วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2549

2549-12-23 สถานธรรมเหยินเต๋อ จังหวัดลำปาง


西元二○○六年歲次丙戌九月十四日          大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙       สถานธรรมเหยินเต๋อ  จังหวัดลำปาง
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  คนใจร้อนใจแคบคนจะชัง                 คนไม่ฟังคนอื่นใครไม่คบ
คนอวดตนรอบตัวจะมีแต่คนประจบ     คนสยบคนได้ด้วยความดี
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์เคียมคัล
องค์มารดา                      ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                      ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง
                                                                                    ฮวา ฮวา

  ฤดูกาลหมุนเปลี่ยนเวียนหมุนผ่าน       คนวันวานดูจะแก่เฒ่าไปก่อน
คนวันนี้ความมุ่งมั่นอย่าหยุดหย่อน        คนรู้ก่อนต้องทำมากเป็นธรรมดา
ชีวิตนี้อยู่ดีหรือไฉน                            ความทุกข์ใจดั่งไม่มีเรื่องใดผ่าน
แม้เวลาเคลื่อนตัวเป็นวันวาน               แต่ยังคงในใจนั้นกลัดกลุ้มเกิน
อันจิตใจนั้นอาจชนะกำลัง                   คนจริงจังสำเร็จง่ายล้มก็ง่าย
ธรรมะคือธรรมดาความเป็นไป            จงใช้ใจมโนธรรมย้ำความจริง
อันโลกนี้ความเท็จมากกว่าความจริง    อีกหลายสิ่งเป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้
จงพอใจสิ่งที่มีกว่าสิ่งใด                     ความสุขไกลกลับมาใกล้เบื้องหน้าตน
ธรรมะทำให้คนเป็นผู้ดี                       อีกไม่ใช่ทฤษฎีอันซับซ้อน
คนปฏิบัติรู้มากชัดหัดมองย้อน             ความหนาวร้อนภายนอกไม่กระทบใจ
ในวันนี้น้องมาร่วมประชุมธรรม            คนต่างทิศมาร่วมนำธรรมเคลื่อนไหว
แต่สงบนิ่งสงัดอยู่ภายใน                     ฟังด้วยใจสำเร็จได้ด้วยลงมือ
สามวันนี้จงตั้งใจให้ดียิ่ง                      เป็นคนจริงฟังธรรมะด้วยธรรมะ
เหล่ากิเลสจะต้องหมั่นลดละ                จงสละเวลาบำเพ็ญธรรม
วันนี้เป็นวันแรกอาจยังไม่ชิน                อย่าดูหมิ่นภายในล้วนเป็นพุทธะ
เพียงขัดเกลาชีวิตจิตด้วยมานะ            จงสละความกังขาอย่าใส่ใจ
ขอบำเพ็ญชาตินี้อย่างรู้ค่า                  วันเวลาไม่ได้มีตลอดไป
สายทองส่งสู่โลกช่วยเวไนย                 คนเข้าใจบำเพ็ญจะสบายตัว
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน                       หวังน้องเปลี่ยนตนเองไปทางดีขึ้น
โลกมายาคนลงใจต้องเมามึน               การเดินขึ้นลำบากบ้างต้องอดทน
                                                    จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
                                                                               ฮวา ฮวา หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙       สถานธรรมเหยินเต๋อ  จังหวัดลำปาง
  พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลีต้าเซียน

  โชคลาภหรือพรใดใดในโลกนี้             มิสู้ความขยันดีเพียรทำหนา
อุปสรรคและลำบากกลัวคนจริงนา       ด้วยมุ่งมั่นมิท้อพาสำเร็จไม่ไกล
                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลีต้าเซียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่ แดนโลก  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  กระทำดีไม่ชมยังติซ้ำ                      ด้วยใจทำอย่าแค้นโชคชะตา
ขวัญหายรอบกายมีปลอบอุรา            รอปิยวาจาคนเดียวขวัญอย่ารอ
ยังไม่เข้าใจหัวเพียงก้มสุภาพ               ทรวงกำซาบย่อมผ่านมองสัจธรรมหนอ
ดวงฤดีเมื่อเจอปัญหาอย่าท้อ              พายุก่อในนอกต้องอย่าประมาท
อารมณ์คิดใจจิตพาขัดถี่                     สติคิดอะไรดีไม่หลุดพลาด
เป็นคนแพ้แต่ใจแสนฉลาด                   ทุกสิ่งประคองหนีอาจต้องปราชัย
ยามนี้บำเพ็ญกำชับอำนาจทำพัง         หลุมอัตตาแหล่งล้อมฝังยากแก้ไข
คตินั้นดุจกำแพงล้อมวงใน                   การถือข้างทำไปปราศจากธรรม
บำเพ็ญตนขังตัวเครียดในกรอบ           คุณธรรมในตรวจสอบไม่เลิศล้ำ
กุศลทำต้องตนพอใจทำ                     บำเพ็ญธรรมจึงติดยึดผิดใจ

