วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

2550-07-21 สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี



西元二○○七年歲次丁亥六月初八日    大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
    สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ


    รู้ผิดชอบชั่วดีคนมีเกียรติ    รู้ไม่เบียดเบียนใครคนมีศักดิ์ศรี
สำนึกดีไม่เลือกทำสิ่งไม่ดี    สร้างความดีพิจารณาที่จิตผู้ทำ
        เราคือ
    องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
            ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา


    คนอยู่กับตัวเองตลอดเวลา    แต่ใช่ว่าเข้าใจตนได้ตลอด
การกระทำหลายอย่างเพื่อความอยู่รอด    น้องยิ่งกอดตนเองแน่นยิ่งแพ้ไว
คนกลัวความไม่มั่นคงในชีวิต    จึงเลือกถูกเลือกผิดไปกันใหญ่
คนใช้ใจใจน้องท่านเป็นอย่างไร    มาเข้าใกล้ใจตนเองยิ่งกว่าเดิม
คนไม่ได้ตัดสินที่แพ้ชนะ    เอาสาระแห่งชีวิตอย่าไขว้เขว
ความคิดคนกว้างใหญ่กว่าผืนทะเล    จะปนเปสับสนติดบ่วงกรรม
คนสมหวังตั้งแต่เมื่อวัยเยาว์    ย่อมไม่เท่าความสำเร็จในบั้นปลาย
สิ่งสุดท้ายในชีวิตต้องการสิ่งใด    จงเข้าใจชีวิตตนในเร็ววัน
การเป็นคนเรื่องยากทนก็ยาก    แต่ลำบากกินขมจึงรู้หวาน
ทำอะไรตามใจตนคนอันธพาล    จงรู้ญาณบำเพ็ญตนพ้นทุกข์ตรม
ชีวิตนี้ไม่ใช่มีแค่ความสุข    ขอจงปลุกตนเองขึ้นจากฝัน
ใช้ปัญญาที่หลบอยู่ในตนนั้น    ของสำคัญไม่ใส่ใจกระนั้นฤๅ
สองวันนี้ประชุมธรรมเป็นฤกษ์ดี    น้องคนที่เบื่อชีวิตตื่นจากโลก
ละกิเลสต้นเหตุความวิปโยค    หากเคยโศกต้องรู้ที่สู่ความจริง
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ    แลเคารพพุทธระเบียบเป็นข้อใหญ่
เพื่อสมดุลให้มีทั้งกายใจ    จากภายในสู่ภายนอกไม่หลอกตน
ศิษย์พี่คุมชั้นเรียนทั้งสองวัน    หวังน้องนั้นอย่ามีแต่ความสงสัย
ธรรมะแท้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่    คนลืมใจฟ้าลงโปรดหวังทันกาล
ในวันนี้ไม่กล่าวความมากกว่านี้    หวังคนดีเปลี่ยนแปลงตนดียิ่งขึ้น
รักเวไนยเพื่อนร่วมโลกไม่เมามึน    ดียิ่งขึ้นด้วยการปฏิบัติธรรม
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
            ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมถงซิน ดำเนินฯ จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ


    คนยิ่งมากเรื่องยิ่งเยอะยิ่งเพลียคน    ความอดทนมีจำกัดหัดเพิ่มขีด
คนศิวิไลซ์ ครองตนในกรอบจารีต    แต่ไม่ขีดตนไว้ในวัตถุนิยม
        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถาน   แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


    จิตสำรวมสิ่งมีปัญหาเสื่อมสลาย    สำรวมในการพิจารณาทุกข์ผุดซ้อน
ปัญหามีคำตอบรออยู่ก่อน    รู้นิ่งนอนที่สำรวมยากชัดเจน
และใช้ปัญญาความเป็นไทเสรี    รับความจริงแล้วดีเป็นพิมเสน
เป็นสัจจะสิ่งทุกอย่างมีเกณฑ์    คนชัดเจนในคำนึงถึงตื่นธรรม
จงใช้ความดีเข้าชนะใจ    ด่วนเข้าใจศรัทธามีเร่งจนช้ำ
การค่อยเป็นค่อยไปไม่ระส่ำ    ทุกพื้นฐานการบำเพ็ญธรรมต้องปฏิบัติ
คนมีธรรมธรรมมีคนชีพจร    ลำบากหนึ่งที่ขั้นตอนไม่สันทัด
ธรรมไร้ใจเสือไม่เชื่องอำนาจ    เปี่ยมศรัทธาขาดห่างธรรมสุดดำรง


เปรียบชีวิตดุจเรือน้อยลอยล่อง    พึงศึกษาถึงไม่คล่องจุดประสงค์
ขยันให้ตลอดไม่เดินขาลง    อารมณ์รู้มั่นคงพึงคุมให้ดี
ชีวิตครองรู้จักหน้าที่แบกจนไหว    การมีใจปฏิบัติธรรมบนวิถี
บำเพ็ญวินัยใส่พื้นฐานข้อควรมี    เข้มงวดที่ตนเองเป็นสำคัญ
ใช้สมองละส่วนร้ายกิเลสยาก    ความคิดที่ลึกมากอุปสรรคกั้น
บำเพ็ญไม่ตั้งใจฝึกจะยากนาน    คนเป็นงานอารมณ์ไม่เหนืองาน
            ฮา  ฮา   หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
วันนี้เรามาฟังธรรมเพื่อยึดติดหรือเพื่อปล่อยวาง (ปล่อยวาง)  ตั้งแต่อายุเยาว์จวบขวบปีเท่านี้ ทุกคนมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไม่มากก็น้อย เราถามว่าท่านมีชีวิตเพื่ออะไร บางคนบอกว่าชีวิตเหมือนสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางคนมีชีวิตเพื่อเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่นไว้ แต่บางคนมีชีวิตเพื่อศึกษาเรียนรู้และให้หลุดพ้นจากตัวตนให้จงได้ ถามว่าชีวิตเราเป็นแบบไหน เราเคยหันไปมองไหม
ที่ผ่านมาชีวิตเราเอาแต่เกาะโน่นเกี่ยวนี่ ผูกพันสิ่งนั้นผูกพันสิ่งนี้แล้วปล่อยไม่ได้ หรือมีชีวิตแบบคนที่ผ่านไปวันๆ ขอให้วันหนึ่งผ่านไปเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี หรือว่ามีชีวิตเพื่อเรียนรู้ศึกษาว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ศึกษาแล้วเข้าใจแล้วหาทางหลุดพ้นให้จงได้  สามแบบในการมีชีวิต ท่านว่าแบบไหนที่เกิดมาคุ้มค่าที่สุด  ผู้ปฏิบัติงานธรรมว่าแบบไหน (แบบที่สาม)  นักเรียนว่าแบบไหน (แบบที่สอง)  ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก เพราะถึงที่สุดเรารู้ว่าผลสรุปในการกระทำเมื่อมีชีวิตเป็นอย่างไร
คนที่บอกว่าชีวิตเกิดมาขอให้มีสุขแค่นี้พอแล้ว ใครจะเป็นจะตายก็ช่างแต่ขอให้ตนเองมีสุขก็พอ  ถึงที่สุดได้สุขอย่างนั้นไหม (ไม่ได้)  บางครั้งตัวเองมีสุขแต่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของผู้อื่น บางคนมีชีวิตเกิดมาก็เพื่อไปเจอสิ่งที่ถูกใจ แล้วก็เกาะไว้เกี่ยวไว้ยึดไว้ แต่พอถึงที่สุดแล้วสิ่งที่เกาะสิ่งที่เกี่ยวอยู่กับเราไหม (ไม่อยู่)  แล้วเขารักเราเหมือนที่เราเกาะเกี่ยวและห่วงหาอาทรไหม (ไม่)
อย่างนั้นวันนี้เรามาศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไร มาแล้วผ่านไปให้จบแค่หนึ่งวันไหม หรือมาเพื่อเกาะธรรมะ แล้วเอาธรรมะกลับไปที่บ้าน เกาะธรรมะได้ไหม (ไม่ได้)  ฟังจนจบแล้ว บางทีคิดว่าจะเอาอะไรกลับไป ยังหาอะไรเกาะไม่ได้ใช่หรือไม่
ฉะนั้นเรามาศึกษาหลักธรรมเพื่อเรียนรู้ชีวิต เข้าใจชีวิตให้ถ่องแท้ แล้วนำสิ่งที่เรียนรู้พาตัวเองให้พ้นจากคนอื่นที่ชอบหาเรื่อง พ้นจากกรรมเวรที่ชอบวิ่งมาหา หรือพ้นจากเจ้าหนี้ที่ชอบมาทวง และพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวเขาหรือไม่ก็ในตัวเรา ในของๆ เขาหรือไม่ก็ของๆ เราใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์มีพื้นฐานของความเข้าใจในชีวิตที่ถูกต้องแล้ว การเดินก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ก็ไม่ยาก
วันนี้เรามาฟังธรรมเพื่อยึดหรือเพื่อปล่อย (ปล่อย)  เพื่อปล่อยอะไร ปล่อยลูกหลานหรือปล่อยตัวเรา  คนบางคนทุกข์เพราะลูกหลาน ถ้ารักลูกหลานมากกว่าตัวเอง แต่ถ้าเมื่อไรเรารักตัวเองมากกว่าผู้อื่น เมื่อนั้นเราจะทุกข์เพราะตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้มาศึกษาธรรมะเพื่อรู้จักปล่อยวางให้เป็น แต่ไม่ใช่ปล่อยแล้วเป็นคนไม่รับผิดชอบ ไม่ใช่มาฟังธรรมะ กลับบ้านไปบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนว่าให้รู้จักปล่อยวาง อย่างนั้นงานฉันก็ไม่ต้องทำ ลูกฉันก็ไม่ต้องดูแล ถูกไหม (ไม่ถูก)
อย่างนั้นเรามีความเข้าใจเริ่มต้นที่เหมือนกันแล้วนะ เรามาศึกษาธรรมเพื่อ (ปล่อยวาง)  ปล่อยวางอะไร (ความยึดมั่นถือมั่น)  เพราะยิ่งเราเรียนรู้ในโลกกว้างใบนี้ จะทำให้เรารู้ว่าเรื่องราวในโลกหลายๆ อย่าง รูปแบบกับเนื้อหามักไม่เหมือนกัน บางครั้งรูปแบบสวย แต่เนื้อหาไม่สวย บางครั้งรูปแบบภายนอกดูดี แต่เนื้อหาแก่นแท้กลับหลอกลวงใช่ไหม
แล้วเคยเจอไหมว่าบางครั้งภายนอกดูไม่น่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้วมีความจริงใจ  ดูง่ายๆ โลกนี้หลอกเราไหม ธรรมชาติหลอกเราไหม อากาศร้อนๆ แต่ทำไมลมกลับเย็น อากาศร้อน ลมน่าจะร้อนสิ แต่ทำไมอากาศยิ่งร้อนเท่าไร ลมพัดมากลับเย็นชื่นใจ  มองดูต้นไม้ ใบไม้ร่วงหล่น แต่พอก้มลงมองพื้นดินกลับมียอดอ่อนแทงขึ้นมา  เห็นไหมว่าบางครั้งสิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นว่าสูญเสีย แต่บางทีกลับมีการเริ่มต้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
หรือที่เราพูดกันโดยส่วนใหญ่เวลาที่มีเด็กแรกเกิดคลอดออกมา เรายินดีไหม เรารู้สึกดีใจไหม (ดีใจ)  แต่ในความดีใจนั้น ใครกำลังอยู่ใกล้กับความตาย พ่อหรือแม่ (แม่)  ในความรู้สึกยินดีนั้น ไม่มีที่ใดที่ไม่มีทุกข์  เมื่อไรที่เรารู้สึกมั่งมี ได้เงินทอง ถูกลอตเตอรี่ ในความรู้สึกที่เรายินดีนั้น ลึกๆ เรามีความหวาดกลัวไหม (มี)  กลัวอะไรเวลาถูกลอตเตอรี่ กลัวขโมย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นในโลกนี้ เมื่อไรที่มีเรื่องยินดี เมื่อนั้นหนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ จริงไหม (จริง)
ในทางกลับกัน เวลาที่เราต้องผจญกับความยากลำบากข้นแค้น แต่ถ้าเราเอาความยากลำบากข้นแค้นเป็นแรงผลักดันให้เราไปสู่ความสำเร็จ ในความทุกข์นั้นกลับมีเรื่องน่ายินดี เราก็มีความสำเร็จอยู่บั้นปลาย จริงหรือไม่ (จริง)
ความป่วยเป็นเรื่องที่เจ็บช้ำระกำใจไหม (เป็น)  ยามเราแข็งแรงอยู่เราก็รู้สึกดี แต่เมื่อไรที่มีความป่วยจรเข้ามา เรากลับรู้สึกเป็นทุกข์ จิตใจที่เคยเข้มแข็งก็พลอยย่ำแย่ไปตามร่างกายด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านเคยได้ยินไหมว่าในความทุกข์นั้นก็มีเรื่องน่ายินดีอิงแอบเสมอ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราป่วยแล้วหายป่วยก็มีแต่คนเดินมายินดีด้วย
ฉะนั้นในความทุกข์หนีไม่พ้นต้องมีเรื่องน่ายินดี และในเรื่องที่น่ายินดีหนีไม่พ้นต้องมีทุกข์  บนโลกนี้บางครั้งเนื้อหากับรูปแบบก็อาจจะไม่เป็นไปอย่างสอดคล้องก็ได้  บางครั้งเห็นเป็นคนดีแต่ในใจกลับเลวร้าย หรือในทางกลับกัน เห็นบางคนที่ดูแล้วน่าจะเลวร้าย แต่หัวใจก็อาจจะแสนดีก็ได้  แต่มนุษย์มีสายตามองเห็นอย่างนั้นไหม (ไม่เห็น)  แล้วเราสามารถเห็นได้ไหม (ได้)
ถ้าเกิดเราเรียนรู้และเข้าใจชีวิตแล้ว เราจะรู้ว่าแท้จริง สุขทุกข์ที่มนุษย์กังวลอยู่นั้นคือสิ่งเดียวกัน ไม่ได้ต่างกันเลย เพียงแค่ด้านหนึ่งเป็นสุข อีกด้านหนึ่งเป็นทุกข์ สิ้นสุดความสุขก็คือเริ่มต้นความทุกข์ สิ้นสุดความทุกข์ก็คือจุดเริ่มต้นของความสุข  ฉะนั้นผู้ที่เห็นแจ้งแท้จริงแห่งชีวิตจะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เรียกว่าน่าดีใจและน่าเสียใจเลย
แปลกนะที่มนุษย์อยู่กับชีวิตมาสี่ห้าสิบปี แต่ถามว่าเข้าใจชีวิตไหม กลับบอกว่าไม่เข้าใจ ถามว่าเข้าใจตัวเองไหมว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร กลับตอบไม่ได้ เพราะไม่ยอมรับตัวเองจริงๆ  เวลาหันมามองตัวเองแล้วก็ชอบปิดตาข้างหนึ่ง เป็นคนที่เลือกรักสบาย ความลำบากไม่ยอมทำ ใช่ไหม (ใช่)  พอเลือกรักสบายลำบากไม่ทำแล้ว เราจะรู้ไหมว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่มีความสามารถมากแค่ไหน
เมื่อสักครู่ได้ยินเสียงหัวหน้านับ “อิ๊” (“อิ๊” แปลเป็นภาษาไทยว่า “หนึ่ง” เป็นการให้สัญญาณเพื่อให้นักเรียนในชั้นยืนขึ้น)  นักเรียนก็หัวเราะกันเป็นแถวๆ แล้วก็มองว่าแค่นับ “อิ๊” ทำไมหัวหน้าถึงออกเสียงได้ยากเย็น  บางเรื่องมองเหมือนง่าย แต่พอทำแล้วไม่ง่ายอย่างที่คิด ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราจะมีความเห็นใจผู้อื่นและไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร และบางทีก็หัวเราะเขาไม่ออกด้วยใช่ไหม เพราะว่าถ้าตัวเองทำอาจจะแย่กว่าหัวหน้าก็ได้
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนท่านอื่นลองออกเสียงนับ “อิ๊” ให้นักเรียนในชั้นฟัง)
เห็นไหมว่าในโลกกลมๆ ใบนี้บางครั้งสิ่งที่เราทำได้ไม่ดีอาจจะมีคนที่ทำได้ดีกว่าก็ได้ หรืออาจจะมีคนที่ทำได้แย่กว่าก็ได้  ฉะนั้นทุกข์สุขที่มนุษย์กำลังกลุ้มกังวลอยู่นี้ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังคิดเปรียบเทียบกับใคร
เหมือนเช่นเรามีหน้าตาอย่างนี้ ตัวขนาดนี้  ถ้าเป็นคนไม่เชื่อมั่นในตัวเอง พอเจอคนอื่น เราก็จะบอกว่าเขาขาวกว่า หุ่นดีกว่า รู้สึกว่าตัวเองน่าเกลียดจังเลย  แต่ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง เราจะบอกตัวเองว่า ฉันก็สูงนะ อายุก็ยังน้อยกว่านะ เขาสู้ฉันไม่ได้หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกข์สุขนอกจากอยู่ที่การเปรียบเทียบแล้วยังอยู่ที่ใจและความคิดของเราว่ามีมุมมองแบบใด ถ้าเชื่อมั่นตนเองก็มองเห็นคนอื่นด้อยค่าไปถนัดตา แต่ถ้าไร้ความเชื่อมั่นในตัวตน ไร้ความภาคภูมิใจในหัวใจก็มองคนอื่นดูดีไปเสียหมด แต่เราไม่เหลือดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นทุกข์สุขในโลกนี้ต้องมองหลายๆ อย่างเป็นองค์ประกอบ แต่ถ้าจะให้เราสรุปก็อยู่ที่ว่าท่านมีแง่คิดใด คิดดีหรือว่าคิดร้าย  บางทีเสื้อผ้าและการแต่งกายก็สามารถบ่งบอกความเป็นคน และอุปนิสัยใจคอได้เหมือนกัน
ถ้าแต่งตัวมิดชิดเกินไปคนก็บอกว่า (เชย)  เชยหรือ แปลว่าถ้าท่านแต่งตัวทันสมัยต้องแต่งเปิดบ้างปิดบ้างหรือ ต้องแต่งตัวให้น้อยๆ ชิ้นไว้ถึงจะทันสมัย อย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เคยไหมยิ่งปิดเยอะๆ กลับยิ่งน่าค้นหา ถ้าเปิดมากๆ กลับไม่มีอะไรน่ามอง  เหมือนเรื่องที่เราต้องการปิดเท่าไหร่คนอื่นกลับยิ่งอยากรู้  แต่ถ้าเราเปิดแล้วคนอื่นอยากรู้ไหม (ไม่อยากรู้)  เพราะใครๆ ก็รู้หมดแล้ว  อย่างนั้นถ้าอยากเป็นที่สนใจของผู้อื่นควรปิดหรือควรเปิดดี  ควรปิดในที่ๆ ควรปิด และควรเปิดในที่ๆ ควรเปิด สิ่งนี้ถึงเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักจะกลัวความตาย แต่ถ้าเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่เราพูดตั้งแต่ตอนต้นแล้วก็จะรู้ว่าความตายคือความสงบ  ความพลัดพรากและการสูญเสียคือการทำให้จิตใจนั้นเข้มแข็ง
สิ่งที่มนุษย์กลัวและไม่ต้องการมากที่สุดในการมีชีวิตนั่นก็คือความตายและการพลัดพรากหรือสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก แต่ถ้าเรามีมุมมองชีวิตว่า ถึงแม้รูปแบบจะเป็นอย่างหนึ่ง แต่เราสามารถทำเนื้อหาให้เป็นคนละอย่างกับรูปแบบได้ เพราะในโลกนี้ก็มีแบบนี้เต็มไปหมดไม่ใช่หรือ
เวลาไปเยี่ยมคนๆ หนึ่งที่ป่วยเป็นโรคและจะอยู่ได้อีกไม่นาน เมื่อเข้าไปแล้วทั้งที่เราต้องเป็นผู้ให้กำลังใจเขา แต่เขากลับพูดว่าเข้มแข็งนะ ไม่ต้องเสียใจ เขากำลังไปสบายแล้ว เขากลับเป็นผู้ที่ให้กำลังใจเรา เรารู้สึกว่าเราตื้นตันใจ จริงไหม เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องได้ความเศร้าเสียใจ แต่พอเดินเข้าไปกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และรู้สึกว่าทำไมเขาเข้มแข็งเช่นนี้ ทำไมจิตใจเขาถึงยิ่งใหญ่และอดทนได้ขนาดนี้
นั่นหมายความว่าในโลกกลมๆ ใบนี้ ถึงชะตาชีวิตจะบอกให้เราต้องทุกข์ แต่ใช่ว่าเราจะต้องทุกข์ ถึงร่างกายจะทำให้เราต้องเจ็บปวด แต่ใช่ว่าจิตใจของเราจะเข้มแข็งไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นแม้รูปแบบภายนอกจะเลวร้าย แต่ภายในจิตใจของเราอาจจะมีเนื้อแท้ที่ดีงามก็ได้ แม้ว่าภายนอกจะบีบคั้นให้เราต้องย่ำแย่ทุรนทุราย แต่เราสามารถมีจิตใจที่งดงามเข้มแข็งเบิกบานได้
แต่มนุษย์กลับไม่สามารถทำได้อย่างนี้ มนุษย์กลับคิดว่าเมื่อไหร่ที่มีความทุกข์เข้ามาในหัวใจ เข้ามาในชีวิต เรากลับคิดว่าทำไมต้องเป็นเราที่ทุกข์ทน ทำไมต้องเป็นเราที่เจ็บปวด ทำไมต้องเป็นเราที่สูญเสีย  ทำไมฟ้าไม่ให้คนโน้นเป็น ทำไมคนนั้นไม่เป็นแทน นั่นเป็นจิตใจที่ไม่ยอมรับ เอาแต่โทษนั่นโทษนี่ จึงมีทุกข์เป็นส่วนใหญ่
แต่อีกด้านหนึ่ง คนที่ไม่ยอมแพ้ในชะตาชีวิต คนที่ไม่ยอมให้ภายนอกมาบีบคั้นหัวใจให้เป็นตามนั้น ก็คือเมื่อเวลาที่ตัวเองลำบากทุกข์ยาก ก็คิดเสียว่าดีแล้ว ให้เราเป็นเถอะ อย่าให้คนอื่นต้องเป็นเลย เพราะคิดเสมอว่าล้อเกวียนเล่มแรกที่ตกหล่มจะเป็นบทเรียนให้กับเกวียนเล่มหลังได้เดินต่ออย่างถูกทาง
แม้เราจะเป็นผู้ที่ต้องเจ็บช้ำรับความทุกข์ยาก แต่หัวใจอันเข้มแข็งนี้จะไม่ยอมแพ้ ในความทุกข์ยากนี่แหละที่จะสร้างสรรค์ความสุขให้บังเกิดให้จงได้ เอาความเจ็บช้ำนั้นเป็นบทเรียนสอนให้คนอื่นได้รู้ และเอาตัวเองเป็นหลักฐานอันดีงามให้ทั่วโลกได้ปรากฏว่า ถึงฟ้าจะทำให้เราทุกข์ยาก ถึงคนจะด่าทอให้เราเจ็บปวด แต่เรามีความสุขได้ด้วยการคิดได้คิดเป็น เมื่อนั้นชะตาชีวิต แม้ฟ้าจะผ่าเปรี้ยงลงมาก็ทำอะไรคนๆ นั้นไม่ได้
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ากลัวที่จะทุกข์ เพราะไม่มีใครทำให้เราทุกข์ได้นอกจากตัวเราเอง คำพูดของใครก็ทำให้เราเลวร้ายไม่ได้นอกจากตัวเราคิดเลวร้ายเอง  อุปสรรคความยากลำบากจึงเป็นบทเรียนที่ดีที่ทำให้มนุษย์เราไม่หลงเตลิดเปิดเปิงในชีวิตจนเกินไป
ไม่ใช่เพราะความสุขหรือที่ทำให้มนุษย์หลงลำพองใจ ไม่ใช่เพราะคำชมหรือที่ทำให้มนุษย์เรามองไม่เห็นตัวตน  ฉะนั้นอย่ากลัวคำด่า อย่ากลัวความยากลำบาก และอย่าเป็นคนรักแต่สบาย เพราะความสบายไม่เคยสร้างสรรค์ชีวิตใดให้ประเสริฐ ต่างจากความยากลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าทำได้อย่างที่เราบอก ชีวิตของมนุษย์ก็จะไม่ต้องกลัวความยากลำบาก เพราะความทุกข์กลับเป็นบันไดให้ก้าวไปสู่ความเข้มแข็งและความอดทน ทำให้มองเห็นชีวิตได้อย่างถ่องแท้  ที่สุดของความทุกข์คือความตาย นั่นก็คือการเดินไปสู่ความสงบนั่นเอง
มนุษย์เราทุกวันนี้กลัวทุกข์ กลัวการพลัดพราก และกลัวตาย แต่ถ้าวันนี้ได้มาศึกษาหลักธรรม หรือขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมแล้ว สิ่งที่เราต้องทำให้ได้และเข้าใจให้มากนั่นก็คือความทุกข์ยากลำบาก ความสูญเสีย และความตาย ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องหลีกหนี แต่เป็นเรื่องที่ต้องกล้าเผชิญและยืดอกรับ สู้ด้วยความเข้มแข็ง
ในชีวิตสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็คือการที่ตนเองไม่มีความกล้าอะไรเลย เอาแต่หวาดกลัวไปเรื่อยๆ แล้วจะเอาชนะอะไรได้  แต่บ้าบิ่นเกินไปก็ไม่ดี มีอะไรก็ไม่กลัว อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ก็ต้องรู้จักก้าวให้พอเหมาะพอดี
คนชัดเจนในคำนึงถึงตื่นธรรม  ฉะนั้นสารัตถะสำคัญของความสุขเมื่อยามมีชีวิต นั่นก็คือเป็นผู้ที่มีชีวิตยืนอยู่กับปัจจุบัน และรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติปัญญา ทำได้ไหม (ได้)
สิ่งหนึ่งที่บั่นทอนให้มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะปัญหาต่างๆ ได้ นั่นก็คือยากที่จะมีความสงบในหัวใจ  พอมีปัญหาใจก็วุ่นวาย เมื่อวุ่นวายแล้วจะแก้อะไรได้แจ่มชัดไหม (ไม่)  มองอะไรได้ชัดเจนไหม (ไม่ชัดเจน)  น้ำที่กระเพื่อมตลอดเวลาเราจะเห็นสิ่งใดสกปรกสิ่งใดสะอาดได้ชัดไหม
(ไม่ชัด)  มันก็ขุ่นไปเรื่อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)
แต่ถ้าเมื่อไรเราสามารถทำน้ำที่ขุ่นให้นิ่งได้ เราก็จะมองเห็นได้เลยว่า นี่คือความใส นี่คือตะกอนขุ่น  เมื่อไรที่มีปัญหามาเผชิญอยู่ตรงหน้า ขอให้มีสติให้ดี เรียกสติกลับมาให้ได้ แล้วทำจิตใจให้สงบ ค่อยๆ มองว่าปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะอะไร
การแก้ด้วยความสงบถึงจะสามารถจัดการปัญหาได้อย่างง่ายดาย การจัดการแก้ปัญหาด้วยความลนลานและจิตใจที่ฟุ้งซ่านกลับไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
ดอกไม้นี้สวยไหม (สวย)  อยู่ได้นานไหม (ไม่นาน)  มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนชอบสิ่งที่สวยงาม  แล้วทำอย่างไรให้เราสวย ทำอย่างไรให้เรางาม (ทำที่ความดีและจิตใจดี, บ่มเพาะจิตใจด้วยธรรมะให้งามทั้งกายและใจ, คิดดีทำดี)
พูดอย่างนี้ให้ท่านคิดนะว่าบางครั้งสวยแต่ภายนอกแต่ภายในไม่มีประโยชน์ก็ไม่ดี  เหมือนที่มนุษย์ชอบเป็น พยายามให้ภายนอกดูดีแต่ลืมแก่นแท้ในหัวใจ หรือบางคนพยายามทำหัวใจให้ดีแต่ภายนอกไม่สนใจอะไรเลยได้ไหม (ไม่ได้)  กว่าเขาจะมาเจอเพชรในตมก็นานเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราควรจะสวยทั้งนอกทั้งในดีไหม (ดี)  แต่อย่าลืมว่าสวยทั้งนอกทั้งในก็ถูกกินไว นั่นหมายความว่ายิ่งสวยยิ่งโดดเด่น ยิ่งเก่งยิ่งมากความ
สามารถกลับยิ่งเหนื่อยไว ตายไว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นเกิดเป็นคนควรจะฉลาดเยอะๆ หรือว่าฉลาดบ้างโง่บ้าง (ฉลาดบ้างโง่บ้าง)
ในโลกนี้คนฉลาดคนดีสุดๆ มักจะตายไว เราเห็นคนในโลกคิดแบบนี้นะ  ดีเกินไปคนก็อยากจะกำจัด อย่างนั้นดีบ้างไม่ดีบ้าง ถูกไหม (ไม่ถูก)  คนที่ดีแท้จริงคือถึงเวลาที่ตอนนี้ฟ้ากำลังรุ่งเรือง คนกำลังสนับสนุนการทำดีเราก็ทำดี แต่ถ้าตอนนี้สภาพแวดล้อมมีแต่คนทำชั่ว ถ้าเราทำดีก็ถูกกำจัด เราต้องเก็บความดีไว้ให้อยู่กับตัวอย่าเผลอไปทำชั่ว แต่ไม่อวดอ้างความดีของตัวเองให้เป็นที่เดือดร้อนกับตน เหมือนดังคำว่า “งำประกายไม่สำแดงเด่น”  เข้าใจคำนี้ไหม เราหมายความว่าเมื่อภาวะในโลกส่งเสริมให้ทำดี เราก็จงรักษาและทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ถ้าเกิดว่าภาวะของคนในโลก หรือภาวะของเพื่อนในบริษัทไม่ดี คนนี้ก็โกง คนนั้นก็โกง อย่างนั้นเราโกงด้วยได้ไหม (ไม่ได้) เราต้องพยายามไม่โกง และรักษาความไม่โกงไว้ แต่ไม่ต้องเอาความไม่โกงไปสอนเขา ไม่อย่างนั้นเราจะถูกว่า
ฉะนั้นทำอย่างไรถึงจะเป็นที่รักของทุกคน หากมนุษย์เราคิดจะปลูกต้นไม้หรือปลูกผลไม้อย่างหนึ่งให้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนเราปลูกได้ไหม ถ้าหากว่าเราเป็นแม่ครัวคนหนึ่งที่ทำอาหารบ่อยๆ แล้วทำอย่างไรให้รสชาตินี้เป็นรสชาติที่คนส่วนใหญ่ชอบ เราสามารถรู้ได้ไหม (รู้ได้)
พูดอย่างไรให้คนส่วนใหญ่ชอบ พูดด้วยเสียงที่นุ่มนวล พูดด้วยความจริงใจใช่หรือไม่ เรารู้ว่าจะพูดอย่างไรให้คนชอบที่จะฟัง ทำอย่างไรให้คนเขาชอบที่จะมอง  ตาดู หูฟัง สัมผัสรส มนุษย์เรารู้หมด แต่ทำอย่างไรให้เขาชอบ ชอบทั้งใจ ทำอย่างไรให้คนเรามีนิสัยแบบนี้ ทำแล้วใครๆ ก็ชอบใจ จิตใจแบบนี้มีขึ้นมาเมื่อไรใครๆ ก็รัก
คนเราถ้าเคารพตัวเองจะทำอะไรที่ดูถูกตัวเองไหม (ไม่)  และการทำอะไรที่ไม่ดูถูกตนเองแล้วให้คนอื่นเคารพและรักล่ะ (ไม่ทำความชั่ว)  คนที่ไม่ทำความชั่ว และเกลียดความชั่ว และไม่เอาความชั่วมาไว้ในตัว นั่นคือคนที่ “มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป” คนที่ไร้ซึ่งความละอายเกรงกลัวต่อบาปหรือหิริโอตตัปปะ คนนั้นยากเป็นคนดีได้ นี่คือข้อที่หนึ่ง
ข้อที่สองเห็นใครทุกข์ยากลำบาก เรามีจิตใจเมตตาช่วยเหลือและอยากให้เขาพ้นทุกข์และมีสุข นั่นคือ “ความเมตตากรุณา”  เมตตาคือช่วยให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาคือทำให้เขามีสุข
มนุษย์ทุกคนแม้จะมีความเลวร้ายไม่ดีขนาดไหนก็ตาม แต่ถามว่าจิตใจที่เมตตาสงสารคนอื่นมีในหัวใจของคนที่เลวร้ายไหม ยังมีนะ แต่เพราะเขาสงสารคนอื่นน้อยกว่าสงสารตัวเอง เขาจึงทำร้ายคนอื่นได้แต่ไม่ทำร้ายตัวเอง  ฉะนั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ควรจะมีอยู่ในหัวใจ ที่วันนี้ต้องเรียกกลับมาให้ได้ อย่างแรกคือ “เมตตากรุณา”  อย่างที่สองคือ “ความละอายเกรงกลัวต่อบาป”
ข้อที่สามคือ “ความอ่อนน้อมถ่อมตน” รู้เคารพ รู้รักผู้อื่น  แม้มีเมตตาแต่เป็นคนมือแข็งตัวแข็ง ไปที่ไหนใครรักไหม (ไม่รัก)  ไม่ใช่ฉันเป็นคนมีหน้ามีตา สิ่งที่ไม่ดีฉันก็ไม่ทำ แต่เป็นคนคอแข็งตัวแข็ง มือไม่เคยไหว้ใคร หลังไม่เคยก้มให้ใคร ใครเขาชอบไหม (ไม่ชอบ)  เป็นคนมีเมตตา แต่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่ฟังใคร ก็ไม่มีใครรักใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่ควรมีในหัวใจอีกข้อหนึ่งก็คือ “รู้ผิดชอบชั่วดี”  อะไรดีก็ทำ อะไรไม่ดีก็อย่าทำ ถ้าขาดปัญญา แยกแยะไม่ได้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ คนนั้นก็ยากทำดีให้สัมฤทธิ์ผลได้
ถึงมีความเมตตาแต่เมตตาไปทั่ว เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี แล้วถ้าเมตตาเฉพาะคนดี คนร้ายไม่เมตตาได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเมตตาเฉพาะคนร้าย คนดีไม่เมตตาได้ไหม  ฉะนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในหัวใจคือ “รู้ผิดชอบชั่วดี
เหมือนผ้าผืนหนึ่ง คนหนึ่งทอมาได้เนื้อละเอียด ทอด้วยความขยัน อีกผืนหนึ่งทอแบบตาห่างบ้างถี่บ้าง แต่เวลาเอาไปวางขายเรากำหนดราคาเท่าๆ กัน เช่นนี้เป็นเมตตาที่ถูกต้องและใช้ความผิดชอบชั่วดีที่ถูกต้องไหม เราจะทำให้คนขยันไม่รู้สึกอยากขยัน คนทำดีไม่อยากทำดี เพราะว่าถูกตีราคาให้เท่ากับผ้าเนื้อไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีให้เป็น ก็จะทำให้คนที่ดีมีกำลังใจยิ่งขึ้น คนที่ผิดเราต้องบอกเขา แนะนำเขา ตักเตือนเขา
ฉะนั้นนอกจากรู้จักฟื้นฟูสิ่งดีงามที่อยู่ในหัวใจของเรานี้ให้กลับคืนขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำรงชีวิตอีกอย่างหนึ่งก็คือเรียนรู้ชีวิตเป็น มีความดีในหัวใจ แล้วก็ต้องเผื่อแผ่ความดีในหัวใจนี้ให้กับผู้อื่น แล้วสิ่งที่ยากที่สุดในการทำความดีนั้นก็คือการต้องอุทิศเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อความสุขของผู้อื่น
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราสามารถเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อต่อยอดให้ผู้อื่นมีความสุขได้ คนนั้นคือคนที่สามารถฟื้นฟูสิ่งที่ดีแล้วแผ่สิ่งที่ดีให้แก่ผู้อื่นได้ ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าวันนี้คนที่ได้แอปเปิ้ลมา เอาไปให้กับคนที่ไม่ได้เลย เราจะได้ความสุขที่ไม่เคยสัมผัสเลย แล้วเราจะเดินกลับไปบอกพ่อแม่ได้อย่างภูมิใจว่าวันนี้ผมได้ผลไม้มา แต่ผลไม้ของผมมอบให้คนอื่นไปแล้ว แล้วเขายิ้มอย่างมีความสุข ผมเลยเอาความสุขที่ได้รับจากเขามาบอกพ่อกับแม่ กับเราเอาแอปเปิ้ลที่ได้มาไปให้พ่อแม่  ท่านว่าสองอย่างนี้อะไรมีความสุขกว่ากัน  ให้พ่อแม่ด้วยผลไม้ กับให้พ่อแม่ด้วยความภาคภูมิใจ (ภาคภูมิใจ)
บางครั้งเราอยู่ในสังคมคนบางคนเอาแต่สบาย แต่เราต้องแบกภาระอยู่คนเดียว เราเคยน้อยเนื้อต่ำใจไหมว่าทำไมต้องเป็นเราที่ทำ ทำไมต้องเป็นเราที่โดนว่า  แต่ถ้าเราคิดได้ว่า แม้เราทำแล้วยังโดนว่า แต่ทำให้คนอื่นมีความสุข นี่คือการเสียสละที่ยิ่งใหญ่
การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมนอกจากจะฟื้นฟูความดีงามให้ปรากฏแล้ว ยังต้องการสอนให้มนุษย์รู้จักเสียสละสิ่งดีงามให้ผู้อื่นยิ่งๆ ขึ้นด้วย  หากเป็นการต่อยอดแล้วทำให้ผู้อื่นมีความสุข แม้ตัวเองต้องลำบากหวานอมขมกลืน ทำไมไม่ทำ ทำไมกลับคิดว่าทำไมเราต้องช้ำทั้งที่น่าจะเป็นเขาที่ช้ำ  ทำไมไม่คิดมุมกลับว่า เราเป็นคนช้ำก็ได้ขอให้เขามีสุขก็พอ จิตใจแบบนี้คือจิตใจของพ่อแม่ที่ทำเพื่อลูก และถ้าเรารู้จักที่จะแผ่จิตใจของพ่อแม่นี้ไปสู่ทุกคนและทุกคนเป็นลูกเราหมด นั่นก็คือจิตใจที่กล้าเสียสละ ยอมลำบากเพื่อผู้อื่น
ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้คุณค่าของความเป็นคนอยู่ที่การเอาคุณธรรมออกมาให้ผู้อื่น แม้ตัวเองต้องเป็นทุกข์ก็ไม่เป็นไร ถ้าทำได้เช่นนี้ ท่านก็ไม่ต่างอะไรกับพุทธะโพธิสัตว์ จริงไหม (จริง)
พระพุทธเจ้าที่ท่านกราบไหว้เคารพนับถือ นับถือท่านตรงความดีงาม ตรงที่กล้าแบกรับทุกข์ของผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่กล้ากระโจนไปสู่ความทุกข์แล้วหาทางพ้นทุกข์ให้เจอ เมื่อหาทางเจอแล้วเอาไปบอกคนอื่น ท่านไม่ไปเสวยสุขคนเดียว แต่ท่านกลับคิดจะไปบอกคนอื่นก่อน แม้จะยากลำบากขนาดไหนก็ตาม  แล้วเราก็เชื่อว่าทุกคนในที่นี้ก็มีจิตใจอันนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่ยอมทำเท่านั้นเอง เพราะยังกลัวลำบากยังกลัวเหนื่อยใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราก็ขอมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ มาไม่ใช่ให้ติดเรื่องการยืมร่างแบบนี้นะ แต่มาเพื่อแสดงประจักษ์หลักฐานให้มนุษย์รู้ว่าในโลกใบนี้แม้จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหน เราสามารถเอาความทุกข์นั้นเป็นแรงผลักดันให้เรามีชีวิตอย่างเป็นสุขที่นิรันดร์ได้ด้วยการเรียนรู้และใช้ชีวิตให้เป็น และสิ่งที่มนุษย์ดูถูกตัวเองอยู่เสมอว่าฉันเป็นคนดีไม่ได้ ผมเป็นคนดีไม่ได้ เราอยากจะบอกว่าคนที่พูดว่าดีไม่ได้นั้น หากคิดจะทำและทำให้จริงก็ดีได้ก็ทำได้ แต่อยู่ที่ว่าจะคิดถึงตัวเองแล้วคิดถึงผู้อื่นด้วยหรือไม่  จะคิดอย่างใช้อารมณ์เป็นหลัก หรือถือคุณธรรมเป็นหลักกันแน่
ความเป็นมนุษย์กับความเป็นพุทธะต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงที่จะใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิต หรือใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิต จะคิดถึงแต่ตัวเอง หรือเป็นคนที่คิดถึงตัวเองแล้วยังคำนึงถึงส่วนรวม แค่นี้เองนะ  ฉะนั้นศึกษาหลักธรรม ไม่ใช่เรื่องไกลของชีวิต เป็นเรื่องใกล้ๆ ตัว นำมาใช้แล้วยังช่วยคนอื่นได้ด้วย
วันนี้คงมาผูกสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ อย่าคิดว่ามาหลอก อย่าคิดว่ามาเล่นละครเลย  ถ้าเป็นละครแห่งชีวิต ก็เป็นละครแห่งชีวิตที่มีทุกข์และมีสุข แต่ในทุกข์และสุขนั้นกลับผลักดันให้เราหลุดพ้นให้จงได้  เราแค่ผ่านมาผ่านไปนะ อย่าเกาะเกี่ยวตัวเรา สิ่งที่ควรเอาไปใช้และนำพาชีวิตให้หลุดพ้นคือคุณธรรมในหัวใจ ทำให้ได้ มีไม่กี่ข้อเอง เมตตา ละอายเกรงกลัวต่อบาป อ่อนน้อมถ่อมตน และรู้ผิดชอบชั่วดี เท่านี้แหละนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐   
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


    คนในโลกคนพูดก่อนย่อมได้เปรียบ    คนเงียบเงียบดูเหมือนว่าจะแพ้พ่าย
ศิษย์รักดูผลสรุปในบั้นปลาย    ศิษย์รักเอ๋ยจะอย่างไรอย่าทอดทิ้งตน
        เราคือ
    จี้กงอนุเคราะห์ชาวโลก         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลกีย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์รักทุกคนอยากมีความสุขหรือเปล่า


    หลักรองคอยประคองอย่าให้พลาด    คนฉลาดมักยึดมั่นถือมั่น
สามัคคีสร้างอารามมั่นคนเป็นฐาน    รักษากันคุณธรรมความมีน้ำใจ
ประณีตสร้างเจริญกุศลจิตเบิกบาน    ทูนปณิธานพื้นฐานการทนจนได้
ใจที่บำเพ็ญสามารถพ้นทุกข์ใจ    ปฏิบัติธรรมข้องที่ไหนทบทวนตน
สับสนความที่อยู่รูปเปลี่ยนแปลง    ไม่แข็งแกร่งเหนือนามลามสับสน
ประสงค์คืนมาตุภูมิต้องถามใจตน    หลักก้าวสามบันไดพ้นต้องตั้งใจ
                            ฮา  ฮา   หยุด





    ต้องดีต่อกัน ต้องดีต่อกัน ท่องเป็นคำขวัญ ศรัทธาในกันให้เต็มหัวใจ  บางเรื่องรู้อยู่  อภัยภายหลังทำใจ  ถือเป็นนัยนัย สายใยจะพลอยอับจน
    หลายคำอดใจเดินไปด้วยกัน  ร่วมทำความฝัน  ถึงแม้ชักหวั่น  
กัดฟันสู้ทน  ทุกข์เต็มดวงใจ  หลงใหลเรื่องราวกว่าตน  ไม่ยอมสู้ทน  สู้ไปกลายเป็นหมดหวัง
    อยากมีคนรัก  ตั้งหลักเรียกร้องเต็มที  ไม่มีใครตอบ  มอบไว้ด้วยใจว่างว่าง  จงเป็นคนให้  ได้มาอย่างไม่โดนชัง  ไม่มีคาค้าง  จงหัดฟังเสียงต่างความเห็น
    แค่ดีต่อกันไม่นานจะดี  อย่าทำเป็นหนี   คาดคั้นถ้วนถี่จะดียากเย็น  ถึงใจตรงกัน  หลีกยอมซ้อมไว้จำเป็น  ลมที่เย็นเย็นคนใจกว้างเป็นจึงรู้



ชื่อเพลง :  ต้องดีต่อกัน
ทำนองเพลง :  ต้องมีสักวัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ลองนั่งอย่างสง่างามหน่อยสิ การอยู่ในความเรียบร้อยเป็นเรื่องน่าอึดอัดหรือเปล่า (ไม่อึดอัด)  มนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้มักจะตามใจตัวเองกันมากกว่า คืออะไรสบายก็เอนไปทางนั้น นั่งตรงๆ ไม่สบายก็นั่งเอนๆ พอสบายมากไป ก็หลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาที่เรานั่งเอนไปเอนมาตามใจของเรา เราไม่รู้ว่าเวลาสบายนั้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ว่าหลังจากที่เรานั่งไปอย่างนั้นสักพักกระดูกก็เริ่มไม่ดี เอวก็เริ่มไม่ดี หลังเริ่มไม่ดี ขาเริ่มไม่ดี เข่าเริ่มไม่ดี ทำไมคนในโลกปัจจุบันนี้ถึงเป็นโรคปวดแข้งปวดขาปวดเข่าปวดหลังปวดคอกันเยอะ ที่เป็นอย่างนี้เพราะเรานั่ง เดิน ยืนไม่ถูกท่า เวลายืนก็ยืนตรงไม่ได้ต้องยืนเอนนิดหน่อย เวลานั่งก็นั่งตรงไม่ได้ต้องเอนๆ หน่อย เวลาเดินก็เดินดีๆ ไม่ได้ต้องเดินไปกระแทกไป
จริงๆ แล้วไม่ใช่มีปัญหาอยู่ที่การนั่ง ยืน เดินของเรา แต่มีปัญหาอยู่ที่เรานั้นตามใจตัวเราเองมากเกินไป การตามใจตัวเองเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนี้เรามาเข้มงวดกับตัวเอง ตามใจตัวเองน้อยกว่านี้หน่อยดีไหม (ดี)  ทำได้หรือเปล่า (ทำได้)
สมมติว่ามีคนมายั่วโมโหเรา แล้วเราโมโหตอบได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกวันนี้เราโมโหหรือเปล่า (โมโห)  เวลาที่มีคนมาขัดใจเรา ถึงเรารู้ว่าถูกแต่ว่าเขาขัดเราอยู่ ถ้าเราจะทำก็ต้องทะเลาะกัน อย่างนั้นเราทำดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อย่างนั้นถ้าเราทำตามที่เขามาขัดใจเรา ดีหรือเปล่า (ดี, ไม่ดี)  มีคนขัดใจเราแล้วเรายอมให้เขาขัดดีหรือเปล่า มีคนมาหยิบของเราไปโดยที่เราไม่อนุญาต ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  มีคนแกล้งเราแล้วเรายืนเฉยให้เขาแกล้งดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  มีคนมานินทาเราแล้วเรายอมให้เขานินทาทั้งๆ ที่เรารู้ว่าเขานินทาเรา ดีหรือไม่ดี  สังเกตว่าเกือบทุกเรื่องที่อาจารย์พูดนั้น เป็นเรื่องที่มีผู้ทำให้เราทั้งสิ้น คนเขาใจร้ายกับเรา คนเขาก็จะขัดใจเรา คนจะนินทาเรา คนจะยั่วให้เราโมโห คนจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็จำเป็นที่จะต้องปล่อย ถ้าหากเราเดือดเนื้อร้อนใจกับสิ่งที่ผู้อื่นมากลั่นแกล้งเรา เราจะทำอะไรได้ เราจะโมโหตอบได้ เราจะเสียงดังโวยวายได้ เราจะใส่ร้ายป้ายสีได้ เราจะนินทาหาเรื่องได้ เราทำได้ แต่เราเป็นคนดีไหม เราทำเหมือนคนไม่ดีได้ แต่เราก็คือคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าเราอยู่เฉยๆ ถ้าไม่มีใครมายั่วเรา เราไม่โมโห ทุกวันนี้เราเป็นคนดี แต่ถ้าเกิดว่าเราเจอเรื่องอะไรมากระทบเราจะกลายเป็นคนไม่ดีในทันที อย่างนี้แปลว่าจริงๆ แล้ว เราดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  แปลว่าเรายังมีบางเรื่องที่เราจำเป็นต้องมามองตัวเอง ต้องมาทบทวนและต้องแก้ไข
ปัญหาไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหมือนกับดอกเห็ดที่เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนฟองน้ำที่เกิดขึ้น ผุดแล้วหาย ใจของเราถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรื่องราวจะเกิดขึ้นอีกมากมายร้อยแปดพันเก้า ไม่เป็นไร แต่ว่าทุกครั้งเราเอาใจแบบไหนไปรับมือ ใจของเราที่เราบอกว่าดีอยู่แล้ว จริงๆ แล้วดีหรือเปล่า เรายังเป็นคนที่ตามใจตัวเอง เรายังเอาแต่ใจตัวเอง เรายังดื้อรั้น เรายังอยากชนะอยู่ ฉะนั้นทุกๆ วันนี้สรุปได้ว่าศิษย์ของอาจารย์ก็เลยเป็นทุกข์
ทุกวันนี้เราก็เลยยังเป็นทุกข์ เพราะว่าเรานั้นไม่รู้จักตัวเอง เป็นเดือดเป็นร้อนกับสามี ภรรยา ลูก หลาน พี่ น้อง ญาติ เพื่อนฝูง เพราะว่าเรานั้นไม่รู้จักตัวเอง การจะรู้จักตัวเองต้องทำอย่างไรบ้าง ถ้ามีคนเดินมาตบหน้าเราเปรี้ยงหนึ่ง ทำอย่างไรดี (ถามเหตุผลว่าตบเราทำไม) คนในโลกบอกว่าอยากเป็นคนฉลาด คนฉลาดดีที่สุด ความฉลาดเป็นสิ่งที่เป็นพิษ ทำให้ศิษย์นั้นต้องแสดงความฉลาดอยู่เรื่อย แต่ยิ่งแสดงความฉลาดออกมามากเท่าไร เราก็ยิ่งเป็นคนโง่ของชีวิตตัวเองมากเท่านั้น เราเป็นผู้ออกข้อสอบให้ตัวเอง แล้วสุดท้ายเราก็สอบตกในข้อสอบของตัวเอง แต่ถ้าเราไปสอบข้อสอบคนอื่น เราจะตกหรือเปล่า (ไม่ตก)  
คนอื่นเดินมาตบหน้าเราเปรี้ยงหนึ่ง ถามว่าเราสอบตกหรือผ่าน (ตก, ผ่าน)  อะไรบ้างที่เราเสียไปตอนเราโดนตบ (ความเจ็บ, เสียความรู้สึก)  ความเจ็บอยู่กี่นาที แล้วแต่ความแรงของการตบใช่ไหม สมมติว่าตบแรงมาก เจ็บกี่นาที ห้านาทีพอไหม สิบนาทีเต็มที่ (สิบห้านาที)  สิบห้านาทีความเจ็บปวดหายไปแล้ว หายไปที่ไหน ความเจ็บปวดมุดลงไปอยู่ในใจของเรา แล้วเราก็เกิดความสับสนวุ่นวาย เกิดความคิดมากมายตามมา ใจของทุกคนเหมือนดังคลื่นที่ซัดเป็นระลอกไม่หยุด เมื่อลมไม่พัด คลื่นก็ไม่เกิด ลมก็คือ ลมตบ
เมื่อมีลมพัดคลื่นจึงกระเพื่อม แล้วถ้าหากว่าเราไม่ถูกตบ ใจของเราก็ไม่มีคลื่นจริงหรือไม่ (จริง) แล้วถ้าหากว่ามีเรื่องอื่นๆ ออกมาอีก ใจของเราจะมีคลื่นหรือเปล่า (มี)  ถามว่าคนที่มีจิตใจกระเพื่อมไหวตลอดเวลากับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นจิตใจที่สงบไหม (ไม่สงบ) เพราะฉะนั้นอาจารย์จะสรุปว่าให้ศิษย์รักษาความสงบในจิตใจไว้ แม้กระทั่งมีเรื่องและไม่มีเรื่อง  คนขณะที่ไม่มีเรื่องย่อมรักษาความสงบในใจได้ง่ายกว่า ยามมีเรื่องรักษาได้ยากกว่า
เรื่องในชีวิตของศิษย์อาจจะแตกต่างไปจากข้อสมมติของอาจารย์ อย่างเช่นการโดนตบ แต่เรื่องราวในชีวิตของศิษย์ก็มีมากมายหลายเรื่องตามที่เรานั้นผูกเงื่อนมา แต่ถ้าเรารักษาจิตใจของเราให้สงบได้ สมมติว่าจิตใจของเราสงบใส มีความเยือกเย็น มีขันติธรรม เวลาคนมาตบแล้วเราทำอย่างไร ในระหว่างสิบห้านาทีนั้นความเจ็บปวดกำลังมุดไปที่ใจของเรา แต่ใจของเราไม่กระเพื่อม ใจของเรายังสงบ ยังเยือกเย็น ยังมีขันติ พอเข้าไปที่จิตใจแล้วใจของเราดี การโดนตบนี้ก็ไม่เป็นไร  เราก็อภัยให้ได้
แต่สิ่งที่เราควรจะทำต่อจากนั้นไม่ใช่การเดินไปถามเขาว่าตบทำไม แต่เราต้องถามตัวเองว่าเคยนินทาเขาหรือเปล่า เราเคยใส่ร้ายเขาหรือเปล่า เราเคยโทษเขาหรือเปล่า เราเคยทำผิดต่อเขาหรือเปล่า เราเคยเอาสิ่งของของเขามาหรือเปล่า เราเคยทำให้เขาได้รับความเจ็บปวดได้อายสิ่งใดบ้างหรือเปล่า อาจารย์เชื่อแน่ว่าในหลายๆ ข้อที่อาจารย์พูดต้องมีสักข้อ ขอให้ยืมเหตุอันนั้น อย่างเช่นเราเคยนินทาเขา ขอให้ยืมเหตุของการนินทาเขามาอภัยให้เขา  ถ้าหากว่าเราสามารถอภัยให้เขาได้ จิตใจของเราก็จะสบาย เพราะว่าเราเคยผิดต่อเขามา
เพราะฉะนั้นการที่เขาตบเราก็เป็นการชดใช้กรรมซึ่งกันและกัน ถ้ามีคนมาให้ร้ายเรา มาตบเรา เป็นการดีหรือเปล่า จะได้เป็นการใช้กรรม  มนุษย์มักจะคิดว่าเราไม่เคยทำอะไรใครเลย ที่นินทาไปเราก็ลืมไปแล้ว ที่เราว่าเขาเราก็ถือว่าพูดความจริง คนสองคนเมื่อรู้จักกันก็ย่อมต้องมีบุญและมีกรรม การทำบุญเป็นสิ่งที่ง่ายมาก ให้เงินขอทาน ฟังธรรม ให้รับธรรมะ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ตัวเองยอมขาดทุนเล็กน้อยต่างก็ได้บุญทั้งนั้น  แต่การใช้กรรมทำยากมาก ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ การชดใช้กรรมเป็นเรื่องที่ลำบากที่สุด เพราะว่าการที่คนอื่นที่เราไปผูกกรรมด้วยจะอภัยให้เรา เราจำเป็นที่จะต้องขุดหัวใจเขาออกมา แล้วขอขมาต่อหัวใจของเขา ไม่ใช่ขอขมาต่อบุคคล ต่อเรื่องนั้นๆ แล้วจบ แต่เราต้องขุดไปถึงหัวใจเขา ในทุกซอกทุกมุม แล้วให้เขาอภัยให้เรา จึงจะสามารถที่จะพ้นกรรมพ้นเวรจากกันได้
ถ้าเรายืมเงินคนห้าบาทแล้วไม่ยอมใช้ ชาติหน้ากลับมาเป็นวัวเป็นควายเพื่อที่จะชดใช้เงินห้าบาทนี้ คุ้มหรือไม่คุ้ม (ไม่คุ้ม)  วันนี้ติดเงินคนไปเท่าไร ไม่ได้ติดเขาแค่ห้าบาท ติดกันมากกว่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นการชดใช้กรรมจึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก หากเราทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้  หากไม่รู้ ทำบาปไปเรียกว่าเป็นความผิด หากว่ารู้ตัวแล้วทำให้เขาเจ็บช้ำได้อายเรียกว่าเป็นบาปเป็นกรรม  ฉะนั้นที่คนไทยชอบพูดบอกว่าคนไม่รู้คือคนไม่ผิด จริงหรือเปล่า (ไม่จริง)  คนไม่รู้ก็คือไม่ผิด แต่เมื่อกี้อาจารย์บอกว่า ถ้าหากว่าไม่ได้เจตนาเรียกว่าเป็นความผิด แต่ถ้าเกิดเจตนาทำเรียกว่าเป็นบาป  ในเรื่องเดียวกัน การกระทำเดียวกัน แต่อยู่ที่เจตนาของผู้ทำ
ฉะนั้นวันนี้ถ้าหากว่ามีคนมาเอาเปรียบเรามากหน่อยหนึ่ง เอาเปรียบเงินก็ดี เอาเปรียบตัวก็ดี เอาเปรียบหัวใจก็ดี เอาเปรียบความคิดความรู้สึกก็ดี  ถ้าหากเรามองว่าทุกๆ อย่างเป็นการใช้หนี้บาปเวรกรรมต่อกันทั้งชาติก่อนและชาตินี้ เราก็จะไม่โกรธใครเลย เราก็จะอภัยให้กับคนทุกๆ คน  เพราะทุกอย่างที่เขาทำร้ายเรา ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ เป็นการใช้หนี้ต่อกันและกัน
ยินยอมให้ผู้อื่นติดหนี้ หรือยินยอมเป็นหนี้ผู้อื่น ยินยอมเป็นเจ้าหนี้หรือยินยอมเป็นลูกหนี้ (ยินยอมเป็นเจ้าหนี้)  ถ้าอยากเป็นลูกหนี้ก็ไม่ต้องทำกับข้าวกินเอง ไปไหนมาไหนขอเขาไปเยอะๆ เอาเปรียบเขาไปมากๆ ก็กลายเป็นลูกหนี้เขา ชาตินี้ไม่ได้ใช้เขา ชาติหน้าใช้หรือไม่ใช้ (ใช้)  ส่วนคนที่เป็นเจ้าหนี้คนอื่นคือชาตินี้ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบเยอะๆ ชาติหน้าเกิดเป็นเจ้าคนนายคนให้คนอื่นเขามาใช้หนี้  แต่สุดท้ายไม่ว่าคนที่สูงศักดิ์หรือต่ำศักดิ์ คนมีเงินหรือยากจน ทุกคนเป็นทุกข์เหมือนกันทั้งสิ้น  ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย ไม่ว่าลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ ถ้าเกิดมาใหม่เพื่อให้คนอื่นใช้เรา หรือเกิดมาใหม่เพื่อให้เราไปใช้คืนคนอื่น ก็ทุกข์เหมือนกันทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้นความทุกข์ไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีเงินหรือคนไม่มีเงิน ย่อมมีความทุกข์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกคนหาช่องทางที่จะมีความทุกข์ให้กับชีวิตตัวเองเยอะแยะมากมาย  ฉะนั้นการเกิดมา ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  
วันนี้อาจารย์มาที่นี่เพื่อบอกศิษย์ว่า ตอนนี้ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรม พ้นไปจากความทุกข์ เลิกเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องตาย แล้วก็ไม่ต้องเกิด อยากพ้นหรือไม่อยากพ้น (อยาก)  อย่างนั้นอาจารย์บอกว่าไปโดนคนอื่นตบสิบทีนะ แล้วทำความรู้สึกของตัวเองให้นิ่งๆ เฉยๆ  อย่าให้ใจมีคลื่น อย่าให้คิดอยู่เป็นระลอกๆ อย่าบ่นเป็นพักๆ เพราะเป็นการยอมเสียเปรียบ เรามีแผนการยอมในการเสียเปรียบคนในชาตินี้ เรามีแผนการในการดำรงชีวิตอยู่ในชาตินี้ แล้วเราก็มีจุดหมายปลายทางที่เราต้องเดินให้ถึง ถ้าเราเดินไม่ถึงจุดหมายปลายทางคือนิพพาน ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่ แล้วอาจจะทุกข์มากกว่าชาตินี้ หรืออาจจะทุกข์น้อยกว่าชาตินี้ ชาตินี้ไม่รวยเท่าไหร่ อยากกลับมารวยกว่านี้อีกหน่อยดีหรือไม่ (ไม่ดี)  วันนี้กลับไปนับเงินมีธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทอยู่ห้าใบ ชาติหน้ากลับมามีธนบัตรใบละพันบาทอยู่ห้าร้อยใบ เอาไหม (ไม่เอา)  ถ้าหากว่าศิษย์เอาก็ทำบุญไว้มากๆ เป็นเจ้าหนี้คนให้เยอะๆ ให้คนอื่นนั้นเอาเปรียบเรา แล้วชาติหน้าเราเกิดมาใหม่ เราก็ได้รับการคืนในส่วนต่างๆ ที่เราเสียไป
ทางที่ประเสริฐที่สุด จึงไม่ใช่หนทางแห่งการเป็นมนุษย์วันนี้ แต่ทางที่ประเสริฐที่สุดนั้นเป็นทางของการพ้นไปจากการเกิดและการตายจากการกระทำของเราในชาตินี้ เราอยากเป็นคนที่หลุดพ้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีตบะมากกว่าคนอื่น มีการบำเพ็ญมากกว่าคนอื่น มีความอดทนมากกว่าคนอื่น มีความคิดมากกว่าคนที่ไม่มีความคิด มีคำพูดที่ดีๆ มากกว่าคนที่มีคำพูดที่ไม่ดี อย่าเอาตัวเราไปเทียบกับใคร ความอิสระเสรีเหมือนให้ศิษย์นั้นนั่งได้ตามสบาย ไม่ต้องนั่งให้สง่างาม ศิษย์ก็สามารถที่จะสบายๆ ไปในชาตินี้ทั้งชาติ สบายตามยถากรรมอันควรจะเป็นคน แต่สุดท้ายศิษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด
ในทางกลับกันอาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นเคร่งครัดต่อตัวเอง นั่งก็นั่งให้ดี เดินก็เดินให้ดี ยืนก็ยืนให้ดี เป็นคนก็เป็นคนให้ดี หลังจากนี้เป็นต้นไปศิษย์ก็จะไม่ป่วยไม่ไข้ หลังจากนี้เป็นต้นไป ศิษย์ก็จะเป็นผู้ที่มีความจำกัด แต่เพื่อเป้าหมายแล้วคุ้มค่าอย่างยิ่ง ฉะนั้นวันนี้เราอย่าเอาชีวิตของเราไปเปรียบเทียบกับใคร ว่าทำไมเราลำบากอย่างนี้ ลำบากกว่านี้ศิษย์ยังต้องยอมทน
เวลาเราทำอะไรเสร็จทันทีทันใดไม่ใช่ทิ้งการกระทำอันนั้นทันที ล้างชามทิ้งชามทันที ลงจากรถยนต์ทันที ทำงานเสร็จแล้วก็ไปทันที อย่างนี้จะเป็นการทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น วันนี้หากว่าเราล้างชาม เราก็เอาชามไปเก็บให้เสร็จ แล้วเรายังมองต่อว่าเรียบร้อยหรือเปล่า ถ้าวันนี้เราตีลูก เมื่อตีลูกเสร็จต้องสอนเขาด้วย ต้องรู้ถึงความเจ็บปวดที่แม่ได้รับร่วมกับเขาเช่นเดียวกัน
เมื่อเราทำงานเสร็จแล้ว เราทิ้งงานทันทีไหม (ไม่)  เราต้องตรวจสอบงานของเราด้วย ระยะเวลาของการตรวจสอบงานนั้นเป็นเท่าไหร่ของการทำงาน ระยะการทำงานสมมติว่าสิบส่วน การตรวจสอบมีกี่ส่วนของการทำงาน ไหนใครว่าหนึ่งส่วนยกมือขึ้น สองส่วน สามส่วน สี่ส่วน ห้าส่วน แล้วคนที่ไม่ยกล่ะ คนที่ไม่ยกแปลว่าฉลาดล้ำลึก เป็นคนชอบดูมากกว่าชอบทำ เป็นคนชอบคิดมากกว่าชอบพูด เป็นคนที่ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นเราก็รอดก่อนเลย แต่รอดตรงนี้ไปตายในความฉลาดของตัวเอง ไม่ใช่ตายเพราะผู้อื่นทำให้ตายแต่ตายเพราะว่าตัวเองทำให้ตาย เรียกว่าเป็นการแพ้ภัยตัวเอง
ตกลงตรวจสอบใช้เวลากี่ส่วน อาจารย์จะบอกให้ ขึ้นอยู่กับนิสัยของเราว่าเป็นคนที่สะเพร่ามากแค่ไหน ใช้ประมาณสามถึงห้าส่วน สามส่วนสำหรับคนปกติที่รู้จักรอบคอบและระมัดระวัง ห้าส่วนใช้สำหรับคนที่สะเพร่าเลินเล่อ เราก็พิจารณาว่าเราเป็นประเภทไหนก็ใช้ประมาณนั้น
ศิษย์รักเอ๋ยจะอย่างไรอย่าทอดทิ้งตน
คนที่ทอดทิ้งตนคือคนที่ไม่มีปัญญา ไม่ใช้ปัญญาทั้งที่ตนนั้นมีปัญญา คิดแต่จะหาผลประโยชน์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ คิดที่จะได้เปรียบคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เห็นคนอื่นทำอะไรก็รีบแย่งชิงเอาความดีความชอบเป็นของตน อย่างนี้เรียกว่าคนที่ทอดทิ้งตน
ที่นี่สถานธรรมถงซินอยู่ติดกับแม่น้ำ แล้วพายเรือหรือยัง (พายแล้ว) พายเรืออยู่ในอ่างหรือว่าพายไปสู่จุดหมาย (พายไปสู่จุดหมาย)  เราพายพร้อมกันอีกรอบดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงและทำท่าประกอบเพลง “พายเรือ”)
ดูสภาพของการพายเรือแล้วมีทั้งคนที่พายไม่เป็นและคนที่พายเรือเป็น คนที่พายเรือไม่เป็น พายเท่าไรก็ไม่ถึง คนที่พายเรือเป็นแม้เขาพายแบบดูไม่จริงจังแต่ก็ถึง การพายเรือนี้ก็เปรียบเสมือนการบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรม
วันนี้เรายังไม่รู้หลักการพายเรือ เราจึงจำเป็นที่จะต้องมาเรียนการพายเรือ จำเป็นที่จะต้องมาเรียนธรรมะและศึกษาให้เข้าใจ ในขณะที่เรายังทำไม่เป็น ทำผิดทำถูก เราจำเป็นที่จะต้องขอให้ผู้อื่นชี้แนะ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่มีปัญหาที่คำชี้แนะ แต่มีปัญหาที่นิสัยของคนที่ชี้แนะ อย่างเช่นเขาใช้เสียงดังไปหน่อยในการชี้แนะ เราทนได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เมื่อมีคนมาตะคอกใส่ มีคนมาติมาว่า เราจะบอกตัวเองว่าทนไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ในวันนี้เรามาเรียนธรรมะก็เพื่อที่จะนำชีวิตของตัวเองให้หลุดพ้นไปจากความทุกข์ เมื่อเราโดนตะคอก โดนต่อว่า หรือโดนชี้แนะ เราจึงจำเป็นต้องทำให้ได้ เพราะเราเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คนดูถูกเรา เขาดูถูกเท่าไรก็ได้ เขาดูถูกเราผิดๆ ถูกๆ อย่างไรก็ได้ แต่ตัวเราเองห้ามดูถูกตัวเราเอง อย่าพูดว่า “อันนั้นทำไม่ได้ อันนี้ไม่ใช่ อันนี้ไม่ถูก”โลกนี้ไม่มีอะไรผิด โลกนี้ไม่มีอะไรถูก อย่างที่เราพูดอยู่เสมอว่าทำอย่างนี้ถึงถูก จริงๆ แล้ว เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปอาจจะไม่ถูกก็ได้
คนสมัยก่อนบอกว่า ผู้หญิงต้องอยู่ที่บ้านเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ผู้หญิงอยู่ที่ไหน ผู้หญิงอยู่ทุกที่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์หัวโบราณ อาจารย์ก็บอกว่าศิษย์บำเพ็ญธรรมไม่ได้ แต่ ณ ปัจจุบันนี้ แม้อาจารย์ก็ยังจะต้องยอมแพ้ให้กับยุคสมัย เพราะว่าผู้หญิงนั้นเก่งจึงจำเป็นต้องยอมรับ แม้กระทั่งพุทธะเบื้องบน คนเบื้องล่าง และโลกนี้ก็ยอมรับศิษย์ ฉะนั้น ศิษย์ต้องยอมรับตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง อย่าดูหมิ่นตัวเอง บอกว่านั่นไม่ดี นี่ไม่ได้ เราจำเป็นที่จะต้องเปิดตาของเราให้กว้างๆ  วันนี้เรามองว่าผิด แต่สำหรับคนในยุคหน้าอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ได้ เมื่อความคิดของเราเปลี่ยน สายตาของเราก็จะเปลี่ยน คำพูดของเราก็จะเปลี่ยน ความสุขของเราก็จะเปลี่ยน จากที่ปกติไม่ค่อยมีก็เป็นมีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นทุกคนยืนขึ้น เมื่อพระอาจารย์นับสามแล้วให้นั่งลงพร้อมกัน)
มีกฎข้อไหนบอกว่าก่อนสามต้องเป็นหนึ่งสองบ้างไหม เมื่อครู่นั่งพร้อมกันหรือไม่ (ไม่พร้อม) อย่างนั้นยืนขึ้นมาใหม่นะ พร้อมกันหรือยัง (พร้อม) ต้องให้คนที่อยู่ข้างหลังตอบ ใช่หรือไม่ คนข้างหลังจึงจะดูคนข้างหน้าชัด ลูกดูพ่อแม่ชัด เราดูพ่อแม่ชัด ผู้น้อยดูผู้อาวุโสชัด เราถูกคนอื่นมองชัด แต่เรามองตัวเองชัดหรือไม่ (ไม่ชัด)  เพราะฉะนั้นเวลาที่คนอื่นมองเราแล้วบอกว่าเราเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอย่างที่ใจเราคิด แต่เราต้องหัดยอมรับก่อน แล้วค่อยแก้ทีหลัง
ทุกวันนี้ที่เราอยู่บ้าน เราโดดเด่นในบ้านหรือเปล่า (โดดเด่น) ตำแหน่งของเราคืออะไร (แม่บ้าน) ตำแหน่งแม่บ้านมีคนเดียว ตำแหน่งพ่อบ้านก็มีคนเดียว ตำแหน่งลูกมีหลายคน แต่ลูกอย่างเรามีคนเดียว  เพราะทุกคนมีความโดดเด่นในการเป็นตัวของตัวเอง ในฐานะและหน้าที่ของตัวเอง เรามีหน้าที่เป็นลูกของพ่อแม่ เรามีฐานะเป็นพ่อของลูก เรามีฐานะเป็นแม่ของลูก เรามีฐานะเป็นภรรยา มีฐานะเป็นสามี เป็นผู้อาศัย เป็นผู้ที่อยู่ร่วมกัน ฉะนั้นในทุกๆ บทบาทของเราสรุปแล้วเป็นเราคนเดียว ในขณะที่เราเป็นแม่บ้านเราก็เป็นลูกบ้านด้วย ขณะที่เราเป็นแม่เราก็เป็นคนทำกับข้าวด้วย ในขณะที่เราทำกับข้าว เราก็ต้องหาเงินด้วย  ในขณะที่เราเป็นเจ้าบ้าน เราก็มีฐานะเป็นผู้อาศัยด้วย ดังนั้นวันนี้อย่าพูดว่าเรามีฐานะแม่บ้านทำไมต้องฟัง เพราะว่าตอนที่ฟังไม่ได้อยู่ในฐานะแม่บ้าน แต่ตอนที่ฟังอยู่ในฐานะลูกบ้าน  ในขณะที่เราต้องทำตามใครเราไม่ได้อยู่ในฐานะแม่บ้าน เราอยู่ในฐานะลูกบ้าน  ในขณะที่เราทำกับข้าวเราเป็นใหญ่ เวลาคนพูดผิดหูตอนทำกับข้าว เราใส่อารมณ์ เราจะเคาะกระทะ ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เป็นสิ่งไม่ดี สมมติว่าเราใส่น้ำตาลหรือน้ำปลาเยอะไปหน่อย เราลืมอะไร  เราลืมสติ ใช่หรือไม่ เราลืมสติกันได้ทุกเวลาหรือเปล่า แล้วเรามีสติกันได้ทุกเวลาหรือไม่ (ได้)  ศิษย์มีสติได้บางเวลาเพราะว่าคนนั้นยังไม่สามารถที่จะฝึกฝนให้ตนเองถึงขั้นรักษาสติได้ทุกเวลา ฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถครองสติได้ทุกเวลา เราอย่าพูดเราก็จะไม่ผิด
ถ้าหากว่าคนๆ หนึ่งมีความมั่นใจในตนเองมาก จะบอกว่าเราไม่ผิด  แต่ถ้าหากว่าทุกเวลา เราบอกตัวเองบอกว่าเราผิดบ้าง เราผิดแล้ว เราคงผิด  อย่างนี้เราจะกล้าไปทะเลาะกับคนอื่นหรือไม่ (ไม่กล้า)  ฉะนั้นจงอย่าทะเลาะกัน อย่าทะเลาะกับคนอื่น อย่าทะเลาะกับตัวเอง อย่าทะเลาะกับความคิด อย่าทะเลาะกับความรู้สึกของตัวเอง  เมื่อทำได้เช่นนี้ ไม่ว่ากับใครศิษย์จะทะเลาะด้วยหรือไม่ (ไม่)  
ทูนปณิธานพื้นฐานการทนจนได้
รู้จักคำว่า “ทนไม่ได้” ไหม เราทนไม่ได้ก็เพราะว่าเรานั้นไม่มองภาพรวมของปัญหา เราจึงไม่สามารถที่จะทนได้ การที่เรานั้นสามารถเปิดตาของเราให้กว้างกว่าที่เรามองเห็น บางทีเวลาเรามอง เรามองเห็นแค่นี้ ตอนนี้นิสัยการมองของเรามีแค่นี้เพราะเราใช้ตามอง มีอะไรหลบอยู่ตรงไหน ซ่อนอยู่ตรงไหน เราไม่สามารถที่จะเห็นได้  ความในใจ ความนอกใจ หรือความเอาแต่ใจของใคร เราก็ยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าหากว่าเราใช้ปัญญามอง เราจะสามารถมองได้ ๓๖๐ องศา คือมองได้รอบตัว ตอนนี้เราทนไม่ได้ก็เพราะเรามองปัญหาอย่างคนที่คิดตามใจของเราเอง  เราตามใจตัวเองมาก เราก็มองปัญหาได้อย่างใจของตัวเราเอง เรื่องราวนั้นย่อมผนวกไปด้วยความไม่สมหวังดังที่เห็นได้
ทุกวันนี้ เรามีความสมหวังในชีวิตเพียงแค่หนึ่งถึงสามส่วนเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดหวัง  เพราะอะไรจึงมีความผิดหวังมากกว่าสมหวัง เพราะว่าเรามองปัญหาอย่างที่เป็นปัญหาของเรา เรามองแต่ตัวของเรา เราไม่เคยที่จะช่วยผู้อื่นแก้ปัญหา เราเลยกลายเป็นคนที่มีปัญหา เราต้องมองปัญหาอย่างภาพรวมและภาพกว้าง เอาปัญหาทุกๆ เรื่องของทุกๆ คนมารวมกันแล้วแก้ทีเดียว แต่การรวมปัญหาเข้ามานั้นจะต้องมีวิธีการ จะต้องมีปัญญา ไม่ใช่รวมปัญหาเข้ามาอย่างคนที่ไม่ฉลาด ไม่รู้ทันปัญหา พอคิดแล้วเป็นอย่างไร มีทางออกไหม (ไม่มี)  ไม่มีทางออก
ทุกวันนี้ศิษย์ก็เป็นคนที่รู้จักจะรวมปัญหาเหมือนกัน  เวลากลุ้มใจทีคิดโน่น คิดนี่ คิดนั่น ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ปัญหาโน้น ปัญหานี้ ปัญหานั้น บวกกันไปหมด แต่ว่าปัญหาทุกเรื่องที่เราคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งยาก ทำอย่างไรให้ปัญหาง่าย อย่างแรกคือต้องเอาตัวของเราออกไปจากปัญหาก่อน เอาความเป็นตัวตน เอาความคิดแบบของเรา เอาใจแบบของเราดึงขึ้นมาจากปัญหานั้นๆ ก่อน
ถ้าสามีไปมีภรรยาน้อย เอาตัวเราออกมาก่อน ออกมาอย่างไร เอาตัวเราออกมาว่านั่นสามีเราหรือเปล่า เมื่อคิดได้อย่างนี้ กลุ้มใจไหมที่เขาไปมีใหม่ ไม่กลุ้มใช่หรือไม่ เวลาทำปัญหาจากยากให้ง่าย ต้องรู้จักเอาตัวตนออกจากปัญหา เอาอัตตาตัวตนออกมาก่อน เมื่อไม่มีคนของเรา ไม่มีของๆ เรา ไม่มีอะไรที่เป็นของเราแล้ว ปัญหานั้นแก้ง่ายไหม (ง่าย)    ใครจะขโมยเงินเราไปสักห้าหมื่น เงินนั้นเป็นเงินของเราหรือเปล่า
มนุษย์เราหวงเงินมากกว่าหวงคนอีก บางทีหวงมากกว่าตัวเองอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทะเลาะกันก็เพราะ (เงิน)  ดีกันก็ดีเพราะ (เงิน)  อย่างนี้ถ้าจะให้ง่าย เอาเงินออกไปด้วยดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  แปลว่าเต็มใจมีปัญหาใช่ไหม ในเมื่อเรามองแล้วว่าเงินเป็นเหตุของปัญหา เราต้องเอาเงินออกด้วย เอาเงินออกแล้วเอาอะไรออกอีกดี ตัวออกไปแล้ว ความรู้สึกยังอยู่ไหม โดนตบไปตั้งแต่สิบห้านาทีที่แล้ว ความรู้สึกยังอยู่หรือเปล่า (อยู่)  เอาความรู้สึกออก แล้วปัญหาก็จะไม่เหลือแล้ว เมื่อทุกอย่างไม่เหลือแล้วก็ไม่มีอะไรให้แก้แล้ว  อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าให้ศิษย์ว่างจนไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ ไม่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ ไม่รู้จักตัวเอง  แต่ให้เอาอะไรสักอย่างออก เพื่อให้เรารู้จักให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น พบเจอความจริงในตัวของเรามากยิ่งขึ้น สิ่งที่เหลือคือภาระหน้าที่  ถ้าหากว่าเราทำทุกอย่างตามหน้าที่ที่สมควรทำ ปัญหาจะลดจากมากเป็นน้อย จากน้อยเป็นไม่มี
แต่อย่าลืมว่าเวลาที่เราเอาตัวตนทุกอย่างออก เอาความรู้สึกออก เราจะไม่เหลือแม้กระทั่งความทุกข์และความสุข ซึ่งเป็นภาวะที่พุทธะนั้นเป็น แต่ว่ามนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ ขอให้ศิษย์ทำให้ใกล้เคียงและเหลือความสุขไว้บ้าง อาจารย์ก็ดีใจแล้ว แต่ที่หลายสิ่งมีปัญหาขึ้นมาก็เพราะว่าคนต้องการความสุขจึงได้มีปัญหา ถ้าหากว่าไม่ต้องการความสุขก็จะไม่มีปัญหา เราหาเงินมากมายก็เพราะว่าเราต้องการที่จะหาซื้อโซฟาตัวนิ่มๆ แทนเก้าอี้ตัวแข็งๆ  เราอยากได้บ้านหลังใหญ่ๆ แทนบ้านหลังเล็กๆ  เพราะเราอยากให้ลูก อยากให้คนในบ้านเราสบาย เราจึงทำงานมากแล้วเราก็เหนื่อยมาก เมื่อเหนื่อยมากอารมณ์ก็เสียมาก เมื่ออารมณ์เสียมากความไม่เข้าใจ การผิดใจก็มีมาก เห็นไหมว่าปัญหาเกือบทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาก็เพราะว่าคนนั้นต้องการเพียงแค่คำว่า “ความสุข”
ฉะนั้นความสุขที่ศิษย์ค้นหามาได้จากการแสวงหาภายนอกจึงเป็นความสุขที่ซ่อนยาพิษเอาไว้  อาจารย์อยากสอนให้ศิษย์รู้จักความสุขอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากวัตถุ เงินทอง สิ่งของ ไม่ได้เป็นความสุขที่ผู้อื่นให้ แต่เป็นความสุขที่ชื่อว่า “ความสุขใจ”  ถ้าศิษย์ไม่ยอมที่จะเสียสละชีวิต ไม่ยอมที่จะเสียสละอะไรเลย แม้กระทั่งความรู้สึก อัตตา ตัวตน ความมั่นใจ หรือไม่ยอมเสียสละกิเลสตัณหาใดๆ ไปเลย ศิษย์จะรู้จักความสุขใจได้อย่างไร จึงจำเป็นที่เราผู้ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญธรรมจะต้องตัดแบ่งอะไรออกไปบ้าง ต้องสูญเสียอะไรออกไปบ้าง  
วันนี้ในมือเรามีอะไรที่ตัดออกแล้วเลือดไม่ไหล  (ผม, หนัง, กิเลส, หนังกำพร้า, ขนตา, ปัญหา, ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  มีหลายอย่างที่ตัดแล้วเลือดไม่ไหล ภายนอกที่เห็นคือผม เล็บ ขน หนัง ส่วนภายในที่ตัดแล้วเลือดไม่ไหลมีอีกมากมายได้แก่ ตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลง ตัดใจ ตัดความคิด ตัดกิเลส มีเยอะแยะที่ตัดแล้วเลือดไม่ไหล  เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์ไปเริ่มตัดตั้งแต่อันที่ตัดแล้วเลือดไม่ไหล ตัดจนกระทั่งเลือดไหลเสียก่อน แล้วค่อยหยุด ขอให้ตัดไปเถิด ตัดอารมณ์ ตัดนิวรณ์ ตัดความรู้สึก ตัดกิเลสตัณหาทั้งหลาย  ศิษย์ตัดเท่าไรศิษย์ก็ไม่เสียเลือดแม้กระทั่งเพียงหยดเดียว  ฉะนั้นการตัดนี้จึงเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนสามารถทำได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนยืนเมื่อยกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสยืนก็ต้องยืนให้ดี มีโอกาสนั่งก็ต้องนั่งให้เต็มที่ เวลาทำงานก็ทำงานให้เต็มที่ เวลาพักก็ต้องพักให้จริงๆ ตอนนอนก็ต้องนอนให้เต็มที่ พอตื่นขึ้นมาก็ต้องตื่นให้เต็มที่ ตอนกินก็ต้องกินให้ดี และเวลาที่เราไม่ต้องกินเราก็ไม่ต้องไปกินจุกกินจิก
ที่นี่ผู้หญิงใหญ่ แต่เวลาพูดต้องพูดว่าใครใหญ่ (ผู้ชาย)  ที่ให้คนพื้นที่ออกมาวง เพราะว่าอาจารย์ให้บันไดไว้สามขั้น และที่วงมาถึงตรงนี้เป็นบันไดขั้นที่สามแล้ว ซึ่งหมายความว่าบันไดขั้นที่สามต้องเป็นคนที่ทุ่มเทจึงจะสามารถทำได้  หมายความว่าต้องเป็นคนที่เข้าใจธรรมะ ก้าวผ่านก้าวที่หนึ่งและก้าวที่สองมาแล้ว จึงจะเป็นก้าวที่สามได้
อาจารย์จะชี้ให้เห็นว่าตรงนี้เป็นท่อนที่อาจารย์ต้องการให้เขาวงคำว่า “ธรรม” กับ “ที่” “พื้นฐานการบำเพ็ญธรรมข้อที่สาม”  แม้กระทั่งคนที่ยืนทำหน้าที่อยู่ตรงนี้ ก็ยังมีความผิดพลาดในการวง คือเข้าใจคำว่า “ที่” ตัวนี้ เป็น “ที่” อีกตัวหนึ่ง และเข้าใจคำว่า “ธรรม” ผิด  เพราะฉะนั้นอาจารย์กำลังจะบอกว่าในการทำงานของการอยู่ร่วมกัน มันมีความผิดพลาดอยู่ที่เรามั่นใจว่าเราถูก
ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะคิดเอาเองว่าสิ่งที่เราทำถูกเสมอ เพราะเมื่อเราคิดว่าเราทำถูกเสมอ เราก็จะไม่เห็นข้อผิดพลาด เพราะว่าความผิดของเรานั้นผิดไปอย่างแนบเนียน ฉะนั้นต้องระวัง อาจารย์เพียงยกตัวอย่างขึ้นมาให้เห็น
ในสมัยนี้ผู้หญิงมักมีความเป็นผู้ชายอยู่มาก แม้ว่ารูปร่างภายนอกมองให้เห็นว่าเป็นผู้หญิง แต่มีความแข็งแกร่ง ส่วนผู้ชายก็มีความอ่อนแออยู่ในตนมาก ฉะนั้นแค่เกิดมาเป็นคนก็มีความสับสนอลหม่านแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่เวลาทำอะไรจะไม่ให้มีปัญหา ผู้หญิงมักทนเหนื่อยได้ดีกว่า ส่วนผู้ชายก็มักจะมีความเลินเล่อมากกว่า แต่ก็มีความแข็งแกร่งมากกว่า ฉะนั้นอาจารย์อยากจะให้ทุกๆ คนที่บำเพ็ญธรรมอยู่ที่นี่อะลุ่มอล่วย เห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจแล้วก็ทำงานร่วมกันด้วยเป้าหมายไม่ใช่ด้วยอารมณ์
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง : ต้องดีต่อกัน  ทำนองเพลง : ต้องมีสักวัน)
สรุปว่าเพลงมีสี่ท่อน แต่ถ้าร้องได้เพียงสามท่อน จะถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ (ไม่)  ชีวิตคนเวลาทำอะไรขึ้นมาไม่ได้ประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นการเรียกร้องที่สูงมากเกินไปนอกจากตัวเองจะเหนื่อยแล้ว คนอื่นก็เหนื่อยไปด้วย แม้ว่าอาจารย์จะสอนไปมากมายก็หมายความว่าให้ศิษย์ไปทำ หากศิษย์ทำเพียงส่วนเดียวก็ให้ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว อย่าได้คิดว่าตนเองนั้นบำเพ็ญได้ไม่ดี บำเพ็ญแล้วยังไม่ดี ตำหนิตนเองอยู่เรื่อย การตำหนิตนเองทำให้ตนเองไม่ก้าวหน้าไม่พัฒนา อันว่าผู้อื่นติเราแม้ว่าจะรุนแรงเชือดเฉือน แต่การตำหนิตนเองเป็นการปลิดชีวิตเลยนะ
ฉะนั้นจงอย่าได้ตำหนิตนเอง และอย่าปิดกั้นตนเองในการฟังคำตำหนิจากผู้อื่น เมื่อใครติจงฟัง สิ่งที่คนอื่นพูดมาแล้วไม่เหมือนกันเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าการที่ผู้อื่นพูดในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน คือพูดในมุมมองที่ต่างกัน เราก็ย่อมมีสายตาที่กว้างไกลมากขึ้น  อย่าเป็นคนจำเจอยู่กับความคิดเดิมๆ อยู่กับการเป็นคนเดิมๆ อยู่กับอะไรที่เราเปลี่ยนไม่ได้ อยู่กับอะไรที่คนอื่นเข้าใจเราไม่ได้ ขอให้ย้อนมองตัวเองเยอะๆ  การย้อนมองทบทวนตัวเองเป็นพรอย่างหนึ่งซึ่งประเสริฐนัก หากผู้บำเพ็ญมีการย้อนมองส่องตนบ่อยๆ คนๆ นี้จะได้รับพรอันวิเศษจากเบื้องบน  การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณสมบัติขั้นแรกที่ผู้บำเพ็ญธรรมควรมี เมื่ออ่อนน้อมถ่อมตนจะได้รับโอกาสมากมายเป็นของตน
ฉะนั้นสองเรื่องที่พูดทิ้งท้ายตรงนี้ เรื่องแรกคือ “การย้อนมองส่องตน”  เรื่องที่สองคือ “การอ่อนน้อมถ่อมตน”  นอกจากเราต้องกลับไปลบบางอย่างอันเป็นนิสัยความเคยชิน สิ่งที่เป็นกิเลส ความอยากได้ใคร่รู้ของเราที่มีมาตลอดแล้ว เรายังต้องบวกเพิ่มเข้าไปด้วย ไม่ใช่เอาออกอย่างเดียว เอาออกคือเอากิเลสออก แต่เอาเข้ามาเพิ่มคือคุณธรรม การย้อนมองส่องตน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำได้หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรม นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาท ที่เคยเมตตาประทานไว้ที่ เชียงใหม่ บุรีรัมย์ พิจิตร หาดใหญ่ กรุงเทพฯ และประจวบคีรีขันธ์ ออกมาเขียนเรียงกัน)
“เป็นคนดีมีศรัทธา”    สถานธรรมเจาหยู จ.เชียงใหม่
“เข้าใจหลักธรรมจริง”    สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์
“รู้จักหน้าที่ + วินัย”    สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
“ใส่ใจปฏิบัติ ฝึกใจไม่เป็นรอง”    สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.หาดใหญ่
“สร้างกุศลสร้างคุณธรรม”    สถานธรรมอิ๋งเซียน กรุงเทพฯ
“เจริญปณิธาน”      สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
สำหรับบรรทัดแรกกับบรรทัดที่สองเป็นบันไดขั้นที่หนึ่ง เมื่อเรารับธรรมะแล้ว ก้าวย่างมาในหนทางธรรม บันไดขั้นที่หนึ่งซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ลืมไม่ได้คือต้องเป็นคนดีมีความศรัทธา เมื่อมีความศรัทธาแล้วจะอยู่ด้วยความศรัทธาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเข้าใจหลักธรรมจริงด้วย การเข้าใจหลักธรรมจริงก็คือการที่ศึกษานั่นเอง  เพราะฉะนั้นการเป็นคนดีมีศรัทธาแล้วยังต้องศึกษาเพื่อที่จะให้เข้าใจหลักธรรมจริง บันไดขั้นที่หนึ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องทำ เมื่อเราอยู่ในบันไดขั้นที่หนึ่ง เมื่อพื้นฐานมั่นคงแล้ว
บันไดขั้นที่สองคือ ต้องรู้จักหน้าที่ หน้าที่ทั้งที่บ้าน หน้าที่ทั้งในสถานธรรม มีวินัยให้กับตัวเอง อย่าบอกว่าวินัยเป็นเรื่องของเด็กๆ หรือวินัยเป็นข้อจำกัด ทำให้เรานั้นถูกบังคับอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม อย่าไปคิดอย่างนั้น คนมีวินัยคือคนที่สามารถก้าวหน้าไปไม่มีวันสิ้นสุด คนไม่มีวินัยให้เดินไปสองสามก้าวก็ล้มเพราะว่า หนึ่ง ขี้เกียจ สอง ท้อแท้อ่อนแอ เพราะฉะนั้นรู้จักหน้าที่มีวินัย ในข้อเดียวกันก็ยังเป็น การใส่ใจปฏิบัติ เมื่อมีหน้าที่มีวินัยต้องปฏิบัติแล้วต้องฝึกใจให้ยังไม่เป็นรองอีกด้วย เท่ากับว่าทั้งการปฏิบัติก็เป็นหนึ่ง การฝึกใจก็เป็นหนึ่งเช่นเดียวกัน ฝึกใจไม่เป็นรองตรงนี้เป็นบันไดขั้นที่สอง
บรรทัดที่ห้าและบรรทัดที่หกที่อาจารย์บอกว่าเป็นบันไดขั้นที่สามก็คือการสร้างกุศล สร้างคุณธรรม เจริญปณิธาน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนนั้นกำลังทำกันอยู่แล้วในการบำเพ็ญธรรม คนที่บำเพ็ญมาหลายปีก็ยิ่งต้องทำมาก แต่ก่อนที่เราจะสร้างกุศล เราก็สร้างคุณธรรม เราจำเป็นที่จะต้องมาทบทวนดูว่า ศรัทธาความดีของเราเป็นอย่างไร หลักธรรมความเข้าใจของเราลึกซึ้งพอหรือยัง เรามีหน้าที่ในการทำงานธรรมะหรือเปล่า มีวินัยในตัวเองหรือเปล่า ใส่ใจในการปฏิบัติจริงหรือเปล่า คนเห็นก็ทำอย่าง คนไม่เห็นก็ทำอีกอย่าง อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าการปฏิบัติ ใจของเราฝึกเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นใจที่ฝึกบ้างไม่ฝึกบ้างหรือเปล่า หรือว่าฝึกไปตามอารมณ์ ถ้าฝึกไปตามอารมณ์ ถึงจะฝึกได้ก็เรียกว่า “ใช้อารมณ์” เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปสู่บันไดขั้นที่สามที่ศิษย์นั้นพึงปฏิบัตินี้จึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักสามขั้นนี้
การพิจารณาในการทำทั้งสามขั้นนี้ อาจารย์ให้ศิษย์นั้นอิงหลักทั้งสามข้อ คือ
๑. ปัญญา
๒. ความรู้
๓. ความจริง
ในการทำทุกๆ ข้อนั้นจำเป็นที่จะต้องมีปัญญา มีความรู้อันเกิดจากการศึกษาและเล่าเรียน มีความจริงคือความจริงของชีวิตของเราซึ่งแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน การบำเพ็ญธรรมหากไม่มีปัญญา ศิษย์จะไม่สามารถทำสิ่งใดประสบความสำเร็จได้เพียงลำพังแค่ใช้สองข้อ หากว่าไม่มีความรู้ศิษย์ของอาจารย์จะทำอะไรติดขัดไปหมด หากศิษย์ของอาจารย์ไม่อยู่บนโลกของความเป็นจริง คือ มีสิ่งใดก็ใช้วิธีการหลอกตัวเอง ไม่ตั้งอยู่บนความเป็นจริงที่ตัวเองเป็นอยู่ อยู่ในโลกความฝันของตัวเอง เพ้อเจ้อไปวันๆ แม้จะบำเพ็ญธรรมอยู่ก็สูญเปล่าไป
ฉะนั้นในการพิจารณาทำทุกๆ สิ่งตามข้อนี้ จึงจำเป็นต้องใช้ทั้งสามอย่าง ความรู้ทำให้เกิดปัญญา ปัญญาทำให้เรานั้นเป็นคนจริงมีความจริงในชีวิต ฉะนั้นทุกอย่างตรงนี้สำคัญต่อผู้บำเพ็ญธรรมทั้งสิ้น อาจารย์ให้ไว้จบท้ายสำหรับคนที่มาประชุมธรรมในที่นี้ เพื่อที่จะชี้เป็นแนวทางให้ศิษย์บ้าง เพื่อให้ศิษย์กลับไปทบทวนและสำรวจตนเองบ้าง
วันนี้อาจารย์มาใช้เวลานานแล้ว ถึงแม้ว่าอาจารย์มีคำพูดอีกมากมาย ก็ยังจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้เพื่อที่จะให้ศิษย์นั้นได้พักผ่อนเร็วขึ้น
วันนี้อาจารย์พูดกับศิษย์ไปมากมาย คำพูดของอาจารย์ก็มีทั้งน้ำและเนื้อ มีทั้งพูดให้ศิษย์หัวเราะ พูดให้ศิษย์คิด อาจารย์หวังว่า “น้ำ” ที่อาจารย์พูดจะเป็นดั่งน้ำที่ไหลเข้าไปสู่จิตใจของศิษย์ “เนื้อ” ที่อาจารย์พูดก็ทำให้ศิษย์คิดได้เป็นกอบเป็นกำ แต่หลังจากจบสองวันนี้ไปแล้ว คงไม่มีใครที่จะมาพูดให้ศิษย์ฟังแบบนี้ อาจารย์จึงหวังว่าศิษย์ทุกคนจะเห็นคำพูดของทุกคนที่ศิษย์ได้ยินได้ฟัง ดุจดังคำพูดของอาจารย์ เพราะนั่นก็คือความห่วงใยของอาจารย์ เป็นความห่วงใยจากฟ้า ส่วนคนที่เขาพูดให้ศิษย์ฟังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นความห่วงใยจากมนุษย์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีค่าทั้งสิ้น อย่าใช้คำพูดที่ทำให้คนอื่นเสียใจ อย่าตั้งใจที่จะทะเลาะเบาะแว้งกัน รักกันให้มากๆ เจอกันชาตินี้คือมีบุญสัมพันธ์ร่วมกัน จะเป็นโอกาสที่จะมาใช้กรรมกัน หรือจะเป็นโอกาสที่จะมาสร้างบุญกัน ก็ย่อมขึ้นอยู่กับเพียงชั่วขณะที่เราคิด เราคิดดีเราก็เป็นเทพ เป็นเซียน เป็นเทวดา  คิดไม่ดี เราก็กลายเป็นผีในร่างของคน
(พระอาจารย์เมตตาประทานลูกอมให้นักเรียนและผู้ร่วมฟังในชั้น)
วันนี้อาจารย์แจกลูกอมด้วยใจที่ต่างไปจากทุกครั้ง เพราะอาจารย์แจกไป อาจารย์ก็อยากร้องไห้ ศิษย์รู้ไหม ศิษย์เองเป็นคนที่ถูกเคราะห์กรรมซัดไว้ ขนาบไว้ จนไม่สามารถดิ้นออกมาจากขอบข่ายนี้ได้ อาจารย์ก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งนี้ ตอนนี้อาจารย์ต้องไปแล้ว ใจก็ยังพะวงว่ายังไม่ได้ดูแลศิษย์ให้ทั่วถึง อาจารย์ถึงให้ลูกอมศิษย์ เอาไว้ให้ศิษย์ทาน ให้ปลอบใจศิษย์ แต่ก็มีศิษย์บางคนที่หัวเราะ ตอนนี้อาจารย์จะไปแล้ว เฝ้ารักษาตัวดีๆ คิดให้ได้ ปลงให้ได้ ชีวิตนี้ไม่ยืนยาว สั้นจนน่าใจหาย แต่เพราะว่าศิษย์อยู่ในความทุกข์ ถึงได้รู้สึกว่าวันคืนเดือนปีมันยาว ใครจะว่า ใครจะนินทา ใครจะว่าร้ายอะไรก็แล้วแต่ ศิษย์จะทุกข์มากแค่ไหนก็แล้วแต่ อาจารย์ขอศิษย์เพียงอย่างเดียว อย่าซ้ำเติมตัวเอง เราต้องมอบอิสระให้กับชีวิต ให้กับความคิด จึงจะไม่จมไปในเหวที่ไม่มีก้นบึ้งแบบนี้ การบำเพ็ญธรรมสามารถช่วยศิษย์ได้
ชีวิตนี้ทรมานไหม ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ดูเหมือนไม่หนักแต่ก็หนัก ศิษย์เอ๋ย ดูศิษย์ก็เป็นคนที่มีบุญบารมี เพราะฉะนั้นจงอย่าได้จมลงไปในความทุกข์นั้น ทำตัวเองให้ขึ้นมา ทำใจของเราให้ลอยขึ้น โลกนี้ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ แต่จะออกจากทุกข์อย่างไร ดับอย่างไร ศิษย์ต้องศึกษา  
เป็นผู้หญิงเก่งมากนะ แต่ต้องรู้ว่าควรเก่งตรงไหน ไม่เก่งตรงไหนถึงจะดีที่สุด ขอให้ศิษย์ที่เก่งและฉลาดของอาจารย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้อย่างคนที่มีสติเสมอ เข้าใจชีวิตตัวเอง อภัยให้กับสิ่งที่คนอื่นทำผิดต่อเรา รักษาตัวเองให้มากๆ ดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่าดูถูกตัวเอง ทุกคนสำคัญมากในสายตาของอาจารย์ ทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะหลุดพ้น อย่าได้เพิกเฉยต่อสิ่งที่รอตัวเองอยู่ข้างหน้านะ


ระโอวาทซ้อนพระโอวาท
“ปัญญา ความรู้ ความจริง”
    มีสิ่งสามในการพิจารณา    ปัญหามีคำตอบที่นอนนิ่ง
ใช้ปัญญาความรู้และความจริง    แล้วทุกสิ่งจะชัดเจนในคำนึง
เป็นคนดีมีศรัทธาเข้าใจธรรม    พื้นฐานการบำเพ็ญธรรมขั้นที่หนึ่ง
ไร้ศรัทธาขาดหางเสือเรือไม่ถึง    ศึกษาพึงรู้ตลอดมั่นคงครอง
รู้จักหน้าที่มีวินัยใส่ใจปฏิบัติ    พื้นฐานการบำเพ็ญธรรมข้อที่สอง
ละส่วนลึกฝึกใจไม่เป็นรอง    คอยประคองอารมณ์ยึดมั่นอาราม
สร้างกุศลสร้างคุณธรรมเจริญปณิธาน พื้นฐานการบำเพ็ญธรรมข้อที่สาม
ความแข็งแกร่งที่อยู่เหนือรูปนาม    บันไดสามก้าวคืนมาตุภูมิ

 อาราม : (วิเศษณ์)  มุ่งหมายอย่างรีบร้อน, พะวงที่จะทำงาน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา