วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2544

2544-04-15 พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF  2544-04-15-เมี่ยวเต๋อ #5.pdf 


วันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ในโลกนี้สำคัญที่สุดคือชีวิต อันบาปผิดมหันต์คือการเข่นฆ่า
สัตว์น้อยใหญ่ต่างรักชีวิตแห่งตนนา ท่านเมธารักชีวิตตนเร่งบำเพ็ญ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
ทำจิตใจให้สงบฟังธรรมะ และลดละเหล่ากิเลสน้อยแล้วน้อย
ดั่งฝนที่ตกหนักกลายปรอยปรอย อย่าเลื่อนลอยชีวิตนี้ต่อไปเลย
เอาใจใส่ตนเองใช่หาแต่สุข จงเร่งปลุกจิตเดิมแท้ปรากฏโฉม
จิตใจนั้นจงใสกว้างดั่งโพยม ปลอบประโลมทุกคนด้วยความปรานี
ในวันนี้ท่านมีบุญมาฟังธรรม ล้างหนี้กรรมเคยก่อด้วยตั้งใจเถิด
ใช่ว่าง่ายในเรื่องแห่งการเกิด ขอให้เป็นคนประเสริฐด้วยคุณธรรม
มีชีวิตใช้ชีวิตตนให้เป็น ที่ลำเค็ญเพราะตนหามาหรือไม่
พิจารณาด้วยปัญญาอันแจ่มใส เร่งแก้ไขในสิ่งผิดให้เร็ววัน
อันรักโลภโกรธดึงใจให้ตกต่ำ สุภาพชนอ่อนน้อมน้ำไร้กีดกั้น
จงบำเพ็ญตนเองเป็นสำคัญ ทุกคืนวันมีจุดหมายไม่ท้อใจ
น้องชายหญิงสองวันนี้มาให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบให้แม่นมั่น
อากาศร้อนใจต้องเย็นสลับกัน อย่านั่งแล้วใจฝันล่องลอยไป
เมื่อได้รู้จงเร่งรีบไปปฏิบัติ เดินทางลัดยุคปลายแสนลำบาก
แต่ทว่าให้โอกาสคนยิ่งมาก ยิ่งลำบากยิ่งสู้ยิ่งมีชัย
ศิษย์พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น ทั้งสองวันหวังว่าน้องกลับตนได้
อุดรูรั่วมากมายในจิตใจ ปุถุชนไซร้คือพุทธะเช่นเดียวกัน
สร้างสิ่งดีจรรโลงโลกไว้เท่านาน อย่ามองผ่านเห็นความผิดเป็นเรื่องธรรมดา
ชีวิตคนมีค่ากว่าตีราคา จงดั่งปลาว่ายทวนน้ำจนสิ้นลม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป น้องทั้งหลายจงตั้งใจบำเพ็ญจริง
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด

  โพยม ท้องฟ้า, อากาศ
  
  
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

ลมหนาพัดมาไวไว พัดให้ใจหายร้อนหน่อย
อย่าให้ต้องตั้งตาคอย พัดมามากหน่อยยิ่งดี
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะทุกทุกท่านสบายดีไหม
อะไรที่อยากทำดูที่ธรรม อาจกระทำผิดเพราะรู้ไม่ทั่ว
กระแสกรรมไม่คิดล่องผ่านตัว ประดุจบัวบานก่อนพ้นน้ำมา
เดินไปมาไม่ตรองถึงสาเหตุ เมื่อกิเลสคิดผลักดันเกิดปัญหา
คนบำเพ็ญเข้มงวดกับตนนา ทุกเวลาขันกวดจริงที่ใจ
ใจร้อนเย็นเห็นสำคัญอารมณ์นิด คนสนิทกับตนเป็นไฟไหล
ไม่สนิทในนั้นยังทนได้ ตระหนักใจตรองและต้องปรับปรุง
วันเวลาสบายสบายดูเร่งรีบ ดอกไม้กลีบบานร่วงพาสะดุด
ชีวิตคนอายุเพิ่มเพิ่มกิเลสคลุ้ง เลียนผดุงอ่อนน้ำหินยังพลี
น้ำอ่อนแต่แกร่งกว่าหินผา คำโทษบ่าจิตผงาดอย่าหนี
จงใช้ความอ่อนน้อมทุกนาที สู่ฤดีหน่ายไม่เที่ยงแห่งตน
สำรวจใจคนงามงามย่องหนี สำรวจที่ในนอกใยยองล้น
รู้ทำจริงไม่เวียนให้อับจน สู่ถนนการบำเพ็ญต้องใจเดียว
ฮิ  ฮิ  หยุด



ต่างวนลุ่มหลงจนเหนื่อย  กว่าจะคลายทุกข์เจียนหมดลม  เรื่องราวที่เจอมา  ยังพลิกผันเรื่อยไป  ความอดทนช่วยใจคลายเหน็บหนาว
* บำเพ็ญใจของตน  เมื่อคราวอับจนทำดีไม่คลาย  ฝึกหัดมีทิศทางยิ่งดีกว่าเดิม  หากใครใจเร็วร้อนมา  จงสว่างเย็นให้พอ  ปลอบเขา
** ทุกก้าวต้องระวัง  เมื่อดังไม่ให้อวด  บำเพ็ญธรรมต้องกวด  อาจจะดูทุกข์ใจ  แต่หากเพียรพร้อมใจ  ย่อมสุขแล้ว
หลอกได้กระทั่งตนเอง  ก็ออกจะเคว้งในจิตใจ  ย้อนมองใจตนเอง  ไยทุกข์แล้วทุกข์เล่า  คิดบ้างไหม (**, *, **, **)

เพลง : ไม่หลอกตัวเอง
ทำนองเพลง : ใจฝ่อ


พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง Small World โดยปรบมือสองจังหวะ)
ต่างกันไหม (ไม่ต่าง)  ต้องเปลี่ยนความเคยชิน ให้รู้จังหวะและมีจังหวะในการหยุด ชีวิตของมนุษย์เราทุกวันก็พยายามดิ้นรนขวนขวายกันไปเรื่อยๆ บางทีเราไม่ค่อยได้หยุดพักเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  พอจะหยุดพักจริงๆ ตื่นมาวันนี้ต้องไปขายของ วันนี้วันสงกรานต์ ใครบ้างเผลอตื่นแต่เช้าจะไปค้าขาย ไปทำงาน  แต่ที่ไหนได้วันนี้วันหยุด ทำงานจนลืมวันลืมพรุ่งเลยใช่ไหม (ใช่)  เป็นกันไหม (เป็น)
เวลาพัดลมพัดมาหาเรา เราก็อยากให้พัดลมพัดนานๆ  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พัดแต่เราคนเดียวใช่หรือเปล่า แต่พอพัดไปหาคนอื่นแล้วเราเป็นอย่างไร อยากให้รีบกลับมาๆ ใช่ไหม ถ้าเกิดว่ามีพัดลมตัวเดียวยิ่งแล้วใหญ่เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกคนต่างจะให้พัดลมพัดมาหาตัวเองคนเดียว เวลาไม่มีก็อยากได้ พออยากได้ก็ไม่พอจริงไหม (จริง)  วันนี้เรามาร่วมอยู่ในตู้อบกับท่านดีไหม มาร่วมร้อนด้วยกัน มาฝึกความอดทนกันหน่อยดีไหม (ดี)
ในโลกนี้อะไรที่ทำให้เรารู้สึกใจร้อน และอะไรที่ทำให้เรารู้สึกใจเย็น 
(ถ้าจิตใจคิดว่าร้อนก็ร้อน ถ้าจิตใจคิดว่าเย็นก็เย็น)  เช่น ท่านนัดกับคนที่นี่ว่าจะมากี่โมง (7 โมง)  แต่ตอนนี้ 6 โมงครึ่งแล้ว ท่านจะใจร้อนหรือใจเย็น (ใจร้อน)  แน่ใจนะว่าร้อน (แน่ใจ)  เราเห็นยังเย็น ค่อยๆ ไป แต่คนที่ใจร้อนคือฐันจู่ รอว่าเมื่อไหร่จะมาๆ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาท่านนัดกับใครแล้วเผอิญว่านัดแล้วท่านมาช้า ท่านจะรู้สึกว่าเวลาที่ไปก็ใจร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดสมมติว่าท่านนัดกับใครแล้วท่านไปก่อนเวลาตอนนั้นใจร้อนหรือใจเย็น (ใจเย็น)  ฉะนั้นตอนนี้ตอบได้หรือยังว่าใจร้อนใจเย็นต่างกันอย่างไรบ้าง ตอบถูกเดี๋ยวเราให้กินผลไม้ (โลภ โกรธ หลง)  เวลาโลภบางทีก็ไม่ร้อนนะ ทำไมถึงร้อนล่ะ (อยากได้)  อยากได้มากใช่ไหมถึงร้อน คือถ้าไม่สมหวังเป็นอย่างไร (ร้อนมาก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหลงล่ะทำให้ร้อนได้อย่างไร หลงแล้วไม่ใช่จะยิ่งเย็นหรือ อยู่กับเขาแล้วเย็นใช่ไหม (ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน)  แน่ใจนะว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วจะร้อน เราว่าเห็นเขาไปอยู่กับคนอื่นแล้วร้อนมากกว่าใช่ไหม  นั่นคือหลง หลงแล้วร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วโกรธล่ะ (ร้อนทันที)  อย่างนั้นแปลว่าท่านต้องขี้โมโหมากๆ ใช่ไหม  โกรธบางทีก็ไม่ใช่ร้อนใช่หรือไม่  ถ้าโกรธนั้นเป็นโกรธที่หวังดีกับคนอื่น
อะไรที่ทำให้เราใจเย็น อารมณ์ทำให้ร้อนหรือเย็น (ถ้าอารมณ์ดีก็ใจเย็น ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็ร้อน)  ทำไมร้อนเย็นกันง่ายจริงๆ มีใครตอบได้อีก (มีธรรมะทำให้คนใจเย็น ไม่มีธรรมะทำให้คนใจร้อน)  จริงหรือ ผู้ปฏิบัติงานธรรมจริงไหม (จริง)  มีธรรมะกันหรือเปล่า (มี)  มีแล้วทำไมยังร้อนกันได้อีก บางทีมีธรรมน่ะมีแต่ก็ร้อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางครั้งเวลาเรารีบๆ ขึ้นมา เราก็เห็นว่าเวลาทั้งวันกลับน้อยสำหรับเราเหลือเกินจริงไหม  แต่ถ้าเวลาเราสบายๆ ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องทำให้เสร็จในวันนี้เราใจร้อนหรือใจเย็น (ใจเย็น)  มีอะไรอีกใครตอบได้ เช่น งานวันนี้ทำแล้วเสร็จวันนี้ แต่ถ้าไม่เสร็จเราใจร้อนไหม (ใจร้อน)  แต่เราเห็นท่านเย็นๆ เป็นดินพอกหางหมูเลย ยิ่งถ้าเกิดรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดก็เก็บไว้ก่อนใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งออกได้เป็นคนแรกยิ่งดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาฝนตกเดินออกไปข้างนอก ถ้าถือร่มหรือถือเหล็กเป็นอย่างไร ฟ้าผ่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดฝนตกแล้วเราหลบใต้ต้นไม้ก็อันตรายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคำว่า “ทำตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ”  ก็ต้องใช้ปัญญาคิดหน่อย ฝนตกตากฝนก็ไม่ค่อยดี หลบฝนก็อาจอันตรายถ้าเลือกไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการดำเนินชีวิตในโลกนี้คำว่าสอดคล้องจึงต้องค่อยๆ คิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนฟ้าโปร่งใส แต่ดินหนักขุ่นเข้ม จึงบังเกิดสรรพสิ่ง เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามแต่เกื้อกูลกัน จึงเกิดมนุษย์เกิดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่แปลว่าฟ้ากับดินทำให้เรารู้อะไรบางอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำว่าขัดแย้งก็ต้องมีสอดคล้อง คำว่าสอดคล้องก็ต้องรู้จักคำว่าขัดแย้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่ออากาศร้อนทำตัวให้ร้อนๆ ตายไหม (ตาย)  ใครตาย บ้าตายก่อนใช่ไหม ออกไปยืนแก้ผ้าโทงๆ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ออกไปนุ่งโสร่งตัวเดียว นุ่งผ้าถุงตัวเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  อากาศร้อนอย่างไรเราต้องรู้จักทำใจให้เย็นหรือหาทุกวิถีทางให้ตัวเองลดความร้อนในตัวให้เหลือน้อยที่สุด ใช่หรือไม่
“คนสนิทกับตนเป็นไฟไหล”  เหมือนง่ายๆ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าอากาศร้อน แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราต้องรู้ไว้ ก็คือเราต้องรู้ก่อนว่าใจเราร้อนหรือเปล่า ถ้าใจเราเย็นไปทำให้เย็นก็เย็นเกินไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าอากาศร้อนแต่เรามองไม่เห็นว่าใจเราว่าร้อนหรือเย็น การที่จะดับก็ดับไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรารู้จักที่จะมองสภาวะแวดล้อมได้ เราก็ต้องรู้จักที่จะมองเห็นใจเราให้ได้ด้วย  ถึงจะดับใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนเวลาที่ท่านมีอารมณ์ดีใจเย็น คนสนิทเมื่อเจอหน้ากันเป็นอย่างไร พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ใช่ไหม (ใช่)
“ไม่สนิทในนั้นยังทนได้”  แต่พอไม่สนิท ถ้าใจเราเย็นแม้นั่งฟังเป็น
ชั่วโมงสองชั่วโมงสามชั่วโมงก็อดทนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในความสนิทก็มีข้อดี ในความไม่สนิทก็มีข้อดี แต่มีดีแล้วมีเสียไหม (มี)  ในความสนิทนั้นทำให้ขาดความเกรงใจและอดทนต่อกัน ยิ่งสนิทต่อกันมากเท่าไร เห็นกันมาตั้งแต่เล็กเป็นอย่างไร รู้แล้วยังไม่ต้องพูด เธอไม่ต้องพูดฉันรู้ว่าเธอกำลังจะพูดอะไร ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าคนไม่สนิท ฟังไปเถอะฟังได้พูดดี แต่พอเริ่มสนิทแล้วไม่น่าฟังเลย ใช่ไหม (ใช่)  แต่กับคนไม่สนิทเรามีความอดทน แต่บางทีก็ลืมขาดความจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกใบนี้นั้น ความสุข ความทุกข์ความลำบาก ความเย็นความสบาย ความร้อนรุ่ม ไม่ได้เกิดจากไหนหรอก เกิดจากที่ใจเราเอง ใช่ไหม (ใช่)  ใจเราผูกพันกับอารมณ์อย่างไร ใจเรากำลังติดยึดสิ่งใดอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าใจเราติดยึดความเคยชินอารมณ์ที่ตัวเองมี หรืออารมณ์ที่เคยมีกับคนๆ นั้น เราก็จะแสดงออกไปแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  จะสุขจะทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเราใช่หรือไม่ ก็มีคำพูดอีกว่า ความสุขความทุกข์นั้นไม่อยู่ที่ใจอย่างเดียว อยู่ที่การกระทำด้วยเหมือนกัน แปลว่าทั้งใจและการกระทำนั้นสามารถทำให้มนุษย์นั้นสุขและทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะทำอย่างไรล่ะ บางครั้งเราไม่รู้ตัวเองว่าเราทำไปแล้วเราจะได้สุขหรือเราจะได้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าน่าจะสุขนะ คุยกับเขาแบบนี้แล้วเขาน่าจะดีเขาน่าจะไม่โกรธนะ แต่ผลสุดท้ายเขาตอบกลับมา โกรธเราก็มี โมโหเราก็มี ไม่ต้องการเราก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรล่ะ ฟ้าดินนั้นยากหยั่งรู้ ใจคนนั้นยากหยั่งถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกอย่างนั้นก็ไม่พ้นเงื้อมือเรา จริงไหม (จริง)  เหมือนมีคำกล่าวว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง” ฉะนั้นอย่าลืมว่าทุกข์สุขอยู่ที่ใจและการกระทำของเรา อย่าไปกลัว อย่าไปคิดว่าไม่รู้ไม่แน่ เรารู้ได้ด้วยการทำอย่างไร  (อยากรู้)  วิธีหาความสุขเพื่อห่างไกลความทุกข์จุดจุดจุด อยากรู้หรือเปล่า (อยากรู้)  ลองคิดก่อนแล้วเดี๋ยวเราจะบอก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเต้นท่าเป็ดย่างถูกเผา)
เรามาพูดเรื่องธรรมะต่อดีไหม (ดี)  มนุษย์เราทุกคนนั้นล้วนต่างต้องการที่จะอยู่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีชีวิตเพื่ออยู่รอดใช่หรือไม่ (ใช่)  การอยู่รอดทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาทรัพย์สิน เพราะทรัพย์สินจะทำให้มนุษย์มีชีวิตอยู่รอดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทรัพย์สินของมนุษย์ได้มาจากที่ใดกัน (ได้จากผลของงาน, การค้าขาย, จากการรับรางวัล, ปัญญา, ความรู้ความสามารถ, ความเข้าใจที่จะดำเนินชีวิต, ได้มาจากที่เราเป็นคนดีและกระทำดีในความสามารถที่เรามีอยู่ในตัว, ความสามารถในการบีบนวด, ได้มาจากประกอบอาชีพที่ถูกต้องโดยชอบธรรม)  เราจะบอกวิธีหาเงินโดยมีธรรมะและบำเพ็ญธรรมด้วย เอาไหม (เอา)  ปกติเราหาเงินบางทีได้เงินมาสักพักก็หายไป  บางทีก็ไม่ได้มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  พยายามหาจนสุดความสามารถเต็มความพยายามแต่ทำไมไม่ได้มา  บางทีเราไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าการหาความสุขโดยที่ห่างไกลความทุกข์แล้วก็จุดจุดจุด  ใช่ไหม (ใช่)  มีใครคิดได้ไหมว่าตอบว่าอะไร คำตอบง่ายๆ ก็คือรู้จักแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง จริงไหม (จริง)  ที่เราต้องทุกข์ก็เพราะว่า เราก้าวผิด เราพูดผิด เราทำผิด เราเห็นผิด แล้วเราเข้าใจผิด  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นเข้าใจเขาผิด มองเห็นเขาผิด มองเห็นสิ่งนั้นไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามองได้อย่างถูกแล้ว เราจะมีอะไรที่ทำให้ต้องทุกข์ไหม (ไม่มี)  ถ้าเรารู้จักหาสาเหตุสิ่งที่ทำให้ตัวเราชอบทำผิดบ่อยๆ เราจะมีอะไรต้องทุกข์อีกไหม (ไม่มี)  มีสิ เกิดแก่เจ็บตายไง  แต่ถ้าเรารู้สาเหตุเกิดแก่เจ็บตายเราก็ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่พระพุทธองค์สอนไว้บอกว่า ถ้าเราต้องการจะรู้จักสิ่งใด ต้องสืบแล้วก็ต้องสาวให้ถึงต้นตอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างสมมติ เพราะอะไรต้องเกิดอยากบ่น เกิดอยากได้ เกิดอยากว่าคนอื่น เกิดอยากรักคนอื่น เพราะเรามีอารมณ์ เพราะเรามีตัวตน ใช่หรือไม่ เพราะอะไรมนุษย์ถึงต้องเกิด (มาใช้เวรใช้กรรม)  เห็นไหมเรารู้ว่าเราต้องเกิดมาใช้เวรใช้กรรม บางครั้งสิ่งใดที่ไม่ถูกใจเราก็คิดเสียว่า กรรมเราเองนะ แค่นั้นก็ปล่อยวางแล้วไม่ยึดมั่นแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรเราถึงต้องเจ็บ ก็เพราะร่างกายเป็นสิ่งไม่แน่นอน เหมือนเครื่องจักรใช้งานมากๆ ก็ต้องชำรุด ชำรุดก็ต้องมีการซ่อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะมีทุกข์ไหม ทุกข์ก็ค่อยลดไปทีละเปาะ สองเปาะ สามเปาะ ใช่หรือไม่
คนกับคนเวลาจะทำงานกันนั้นเขาต้องดูที่อะไร ความสามารถเรามีไหม เราเป็นคนดีหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  เวลาเขาจะรับท่านทำงานเขาดูแค่ความสามารถอย่างเดียวไหม (ไม่ใช่)  ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีการสัมภาษณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  การสัมภาษณ์ก็คือวัดและก็หยั่งเชิงดูว่า จิตใจหรือความคิดเขานั้นถูกต้องไหม คดโกงหรือเปล่า และมีจิตใจที่ตั้งใจจะทำงานจริงๆ หรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  งั้นก็แปลว่าคนๆ หนึ่งจะทำงานร่วมกับอีกคนหนึ่งนั้นต้องมีอะไรเข้ามาเป็นส่วนร่วม นอกจากความสามารถแล้วนั้นก็คือ คุณธรรมในจิตใจ เหมือนท่านจะรับคนๆ หนึ่งมาทำงานแล้วท่านจะได้เงินจากเขานั้นท่านไม่ใช่มองแค่ความสามารถ แต่มองที่ว่าความดี คุณธรรม ความซื่อสัตย์ และความตั้งใจจริง แปลว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์กับมนุษย์ทำงานร่วมกันแล้วได้เงินและได้ใจเขานั้น ก็คือไม่ใช่ความสามารถอย่างเดียวแต่ต้องมีธรรมะประกอบด้วย  ถ้าเราเทียบง่ายๆ ธรรมะเหมือนราก  การที่ได้เงิน ได้บุคคล ได้รู้จักมิตร มิตรคนนั้นก็ต้องจริงใจกับเราใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่พูดเก่ง พูดโม้ แต่ว่าไม่มีความจริงใจไม่รักเราเลย เราจะคบกับเขาไหม (ไม่คบ)   ไม่ว่าความสัมพันธ์ การหาเงิน หรือการทำงานทุกอย่างความสามารถอย่างเดียวไม่พอ พูดเก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีคุณธรรมในจิตใจด้วย มีความตั้งใจจริงด้วย ก็แปลว่าคุณธรรมก็เป็นส่วนสำคัญในการหาเงินใช่ไหม (ใช่)  เหมือนท่านจะขายของ ทำไมเขามาซื้อกับท่าน ไม่ซื้อกับคนอื่น ทั้งที่ก็เปิดร้านใกล้ๆ กัน ขายเหมือนๆ กันใช่ไหม (ใช่) เพราะเราชอบให้เยอะมีน้ำใจ แถมเราพูดดี แต่ถ้าเกิดว่าเมื่อกี้เราพูดว่าคุณธรรมเปรียบเหมือนราก ทรัพย์สินเหมือนกิ่งก้าน หากเราให้ความสำคัญกับกิ่งก้านแต่ไม่สนใจราก ผลเป็นอย่างไร ได้ทรัพย์ไหม (ไม่ได้) คนก็เกลียด ทรัพย์ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แถมมีอะไรตามมาอีกรู้ไหม (ความยากจน, กิจการล้มละลาย) ก็ได้เหมือนกัน แต่จริงๆ เราต้องการให้ท่านเห็นธรรมะในนั้น ไม่ใช่เห็นแค่เปลือกนอกในอาชีพ ในความรู้ แต่ทำให้เราเห็นอะไรในตัวเขา ทำให้เรารู้ว่าเขาขาดอะไร เมื่ออยู่กับเราถ้าเกิดว่าเขามัวแต่สนใจแต่ได้ สนใจแต่ทรัพย์ สนใจแต่เงินทอง แต่ไม่ได้สนใจว่าจะมีธรรมะต่อ สังเกตไหมว่าแรกๆ เขาดูดีจัง พูดได้ดี ดูเหมือนตั้งใจ แต่มนุษย์เรามักจะปาก ทำให้เราเห็นอะไรในตัวเขาที่เป็นคุณธรรม (ความซื่อสัตย์)  นั่นคือความซื่อสัตย์ (ความไม่จริงใจ) มีอะไรอีกไหม ทำให้ขาดความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง เพื่อนกับเพื่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราดำเนินชีวิตการที่เราจะได้เงินจากต้นและปลายไม่ค่อยเท่ากัน แรกๆ ก็ดูดีกับเราทุกอย่าง แต่พอได้รับให้มาทำงานแล้วเป็นอย่างไร ค่อยๆ ออกลายใช่ไหม (ใช่)  คุณธรรมก็เริ่มเป็นแค่คำพูดลมคนๆ หนึ่งไม่ใช่เราเห็นแต่ประโยชน์อย่างเดียว แต่เรายังต้องรักษาคุณธรรมไว้เป็นพื้นฐานด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพื่อนกับเพื่อนทำไมเรายังรักเพื่อนคนนี้อยู่ ทำไมเรายังเป็นมิตรกับเพื่อนคนนี้ ก็เพราะว่าเพื่อนคนนี้ยังมีความจริงใจที่ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังหวังดีกับเรา ยังรักเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรักแม้จะเป็นรักเพื่อนกับเพื่อน พี่กับน้อง แต่ถ้ารักแบบรักเขาเช่นรักเรา ย่อมเป็นสิ่งที่ดีจริงไหม (จริง) นั่นก็คือนอกจากเรามีคุณธรรมในการทำงาน ในการดำเนินชีวิตแล้ว เราจะต้องไม่ลืมคุณธรรม อย่าหวังแต่ทรัพย์สิน อย่าหวังแต่เงินทอง เมื่อไรที่เราทิ้งธรรมไปเมื่อนั้นทรัพย์ก็อาจจะหายไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่ท่านค้าขายเกิดคดโกงกับเขาสักวันหนึ่ง แม้เขาจะซื่อสัตย์มาซื้อกับร้านท่านแต่ถ้าเขารู้ความจริงเข้า เปลี่ยนใจไหม (เปลี่ยน)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์เราจับต้นเดินไปจนถึงปลายอย่างไม่เปลี่ยนแปลงนั่นก็คือ รักเขาเช่นรักเรา เมื่อสามารถมีความรักเขาเช่นรักเราและรักษาจิตใจแห่งความรักอันนี้ได้ ก็จะบังเกิดความเมตตา และถ้าเมื่อไรที่เราสามารถมีความเมตตาได้ตลอดแล้ว เราจะเป็นอย่างไร ไม่อยากเบียดเบียนเขา ไม่อยากทำร้ายเขา ใช่ไหม (ใช่)  เรายังไม่อยากเบียดเบียนเขา เรายังไม่อยากทำร้ายเขา และเราจะซื่อสัตย์ไม่คดโกงกับเขาเด็ดขาดใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์อย่างนั้น  ถ้าเอาคุณธรรมนี้ไปใช้ ไม่ว่าจะทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ร่วมกับเพื่อนเราจะรักษามิตรได้ตลอด รักษาความสัมพันธ์อย่างไม่มีวันจืดจางจริงไหม (จริง)
การทำดีนั้นสิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเห็นตัวมากกว่าเห็นประชาชนหรือว่าเห็นประชาชนมากกว่าเห็นตัว (เห็นประชาชนมากกว่าเห็นตัว) ความดีคืออะไร ความไม่ดีคืออะไร แล้วความดีจริงๆ คืออะไร บางคนบอกว่าการเอาแต่ชี้หน้าว่าคนอื่นนั่นคือความไม่ดี อีกคนอ่อนน้อมถ่อมตนนั่นแหละเรียกว่าดี ถูกไหม (ถูก)  ทำไมถูกจึงว่าถูกล่ะ ถ้าเกิดว่าวันนี้เราอ่อนน้อมกับท่าน  ท่านคะท่านขานวดเฟ้นอย่างดี  แต่พอหลังๆ บอกว่าอย่าลืมให้เงินเรานะ ดีไหม (ไม่ดี)  ก็แปรว่าอย่าดูแค่อ่อนน้อมถ่อมตนใช่ไหม  แต่ถ้าอีกคนหนึ่งชี้หน้าว่าท่าน  ท่านไม่ดีอย่างนั้นท่านไม่ดีอย่างนี้ต้องแก้นะ ดีหรือไม่ดี (ดี)  นั่นก็คือว่า ความดีไม่ดีไม่ได้อยู่แค่มีคุณธรรม แต่ต้องดูว่าแอบเอาคุณธรรมไปใช้ในทางที่ผิดหรือไม่ ใช่หรือไม่  บางคนมักจะพูดว่าคนนี้อ่อนน้อมต้องเป็นคนดีแน่ ไม่แน่เสมอไปหรอก ที่อ่อนน้อม ที่เอาอกเอาใจ ที่พูดอะไร พูดใช่ๆๆ  ทำผิดก็ใช่ๆๆ  ดีๆๆ  ไม่แน่เขาอาจจะหวังผลประโยชน์ใช่หรือไม่ หรือเอาแต่ว่าท่าน ต้องให้ท่านแก้อย่างโน้นแก้อย่างนี้ บางทีท่านไม่รับ  แม่อย่ามาว่า พ่ออย่ามาว่า เธออย่ามาว่าฉัน แต่จริงๆ แล้วเขาอาจจะดีก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีนั้นอย่าใช้แค่ ตา หู ปาก แต่ต้องใช้อะไรพิจารณา (ปัญญา, การกระทำ)  พิจารณาการกระทำของเขา  มนุษย์เรามีคุณธรรม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขามีคุณธรรมแล้วจะเป็นคนดีเสมอไป ต้องดูที่การกระทำของเขาตั้งแต่ต้นจนถึงสุดปลายใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วต้องเอาอะไรเป็นตัววัด ก็คือภายในจิตใจเราที่เที่ยงตรง และบริสุทธิ์
ยุติธรรม ค่อยๆ พินิจพิจารณาการกระทำทุกกระบวนที่เขาทำใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าได้แค่ใช้ตาดูหูฟังเท่านั้น แต่ต้องวัดให้ถึงจิตใจสุดปลายของเขาว่าเขาทำเพื่ออะไร แล้วเราจะไม่ดูคนผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะทำอย่างไรให้ใจยังเที่ยงธรรมและบริสุทธิ์ นั่นก็คือต้องใช้คุณธรรม คุณธรรมนั่นแหละมาค่อยๆ ขัดเกลาฝึกฝนอบรมบ่มเพาะจิตใจให้อยู่ในมโนธรรมสำนึกอันดีงาม รู้จักแบ่งแยกผิดชอบชั่วดีใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่สามารถมีมโนธรรมสำนึกอยู่เสมอ มีสติปัญญาคอยกำกับควบคุมและใช้คุณธรรมคอยยับยั้งจิตใจ เราก็จะสามารถรักษาใจนี้ให้บริสุทธิ์และเที่ยงธรรมได้  การกระทำสิ่งใดก็ตามหากมีแต่กายแต่ไร้ใจ การทำงานนั้นย่อมไม่สามารถทำได้ตลอดรอดฝั่ง  การทำสิ่งใดก็ตามหากมีแต่ใจแต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกำลังกาย การทำนั้นก็ย่อมไม่สามารถสำเร็จและบรรลุเป้าหมายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำงานสิ่งใดก็ตามหรือแม้กระทั่งมาฟังธรรมะวันนี้ก็ตาม หากตัวฟังแต่ใจบินไปโน่นบินไปนี่ รู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  ฉะนั้นตัวฟังใจก็ต้องฟังด้วย นั่นก็คือว่า ทั้งกายและใจเราชอบเรารักสิ่งนั้นเราจึงอยู่ทั้งตัวและหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าตัวอยู่แต่ใจไม่อยู่นั้นแปลว่า เรารักและชอบใฝ่หาสิ่งนั้นไหม (ไม่ชอบ)  เราต้องการบอกอย่างหนึ่งให้ท่านรู้ ก็คือไม่ว่าจะทำสิ่งใดอย่ามีแค่แรงแล้วพอ แต่ถ้าไม่มีใจ แรงนั้นก็ไปได้ไม่ถึง แต่ถ้ามีใจแลัวไม่รู้จักเรียกกำลังตัวเอง สิ่งนั้นก็ไม่อาจสำเร็จหรือก้าวได้แม้เพียงก้าวหนึ่ง ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ประกอบไปด้วย (กายและใจ)
ความรู้ไม่ใช่เอาไปต่อทีกับใคร ไม่ใช่เอาไปรบปรบมือกับใคร แต่รบกับกิเลสอารมณ์ในใจของตัวเอง คนเราจะเป็นคนเก่งได้ ไม่ใช่ชนะเขาแต่ชนะที่ (ใจตัวเอง)  ยิ่งชนะได้มากเท่าไรกิเลสเราจะยิ่งลดน้อยลง อารมณ์เราจะยิ่งเบาบาง  เกิดเป็นคนนั้นที่วุ่นวายเพราะเหตุใด ที่เป็นทุกข์เพราะอะไร เพราะหนึ่งเราไม่สามารถหยุดยั้งกิเลสให้เบาบางได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราไม่สามารถรู้จักคำว่า “พอ”  ได้
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำได้หรือเปล่า ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะฝึกฝน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง “ใจฝ่อ” 
ชื่อเพลง “ไม่หลอกตัวเอง”)
เรารู้ว่าปั้นซื่อก็เหนื่อย ใช่หรือไม่ (ไม่)  งานติดๆ กัน แถมคนที่นี่ก็พยายามผลักดันอยากจะให้มีประชุมธรรมที่นี่เป็นจิตใจที่ดี รักษาไว้ แต่บางครั้งก็ต้องดูสภาวะแวดล้อมและกำลังแรงของคนอื่นด้วย บางทีเราไหว แต่เราต้องดูว่าไหวนั้นทำให้คนอื่นลำบากเกินไปหรือเปล่า การหวังดีต้องการช่วยเหลือคนอื่นเป็นจิตใจที่ดี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ฐันจู่เต้นเป็ด)
เป็นฐันจู่นั้นต้องเป็นคนนำเขาใช่หรือไม่ แล้วก็ต้องดูแลเอาใจใส่เขา เห็นใครงกๆ เงิ่นๆ เราต้องเข้าไปทัก  เป็นอย่างไรบ้าง มาจากไหน มาฟังธรรมะหรือเปล่า ใช่หรือไม่  ไม่ใช่ยืนแข็งทื่อ  มาแล้วหรือ ไปแล้วหรือ ทำอย่างนี้ได้ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานซาลาเปาแก่ฐันจู่)
แบ่งกันเองนะลูกเดียว เพราะว่างานจะเกิดได้ เพราะหลายๆ คนร่วมมือกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเห็นว่าที่นี่เป็นของฉันฐันจู่ เราไม่ใช่ฐันจู่ที่นี่เราไม่ดูแลได้ไหม (ไม่ได้)  การทำดีนั่นก็คือ เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน  นั่นแหละเขาเรียกว่าทำดี หากทำดีแล้วยังไม่ได้ดีก็อย่ายอมแพ้ เพราะว่าบุคคลใดที่สามารถทำดีแล้ว โดนเขาประณาม ดูถูกเหยียดหยาม แต่สามารถเก็บความอดทนอดกลั้นไว้ได้ ผลบุญจะยิ่งใหญ่  แม้จะไม่ได้กับตัวเอง ก็จะตกไปสู่ลูกหลาน ดีหรือไม่ (ดี)  เหมือนบุคคลโบราณ เหมือนพระเจ้าตากสิน ทำแล้วแต่ผลสุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านดับไปอย่างไร ตายไปอย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  แต่ชื่อก็ยังคงจารึกไว้ ฉะนั้นเวลาทำดีอย่าได้ยอมแพ้ความยากลำบาก ดีหรือไม่ (ดี)  อย่ากลัวกับการถูกเหยียดหยามและดูถูก เพราะถ้าเรายิ่งสามารถอดทนกับความเหยียดหยามดูถูกดูแคลนของคนอื่นได้มากเท่าไร บุญบารมีเราจะยิ่งมากขึ้นเป็นสิบๆ เท่า อย่างคำว่า “ปิดทองหลังองค์พระปฏิมา”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเริ่มต้นทำดีได้อย่างมั่นคง ก็จะสามารถก้าวสู่หนทางการบำเพ็ญเป็นพุทธะไม่ยากเลยทำได้ไหม (ได้)  คงได้นะ
เราให้สับปะรดฝากไว้กับอาวุโสเพื่อมาแบ่งกับทุกท่าน เรารู้ว่าทำงานกันเหนื่อยทุกคน ใช่หรือไม่  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ทำแล้วต้องอดทนนะ ทำดีแม้ไม่ได้รับคำชม  แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้ชมต่อหน้า  แต่เราก็ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่ทำให้งานนี้สำเร็จผ่านมาได้หนึ่งวัน วันนี้เป็ดน้อยอย่างเราไปแล้วนะ

วันจันทร์ที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เป็นคนดีตกต่ำต้องอดทน ควบคุมตนทำไม่ได้ก็ดียาก
ทั้งกายใจไม่อาจจะแยกจาก เมื่อแยกจากไร้ชีวิตก็คือไร้โอกาส
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า
ผิดในถูกถูกในผิดตัดสินยาก อาจารย์ฝากยอมถอยเพื่อเดินต่อ
ศิษย์รักเอยอย่าเป็นคนหน้างอ รอยยิ้มหนอหาง่ายในหมู่ผู้บำเพ็ญ
เจริญธรรมเจริญจิตเป็นกุศล ประดุจฝนล้างคราบแห่งความทุกข์เข็ญ
ศิษย์รักเอยทำจิตใจให้เยือกเย็น ให้สมเป็นผู้ตั้งใจเดินทางธรรม
อย่ามัวแต่พายเรือวนอยู่ในอ่าว เกณฑ์ยุคขาวเร่งบำเพ็ญก่อนจะค่ำ
ขจัดซึ่งจิตใจที่เป็นหมอกควันดำ อย่าไปพร่ำบ่นทุกข์ให้เสียเวลา
อย่ายอมให้กระแสโลกพัดพาจิต การยึดติดทำให้ชีวิตไร้ค่า
ขอขัดเกลาจิตสว่างดั่งดารา ท่ามกลางฟ้ามืดมิดนี้มีแสงดาว
วันเวลาไม่คอยคนแม้คนเพียร ให้ศิษย์เขียนศิษย์ก็มัวแต่นั่งหาว
ให้ศิษย์ฟังกว่าจะทำตามก็นานยาว เอ๊ะ!ศิษย์เก่าก็เหมือนกับศิษย์ใหม่เลย
หลังฝนตกท้องฟ้าย่อมสดใส สองวันนี้กลับไปอย่าทำเฉย
เมื่อตั้งใจก็ให้บำเพ็ญเลย ทุกสิ่งเผยความจริงเมื่อผ่านเวลา
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนทำดีก็ขึ้น (สวรรค์)  คนทำชั่วต้องลง (นรก)  ไปที่ไหนดี (ไปสวรรค์)  แล้วทำดีหรือยัง (ยัง)  อย่างนี้ไปไหน (นรก)  ไปหรือไม่ไป ต้องทำอย่างไร (ต้องทำดี)  ทำได้เยอะไหม
เวลาเรายิ้มแล้วสวยไหม (สวย)  แล้วตัวเองชอบยิ้มไหม (ชอบ)  ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ หรือยิ้มแบบไม่ค่อยแน่ใจ ยิ้มอะไรที่สวยที่สุด (ยิ้มจากใจ)  เป็นรอยยิ้มจากความจริงใจ ไม่ใช่ใจเฉยๆ ต้องจริงใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าคนไม่มีความจริงใจแล้วชีวิตของเรามีความสุขไหม (ไม่มี)  หากอยู่กับคนอื่น คนที่อยู่ตรงข้ามเราเป็นคนที่ไม่ดี แต่ว่าเราอยู่กับเขาแล้วเรารู้สึกว่าเรามีความทุกข์ เราก็เลยไม่ยอมยิ้ม แล้วใครเป็นทุกข์ (ตัวเรา)  ริมฝีปากของเราที่มีไว้สำหรับยิ้ม ก็มีอยู่ติดตัวตลอดเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เหมือนกับจิตใจของเราที่มีติดตัวอยู่ตลอดเวลา ทุกคนเป็นคนมีน้ำใจใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นจิตใจของเราก็เปลี่ยนไปได้หลายอย่าง เหมือนรอยยิ้มอันเดียวกัน แต่ส่อไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ้มสวยมาจากความจริงใจ ยิ้มแบบเหยียดๆ ยิ้มแบบไม่พอใจ ยิ้มเขินอายหรือว่ายิ้มไปอย่างนั้นๆ มีตั้งหลายยิ้มใช่หรือเปล่า  จิตใจของเราก็ตั้งหลายอย่าง จิตใจของเราเปลี่ยนไปได้หลายรูปแบบ และหลายอารมณ์ อยู่ที่ว่าเราทำอะไร  จิตใจของเราดวงนี้จะเดินสู่ทางสายกลางอย่างจริงๆ ต้องทำอะไร (ขัดเกลา)  เราต้องควบคุมจิตใจของตัวเอง  หากว่าไม่ควบคุมจิตใจของตัวเองแล้วยิ้มจะออกมาสวยไหม (ไม่สวย)  ถ้าหากว่าเราไม่ควบคุมจิตใจของเราเอง จิตใจเราที่ไม่ได้รับการควบคุมย่อมแสดงออกมา ทำทุกอย่างก็ทำมาจากใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อให้เป็นคนที่ช่างเสแสร้งแกล้งทำ ก็ไม่สามารถทำได้ทั้งสามวันไม่สามารถเสแสร้งได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราต้องควบคุมจิตใจของเราก็เป็นอย่างนี้  ถ้าหากว่าเป็นคนดีก็ให้ดีมาจากใจของเรา ถ้าหากว่าเป็นคนไม่ดี ไม่ดีออกจากใจหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าหากว่าตอนนี้เรายังไม่แน่ใจว่าเราเป็นคนดีหรือเปล่า ต้องรีบเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่รู้ว่าตัวเองดีก็ยังไม่เท่าไหร่ ไม่ดีก็เรียกไม่ได้เหมือนกัน เป็นคนครึ่งๆ  กลางๆ  ทั้งๆ  ที่รู้อย่างนี้ก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น อย่างนี้ถือเป็นคนที่พุทธะฉุดยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะว่าขนาดตัวเราเองรู้ตัวเราเอง เรายังไม่เปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้น แล้วคนอื่นรู้ว่าเราไม่ดีคนอื่นจะทำให้เราดีขึ้นไหม (ไม่)  ต่อให้อาจารย์พูดกับศิษย์สองชั่วโมง บอกศิษย์ว่าทำอย่างนี้ทำอย่างนั้น ถ้าศิษย์ไม่ทำจะขึ้นสวรรค์ได้ไหม เพราะฉะนั้นสวรรค์ยังไปไม่ได้ นิพพานไม่ต้องพูดถึงใช่หรือไม่ (ใช่)
เกิดมามีทุกข์ไหม อยากพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  การที่เราไปนิพพานเรียกว่าหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  ถ้าหากว่ายังต้องตาย ก็ยังต้องเกิด  หากยังต้องเกิดก็ยังต้องตาย  หลุดพ้นไปจากการตายเกิดครั้งนี้โดยการที่เราบำเพ็ญธรรมดีหรือไม่ (ดี)  ไม่รู้ว่าถึงเวลาทำได้หรือเปล่า  ของดีๆ ไม่เอา เขาเรียกว่าอะไร (คนโง่)  อยากโง่หรืออยากฉลาด (อยากฉลาด)  แน่ใจไหม  ไหนใครฉลาดยกมือขึ้น ไม่มีใครยกสักคน พออาจารย์ถามว่าเจอของดีไม่เอา เรียกว่าคนฉลาดหรือคนโง่ก็บอกว่าโง่ บอกว่าใครเป็นคนฉลาดให้ยกมือขึ้นก็ไม่ยอมยก  ตอนนี้สั่งให้ยกแล้วกลับยก อย่างนี้โง่หรือฉลาด อย่างนี้เรียกว่าคนฉลาดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะถือว่าเราจะไม่เอาของดี แต่อาจารย์ยัดใส่มือแล้วก็ยังรับถูกหรือเปล่า (ถูก)  คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ยกมือเป็นคนฉลาดหมด แสดงว่าทั้งศิษย์ชายและหญิงของอาจารย์ก็เป็นคนฉลาดใช่หรือเปล่า (ใช่)
ปลูกต้นไม้สองวันขึ้นหรือเปล่า (ไม่ขึ้น)  การที่เราจะรู้เรื่องราวต่างๆ นั้น สองวันศึกษาคงยังไม่พอ เพราะมีความรู้ที่มากกว่าความรู้นั้นอีก มีสิ่งที่อยู่ลึกภายใต้สิ่งที่เรารู้อยู่อีก เหมือนความจริงที่มีความจริงซ่อนอยู่อีกมากมาย  สิ่งที่เราฟังสองวันนี้เราจะต้องเก็บไปปฏิบัติ หากว่าไม่ปฏิบัติแล้วก็ย่อมจะไม่ได้รับประโยชน์ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ในเมื่อเราบอกว่าบำเพ็ญธรรมเป็นสิ่งดี ก็จำเป็นที่จะต้องกลับไปบำเพ็ญ  อย่าได้เชื่อคนอื่น อย่าได้เชื่อเพราะว่าคนข้างหน้าพูดให้ฟัง และอย่าได้เชื่อถ้าหากว่ามีคนมาบอกเราว่าสิ่งนี้จริงหรือปลอม  ขอให้เราตั้งใจศึกษาด้วยตัวเองดีหรือไม่ (ดี)
 บำเพ็ญทำอย่างไร (นั่งสมาธิ)  นั่งสมาธิอย่างเดียวหลุดพ้นไหม (ไม่หลุด)  ร่างกายมีข้างนอกและมีข้างใน นั่งสมาธิเป็นการสงบข้างในใช่ไหม เวลาออกจากสมาธิทำอะไร (ทำงาน)  อาจารย์จะบอกให้ทำงานปุถุชนก็กลายเป็นปุถุชน ทำงานพุทธะก็กลายเป็นพุทธะ  ทำบาปก็ไปลงนรก ทำดีก็ไปขึ้นสวรรค์  นักเรียนชั้นนี้มีความฉลาดแต่ไม่มีความกล้า  บำเพ็ญธรรมแต่ว่าไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดแล้วก็ย่อมที่จะไม่ได้สิ่งใดมา เหมือนกับคิดแล้วไม่ลงมือทำ รู้ว่าดีแต่ก็ปล่อยไปเฉยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่เป็นนิสัยของคนในโลก  สิ่งที่ดีถ้าหากว่าไม่กล้าไปคว้าไว้มันก็ลอยผ่านไปถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ทำไมเงินทองยังกล้าไปหามาเลย แล้วบางคนหามาก็ไม่ใช่หามาด้วยวิธีที่ถูก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำในสิ่งที่ถูกต้องจะเป็นการระงับการสร้างบาปได้ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เหมือนกับวัยรุ่นสมัยนี้กล้าติดยาแต่ไม่กล้าเรียนให้เก่ง กล้าทำสิ่งผิดแต่ไม่กล้าทำสิ่งถูก อย่างนั้นถามว่าเราจะมีชีวิตเพื่ออะไร มีชีวิตเพิ่มขึ้นหนึ่งวันก็เพื่อสร้างบาปเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวันใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้ถ้าหากว่ามีอายุเพิ่มขึ้นอีกสิบปีแล้วทำบาปเพิ่มขึ้นสิบปี สู้ตายไปเดี๋ยวนั้นเลยไม่ดีกว่าหรือ เพราะฉะนั้นชีวิตของเราที่เหลือนั้นอีกนานไหม เราไม่อาจจะรู้วันตายได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่รู้วันเกิดไม่รู้วันตาย เราก็คงคาดประมาณว่าเราคงจะมีชีวิตอีกยืนยาว คงไม่คิดว่าตัวเองจะตายพรุ่งนี้มะรืนนี้หรอกนะ จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลือของเราก็ต้องเป็นเวลาที่ทำคุณค่าถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถ้าหากว่าเราทำบาปทุกวัน ทำผิดทุกวัน ทุกวันก็ทำแต่อย่างนี้ซ้ำๆ ไม่มีอะไรดีขึ้น อย่างนี้อายุยืนมากขึ้นอีกหน่อยก็ไม่มีประโยชน์ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราต้องทบทวนย้อนมองตัวเองว่า จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองด้วยการทำดีมากขึ้นได้หรือไม่ (ได้)  คนส่วนใหญ่อยากทำดี แต่ว่ากลัวอะไร
“เมื่อแยกจากไร้ชีวิต”  หากว่ากายกับใจแยกกันก็คือตาย ไร้ชีวิตก็คือไร้โอกาส ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้อะไรสำคัญที่สุด ใช่เงินทอง ใช่เวลาไหม (ไม่ใช่)  ชีวิตกับเวลาก็เป็นของควบคู่กันใช่ไหม (ใช่)  ตอบแล้วต้องคิดหน่อยนะ อย่าถูกอาจารย์พาไปหลอกได้  ชีวิตนี้อะไรสำคัญเงินทองสำคัญไหม (ไม่สำคัญ)  ลาภยศเงินทองสำคัญไหม (ไม่สำคัญ)  ทีวี ตู้เย็น โทรทัศน์ รถเครื่อง รถยนต์ สำคัญไหม (ไม่สำคัญ)  กับชีวิตอะไรสำคัญกว่า (ชีวิต)  ชีวิตย่อมสำคัญกว่าสิ่งใด ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะฉะนั้นต้องควรที่จะรักษาชีวิตด้วยการทำในสิ่งดี เพราะว่าเรานั้นอยากจะให้ชีวิตของเรายืนยาว และเราอยากให้ชีวิตที่ยืนยาวนี้ ทุกวันสร้างคุณค่าให้กับชีวิต ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้ไหม (ได้)  ถ้าหากว่าเห็นคนอื่นเขาเดือดร้อน เราเข้าไปช่วยหน่อยดีหรือเปล่า (ดี)  ไม่ใช่เห็นคนอื่นเขาเดือดร้อน แต่เราไม่มีเวลา เป็นอย่างไร ช่วยไหม (ช่วย)  ก็ต้องพยายามหน่อยใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นตัวเราเองกำลังเดือดร้อน คนอื่นเขามาช่วยเรา  สมมติว่าเรายังต้องทำงานนี้ต่อไปอีกสามสิบนาที แต่ว่าคนมาช่วยแค่ห้านาที เราดีใจไหม (ดีใจ)  ห้านาทีพอไหม (พอ)  ห้านาทีก็ยังดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ห้านาทีก็เป็นการให้กำลังใจคนดีว่า คุณควรจะทำดีต่อไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเราก็อยากให้คนให้กำลังใจเราว่าเราทำดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ทำไมทุกวันแม้เราจะทำดีก็เหมือนไม่มีใครเห็นค่า คนชมก็ไม่มี คนติก็ไม่มี มันช่างเดียวดาย จริงไหม (จริง)  แสดงว่ามนุษย์โลกสมัยนี้แย่ขึ้นอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  อย่างนี้ช่วยลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องรู้จักช่วยคนอื่นเหมือนช่วยตัวเอง ต้องหัดช่วยคนอื่นเหมือนช่วยตัวเอง ใช่ไหมใช่ (ใช่)
(นักเรียนในชั้นกราบต้อนรับพระอาจารย์)
ขอแต่จิตใจที่มีความศรัทธา จิตใจที่สงสัยลังเลอะไร เก็บทิ้งไปก่อนได้หรือเปล่า (ได้)  เพราะว่าอย่ามองที่รูปลักษณ์ภายนอก แม้ว่าวันนี้อาจารย์จะเป็นพุทธะที่ลงมายืมร่างมนุษย์เพื่อใช้พูดกับศิษย์ชั่วคราว แต่หวังว่าศิษย์จะฟังในสิ่งที่พูดมากกว่ามัวแต่ใช้ตามอง ถ้าหากว่าฟังสิ่งใดแล้วรู้สึกว่าดี ก็เก็บไปปฏิบัติ ทำได้ให้รีบทำ ทำไม่ได้ก็ต้อง (พยายาม)  อย่านึกว่าทำไม่ได้ก็ไม่ทำ
ร้อนหรือเปล่า (ไม่ร้อน)  วันนี้อย่างน้อยอากาศก็เย็นกว่าเมื่อวานนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอย่างนั้นจิตใจของเราก็ต้องเย็นลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อากาศร้อนทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าอากาศเย็นขึ้นแล้ว ก็ต้องฟังรู้เรื่องขึ้นบ้างอีกนิดหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ไม่ใช่กลับไปบ้านแล้ว ฟังมาก็พอรู้เรื่อง แต่ว่าทำไม่ได้ แสดงว่าคนนี้ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า (ไม่รู้เรื่อง)  เหมือนครูสอนวิชาหนึ่ง เสร็จแล้วให้การบ้านกลับไปทำ ทำไม่ได้สักข้อหนึ่ง คนนี้ฟังรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำได้มาก ก็ควรที่จะทำให้ดีมากขึ้น แต่หากว่าทำไม่ได้ ก็ต้องพยายามให้มากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าคนอื่นทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ บนนิพพาน บนสวรรค์ คิดว่ามีคนเคยขึ้นไปไหม (มี)  ถ้าหากว่าคนอื่นเคยขึ้นไป แล้วเราขึ้นได้หรือเปล่า (ขึ้นได้)  ต้องพยายามมากกว่านี้อีกหน่อย ถ้าหากว่าเราอยากจะเป็นปุถุชน ก็ทำในสิ่งที่ปุถุชนทำก็คือหาเช้ากินค่ำ ทำอะไรก็ตามสบาย  แต่หากว่าเราอยากเป็นพุทธะสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำ คนอื่นเขาว่ายาก คนอื่นเขาว่าลำบาก สิ่งนี้ใครทำ (เราทำ)  ไหนใครทำได้ยกมือขึ้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานส้มให้กับนักเรียนที่ยกมือ)
ส้มลูกนี้ไปทางไหนก็เหมือนกับโอกาส คนที่ยกมืออยู่แล้วก็มีโอกาสได้รับมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ไม่ยกมือกว่าจะยกมือขึ้นมาก็ยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  บางคนโอกาสตกใส่หัวแล้วก็ยังไม่ได้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่ยกสูงที่สุดก็มีคนเดียว มีหลายคนไม่ได้ แต่คนที่ยกสูง ยิ่งสูงมากเท่าไรก็ยิ่งเมื่อย คนยิ่งทำความดีมากเท่าไรก็ยิ่งเมื่อยยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น จะให้ผู้อื่นมาให้กำลังใจตัวเองทุกวันได้ไหม (ไม่ได้)  ต่อให้เป็นสามีภรรยากัน เห็นสามีเหนื่อย เห็นภรรยาเหนื่อย ให้กำลังใจกันทุกวันยังไม่ทำเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นต้องให้ใครให้ (ตัวเราเอง)  ลองจับมือตัวเองไว้ อบอุ่นไหม (อบอุ่น)  ทีนี้ลองจับมือคนข้างๆ อบอุ่นไหม (อบอุ่น) มือใครร้อนกว่า (คนอื่น) ถึงว่ามนุษย์ชอบแต่งงาน เพราะว่าอยู่คนเดียวไม่ได้ แล้วจับมือคนอื่นจับได้ตลอดเวลาไหม (ไม่ได้)  พอขี้เกียจจับก็จะปล่อยแต่อีกคนไม่อยากปล่อย ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) พอเขาไม่อยากปล่อยแล้วทะเลาะกับเขาไหม (ทะเลาะ) แล้วบอกว่าจับมือเขาอุ่นกว่าไม่ใช่หรือ สรุปแล้วจับมือใครอุ่นกว่า จับมือใครไม่เบื่อ  (ตัวเราเอง) อย่างนี้ก็ต้องรู้จักช่วยใคร (ช่วยตนเอง)
เวลาที่เรามาบำเพ็ญแล้วมีคนมาถามเราว่ามั่นใจไหม แน่ใจไหม เอาแน่ไหม อย่างนี้บ่อยๆ แล้วเรามั่นใจหรือไม่ (มั่นใจ)  ถึงเราจะบอกว่ามั่นใจ แต่ทำไมเราถึงถอยหลังสองก้าวล่ะ (ถอยไปตั้งหลัก)  ถึงจะบอกว่าเราถอยมาเพื่อตั้งหลักแล้วคนอื่นเขาจะเชื่อหรือไม่ (ไม่เชื่อ)  อาจารย์เห็นหลายคนบอกว่าตัวเองถอยหลังมาตั้งหลัก แต่ถอยแล้วถอยเลย ฉะนั้นจะต้องหัดถอยเพื่อจะรุก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าถอย ยืนอยู่กับที่แล้วสู้ต่อไป  บางทีเราทำไปเราเชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด แต่คนอื่นมองแล้วบอกว่าไม่ดี เจอบ่อยไหม (เจอบ่อย)  เราจะรับมืออย่างไร
 (พระอาจารย์เมตตากับแม่ครัว)
บำเพ็ญให้ดีๆ มั่นคงให้มากๆ บอกว่าสามปีบำเพ็ญรู้ว่าเข้ามาหรือออกไป ห้าปีบำเพ็ญ รู้ว่าเลือกขึ้นหรือเลือกลง สิบปีบำเพ็ญก็เห็นผลว่าเรานั้นขี้เกียจหรือขยันบำเพ็ญ เพราะฉะนั้นภาษาจีนคำว่า                      (สือ เหนียน เจี้ยน เฉิง กว่อ)  ก็ดูว่าสิ่งที่เราได้มานั้นคืออะไรกันแน่ สิบปีบำเพ็ญเหมือนหนึ่งวัน ถ้าหากโดยความหมายดีๆ ทั่วไปก็คือ สิบปีบำเพ็ญนั้นรุดหน้าไม่มีความท้อใจ บำเพ็ญเหมือนหนึ่งวัน แต่หากว่าหนึ่งวันบำเพ็ญของเรา คือสิบปีของเรามีความท้อทุกวันไม่ไปไหนเลย ก็แสดงว่าหนึ่งวันเหมือนกัน เลือกเอาเองคนที่บำเพ็ญเก่าๆ แล้ว จะต้องรู้ว่าตัวเองคำว่า “สิบปี”  แต่สิบปีที่ผ่านมาเหมือนหนึ่งวันคือท้อทุกวันหรือเปล่า หรือว่าเหมือนหนึ่งวันคือไม่เคยท้อใจเลย วัดผลตัวเอง ถ้าหากคิดว่าตัวเองยังไม่ใช่ ยังไปไม่ถึงไหนรีบๆ ก้าวดีหรือเปล่า (ดี)  บอกว่าสิบปีบำเพ็ญอาจารย์บอกว่าต้องไปหน้ากว่านี้อีก อาจารย์พูดอย่างนี้คงไม่เป็นการให้ศิษย์รีบร้อนจนเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าผ่านมาสิบปียังไปไม่ถึงไหน ตอนนี้ต้องรีบไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนบำเพ็ญมาสามปี ห้าปี ก็ต้องรีบๆ ใหญ่แล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะเห็นข้างหน้าเป็นตัวอย่าง ถ้าหากเขาเป็นแบบอย่างที่ดี เราก็รีบตามดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี นินทาเขาไหม ข้างหน้าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต้องเป็นบทเรียนให้กับเรา คนไม่ดีก็เป็นบทเรียนให้กับคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนดีก็เป็นแบบอย่างให้กับคนดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าไปบอกว่าเขาไม่ดี ไม่เอาแล้ว หรือเขาไม่ดีนินทาเขาให้เละไปเลย  ถ้าใครทำอย่างนี้ ไม่ว่าทำสิ่งใดก็คงไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นอย่านินทาอย่าว่ากัน ให้ส่งเสริม ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ยอมให้เสียงปรบมือดังก้องสนั่นดีกว่าเสียงนินทาดังกระหึ่มใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำได้ไหม (ได้)  เห็นไหมว่าคำว่า 
"ทำได้”  ยังก้องอยู่ในหูตัวเอง เพราะฉะนั้นให้มันก้องอยู่นานๆ และทำให้ดีที่สุด ถ้าหากคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีที่สุดแล้วแต่คนอื่นเขายังบอกว่าไม่ดี จะรับมืออย่างไร หรือไม่เคยโดนว่าเลย แสดงว่าไม่เคยทำอะไรเลย เลยไม่เคยทำผิดใช่ไหม (ใช่) ไม่เคยทำอะไรเลยแล้วจะทำเมื่อไหร่ เวลาที่เราเจอคนว่าเรามักจะมีปฏิกิริยาตอบโต้หลายอย่าง บางคนก็เชื่อจริงๆ  ว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็ตีโพยตีพายกลับไป คิดว่าคนที่ตีโพยตีพายนี้ถูกไหม เราควรที่จะสงบใจ เพราะว่าเราเชื่อว่าเราถูกต้อง หรือบางคนนิ่งไว้ เราทำถูกต้อง แล้วก็ยืนหยัดของเราอย่างนี้ต่อไป แต่ว่าอาจารย์อยากจะเพิ่มเข้าไปอีกนิดหนึ่งตรงที่ให้คิดว่า คนอื่นพูดนั้นถูกต้องหรือเปล่า  อาจารย์ถามศิษย์อย่างหนึ่ง มนุษย์ทุกคนในโลกนี้มีใครไม่เคยทำผิดไหม แล้วเวลาที่เราทำผิดส่วนใหญ่เรายอมรับผิดไหม เราก็ไม่ยอมรับผิดก็แสดงให้เห็นว่า ในความเป็นจริงแล้วก็คือเราอาจจะมีสิทธิ์ผิดก็ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สมมติว่าเราทำเรื่องนี้ขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง เหมือนกับเราเอาหินมาใส่กล่อง ถ้าหากว่าเราหยิบหินใส่กล่องนั้นก็ถูกต้อง แต่เผอิญตอนที่เราหยิบหินอีกก้อนหนึ่งขึ้นมา ตอนจะเต็มกล่องไปหยิบผิดเป็นลูกมะพร้าวแล้วไม่รู้ตัว ความที่ใจร้อนอยากให้มันเต็มเร็วๆ ก็ไปหยิบลูกมะพร้าวเข้าแล้วก็นึกว่าหิน ตาก็มองไปทางอื่น ใช่หรือเปล่า เวลาที่เราทำความดี บางทีก็ชอบมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย คนที่บำเพ็ญ บำเพ็ญไปตาก็มองตามคนอื่น เสร็จแล้วก็ไม่มองสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แล้วเราก็หยิบมะพร้าว  ถามว่าเรารู้ตัวไหมว่าเราหยิบผิด (ไม่รู้)  เผอิญคนที่เขากำลังหยิบหินใส่กล่องตัวเอง มองมาทางเราพอดี แล้วก็บอกว่านั่นน่ะหยิบผิด แต่เรายอมรับผิดไหม  เรายังไม่ยอมเลย  แล้วเรามาเช็คหินที่อยู่ในกล่องเราหรือเปล่าว่ามันเป็นหินล้วนๆ เช็คหรือยัง (ยัง)  คิดว่าโดยนิสัยของเราปกติจะเช็คไหม (ไม่เช็ค)  ทำอย่างไร เถียงหัวชนฝา สู้หัวชนฝาก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้คนที่เถียงผิดหรือคนที่ว่าผิด (คนที่เถียงผิด)  แน่ใจหรือ อาจเป็นคนที่ว่าผิดก็ได้ เพราะไม่มองกล่องตัวเอง ใช่ไม่ใช่ (ใช่)  แต่อย่างไร ก็อาจจะผิดทั้งคู่ หรือไม่ก็ถูกทั้งคู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้สิ่งที่บอกว่านั่นคือใช่ นั่นคือไม่ใช่ ส่วนใหญ่จะไม่สามารถที่จะระบุได้ ส่วนใหญ่จะมีผิดในถูก และถูกในผิดอยู่เสมอ เข้าใจที่อาจารย์พูดถึงในเรื่องผิดในถูก และถูกในผิดไหม  ลองพูดออกจากปาก ผิดในถูก ถูกในผิด เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อไม่เข้าใจ ให้นึกถึงซาลาเปาลูกหนึ่ง ข้างนอกเป็นเนื้อแป้ง ส่วนข้างในเป็นเนื้อจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เหมือนอย่างนี้ คือผิดในถูก และถูกในผิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งนำผีเสื้อออกไปปล่อย)
ไปปล่อยสัตว์หน่อยสิ  นี่ก็เป็นการทำดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์เห็นเขาหยุดอยู่ตรงนี้ตั้งนาน เวลาที่เราจะทำนั้น ความดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องทำใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องไม่ทำเหมือนกัน ความดีเล็กๆ น้อยๆ ต้อง (ทำ)  แล้วทำไมผีเสื้อตัวเมื่อครู่ ไม่มีคนเอาไปปล่อย เราคิดว่าเรื่องนั้นมันเล็กเกินไป   แต่คนยิ่งบำเพ็ญธรรมยิ่งฝึกฝนบำเพ็ญธรรม จิตใจจะยิ่งอ่อนโยนลง หากว่าเราสามารถอ่อนโยนได้จนถึงที่สุด และเห็นทุกชีวิตเหมือนชีวิตของตัวเอง เราก็คงจะสำเร็จเป็นพุทธะไม่ยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าเสแสร้งแกล้งว่าเรามีความอ่อนโยน เพราะยิ่งเราเสแสร้ง ยิ่งไม่ได้ออกจากใจจะทำให้ข้างนอกอ่อนโยนมาก แต่ข้างในแข็งขึ้นเรื่อยๆ  ถ้าจิตใจของเราแข็งเหมือนหินจิตใจของเราก็จะตกลงเรื่อยๆ  ถ้าหากฉาบความดีไว้เพียงภายนอกจะทำให้เรายิ่งบำเพ็ญยิ่งลำบาก ยิ่งไกล ยิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งไม่ชอบใจ ยิ่งขัดหูขัดตา ยิ่งแย่ลงทุกวัน มองไปทางไหน ก็แย่ไปหมด  ถามว่าข้างนอกแย่หรือตาแย่ (ตา)  ตาของเราแย่เพราะข้างนอกก็เหมือนเดิม คนที่เราเจอเมื่อสิบปีที่แล้ว หรือว่าคนที่เราเจอเมื่อตอนที่เรามาบำเพ็ญธรรมใหม่ๆ ก็คนนี้ ถูกไหม (ถูก)   ยิ่งบำเพ็ญไปนานๆ ก็ยังเป็นคนเก่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เหมือนกับเรามองคนในบ้านนี้ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อคนนี้หรือเปล่า แม่คนนี้หรือเปล่า พี่น้องเราคนนี้หรือเปล่า แต่ว่าทำไมอยู่กันไปยิ่งนานยิ่งทะเลาะเบาะแว้ง ยิ่งหาเรื่องหาราวกัน  เพราะอะไร สภาพแวดล้อมคนในบ้านเปลี่ยนไปไหม สภาพแวดล้อมในบ้านไม่ได้เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจของเรามองเขา เรารู้สึกแย่แล้วรู้สึกอคติ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งเราทนไม่ได้ อะไรที่มันเปลี่ยน ตัวเราหรือว่าคนอื่นก็ต้องเป็นตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่อาจารย์บอกศิษย์ว่าบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมก็คือการย้อนมองแล้วก็ส่องตนเอง ขัดเกลาแล้วแก้ไขตัวเอง รู้ผิดรู้ชอบก็รู้ที่ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เป็นสิ่งพื้นฐานที่เราคุยกันประจำ อ่อนน้อมถ่อมตนก็อ่อนน้อมด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้ศิษย์ของอาจารย์จำได้ไหม (จำได้)  แล้วทำได้มากแค่ไหน เราก็ทำได้สามวันดีแล้วก็สี่วันไข้ ทำได้บ้าง ก็ไม่ได้บ้าง  เสร็จแล้วพอเบื้องบนจะมองลงมา เอาคนไหนดี  ตัดสินใจลำบากเหลือเกิน มองๆ ไปแล้ว ลูกศิษย์อาจารย์กลุ่มนี้ ทำไมเหมือนกับกลุ่มที่จะลงนรกเลย พูดตรงไปไหม เสร็จแล้วจะเอาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วเดี๋ยวสวรรค์ไม่กลายเป็นนรกไปหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ที่เคยรู้เคยฟังมาว่า เบื้องบนนั้นมีดินแดน มีที่ๆ ให้เราฝึกฝนสำหรับการที่จะทำให้จิตญาณนั้นสมบูรณ์พร้อม ก็หมายความว่าเขาเหลือเพียงนิดหน่อยในการที่จะฝึกฝนเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าขึ้นไปแล้วจะฝึกฝนใหม่หมด  ถ้าอยู่ในโลกนี้ให้เวลาร้อยปีทำไม่ได้ เวลากลับไปข้างบนทำได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะว่าเราก็เหมือนเดิม  ตายไปแล้ว ดูไปดูมานี่ก็เรา แล้วถามว่าเวลาเราขึ้นไปข้างบนจะฝึกได้มากกว่าเดิมไหม (ไม่ได้)  เพราะว่าเราก็คือเรา เขาก็คือเขา เราก็เป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้  แต่ทุกคนขึ้นไปก็อย่างนี้ ทีนี้ยกอันนี้ขึ้นไปอยู่บนนิพพานก็เป็นอย่างนี้ เป็นเหมือนอยู่ในห้องนี้ ถามว่านิพพานตรงนั้น ตรงจุดนั้นที่อาจารย์ยกห้องนี้ขึ้นไป สงบสุขไหม (ไม่สงบสุข)  ไม่สงบสุขเลย ก็แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์ยังไม่สามารถบรรลุได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรายังต้องพยายามมากกว่านี้ ถ้าจุดมุ่งหมายของเรามันสูงกว่าเพื่อน เราจึงต้องเดินคุณธรรมของเราให้สูงกว่าเพื่อน ถ้าหากว่าเราเดินคุณธรรมราบเรียบเหมือนอยู่บนพื้นราบนี่  มีเมตตาไหม มีนิดหน่อย  มีกรุณาไหม มีนิดหน่อย  มีความดีไหม ก็มีนิดหน่อย  มีกตัญญูไหม ก็มีนิดหน่อย  ซื่อสัตย์ไหม นิดหน่อย  หิริมีไหม โอตตัปปะมีไหม นิดหน่อย  ถ้าหากว่าทุกอย่างก็มีนิดหน่อยๆ ถามว่ารวมๆ กันก็นิดหน่อย พอไหม (ไม่พอ)  คุณธรรมข้อนี้ก็นิดหน่อย คุณธรรมข้อนั้นก็นิดหน่อย ไม่เต็มสักข้อ รวมๆ กันเป็นยังไง (นิดหน่อย)  พอไหม (ไม่พอ)  แต่มีอยู่คนหนึ่งบำเพ็ญ ความเมตตาที่หนึ่ง ความกรุณานิดหน่อย หิรินิดหน่อย โอตตัปปะนิดหน่อย ซื่อสัตย์นิดหน่อย กตัญญูนิดหน่อย เสร็จแล้วรวมๆ กันก็ยังเยอะ เพราะอย่างน้อยเมตตาก็มากมายใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าศิษย์เป็นคนที่เมตตา ช่วยผู้อื่น แต่ว่าไม่ค่อยจะเน้นคุณธรรมด้านอื่น ก็ยังจะบอกได้ว่าศิษย์มีคุณธรรมข้อหนึ่งเป็นหลัก ซึ่งดีกว่า
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงพระโอวาท)
 ใครเคยหลอกตัวเองบ้าง (เคย)  ทุกคนจะพูดไปก็เป็นอย่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า หลอกได้แม้กระทั่งตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  การหลอกคนอื่นหรือว่าคนอื่นหลอกเรายังเป็นเรื่องที่นอกกาย ยังพอมีวันที่จะตาสว่างบ้าง แต่หากว่าวันไหนเราหลอกตัวเอง แล้วเราจะไปแก้ไขได้อย่างไร เพราะว่าคนที่ชี้แนะก็คือตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  พระก็อยู่ในตัวเรา มารก็อยู่ในตัวเรา ถ้าหากว่าให้มารมีอำนาจเหนือพระแล้วเราจะสามารถพ้นจากทะเลทุกข์นี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ทะเลนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่ว่ายก็จม ถึงจะรอดก็รอดได้ไม่นาน ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคนไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ทุกๆ  คนนั้นเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ สัตว์เองก็มีความลำบากของสัตว์ เพราะว่ามีปลาตัวใหญ่ก็คือเรา  เราเป็นปลาตัวใหญ่คอยจ้องกินปลาตัวเล็กก็คือสัตว์น้อยๆ ทั้งหลายใช่หรือไม่ บางทีเราควรที่จะรู้แจ้งว่าเราทำให้คนอื่นลำบาก จะเบียดเบียนไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าหากว่าสามารถที่จะลด ละ เลิกได้ก็ขอให้งดกรรมปากด้านนี้  อย่าไปกินสัตว์ให้เขาทรมานเพราะว่าเราก็ทรมานใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าลดกันได้นิดๆ หน่อยๆ ก็คงจะดี ดีกว่าไม่ทำเลย เพราะว่าถ้าเราผูกกรรมกับสัตว์มากมาย ต่อไปถ้าหากว่าสัตว์เขาไปเกิดเป็นมด เราก็เกิดไปเป็นตัวกินมด หรือเราเกิดไปเป็นมด สัตว์ตัวนั้นก็เกิดไปเป็นตัวกินมดเอาหรือเปล่า (ไม่เอา)  ฉะนั้นรักษาชีวิตของตัวเองให้ดีๆ ทำแต่ในสิ่งที่ดีเพื่อให้ทุกๆ อย่างนั้นดีขึ้น
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงพระโอวาท)
การทำงานธรรมะ ยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความสุข อย่าไปเครียดมากไม่อย่างนั้นศิษย์เก่าก็เหมือนกับศิษย์ใหม่เลย บำเพ็ญไปก็กลุ้มใจไปใช่ไหม
เราหนึ่งคนชวนคนหนึ่งคน คนก็มากมายแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าหากว่าเราขยันที่จะทำความดีคนเห็นเราเขาก็แปลกใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเห็นเราก็รู้สึกทึ่งในตัวเราว่าเราคงจะมีสิ่งที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีมากขึ้นจากที่ดีอยู่แล้ว ไม่ใช่จากไม่ดีเป็นดีแต่ขอให้จากดีเป็นดียิ่งกว่าเดิม ดีหรือเปล่า (ดี)  บางคนเป็นคนมีบุญ แต่ว่าชอบทำตัวเป็นคนที่บุญมีแต่กรรมบังใช่หรือไม่ (ใช่)  เรียกให้บำเพ็ญแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะบำเพ็ญ  อย่างนี้ถือว่าเป็นคนบุญมีแต่กรรมบังไหม แล้วเราอยากจะเป็นคนบุญมีแล้วก็มีวันบำเพ็ญหรือเปล่า  เราต้องรู้จักที่จะเชียร์ตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  มิใช่มีคนไปตามที่บ้านบอกว่าไม่มีเวลา อย่างนี้ได้ไหม (ไมได้)  นี่เป็นประโยคของพวกที่บุญมีแต่กรรมบังชอบใช้ที่สุด  ถ้าเราไม่อยากที่จะเป็นคนที่บุญมีแต่กรรมบังนั้น ต้องรู้จักที่จะเรียกตัวเองดีหรือเปล่า (ดี)  มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ขยันมาสถานธรรมแล้วก็ถามว่ามีชั้นศึกษาธรรมอะไรบ้าง มีอะไรให้ช่วยบ้าง เป็นประโยคติดปากดีหรือไม่ (ดี)
การรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ (สมควร) กลับไปบ้านทำอะไรดี (ตั้งใจศึกษาธรรมะ)
หลังจากวันนี้ไปบำเพ็ญดีไหม (ดี) บำเพ็ญธรรมทำอย่างไร (ทำดี, มีธรรมประจำใจตลอดไป) อายุมากแล้วรีบบำเพ็ญนะ มีเวลาว่างก็มาสถานธรรมมากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องนอกกาย มีเวลาก็รีบบำเพ็ญรู้ไหม
 (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาท "เข้มงวด อบอุ่น" )
"เข้มงวด อบอุ่น"  คำๆ นี้เป็นการบอกให้เรารู้ว่า เราบำเพ็ญธรรม ต้องรู้จักเข้มงวดกับตนเอง เพราะว่าจะให้คนอื่นมาเข้มงวดกับเราไม่ได้ ใจอีกข้างหนึ่งก็ต้องรู้จักที่จะเป็นคนที่อบอุ่นน่าไว้ใจน่าเชื่อถือแก่คนอื่น ไม่ใช่ว่าเราเข้มงวดอย่างเดียว หน้าก็ดุอยู่ตลอดเวลา ใครจะเข้าหาไหม เหมือนพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งทางด้านของความอบอุ่น และมีทั้งในด้านความเข้มงวดไปในทางเดียวกัน เราเป็นคน จะต้องเจริญรอยตามแบบอย่างพุทธะไม่ยอมให้กิเลสต่างๆ มาชนะจิตใจของเรา ต้องหัดชนะจิตใจของตนเองให้มากๆ ทำได้ไหม (ทำได้)  หลังจากสองวันนี้กลับไปบ้าน สิ่งใดที่ได้ทำมา สิ่งใดที่ได้ฟังมา กลับไปทำ กลับไปเข้มงวดกับตัวเอง สิ่งที่เราจะได้รับนั้นก็ยิ่งใหญ่มหาศาล ยิ่งกว่าเงินทอง ยิ่งกว่าทรัพย์สิน ยิ่งกว่ายศถาบรรดาศักดิ์ที่เราเคยมีมาทั้งหมด เพราะว่าคราวนี้ถ้าหากเราตั้งใจบำเพ็ญ ผลที่เราได้รับก็คือ การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนประสงค์ที่จะไปไหม (ไป)  ประสงค์ที่จะได้รับสิ่งนี้ไหม (ประสงค์)  แต่ถ้าหากว่าเราเจอสิ่งที่ยั่วตายั่วใจ เราจะหลงไปกับสิ่งนั้นไหม  (ไม่หลง)  ขอให้เราเลือกดีๆ  การเลือกของเราวันนี้ ก็คือการเริ่มต้น และการที่เราเดินไปในวันพรุ่งนี้ เดินบำเพ็ญธรรมหนึ่งก้าว ฝึกคุณธรรมเพิ่มหนึ่งข้อ ศิษย์ก็จะได้รับสิ่งที่เป็นผลตอบแทนในวันข้างหน้า เข้าใจไหม (เข้าใจ)  โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำต้องมีสิ่งนี้ อันเป็นความเข้มงวดด้วย เป็นความอบอุ่นด้วย คนที่ตามเขาถึงได้รู้สึกสบายใจ ไม่ใช่เข้มงวดอยู่ทั้งวัน หรือไม่ใช่มีแต่ความนิ่มนวลอบอุ่นอย่างเดียว บางคนเลี้ยงลูกตามใจมากจนลูกเสียคนก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอบอุ่นมากไป ไม่เข้มงวดก็เป็นอย่างนั้น อาจารย์อยากให้ศิษย์ เข้มงวดและอบอุ่น อบอุ่นและเข้มงวด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ธรรมะนั้นไปทุกที่ ธรรมะไม่ใช่ของคนจีน และธรรมะก็ไม่ใช่ของคนไทย ธรรมะไม่ใช่ของใคร แต่อยู่ในจิตใจของเราทุกคน ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญ ก็คือธรรมะอยู่กับเรา หากเราไม่บำเพ็ญถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสถานธรรม ธรรมะนั้นก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นการที่มีชาวต่างประเทศมาเยี่ยมถึงที่นี่ ถือว่าเป็นเกียรติของศิษย์ อย่าทำให้จิตใจของเราฟุ้งซ่านฟุ้งกระจาย ยิ่งสงสัยมากขึ้น แค่เราบำเพ็ญธรรม ทุกคนก็เป็นพี่น้องเรา แต่ถ้าหากว่าจิตใจของเรามีแต่ความอิจฉาริษยา เปรียบเทียบเปรียบเปรยนินทากาเล ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน คนไหนก็ไม่ใช่พี่น้องของเราทั้งนั้น เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  อยากจะมีพี่น้องเยอะๆ ไหม (อยาก)  พี่น้องที่รักใคร่สามัคคีต้องการไหม (ต้องการ)  เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้พี่น้องที่ดี ก็ขอให้บำเพ็ญธรรมได้หรือเปล่า (ได้)  แม้ว่าจะไม่ได้เกิดมาร่วมวันเวลา ไม่ได้เกิดมาร่วมท้อง แต่เราร่วมใจดีหรือเปล่า (ดี)  ความสามัคคีนั้นมาก่อนความสำเร็จตลอด ถ้าเราสามัคคีไม่ว่าจะเป็นในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มาสถานธรรมก็ดี อยู่ที่ไหนความสำเร็จก็มารอท่าเรา เราอยากได้ความสำเร็จต้องไขว่คว้า ถ้าไม่อยากได้ เราก็เป็นคนเดียวดายคนเดียวในโลก ถ้าหากว่านิสัยของเรานั้นเป็นต้นเหตุให้เราเข้ากับใครไม่ได้เลย เราก็เป็นคนเดียวดาย อยากจะมีเพื่อน  อยากจะมีพวก หรืออยากจะเดียวดาย (อยากมีเพื่อน)
วันนี้อาจารย์มากินเวลาของศิษย์ไปมาก แต่หวังว่าทุกคำพูดที่อาจารย์พูดไป ศิษย์จะเข้าใจ ความทุกข์ยากลำบากของอาจารย์ ภาระในการแบกงานสามโลกนี้ขอศิษย์เห็นใจ อาจารย์ไม่มีกายเนื้อ ไม่มีร่างกายเหมือนศิษย์ จะมาก็มาได้เพียงพักเดียว เดี๋ยวก็ต้องไป เกิดเป็นคนโอกาสที่จะสร้างกุศลนั้นมีมาก แต่เรามาดูสิว่า ทุกวันนี้ส่วนมากเราใช้เวลาของเราไปในทางไหน อันได้ชื่อว่ามนุษย์โลก ก็พาให้ตัวเองไหลไปตามกระแสโลก มีเครื่องใช้ไฟฟ้ามากจิตใจของเราก็ไปสบายกับสิ่งที่อำนวยความสะดวกเหล่านั้น  ถ้าวันนี้ไม่อดทนต่อความยากลำบากที่เผชิญทั้งหมด แล้ววันหน้าจะมารอให้ฟ้าช่วยก็คงช่วยไม่ไหว อาจารย์จึงอยากขอร้องให้ศิษย์ทุกคนบำเพ็ญธรรมให้ดี ดูแลตัวเองให้ดี เห็นแก่คนจำนวนมากเป็นส่วนใหญ่ ให้โอกาสของเรากว้างมากขึ้น เพื่อให้โอกาสของเราโอกาสเดียวที่มีอยู่ยังสามารถมีคนอื่นเข้าไปร่วมใช้โอกาสเดียวกับเราได้
อาจารย์จะบอกให้ ทุกคนมีชะตา ทุกวันอาจารย์ต้องเห็นลูกศิษย์อาจารย์ตาย ต้องเห็นลูกศิษย์ของอาจารย์ไปเกิดใหม่ ทุกวันอาจารย์ต้องช่วยลูกศิษย์ทุกคน จนช่วยไม่หมด อาจารย์บอกให้สิ่งเดียวที่ศิษย์ช่วยเขาได้คือ ให้เขามีชีวิตต่อไปอย่างสบายใจ ทำให้จิตใจเขาสบาย เพราะว่าร่างกายก็เป็นเพียงภายนอก หากว่าศิษย์ใจสบาย บำเพ็ญกุศลได้ดี จิตใจเป็นกุศล วันหลังทิ้งกายนี้ไปก็ไปอยู่ในดินแดนกุศลนั่น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด บำเพ็ญให้ดีๆ คนมองเราอีกหลายคน คนดูเราว่าบำเพ็ญเป็นอย่างไร  ศิษย์คนเดียวขึ้นมาจะมีอีกหลายคนขึ้นมา วันนี้มาลืมตามอง แต่ขอให้จิตใจนั้นเปิดขึ้นด้วย เปิดใจมาฟัง เปิดใจรับอาจารย์เข้าไป แก้ไขตัวเอง อย่าให้เวลาผ่านไป อย่าให้ผมขาวไปอย่างนั้นโดยไม่ได้อะไรขึ้นไป บำเพ็ญให้ดีๆ อย่ามัวสนใจแต่เรื่องไร้สาระ เรื่องคนอื่น สนใจมากไปจิตใจก็ฟุ้งซ่าน เข้าใจไหม
รักษาความมีใจของตัวเองนี้ให้เสมอต้นเสมอปลาย แล้วทุกวันศึกษา
สัจธรรมให้เข้าใจ อย่าบำเพ็ญอย่างคนที่เป็นตาอินตานาไปเรื่อยๆ อายุมากแล้วรีบๆ บำเพ็ญอาจารย์มาช่วยศิษย์ ศิษย์มาช่วยอาจารย์ บำเพ็ญธรรมะให้ดี วันหลังเราเจอกันใหม่ อาจารย์รอศิษย์ทุกคน มีปัญญาแล้วต้องรู้จักคิด วันนี้ที่เราฟังแล้ว ควรที่จะกลับมาปฏิบัติไหม  ลำบากหน่อยนะ เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนก็ดื้อรั้น แต่ว่าก็ช่วยไม่ได้ สองบ่าอันหนักนี้ก็จำเป็นต้องอดทนต่อไป อดทนสำเร็จก็กลับไปอยู่กับอาจารย์ ความดื้อรั้นไม่ฟังเสียงคนของเรานี้ ต้องแก้หน่อยนะ คนมีบุญอย่างไรก็ได้ขึ้นฝั่ง
 รีบๆ บำเพ็ญอาจารย์มาช่วยศิษย์ ศิษย์มาช่วยอาจารย์ บำเพ็ญธรรมะให้ดี วันหลังเราเจอกันใหม่ อาจารย์รอศิษย์ทุกคน มีปัญญาแล้วต้องรู้จักคิด วันนี้ที่เราฟังแล้ว ควรที่จะกลับมาปฏิบัติไหม  ลำบากหน่อยนะ เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนก็ดื้อรั้น แต่ว่าก็ช่วยไม่ได้ สองบ่าอันหนักนี้ก็จำเป็นต้องอดทนต่อไป อดทนสำเร็จก็กลับไปอยู่กับอาจารย์ ความดื้อรั้นไม่ฟังเสียงคนของเรานี้ ต้องแก้หน่อยนะ คนมีบุญอย่างไรก็ได้ขึ้นฝั่ง


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “เข้มงวด  อบอุ่น”

อยากทำดูรู้เพราะผิดไม่คิดลอง ไม่ผ่านตรองมาก่อนไม่คิดผลักดัน
จงกวดขันเข้มงวดกับตนเป็นสำคัญ และในนั้นยังต้องดูสบายสบาย
น้ำอ่อนแต่แกร่งกว่าหินผา จิตบ่าความอ่อนน้อมไม่หน่าย
คนงามงามที่ใจยองใย นอกในบำเพ็ญจริงไม่เวียน

อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2544

2544-04-13 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรขันธ์


วันศุกร์ที่  ๑๓  เมษายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔    สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  อ.ปราณฯ จ.ประจวบฯ
  สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

สามคนเดินมีหนึ่งเป็นอาจารย์เรา ชราเยาว์มีหนึ่งใจไม่แปรเปลี่ยน
       ตลอดชีพสละตนดุจเล่มเทียน ตามรอยเกวียนอาวุโสไม่คลาดคลา
เราคือ
    เอวี้ยฮุ่ยผูซ่า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรม  กราบ
องค์มารดา ถามเมธีศิษย์ชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮา  ฮา

บำเพ็ญนานสุขเกษมหรือทุกข์ใจ เจ้าเหนื่อยไหมงานหนักสองบ่าแบก
จงมีใจศรัทธาดุจคราแรก ที่เจ้าแทรกตนลงช่วยเวไนย
หากความทุกข์มากมายจงปล่อยวาง ใจบางบางจะรับได้มากแค่ไหน
จงอดทนในเรื่องที่ต้องทนไป แต่กลุ้มใจศิษย์น้อยยังคอยลังเล
บำเพ็ญดีคือสิ่งที่ฟ้าอยากเห็น ความลำเค็ญนำให้ศิษย์ยิ่งแกร่งกล้า
รับหน้าที่ประกาศธรรมแทนฟ้า ต้องเมตตาช่วยเวไนยอีกมากมาย
สิ่งที่รู้อาจยังไม่ใช่ความรู้ พินิจดูตรงหลักธรรมเที่ยงแท้ไหม
เข้าใจในสิ่งใดใช่ผิวเผินไป ต้องรู้จริงจึงได้เข้าใจจริง
สิ่งที่พูดสิ่งที่ทำเป็นหนึ่งเดียว จงกลมเกลียวจากจิตใจภายในส่อ
อย่าได้เป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ เอาลาภยศเป็นต่อทางพุทธา
ต้องเหมือนเด็กยิ่งตียิ่งเข้าหา จึงก้าวหน้าดั่งที่ข้าเฝ้าสอน
ในวันนี้แม้โลกยังรอนรอน แต่อย่าร้อนใจเร่งรีบจนผิดทาง
สงสารคนต้องสร้างตนค่อยสร้างคน ความอับจนมากมายตนเป็นผู้หา
อย่าได้แต่กราบขอฟ้าให้เมตตา สำนึกหนายามนี้ต่างโชคดีพอ
เรียนพันวันอาจเพื่อใช้เพียงครั้งเดียว ใจลดเลี้ยวเกียจคร้านไม่อ่านหนังสือ
จะเอาสิ่งใดไปสอนคนเขาฤๅ ขอให้ถือความขยันเป็นมั่นคง
หากใครมีพรสวรรค์ผนวกเข้า บรรยายธรรมอย่าให้เศร้าคนนั่งหลับ
รู้ไม่จริงพูดไปสลับสลับ เพราะตนจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย
อย่าลืมว่าดื่มน้ำรำลึกต้นธาร รักสถานธรรมดุจบ้านจะดีไหม
บ้านยิ่งร้างบ้านยิ่งเก่าน่าเศร้าใจ ขอตั้งใจในยุคปลายบำเพ็ญจริง
จงเป็นดั่งสะพานเชื่อมสองโลก มนุษย์โลกกับนิพพานให้เป็นหนึ่ง
แปรแดนดินให้สันติให้ตราตรึง จิตใจหนึ่งของตนจึงต้องมั่นคง
เคารพอาจารย์เทิดทูนธรรมด้วยเข้าใจ รู้ยืดหยุ่นว่องไวปัญญาใส
ฉลาดมากเสียกุศลได้โดยง่าย อ่อนน้อมได้เป็นพุทธะเพราะฝึกตน
ดอกไม้งามไม่บานอยู่บ่อยบ่อย ขอศิษย์คอยรักษาโอกาสให้แม่นมั่น
โลกใบนี้ไม่จีรังดั่งหมอกควัน เงินทองนั้นหาเท่าไรก็ไม่พอ
อุทิศตนช่วยงานธรรมจิตใจงาม ก้าวเท้าตามอาวุโสอย่าได้บ่น
อาวุโสตรวจสอบตนอย่าตกหล่น ความอดทนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี
จงรู้แจ้งในโอวาทเบื้องบนสอน ท่านอาทรศิษย์จึงได้สั่งสอน
รอโพธิสัตว์มาช่วยไม่รู้ย้อน สามหนผ่านยังร้องขอน่าเสียดาย
จงได้เริ่มจริงจังหากยังไม่เคย มีบุญเอยอย่าดูถูกตนเองหนา
โลกทันสมัยวงการธรรมยิ่งรุดหน้า และเจ้าคืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง
จงรักษาบรรยากาศธรรมทั้งนอกใน ศรัทธาไกลอารมณ์ใกล้ไม่ดีแน่
โลภโกรธหลงพิษสามอย่าเชือนแช จงดูแลพี่น้องกันด้วยจริงใจ
บำเพ็ญจิตปฏิบัติรู้มีธรรม ชำระกรรมเคยก่อให้สะอาด
คนเดินช้ากรรมก้าวเร็วอย่าประมาท จงอย่าขลาดในการทำหน้าที่ของตน
ในวันนี้ด้วยจิตใจใฝ่คิดถึง อยากจะดึงศิษย์น้อยที่กลับไปหลง
ตื่นแล้วหลับหลับแล้วตื่นน่าพะวง เดินทางตรงแต่ใจคดยากรับมือ
ขอให้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ศึกษาธรรมเร่งรุดคัมภีร์ต่างต่าง
หากไม่รู้คอยหลีกหน้าที่ต่างต่าง แล้วจะสร้างตนอย่างไรอาจารย์ถาม
ขอให้มีความมั่นคงตรงจุดหมาย งานยุคปลายอาศัยศิษย์ทั้งหลาย
เมื่อต้องพูดค่อยรู้ตนรู้น้อยไป จงขวนขวายสร้างสรรค์ทำงานธรรม
ในวันนี้ไม่ขอกล่าวให้มากไป คำสุดท้ายขอย้ำบอกอย่ากลัวลำบาก
กินขมมากจะหวานเองรู้ตระหนัก คมในฝักรู้ย้อนมองอีกส่องตน
รักษาสุขภาพให้ดีดี โอกาสมีค่อยมาร่วมผูกบุญสัมพันธ์
ฮา   ฮา  หยุด


พระโอวาทท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน

ต่างคนต่างมีปณิธาน  มีภาระหน้าที่ต้องทำให้ดีๆ  ต้องบำเพ็ญให้ดีๆ  บำเพ็ญไม่ดี  สำเร็จธรรมไม่ได้ก็น่าเสียดาย  บำเพ็ญมาตลอดชีวิตก็เพื่อเวลาที่เราตายจากกายนี้ไปแล้ว  ยังสามารถที่จะกลับไปอยู่กับพระอาจารย์พระอาจาริณีได้  ยังสามารถกลับไปอยู่กับท่านเหล่าเฉียนเหยรินได้ และก็ยังสามารถกลับไปอยู่กับเฉียนเหยรินได้  วันนี้เฉียนเหยรินขอเหลาหมู่มาพบศิษย์น้องทุกๆ คน  ก็เพราะว่าทุกๆ คนนั้นมีความศรัทธาคิดถึง  เฉียนเหยรินก็คิดถึง  แต่ว่าไม่สามารถที่จะมาได้บ่อยๆ ยังหวังว่าทุกๆ คนบำเพ็ญให้ดีๆ บำเพ็ญธรรมะบำเพ็ญที่ใจ  ถ้าหากว่าจิตใจไม่ซื่อสัตย์  ไม่จริงใจ  ไม่มีมโนธรรมสำนึก  แล้วจะบำเพ็ญไปได้อย่างไร  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)
อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทุกท่าน  ทุกๆ คนนั้นบำเพ็ญธรรมด้วยจิตใจดีงามเป็นที่เริ่ม  บำเพ็ญต่อๆ ไป  นานๆ ไปก็ต้องมีจิตใจที่ดีงาม  การบำเพ็ญธรรมต้องเจริญรอยตามอาวุโส  ถึงเป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก็ยังมีอาวุโสกว่า  เพราะฉะนั้นทุกๆ คนเชื่อฟังผู้อาวุโสให้ดีๆ  แต่ละคนต่างมีความยากลำบาก  บ้านใครๆ ก็มีความยากลำบาก จิตใจใครๆ ก็มีความยากลำบาก  แต่ว่าเราบำเพ็ญธรรมก็เพื่อที่จะฝ่าความลำบากเหล่านี้ออกมา  เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้น้อย  อย่าได้มีความลับลมคมใน  เข้าใจไหม  บำเพ็ญจริงใจ  บริสุทธิ์ใจ  เปิดเผยได้  สิ่งที่ไม่ดี  ความเคยชินที่ไม่ดีต้องหัดขจัดล้างเอง  เพราะตอนนี้เป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแล้ว  ไม่รู้จะให้ใครเตือนดี  ถ้าหากว่ามังกรตาบอดแล้ว  จะให้หางไปอย่างไร  ถ้าหากว่าเราท้อแท้แล้ว  ข้างหลังจะตามเราไปอย่างไร  อยู่เมืองไทยวงการธรรมะขยายกว้าง  ถ้าหากว่าต่างคนต่างคิดจะไปคนละทาง  แล้วจะให้เฉียนเหยรินบอกว่า หลี่เอวี๋ยน  ไม่กล้าพูด  เพราะโฮ่วเสวี๋ยตอนนี้หมายถึงต้องเชื่อฟัง  มีอยู่แค่ครู่เดียว  ส่วนใหญ่จิตใจมันจะแตกร้าวเสียมากกว่า ใช่ไหม  ต่างคนต่างฉลาด  ต่างคนต่างมีวิถีทาง  แต่ขอให้เราอย่าเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่  แนวทางนั้นขออย่าให้ผิดจากกันมาก  เพื่อให้เฉียนเหยรินได้ชื่นชมบ้าง  จะได้รู้สึกว่ามีผู้น้อยที่ดีที่เดินตามมาติดๆ  แต่ว่าทุกๆ คนมีผิดแล้วก็มีถูก  ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลาสำรวจใจตัวเองให้มากๆ  อย่าให้กิเลสโลกแสงสีมาเกาะกินใจ  จนไม่สามารถที่จะบำเพ็ญได้  เข้าใจไหม  เฉียนเหยรินมีคำพูดมากมาย  แต่เมื่อเห็นหน้าพวกเราทุกๆ คนแล้วพูดไม่ออก  สิ่งที่ตั้งใจมาพูดก็แทบจะลืมไปหมดสิ้น  เพราะว่าได้เห็นหน้าพวกเราทุกๆ คน บำเพ็ญให้ดีๆ คนเหล่านี้เป็นตัวแทนของพระอาจารย์  พระอาจาริณี เป็นคนที่เราสมควรให้ความเคารพ  แต่เมื่อใดที่ความเคารพขาดไปจากใจ  ก็ขอให้เรายึดธรรมเป็นหลักบำเพ็ญให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญให้มากๆ
วันนี้วันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่  เฉียนเหยรินอวยพรให้ทุกๆ คนมีสุขภาพแข็งแรง  เพื่อไว้ใช้บำเพ็ญธรรม  อยากให้เบื้องบนช่วย  เราต้องช่วยตัวเองด้วย  เราต้องช่วยเบื้องบนด้วย  มีเวลาว่างศึกษาเรียนรู้แก้ไข  พุทธระเบียบต่างๆ ต้องจำให้แม่นยำ  ทุกๆ คนมีบุญสัมพันธ์กับเรา  แต่ดูเหมือนว่าเราจะไม่ค่อยมีบุญ  ไม่สามารถดูแลท่านได้ด้วยตนเอง ขอให้ท่านรักกันดั่งพี่ดั่งน้อง  ขอให้เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ  ขอให้กลมเกลียวกันมากๆ สิ่งใดอภัยได้จงอภัยกัน  อย่าถือโทษโกรธเคืองในจิตใจ  อย่าขุ่นข้องหมองมัว
(ท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวินเมตตากับญาติธรรมสิงค์โปร์)
มาจากแดนไกล  พวกท่านต้องตั้งใจฟังหัวข้อ  กลับไปต้องไปพูดดีๆ  เพราะว่าพวกเธอเป็นความหวัง   ของวงการธรรม  ถึงแม้ว่าเฉียนเหยรินไม่ได้ไปที่นั่น  แต่ก็เฝ้าดูพวกเธอทุกคน  บำเพ็ญให้ดีๆ ปฏิบัติดีๆ  พวกเธอต้องตั้งใจ  ถ้าทำได้ก็ไปทำ  ถ้ายังทำไม่ได้ขอให้หยุดก่อน  เข้าใจไหม
คิดถึงเฉียนเหยรินก็ต้องบำเพ็ญให้ดีๆ อีกหน่อยก็จะได้ไปอยู่ด้วยกัน  เพราะว่าพวกเธอเป็นเตี่ยนฉวันซือ  ฐันจู่  เจี่ยงซือ  ก็สามารถที่จะตกลงไปนรกได้  ดูว่าพวกเธอจะเลือกอะไร ก็ดูว่าวันนี้ที่เธอทำ
(ท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวินเมตตาให้นำขนมถ้วยฟูมาแจกทุกคน)
เฉียนเหยรินให้ขนมถ้วยฟูไว้  วงการธรรมะจะได้เฟื่องฟู  อยู่ที่พวกเราทุกๆ คน  หลายๆ คนเป็นคนที่ดื้อรั้น  หลายๆ คนก็เคยถดถอยมาก่อน  จึงขอให้ระวังจิตใจอันนี้ให้ดีๆ  วันนี้แต่ละคนเสื้อผ้าเปียกชื้นเดี๋ยวจะไม่สบาย  ฉะนั้นวันนี้คงไม่รบกวนมาก  อีกอย่างก็ดึกแล้ว  พรุ่งนี้ยังต้องฟังธรรมอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ตอนนี้อาจารย์บรรยายธรรม  อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม มาจากแดนไกลพูดธรรมะให้เราฟัง  ต้องตั้งใจฟังอย่าสัปหงก  สิ่งที่ดีๆ ให้เลียนแบบไว้ให้มากๆ  เพราะเรานั้นสักวันหนึ่งอาจจะเป็นหัวมังกรก็ได้  อย่าให้มีผลกระทบต่อคนอื่น  อย่าให้มีผลกระทบต่อวงการธรรม  เพราะนิสัยของเราเป็นเหตุ รู้ไหม (รู้)  ตอนนี้เฉียนเหยรินกำลังสอนทุกคน  ก็อย่าไปคิดว่ากำลังว่าใคร  การบำเพ็ญธรรมตอนนี้สำหรับทุกคนก็คือการสั่งสมบารมี  ขอให้บารมีทั้ง ๖ เต็มเปี่ยม  ขอให้ขยันขันแข็ง  อย่าท้อใจ  ทำตัวให้ดีๆ  ไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่า “บำเพ็ญให้ดีๆ ”  เพราะว่าเฉียนเหยรินนั้นทั้งจิตใจก็มีแต่คำว่า บำเพ็ญให้ดี ก็ยังสามารถบรรลุได้  ทุกคนก็เหมือนกันเดินตามเรามา  บำเพ็ญให้ดีๆ ตั้งใจให้ดีๆ เข้าใจไหม  (เข้าใจ)  


วันเสาร์ที่  ๑๔ เมษายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและท่านเป้าซื่อหลิงถง

มองตั้งนานแต่กลับมองไม่เห็น ฟังไม่เป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
       คิดทีไรวนไปก็วนมา พูดออกมามีแต่น้ำไม่มีเนื้อ
                                  เราคือ
   จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ขอให้ทุกคนกลับไปตั้งใจใหม่ให้ดี

ละทิฐิอ่อนน้อมน่าเคารพ แผ่นดินกลบค่อยจบปณิธานนั้น
       ศิษย์รักเอยอย่าเป็นคนดื้อดึงดัน จงแบ่งปันโอกาสให้ทั่วถึงกัน
       สำรวจตนสำรวมจิตมั่นคงยิ่ง คนจิตนิ่งพบทดสอบจึงจะผ่าน
      เมื่อยิ่งรู้ว่าโลกนี้แสนทรมาน กลับไปบ้านดีไหมศิษย์อาจารย์รอ
      แบ่งงานเพื่อร่วมกันทำให้เบาแรง อย่าแข็งเกินอ่อนเกินรู้ไหมหนอ
      ทุกทุกคนสำรวจตนให้เพียงพอ คดในข้องอในกระดูกไม่เคยดี
      อาจารย์ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ศิษย์ ลำบากนิดทุกข์ใจหน่อยอย่าคิดหนี
      กระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี ขอศิษย์มีมรรคผลจริงทั่วหน้ากัน
ฮา  ฮา  หยุด

  รู้ดั่งว่าไม่รู้ ทำได้ เป็นสุข
       รู้แต่ไม่เข้าใจ ใช่รู้
       รู้แต่ทำไม่ได้ ใช่ว่า จะดี
       รู้เร็วกับรู้ช้า ต่างรู้ คือกัน

จิตใจแข็งขัน อยากอุทิศและสร้างสรรค์
        หยิบยกความดีให้กัน ต่างไม่ยึดครองเป็นของตน
        จิตใจขวนขวาย ใฝ่เรียนรู้ทำการศึกษา
         ดั่งคล้ายลืมวันเวลา ปลุกความดีในโลกนี้
* เป็นเพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน ทุกข์สุขแบ่งปัน   ร่วมชีวีด้วยกัน
        เป็นเพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน รักกลมเกลียวกัน   ร่วมสำนึกขอบคุณ
                                                              ทำนองเพลง : อี้เจียเหยริน

หมายเหตุ  :  สองบรรทัดสุดท้ายเป็นบทพระโอวาทท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน  พระอาจารย์เมตตาให้นำมาต่อกับพระโอวาทของท่าน

ปณิธานเกิดจากสิ่งใดกัน ความมุ่งมั่นหรือโลเลกันแน่หนา
       เริ่มต้นถูกมีทิศทางสุดปลายนา แต่ทว่าเริ่มต้นผิดจะถึงอย่างไร
เราคือ
   เป้าซื่อหลิงถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านได้หมั่นตรวจสอบตนเองบ้างหรือเปล่า

สู่หนทางปณิธานในครานี้ ย่อมต้องมีความมั่นคงเป็นจุดหมาย
       หากท้อแท้ย่อมง่ายล้มใช่หรือไม่ หากเด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวย่อมสบาย
        ความอ่อนน้อมลดความลำพองจิต อยากพิชิตกิเลสที่ตนร้าย
       มองให้ลึกถึงก้นบึ้งในจิตใจ ล้างด้วยใจธรรมสำนึกเป็นสิ่งดี
       ว่าตนดีแน่ใจหรือว่าดีแท้ ว่าตนแน่ตนเก่งประเสริฐศรี
       รู้ว่ารู้ไม่รู้ว่าไม่รู้จึงเรียกดี เหมือนไม่มีแต่มากล้นคือคนจริง
       ประกาศธรรมแทนฟ้าต้องทำได้ ทั้งกายใจประสานเป็นหนึ่งยิ่ง
       ปากพูดดีทำไม่ดีต้องละทิ้ง เป็นคนจริงต้องเปลี่ยนได้เพราะรู้ตน
       สามสำรวมสี่เที่ยงตรงต้องตรวจสอบ ความรอบคอบระมัดระวังไม่สับสน
       ใจบริสุทธิ์กายเที่ยงตรงรู้วางตน บำเพ็ญค้นหาพุทธะแท้ในกาย
       ต้องหมั่นศึกษาซึ่งความรู้ จักต้องปูพื้นฐานให้กว้างไว้
       อย่าเกียจคร้านอย่าเลือกครูมาสอนใจ เรียนแล้วต้องทบทวนไปไม่หน่ายเลย
ฮิ   ฮิ   หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและท่านเป้าซื่อหลิงถง

ท่านเป้าซื่อหลิงถง : รู้ใช่ไหมว่าเป็นหน้าที่  หากจบชั้นนี้ไปต่างต้องมีหน้าที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปณิธานถ้าจะตั้ง  แต่ขาดซึ่งจุดหมายจากจิตใจลึกๆ  อยากตั้งเพราะว่ามีให้ตั้ง  อยากตั้งเพราะว่าได้เกียรติหรืออยากตั้งเพราะว่าเหตุผลจนใจทำให้ต้องตั้ง  เช่นนี้ไม่สมควรตั้ง  อยากตั้งเพราะว่าตั้งแล้วได้นำคนอื่น  ตั้งแล้วได้อยู่หน้าคนอื่น  เช่นนี้ก็ไม่เหมาะสม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตั้งเพราะว่าเกิดจากอะไรล่ะ  ปณิธานเกิดจากอะไร  ดูจากอดีตเพื่อมาพัฒนาหรือฝึกความก้าวหน้าในปัจจุบัน ใช่หรือไม่  (ใช่)  อดีตที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งปณิธานนั้นเพราะอะไร  เห็นใครแล้วตั้งตามหรือเปล่า  (ไม่ใช่)
พระอาจารย์ : ทำเต็มที่หรือเปล่า  มีความสุขที่ได้ทำงานนั้น
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : สุขหรือทุกข์หรือลำบากใจ  พูดให้แจ่มชัด  อย่าพูดแต่ปาก  แต่ใจคิดอีกอย่างหนึ่ง  อย่างนี้เรียกว่าเจี่ยงซือ หรือผู้ที่จะมาเป็นเจี่ยงซือได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  หากหน้าที่มีแล้วต้องทำ  แต่ใจไม่เคยลบล้างสิ่งที่คิดว่าไม่อยากปฏิบัติ  ไม่อยากทำ เช่นนี้เอาตำแหน่งไปทำไม จริงไหม (จริง)  หากเอาตำแหน่งไปเกี่ยงงอน  ถึงเวลาให้พูด ไม่พูด  ถึงเวลาได้พูดกลับทำแบบขอไปที  สมควรไหมที่จะขึ้นมาพูด  สมควรไหมกับเกียรติที่ได้รับ  ปณิธานเกิดจากอะไร  ขาดความกล้าแล้วจะเป็นเจี่ยงซือได้อย่างไร
พระอาจารย์ :  สมควรทำงานแทนฟ้าเบื้องบนหรือเปล่า
ท่านเป้าซื่อหลิงถง :  ทำงานแทนฟ้าคือทำงานอะไรต้องรู้ด้วย  หากจุดเริ่มต้นเราไม่เข้าใจ  สิ่งที่เราตั้งใจไป  ก็จะเดินได้อย่างไรไม่มั่นคง  ท่านก็รู้ว่าภูผาสูงเกิดได้จากหินก้อนเล็กๆ แต่ก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวหรือไม่  (ไม่ใช่) ต้องหลายๆ ก้อนรวมตัวกัน  จึงค่อยสูงขึ้นๆ จริงหรือเปล่า  (จริง)  แต่ถ้าก้อนเล็กๆ รวมๆ กัน  แต่คนละอย่าง  ต่างชนิดกัน  ย่อมเกิดความไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว  ต้องเป็นก้อนเล็กๆ แม้จะต่างชนิดกัน  แต่มีความเหมือนกันอยู่  สอดคล้องกันอยู่
พระอาจารย์ : เวลาทำงานธรรมะ  ต้องมีสติเหมือนกัน  ไม่มีสติทำงานก็เป็นการเสียเวลา  ดูว่าตอนนี้มองถึงแม้ว่าจะเห็นอยู่  แต่ไม่เห็นภาพจริงๆ ของสิ่งที่มอง  แล้วถ้าหากว่าฟังก็ฟังไม่เข้าหูเลย  เวลาคิดจะเป็นอย่างไร  เวลาคิดก็คิดไม่ออกใช่ไหม  เป็นอาจารย์บรรยายธรรมต้องเก่งทั้งทางด้านการมอง  มองสายตาต้องเฉียบคม   คมมากจนไปบาดคนอื่นก็ไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มองไปเห็นข้อดีหรือข้อเสียคนอื่น  (ข้อดี)  แล้วตอนนี้เห็นข้อดีหรือข้อเสียคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ (ข้อเสีย)  อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้  ต้องปรับปรุง  ถ้าเรายังต้องปรับปรุง  แล้วข้างล่างจะเชื่อถือเราหรือเปล่า  ถ้าหากเรายังเป็นคนประเภทที่ยังต้องปรับปรุงอยู่ทุกอย่างๆ  ข้างล่างจะเชื่อเราไหม  สามารถนำใครได้หรือเปล่า  (ไม่ได้)  เวลาคนเขายกย่องว่าเราบรรยายเก่ง  เราละอายใจไหม  ถ้าหากว่าเราพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ  แต่ทำไม่ได้สักข้อหนึ่งน่าละอายหรือเปล่า (น่าละอาย) เพราะฉะนั้นตอนนี้การมองก็ต้องมองให้ดี  มองให้เห็นถึงข้อดีของคนอื่น  จึงสามารถส่งเสริมคนอื่นได้ใช่ไหม  ถ้ามองไปก็เห็นแต่ข้อเสียของเขา  เราอยากจะส่งเสริมเขาหรือเปล่า  มีแต่ความรังเกียจ ใช่ไหม  เมื่อรังเกียจแล้วส่งเสริมไปรอดไหม  (ไม่รอด)   ฉะนั้นต้องเอาตัวเองให้รอด  เราต้องรู้จักที่จะมอง  แล้วก็มองให้ออกถึงข้อดี  เพื่อที่เราจะได้คิดว่าเราจะไม่เป็นอย่างนี้  นี่เป็นการบำเพ็ญธรรมพื้นฐานที่เราฟังกันมามากต่อมากแล้ว  มากี่ครั้งก็พูดแบบนี้  แต่ว่าฟัง (เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา) จริงๆ แล้วทะลุหรือเปล่า ไม่รู้  รู้แต่ว่าเก็บไม่อยู่  พอเราเจอกิเลส อารมณ์ยั่วเข้าหน่อยก็แพ้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหากว่ายังแพ้อยู่จะชนะใครได้  ชนะตัวเอง  ชนะผู้อื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
เวลาคิดก็คิดออกมาแต่เรื่องอะไร  เวลาเราคิดก็คิดในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วเป็นพื้นฐาน ถ้าหากว่าเรารู้ว่าคนนี้ไม่ดี  เวลาเราคิดออกมาเกี่ยวกับเขาก็จะเป็นเรื่องไม่ดี  เวลาที่คิดจะบรรยายธรรม  พื้นฐานเราเป็นอย่างไร  เวลาบรรยายธรรมออกมาก็จะเป็นอย่างนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าเรารู้แล้วรู้ไม่ลึกซึ้ง  ถามว่าสามารถพูดให้ใครฟังได้ไหม  (ไม่ได้)  ฉะนั้นความคิดที่เรามีอยู่เป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำหรับการบรรยายธรรมด้วย  พื้นฐานลงไปลึกๆ ที่พูดถึงประจำเลยก็คือ  “นิสัย” นิสัยออกมาทางบุคลิกลักษณะท่าทางของเราถูกหรือเปล่า  ถ้าหากว่าเป็นคนที่ใจร้อน รีบเร่ง  เวลาพูดออกมาก็พูดเร็วๆ  คนที่ใจเย็นมากเกินไป  พูดออกมาก็ชักช้าใช่หรือเปล่า  แล้วเราล่ะพูดแบบไหน  เป็นอย่างไร  เป็นทางสายกลางไหม  (ไม่เป็น)  แล้วจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเราเป็นกลางได้ไหม  ฟังอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าปณิธานที่เราได้ตั้งไปหรือคนที่กำลังจะตั้งรู้สึกว่ายิ่งใหญ่ไหม  เราหนึ่งคนจะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงคนอื่นให้เป็นคนดี  ในขณะที่เรานั้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จะทำได้ดีไหม  (ไม่ได้) ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้  ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า  คนที่อยู่ที่นี่ไม่ดีเลย  แต่หมายความว่าสามารถดียิ่งขึ้นกว่านี้ได้ทุกๆ วัน ทุกๆ นาที ทุกๆ เวลา  แต่ว่าอยากจะดีกันหรือเปล่า (อยาก) อยากได้ดีก็ต้องทำดีถูกไหม
  สุดท้ายคนที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรม  สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือ ปากของเรา  พูดดีก็เป็น (ศรีแก่ปาก) พูดมากก็ (ปากมีสี)  เวลาที่เรากำลังบรรยายธรรมต้องฉะฉาน  พูดสิ่งใดต้องรู้จริง  รู้ไม่จริงก็พูดตะกุกตะกัก  หรือพูดเข้าข้างตัวเองอยู่นั่น  หรือพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดทั้งหมด  ไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจธรรมะได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดก็คือ พูดในสิ่งที่เรารู้และรู้จริง เรามีปากเป็นเอก  เราต้องใช้ปากของเราให้ดีๆ พูดแต่ในสิ่งที่ดี  เวลาที่เราพูดก็คือพูดด้วยความคล่องแคล่ว  เวลาลงมาล่ะ  ใครอยากจะฟังเราพูดตลอดเวลาไหม  เวลาเจอคนมักอยากฟังคนอื่นพูดหรืออยากพูดให้คนอื่นฟัง (อยากพูดให้คนอื่นฟัง)  ทุกคนอยากเป็นคนพูดหมดเลย  แล้วใครเป็นคนฟัง  ทุกคนก็พูดๆ เสร็จ มีใครฟัง  แล้วสรุปที่เราพูดไปมีใครฟัง  แล้วมีใครเอาของเราไปปฏิบัติได้   แล้วเราปฏิบัติอย่างที่เราพูดว่าดีได้หรือเปล่า  ก็ยังไม่ค่อยได้อีกเหมือนกัน  อย่างนี้จบชั้นนี้ไปก็ถือว่านับหนึ่งใหม่ใช่หรือเปล่า  จะได้นับหนึ่งไหม  หรือไปนับเอาติดลบสิบ ให้เลือกระหว่างไปนับหนึ่งใหม่กับติดลบสิบ เอาอันไหน (นับหนึ่งใหม่) นับหนึ่งเรื่องอะไร
 ใครเป็นอย่างนี้บ้าง “พูดออกมามีแต่น้ำไม่มีเนื้อ”  ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนที่พูดออกมามีแต่น้ำไม่มีเนื้อ อยู่สองวันนี้เก็บเนื้อไปได้เยอะไหม (เยอะ) เก็บไปกินเองหรือให้คนอื่นกิน  ตัวเองก็ต้องกินแล้วก็ย่อยก่อน ถูกหรือเปล่า  ย่อยเสร็จแล้วถึงจะให้คนอื่นกินได้ ใช่ไหม (ใช่)
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : เรากลัวว่าย่อยวันนี้แล้วก็ย่อยวางไว้ตรงนั้น  ได้หนังสือมากี่เล่มก็กองไว้ที่เดิม  ใหม่อย่างไรก็ใหม่อย่างนั้น
พระอาจารย์ : วันนี้เป้าซื่อหลิงถงอุตส่าห์มา  อาจารย์ให้เขาพูดก่อน  แล้วเดี๋ยวอาจารย์ค่อยคุยกับศิษย์ดีไหม
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : วันนี้เรามา  ตั้งใจไว้ว่า  ตรวจสอบ  ใครรู้ตัวว่าผิด ก้าวออกมา  ก่อนจะก้าวถามใจลึกๆ ก่อนว่ามีข้อผิดพลาดอะไร  ก้าวแล้วจะไม่ก้าวถอยลงไปอีก  หากยังเหมือนเดิมจะให้เราทำอย่างไร  จดชื่อซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือ   ก้าวแล้วต้องมั่นใจว่าจะไม่ถอยกลับไปเหมือนเดิม  ผิดแล้วต้องยอมรับโทษ จะลงโทษตัวเองหรือว่าให้เราลงโทษ  แล้วความผิดที่อยู่ในใจนั้นควรจะลงโทษเช่นไร  ว่าอย่างไร  ไม่ว่าเช้า กลางวัน เย็น ก็กราบชั่นหุ่ย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชื่อแรกก็คือ   พระอนุตตรธรรมมารดา  แต่ในใจนั้นเป็นอะไร  เมื่อมายืนตรงเบาะกราบ  จิตต้องสงบ  ความฟุ้งซ่านต้องตัดทิ้ง  ความพร้อมต้องมี  เมื่อเข้าสู่ห้องพระ  ฝุ่นมาจากไหน  ข้างนอกหรือข้างในใจที่ท่านพกพามา  ว่าอย่างไร (จากภายใน)  แล้วจะให้เราลงโทษอย่างไร  อาจารย์ท่านก็รีบตามมาทันที  เพราะว่าเป็นห่วงพวกท่าน  แต่พวกท่านทำอะไรได้ดีหรือยัง  เก็บน้ำตาไว้ล้างลงไปลึกๆ ที่ใจ  หากเป็นผู้บำเพ็ญแต่ขาดซึ่งความสำนึก  ไร้ซึ่งการย้อนมองจิตใจตัวเอง  มองแล้วแต่มองไม่เห็น  ดังที่ปราชญ์โบราณกล่าวว่า “ไม่มีเวลาเห็นความผิดผู้อื่น” เพราะเห็นตัวเองมีแต่ข้อผิดพลาดทุกวัน  พวกท่านหาไม่  วาจามีเพื่ออะไร  เพื่อเอาไว้ฉายปณิธานของตัวเองที่ได้ตั้งอย่างไรล่ะ  หากวันนี้ใจยังไม่มีความมุ่งมั่นแท้จริง  จนถึงขั้นเรียกว่าปณิธาน  อย่าออกจากห้องเลยดีไหม  คุกเข่า  พร้อมไหม (พร้อม) สำนึกแล้วตั้งใจเอาเอง  ว่าจะเท่าไหร่  วันนี้ให้หมดหรือว่าวันนี้เพื่อมีต่อๆ ไป
พระอาจารย์ : ศิษย์เอ๋ย  ได้โอกาสสำนึกแล้ว  ก็สำนึกจริงๆ อย่าเป็นการสำนึกเล่นๆ กรรมมีมากมาย  กรรมเก่าก็มีมาก  ใหม่ก็สร้างมาก  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนทำตัวเป็นคนใหม่  ดีก็ให้เก็บรักษาไว้  อย่าได้ผิดแล้วผิดอีก  ถ้าปณิธานไม่เจริญลุล่วงยากที่จะกลับบ้านได้  อาจารย์อยากจะพาศิษย์ทุกคนนั้นกลับเบื้องบนด้วย  อยู่ที่ว่าทุกคนจะทำได้ไหม  ปณิธานยิ่งใหญ่  หน้าที่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่  ก็ยิ่งทำตัวยากเท่านั้น  พยายามหน่อยนะ  สำนึกออกมาด้วยความจริงใจ
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : “ประกาศธรรมแทนฟ้า” คำนี้มีไว้ทำไม  หากเอ่ยขึ้นครั้งหนึ่งก็คือความโลภ  หากเอ่ยขึ้นครั้งหนึ่งก็คือความอิจฉาริษยา  หากเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็คือการแบ่งแยกพรรคพวก  แต่บางครั้งยังไม่เอ่ยปาก  ใจก็ไม่เคารพผู้นำ  นี่หรือวงการธรรมที่อยู่ในตัวทุกๆ ท่าน  ทำลายลงกับมือหรือจะสร้างขึ้นกับมือ  จิตใจต้องซื่อสัตย์  การศึกษาหาความรู้  ท่านเป็นคนไทยศาสนาพุทธต้องถือเป็นพื้นฐาน  ศึกษาปราชญ์โบราณเป็นแนวทาง  แต่ถ้าพุทธก็ไม่เอา  ปราชญ์ก็ไม่มอง   ความเข้าใจก็ผิดๆ ถูกๆ  จะประกาศอะไร ใช่ไหม  แต่ท่านที่มาจากต่างแดนศึกษาคัมภีร์  ต้องมองดูคนที่มาร่วมประชุม  ข้อมูลต้องไม่ตายตัว  สามารถพลิกได้ตามสภาวะของผู้ฟัง  ที่เรียกว่า “สภาวะแวดล้อมสร้างปราชญ์  แต่ปราชญ์ก็สามารถสร้างสภาวะแวดล้อมได้ “ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อยหรือยัง  เตี่ยนฉวันซือลุกขึ้นก่อน  เห็นผู้นำไหม  เคารพเทิดทูนมีหรือเปล่า  ไม่ใช่แค่ภายนอก  ไม่ใช่เฉพาะผู้นำของสายตัวเอง  แต่ต้องออกมาจากจิตใจ  ไม่เลือกที่รักมักที่ชังใช่หรือไม่ (ใช่) ลุกขึ้น  (ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)
พระอาจารย์ : แม้วันนี้ท่านเป้าซื่อหลิงถงพูดไปเหมือนกับพูดแรง  แต่ว่าจริงๆ แล้วหวังดี  หวังว่าทุกคนจะคิดได้  โดยเฉพาะคำสุดท้ายที่พูดถึงอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมว่านำพาผู้น้อยเหล่านี้  พูดตรงชนิดอาจารย์เองเคยคิดจะพูด  แต่พูดไม่ได้  ผู้นำก็รักเขา รักให้จริงๆ  หากคิดจะว่าก็คิดทบทวนสักนิดหนึ่ง  โดยเฉพาะวาจาคำพูดของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอย่าได้หนักเกินไป  ตั้งใจฟังนะ  พูดผิดคำหนึ่งก็สอบคนให้เลิกบำเพ็ญได้  หนึ่งคนก็บรรพชนของเขาอีก  แล้วศิษย์จะสร้างบุญหรือสร้างกรรม  ถึงบอกว่าภาระหนักเท่าไหร่  การสร้างกรรมก็มีมากเท่านั้น  การสร้างบุญก็มีมากเท่ากัน  บางคนความประพฤติไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่  บางคนก็วาจาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่  บางคนก็รักแต่พวกพ้องของตนมากไปหน่อย  บางคนก็ไม่ยอมให้โอกาสคนอื่น  บางคนก็ชอบเปรียบเทียบเปรียบเปรย  พูดจากระทบกระเทียบไม่ยอมที่จะเข้าใจคนอื่น  ยังมีอื่นๆ อีกมากมาย  เราต้องรู้จักตัวเอง  ค้นพบตัวเอง   จึงนำพาคนอื่นได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ทุกคนมีความทุกข์ใช่ไหม  นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์คิดอยู่ในใจ  แล้วบางทีทำให้ไม่กล้าที่จะให้ศิษย์เปลี่ยนแปลงอะไร  แต่หากว่าคนเราไม่เปลี่ยนแปลง  แล้วย่ำเท้าอยู่กับที่อย่างนี้  การย่ำอยู่กับที่ก็คือถอยหลัง เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : สิ่งสำคัญในการบำเพ็ญ  ใจบริสุทธิ์  เมื่อบริสุทธิ์ย่อมเที่ยงตรง  เมื่อเที่ยงตรงย่อมกระจ่างชัด  เมื่อกระจ่างชัดต้องลงมือปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตนดีแล้ว รอบข้างย่อมจะดีด้วย  เมื่อรอบข้างดีสังคมย่อมดีใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เป็นคำสอนของใคร (ท่านขงจื้อ)  ศึกษาให้กว้างๆ นะ  ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าตัวแทนได้อย่างไร  แล้วจะอธิบายพระโอวาทได้อย่างไร  หากเรามีความรู้ลึก  การอธิบายย่อมไปได้กว้าง  บางทีหนึ่งคำก็สามารถตีได้เป็นประโยคๆ อยากนั่งกันหรือเปล่า
พระอาจารย์ : ให้เขายืนอยู่อย่างนี้นะ  ไม่รู้ว่าเมื่อสักครู่นี้จิตใจที่สำนึกได้  ตอนนี้ก็เกือบจะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีกแล้ว  อย่างนั้นใช่ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อคิดสำนึกต้องสำนึกให้นานๆ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงมันรวดเร็ว   การสำนึกชั่วขณะหนึ่งไม่อาจจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีในตัวเราได้  อย่าสำนึกเพราะว่าอยู่ในบรรยากาศ  แต่ต้องสำนึกออกจากใจจริง  ตอบอาจารย์หน่อยซิว่าจริงๆ แล้วทุกคนนั้นทำตัวน่าห่วงไหม  แล้วถ้าเราบำเพ็ญแบบนี้เราจะก้าวหน้าได้ไหม  แล้วทำอย่างนี้จะไปอยู่กับอาจารย์ได้ไหม (ไม่ได้) ช่วยอาจารย์สักอย่างหนึ่งได้ไหม  ในขณะที่เรามีสติ  ขอให้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด  เพื่อให้ความผิดต่างๆ นั้นน้อยลงกว่านี้ได้ไหม (ได้) อย่าให้ความหวังของอาจารย์ที่ฝากไว้กับศิษย์ทุกคนไม่มีทางออก  โดยทั่วไปแล้วเวลาอาจารย์เวลามาพบศิษย์ก็จะพูดถึงเรื่องทำความดีๆ ทำให้ดี  แต่ใจจริงๆ แล้วอาจารย์อยากจะพูดกับศิษย์ว่า พวกเจ้าที่เป็นคนบำเพ็ญมานานแล้ว  ได้ยกระดับเป็นอาจารย์บรรยายธรรม  อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแล้ว  ต้องทำให้ดียิ่งกว่าที่อาจารย์พูดไว้นั้นอีก  ต้องทำความดีที่เหนือขึ้นไปกว่าที่อาจารย์พูดโดยปกติอีก  ต้องศึกษาไปถึงวิถีจิตต่างๆ  เพื่อให้เรามีความรู้ทางธรรมที่ลึกซึ้งขึ้น  เห็นไหมว่าเรื่องของความรัก โลภ โกรธ หลง ต่างๆ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้เริ่มบำเพ็ญนั้นมาเรียนรู้ปฏิบัติแล้วขจัดไป  เพราะฉะนั้นพวกศิษย์ต้องไม่มีแล้ว  หรือมีก็มีให้น้อยที่สุด  อ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งเป็นเรื่องทำได้ง่ายที่สุด  ไม่ใช่มาฝึกหัดมาบำเพ็ญกันตอนนี้แล้ว  การเปรียบเทียบยกยอ  ความเห็นแก่ตนทั้งหลาย  เรื่องพวกนี้มันน่าจะผ่านไปแล้วไม่ใช่หรือ  ทำไมถึงได้หายไปแล้วก็ปล่อยให้มันกลับมาอีก  หายไปแล้วก็ปล่อยให้มันกลับมาอีก  ยอมให้บรรยากาศโลกต่างๆ นั้นมากลืนเราเสียสิ้น  เห็นคนอื่นยังบำเพ็ญไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน  เราจะก้าวหน้ากว่าเขา  ก็ยังอุตส่าห์เหลียวไปดูเขา  เห็นเขายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่  เราก็ไม่ค่อยอยากจะนำหน้าเขาไปอย่างนั้นหรือ  แล้วก็กลับเข้าไปขลุกกับอารมณ์เหล่านี้ใหม่  กลับเข้าไปขลุกกับคนเหล่านี้ใหม่  ให้เหมือนติดกัน  เหมือนติดเชื้ออย่างนั้น
เมื่อวานนี้เฉียนเหยรินของพวกเจ้าก็มาที่นี่  อาจารย์ก็ดีใจกับทุกๆ คนด้วย  แต่อีกใจหนึ่งต้องสะดุ้งกลัว  กลัวว่าเรานั้นจะทำอย่างท่านไม่ได้  แสดงว่าให้เขาห่วงจนถึงที่สุด  คิดถึงแล้วคิดถึงอีกจนถึงที่สุด  ทำตัวให้ดีๆ สิ่งใดที่เขาหวังไว้ก็จงทำดั่งที่เขาหวัง  อย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้  เวลาพูดต้องรู้จริงๆ พูดแล้วต้องพูดให้ดี   มองดูคนที่เราพูดด้วยว่าเขาฟังเข้าใจไหม  เพราะว่าเขาอาจจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวที่มาฟังธรรมะ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย  หรือเขาอาจจะฟังเราอธิบายเกี่ยวกับอนุตตรธรรมหรือสถานธรรมเพียงแค่ชั่วโมงเดียว  แล้วเขาก็ตัดสินใจว่านี่คืออนุตตรธรรม  ฟังอย่างนี้แล้วกลัวไหม (กลัว) อาจารย์จะบอกให้ทุกคนนั้นผ่านตรงนี้มาแล้ว  มีโอกาสทำแบบนี้แล้ว  ทำให้คนเขาตัดสินใจไปแล้วก็ตั้งหลายคน  ฉะนั้นให้รู้ถึงภาระหน้าที่ ให้เข้าใจในสิ่งที่ทำอยู่  ให้เห็นคุณค่าและก็บอกตัวเองว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้มีค่า  อย่าดูถูกตัวเอง  แล้วทำลงไปให้เต็มที่  เมื่อเราทำเต็มที่แล้ว  สิ่งที่เราทำถึงแม้จะผิด  แต่สิ่งที่ถูกนั้นก็ยังมีมาก  ก็เหมือนกับในร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ทำลงไป  แปดสิบเปอร์เซ็นต์อาจจะยังทำถูกอยู่ถ้าเราพยายาม  อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นทำผิด  ทบกันไปทบกันมาวันหลังความผิดที่มีอยู่ก็ยังน้อยอยู่ ใช่ไหม  อย่างนี้ดีกว่านะ
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : ยืนอย่างนี้ลำบากไหม  ไม่ว่าจะทำหน้าที่ใด  ยืนตำแหน่งใด  หากยังมีตัวตนอยู่ความลำบากย่อมบังเกิดได้  ยิ่งมีตัวตนมากเท่าไร  ความลำบากยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น  หากมีอารมณ์ร่วมด้วย  ความลำบากยิ่งกลายเป็นอุปสรรค  ฉะนั้นเราจะต้องลดอัตตาตัวตนให้เบาบาง  ทิฐิต้องกลายเป็นความอ่อนน้อม  จิตใจต้องโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อใช่ไหม  ถ้าเรามีจิตใจรักทุกคน  มีจิตใจโอบอ้อมอารี  เราจะทำร้ายเขาลงไหม  เราจะคิดอิจฉาริษยาเขาไหม  แล้วเราอยากจะช่วยเขาไหม  อาจารย์บรรยายธรรมที่ได้ตั้งปณิธานไปแล้ว จำได้ไหมว่าปณิธานตัวเองมีอะไรบ้าง  จำได้หรือเปล่า (จำได้) ครบกระบวนความหรือไม่  แล้วทุกครั้งที่มาบำเพ็ญธรรม  มาทำงานธรรมจึงค่อยใช้ปณิธานหรือ  ต้องอยู่ทั้งข้างนอกและข้างในสามารถเจริญปณิธานตัวเองได้ด้วยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยู่บ้านทำอย่างหนึ่ง  อยู่ในห้องพระทำอย่างหนึ่ง น้อมนำใครได้  คนทำตัวไม่น่าเคารพจะเรียกให้ใครเคารพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคารพตัวเองทำอย่างไรล่ะ  ว่าอย่างไร  ป้ายทองป้ายเงินไม่ใช่หรือ และกำลังจะมีป้ายไม่ใช่หรือ  ถ้าเราถามแต่ละอย่างมา  ตอบไม่ได้เลยก็กลับไปค้นคว้าเพิ่มเติม  แต่ถ้าตอบได้ไม่มีความกล้าจะขึ้นแท่นพูดได้อย่างไร  นั่นก็คือต้องทำตัวให้ดีเป็นแบบอย่างที่ดีใช่ไหม (ใช่) ถ้าในบ้านไม่ตาม  นั่นย่อมสะท้อนใจเราแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)
 อีกอย่างหนึ่งเมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญ  เราต้องไม่ถือความคิดเห็นของตนเป็นที่ตั้ง  สิ่งใดรู้ไม่ชัดอย่าคาดเดา  การคาดเดาย่อมไม่สามารถเป็นเจี่ยงซือที่ดีได้  การถือตนเป็นที่ตั้งวัดคนอื่น  เอาความรู้ตัวเองเป็นพื้นฐาน  อย่างนี้ก็ไม่ใช่  ถ้าใจไม่บริสุทธิ์ไม่มีความเที่ยงธรรม  ความรู้ที่ตัวเองมีแน่ใจหรือว่าถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราต้องเข้มงวดกับทุกท่าน  ถ้าต้นไม่บริสุทธิ์ปลายจะสะอาดไหม (ไม่สะอาด)  ถ้าท่านคือหน้าแรกของหนังสือแห่งอนุตตรธรรม  หน้าต่อไปจะมีใครอยากอ่านไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นต้องเข้มงวดกับตัวเองมากๆ เรียกร้องตัวเองสูงๆ ทำไมจึงต้องเรียกร้องสูง  เพราะปณิธานท่านสูงหรือต่ำกัน (สูง)  เพราะเป็นสื่อกลางระหว่างผู้นำกับผู้น้อย  ถ้าตรงกลางประสานไม่ดี  เรือนี้ก็อาจล่มได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างที่เรียกว่าน้ำพาเรือลอยได้  น้ำก็ทำให้เรือล่มได้ ใช่ไหม (ใช่) จิตใจของท่านไม่บริสุทธิ์ใจของท่านก็ทำร้ายตัวท่านเอง  ทุกข์ก็ย่อมเกิดเป็นธรรมดา  เมื่อไรถ้าล้างได้บริสุทธิ์มากเท่าใด  ดั่งคำที่กล่าวไว้ว่า “ท้องใหญ่ย่อมรับทุกๆ สิ่งได้” รู้ไหมที่เรากล่าวมานี้เป็นคำสอนของปราชญ์โบราณทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมจึงต้องยึดถือแนวของปราชญ์โบราณด้วยล่ะ รู้ไหม  หากยังมีความสงสัย   ยังไม่อาจเรียกว่าเป็นผู้บรรยายธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเพราะอะไรจึงต้องศึกษาแนวปราชญ์  แนวพุทธก็มี   นั่นคืออะไร ว่าอย่างไร  แนวทางพุทธต้องถือทางหินยานหรือมหายาน  เพราะแนวพุทธจะมีแนวหนึ่งที่เป็นแนวอรหันต์  บรรลุแล้วสำเร็จด้วยตัวเอง  แต่ไม่ได้ช่วยใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีแนวหนึ่งคือบรรลุแล้วยังช่วยด้วย  ถ้าหากยังไม่บรรลุก็จะช่วยต่อไป ไม่ยอมบรรลุ ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้หรือไม่  (มหายาน)  แต่ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร  ถ้าเราขาดซึ่งสมาธิ แล้วสมาธิจะเกิดได้อย่างไร  ถ้าเราขาดซึ่งความสงบนิ่งและรู้พอ นี่คือแนวพุทธใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นผู้อยู่ตรงกลางจึงต้องรู้จักอ้างอิง และรู้จักแนวความรู้อย่างกว้างขวาง  ไม่หน่ายในการเรียนรู้  ไม่คร้านในการศึกษากับคน
พระอาจารย์ : ที่อาจารย์ยังให้ยืนอยู่  ก็เพราะอยากให้ทุกคนนั้นได้รู้ว่า ทุกๆ คนนั้นจะสำนึกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อาจารย์มีอยู่คำหนึ่ง  ภาษาจีนเรียกว่า “เฟินกงเหอจั้ว” หมายความว่าอย่างไร  เฟินกง ก็คือ แบ่งงานกัน  คำว่า เหอจั้ว ก็แปลว่า ทำด้วยกัน ในตอนนี้ที่ทุกคนอยู่ภายใต้การนำของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแต่ละท่านก็เป็นอย่างนี้  การที่อยู่ภายใต้การนำแบบนี้นานๆ ไป เกาะกลุ่มกันไป  ก็ทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งพรรคแบ่งพวกไปเอง  ไม่มีมากก็มีน้อย  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้แก้ความคิดแบบนี้ใหม่  พูดเรื่องนี้มาหลายปี  จะพูดจริงจังคราวนี้และขอเป็นคราวสุดท้าย  การที่บอกว่าต้องรายงานหรือว่าการขอคำชี้แนะ  ศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้ไว้ชัดเจน  อาจารย์จะให้โอกาสทุกๆ คน  เพราะว่าอาจารย์บรรยายธรรมทุกคนที่อยู่ที่นี่  แม้บอกว่ารู้แต่ก็ยังรู้ไม่ค่อยดีเท่าไร  คราวนี้มีอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอาวุโสอยู่ เดี๋ยวจะทำให้เขาบอกเราได้อย่างไรว่าความแตกต่างนั้นอยู่ที่ไหน  แล้วก็เดี๋ยวจะดูว่าการที่บอกว่าอยู่ภายใต้การนำของเฉียนเหยรินท่านเดียวกันนั้น  ความรักความกลมเกลียวอยู่ที่ไหน  ลองทำให้อาจารย์ดูหน่อยนะ  บำเพ็ญธรรมยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องมีความสุข  ถ้าหากว่าเรายิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความทุกข์ใจ  บำเพ็ญไม่รู้จะทำอย่างไร  อย่างนั้นแสดงว่าเรากำลังบำเพ็ญผิดทาง ใช่ไหม (ใช่) เคยท้อไหม  นับครั้งไม่ถ้วนใช่ไหม  อาจารย์ก็รู้สึกชื่นชมในคนที่มีความท้อแท้แล้วยังสามารถทำให้ตัวเองสามารถยืนหยัดอยู่ได้  และอาจารย์หวังว่าศิษย์จะเป็นอย่างนี้เสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้ไปจนชั่วชีวิตของศิษย์  แม้ว่าคนที่บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญไม่ค่อยดีเท่าไหร่  แต่อาจารย์ก็ให้ความหวังศิษย์ได้ว่า ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ได้ทำผิดอย่างมากมายจนเกินไป  บำเพ็ญชั่วชีวิต  มั่นคงชั่วชีวิต  ทำบุญสร้างกุศลบ้าง  อย่างน้อยก็สามารถที่จะกลับไปฝึกฝนต่อได้
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : งั้นเรามาแค่นี้แล้วกันนะ
พระอาจารย์ : ตอบท่านให้ท่านได้รู้อีกสักครั้งหนึ่งว่า  เราได้สำนึกจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : ความผิดที่เราจะพูดวันนี้กับท่านนั้น  ไม่สามารถพูดได้หมด  หากแต่ก็ต้องผิดย่อยๆ เยอะแยะมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่ากลัวผิดแล้วไม่ทำอะไรเลย  อย่างนี้จะเรียกว่าผู้บำเพ็ญได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ผิดแล้วจะรู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าถูก  ไม่ทำหรือจะเรียกว่าความก้าวหน้าเป็นอย่างไร ใช่ไหม (ใช่) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะก้าวล้ำเหนือคนอื่นหนึ่งก้าวด้วยปณิธานที่เกิดจากใจอันมุ่งมั่น จึงเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คนกราบไหว้  วันนี้ท่านจะก้าวล้ำเหนือคนอื่นหนึ่งก้าวด้วยใจที่มุ่งมั่นหรือเปล่า  ขึ้นอยู่กับวันนี้ทำได้หรือไม่ได้  หากก้าวล้ำหนึ่งก้าว  แต่ปณิธานกับใจไม่สอดคล้องกันย่อมไม่อาจให้ใครเคารพและกราบไหว้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระอาจารย์ : วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมา  ยิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดุเท่าไหร่ก็แสดงว่าเรานั้นเป็นคนน่าเป็นห่วงมากเท่านั้น  แสดงว่าเรานั้นต้องได้รับการสั่งสอนอย่างหนักมากเท่านั้น  เพราะฉะนั้นขอให้ทุกๆ คนรู้แจ้งในตนเอง  ทำตามพุทธระเบียบ
วันนี้เดิมทีอาจารย์ไม่ได้คิดจะมาเลย  เพราะอาจารย์ก็ถือว่าศิษย์ทุกๆ คนมีคนมาสอนศิษย์นั้นเก่งอยู่แล้วทุกคน  อาจารย์ก็จะให้เวลาของเขาเต็มที่  ทุกๆ คนได้แสดงสิ่งที่ตัวเองเตรียมมาอย่างเต็มที่  แต่เป็นเพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้รับบัญชาจากเหลาหมู่ให้ลงมา  ให้ศิษย์รู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว  เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์ก็อยากให้ทุกคนได้สำนึกผิดอย่างจริงๆ  จึงให้ยืนอยู่อย่างนี้
วันนี้หากไม่ใช่เป้าซื่อหลิงถงมา  ก็คงจะเป็นศิษย์พี่ของพวกเจ้า  รู้ไหมว่าองค์ไหน  หลังจากวันนี้ไปสำรวมตนสำรวจตนให้ดีๆ ทำในสิ่งที่ดีที่สุด  อาจารย์นั้นพบศิษย์อยู่บ่อยครั้ง  สิ่งที่ควรจะพูดอาจารย์ก็พูดแฝงๆ  อยู่ในทุกๆ ชั้นเรียนนะ  เพราะถึงแม้ว่าคนใหม่จะน่าเป็นห่วง  แต่คนเก่าที่เริ่มบำเพ็ญแล้วกลับบำเพ็ญไม่ไปถึงไหนนั้นน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า  ไม่ว่าจะเป็น จุนเฉียนถี่โฮ่ว (เคารพอาวุโสข้างหน้า นำพาคนรุ่นหลัง)  เฉิงซั่งฉี่เซี่ย  (น้อมเชื่อมระหว่างอาจารย์อาวุโส นำพานักธรรมรุ่นหลัง)  จุนซือจ้งเต้า (เคารพอาจารย์และเทิดทูนธรรมะ)  3 ข้อนี้จะต้องพยายามที่จะทำให้ได้  เราก็รู้จักในสิ่งที่ตัวเองนั้นได้ปณิธานไปจริงๆ ว่าคืออะไร  อย่างเช่นเรื่องของการ จุนเฉียนถี่โฮ่ว  ก็คือ “การเคารพเบื้องหน้า นำพาผู้น้อย”  เราเป็นคนที่อยู่ตรงกลางจะเป็นคนที่สำคัญที่สุด  ว่าไปแล้วก็เหมือนกับการที่เราอยู่ตรงกลาง  เวลาที่จะทำให้คนทะเลาะกัน  ก็ทะเลาะกันเพราะคนกลาง  ทำให้คนสามัคคีกัน  ก็สามัคคีกันเพราะคนกลาง ใช่ไหม (ใช่) มีคำพูดหนึ่งบอกว่า “คนบำเพ็ญมากดุจขนวัว แต่คนบรรลุธรรมนั้นน้อยดุจเขาวัว” แต่ว่าเขานี้ไม่รู้จะเป็นเขาสองเขาที่เป็นเขาที่สง่างาม  แล้วก็ไม่ใช่เป็นเขาที่คอยจะเสี้ยมให้ใครมาชนกัน  ดีหรือไม่ (ดี)
อาจารย์ให้โอวาทไว้เป็นทำนองเพลง อี้เจียเหยริน เหมือนกับที่เฉียนเหยรินของทุกคนให้ไว้  อาจารย์ให้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์  แล้วอีกครึ่งหนึ่งอาจารย์ยังคงให้ของเฉียนเหยรินของพวกเจ้านั้นในครึ่งหลัง  จะได้รู้ว่าเมื่อร้องเพลงแล้วก็คิดถึงเฉียนเหยรินของพวกเจ้าด้วย  ความหวังของอาจารย์  ความหวังของเฉียนเหยรินก็ฝากไว้ที่ตัวศิษย์ทุกๆ คน
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง ทำนองเพลง อี้เจียเหยริน)
เฉียนเหยรินของศิษย์ทั้งหลายนั้นเป็นคนที่ปักจิตปักใจ  เห็นเราทุกๆ คนนั้นห่วงใยไม่เลิกรา  เพราะฉะนั้นเหลาหมู่จึงประทานนามให้ “หลี่เอวี๋ยน” แล้วเวลาเขาให้เพลงเห็นไหม  เขาก็ยังให้ศิษย์บอกว่า เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นแสดงศักยภาพแห่งความสามัคคีออกมาให้มาก  อย่ามัวแต่ทะเลาะกัน  ทะเลาะกันยังทำได้ขนาดนี้  ถ้าหากว่าเลิกทะเลาะกันจะไปไกลขนาดไหน
อาจารย์รู้ว่าบางทีพวกเราทุกคนทำอะไรด้วยความศรัทธา และศรัทธาอย่างเต็มที่ลงแรงเต็มที่  เวลาเหนื่อยจึงเหนื่อยมากเกินไป แล้วขอหยุดไปเลย  แต่อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนเมื่อได้รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร  แล้วก็อย่าหลงผิดอีก
อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทุกท่าน  อาจารย์ฝากคนเหล่านี้ไว้ในมือท่าน  ต่างคนต่างย้อนมองส่องตน  ไม่โทษกันไปโทษกันมา เหมือนสาดโคลนใส่กัน  เพราะสาดกันไปสาดกันมา  ในที่สุดก็เลอะกันทุกคน
วันนี้อาจารย์จะร้องเพลงอะไรลาดี  มีทั้งศิษย์คนจีน  มีทั้งศิษย์คนไทย  มีทั้งศิษย์คนดื้อทั้งหลาย  เอามือจับกันไว้  ตอนนี้ศิษย์ทุกคนก็เหมือนคนที่ละพยศแล้ว  มองๆ ไปก็เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์ทุกๆ คน  อาจารย์อยากให้รักษาจิตใจเดิมแท้  ฟื้นฟูจิตใจออกมาให้แท้จริง  ไม่มีวันไหนที่คนไม่ทำผิด  แต่ขอให้ทุกๆ วันเป็นวันที่ศิษย์ได้พยายามให้ดีที่สุด  ปณิธานต้องเจริญให้สิ้น  อย่าได้ผลัดกันไปผลัดกันมา  ทำได้ก็ไปทำ  ทำแล้วก็ทำให้ดีที่สุด  ไม่ใช่ว่าจะพูดธรรมะแล้วก็ถึงไปเตรียม  เตรียมตอนนั้นมันก็ช้าไปหน่อย
อย่าลืมเอาปณิธานของอาจารย์ไปเป็นปณิธานของศิษย์ทุกคนนะ  อาจารย์ไม่กลัวศิษย์ล้ำหน้า  แต่กลัวมาไม่ถึง  รักษาตัวเองให้ดีๆ  มีโอกาสพบกันใหม่

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา