พ้นทวี ที่มีว่างไป
เกิดดับเวียนอยู่ จึงรู้แจ้งใน
มีคือความไร้ ใจคือธรรมา
เหมือนต่างมีคุณ สมดุลรักษา
ใจเป็นหนึ่งพา ชีวาเสรี
อยู่ในแต่เหนือ ไม่เพื่อโลกีย์
บัวพ้นน่านนที ใจนี้เช่นกัน
ณ พุทธสถานอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์ พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้แก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรมดังนี้
→ การประชุมธรรมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๑
วันที่ ๑๘-๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ พุทธสถานถงซิน จ.ราชบุรี
การแก้ไข
๑. หน้าพระโอวาทครอบพระโอวาท “รู้พึงมีพึงได้”
๑.๑ แก้ไขบทกลอนในบรรทัดรองสุดท้าย จาก “ในทุกวัน” เป็น “ทุกวัน”
๑.๒ แก้ไขการแบ่งคำในบรรทัดสุดท้าย จาก “รู้สึก อย่าง ไร”
เป็น “รู้ สึก อย่างไร”
๒. หน้า ๑๘ แก้ไขกลอนบรรทัดที่ ๓ จาก “ถ้าทำง่ายถ้าจะทำเสร็จไปแล้ว”
เป็น “ถ้าทำง่ายข้าก็ทำเสร็จไปแล้ว”
๓. หน้า ๑๙ แก้ไขเนื้อเพลงบรรทัดรองสุดท้าย จาก “หวั่นยิ่งที่ไม่ดั่งฝัน”
เป็น “หวั่นยิ่งทีไม่ดั่งฝัน”
→ การประชุมธรรมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๑
วันที่ ๑๑-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
การแก้ไข
๑. หน้า ๑๙ แก้ไขเนื้อเพลงบรรทัดแรก จาก “คนอ่อนน้อมเป็นขวัญแห่งประชา” เป็น “คนอ่อนน้อมเป็นหัวใจขวัญแห่งประชา”