วางใจเสียไม่สืบมิจฉาอยู่               กำหนดกรอบไม่ดูผิดได้ง่าย
จำกัดในโน้มแนวถูกหรือไม่             มาบัดนี้ทิศใดไปนิพพาน
                                                           ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน
ท่านฮั่นจงหลีต้าเซียน
มาศึกษาธรรมะใช่มานั่งหลับกันหรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าเช่นนั้นมาศึกษาธรรมเพื่อประการใด (เพื่อนำไปใช้นำชีวิตประจำวัน, เพื่อตัวเราเอง)  ท่านอื่นล่ะว่าเช่นไร (เพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)  บ้างก็ว่าหลุดพ้น บ้างก็เพื่อช่วยเหลือตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วที่ไม่ตอบล่ะ มีความคิดเห็นประการใด (เพื่อความสบายใจ)  ถ้ามาฟังแล้วไม่สบายใจจะฟังอีกไหม (ฟัง)  ฟังแล้วเขาพูดขัดหู ฟังแล้วเขาปฏิบัติต่อเราไม่ดี ยังจะฟังไหม ว่าอย่างไร ฟังไม่ฟัง (ฟัง)  เคยได้ยินไหมว่า อุปสรรคไม่มีบารมีไม่เกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มารหรือกิเลสเป็นตัวทดสอบจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเสียงที่ขัดหูการกระทำที่ขัดอกขัดใจนั้น ก็น่าจะทำให้เรายิ่งหลุดพ้นจากกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอะไรๆ ก็ถูกใจไปเสียหมด เช่นนี้เราจะขัดอะไรในตัวเรา เช่นนี้เราจะหลุดพ้นอะไรในโลกนี้ ถ้าเรายังพึงพอใจไปเสียทุกอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าการบำเพ็ญธรรมก็คือการมีชีวิตที่เรียบง่าย กินก็ง่าย อยู่ก็ง่าย พอใจอะไรก็ง่าย อย่างนี้จะไม่หลุดพ้นหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่มนุษย์เดี๋ยวนี้ หรือปัจจุบันนี้ กินยาก อยู่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรนิดอะไรหน่อยไม่ถูกใจก็ระเบิดอารมณ์ออกมา แสดงตัวแสดงตนออกมาถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงต้องเป็นคนดีที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดที่มากระทบอารมณ์ คนที่เป็นคนเรียบร้อยที่แท้จริงนั้นต้องเป็นคนที่ถูกใครว่าถูกใครติฉินก็ยังรักษาความเรียบร้อยได้  คนที่ใจเย็นอย่างแท้จริงก็ต้องเป็นคนที่ถูกใครด่าทอ ก็ยังอดทนและใจเย็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เป็นคนใจเย็นเฉพาะเวลาที่ไม่มีเรื่องอะไร ฉันก็ใจเย็นได้ แต่พอมีเรื่องก็ใจร้อน อย่างนี้หาใช่คนใจเย็นที่แท้จริงไม่ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นการเป็นคนที่แท้จริงหรือการจะรู้จักตัวเองที่แท้จริงดูได้ตอนไหน ก็ดูได้ตอนที่มีอุปสรรค มีกิเลส หรือมีใครมากระทบกระเทือนใจ ถ้ากระทบกระเทือนใจ เรายังนิ่งสงบ ไม่หวั่นไหว คนเช่นนั้นถึงจะเรียกว่าเป็นคนใจเย็น เป็นคนที่ไม่กลัวความยากลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้านิดๆ หน่อยๆ ก็ยอมแพ้ไม่เอา เลิกลา คนเช่นนี้หาใช่เป็นคนใจเย็นไม่ และเป็นคนที่ยังไม่สามารถจะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญได้
วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อมาขัดเกลาจิตใจที่ไม่ดีให้ออกไปให้หมด ไม่ใช่มาเพื่อตามใจตัวเองเหมือนเดิม  ฉะนั้นเริ่มต้นต้องเริ่มต้นให้ถูก ถ้าเริ่มต้นถูกทำอะไรก็ไปได้ง่าย แต่ถ้าเริ่มต้นแล้วเริ่มต้นผิดทำอะไรก็ยากจะสำเร็จผล ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนการรบ เราอยากจะเอาชนะผู้อื่นให้ได้ แต่ถ้าเรายังไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ จะไปรบกับใครก็แพ้ตั้งแต่ต้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นวันนี้เรากำลังต่อสู้และเอาชนะอะไร (ใจตัวเอง)  ใจตัวเองที่เรามองไม่เคยจะเห็นและเอาชนะไม่เคยจะได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมะเพื่อเรียนรู้วิชาเอาชนะจิตใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้มีเรื่องหลายๆ เรื่องที่มนุษย์มักจะวิงวอนขอพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็น โชค ลาภ วาสนา ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าคนเรามีโชควาสนาดีมาตั้งแต่เกิดแต่ขาดซึ่งความขยันหมั่นเพียรแล้ว โชคนั้นก็เปล่าประโยชน์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นโชค วาสนา ไม่สู้ความขยันหมั่นเพียรใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นมีทอง มีลาภยศกองอยู่ตรงหน้า แต่ถ้าคนผู้นั้นไม่ขยันทำมาหากิน ทองหรือลาภยศนั้นสักวันก็ต้องเสื่อมสูญไป ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ความขยันหมั่นเพียรที่เป็นทรัพย์สมบัติในหัวใจนี่สิ ใครก็เอาไปจากเราไม่ได้ และทำให้คนที่ไม่มีวาสนาอาจจะมีวาสนาได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเราเกิดเป็นคน สิ่งที่สำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ นั่นก็คือความขยันหมั่นเพียรและมีจิตใจที่ซื่อตรงสุจริต ถ้าขยันแล้วมีหรือฟ้าจะบันดาลให้ยากจน ถ้าไม่เลือกกิน มีอะไรก็กินได้ง่ายๆ และรู้จักใช้แรงออกกำลังกาย มีหรือฟ้าจะทำให้เจ็บปวดอยู่บ่อยๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอยากขอความร่ำรวย อยากขอความแข็งแรง อย่าเอาแต่ขอฟ้าควรเริ่มต้นขอที่ตัวเองก่อน ทำหรือยัง ถ้ายังไม่ทำ ขอฟ้าไปก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าขอฟ้าให้แข็งแรง ให้ร่ำรวย แต่วันๆ เอาแต่นั่งเฉยๆ แล้วก็เลือกกินแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ ฟ้าจะให้ความแข็งแรงได้ไหม (ไม่ได้)  ฟ้าจะให้ความร่ำรวยได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แม้ให้ไป ๒ ตัว ถึงเวลาท่านก็อาจจะไม่ได้ซื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือได้ไป ๒ ตัวแล้ว ถึงเวลาไปถึงร้าน เลขไม่มีให้ซื้อก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าคิดว่าดวงอยู่ตรงหน้าแล้ว โชคมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จะเป็นของเราเสมอไป มันไม่แน่หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช้ความขยันที่เป็นทรัพย์สมบัติในตัวเราดีกว่า ใช้ความเป็นผู้พากเพียรไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบากในตัวเราดีกว่า ใกล้กว่าด้วย หยิบง่ายกว่าด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทำไมมนุษย์ในโลกจึงกลัวคนพูดเสียงดัง กลัวใช่ไหม ใครพูดเสียงดังๆ หน่อยเราก็หงอแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเคยได้ยินไหม คนแข็งข้างนอกแต่อ่อนข้างใน แล้วเคยเห็นไหม คนที่ข้างนอกอ่อนแต่แข็งข้างใน (เคย)  ฉะนั้นอย่ากลัวคนเสียงดัง คนเสียงดังใจอ่อนไหวง่าย แต่คนเสียงอ่อนๆ ใจดื้อดึงจริงๆ จริงไหม (จริง)  ถามคนที่เสียงอ่อนดูสิ เอาไหม ไม่เอา เอาไหม ไม่เอา ให้อย่างไรก็ไม่เอา ถ้าเขาบอกว่าไม่เอาแล้วเขาก็ไม่เอาจริงๆ แต่คนที่พูดเสียงดังๆ ถ้าเราให้เขา แล้วถามเขาว่าเอาไหม ไม่เอา ตื๊อสักหน่อย เดี๋ยวก็เอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่พูดเสียงเบาๆ เอาไหม ไม่เอา เอาไหม ไม่เอา ตื๊ออย่างไรเขาก็ไม่เอา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นมองคนต้องมองให้ออกจะได้ไม่ต้องถูกตบตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงบอกว่าอยู่กับคนในโลก ระแวงเกินไปก็จะไม่ได้เห็นข้อดีของเขา แต่ถ้าเชื่อถือจนเกินไปก็จะต้องเสียใจบ่อยครั้ง ฉะนั้นเราควรระแวงหรือควรเชื่อถือดี ว่าอย่างไร ระแวงก็จะไม่ได้เห็นข้อดีของเขา แต่ถ้าเชื่อถือเกินไปก็อาจจะเสียใจบ่อยๆ ครั้ง อยู่กันในโลกควรจะทำอย่างไรดี ถ้าเข้าใจตรงนี้ อยู่ในโลกพบใครก็อย่าเป็นคนใจง่าย นิดหน่อยก็ถูกใจรักเขาไปหมด หรือนิดหน่อยก็เอาแต่เกลียดเขาไปหมด พบใครก็กึ่งรับกึ่งสู้ ไม่รักไม่เกลียดดีไหม (ดี)  จะได้ไม่เสียข้อดีที่จะได้จากเขา และจะได้ไม่ต้องผิดหวังจนหมดใจเพราะรักเขามากเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกอย่าใช้อารมณ์เป็นหลัก ถ้าใช้ความรักความชอบเป็นหลักในการกระทำหรือการอยู่ร่วมกับใครก็เป็นธรรมดาที่จะต้องผิดหวังและก็ไม่ได้เห็นข้อดีของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
หายหนาวกันหรือยัง (หายแล้ว)  หายหนาวแล้วแต่เสื้อกันหนาวยังไม่ยอมถอดนะ
เสื้อผ้าก็เป็นเครื่องป้องกันหนาวร้อนแค่นั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือปกปิดร่างกายไม่ให้ขายขี้หน้าเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามัวประวิงเวลากับเสื้อผ้ามากเกินไป สู้เอาเวลานั้นไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ มีคุณค่าไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีมนุษย์เราในโลกนี้เสียเวลากับหน้ากระจกมากกว่าเสียเวลากับใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถามท่านหน่อยนะ อยู่ในโลกนี้เป็นที่รักของทุกๆ คนนั้นดีไหม (ดี)  ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก ไปที่ไหนก็มีแต่คนชอบ ดีหรือเปล่า (ดี)  แล้วทำอย่างไรให้เขารักล่ะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถามนักเรียนในชั้นที่กำลังยืนว่า อยากนั่งกันหรือยัง)  ยังหรือว่าอยาก  ตามใจเสียงส่วนใหญ่นะ อยากนั่งหรือว่าอยากยืน (อยากนั่ง)  เรายังฟังไม่ออกอยู่ดีนะเพราะเสียงนั่งกับยืนข่มกัน  นั่งหรือว่ายืน (นั่ง)  หูเราฝาดหรือเปล่านะ เรายังได้ยินว่าอยากยืนอยู่ นั่งหรือยืน (นั่ง)  เอ๊ะ แว่วๆ ว่ามียืนใช่ไหม เราไม่ได้แกล้งท่านหรอกนะ แต่เราได้ยินมีคนพูดว่ายังอยากยืนอยู่จริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราอยู่ในสังคม แม้มีเสียงเดียวที่ว่าเรา แต่อีกสิบเสียงชมเรา เสียงนั้นเราควรฟังหรือไม่ควรฟัง (ไม่ควรฟัง)  ควรฟังหรือไม่ควรฟัง (ควรฟัง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  และถ้าในสิบเสียงนั้นไม่มีเสียงชมเลย แต่เป็นเสียงว่าควรฟังหรือไม่ควรฟัง (ควรฟัง)  มีชมแค่คนเดียวแต่สิบคนว่าหมดเลย อย่างนี้ยิ่งควรฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราพูดว่า ถ้ามีเสียงเดียวที่ว่าเรา แต่อีกสิบเสียงชมเรา เราควรฟังหรือไม่ควรฟัง (ควรฟัง) ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหากว่าในสิบเสียงนั้นไม่มีเสียงชมเลย แต่เป็นเสียงว่า เราควรฟังหรือไม่ควรฟัง (ควรฟัง)  มีคนชมคนเดียวแต่สิบคนว่าหมดเลย  อย่างนี้ยิ่งควรฟัง  แต่ทำไมมีคนชมสิบ มีว่าหนึ่ง ก็ยังต้องควรฟัง ท่านเคยได้ยินไหมว่า คนที่อยู่ในโลกอยากเป็นที่รักของผู้อื่น  หนึ่งเสียงผิดหูแต่เขายังฟัง แปลว่าคนนี้เป็นคนที่ใจกว้างจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ผิดหนึ่งยังให้อภัยไม่ถือโกรธแล้วยังรับฟัง  ฉะนั้นคนในโลกหลายๆ คนก็ต้องอยากมาพูดอะไรให้เขาฟัง แต่หากผิดหนึ่งเสียง เขาโกรธและเอะอะโวยวาย ต่อไปนี้ใครจะกล้าว่าเขาให้ฟัง ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นเราควรฟังหนึ่งเสียงหรือไม่ควรฟัง (ควรฟัง)
เมื่อครู่เราพูดว่าการเป็นที่รักของทุกๆ คน ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนชอบต้องทำอย่างไรบ้าง อย่างแรกต้องเป็นคนใจกว้าง  คือคนที่รับฟังทั้งคำชมและคำติ  เวลามีคนชม คนใจกว้างใช่หน้าบานเป็นกระด้งหรือหน้าบานเป็นจานเชิง ไหม (ไม่ใช่)  คนที่ใจกว้างเวลาคนชม เขาต้องรู้จักปฏิเสธ  รู้จักเขินอายและไม่กล้ารับ ถ้าชมนิดหน่อยก็ยิ้ม ชมอีกก็ยิ้ม อย่างนี้เวลาถูกต่อว่าเขาจะยิ้มไหม (ไม่ยิ้ม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนใจกว้างเวลาถูกติแล้วยังรู้จักยิ้มรับฟังแล้วน้อมเอาไปพินิจพิจารณา  นี่จึงจะเรียกว่าคนใจกว้างจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วในคำว่าใจกว้างนั้นเขายังเป็นคนที่รู้จักให้โดยไม่ตระหนี่ถี่เหนียวด้วยใช่ไหม  (ใช่) แล้วคนใจกว้างยังมีอะไรอีก
(รู้จักให้อภัย)  รู้จักให้อภัยแล้วมีอะไรอีก ทำอย่างไรถึงจะเป็นคนน่ารัก ตอบไม่ได้เลยหรือในชั้นนี้  หรืออยู่ในสังคมท่านเป็นที่เกลียดของคนในโลก
(มีเมตตา) มีเมตตา อะไรที่ทำให้เรากลายเป็นคนน่ารัก
(อ่อนน้อมถ่อมตน)  อ่อนน้อมถ่อมตน ตอบได้ดี มีอะไรอีก
(เป็นผู้ให้ ) เป็นผู้ให้  ทำตนเป็นคนน่ารักทำยากหรือ
(มีน้ำใจ)  มีน้ำใจ ถึงเวลาผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า คนใจกว้างจะยอมเดินช้าๆ แล้วเสียสละให้คนอื่นไปก่อน แต่ถ้าถึงเวลาเสียสละอยู่ตรงหน้า เขาต้องรีบเดินเร็วๆ แล้วรีบเดินไปก่อน นี่เรียกว่าคนใจกว้าง อย่าเข้าใจว่าคนใจกว้างคือคนที่รู้จักแต่ให้เงิน ต้องเป็นคนที่ให้อภัยและพร้อมให้ผลประโยชน์ที่ดีกับผู้อื่นได้ด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก)  และพร้อมจะให้ความเสียสละรับผิดเป็นด้วย  แต่การเป็นคนที่น่ารักอย่างเดียวพอไหม (ไม่พอ) ท่านเคยได้ยินไหมว่าการเป็นผู้ให้กับการเป็นผู้รับ อะไรยิ่งใหญ่กว่ากัน (ผู้ให้)  ผู้ให้ย่อมยิ่งใหญ่กว่าผู้รับเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่) และการให้จะยิ่งใหญ่ที่สุดถ้าการให้นั้นไม่เคยหวังผลตอบแทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรักก็ดุจเดียวกัน  มนุษย์มักจะชอบที่เป็นฝ่ายถูกรัก มีคนที่รัก แต่เคยคิดไหมว่าการสามารถให้รัก และมีใจที่จะรักคนทุกคนได้ โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกลูกเขาลูกเรา ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นผู้รับรักเสียอีก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ในโลกนี้ทุกคนไม่รอรักจากใคร แต่เป็นคนที่มีรักที่จะให้โดยไม่หวังผล โลกนี้จะสันติแค่ไหน จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วต่อไปเราจะเป็นฝ่ายรอรับอย่างเดียวไหม แต่จะรู้จักให้ในรักที่ดี เพราะความรักไม่ใช่หรือ เราจึงโกรธใครไม่เป็น รักแล้วโกรธเป็นไหม  เราเห็นรักมากก็โกรธมากแค้นมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักลูกมากพอลูกทำเราผิดหวัง เราก็เจ็บปวดมาก รักสามีมากสามีทำผิดหวัง เราก็ทุกข์มาก ใช่ไหม (ใช่) แต่ทำไมเราจึงบอกว่าให้รู้จักรัก ให้รู้จักให้ในรัก  ขอให้เป็นรักที่เมตตา อย่าเป็นรักที่ตรงข้ามกลับไปสู่ความแค้น แต่จงเป็นรักที่เมตตา  เพราะความรักที่เมตตานั้นจะแค้นจะโกรธใครไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราทำได้ไหม  เมตตารักแล้วโกรธไม่เป็น เมตตารักเข้าใจแล้วโมโหไม่เป็น ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นแปลว่าเราเมตตาและรักเขาไม่จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความเมตตาและรักที่แท้จริงนั้นต้องเป็นเมตตาที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น รักแล้วเข้าใจคนที่เรารัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมตตาแล้วต้องเมตตาในสิ่งที่ควรจะเป็น
บางทีเราอยู่ในโลกนี้ อยากให้มีคนรัก อยากให้มีคนพูดดีๆ เราจะได้ให้รักตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เคยหรือไม่ รอแล้วรอเล่า เขาพูดดังอย่างไร ก็ยังพูดดังอย่างนั้น เขาเจ้าอารมณ์อย่างไรก็ยังเจ้าอารมณ์อย่างนั้น แล้วเราจะรักเขาตอบได้ไหม (ได้)  อย่างนั้นเราถามท่านหน่อยนะ  ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีลักษณะเฉพาะของตัวตนเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางครั้งเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างที่เราต้องการทุกอย่าง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้ ใช่หรือไม่ ความเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรมใช่หรือเปล่า สิ่งใดที่ต้องเปลี่ยนไป สิ่งนั้นย่อมมีความไม่เที่ยงเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราสามารถยื้อยั้งให้สิ่งใดคงอยู่ตลอด เป็นไปได้ไหม  (ไม่ได้ )  เหมือนเราชอบเวลาเช้าแต่ไม่ชอบเวลาเย็น หรือบางคนชอบเวลาเย็นไม่ชอบเวลาเช้า ธรรมชาติจะตามใจใครดี  ถ้าตัวท่านชอบอย่างนั้น แต่คนอื่นชอบอย่างนี้เราจะพลิกแพลงตามทุกๆ คนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเรามองว่าแต่ละคนก็มีเสน่ห์คนละแบบ ไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)   เราเปลี่ยนคนไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนหัวใจเราได้  เปลี่ยนความคิดในหัวใจเราได้ มองในแง่มุมที่สวยงาม เหมือนเช่นอากาศหนาว แต่ใส่เสื้อผ้าบางๆ มันก็ดูไม่เหมาะสม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวใหญ่แต่พูดเสียงเบาก็ดูแปลกตา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยขี้หงุดหงิดขี้โมโหเอาแต่ใจแต่ตอนนี้อยู่ๆ มาตามใจเราเสียหมด แรกๆเราแปลกใจไหม(แปลกใจ)แล้วเราตกใจไหม(ตกใจ) ฉะนั้นเป็นตัวของเขาเองไม่ดีกว่าหรือ  แต่เราสามารถพลิกมุมหัวใจเรารับกับคนทุกๆ แบบให้ได้นี่ถึงจะเรียกว่ายอดคนและยอดนักการให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดง่ายๆ ถ้าสังคมมีแต่รักแล้ว เราให้รักไป เราก็คือรักที่ธรรมดา ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ถ้าสังคมไร้การให้รักแต่เราเป็นคนแรกที่ยอมอุทิศให้ เราก็ไม่ธรรมดาเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าใครๆ ก็เกลียดเขา ใครๆ ก็ไม่ชอบเขา แต่เราสามารถรัก และชอบเขาได้ เราก็มีหัวใจให้ที่ไม่ธรรมดา ถูกหรือไม่  (ถูก)  นี่แหละเรียกว่าการฝึกฝนขัดเกลาตัวเราท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่ขัดใจ  ฉะนั้นอยากฝึกฝนความเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องฝึกกับใครที่ไหน ฝึกกับคนที่อยู่ตรงหน้า วันนี้ทำให้ดีและมีความสุขได้ เราก็สามารถเป็นพุทธะบนโลกได้ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ถ้าเรายังรักคนข้างหน้านี้ไม่ได้ จะไปรักใครได้  ใช่หรือไม่  ฉะนั้นขอให้เริ่มต้นรักให้ถูกต้อง เหมือนกับการประกอบการงานธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราทำด้วยใจรักก็ย่อมมีความสุขไม่ต้องรอผลสำเร็จ เราก็ทำได้ด้วยความสุข  แต่ถ้าเราทำด้วยความทุกข์ ความสำเร็จมันจะมาไหม (ไม่มา ) มีแต่ความขื่นขม ความสำเร็จก็ไม่มา ความสุขก็ไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าคน ไม่ว่างาน ถ้าเรามีใจรัก ให้รักที่ถูกต้องแล้ว ทำสิ่งใดเราก็ย่อมมีความสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้รักให้เป็นและมีความสามารถในการให้ความรักที่ถูกต้อง 
ตอนเด็กๆ เราถูกปลูกฝังว่า พบผู้ใหญ่ต้องยกมือไหว้หัวต้องก้ม น้อมเคารพ ตอนนั้นเข้าใจไหมว่าทำไมต้องไหว้เขา (ไม่เข้าใจ)  จำความตอนเด็กๆ ได้ไหม คนแรกที่พ่อแม่สอนให้เรายกมือไหว้เพื่อแสดงความเคารพ ตอนนั้นถามใจลึกๆ เราเข้าใจคำว่าเคารพไหม  (ยังไม่เข้าใจ)  เรายังไม่เข้าใจ พอแม่บอกให้เราไหว้  เราก็ก้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอเราทำไปเรื่อยๆ เราถึงได้ซาบซึ้งถึงความหมายของคำว่าสุภาพอ่อนน้อม และคุณค่าของความเคารพนบนอบ   การปฏิบัติดีก็เช่นเดียวกัน ไม่ลองปฏิบัติ ไม่กระทำดูจะรู้ถึงคุณค่าของการทำดีหรือไม่ ก็ไม่มีทางรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยแต่ทุกวันเป็นฝ่ายรับรัก แต่ต่อไปรู้จักให้รัก ให้บ่อยๆ สักวันจะรู้คุณค่าของคำว่ารักที่แท้จริง  ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วความรักนี่เองที่ใกล้ชิดกับความเมตตากรุณา
เรามีเรื่องๆ หนึ่งจะเล่าให้ฟังนะ  เวลามนุษย์เห็นพระพุทธรูปวางไม่ตรง วางเบี้ยว วางเอียง ท่านต้องรีบไปจัดตั้งให้ตรง เห็นรูปอะไรแขวนแล้วเบี้ยว แขวนแล้วเอียง ท่านทนนิ่งเฉยไม่ได้ คันไม้คันมือต้องไปจับให้ตรง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมหนอเวลาใจมนุษย์มันไม่เที่ยง มันเลือกที่รักมักที่ชัง ทำไมไม่จับให้มันตรง จริงไหม (จริง)  เวลาคนข้างนอกเขาตัดสินไม่ยุติธรรมเราเป็นอย่างไร  โมโหโกรธา ทนไม่ได้เป็นแค้นเป็นเคือง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเวลาใจเราที่ไม่ยุติธรรม เวลาเห็นใครดีหน่อยก็เอาใจเขามาก  ใครทำไม่ดีกับเราหน่อยก็กระแทกแดกดัน ทำเข้าไป ทำไมเราไม่ว่าตัวเราเองบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เที่ยง คนที่ยุติธรรมจริงนั้น ไม่ว่าต่อใครก็ต้องเที่ยงยุติธรรมทั้งคนดีและคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเลือกที่รักมักที่ชังได้ด้วยหรือ อย่างนี้เรียกว่าใจเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) คนที่เที่ยงแท้จริง ทั้งคนที่ชอบก็ต้องเที่ยง คนที่เกลียดก็ต้องเที่ยงและตรงกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่คนในโลกมนุษย์นี้เป็นโรคอะไร กลัวความจริงใช่ไหม (ใช่)  กลัวอะไรบ้างถามหน่อย ในโลกนี้เรากลัวอะไรบ้าง ใครกลัวแก่บ้าง ผู้ปฏิบัติงานธรรมล่ะกลัวไหม (กลัว) แล้วหนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  
ท่านเคยได้ยินไหมว่ามนุษย์ทุกคนในโลกนี้หลีกหนีความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรม ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งเที่ยงแท้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันนี้เรากลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความชรา หนาวก็อย่าใส่เสื้อหนาว ร้อนก็อย่าเปลี่ยนเป็นเสื้อบาง กางเกงขาสั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราก็ต้องยอมรับว่าในความเปลี่ยนแปลง ก็มีความงดงามได้  ในเวลาของความเปลี่ยนแปลงเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ถึงเวลาฤดูหนาวปรากฏว่าใบไม้ร่วงหมดต้น ทุกคนกลับบอกว่าไม่ชอบ มองดูแล้วห่อเหี่ยวหดหู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรใบไม้ร่วงหมดต้น และเราสามารถชื่นชมความงามของต้นไม้นี้ได้  คนนั้นคือคนที่เข้าใจโลกอย่างแท้จริง เมื่อไรที่ผมจากดำเปลี่ยนเป็นขาว หนึ่งเส้น สองเส้น สามเส้น เอ้อ ขาวแบบนี้ก็สวยดีนะ คนเช่นนี้คือคนที่กล้ารับความจริง ถ้าเรื่องเล็กๆ แค่ผมหงอกรับไม่ได้ต้องถอนทิ้ง  แล้วอะไรในโลกนี้ที่เป็นความจริงจะรับได้เล่า  ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นอย่ากลัวความจริง  ในความจริงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่งดงามเสมอ ลองมองให้ดี ดูให้เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนแก่ก็มีความงามอย่างคนแก่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะทำอย่างไรให้งามล่ะ  งามที่ใจใช่ใบหน้า ถ้างามที่ใจมากๆ ใบหน้าก็ผุดผ่องออกมาเอง ไม่ใช่หรือ  สวยแต่ใบหน้าแต่ใจห่อเหี่ยวจะมีประโยชน์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นขอให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงดีไหม (ดี)  กล้าสู้ความจริงได้หรือไม่ (ได้)  ถึงเวลาอย่าโทษฟ้าโทษดิน ถึงเวลาอย่าเอาแต่หนี แต่จงกล้ารับ เคยได้ยินไหมว่า มนุษย์ทุกคนในโลก กลัวความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ยิ่งหนี เราจะเข้าใจทุกข์และเอาชนะทุกข์และหลุดพ้นทุกข์ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ได้เลย  เราเคยเห็นเมธีหญิงหลายต่อหลายท่าน หรือเมธีฝ่ายชายหลายต่อหลายท่าน เวลามีกลิ่นหอมๆ โชยมา ถ้าตอนนั้นมีเวลาว่างเราจะเดินตามกลิ่นนั้นไปทันที ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าตอนนั้นมีความทุกข์มากระทบเหมือนกลิ่นหอม แต่ใจเราบอกยังไม่มีเวลา ยังยุ่งอยู่ สักพักจมูกเรา ใจเราก็จะลืมกลิ่นไปเอง ถูกไหม (ถูก)  แต่ตอนนั้นเราบอกว่าทุกข์มากระทบเหมือนเราได้กลิ่นหอมๆ แล้วเราเดินตามกลิ่นไป พบแล้วของอันนี้ หยิบเข้ามากิน พอกินเสร็จแล้ว ลิ้มรสแล้ว อร่อยจังเลย วางไม่ลง หยิบอีก ตอนนี้เราตกเป็นทาสของกลิ่นและรส ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อทุกข์มากระทบใจเรา ถ้าตอนนั้นเราบอกไม่มีเวลาว่าง ทุกข์จะทำอะไรใจได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้าตอนนั้นเราเอาทุกข์มา เรามีเวลาว่าง หยิบทุกข์ขึ้นมา หยิบเสร็จ ทั้งจับทั้งกิน เท่ากับว่าเรายอมเป็นทาสทุกข์โดยเต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหยิบมากินแล้ว รู้จักพินิจพิจารณาสิ่งที่กินนั้นทำมาจากอะไรบ้าง อ้อ มีแป้ง มีเนย มีนม แบบนี้เอง ต่อไปเราไม่ต้องไปซื้อเขา ทำเองได้ ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนกันทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง มนุษย์ทุกคนไม่เคยเรียนเรื่องโกรธ แต่พอโกรธมาประทับใจปุ๊บ เรียนเป็น ก๊อบปี้ได้ โกรธทันที ใช่ไหม (ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้ามนุษย์มีสติรับบอกว่า ไม่มีเวลาโกรธ ไม่มีเวลาโมโห  โกรธนั้นจะสั่งใจท่านได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วโกรธนั้นจะทำให้ท่านผลิตโกรธอีกเป็นครั้งสองครั้งสาม ได้หรือไม่ (ไม่ได้)
เหมือนกันเวลาอะไรมาต้องใจ ลองคิดให้ดีๆ เหมือนขนมที่ต้องจมูก ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราไม่เดิน ไม่สัมผัส ไม่กิน ใครเล่าจะตกเป็นทาสของขนม ความทุกข์ก็เฉกเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะพูดเสมอว่า อยากว่ายน้ำเป็น บางครั้งต้องยอมตกน้ำเพื่อว่ายให้เป็น อยากเอาชนะทุกข์ในโลกนี้ให้ได้ก็ต้องเรียนรู้ความทุกข์ให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเรียนรู้ทุกข์เป็นแล้วเราจับจุดได้ ต่อไปนี้เราจะเป็นผู้ควบคุมทุกข์ให้อยู่ในมือเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นเดียวกัน เมื่อก่อนเราทำกับข้าวเป็นไหม (ไม่เป็น)  แต่ก่อนเราเรียนรู้วิชาทำงานเป็นไหม (ไม่เป็น)  แต่พอเราเรียนเป็นแล้วตอนนี้งานก็ขึ้นอยู่กับใจและมือเราจะสร้างสรรค์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความทุกข์ก็เฉกเช่นเดียวกัน อย่ากลัวทุกข์ แต่จงทุกข์ให้เป็น และมีสุขในทุกข์ต่างหาก ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้โอวาทที่ลึกซึ้งมากมายจนสรุปไม่ได้)
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้โอวาทมากมายจนสรุปไม่ออกเลยใช่หรือเปล่า มนุษย์นี่มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง  เข้าใจพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  นึกๆ ดูแล้วไม่รู้ จำไม่ได้แต่ก็รู้จักเข้าใจพูดให้ดีได้ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกขอให้มีสติตามให้ทัน ไม่ว่าจะฟังสิ่งใด ถ้าเราจับหลักของเขาได้ ที่เหลือก็เป็นน้ำล้วนๆ หลักของเราที่พูดนั้นก็คือ ถ้ามนุษย์เรามีความทุกข์และยอมรับในทุกข์ก่อน เราก็จะมองเห็นว่าทุกข์คืออะไร เมื่อเรายอมรับว่าทุกข์คืออะไร สัมผัสทุกข์ได้แล้ว รู้จักทุกข์ได้แล้ว ต่อไปเราก็เรียนรู้ทุกข์เป็นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับการทำขนมดีๆ นี่เอง ใช่ไหม (ใช่)  ตอนแรกถ้าเราไม่ยอมเสียเงินซื้อขนม  เราจะได้วิชาความรู้จากขนมนี้ไหม (ไม่ได้)  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นพอเราลิ้มรสขนมเราถึงอยากจะเรียนรู้ว่าทำเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เหมือนกันในความทุกข์นี้ เราอยากจะเอาชนะทุกข์ อยากจะเอาชนะปัญหา สิ่งแรกที่เราจะต้องจำไว้ให้ดีก็คือ ต้องเป็นคนที่กล้ายอมรับความเป็นจริง ถ้าเราไม่กล้ายอมรับความเป็นจริง เราจะเอาชนะทุกข์ไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรเราจึงทุกข์ จุดอ่อนของเราอยู่ที่ไหน มองให้ออก ถ้ารู้ว่าอยู่ที่ใจ ใจที่เป็นแบบใดล่ะที่ทำให้เราทุกข์ เป็นใจที่มีอัตตาตัวตน ใจที่มีความยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ ดังคำกล่าวว่า มีใจมากก็ทุกข์มาก มีใจน้อยๆ จะได้ทุกข์น้อย ดีหรือไม่ (ดี)  ไม่มีใจเลยจะได้ไม่ต้องทุกข์เลยเอาไหม (ไม่เอา) 
ถ้าเช่นนั้นก็ควรจะเรียนรู้จากการใช้ใจตัวเองให้เป็น เรื่องใดควรใช้ใจเป็นหลัก เรื่องใดควรใช้เหตุผลเป็นหลัก  ถ้าเรื่องนี้ใช้ใจเป็นหลักแล้วทุกข์ จงเลือกเหตุผลนำ ถ้าเรื่องนี้ใช้เหตุผลเป็นหลักแล้วใจไม่ทุกข์ จงใช้เหตุผลนำ ดีไหม (ดี)  เราเรียนรู้เรื่องที่ไม่รู้ เรายังเรียนจนรู้ได้ ฉะนั้นนับประสาอะไรกับใจเรา ใครจะเขียนตำราทำความเข้าใจหัวใจเราได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง ฉะนั้นเราต้องเรียนรู้ใจให้เป็นนะ แล้วใช้ใจให้ถูก ความทุกข์จะได้ไม่มาทำร้ายใจให้เจ็บปวดยิ่งนัก
เกิดเป็นคนความจริงต้องรับให้ได้ และการจะรับความจริงให้ได้ เริ่มต้นง่ายๆ สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดีที่สุดแล้ว เคยได้ยินคำนี้ไหม ไม่มีใครถูกด่า เราถูกด่าอยู่คนเดียว เราโชคดีที่สุดแล้ว คิดอย่างนี้เราก็มีใจกระทำต่อไปตั้งครึ่งหนึ่ง มีคนเขาทำสถิติไว้ ไม่รู้ว่ามนุษย์ในโลกนี้รู้หรือเปล่า แต่พุทธะรู้ก่อนอีกว่า การคิดแง่ดีจะทำให้มีอายุยืนนานกว่าคิดแง่ร้าย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นแม้ถูกเขาด่าถูกเขาว่าแต่เราคิดดีไว้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้น (ดี)  ดีที่สุดแล้ว อย่าพูดว่าดีเฉยๆ ให้พูดว่าดีที่สุดแล้ว ดีไหม (ดี)  แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่ดีที่สุดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะทำให้ถึงที่สุด ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะมีใจไปให้ถึงที่สุด และคิดอีกอย่างหนึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ดีไหม ถ้าคิดอยู่ทุกขณะว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่เราจะปฏิบัติกับเขา คนที่เราอยู่ร่วม เราก็จะปฏิบัติดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่พูดกระแทกแดกดัน ไม่เป็นไรอยากโกรธก็ช่างมัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยดีกับมันก็ได้ ถูกไหม (ไม่ถูก)  ชอบทำนัก  แต่รู้ได้อย่างไรว่าเราจะมีวันพรุ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจงทำวันนี้ให้ดีที่สุด และเห็นวันนี้เป็นวันสุดท้าย และคนข้างหน้าคือพระพุทธเจ้า ถ้าทำได้เช่นนี้ท่านจะเป็นคนดีทุกๆ วัน ไม่มีวันไหนที่อยากทำผิดและคิดร้ายเลย ใช่ไหม (ใช่)  มีใครกล้าโมโหใส่พระพุทธเจ้าบ้าง มีใครกล้าด่าพระพุทธเจ้าบ้าง มีไหม (ไม่มี)  ไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  และถ้าทุกวันคือวันที่ดีที่สุด แล้วจะมีโชคร้ายอะไรในโลกเล่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  และทุกวันคนที่อยู่ข้างหน้าคือพระพุทธเจ้า เราจะมีมารปีศาจตนไหนมาให้เราเห็นล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  ทำยากใช่ไหม แต่ท่านจงจำไว้นะ เปลี่ยนใครก็เปลี่ยนไม่ได้เท่ากับเปลี่ยนใจเราเอง ง่ายกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราเปลี่ยนเขาให้เป็นดังใจไม่ได้ เราเปลี่ยนโลกให้สมหวังดังใจไม่มีผล ฉะนั้นเปลี่ยนใจเรา  ให้คิดดีเป็นทุนเดิมตั้งแต่ต้นไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ในโลกเปลี่ยนจากคนดีกลายเป็นคนไม่ดี คนดีกลายเป็นคนผิด นั่นก็คือทรัพย์ อำนาจ ชื่อเสียง ถูกไหม (ถูก)  ถูกยกยอปอปั้นเข้าหน่อย มีเงินมากกว่าคนอื่นเข้าหน่อย เราก็เคลิ้ม เราก็หลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามต้องระวังให้มากที่สุด นั่นก็คืออำนาจ ใครมีอำนาจอยู่ในมือเป็นต้องหลงทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้มีเงินมากกว่าคนอื่นหน่อย ก็คิดว่าตนเองมีอำนาจเหนือใครแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครเรียกเป็นอาจารย์หน่อยก็หลงตัวเองแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครเรียกเรารุ่นพี่หน่อย เราก็หลงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อำนาจทำให้มนุษย์พังมาหลายต่อหลายคนแล้ว
ฉะนั้นอย่าหลงในอำนาจ ยิ่งร่ำรวยมากเท่าไร เรายิ่งต้องรู้จักมีน้ำใจและอย่าดูถูกคน ยิ่งร่ำรวยมีอำนาจชื่อเสียงมากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเรายากจน ไม่มีอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียงก็อย่าให้ใครดูถูกได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่พอเขาเอาเงินมาซื้อใจเราก็แปรปรวนแล้ว อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
ในโลกนี้มีสิ่งที่เป็นคู่อยู่เสมอ  มีรักก็มีชัง  มีดีก็มีชั่ว มีสมหวังก็มีผิดหวัง มีได้ก็มีเสีย มีตื่นก็มีหลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักระมัดระวังให้ดี เราหนีไม่พ้นสิ่งสองด้านนี้ในโลกเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราสมหวัง แต่ไม่แน่เราอาจจะผิดหวัง  วันนี้เราผิดหวังแต่ไม่แน่เราอาจจะสมหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราวิ่งวนอยู่กับความรู้สึกนี้ทุกวี่ทุกวัน ไม่เบื่อกันบ้างหรือ
ฉะนั้นวันไหนพบความสมหวังเราต้องรู้จักทำใจให้นิ่งๆ แต่ถ้าวันไหนที่ต้องพบความผิดหวังจงรู้จักทำใจให้สงบ แล้วสิ่งที่มากระทบก็จะทำให้ใจเราไม่ต้องหวั่นไหวเลย  เราเห็นมนุษย์วิ่งไปด้านนี้ แล้วก็วิ่งกลับมาด้านนี้ มีความสุขหัวเราะด้านนี้ แล้วก็ร้องไห้ด้านนี้  เราก็เลยงงว่ามนุษย์สลับไปสลับมากันอยู่อย่างนี้  ไม่เหนื่อยกับความรู้สึกตัวเองบ้างหรือ ทำไมเราไม่ชินบ้างนะ  วันนี้เราผิดหวัง ไม่แน่เราอาจจะสมหวังในวันพรุ่งนี้  ฉะนั้นการรู้จักทำใจให้นิ่งบ้าง สงบบ้าง บางทีดีกว่ากระเพื่อมหวั่นไหวไปกับการได้การเสียอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคนรู้จักสงบใจบ้าง  เพราะถ้าวุ่นวายไปกับกระแสที่กระทบใจก็เหนื่อยเปล่าๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ถ้านั่งฟังตรงนี้แล้วยังไม่สามารถเอาชนะความเกียจคร้าน เอาชนะความเมื่อยง่วงเหงาหาวนอนได้ เราก็ยากเอาชนะทุกข์ข้างนอกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทุกข์แค่เล็กๆ นี้เรายังเอาชนะไม่ได้ แล้วเราจะเอาชนะทุกข์ใดใดในโลกนี้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าความยากลำบากที่นั่งตรงนี้ยังอดทนไม่ได้ แล้วเราจะอดทนต่อกิเลสและอุปสรรคในโลกนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยู่กับเราตรงนี้ยังมีความสุขไม่ได้แล้ว จะสามารถสร้างสรรค์ความสุขให้เกิดในชีวิตได้อย่างไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นการจะทำสิ่งใด สิ่งสำคัญต้องเริ่มต้นตั้งแต่เรื่องเล็กๆ  ถ้าเล็กๆ ยังทำไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าได้ดูเบาตนเอง เมื่อตั้งใจฟังแล้วขอให้ตั้งใจให้ดี เมื่อตัดสินแล้วขอให้ทำให้สำเร็จ หลายครั้งที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมหรือนักเรียนที่ฟังธรรมะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์พุทธะมา ถามว่าจำได้ไหมว่าท่านพูดเรื่องอะไรบ้าง ตั้งแต่ที่เรามาจนถึงบัดนี้ จำได้ไหมว่าเรากล่าวเรื่องใดไปบ้าง บางคนก็แทบจะจำไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ดีนะถ้าทุกๆ เรื่องในโลกนี้มนุษย์ผ่านแล้วผ่านไป ไม่มีอะไรคั่งค้างในใจ เราคงมีความสุขไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์ ทุกๆ  เรื่องผ่านมาแล้วกลับไม่ผ่านไป ชอบมีตะกอนมีอะไรคั่งค้างอยู่ในใจเสมอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราสามารถทำตัวเหมือนเช่นธรรมชาติ เคยเห็นสายน้ำไหม สายน้ำไหลไปไม่มีวันไหลกลับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจิตใจของมนุษย์เรา กลับกลายเป็นสายน้ำที่มีก้นบึ้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก้นบึ้งนี้พอมีตะกอนตก มีอะไรมากระทบเรากลับทำให้น้ำนั้นขุ่นมัว เมื่อน้ำนั้นขุ่นมัวจิตใจจะมองสิ่งใดได้อย่างเที่ยงแท้ไหม (ไม่)  ถ้าเราเห็นน้ำแล้วสะท้อนใจเราก็ดีไม่น้อย เราสามารถใสได้ดั่งน้ำดื่มไหม ถ้าทุกเรื่องเราสามารถใสได้ดั่งน้ำดื่ม เราก็จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างเที่ยงตรงและทุกแง่มุม แต่ถ้าจิตใจเรายังมีรัก ชัง เกลียด ชอบ ลุ่มหลง ริษยา โมโห โกรธา มองสิ่งใดก็ยากจะเด่นชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อยากเด่นชัดจะตัดสินใจในการดำเนินชีวิตก็ยากที่จะถูกต้องเช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นวันนี้เรามาเพื่ออะไร มาเพื่อทำให้ใจท่านนิ่ง นิ่งแล้วมองให้ออกว่าเรามีตะกอนกิเลสอะไร รีบเอาออก เมื่อเอาออกแล้วอย่าเอามาใส่อีก ดีไหม (ดี)  จงเป็นน้ำที่ใสสะอาด ทุกสิ่งล้วนผ่านมาแล้วผ่านไป ถ้าทำได้เช่นนี้เราก็จะมาเบาแล้วกลับเบา มาใสก็กลับใส แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคั่งค้างและสะสมในใจ ก็ยากจะกลับคืนได้เพราะจิตมันหนักเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ศึกษาธรรมะก็เพียงสั้นๆ  เท่านี้แหละนะ เห็นแล้วก็รู้เลยนะว่าใครฟังได้บ้างไม่ได้บ้าง รู้สึกเสียดายเวลาแทนนะ อย่าให้มาฟังแล้วไม่ได้อะไรกลับไปเลย แล้วถึงเวลาก็ยังครองนิสัยอารมณ์เหมือนเดิมไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความโกรธตัดให้มาก ความหลงมองให้ออก ความโลภดูให้ชัด แล้วสามปัญหานี้ก็จะไม่ทำให้เราต้องทุกข์ใจอีกต่อไป ถูกหรือไม่ (ถูก)
วันนี้เราก็มาศึกษาธรรมะกับท่านสั้นๆ  เพียงแค่นี้ อย่าให้การมาฟังสามวันนี้เสียเปล่า ฟังไปแล้วขอให้ได้ประโยชน์ไปด้วย ยิ่งถ้ามาแค่หนึ่งวัน  น่าเสียดายยิ่งนักนะ เรื่องดีๆ  ไม่นำพาสู่ใจ เรื่องดีๆ  ไม่นำพาบ่อยๆ  ก็น่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งใดที่ดีที่สุดในโลกนี้ ถ้าไม่ใช่ธรรมะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วธรรมะคืออะไร ธรรมะก็คือการปฏิบัติ ประพฤติในสิ่งที่ดีสิ่งที่ชอบ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วสิ่งที่ดีสิ่งที่ชอบไม่คิดประพฤติปฏิบัติแล้วจะเป็นคนได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นขอให้นำสิ่งที่เราพูดวันนี้ไปคิดพิจารณาให้ดี หากทุกวันคือวันที่ดี หากทุกวันคือวันสุดท้าย เราจะทำอะไรที่เรียกว่าดีที่สุด โดยเฉพาะคนอายุมากแล้ว เวลาเหลือไม่มาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตถ้าไม่ใช่เรียกว่าการประพฤติ ปฏิบัติชอบ ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่าฟังแล้วเสียเปล่านะ นำไปทำให้ได้ และนำไปทำให้ดีที่สุด วันนี้คงแค่นี้ เราคงต้องไปแล้ว คำพูดสุดท้ายที่พูดทุกทีที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มา เราไม่ได้คิดจะมาแสดงละครหลอกพวกท่านนะ








วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อาการของจิตคือภายนอกมากระทบ       ความเร่าร้อนจุดจบคือล้มเหลว
ปฏิบัติธรรมขจัดปรุงแต่งโดยเร็ว               ปีนจากเหวสู่ฟ้าตามสายทอง
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลกหนาวเย็น  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคน  เปิดตาในหรือยัง

  ถ้าหากลืมเปลี่ยนอนุสัยใช่บำเพ็ญ           ย้อนมองเป็นการทบทวนอดีตผ่าน
อุปสรรคคลายศิษย์คิดเพราะอะไรกัน        ละความรั้นดื้อดึงถึงเวลา
ระลึกทุกข์ที่เคยเพราะไม่ยอม                   อึดอัดย่อมหมดดีมีปัญหา
ใจแน่นแน่นไปเพียงชั่วเวลา                      อนิจจาจะทิฐิตามไหนคือธรรม
นำชีวิตตรงไปอย่างระวังมาก                    กิเลสหากพาศิษย์ย่อมตกต่ำ
อยากได้ดีความพยายามต้องประจำ          ปัญญาตัวรู้จะนำสว่างไกล
สำนึกเองที่นี้ย่อมได้หยุด                          ความยาวนานสิ้นสุดเมื่อแก้ไข
นาวานี้ศิษย์นำไปทิศใด                            ทะเลใจคลื่นครวญพักที่ใจ

                                                                                        ฮา  ฮา  หยุด




จิตแหลกเป็นผง  ศิษย์รักจมลงสู่ทุกข์  กงล้อแรงกรรมทึ้งฉุด  จนเกือบจะลืมหายใจ  ศิษย์ดูขื่นขม  ศิษย์ยังดูหม่นหมองไป  ตามยื้อกลับมาได้ไหม  หัวใจอย่าเพิ่งชินชา 
อย่าทำใจหาย  รอบกายมีคนปลอบขวัญ  เพียงหัวใจไม่มองผ่าน  ย่อมกำซาบในฤดี  เมื่อเจอปัญหา  ต้องพาจิตใจคิดดี  คนแพ้แต่ใจไม่หนี  ประคองสิ่งนี้บำเพ็ญ
* กำชับอำนาจแห่งอัตตานั้น ดุจกำแพงล้อมตัวขังตนข้างใน ตรวจสอบตนต้องทำ จึงไม่เสียใจ สืบดูแนวโน้มในบัดนี้
หากลมเปลี่ยนทิศ  การคิดศิษย์คลายดื้อรั้น  ความทุกข์ที่เคยแน่นอัด  ย่อมหมดไปตามทิฐิ  จะดีเพียงไหน  หากพาศิษย์ไปได้ดี  ความรู้ตัวเองที่นี้  จะนำศิษย์นี้ยาวนาน  (ซ้ำ *)

                               ชื่อเพลง  อำนาจย่อมทำลายตัวเอง
                                        ทำนองเพลงทรายกับทะเล








พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อากาศที่นี่หนาวหรือร้อน อากาศหนาวและอากาศร้อนคือสิ่งที่มากระทบผิวกาย ผิวกายของเราสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าอากาศนั้นเป็นอย่างไร ส่วนผิวของจิตใจของเราสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ากิเลสเป็นเช่นไร ด้วยหรือไม่ อากาศหนาวเรารู้จักหาเสื้อผ้าหนา ๆ มาใส่ แต่เวลาใจของเรามีกิเลสจะทำอย่างไรกับมัน นอกจากที่เราจะไม่รู้จักที่จะปกป้องจิตใจของเรา เรายังพอใจกับสิ่งนั้น ๆ ที่มากระทบด้วยซ้ำไป  เพราะว่ากิเลสคือสุข ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ที่แฝงอยู่ภายใน
เราชอบความสุข ไม่ชอบความทุกข์ เราเลือกที่อยากจะได้ความสุขโดยที่ไม่อยากได้ความทุกข์เลย คนที่สมัยเด็ก ๆ ลำบากมามาก พอโตขึ้นมาเขาจะสามารถรับความลำบากได้มากกว่าคนที่ไม่เคยได้รับความลำบากเลย ถ้าหากว่าเลือกได้เราอยากได้รับความลำบากหรือเปล่า (ไม่อยาก) แต่ถามว่าทุกวันนี้มีความลำบากใช่ไหม  จึงทำให้เรามีความอดทน (ใช่) เราจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้เรารู้จักที่จะอดทนโดยไม่ต้องลำบากเลย ทำได้ไหม ทำไม่ได้ คนที่อยากจะมีความอดทนจำเป็นต้องเผชิญความยากลำบากมาแล้วทั้งสิ้น ถึงจะมีน้ำอดน้ำทน ในตอนนี้เรามีความอดทนแค่ไหนก็คือในตอนที่อายุก่อนหน้านี้เราเคยฝึกมาเท่านั้น
ในเส้นทางของการบำเพ็ญเพื่อไปสู่การหลุดพ้นนั้นก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้เราเหมือนเด็กที่ต้องการบรรลุธรรม ตอนนี้เรากำลังเริ่มเดิน หรือบางคนกำลังคิดอยู่ว่าจะเดินหรือเปล่า ในการที่เราจะไปสู่การบรรลุธรรม การหลุดพ้นได้นั้นจำเป็นที่จะต้องฝึกตัวเองอย่างมาก  ในขณะที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คือการเริ่มฝึก การฝึกนั้นลำบากไหม (ลำบาก) ถ้าหากว่าให้ฝึกชั้นเดียวลำบากไหม ถ้าให้ฝึกชั้นเดียวบอกว่าลำบาก ทนหน่อยลำบากหรือเปล่า ไม่ลำบาก ตอนนี้สมมุติว่ามีหนี้อยู่ห้าพัน ลำบากไหม (ลำบาก) สมมุติมีหนี้อยู่ห้าหมื่นลำบากไหม (ลำบาก) สมมุติว่ามีหนี้อยู่ห้าแสนลำบากไหม (ลำบาก) เริ่มลำบากขึ้นเรื่อย ๆ สมมุติว่ามีหนี้อยู่ห้าล้านลำบากไหม (ลำบาก) ความลำบากของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ดู ๆ ไปแล้วนานาจิตตังใช่หรือไม่ (ใช่) คือย่อมขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นว่าสามารถที่จะรองรับความลำบากได้แค่ไหน ถ้ายังรองรับได้ ก็ไม่เรียกว่าความลำบาก ที่เรียกว่าความลำบากคือเริ่มรับไม่ได้แล้ว จึงเรียกว่าความลำบาก เพราะฉะนั้นตอนนี้บอกว่าไปฝึกความลำบาก เริ่มไม่ไหวหรือยัง (ไหว) คนไม่พบก็บอกว่าไหว ส่วนคนที่พบบอกว่าไม่ไหว คราวนี้ถามว่าไม่ไหวนี่ทำอย่างไร ไม่ไหวก็ต้องใช้ความอดทนมากขึ้น ระดับความอดทนของเราก็มากขึ้นเหมือนกับว่าวางเบาะกราบหนึ่งเบาะยังไม่สูง เอาเบาะกราบซ้อนเข้าไปสองตัวสูงไหม (สูง) ความอดทนของเราไต่ระดับมากขึ้นตามเรื่องราวที่เราผ่านมาในชีวิต แต่บางคนเลือกที่จะมีความลำบากชั้นเดียวคือขอลำบากแล้วสามารถที่จะใช้ชีวิตไปได้อย่างราบรื่น แต่ในการบำเพ็ญธรรมที่อาจารย์นั้นสอนศิษย์เสมอ คือให้ซ้อนความลำบากขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง คือให้มีความอดทนมากขึ้น มีความอดทนเข้าไปในจิตใจจริง ๆ  ไม่ใช่แค่เป้าหมายเพื่อให้ชีวิตราบรื่น ผาสุกเท่านั้น แต่คือการที่ให้เรานั้นมีความอดทนยิ่งขึ้นเพื่อที่พวกเราจะได้ฝึกจิตใจของเราไปสู่การบรรลุธรรมจริง ๆ
ฟังว่าการบรรลุธรรมนี่เป็นเรื่องไกลไหม (ไกล) ฟังว่าเรื่องการบรรลุธรรมเป็นเรื่องไกลตัวมาก เดี๋ยวอาจารย์จะดึงมาให้ใกล้ ๆ ดีไหม (ดี) ถามว่าเกิดแล้วต้องตายไหม (ตาย) ตายแล้วไปไหนนั้นตอบได้ง่ายมาก ตอนนี้ใครทำความดีมากกว่าชั่วยกมือขึ้น  คนที่ทำความชั่วมากกว่าดียกมือขึ้น ไม่มีเลย ไหนใครยังไม่รู้ว่าตัวเองชั่วหรือดียกมือขึ้น ก็ไม่ยกมืออยู่ดี อาจารย์คงไม่รู้ว่าศิษย์จะไปไหนเพราะศิษย์ตอบตัวเองไม่ได้ เรายังรู้จักตัวเองไม่พอจริงหรือเปล่า (จริง) อย่างนั้นอาจารย์ก็ไม่รู้จักศิษย์แล้วกันนะ รู้จักตัวเองหรือเปล่า  เราอยู่ที่บ้านมีลูกกี่คน มีพี่น้องกี่คน หน้าตาเป็นอย่างไร  เรารู้จักตัวเองไหม (รู้จัก) นี่คือเราบอกว่าเรารู้จักตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อาจารย์ถามว่าศิษย์รู้ไหมว่าศิษย์ทำชั่วหรือดีมากกว่ากัน ศิษย์บอกว่าตอบไม่ได้ แปลว่าเรายังไม่รู้จักตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าเรายังมีตัวอีกตัวหนึ่งอยู่ข้างใน เป็นตัวที่เราไม่รู้จักเลยใช่หรือเปล่า ถามว่าเวลาเรามองไม่ชัด สมมุติว่าตอนนี้เรากำลังขับรถ ป้ายข้างหนึ่งบอกว่าไปลำปาง ป้ายอีกข้างบอกว่าไปพะเยา เราขับรถมองเห็นป้ายไม่ชัด เราจะกลับลำปางแล้วทำอย่างไร (จอดดูป้าย)  จอดดูก็ยังมองไม่เห็น ตามันถั่ว ป้ายอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่มองไม่ชัดว่ามันเป็นลำปางหรือพะเยา ข้างไหนกันแน่ทำอย่างไร (ตั้งสติแล้วมองใหม่ตาอาจจะฝ้ามองไม่เห็น) ทำอย่างไรนะ ตาไม่ชัดทำอย่างไร  หมอตาก็ช่วยไม่ได้ มองไม่ชัด เราไม่รู้จักทางหรือเรารู้ทางแล้ว แต่เราก็ยังมองไม่ชัดอยู่ดี ตัวของเราที่อยู่ข้างใน มองเท่าไรก็มองไม่ชัดสักที การที่จะหาทางที่จะรู้จักตัวของเราทำอย่างไร ถ้าทำเหมือนทุกๆ วันที่ผ่านมา ทำเหมือนชีวิตที่เคยผ่านมา ชีวิตของเราก็ยังมองไม่ชัดอยู่ดี ว่าตัวข้างในเป็นอย่างไรกันแน่ ทำอย่างไรจะให้ตัวข้างในชัดกว่านี้ เราจำเป็นที่จะต้องดูตัวเอง ใช่หรือไม่ ปกติหนุ่มๆ ก็ไปดูตัวสาวๆ ใช่ไหม แล้วสาวๆ ก็ชอบไปดูเสื้อสวยๆ ใช่ไหม เราต้องมาดูตัวของเราให้ชัดๆ แล้วล่ะว่าตัวของเราข้างในเป็นอย่างไร
ใครทำชั่วมากกว่าทำดียกมือขึ้น ใครทำดีมากกว่าชั่วยกมือขึ้น ยังไม่ชัดอยู่ดี แสดงว่าตาที่มองก็ไม่ได้ใช้ตาคู่นี้เหมือนกันจริงไหม เราต้องใช้ตาใน เราไม่ใช้ตาเนื้อ เราใช้ตาในดูตัวในจริงหรือเปล่า (จริง)  ตาในของเราพบหรือยัง ต้องใช้ตาในดูตัวใน ตาในของเรานั้นเปิดหรือยัง หรือว่ายังหลับอยู่ ตาในนั้นเป็นที่สิงสถิตแห่งปัญญา ตาในของเรานั้นคือปัญญา ตาในของเราเปิดหรือยัง ทุกวันนี้ใช้ความฉลาด ใช้ความรู้ ใช้ความเข้าใจ ใช้อุบายเล่ห์กล ใช้อารมณ์ ถามว่าใช้ทั้งหมดที่ผ่านมา ตาในเปิดหรือยัง (ยัง)  ตาในก็ยังไม่เปิด ตัวตนที่อยู่ข้างในก็ยังไม่รู้จัก อย่างนี้ไกลการบรรลุธรรมแน่แท้ ฉะนั้นในทางกลับกันถ้าหากจะให้การบรรลุธรรม การหลุดพ้นเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น คือต้องรู้จักอะไร ตอบมั่นใจหน่อย ไหนลองเอามือคลำปากดูซิเอามาไหม ไหนลองเอามือขวาจับปากซิ อยู่ไม่อยู่  พูดได้ไหม (พูดได้)  พูดได้ เพราะฉะนั้นตัวที่อยู่ข้างในคือตัว (ปัญญา)  เพราะฉะนั้นต้องมาดูตัวข้างในที่ตอบไม่ได้ ไม่ได้เอามา อย่างนี้เองที่เขาเรียกว่า เอามาเหมือนไม่เอามาเพราะฉะนั้นในทางกลับกัน ถ้าหากว่าอยากที่จะบรรลุธรรมง่าย หลุดพ้นง่าย ต้องหาตาของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตาในมองไปข้างนอก ตัวในอยู่ในตัวนอก ตาในไว้มองข้างนอก ดีหรือไม่ (ดี)  เอามือขวาตีมือซ้าย นี่เรียกว่าตัวนอก เอามือขวาจับตา นี่เรียกว่าตานอก ที่พูดเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนี้ เข้าใจหรือไม่
ใครทำความดีมากกว่าความชั่ว เชิญนั่งลงได้ ตกลงทำความดีมากกว่าแล้วหรือ (ใช่)  อาจารย์ว่าแบบนี้เขาเรียกว่านั่งตามๆ กัน กลัวว่ายืนอยู่คนเดียวแล้วจะโดดเด่นไปหน่อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มนุษย์ไม่ชอบความเด่นจริงๆ หรือเปล่า (จริง)  มนุษย์บอกว่าตัวเองไม่ชอบเด่น แต่ถึงเวลาแล้วก็เรียกร้องความสนใจให้กับตัวเอง ถึงเวลาแล้วตัวเองจริงๆ ลึกๆ ชอบเด่นชอบดัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนยืนสูงนักมักโดดเดี่ยว ถึงเวลาเราก็อยากจะมีคนห้อมล้อมเรามากๆ ถึงเวลาเราก็อยากจะเด่นด้วย ในขณะเดียวกันเราก็ไม่อยากจะให้คนอื่นรู้ว่าเราอยากเด่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้ที่สลับซับซ้อนมาก แล้วก็ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่มาก เอาแต่ใจตัวเองมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุดท้ายก็เลยมีกิเลสมากเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในเส้นทางที่เราเดินมา เคยมีคนบอกไหมว่ากิเลสไม่ดี (เคย)  การสั่งสอนในโลกนี้เป็นการสั่งสอนที่ไม่ได้ให้ความรู้ทางธรรมกับคนมากมายเท่าไรนัก ถึงจะมีก็เป็นตำรา เราก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา เราไม่ใส่ใจชีวิตของตัวเราเองมากมายเท่าไรนัก ใช่หรือไม่ (ใช่) เราสนใจแต่จะตกแต่งผิว เราสนใจแต่จะมีเงินทอง  เราสนใจแต่ว่าเราจะต้องดี เราจะต้องเด่น เราจะต้องได้ ถึงแม้ว่าอยู่ในโลกนี้จะไม่มีใครบอกว่ากิเลสไม่ดี  แต่เวลาที่เราอยากได้เงินทองมากๆ แล้วเราเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เสร็จแล้วได้เงินทองมา เราก็ใช้ไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย เรารู้ไหมว่า เรามีกิเลสอันไม่ดีอยู่  (ไม่รู้) กิเลสอันไม่ดีคืออะไร  คำตอบมีผิดมีถูก
(ความโลภ)  คือความโลภ  
(ความโลภมาก)  คือความโลภมาก
ความโลภมีหลายชื่อใช่หรือไม่ มีความไม่รู้จักพอ  มีความโลภ  มีความอยากได้ ยังมีอีก ความโลภมีตั้งหลายชื่อ  มีทั้งแบบภาษาหนังสือ  ภาษาหยาบ ภาษาสุภาพ ก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่) คำอีกสองสามคำที่มีความหมายว่าโลภ คือคำว่า งก  ได้ยินบ่อยไหม กลัวว่าศิษย์จะไม่เข้าใจว่าคำว่าโลภแปลว่าอะไร ก็เลยต้องใช้ภาษาปากสักหน่อยหนึ่ง  โลภก็คืองก ภาษาธรรมะเรียกว่า ความตระหนี่  ใช่หรือไม่ (ใช่) หรืออีกคำหนึ่งที่แว่วมาเมื่อครู่คือ ขี้เหนียว   ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าใครมีอาการดังนี้ไม่ว่าจะเป็นงก ขี้เหนียว ตระหนี่ โลภ โลภนี่ดูจะไกลไปหน่อย ถามว่าเคยโลภไหม  ไม่เคย เคยงกไหม เคย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  กิเลสจะใกล้จะไกลนั้นอยู่ที่เราเป็นผู้ที่รู้สึกได้ บอกว่าความโลภหาได้ในตัวศิษย์นั้น ศิษย์รู้สึกยอมรับไม่ได้ เพราะดูว่าคำว่าโลภจะรุนแรงเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าบอกว่าความขี้เหนียว ความงก ศิษย์รู้สึกจะคุ้นเคยมากกว่า จริงหรือเปล่า (จริง) 
เพราะฉะนั้นธรรมะก็เหมือนเช่นเดียวกัน ธรรมะนั้นบอกว่าไกลก็ไกล ไกลเพราะว่าศิษย์ใช้คำว่าธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บอกว่าใกล้ก็ใกล้ ใกล้เหมือนกับรูขุมขน รูผิวหนัง ใกล้มากๆ   ใกล้เหมือนอยู่ภายในตนเลย  ฉะนั้นย่อมขึ้นอยู่กับว่าใครจะคิดว่าธรรมะนั้นคืออะไร ธรรมะนั้นถูกตีความออกไปได้หลายอย่าง หลายรูปแบบ แล้วแต่คนนั้นจะเอาความรู้ที่มีมาแต่ก่อนนั้นมาตีความ แล้วแต่คนที่มีบุญเก่านั้นตีความ ตีความเป็นธรรมะในความรู้สึกของเรา  บางคนจึงบำเพ็ญธรรมดั่งปัญญาชน บางคนจึงบำเพ็ญธรรมดั่งบัณฑิต บางคนจึงบำเพ็ญธรรมดั่งชาวบ้าน บางคนบำเพ็ญธรรมดั่งมิตร บางคนจึงบำเพ็ญธรรมดุจบิดา บางคนบำเพ็ญธรรมดุจมารดา บางคนบำเพ็ญธรรมดุจตาสีตาสา ทุกคนนั้นย่อมมีธรรม จริงหรือไม่  (จริง) 
ฉะนั้นในวันนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็มีธรรมเช่นเดียวกัน  ศิษย์ที่นั่งอยู่ตรงนี้ทุกคน ไม่มีคนใดคนหนึ่งเลยที่ไม่มีธรรม หากเจ้าไม่มีธรรม เจ้าจะไม่มีชีวิต ฉะนั้นทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่จึงมีธรรม  การบรรลุธรรมในตนจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนนั้นทำได้ อยู่ที่ว่าใครจะทำหรือไม่เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยามใดที่มโนธรรมสำนึกของตนนั้นบอกว่าอะไรคือถูกต้อง แล้วเราทำลงไป นั่นคือปัญญาภายในที่บ่งบอกเราว่าอะไรคือถูกต้อง เราจึงลงมือทำ เมื่อเราทำจึงเรียกว่าการบำเพ็ญธรรมเช่นเดียวกัน  ฟังมาอย่างนี้แล้วคำว่าบรรลุธรรม การหลุดพ้นจากความทุกข์ดูง่ายขึ้นหรือยัง (ง่าย)  ดูจะใกล้ตัวมากขึ้นหรือยัง (ใกล้)  อย่าทำให้ธรรมะนั้นดูสูงส่งแล้วห่างไกล เพราะเมื่อไรที่ธรรมะดูสูงส่งและห่างไกล ศิษย์เองจะเป็นคนที่ไม่มีธรรม ทุกวันนี้สภาพของศิษย์เหมือนกอดรัดธรรมะแน่น ทุกคนยึดธรรมะเป็นสรณะ แล้วทุกคนบอกว่าเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรมด้วยความภาคภูมิใจ ตัวเองนั้นได้รับธรรมะแล้วบำเพ็ญธรรมอยู่ แต่สุดท้ายแล้วเรามีธรรมะหรือเปล่า ยิ่งกอดรัดธรรมะแน่นเท่าไร เราก็กลายเป็นผู้ที่ยิ่งไร้ธรรมะเท่านั้น
คำว่า กอดรัดธรรมะแน่น นี่คืออะไร กอดรัดธรรมะแน่นอยู่ในตน กลายเป็นอัตตาตัวตนที่เรานั้นก็เอาตัวเราไม่อยู่เช่นเดียวกัน  เรานั้นย่อมไม่อาจเอาชนะอัตตาตัวตนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอัตตาแปลว่าตน คนไหนที่ชนะตนได้นั้นมีน้อยเหลือเกินในโลกนี้ จริงหรือไม่ (จริง)  ทุกคนจึงมีอัตตาตัวตนเป็นของตนเช่นเดียวกันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องชนะตัวเอง คนที่ชนะตัวเองนั้นประเสริฐยิ่งกว่าการชนะใครๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นเราเป็นคนที่ไม่รู้จักที่จะกตัญญู เห็นพ่อแม่ทีไร หมั่นไส้ทุกที อย่าบอกว่าไม่มีลูกประเภทนี้ อาจารย์เห็นบ่อย เรียกว่าคนยิ่งมีความสนิทชิดเชื้อกัน  ก็ยิ่งมีความไม่เคารพ และไม่เกรงใจมากขึ้นเท่านั้น  อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าศิษย์ไม่รักพ่อแม่ แต่เป็นอาการทางจิตใจที่ถูกกระทบจากภายนอก เห็นพ่อแม่ทีไร รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวทุกที เราจะเอาชนะตัวเองอย่างไรบ้าง เราจะเอาชนะตัวเองด้วยการไปเถียงพ่อแม่ ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  หรือเอาชนะพ่อแม่ด้วยการเงียบ ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  ก็ยังไม่ถูกอยู่ดี ตอนนี้พ่อแม่บางคนอายุมากแล้ว หรือบางคนไม่มีพ่อแม่แล้ว ตอนเด็กๆ ถามว่าเมื่อก่อนเราเคยเงียบใส่พ่อแม่ไหม เคยไหม (เคย)  เงียบทีไรชนะทุกที ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถึงจะตีก็ตีไปเถอะ เราชนะแล้วอย่างนี้เรียกว่าชนะจริงๆ ไหม (ไม่จริง)  อันนี้เรียกว่าเป็นการเอาชนะพ่อแม่แต่กลับแพ้ตัวเองอย่างมาก จริงหรือเปล่า (จริง) 
ทีนี้เราจะมาเอาชนะตัวเองอย่างไรดี ไหนใครมีวิธีการเอาชนะตัวเองได้ ลุกขึ้นพูดให้คนอื่นฟัง เอาชนะเรื่องอะไรก็ได้ อย่างเช่นมีคนเอาเงินมาให้ใต้โต๊ะ ถามว่าเราควรจะรับไหม (ไม่ควรรับ)  เราก็ไม่ควรจะรับ ถ้าเราทำได้ก็เป็นการเอาชนะตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้เรายังเป็นนักเรียนอยู่ ถ้าเราทำข้อสอบไม่ได้เหลือบไปดูโต๊ะข้างๆ อย่างนี้เราเอาชนะตัวเอง ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เราต้องรู้จักทำเองสุดความสามารถของเรา จริงหรือไม่ (จริง)  ในวันนี้มีคนมานินทาว่าร้ายให้เราได้ยิน มีคนมานินทาคนอื่นให้เราได้ยิน พบบ่อยไหม (บ่อย)  ถามว่าควรจะทำอย่างไร
ใครเคยได้ยิน คนหนึ่งนินทาคนอื่นให้เราฟังบ้าง ยิ่งสังคมเรายิ่งใหญ่โตเท่าไร สิ่งแวดล้อมของเรายิ่งใหญ่โตเท่าไร สมาคมกับคนมากเท่าไร ก็ยิ่งถูกคนนินทาเรา เรานินทาคนอื่น ก็ถูกคนอื่นนินทามากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราอยู่คนเดียวก็ไม่ต้องถูกคนอื่นนินทา จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นถูกคนอื่นนินทาธรรมดาหรือเปล่า (ธรรมดา)  ถ้าเรานินทาคนอื่นแล้ว คนอื่นนินทาเราก็เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  ถ้าวันนี้เรายังห้ามปากเราไม่ได้ เวลาถูกคนอื่นนินทาเราก็เห็นว่ามันเป็นธรรมดา จริงหรือไม่ (จริง)
หากวันนี้ไม่มีคนมารักมาใส่ใจเราเลย ถ้าเราทำผิดหรือเราทำอะไรที่พิสดารก็ไม่มีคนสนใจแสดงว่าเราไม่เป็นที่รักของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรายิ่งอยู่สูงยิ่งถูกนินทามาก เป็นเรื่องธรรมดาไหม (ธรรมดา)  เมื่อเห็นเป็นธรรมดาก็เป็นธรรมะ นี่คือการบำเพ็ญ ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ไหนใครยังไม่ได้ผลไม้เลย ๒ วันนี้ยกมือขึ้น วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ได้รับผลไม้ เพราะฉะนั้นวันนี้เอาไม่เอา (เอา)  มองทุกๆ วันให้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ดีหรือไม่ (ดี)  วันที่เป็นงานของวันนี้ก็ทำวันนี้ งานเมื่อวานนี้ก็ทำงานเมื่อวานนี้ให้สำเร็จ เรื่องของวันพรุ่งนี้เตรียมการไว้แต่อย่าได้วิตก อย่าได้กังวล อย่าได้เป็นทุกข์กับมันดีหรือไม่ (ดี)  แล้วมองทุกๆ วันให้เป็นวันสุดท้ายเพื่อชีวิตนี้จะได้มีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เราอย่ามองว่าเรานั้นเป็นคนที่มีอนาคตยาวไกล ขอเพียงแต่เราทำวันนี้ให้ดี ทุกๆ วันของวันนี้ให้ดี เราจะเป็นคนที่มีอนาคตยาวไกล แต่หากเราคิดว่าอนาคตของเรายาวไกล แล้วเราก็มุ่งหมายว่าพรุ่งนี้ ต้องดีกว่านี้ พรุ่งนี้เราจะทำนี่ พรุ่งนี้เราจะทำนั่น ทำโน่น ทำนี่ พรุ่งนี้ก็เหมือนวันนี้ที่ไม่ได้ทำ  สุดท้ายเราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนี้เป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิตหรือไม่
คนบำเพ็ญธรรมต้องเป็นผู้มีชีวิตที่ไม่ล้มเหลว คือเป็นผู้ที่มีความสำเร็จในชีวิต เพราะว่าความสมบูรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายนอกนี้ล้วนออกมาจากภายใน ภายในก็คือจิตใจ เรายังมีจิตใจที่มีความโลภ เรายังมีจิตใจที่มีความโกรธ เรายังมีจิตใจที่มีความหลงเต็มไปหมดเลย ในเรื่องๆ เดียว แค่ปัญหาอย่างเดียวมีทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ถามว่าเราจะเอาชนะปัญหาได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เราย่อมไม่สามารถเอาชนะปัญหาใดใดได้  แต่ความสมบูรณ์ออกมาจากภายใน ความโลภ โกรธ หลง นั้นก็ออกมาจากภายในเช่นกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงต้องมาขจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงที่อยู่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)
หลายๆ ครั้งที่อยู่ที่บ้านเรามีปัญหากับคนที่บ้าน อยู่ที่ทำงานเราก็มีปัญหากับคนที่ทำงาน เราอยู่ที่โรงเรียนเราก็มีปัญหากับคนที่โรงเรียน เราออกไปเจอใคร เราก็มีปัญหากับคนนั้นไปทั่ว ถามว่าใครมีปัญหา (ตัวเรา)  แสดงว่าคนที่มีปัญหานั้นคือตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปัญหานั้นอยู่ที่ไหน ปัญหาอยู่ที่ผิวหนังหรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เลือด หรือปัญหาอยู่ที่กระดูก ปัญหาอยู่ที่ฟันหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ปัญหาอยู่ที่ตาหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ต้องเริ่มใช่แล้ว ปัญหาอยู่ที่ตาหรือเปล่า (ใช่)  ปัญหาอยู่ที่คำพูดไหม (ใช่)  ปัญหาอยู่ที่การกระทำหรือเปล่า (ใช่)  ปัญหาอยู่ที่ความคิดไหม (ใช่)  นี่คือปัญหาของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นปัญหาของเรา เราต้องแก้ที่ตัวเองไม่ใช่ไปแก้คนอื่น จริงหรือไม่ (จริง)  อยากให้ลูกได้ดีกว่านี้ ถามว่าแก้ลูกหรือแก้เรา (แก้เรา)  พ่อแม่สูบบุหรี่ บอกลูกอย่าสูบเลย  พ่อแม่ยังสูบบุหรี่บอกลูกเลิกสูบ ลูกจะเลิกไหม (ไม่เลิก)  เพราะว่าลูกมองเรา  เรามีลูกน้อง เรามีเจ้านาย เรามีคนที่เรารู้จัก คนในบ้าน พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา ลูกก็ดี ทุกๆ คนมีปัญหาเพราะว่าเรามีปัญหา เชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ)
เรามีปัญหาที่คิดน้อยแต่คิดมาก เข้าใจไหม เวลามีเรื่องมา แทนที่จะคิดให้รอบคอบ แทนที่จะยิ้มเข้าไว้ เราก็เป็นอย่างไร มะพร้าวหล่นตุ้บ เราก็นึกว่าโลก (แตก)  เกิดปีกระต่ายหรือเปล่า เรามีปัญหาที่เราคิดน้อยแต่เราคิดมาก เราไม่ยอมคิดเรื่องอะไรให้มันดี ไม่ใช้เหตุผลในการพูดจา สุดท้ายเราคิดน้อยเกินไป เราเอาแต่ใจมากเกินไป แล้วเราก็คิดมากเกินไปกับการที่คนอื่นนั้นจะมีปฏิกิริยากับเราอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาคือเราคิดน้อยแต่เราคิดมากเกินไป ถูกไม่ถูก (ถูก)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้าไม่ใช่คิดน้อย ถ้าไม่ใช่คิดมากต้องคิดอะไร (คิดด้วยเหตุผล, คิดให้รอบคอบ, คิดกลางๆ )  คิดกลางๆ ตอบได้ดีไหม (ดี)  ดีกว่าไม่ตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาคือเราคิดดี แต่คนฟังคิดไม่ดีจริงหรือเปล่า เราพูดดีแต่คนฟังฟังไม่ดี ฟังหัวไม่ฟัง (หาง)  ฟังหางไม่ฟัง (หัว)  ฟังกลางไม่ฟังหัวไม่ฟัง (หาง)  จับเฉพาะท่อนที่อยากจะฟังใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดกลางๆ น่ะดี แต่อาจารย์ถามว่าตรงกลางอยู่ตรงไหน  อาจารย์บอกว่าคิดกลางๆ คือไม่คิด เข้าใจไหม
(พระอาจารย์เชิญนักเรียนหมายเลข ๑ และหมายเลข ๒ โดยให้คนหนึ่งยืนข้างหนึ่งและอีกคนหนึ่งยืนอีกข้างหนึ่ง) 
ตรงกลางระหว่างสองคนนี้คืออะไร อยู่ประมาณนี้ใช่หรือเปล่า ขยับไปทางนี้หน่อยใช่หรือเปล่า หรือขยับมาตรงนี้นิดหนึ่ง ศิษย์สังเกตไหมว่า แต่ละคนที่มองมามีตรงกลางที่ไม่เท่ากันจริงหรือเปล่า (จริง) เพราะฉะนั้นคำว่าคิดกลาง ๆ นั้นกลางของใคร ถ้ากลางของคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายจะเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) กลางของคนที่นั่งอยู่ทางขวาเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) แล้วกลางของคนที่ยืนอยู่ตรงโน้นเที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) คำว่ากลางก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกลางหรือเปล่า เราจะเที่ยงหรือเปล่า ถ้าเราเที่ยงอยู่ตรงกลางจริง ๆ แล้วบอกว่านี่คือตรงกลาง มันก็เป็นตรงกลางจริงหรือไม่ (จริง) แต่ปัญหาคือเราไม่อยู่ตรงกลาง ชีวิตนี้ของศิษย์ไม่ได้อยู่ตรงกลาง ศิษย์อยู่ในที่ ๆ บิดเบี้ยว ศิษย์อยู่ในจุดที่ศิษย์อยู่ เพราะฉะนั้นคำว่าตรงกลางระหว่างคนที่ศิษย์มีปัญหาด้วยจึงไม่กลางจริงหรือไม่ ยิ่งถ้าเราเป็นคนที่มีปัญหากับเขาเองยิ่งไม่กลางเลยใช่หรือไม่ คำว่าตรงกลางจึงเป็นคำว่ากลางยากมาก เพราะฉะนั้นใครก็แล้วแต่ที่มีหน้าที่ ๆ จะต้องพูดว่าอะไรคือกลาง ศิษย์จะเป็นคนที่มีภาระหนักมาก เพราะต้องตอบคำถามทุก ๆ คน แต่ชีวิตไม่ได้อ่านง่ายเหมือนหนังสือที่มีเส้นคั่นกลางอยู่พอดี คำว่าตรงกลางจึงไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าอะไรคือความเป็นกลางของชีวิต
คิดกลาง ๆ คือไม่คิดเพราะว่าเราใช้ความคิดมากเกินไป ยิ่งคิดก็ยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งแต่งเติม ยิ่งปรุงแต่งก็ยิ่งถูกกระทบใจมากเท่าไร ชีวิตศิษย์ก็ยิ่งพัง  ฉะนั้นทุกครั้งที่เราใช้ความคิดเราต้องคิดให้เป็น คิดให้เป็นในภาษาทางโลก ก็คือคิดอย่างใช้เหตุผล คิดอย่างรอบคอบ คิดอย่างสุขุม คิดอย่างเข้าอกเข้าใจคนอื่น คิดอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดอย่างให้เกียรติคนอื่น  คิดอย่างเคารพผู้อื่น  คิดอย่างเอื้ออาทรผู้อื่น  คิดอย่างเมตตาผู้อื่น คิดหยั่งให้ถึงจิตใจผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ นี่คือการที่เรานั้นพยายามที่จะคิดให้ดี แต่ว่าเวลาที่เราคิด ถามว่าความคิดเปลี่ยนไวไหม หนึ่งนาทีคิดไปกี่เรื่องไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งถ้ามีเรื่องมากระทบ เสียงนินทาเข้ามาปุ๊ป เราหมุนแล้วหกสิบวินาทีหมุนไป หกสิบรอบ เหนื่อยไหม (เหนื่อย) การที่เราคิดนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก ๆ  คนใช้สมองจึงเหนื่อยยิ่งกว่าคนที่ไปทำงานอีก เพราะว่าใจของเรานั้นหยุดตัวเองไม่ได้ ใจของเราไม่มีทางที่จะรู้ว่าตรงไหนเป็นทางออก แต่วันนี้พูดถึงเรื่องใจแม้ว่าตอนนี้ไม่สามารถที่จะหยุดใจของเราได้ แม้ว่าวันนี้เรายังไม่รู้จักตัวเอง บางทีเราก็อยู่อย่างคนที่ไม่เข้าใจตัวเอง บางทีเราก็ฟังเสียงคนอื่น บางทีเราก็ฟังเสียงตัวเอง แต่ว่าแม้กระทั่งใจเราเป็นอย่างนี้เราก็ยิ่งที่จะต้องพยายามหยุดใจของเราด้วยคำว่า บำเพ็ญธรรม เป็นที่ตั้ง
ทุกครั้งที่เราโมโห เราถามตัวเองว่าเราบำเพ็ญธรรมใช่ไหม คนบำเพ็ญธรรมคือคนที่จะพยายามไม่โมโหจริงหรือเปล่า ทุกครั้งที่เรามีความหงุดหงิดรำคาญใจ ทุกครั้งที่เราเบื่อหน่ายและท้อใจ เราถามตัวเองบอกว่า เราบำเพ็ญอยู่ก็พยายามที่จะหยุด พยายามที่จะเข้าใจตัวเอง เมื่อเราฟังเสียงตัวเองมามากพอแล้ว ลองฟังเสียงคนอื่นบ้าง คำวิพากษ์วิจารณ์นั้นมีอยู่มากมายในโลกนี้ หากจะพูดไปแล้วคำวิพากษ์วิจารณ์เป็นเสมือนลมแรง ลมแรงที่พัดให้หูเราอื้ออึงและก็ฟังอะไรไม่ได้ยินเลย  แต่ว่าเราจำเป็นต้องฟัง ขอให้ศิษย์รู้จักเลือกฟัง ใครก็แล้วแต่ที่บอกว่าเราไม่ดีขอให้ศิษย์นั้นเลือกฟังเขาบอกว่าเราไม่ดีตรงไหน แล้วเราก็แก้ไขตรงนั้น ถ้าหากคนบางคนไม่ได้แก้ไขความเคยชินความไม่ดีของตัวเองเลยจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม อาจารย์ถึงพูดกับศิษย์ประจำว่าเวลาบำเพ็ญธรรมแล้วต้องดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ศิษย์อาจารย์ใช้เวลาบำเพ็ญธรรมมากี่ปีแล้ว เมื่อเราบำเพ็ญธรรมเราจึงต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ
ระลึกทุกข์ที่เคยเพราะไม่ยอม  อึดอัดย่อมหมดดีมีปัญหา
ใจแน่นแน่นไปเพียงชั่วเวลา      อนิจจาจะทิฐิตามไหนคือธรรม
สังเกตไหมว่าคนที่ทำหน้าที่เขียนกระดานหูจะอื้อ อยู่ตรงไหนก็ฟังชัด ลองมายืนตรงนี้นี่ ฟังไม่ชัดแล้ว เพราะว่าเรามีความเครียด แล้วศิษย์ลองคิดว่าเวลาที่ศิษย์ต้องทำอะไรโดยที่มีความกดดันอยู่ ถามว่าการที่จะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จง่ายไหม ที่เราไม่ประสบความสำเร็จเพราะว่าเราเครียดมากเกินไป มีความกดดันมากเกินไป เราปรารถนาผลอันสำเร็จนั้น ประโยชน์นั้น ๆ มากเกินไป ฉะนั้นเราจึงทำอะไรไม่ค่อยจะสำเร็จเลย
ความสำเร็จนั้นก้าวหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า แล้วจะประสบความสำเร็จ เราก็ก้าวหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ด้วยซ้ำแต่ว่าไม่สำเร็จ เพราะว่าเรานั้นพลาดรายละเอียดบางอย่าง เรานั้นเกร็งมากเกินไป เครียดมากเกินไป เรานั้นเรียกร้องตัวเองนั้นสูงมากเกินไป ถ้าหากว่าศิษย์เป็นผู้บำเพ็ญธรรม อาจารย์จะแนะนำให้ศิษย์นั้นใช้ความธรรมดา ธรรมดาก็คือธรรมะ ธรรมชาติก็คือธรรมะ ในเมื่อพยายามแทบตายแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไปเรื่อย ๆ ธรรมดา ๆ แล้วถ้าไม่สำเร็จ อย่างมากก็เป็นเสมอตัว
แต่ถ้าหากศิษย์นั้นสามารถกำราบความเครียด ความเกรงกลัวที่อยู่ในใจของเราได้ เราก็กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จได้ อย่างน้อยก็เอาชนะตัวเองได้ เราไม่ชนะในสายตาใคร ๆ  แต่เราชนะในสายตาของตัวเอง ในสายตาฟ้าดิน และในสายตาอาจารย์ ฉะนั้นจงถอดความเครียดบวกความเกร็งออกไปให้พ้นจากจิตใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะประสบความล้มเหลว ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จรุ่งเรือง หรือไม่ว่าจะเสมอตัวเรา ไม่มีสิทธิ์ที่จะผยอง ไม่มีสิทธิ์ที่จะอวดตัวอยู่แล้ว คนที่อวดตัวแปลว่าคน ๆ นั้นจะไม่มีวันพลาด ถึงสามารถที่จะอวดตัวได้ แต่ว่าคนในโลกนี้ใครบ้างที่ไม่มีวันพลาด วันนี้ไม่พลาด วันหน้าเราก็อาจจะพลาด เพราะฉะนั้นการอวดตัวจึงเป็นการทำให้ตัวเองขายหน้าอย่างยิ่ง อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์อวดตัว อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นอวดโง่
รู้จักอวดโง่ไหม อวดโง่เป็นอย่างไร คนในโลกนี้ไม่กล้าอวดโง่ เพราะกลัวว่าพูดว่าโง่แล้วคนจะสมน้ำหน้า จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นต้องอวดฉลาดไว้ใช่หรือไม่ อวดฉลาดก็เป็นคนโง่ อวดโง่ก็เป็นคน (ฉลาด)  แล้วเราจะเป็นคนอวดโง่หรืออวดฉลาดดี (อวดโง่)  ถ้าไม่รู้ต้องพูดว่า (ไม่รู้)  ถ้าไม่รู้ก็พูดว่าไม่รู้ ทำไม่ได้ก็พูดว่า (ทำไม่ได้)  ทำไม่ได้ก็พูดว่าสอนหน่อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้ทำไม่ได้ให้คนอื่นสอน วันหน้าเวลาเราทำได้สอนคนอื่น เราจะอวดฉลาดอีกไหม (ไม่อวด)  วันหน้าเวลาเราทำได้ เราจะไปสอนคนอื่นก็ต้องบอกว่า ไม่ค่อยเป็นนะ  ยังรู้ไม่ค่อยเท่าไรนะ  เผื่อว่าคนที่มาเรียนกับเรา เป็นคนที่เก่งกว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความอ่อนน้อมจึงเป็นคุณสมบัติของคนทุกๆ คนที่มุ่งหมายที่จะบำเพ็ญธรรม ความอวดฉลาดจึงตรงข้ามความอ่อนน้อม อย่าได้เป็นคนที่รักหน้า อย่าได้เป็นคนกลัวเสียหน้า ความรักหน้ากลัวเสียหน้า แสดงว่าเรายังมีหน้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนมีหน้าก็มีหน้าบางกับมีหน้าหนา ถ้าหากว่าไม่มีหน้าก็ไม่มีหน้าบางแล้วก็ไม่มีหน้าหนา จริงหรือไม่ (จริง)  คนมีหน้าก็ต้องรักษาหน้า คนไม่มีหน้าก็ไม่ต้องรักษาหน้า ต่อให้ไม่รวยก็บำเพ็ญได้ ต่อให้ไม่รู้หนังสือก็บำเพ็ญได้ บำเพ็ญธรรมต่อให้ไม่เป็นอะไรเลยก็บำเพ็ญได้ ต่อให้เป็นคนโง่ก็บำเพ็ญได้ ต่อให้ไม่ใช่ปัญญาชน ไม่ใช่บัณฑิตก็บำเพ็ญได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนชนชั้นปัญญาชน เวลาบำเพ็ญธรรมจะมีปัญญามากกว่าความศรัทธา ปัญญานั้นก็ทำให้เราเป็นคนที่ถือทิฐิ ปัญญานั้นก็ทำให้เรานั้นเป็นคนที่เข้ากับใครไม่ได้ ปัญญานั้นก็ทำให้เรานั้นคิดแต่ว่าจะมีดีกว่านี้ ปัญญานั้นก็ทำให้เรารู้สึกว่าเรานั้นคงจะได้ดียิ่งกว่านี้  ปัญญาที่อาจารย์พูดนี้เป็นปัญญาหยาบ หรือคือความฉลาด หรือถ้าหยาบมากยิ่งขึ้นก็คือ ความเจ้าเล่ห์เพทุบาย  ฉะนั้นคนที่เป็นคนชนชั้นปัญญาชนยิ่งมีความรู้ ก็ยิ่งต้องรู้จักระมัดระวังตนว่าตนจะหลงไปในปัญญาของตัวเอง จะหลงไปในความรู้ของตัวเอง
คนที่เป็นคนชาวบ้านธรรมดา เขามีปัญญาอันยิ่งใหญ่ เพราะว่าเหนือไปกว่าความรู้ที่ศิษย์มี คือเขาปฏิบัติได้ ทำได้ แต่ศรัทธาที่มากกว่าปัญญานั้นก็นำพามาซึ่งของขลังศักดิ์สิทธิ์ ขอหวย ขอพร ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่มีศรัทธานั้นจึงต้องระวังเช่นเดียวกันเพราะว่าอาจจะไปใกล้กับความหลง ไปใกล้กับอวิชชา
ผู้บำเพ็ญธรรมจึงต้องมีทั้งปัญญาและศรัทธาควบคู่กันไป ไม่ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ผู้มีศรัทธานั้นจะสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์แห่งชีวิตได้บ่อยครั้ง ทำไมบางคนเป็นคนที่บำเพ็ญธรรมแล้ว มีสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์กับเขา ทำไมไม่เกิดกับเราล่ะ ก็เพราะว่าถ้าเราเป็นคนที่อยู่กับโลกของความจริงมากเราจึงต้องอยู่กับโลกของความจริง
โลกของความจริงก็คือเราต้องทำด้วยสองมือ ส่วนคนที่มีศรัทธามาก เขาย่อมมีปาฏิหาริย์เกิดกับชีวิตเพราะว่าเขานั้นเดินด้วยใจ ส่วนคนที่มีปัญญามาก ก็จะมีหนทางอันสว่างไสว หากตัดอวิชชาและความหยาบในปัญญานั้นทิ้งได้ เขาจะสามารถมีทางเดินที่สว่างรุ่งโรจน์
ฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมในยุคนี้จึงจำเป็นจะต้องมีทั้งปัญญาและศรัทธาควบคู่กันไป ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ จะบอกว่าสิ่งใดนำสิ่งใดก็ไม่ได้ ต้องมีทั้งสองอย่าง เป็นผู้นำและเป็นผู้ตามในเวลาเดียวกัน 
ความสุภาพมองได้ในชีวิตประจำวันของตัวเราเอง หากทำได้สม่ำเสมอจึงเรียกว่าเป็นคนสุภาพ ใช่หรือไม่ การที่รองเท้าติดเท้าเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากว่าถอดก็ต้องถอดในที่ที่ควรถอดจริงหรือเปล่า (จริง)  ถ้าหากว่าเราอยู่แถวหน้าเราก็คงไม่กล้าถอดจริงไหม แถวหลังๆ ก็จะกล้าถอดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับถูกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นวันนี้ศิษย์คนไหนของอาจารย์อยู่แถวหน้า แถวหน้าก็มีความกดดันสูง คนก็คาดหวังในตัวเราสูง จริงไหม แล้วเราก็ต้องปรับตัวเองอย่างสูงจริงหรือเปล่า แต่อาจารย์จะบอกให้ คนที่อยู่แถวหน้าปรับตัวเองสูงมากๆ ศิษย์จะเป็นคนที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น เพราะว่าถูกสายตาทุกคู่เพ่งมองที่เราอย่างดุเดือด ศิษย์ก็เหมือนกับมีตะแกรงไว้คอยร่อนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะออกไปไหนพบใคร จะทำอะไรก็มีคนตรวจสอบให้เสร็จสรรพเรียบร้อย เพราะฉะนั้นการที่เรามีคนตรวจสอบให้เรียบร้อยอย่ารำคาญ อย่าตัดพ้อต่อว่า หากว่าเขายังกล้าที่จะใช้สายตามองเรา เราจงกล้าที่จะปรับปรุงตัวเอง หากเขายังมองเราแล้วยังวิจารณ์ แล้วยังชมยังติเราแสดงว่าเรานั้นยังเป็นคนที่เป็นมิตรกับเขาอยู่ ยังใกล้ชิดกับเขาอยู่ จริงหรือไม่ (จริง) 
อาจารย์พูดเมื่อสักครู่ว่า สูงนักมักโดดเดี่ยว  ถ้าศิษย์อยู่สูงด้วยอัตตา สูงด้วยความที่ไม่มีใครสนใจแล้ว สูงด้วยไม่มีคนกล้าวิจารณ์แล้ว อันนี้ศิษย์โดดเดี่ยวจริงๆ แล้วศิษย์จะรู้ว่า อยู่ท่ามกลางคนมากมายแต่โดดเดี่ยวเป็นอย่างไร  มันเหงาเสียยิ่งกว่าเหงาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นวันนี้มีคนสนใจเราดีหรือไม่ดี (ดี)  วันนี้ในครอบครัวของเรา สามี ภรรยา ลูก สนใจเรามากดีหรือเปล่า (ดี)  วันนี้คนที่เป็นครูอาจารย์ คนที่เป็นเพื่อนของเรา ยังสนใจเรามาก ดีหรือเปล่า (ดี)  วันนี้ใครที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าเขาจะรู้จักเรามากหรือน้อย ไม่ว่าเขาจะเห็นเราเพียงแค่แว้บหนึ่งหรืออะไรก็ตาม แต่เขาสนใจเรามาก เขารักเรามาก เขาติเรามาก เขาเบื่อเรามากเลย ดีหรือไม่ดี (ดี)  วันไหนที่ศิษย์อยู่ที่บ้าน แล้วลูกไม่พูดด้วย สามีไม่พูดด้วย ภรรยาไม่พูดด้วย เพื่อนก็ไม่พูดด้วย เป็นอย่างไรบ้าง ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  วันไหนอยู่ท่ามกลางคนที่เรารู้จักมากมายแต่เขาเงียบไปหมดเลย ศิษย์เอ๋ย วันนั้นหายนะแล้ว เรารู้สึกว่าชีวิตของเรานั้นแย่แล้ว อารมณ์ของเราที่เคยเบิกบานก็หุบ จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นอารมณ์แห่งธรรมะเป็นอารมณ์ที่เบิกบาน
อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าศิษย์ยิ่งกอดรัดธรรมะเข้าไปแน่นเท่าไร ยิ่งกอดก็ยิ่งแน่น ไหนลองกอดอกให้แน่น แล้วหน้าบึ้งด้วย เป็นอย่างไร คนเขาก็บอกว่าเราหยิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นธรรมะจะมีอย่างเย่อหยิ่งไม่ได้ ธรรมะจะมีท่าทางแห่งความเย่อหยิ่งไม่ได้ ธรรมะต้องเป็นความเบิกบาน ทำอย่างไร (ปล่อยวาง)  ปล่อยวาง ปล่อยมือวางลงข้างๆ ตัว ทุกอย่างคือธรรมชาติ นี่คืออารมณ์ของธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือหัวใจของธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นนอกจากมือปล่อยลงแล้ว หน้ายังต้องเบิกบานตามไปด้วย ถึงจะเรียกว่า เราเป็นคนที่มีธรรมะ บางคนเป็นอาวุโสแล้วแต่ว่าชอบหน้าบึ้ง ความหน้าบึ้งของเรานั้นเกี่ยวข้องกับธรรมะด้วย ความหน้าบึ้งของเราทำให้คนรู้สึกว่าธรรมะก็บึ้งด้วย ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าคนมองธรรมะที่เรา  เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นคนที่มีธรรมะในตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเป็นคนที่มีธรรมะอยู่ในคำพูด มีธรรมะอยู่ในการกระทำ และมีธรรมะอยู่ในความคิด มีธรรมะอยู่ในความประพฤติปฏิบัติตัวของเรา มีธรรมะอยู่ในแววตา มีธรรมะอยู่ในการฟัง ทุกๆ วันของเราผ่านไปโดยที่เราเป็นผู้ที่มีธรรมะ อย่างนี้เราก็เป็นตัวแทนธรรมะที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในบางวันอาจารย์ก็เห็นศิษย์แอบเป็นตัวแทนธรรมะที่ไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)
พออาจารย์พูดก็มีคนบอกพูดมาก  พออาจารย์ไม่พูดก็มีคนเริ่มหลับแล้ว  จริงๆ การหลับเป็นเรื่องธรรมดาไหม หลับทุกวันเลย แต่หลับเวลาที่ไม่ควรจะหลับ ถึงเวลาที่ควรจะหลับๆ ไหม (ไม่หลับ) เวลาให้นอนไม่นอน เวลาไม่ให้นอนแล้วจะนอน อย่างนี้ธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา)  ไม่ธรรมดาอย่างนี้ไม่ใช่ธรรมะ
(พระอาจารย์ให้นักเรียนออกมาวงครอบพระโอวาท)
คนที่ยืนเมื่อยหรือไม่เมื่อย (ไม่เมื่อย)  นี่เรียกโกหกหรือเปล่า อันนี้ไม่เรียกว่าโกหกนี่ เรียกว่าเกรงใจใช่หรือไม่ แต่คนในโลกนี้ชอบโกหกนะ ถ้าถามว่าทำอะไร ตอบว่า เปล่า ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ก็ยังไม่เรียกว่าโกหกที่แท้ แต่มีโกหกจริงๆ คนที่ชอบโกหก เวลาโกหกไปคำเดียว ก็ต้องหาถึงสิบคำมากลบเกลื่อนใช่ไหม แล้วสิบคำที่มากลบเกลื่อนส่วนใหญ่ก็เป็นคำโกหกเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกคำโกหกก็ต่อลูกออกไปอีกสิบคำ สิบคำก็เท่ากับว่าเราจะไม่มีวันได้เป็นไทจากความโกหกของเราเลย
ฉะนั้นจงหัดพูดความจริง เพราะว่าความจริงแตกลูกแตกหลานแล้วดี คำโกหกแตกลูกแตกหลานแล้วเอาตัวไม่รอด
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนที่ออกมาวงพระโอวาทครอบ)  ออกแรงวงอีกหน่อย แรงมาจากข้างใน คนที่เป็นโรคไม่ได้น่าสงสารที่เป็นโรคนะ คนที่เป็นโรคน่าสงสารที่ไม่สู้ ใช่หรือเปล่า
ยุคนี้ผู้หญิงบำเพ็ญมากกว่าผู้ชายใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาผู้หญิงบำเพ็ญมากกว่าผู้ชายก็มีข้อเสีย คือผู้หญิงชอบพูดนินทา ผู้หญิงนั้นมีปากเป็นเอก ฉะนั้นการที่จะเกิดปัญหาตามมาจากการพูดของตัวเองนั้นจึงมีมากมายทีเดียว ผู้หญิงอยู่ในบ้านหนึ่งคนในบ้านก็ยุ่งแล้ว ใช่หรือเปล่า เวลาผู้หญิงหลายคนอยู่ในบ้าน บ้านก็ยุ่งมากขึ้นด้วย จริงหรือไม่  แต่ในขณะเดียวกันถ้าไม่มีผู้หญิงในบ้าน บ้านก็ไม่เรียบร้อย จริงหรือเปล่า (จริง)  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นผู้หญิงบำเพ็ญมาน้อยกว่า แต่ว่าศิษย์ของอาจารย์ถือว่าเป็นคนที่มีความโชคดีที่ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นคน แล้วเป็นผู้หญิง แล้วได้มารับธรรมะบำเพ็ญธรรม ฉะนั้นจงอย่าเอาเรื่องหยุมหยิมมาใส่ใจ ขอให้เป็นคนที่เอาชนะความทุกข์ ผู้หญิงจะมีความทุกข์มากกว่าผู้ชาย จะเครียดมากกว่าผู้ชาย มีเรื่องมากวนใจมากกว่า จะกังวลเรื่องอะไร เรื่องยังไม่เกิดก็คิดไปห้าวันแล้ว พอเรื่องเกิดคิดไปสามปีเลย
(พระอาจารย์เมตตาให้ญาติธรรมเก่าของลำปางออกมาวงพระโวอาทครอบ)
ใครก็ได้เด็กหรือแก่ไม่สำคัญนะ คนทุกคนเกิดมาก็เป็นเด็ก เด็กในที่สุดก็ต้องแก่ใช่หรือเปล่า แล้วคนแก่ที่มีความเป็นเด็กอยู่ข้างในก็เยอะ ใช่หรือเปล่า
เห็นไหมว่าแค่ผู้หญิงที่มาสถานธรรม กับผู้ชายที่มาสถานธรรม ก็มีจำนวนต่างกันแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นผู้หญิงนั้นทำให้วุ่นวายก็จริง แต่ผู้หญิงก็เป็นคนทำงานใช่ไหม ถูกหรือเปล่า ต้องยอมรับ
(พระอาจารย์เมตตาให้โอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า อำนาจย่อมทำลายตัวเอง)
ทุกคนมีที่ๆ เรานั้นมีอำนาจหรือเปล่า (มี)  ทุกๆ คนมีอำนาจอยู่ในตัว ไม่ว่าจะพร้อมใช้หรือไม่พร้อมจะใช้ก็ตาม ทุกคนมีอำนาจอยู่ในตัว อำนาจที่คนสมัยนี้ คนยุคปัจจุบันนี้พูดถึงกันมากที่สุดก็คืออำนาจเงินตรา ใช่หรือไม่ (ใช่)   อำนาจเงินตราก็ย่อมทำลายตัวเองเหมือนกัน อำนาจของอะไรอีกนอกเหนือจากเงินตรา อำนาจของอัตตาก็ย่อมทำลายตัวเองเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนอกเหนือจากอำนาจเหล่านี้ ศิษย์ทุกคนๆ ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจในตัว อำนาจของตนเปรียบเสมือนลมหายใจที่ตนมีอยู่เข้าออกๆ เพียงแต่ว่าพร้อมที่จะเอาออกมาใช้หรือไม่เท่านั้น เมื่อทุกคนเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ เมื่ออายุของเราตั้งแต่เลข ๑ ๒ ๓ ไปจนกระทั่งเป็นสิบๆ อายุของเราล่วงเลยมากยิ่งขึ้น เมื่อเราทำสิ่งใดชำนาญ สิ่งนั้นจะกลายเป็นอำนาจของเรา เมื่อเราชำนาญในการบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมก็มีอำนาจเช่นเดียวกัน แต่ในการที่อาจารย์พูดว่าอำนาจทำลายตัวเองเพราะคำว่าอำนาจนั้นเป็นสิ่งที่ร้อนมือ เมื่อใครถือครองไว้ย่อมทำลายตัวเอง อำนาจเปรียบเสมือนกำแพงที่กักขังตัวเองไว้ข้างใน ให้ตัวเองนั้นอยู่สูงล้ำและโดดเดี่ยว ฉะนั้นคนที่บำเพ็ญธรรมอย่าได้เป็นคนที่สั่งสมอำนาจ อย่าได้คิดว่าตัวเองมีดีเหนือผู้อื่น อย่าได้กดดันและข่มผู้อื่น ในขณะเดียวกันเราไม่สั่งสมอำนาจ แต่ต้องสั่งสมบารมี คนมีอำนาจกับคนมีบารมีดูแล้วคล้ายๆ กันใช่ไหม แต่คนมีอำนาจคือใช้แรง หรือใช้กำลัง หรือใช้คำพูด กดไว้ แต่คนมีบารมีนั้นไม่เหมือนกัน คนมีบารมีคือมองตั้งแต่ไกลก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตา จะรู้สึกเป็นมิตร จะรู้สึกดีกับคนๆ นั้น นั่นคือบารมี บารมีนั้นอาจเกิดได้ในคำพูด เมื่อเราพูดดีบารมีก็เกิดได้ที่คำพูด เมื่อเราทำดีเรื่อยๆ บารมีนั้นก็เกิดที่การกระทำของเรา เมื่อเราคิดดีเรื่อยๆ บารมีนั้นก็เกิดอยู่ในความคิดของเรา บารมีอย่างนี้ง่ายไหม (ง่าย)  ยังมีบารมีอย่างยาก คือบารมีหก ปารมิตตาหก[๑]นั้นก็ให้ศิษย์ไปศึกษาเพิ่ม แต่บารมีที่อาจารย์อยากสอนศิษย์ในวันนี้ง่ายๆ เพียงแค่ให้พูดดี คิดดี ทำดี แล้วทำจริงๆ ธรรมะหลายข้อเป็นธรรมะที่ศิษย์นั้นรู้อยู่แล้ว แต่ว่าเข้าใจไม่ลึกซึ้ง ไม่ได้ทำ ไม่ได้ปฏิบัติจริง จึงไม่เกิดผลอันสมบูรณ์
เราจะเอาชนะอำนาจที่เรานั้นมีอยู่ได้อย่างไร มีคนมาพินอบพิเทาเรามากๆ เราจะเอาชนะอำนาจนี้อย่างไร
อำนาจที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่อำนาจแห่งเงินตรา ไม่ใช่อำนาจของหน้าที่ ไม่ใช่อำนาจที่มีอยู่ในโลกนี้ แต่อำนาจที่น่ากลัวที่สุดคืออำนาจของอะไร (อำนาจความหลงตัวเอง)  ตอบได้ดี อำนาจที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่อำนาจที่ศิษย์นั้นพูดถึง อย่างเช่นอำนาจความหลงตัวเอง หลงอำนาจเงินตรา หลงอำนาจจิตใจ อำนาจเงินตรานั้นมีอิทธิพลต่อคนที่ขาดแคลนเท่านั้น เมื่อศิษย์ให้ความสำคัญ มันก็จะสำคัญ เปรียบเสมือนคนผิดที่รู้สึกว่าตัวเองทำผิด ก็จะยิ่งแก้ตัวเป็นต้น ฉะนั้นอำนาจที่อาจารย์พูดถึงเป็นอำนาจที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ คืออำนาจอะไรเป็นอำนาจของความชั่วของมนุษย์ที่ทำจนกระทั่งรวมตัว ก่อตัว จนเหมือนกับเป็นก้อนหนึ่ง พุ่งทะลุไปถึงฟ้า และบันดาลลงมาเป็นภัยพิบัติสู่โลกมนุษย์ นี่คืออำนาจที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่ว่าฟ้าตั้งใจ หรืออยากที่จะลงโทษมนุษย์  แต่เป็นเพราะว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถควบคุมความชั่วที่อยู่ในตัวได้ เมื่อรวมกันจึงกลายเป็นกลิ่นไออันอำมหิต ที่พุ่งขึ้นไปสู่เบื้องบนและกลับลงมาเป็นภัยให้โลกมนุษย์
ฉะนั้นทุกๆ คนจึงจำเป็นที่จะต้องมีหน้าที่ต่อส่วนรวม ก็คือการควบคุมความชั่วร้ายในตัวตนให้ดี อาจารย์ถึงถามว่าใครทำความดีมากกว่าทำความชั่ว ศิษย์ของอาจารย์ในห้องนี้ยังไม่กล้าที่จะยกมือ ทั้งๆที่ตอนที่ศิษย์มารับธรรมะ ทุกคนคุกเข่ารับประกันว่าศิษย์นั้นเป็นคนดี ศิษย์ยังไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองนั้นเป็นคนดีเลย
ฉะนั้นในวันนี้เมื่อยามที่เรามาที่นี่ เมื่อยามที่เราอยู่พร้อมกันในกลุ่มของคนดี ศิษย์ก็จงทำความดีต่อคนดี เมื่อยามที่เราออกไปสู่โลกภายนอก ศิษย์จงทำความดีต่อคนที่ไม่ดี เพราะว่าทุกๆ คน นั้นมีภาวะแห่งพุทธะนั้นซ่อนอยู่ในตนทั้งสิ้น ไม่มีใครผู้ใดไม่มี  เพียงแต่บางคนนั้นก็มีความอับจนปัญญา คือปัญญาบอบบาง บางคนนั้นมีปัญญาหนัก แต่ไม่ว่าจะหนักหรือเบาเกินไป ก็ล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาทั้งสิ้น คนที่มีปัญญาจึงต้องมีปัญญาพอเหมาะพอสมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามสมควร บางทีเราใช้ความฉลาดมากเกินไปในที่ๆ ไม่ต้องการ ศิษย์ก็กลายเป็นส่วนเกิน บางทีเราใช้ความโง่มากเกินไปในที่ๆ เขานั้นรู้กันไปหมดแล้ว ศิษย์ก็กลายเป็นส่วนเกินเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไรหัดมอง หัดฟัง มองและฟังเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองมากยิ่งขึ้น ให้ศิษย์นั้นอยู่ภายใต้อำนาจแห่งพวกนี้ได้อย่างสงบสุข ดีหรือไม่ (ดี)  คนยิ่งอายุมากขึ้นจะยิ่งอยากได้เงินทองมากขึ้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเขาเกิดความไม่มั่นคงและขาดแคลนทางใจอย่างยิ่ง ฉะนั้นศิษย์จงดูไว้เป็นแบบอย่างก่อนที่ศิษย์จะชรา ศิษย์ต้องหัดที่จะปลงในโลกมนุษย์นี้  มีก็อยู่แบบคนมี ไม่มีก็อยู่แบบคนไม่มี ไม่มีก็ประหยัดหน่อย มีก็เผื่อแผ่ให้คนอื่นมากๆ เห็นไหมว่าเงินนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อใช้เองเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)   คนมีนั้นกลับไม่ค่อยได้ใช้เงิน ส่วนคนไม่มีก็กลับรู้จักให้คนอื่นมากกว่าคนมี จริงหรือเปล่า (จริง)
ในวันนี้อาจารย์มาเพื่อเรียกร้องให้ศิษย์นั้นรู้จักเรื่องการบำเพ็ญธรรมมากขึ้น  อาจารย์ไม่ได้มอบความรู้ อาจารย์ไม่ได้มอบความฉลาด  แต่อาจารย์มอบปัญญาให้ศิษย์ ปัญญาที่จะเอาไว้ใช้ชนะโลกนี้ ปัญญาที่ศิษย์เอาไว้ใช้ชนะปัญหา ปัญญาที่เอาไว้ให้ชนะความทุกข์  ให้มองโลกนี้ให้จืดจางเบาบางลงบ้าง อย่ามองโลกนี้อย่างอาหารที่มีรสชาติเข้มข้น  เพราะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง วันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็ไม่เหมือนกัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกนี้ การเปลี่ยนแปลงที่อยู่รอบตัวเราล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น  แม้ว่าวันนี้เราอาจจะเปลี่ยนแล้วอาจจะตกงาน อาจจะเปลี่ยนแล้วอาจจะกลายเป็นคนที่ไม่มีเงินใช้ อาจจะเปลี่ยนแล้วอาจจะกลายเป็นคนที่ตกอับ เราอาจจะถูกครหานินทา  แต่ศิษย์เอ๋ยการเปลี่ยนนั้นดีทั้งนั้น เพียงแต่ศิษย์นั้นต้องรู้จักคิดดี  เมื่อเราคิดดีทุกอย่างก็จะดีขึ้น เมื่อเราคิดร้ายก็จะร้ายไปตามใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจของเรานั้นแม้ว่าจะอยู่ข้างใน แต่ใจของเรานั้นกำหนดโลกภายนอกทั้งใบ แต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์คิดร้ายแล้ว เรื่องอะไรจะดีขึ้นนั้นไม่มี เป็นไปไม่ได้ จึงต้องรู้จักมองให้ดี ต้องตอบโต้คนไม่ดีด้วยความดี ศิษย์ถึงจะชนะตัวเองในที่สุด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
วันนี้ธรรมะก็เข้าใกล้ศิษย์มากขึ้น การบรรลุธรรมย่อมขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติ และไม่ใช่ปฏิบัติแล้วหยุดปฏิบัติแล้วหยุด ต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ  โลกนี้มีความทุกข์มากมาย โลกนี้มีเรื่องไม่สมหวังมากมาย โลกนี้มีเรื่องให้ศิษย์คิดมากมาย มีเรื่องให้ศิษย์คิดไม่ตกมากมาย โลกนี้มีสิ่งที่ศิษย์นั้นจะต้องค้นหาตลอดชีวิตและอาจจะไม่พบคำตอบมากมาย  แต่ศิษย์เอ๋ย ศิษย์ต้องอยู่กับมัน  สิ่งที่อาจารย์ทำได้ ก็เพียงแค่ ขอให้ศิษย์รู้จักทำใจ ไม่ใช่เอาใจที่ดิ้นรน ไม่ใช่เอาใจที่รู้สึกร้อนไปหมด สงบเย็นอยู่ภายในตน  คนคิดได้ คนคิดเป็น ก็มีสุขยิ่งกว่า  วันนี้มีความทุกข์แต่ยังดีที่มีชีวิต เพราะชีวิตเป็นต้นทุนสิ่งเดียวที่ทุกๆ คนนั้นไม่สามารถใช้เงินทองซื้อมาได้  กลืนความทุกข์ลงท้องดีไหม  ศิษย์ลองถามคนรอบตัวว่ามีใครไม่ทุกข์บ้าง  ศิษย์ลองถามว่าใครมีทุกข์แล้วไม่รู้ตัวบ้าง  ทุกคนมีทุกข์ และทุกคนรู้ตัว ทุกคนเจ็บปวดแล้วเจ็บช้ำ  อาจารย์อาจจะให้ความสุขศิษย์ในเวลานี้ ศิษย์อาจจะรู้สึกเพลิดเพลิน  แต่เมื่อศิษย์กลับไปบ้าน กลับไปอยู่ในโลกของศิษย์ ศิษย์ต้องเอาธรรมะเข้าไปประสานกับความคิดของศิษย์ ประสานกับการกระทำ เอาธรรมะไปประสานอยู่ในหัวใจของศิษย์ เห็นโลกให้กว้างเหมือนดังนกเหยี่ยวที่บินอยู่บนฟากฟ้า  อย่าเป็นเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ อย่าเป็นหนอนที่อยู่ในคูถ อย่าเป็นคนที่ไม่เห็นโลก  วันนี้มานั่งฟังรู้สึกเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ  ศิษย์เข้าใจธรรมะ แต่ศิษย์ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น  ขอให้ใช้ใจมอง ใช้ตาในมอง แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
ดูแลตัวเองให้ดีดี ร่างกายของเราคือเนื้อนาบุญของคนข้างหลัง ต้องรู้จักการกิน การอยู่ การใช้ชีวิต ต้องรู้จักการใช้ความคิดและรู้จักพูด
สุดท้ายแล้ว ที่นี่ต้องการไปสร้างสถานธรรมที่ใหม่ อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนร่วมแรงร่วมใจ ร่วมมือ ให้คิดไปในทางเดียวกัน ให้ใช้แรงไปในทางเดียวกัน ออกแรงช่วยกันคนละไม้คนละมือ ศิษย์บางคนนั้นมีเวลา แต่ยังไม่มาสถานธรรม อาจารย์ก็อยากเรียกร้องทั้งศิษย์ที่เป็นคนเก่าและคนใหม่ให้มีความรับผิดชอบต่อชีวิตจิตใจของตัวเอง บรรลุธรรมไม่มีใครมาส่ง มายื่นให้ศิษย์ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์พูดต้องใช้เวลา ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมีเวลา เวลาที่มีค่านั้นอาจารย์ขอให้เอามาบำเพ็ญธรรมบ้าง ธรรมะสามารถใช้ได้ในทุก ๆ ที่ แต่สถานธรรมนั้นก็ต้องมาช่วยกันให้มีบรรยากาศธรรมร่วมกัน ทุก ๆ คนมีหน้าที่ ทุก ๆ คนต้องรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันมีความสำคัญคือขัดเกลาให้ได้ อยู่ร่วมกันคนที่อยู่ข้างหน้า คนที่อยู่ข้าง ๆ ศิษย์ หรือทุกคนก็อาจจะยังไม่ได้ดี นี่แหละถึงเรียกว่าขัดเกลา คนที่มีข้อบกพร่องในด้านการโกรธ ก็จะพบคนที่ทำให้โกรธ คนที่มีข้อบกพร่องด้านไหนก็พบคนด้านนั้นมาทำให้เราได้ขัดเกลา นี่ถึงเรียกว่าการขัดเกลา ดูแล้วเหมือนเติมความทุกข์เข้าไปในความทุกข์ของศิษย์ให้มันเข้มข้นมากยิ่งขึ้น แต่จริง ๆ แล้วอาจารย์บอกตั้งแต่ต้น เป็นฝึกซ้อนฝึก เราต้องฝึกเราถึงจะชนะ สุดท้ายเราต้องฝึกตนเองถึงจะเรียกว่าชนะอย่างสะอาดหมดจด
หวังว่าศิษย์ทุก ๆ คน รักษาตัว รักษาใจให้ดี แล้ววันหน้าหวังว่าอาจารย์นั้นคงได้พบศิษย์ทุก ๆ คนใหม่ในสภาพที่ก้าวหน้าขึ้นมากกว่าเดิม ดีชั่วก็อยู่ที่ตัวทำทั้งสิ้น ไม่มีใครมาบงการชีวิตของเราได้ ฉะนั้นจงควบคุมกายของตัวเองให้ดี อย่าอยู่เป็นคนหยิ่ง อย่าอยู่เป็นคนมีทิฐิ


[๑] บารมีหก, ปารมิตตาหก  ทาน  ศีล  ขันติ  วิริยะ  สมาธิ  ปัญญา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา

          จิตแหลกเป็นผง  ศิษย์รักจมลงสู่ทุกข์  กงล้อแรงกรรมทึ้งฉุด  จนเกือบจะลืมหายใจ 
ศิษย์ดูขื่นขม  ศิษย์ยังดูหม่นหมองไป  ตามยื้อกลับมาได้ไหม  หัวใจอย่าเพิ่งชินชา 

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท อำนาจย่อมทำลายตัวเอง

          อย่าทำใจหาย  รอบกายมีคนปลอบขวัญ  เพียงหัวใจไม่มองผ่าน  ย่อมกำซาบในฤดี  
เมื่อเจอปัญหา  ต้องพาจิตใจคิดดี  คนแพ้แต่ใจไม่หนี  ประคองสิ่งนี้บำเพ็ญ 
          * กำชับอำนาจแห่งอัตตานั้น  ดุจกำแพงล้อมตัวขังตนข้างใน  ตรวจสอบตนต้องทำ 
จึงไม่เสียใจ  สืบดูแนวโน้มในบัดนี้
          หากลมเปลี่ยนทิศ  การคิดศิษย์คลายดื้อรั้น  ความทุกข์ที่เคยแน่นอัด  ย่อมหมดไปตามทิฐิ 
จะดีเพียงไหน  หากพาศิษย์ไปได้ดี  ความรู้ตัวเองที่นี้  จะนำศิษย์นี้ยาวนาน   (ซ้ำ *)
                                                                   เพลง  :  อำนาจย่อมทำลายตัวเอง
                                                                   ทำนองเพลง  :  ทรายกับทะเล

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา