วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544

2544-03-31 สถานธรรมหมิงฮุย จ. ลพบุรี


PDF  2544-03-31-หมิงฮุย #3.pdf

วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย  จ. ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เมื่อมนุษย์ไร้ทางสู้จึงทำผิด สำรวมจิตเลือกทางเดินอย่ากลัวพ่าย
ณ สุดปลายแห่งความพ่ายคือมีชัย ณ สุดปลายแห่งมีชัยคือปราชัย
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

คนสนิทสนิทด้วยมีมารยาท อย่าประมาทในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
ดวงจิตนี้ขัดเกลาให้ใสดั่งแก้ว จะคลาดแคล้วผองภัยถ้าให้ฟ้าคุ้มครอง
การบำเพ็ญในยุคปลายต้องเคร่งครัด รู้จำกัดจิตใจในคราบปุถุชน
อย่าให้ทุกเวลาเฝ้าสับสน แม้อับจนจงไม่เสื่อมศีลธรรม
การบำเพ็ญเป็นพุทธะในวันนี้ ต้องเริ่มที่ทำความดีสม่ำเสมอ
ใช่นึกทำก็จึงทำดั่งละเมอ จิตใจเผลออ่อนข้อให้ตัณหาตน
จงรู้ว่าพ้นเวียนว่ายได้ด้วยตน อาจารย์ดีแต่เราแย่พ้นได้ไฉน
ทำผิดบาปทุกวันพ้นอย่างไร จงเข้าใจศึกษาแล้วปฏิบัติจริง
ทำในสิ่งที่ดีที่สุด แดนวิสุทธิ์และแดนโลกรวมเป็นหนึ่ง
ณ กลางใจอันเข้มแข็งรู้คำนึง จิตเมตตาเป็นที่พึ่งให้มวลชน
พุทธะล้วนสำเร็จไปจากมนุษย์ ทำให้ดีที่สุดนะน้องท่าน
อย่ามัวท้อถอยให้ใจรำคาญ คนสราญเพราะปล่อยวางความกังวล
ในวันนี้มาประชุมธรรมะแล้ว ขอน้องแก้วรู้จักซึ่งตนเองเถิด
รู้จักใช้ชีวิตอันแสนประเสริฐ มิละเมิดกฎแห่งกรรมให้จำทน
หวังให้น้องอยู่ครบทั้งสองวัน จะแข่งขันแข่งกันดีดีกว่าไหม
จะแย่งชิงแม้นไม่ใช่ของเราไซร้ จะแย่งมาเท่าไรไม่ได้ครอง
การบำเพ็ญเป็นพุทธะชนะใจ และแก้ไขชะตาด้วยการสำนึก
สกัดซึ่งกิเลสที่ตกผลึก ให้จารึกชื่อขจรเพราะทำดี
จงรักษาพุทธระเบียบให้ดีพร้อม ควรต้องยอมก็ให้ยอมอย่าไปฝืน
พุทธจิตอาจตื่นขึ้นแม้ชั่วคืน อย่ากล้ำกลืนทุกข์เบื้องหน้าบั่นกำลัง
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นสองวันประชุมธรรม
หวังศิษย์น้องศึกษาธรรมทุกถ้อยคำ ร้อยเรียงนำสู่จิตให้จงดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังน้องได้บำเพ็ญสำเร็จสู่แดนฟ้า
ธรรมะไร้รูปนามให้ใฝ่หา น้อมนำมาสู่จิตตนรู้ทางเพียร
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย  จ. ลพบุรี
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ลองย้อนมองที่แล้วมาของชีวิต เฝ้าลิขิตตามอารมณ์ตามโลกหนา
ยิ่งไปไกลก็เหมือนวนกลับมา กว่ารู้ว่าหลงไปเกือบสุดทาง
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย   แฝงกายกราบ
องค์มารดาเรียบร้อยแล้ว ถามเมธีทุกท่านยังอยากฟังธรรมะอีกไหม

เคยผิดหวังมืดมิดโดยลำพัง จงยังหวังความงามเวลาเช้า
ตื่นอยู่ลุกจากชีวิตเก่าเก่า หลงอยู่เท้าก้าวไปใจลำเค็ญ
ธรรมในใจย้ำเตือนประพฤติดี ด้วยชีวีไม่ยึดมั่นความเห็น
อุปสรรคกลับไกลช้าดั่งแสงเย็น ลังเลใกล้ไร้ฝั่งเป็นเพื่อนตน
เสลาสลักทะเลทุกข์รวมเรื่องต่าง วิวาทหวั่นกลางนี้บารมีร่วงหล่น
ศึกษาคนเข้าสังเกตเป็นกระจกตน ติดยึดมีวันจนด้วยทาง
คงมั่นแต่เจออุปสรรคทำรำคาญ ประสงค์ฝั่งใจของท่านไยเคว้งคว้าง
สุขนั้นที่ตนรู้จักปล่อยวาง ทุกข์ที่ยังไม่รู้จักตนเอง
สิ่งเคยมีเคยเป็นของเรา ทว่าเพราะใจเขลาไม่สำรวจเพ่ง
แล้วพอวันคิดได้อย่างไรเร่ง จิตหนึ่งขาดไปเก่งก็อำลา
ผิดจึงรู้เสียมากระวังจับ ด้อยคุณค่าสูญกลับยากรักษา
สติช่วยสำทับคนให้เห็นเพิ่มสง่า พิจารณาออกนึกนึกพารู้ยอม
คนจริงฝืนฝ่ากิเลสในอุรา ผิดพลาดทำอย่าล้าสำนึกน้อม
อย่าผิดซ้ำซ้ำรับอ้อมอ้อม เมตตามากล้ายอมทุกข์เพื่อเวไนย
ฮิ  ฮิ   หยุด


พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ลงโทษคนมาสายดีไหม (ไม่ดี) ทำไมไม่ดี การลงโทษเป็นสิ่งไม่ดีใครๆ ก็ไม่อยากถูกลงโทษใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดมีการลงโทษขึ้นมาเราจะโทษคนทำดีหรือโทษคนทำไม่ดี ถ้าลงโทษคนดี แล้วปล่อยคนชั่วไปไม่ต้องลงโทษ    ดีไหม (ไม่ดี) ทำไมไม่ดีล่ะ เราว่าน่าจะดีนะ จะได้ทำให้คนชั่วเขาสำนึกแล้วรู้สึกว่าเราทำไม่ดี ทั้งที่น่าจะเป็นเราโดนลงโทษ แต่คนที่ทำดีทั้งโลกกลับโดนลงโทษ จริงไหม (จริง) แล้วบทลงโทษอันไหนจะทำให้คนสำนึกแล้วไม่กล้าทำผิด     มากกว่ากัน หรือว่าไม่ต้องลงโทษใครเลยดีไหม (ไม่ดี) ไม่มีบทลงโทษเลยก็ไม่ดี ลงโทษคนชั่วก็ไม่ดี ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) ทำไม่เริ่มเปลี่ยนใจแล้วล่ะ ลงโทษคนทำผิดดีหรือไม่ดี (ดี) ไหนเมื่อสักครู่บอกว่าสงสาร ท่านนี่เอาใจยากจริงๆ บางทีเรามองเห็นคนไม่ดีในสังคม เรารู้สึกว่าพอเราได้รับรู้เราอยากจะประณามเขา เราอยากจะให้สังคมลงโทษเขาให้ตาย ใช่ไหม (ใช่) แต่เราลองคิดกลับกันว่าเดี๋ยวนี้แม้จะมีบทลงโทษ ยิ่งรุนแรง ยิ่งน่ากลัวเท่าไร แต่คนชั่วกลับไม่กลัวเลยใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราเปลี่ยนบทลงโทษ ใครทำชั่วให้คนในบ้านเป็นคนรับโทษแทนเขาจะกล้าชั่วไหม (ไม่กล้า) เขาจะรู้สึกสำนึก แล้วก็สะท้อนใจว่า แค่เราทำ     คนเดียวแต่คนรอบข้างต้องรับโทษแทนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าคิดกลับไปอีก ไม่มีการลงโทษเลยดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ทำไมจึงไม่ดี กลัวทำให้เขาคนนั้นได้ใจใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในเมื่อมีบทลงโทษแล้วเขาไม่กลัว เขาไม่เดือดร้อน แล้วมีบทลงโทษไว้ทำไมล่ะ ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านคิดว่าคนที่ทำไม่ดีนั้นเขาขาดอะไร (คุณธรรมและศีลธรรม ความคิดเกรงใจ) เราทำผิดไปเพราะว่าไม่เกรงใจ ไม่สนใจเขาใช่หรือไม่ (ความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์) อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจจะทำไปเพราะอารมณ์วูบใหญ่ๆ อาจจะทำไปเพราะว่าความอยาก อาจจะทำไปเพราะว่าแรงกดดัน กดดันทำให้ทำผิดไป ทำให้คิดผิดไป แล้วก็อาจจะทำผิดไปเพราะว่าความไม่รู้
ปัจจุบันนี้คนในโลกหลายๆ คนทำผิดเพราะว่าไม่รู้ เราสรุปให้คำเดียวก็ได้ว่า “ไม่รู้” ไม่รู้ว่าทำไปแล้วจะผิด จะเกิดโทษ หรือถ้าเราคิดในแง่ร้ายเราก็บอกว่า เขารู้แต่ว่าเขาไม่ยอมทำ เขาสำนึกแต่เขาไม่อยากคิดตอนนั้น เขาละอายไหม เขารู้ผิดรู้ชอบไหม เขารู้แต่ตอนนั้นเขาอยากทำ ฉะนั้นวันนี้ที่เราพูดมามากมาย เราก็ต้องการจะบอกให้ท่านรู้ว่า ก่อนที่ท่านจะลงโทษใครนั้น เราลองคิดกลับไปเยอะๆ แล้วเราจะรู้สึกว่าบางครั้งไม่น่าลงโทษเขาเลย แต่ควรจะทำอะไรให้เขาสำนึก ดีกว่าลงโทษเขาให้เจ็บแค่ตัว แต่ใจเขา ไม่ได้รู้สึกเจ็บด้วย ฉะนั้นเวลาเราเจอคนทำผิดอย่าเพิ่งคิดลงโทษ อย่าเพิ่งคิดเอาแต่อารมณ์ว่าจะต้องตีหรือต่อว่าเขา แต่ขอให้คิดย้อนกลับไปเยอะๆ ว่า   เหตุใดเขาผู้นั้นจึงทำผิด แล้วเราก็จะเข้าใจเขา เห็นใจเขา แล้วก็จะลงโทษเขาไม่ลง จริงไหม (จริง)
การทำให้เขาสำนึกด้วยการพยายามนึกเห็นใจ เข้าใจเขา จะทำให้เขารู้สึกว่าเขากล้าที่จะพูดความจริงกับเราและกล้าเล่า แต่ถ้าเราเข้ามาก็พูดว่าเธอน่ะไม่ดี เธอนี่ใจร้าย เธอทำไมถึงฆ่าคน เธอทำไมถึงโมโหคน เธอทำไมถึงตีคน เราจะเข้าใจเขาไหม พอเจอหน้าก็ทำไม ทำไม ทำไม ไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะว่าคำว่า “ทำไม” บดบังจิตใจอันเมตตาของท่าน บดบังความรู้สึกเห็นใจที่ควรจะมีต่อคนๆ หนึ่ง
เช่นเดียวกัน วันนี้เรามาตรงนี้ หากเจอหน้ายังไม่ทันฟังก็คิดแล้วว่าทำไมจึงมา ทำไมจึงเป็นเด็กอย่างนี้ ทำไมจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะเข้าใจไหม จะรับรู้หรือได้ยินเรื่องที่เราพูดไหม ได้ยินเหมือนกันแต่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะว่าคำว่า “ทำไม” นั้นเหมือนกระดานที่บังตัวเราอยู่ แล้วจะเห็นเราชัดไหม (ไม่ชัด) หากคำว่า “ทำไม” ใหญ่เท่ากระดาน แล้วตัวเราเล็กนิดเดียวเท่ามด เห็นหรือเปล่า (ไม่เห็น)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม) เราชื่อ “อว๋าอวา” นะเป็นเซียนเด็กผู้หญิง รู้จักเราแล้ว เราแนะนำตัวเองแล้ว ถามเมธีทุกท่านยังอยากฟังธรรมอีกไหม อยากฟังเราพูดธรรมะแบบเด็กๆ ไหม (อยาก) ลองฟังดูหน่อยนะว่าเด็กจะพูดธรรมะอะไรได้ คุยกับเด็กอย่าบอกนะว่าเด็กไม่มีสาระ เราได้ยินมาว่าคบเด็กสร้างบ้านใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นคบกับเด็กไม่ต้องกลัว ได้บ้านตั้งหลังหนึ่ง เราไม่เคยได้ยินว่าคบผู้ใหญ่สร้างบ้านเลย ฉะนั้นคบเด็กวันนี้ได้สร้างบ้านหลังหนึ่ง แต่บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่มองไม่เห็นด้วยตา สัมผัสไม่ได้ด้วยมือ แต่จิตใจนั้นรับรู้ได้ เอาไหมบ้านหลังนี้ กายเรามีที่พักพิง แต่ใจมักจะไม่ค่อยมีที่พักให้พิงสักที กายเรามีบ้านพักผ่อนสบาย แต่ใจเรากลับร้อนรุ่ม วิตกกังวล ฉะนั้นเรามาสร้างบ้านเล็กๆ ให้ใจได้พักพิง ไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องหรู แต่ง่ายๆ และมีคุณค่า และเป็นที่พักใจดีหรือเปล่า (ดี) เราเริ่มต้นกันเลยนะ จะสร้างบ้านก็ต้องปูพื้นฐานก่อน ฐานนี้ถ้าไม่หนักแน่น วางไว้บนดินทราย ก็พังได้ ไว้บนดินเหนียว ก็ไม่ค่อยดี ต้องเป็นอย่างไร ดินร่วนดีหรือเปล่า (ดินร่วนก็ไม่ดี)  แล้วเป็นดินอะไรดีล่ะ ทำไมยากจังนะจะสร้างบ้าน ใช้ดินเหนียวผสมดินร่วนใช่หรือไม่ นั่นก็คือการจะสร้างสิ่งใดก็ตาม จะต้องปูพื้นฐานให้มั่นคงเสียก่อน ถ้าพื้นฐานไม่มั่นคง ก่อร่างสร้างตัวไปก็อาจจะล้มได้ เฉกเช่นเดียวเราจะสร้างบ้านให้จิตใจได้พักพิง และบ้านนี้เป็นบ้านแห่งธรรมะ เราจะต้องปูพื้นฐานในการศึกษาหลักธรรมให้เข้าใจ เพราะถ้าขาดความเข้าใจ แม้จะสร้างไปเสร็จเรียบร้อยก็มีวันล้มครืนลงมาได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะที่วันนี้ท่านศึกษา ไม่ใช่ธรรมะที่ผิดแผกแตกต่างไปจากพุทธศาสนาเลย ธรรมะที่วันนี้ท่านศึกษาก็คือต้องการให้ท่านรู้ถึงจิตญาณเดิมแท้ของตนเอง ค้นหาจิตญาณเดิมแท้ของตนเองให้พบ และรักษา     คุณธรรมที่เคยมีอยู่ ที่เคยนับถืออยู่ ที่เคยตั้งใจว่าจะรักษาอยู่นั้น เอามาใช้ควบคู่กับชีวิตและจิตใจ และเมื่อยามออกไปสู่สังคม พบคน มีชีวิตอยู่ก็จงเอาธรรมะไปใช้ เพราะใจจะเคลื่อนไหวได้ ก็ต้องมีกายตามไปด้วย กายจะไปไหนได้ก็ต้องล้วนอยู่ที่ใจเป็นผู้กำหนด ถ้าใจมีธรรม กายขับเคลื่อนก็ต้องมีธรรมตามไปด้วย แต่ถ้าใจไร้ธรรม กายก็ย่อมไร้ธรรมไปด้วย นี่คือพื้นฐานง่ายๆ ที่ทุกท่านรู้ แต่ชีวิตมีอะไรง่ายๆ เท่านี้ไหม (ไม่มี) ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ชีวิตเป็นเรื่องที่ยาก ไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาง่ายๆ หรือเมื่อได้มาง่ายๆ มักจะเสียไปง่ายเหมือนกัน ทำไมเราจึงบอกว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาง่ายๆ ก็เพราะว่าในโลกนี้คำว่าสำเร็จมีน้อยกว่าล้มเหลว นั่นก็แปลว่าในโลกนี้ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตามย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะพบความล้มเหลวได้ แล้วคนส่วนใหญ่ชอบความสำเร็จหรือชอบความล้มเหลว (ชอบความสำเร็จ) ความสำเร็จมีน้อย แต่ความต้องการของคนมีมาก ฉะนั้นการแก่งแย่งกันจึงเกิดขึ้น พอคนแก่งแย่งกันย่อมมีทั้งคนที่สำเร็จและล้มเหลว ทำให้บางครั้งความผิดหวังจึงต้องเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาเรารู้กันอยู่ เราพูดเรื่องนี้ท่านก็รู้ แต่พอเจอกับตัวเข้าจริงๆ ก็นอนพักรักษาใจ ขอพักใจก่อนเดี๋ยวค่อยลุกขึ้นไปสู้ชีวิตใหม่ เจอสักช่วงหนึ่งเราก็แทบทรุดลงไปกับพื้นดิน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าคนๆ นั้นทรุดลงไปแล้วอาจจะไม่มีวันกลับคืนมาได้ ถ้าชีวิตขาดความหวัง ใช่ไหม (ใช่) บางคนแม้จะมีเงินแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าเขาไม่หวังที่จะสู้ ไม่หวังที่จะลุก ไม่หวังที่จะก้าวไป อดทนไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “ความหวังคือประทีปส่องทางสู่ชีวิต” บางคนแม้แขนขาด ขาขาด แต่ขอให้มีความหวัง มีใจสู้ ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต ไม่ยอมแพ้โลก ไม่ยอมแพ้คำต่อว่า ไม่ยอมแพ้อะไรทั้งสิ้น เขาก็ลุกขึ้นมาสู้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของท่านก็เหมือนกัน   บางครั้งเราอยากจะสร้างพื้นฐานความดีงาม เราปูไปแล้ว ความดีเล็กๆ เราก็หมั่นทำ ทำเยอะแล้วแต่บางครั้งพอทำ   ไปแล้วผลสะท้อนกลับมาไม่ค่อยดีทำไปแล้วโดนคนต่อว่า สิ่งที่ปูแม้เป็นก้อนเล็กก้อนน้อยเพื่อจะสร้างบ้านให้อยู่ในใจเรา ให้ใจเราได้พักพิงกลับทำไม่ไหว เพราะว่าเราหมดหวังในการทำความดีแล้ว จริงๆ ทำดีนั้นไม่เคยมีหมดหวัง แต่ที่หมดหวังต้องเข้าใจให้ถูก ใจเราต้องบอกใจตัวเองให้ถูกว่าหมดหวังกับอะไรต่างหาก เราไม่ได้หมดหวังกับความดีที่เราทำ แต่เราหมดหวังกับคนที่เราทำ หรือว่าหมดหวังกับใจที่เราทำ หมดหวังกับใจตัวเองต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราต้องคิดด้วยนะว่าธรรมะนั้นไม่ใช่มีเอาไว้แค่ให้สวด ไม่ได้มีเอาไว้แค่กราบ แต่ธรรมะยังมีไว้ให้ย้ำเตือนชีวิต เหมือนที่หัวหน้าชั้นบอก  เหนี่ยวรั้งชีวิตให้อยู่บนทางที่ถูกต้อง ให้คิดในทางที่เหมาะสม ให้คิดในเรื่องที่ถูกจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นธรรมะเราจึงต้องเอามาใช้ อย่าได้แค่สวด อย่าได้แค่ไหว้ แต่ต้องเอามาใช้กับใจเราด้วย เอามาสอนใจเราให้ได้ด้วย แล้วเราก็จะรู้ว่าทำดีนั้นไม่มีวันหมดหวังหรอกถ้าใจเรายังมีไฟตลอดเวลา แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่รู้จักเติมเชื้อไฟให้กับตัวเอง เราก็หมดแรง จริงไหม (จริง)
ไฟในการทำความดีคืออะไร (เติมความสุขในการทำความดี, จิตใจดี, ประพฤติดี, ความหวัง) เราใช้อะไรเป็นตัวเติมเชื้อเพลง นั่นก็คือการให้กำลังใจกับตัวเอง ไม่ยอมท้อ แล้วก็คิดว่าเราทำดีเพราะเราต้องการให้มีดีอยู่ อยู่ที่ไหนล่ะ แม้เขาจะไม่เอาแต่อยู่ที่ใจของเราใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นทำดีก็อย่ายอมแพ้ อย่ายอมพ่ายใจตัวเอง อย่ายอมพ่ายคนที่ไม่ดี เราทำดีเพื่อรักษาความดีให้ใจเรามีอยู่ ไม่ใช่ให้เขามีอยู่ เขาจะไม่มี เขาจะไม่เอาไม่เป็นไรแต่เราจะมี ไม่สนใจเขาเลย ฉันคนเดียวที่มี ดีไหม (ไม่ดี) ก็ไม่ดี ฉะนั้นต้องใช้เวลาเหมือนกัน แต่บางทีเชื้อไฟของท่านนั้นก็หมดง่ายจริงๆ บางทีแค่ทำครั้งเดียวก็ไม่เอาแล้ว เพราะไม่อดทน พอทำแล้วไม่ได้รับผลดี ก็ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว อย่างนั้นทำเพื่อรับผลหรือ หรือว่าทำเพื่อให้มีดี (เพื่อให้มีดี) ฟังเพื่อให้เสียงกลับมาเพราะๆ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ถ้ายังหวังอยู่รับรองเดี๋ยวไฟดับอีกแน่เลย ฉะนั้นแม้ทำไปแล้วจะมีเสียงกลับมาไม่ดี หรือมีคนว่ากลับมาไม่ดี ก็ไม่เป็นไร ขอให้ยังทำอยู่ เพราะถ้าทำได้เช่นนี้ คือการฝึกจิตใจอย่างเช่นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่) ฝึกจิตใจอย่างเช่นฟ้า ฝนจะตกหรือไม่ตก แม้ใครจะว่าไม่ว่า ฟ้าก็ยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ ไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง นี่คือจิตใจอันยิ่งใหญ่เหมือนฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องของโลกเป็นที่แน่นอนตายตัวไหม (ไม่แน่นอน) แน่นอน คนทุกคนเหมือนกันคือเกิด แก่ เจ็บ ตายแน่นอนไหม (แน่นอน) ไม่แน่นอน ใช่หรือเปล่า ว่าแน่นอนก็ได้ ไม่แน่นอนก็ได้ แน่นอนก็คือเหมือนกันต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่แน่นอนก็คือไม่มีอะไรเป็นอนิจจัง ไม่ใช่เกิดแล้วก็เกิดๆๆ เกิดแล้วยังต้องมีแก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่อายุมากแล้วก็แก่ๆๆ ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วในความไม่แน่นอนนี้ก็ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันในทุกๆ เรื่อง เหมือนที่เราบอก เกิดก็ยังต้องมีแก่ เจ็บ ตายสัมพันธ์กัน ในการเกิดนั้นก็ยังต้องมีอะไรสัมพันธ์กันอีก ก็ยังมีเรื่องทุกข์ สุขอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็มีดีร้ายได้เสียอยู่ในการเกิดด้วย อย่างวันนี้เราดีใจ แต่มีความสัมพันธ์อะไรเกี่ยวเนื่องอีก ความเสียใจใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราหมดเงิน แต่เรายังมีอะไรสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอีก พรุ่งนี้อาจมีเงินใช่หรือไม่ (ใช่) เรื่องของโลกจึงเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนกับความสัมพันธ์ สองอย่างผสมปนเปเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่สองอย่างนี้ แปลว่าในโลกนี้มีเรื่องให้น่าคิดจริงไหม (จริง) ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย ทำไมเราจึงบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ชีวิตนี้มีคุณค่าและมีความหมาย มองดูง่ายๆ เราอยู่บนโลกนี้มีความ   แน่นอนไหม (ไม่แน่นอน) มีสิ ใจเราต้องแน่นอน ไม่ใช่โลกเปลี่ยนไป ใจเราก็เปลี่ยนร้อนๆๆ อย่างนี้แย่แน่เลย ร้อนแล้วเราต้องใจเย็นๆ แม้โลกจะเปลี่ยนไปแต่ใจท่านต้องแน่นอน ไม่ใช่โลกเปลี่ยนไปใจเราก็ปรวนแปร อย่างนี้ไม่ดี อย่างเช่นฟ้า ฟ้าแม้จะเปลี่ยนสว่าง มืด ดำ มีฝน ไม่มีฝน แต่ก็ยังวนกลับมาที่เดิมคือความแน่นอน ถึงแม้ร่างกายสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปแต่ใจต้องแน่นอน
นอกจากตัวคนแล้ว คนเรามีความไม่แน่นอน แล้วมีความสัมพันธ์ไหม (มี) สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม สัมพันธ์กับธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตเรา ร่างกายเราสัมพันธ์กับทุกสิ่งในโลก นั่นก็คือเราต้องมีสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและตัวบุคคล จะตอบว่าคนอย่างเดียวก็ไม่ได้ เรายังต้องสัมพันธ์กับคนและสัมพันธ์ทั้งสิ่งแวดล้อม แต่ในสิ่งแวดล้อมนั้นวันนี้เราจะไม่พูด เราจะพูดเรื่องคนดีกว่า เพราะสิ่งแวดล้อมเรารู้กันอยู่แล้ว แต่คนที่สัมพันธ์นั้นบางทีมีปริศนาแฝงอยู่และทำให้รู้จักตัวเองยิ่งขึ้น
คนที่เราสัมพันธ์ด้วยนี้ ถ้าเราสรุปง่ายๆ พวกหนึ่งคือพวกเป็นมิตร พวกหนึ่งคือพวก (ศัตรู) แล้วก็มีอะไรอีก คนที่เราเคารพและคนที่เราไม่รู้จัก นั่นคือเราแยกให้เป็น 4 จำพวก คนที่เป็นมิตรกับท่านจะเป็นลักษณะอย่างไร มีสิ่งที่ถูกใจเรา เราถึงเป็นมิตรกับเขา มีสิ่งที่เป็นมิตร มีสิ่งที่ถูกใจแล้วก็มีสิ่งที่อะไรๆ ก็คล้ายเรา แต่คนที่เป็นศัตรูจะมีลักษณะที่เราไม่ชอบ เราไม่อยากมีและเราไม่อยากเป็นอย่างนั้น แล้วทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เป็นมิตรที่เราชอบนั้นก็คือคล้ายๆ กับเรา แล้วสิ่งที่เราไม่ชอบนั่นก็คือคนที่เป็นศัตรูของเรา ทำไมเราจึงบอกว่าความสัมพันธ์ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักทันทีเลย พอเราเห็นศัตรู นั่นคือสิ่งที่เราเกลียดและเราไม่อยากเป็นเลย แต่พอเราเจอมิตร นั่นคือสิ่งที่เราเป็นแล้วเราก็เป็นเหมือนมิตร ตอนนี้ลองนึกสิว่า เรามีมิตรเป็นแบบไหนและเรามีศัตรูเป็นแบบใด และหากเรามองอีกคน คนที่เราไม่รู้จักเลยคือสิ่งที่เราไม่เคยมี ไม่เคยคิดและไม่เคยเป็น จริงไหม (จริง) ฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าในความเปลี่ยนแปลงและในความสัมพันธ์ทำให้เรามองรู้จักตัวเองยิ่งขึ้น เราจะวัดคนโดยการดูแต่ภายนอกไม่ได้ คนที่วัดกันแต่ภายนอกจะทำให้เราไม่สามารถรู้จักตัวเองและทำให้เราไม่เห็นกระจกที่คอยส่องจิตใจตน
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือว่าเป็นศัตรู จะเป็นคนรู้จักหรือคนเคารพ สิ่งนี้ยิ่งกลับทำให้เรารู้จักตัวเรามากขึ้น เราเกลียดอะไร เราไม่ชอบอะไร นั่นก็คือคนที่เราเห็น คือสิ่งที่เราไม่อยากมี เราเป็นมิตรกับใคร นั่นคือนิสัยเราคล้ายๆ คนนั้น ง่ายไหมในการมองคนแล้วทำให้เห็นตัวตน (ง่าย) เพราะหลายคนมักอยู่ในโลก เหมือนบางครั้งไม่เข้าใจตัวเอง ต้องให้คนอื่นมาบอกว่าฉันเป็นคนอย่างไรหรือ คราวนี้ไม่ต้องถามแล้วแค่ดูคนรอบข้างก็จะทำให้มองเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนอย่างที่กลอนเราบอกไว้ว่าถ้าเราศึกษาคนได้เข้าใจจะทำให้เราได้มีกระจกย้อนมองส่องตน แต่ในอีกมุมหนึ่งที่เราอยากให้ท่านคิด คนที่ท่านไม่ชอบกับคนที่ท่านรักมีลักษณะเป็นอย่างไร คนที่ท่านชอบย่อมมีลักษณะที่ทำอะไรเราก็ถูกใจ ทำอะไรเราก็ดีใจ ทำอะไรๆ เราก็สุขใจไปหมด แต่เขาต้องทำนะเราถึงชอบ ใช่ไหม (ใช่) นั่นแปลว่าท่านรักเขาหรือว่าท่านรักตัวเอง (รักตัวเอง) เพราะเขาต้องทำ ไม่ใช่ตัวท่านทำ อย่างนี้เรียกว่ารักถูกหรือ (ไม่ถูก) แล้วลองหันมามองคนที่ท่านเกลียด คือคนที่ชอบในสิ่งที่ท่านไม่อยากได้ ชอบจี้ใจดำ ชอบพูดแทงใจดำ ใช่ไหม (ใช่) รู้ว่าเป็นใจดำก็ยังไม่ยอมเลิก ยังไปเกลียดเขาอีก แล้วท่านคิดว่าเขารักท่านหรือเขาเกลียดท่าน ต้องคิดให้ดีๆ เขารักท่านต่างหาก จริงไหม (จริง) คนที่กล้าอยู่ร่วมกันและกล้าชี้บอกข้อผิด กล้าพูดในสิ่งที่ไม่ถูกของเรา ให้เราดีขึ้น ให้เราเก่งขึ้น ให้เราเป็นพุทธะขึ้น ยังเกลียดเขาลงหรือ (ไม่เกลียด) อย่างนั้นวันนี้ท่านคงไม่เกลียดเราแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) จงคิดให้ดีๆ ว่าความสัมพันธ์นั้นให้แง่คิดและยังทำให้เรารู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นจริงหรือไม่ (จริง) เหมือนเช่นทุกท่านในที่นี้ รักเพื่อน รักมิตร แต่บางครั้งไม่ค่อยรักพ่อแม่ญาติพี่น้องของตัวเองใช่ไหม (ใช่) เพื่อนไปไหนไปกัน ลุยไหนลุยกัน แต่พ่อแม่คำก็ไม่ให้ สองคำก็ไม่ให้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราต้องคิดให้ดีๆ อย่าสับสนความรักความเกลียด ไม่อย่างนั้นเรานั่นแหละที่เป็นผู้ขีดเส้นใต้จำกัดความรักความเกลียดที่ผิดๆ และทำร้ายกระจกที่จะส่องตัวเองให้รู้จักตัวเองยิ่งขึ้นจริงหรือไม่
วันนี้เรามาพูดกับท่านตั้งมากมาย ก็เพราะอยากให้ท่านได้รู้จักตัวเอง คนเรานั้นจะเดินไปทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะไปซ้ายไปขวา แต่ถ้าเราเข้าใจแค่กายเนื้อแต่ไม่เข้าใจถึงจิตใจตัวเองแท้ๆ สักวันหนึ่งย่อมก้าวผิดแล้วก็พาตัวเองร่วงหล่นจริงไหม (จริง) ฉะนั้นก่อนที่ท่านจะร่วงหล่น ก่อนที่ท่านจะก้าวผิด เราจึงขอมาบอกก่อน ฟังไหม (ฟัง) ทำไมว่าง่ายจังนะ (พูดสิ่งที่ถูก) พูดสิ่งที่ถูกหรือ อย่างนั้นฟังสิ่งที่ถูกแล้วก็ไปทำในสิ่งที่ถูกด้วย ได้ไหม (ได้) ยากหรือเปล่า (ไม่ยาก) เพราะในดวงใจของเรานี้เมื่อเราสัมพันธ์กับคนแล้ว คนทำให้เราได้รู้จักตัวเอง แล้วสภาพแวดล้อมล่ะทำให้เรารู้จักตัวตนเองไหม สภาพแวดล้อมที่เราต้องเจอกันทุกๆ วัน นั่นก็คือความทุกข์ที่ท่านมักจะเสียใจและไม่อยากให้มาหาเลย อยากจะใส่พานแล้วถวายพระ พระรับไปทีนะ ฉันจะได้เบาสบายสักที ใช่ไหม (ใช่) เราไปที่ห้องพระที่ไหน ก็เห็นทุกข์เต็มโต๊ะพระหมดเลย ไม่มีวันไหนที่โต๊ะพระมีแต่รอยยิ้ม มีแต่ความสุข ไปวัดไหนก็เจอแต่ทุกข์ ไม่มีวันไหนที่บอกว่า วันนี้มีความสุข นึกถึงพระเลยมาไหว้พระ มีแต่บอกว่าวันนี้ทุกข์มา ขอพระช่วยให้หายทุกข์ เอาทุกข์ไปที ใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่านน่ะใจร้าย และก็มาว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย ทุกข์นั้นใครเป็นคนเอาไปใส่ล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วใครจะหยิบออกล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วใครให้ที่ทุกข์อยู่ล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วพระจะช่วยอะไรได้ พระช่วยได้แค่ชี้บอกทางแล้วก็สะกิดให้ท่านตื่น รู้ว่าทุกข์นั้นมีทุกคนใช่ไหม (ใช่) แล้วในทุกข์นั้นยังมีเรื่องแปลกให้น่าคิดอยู่สองสามเรื่อง อยากฟังไหม
เรื่องแรกก็คือ เราเคยเดินไปคุยกับทุกข์ แล้วทุกข์เล่าให้ฟังบอกว่ามนุษย์นั้นไม่ฉลาดเลย มีทุกข์น่ะเป็นสิ่งที่ดีนะ เราก็ถามว่าดียังไงล่ะ เราก็ว่าไม่ดีนะ แต่คิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน เพราะมีท่าน เราถึงได้เป็นเซียนน้อย แล้วเราก็คุยกับทุกข์ต่อ ทุกข์ก็บอกว่า ก็เพราะท่านรู้ แต่เขาไม่รู้ มนุษย์ก็เลยขับไล่ไสส่งฉัน ทั้งที่ฉันเนี่ยเป็นทุกข์ที่ดีนะ เป็นทุกข์ที่ทำให้มนุษย์รู้ตื่น จริงไหม (จริง) รู้ตื่นว่าบนโลกนี้น่ะทุกข์นะ เราต้องตื่นจากความทุกข์ ตื่นจากความฝัน ตื่นจากความหลง ตื่นจากความสุข ใช่ไหม (ใช่) พอเดินไปอีก ทุกข์ก็ยังบอกอีกว่า ทุกข์ทำให้ตัวเรานั้นอดทน เข้มแข็ง และชนะใจ เราก็บอกว่า ขี้โม้ๆ จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เขาก็เลยย้อนกลับถามเราตอนที่ท่านมีทุกข์ ไม่ใช่ท่านมีเราจนท่านสามารถชนะเราได้ แล้วก็ยืนหยัดเข้มแข็งจนมีสุขไม่มีทุกข์ได้หรือ ทุกข์ทำให้เรานั้นอดทน รู้จักคำว่าอดทนเหนืออดทน แล้วทำให้เราชนะใจเราใช่หรือเปล่า (ใช่) และทุกข์ยังเล่าต่ออีกนะว่า ในทุกข์นั้นๆ ทำให้เราเห็นใจคนและมองเห็นน้ำใจคน เราก็บอกว่าจะจริงได้ยังไงล่ะ เวลาเราทุกข์ เราไม่เห็นหรอก เขาก็บอกว่าเห็นสิ พอมีคนเดินมาบอกว่า ไม่ต้องคิดมากนะ ไม่ต้องเสียใจ ท่านเห็นน้ำใจเขาไหม เราก็บอกว่า เห็นจริงๆ ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเห็นเลย นึกว่าคนนี้ใจร้าย แต่พอเราทุกข์แล้วเขามาปลอบใจ เขาเหมือนนางฟ้าติดปีกลงมาบอกเราเลย เหมือนเทพบุตรสุดหล่อเลย ใช่ไหม (ใช่) เราก็เลยบอกว่า ทำไมทุกข์ช่างดีอย่างนี้ เริ่มเปลี่ยนใจแล้ว เริ่มไม่เกลียดทุกข์แล้ว เพราะดีตั้งสามข้อแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ทุกข์ยังบอกอีกว่า แล้วยังมีอีกข้อหนึ่งนะ ทุกข์ทำให้เห็นตัวตนว่าตัวท่านนั้นเป็นคนอย่างไร เวลาทุกข์ ขี้น้อยใจหรือเปล่า เวลาทุกข์ แช่งด่าคนหรือเปล่า ทำให้เห็นถึงน้ำใจของตัวตนเอง ทุกข์ก็เลยบอกนับได้สี่ข้อแล้วตอนนี้รักทุกข์ได้หรือยัง เราก็เลยบอกว่า รักสิ แล้วคราวหน้า จะกลัวทุกข์อีกไหม (ไม่กลัว) แต่ทุกข์บอกว่า ก่อนจะเอาทุกข์ไป คิดให้ดีๆ นะ ถึงแม้จะนับดีได้สี่ข้อ แต่ก่อนจะเอาทุกข์ไปทำไมถึงต้องคิดให้ดีๆ ล่ะ เราก็บอกว่าทำไมต้องคิดล่ะ ก็เพราะว่าหลายต่อหลายคนพอทุกข์แล้ว นึกไม่ถึงสี่ข้อนี้ แล้วก็ลืมข้อดีข้อนี้เพราะมักจะคิดในด้านลบมากกว่าด้านดี เมื่อทุกข์แล้วก็มีแต่ทุกข์ ไม่ยอมมองให้เห็นทุกข์จริงๆ ไม่มองให้เห็นว่าทุกข์นั้นคืออะไร ทุกข์นั้นมาจากไหน และทุกข์นั้นมีเหตุที่ใด เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เห็นพระพุทธองค์เป็นพระพุทธองค์ เห็นพระไตรปิฎกเป็นพระไตรปิฎก ก็เลยเป็นมนุษย์ไม่เคยได้รู้ตื่นสักที เพราะเขาขาดอะไร (ขาดปัญญา) นั่นก็คือขาดปัญญา เห็นคนไม่ดีก็เป็นคนไม่ดีวันยังค่ำ เห็นธรรมะก็เป็นธรรมะวันยังค่ำ ไม่รู้แจ้งไม่รู้ตื่นสักที ฟังธรรมกี่รอบก็เป็นธรรมะอยู่ทุกวัน ไม่เคยฟังธรรมะตื่นทันที หัวสมองโล่งปลอดโปร่ง จิตใจเบาสบาย เคยเป็นไหม เคยฟังธรรมะแล้วหัวสมองโล่ง ใจเบา เหมือนลอยได้ ถึงแม้ว่ายังเหยียบอยู่บนพื้นดิน เคยเมื่อไรก็จะสำเร็จเมื่อนั้น ปัญญาทำให้เรารู้แจ้งเห็นจริง ปัญญานั้นทำให้มนุษย์ใสสะอาดที่จิตใจและทำให้มนุษย์ข้ามภพข้ามชาติเป็นพุทธะ และรู้แจ้งแทงตลอดแห่งความเป็นคน แล้วปัญญาอยู่ที่ใด อยู่ที่ตัวเราเอง
ถ้าไม่มีการศึกษาเรียนรู้ ปัญญาก็ไม่เกิด ปัญญาจะเกิดได้จึงต้องควบคู่กับการศึกษา ศึกษาทางโลกก็ได้ปัญญาทางโลก ศึกษาทางธรรมก็ได้ปัญญาทางธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเรามีกิเลส เรามีความโลภ เรามีตัณหา สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เราต้องทุกข์ แล้วเป็นอุปสรรคทำให้เราไม่สามารถข้ามภพข้ามชาติได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะตัดที่ไหน ลองใช้ปัญญาของท่านดู (ตัดจากกิเลสความอยากได้) แล้วถามว่ากิเลสอยู่ที่ไหน ความอยากได้อยู่ที่ไหน ต้องใช้ปัญญาตัดให้ถูกที่ใช่ไหม (ใช่) เหมือนท่านอยากเห็นนก ท่านต้องไปมองที่ไหน (รัง, ฟ้า, ต้นไม้) รังก็ได้ ฟ้าก็ได้ ต้นไม้ก็ได้ ถูกทั้งสามคำตอบนะ อยากมองเห็นปลาต้องไปมองที่ (น้ำ) นั่นก็คือเราอยากหาว่าสิ่งนี้อยู่ที่ไหนเราต้องไปหาให้เจอว่ามาจากตรงไหนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกิเลส อารมณ์ล่ะมาจากที่ใด (ใจ) ฉะนั้นเราจะตัดก็ต้องตัดที่ใจ แต่ใจนั้นจะตัดใช่ตัดตอนนั่งท่องมนต์ นั่งไหว้พระ ตัดได้ไหม (ไม่ได้) ตอนเราสวดมนต์ตอนนั้นเรามีกิเลส อารมณ์ ตัณหาไหม (ไม่มี) บางครั้งก็ยังมีคั่งค้างอยู่ ยังเป็นตะกอนเกาะอยู่ที่ใจ ใครกล้ายอมรับบ้างว่าตอนนี้ใจสะอาด ไม่มีความเกลียดอยู่ในใจยกมือขึ้น (มีนักเรียนคนหนึ่งยกมือ) ไม่เกลียดแน่นะ อะไรที่ท่านไม่ชอบกินต้องกินให้หมดนะ ใครไม่มีความโกรธในใจเลยยกมือขึ้น ไม่มีใครยกให้ชื่นใจเลยหรือ  นั่นก็แปลว่าบางครั้งใจเรามีสิ่งที่คั่งค้างอยู่ที่เป็นกิเลส แต่พอมีแล้วตอนนั้นเราสวดมนต์ เราไหว้พระ เราสามารถสกัดลดให้หายได้ แต่ว่าพอหลังสวดมนต์ มีอีกไหม (มี)  ทำไมยังมีเต็มปากเต็มคำเลย น่าจะบอกว่าไม่มีแล้ว ต้องไม่มีอีก แต่ว่าเป็นจริงอย่างที่เราพูดไหม ไม่ ท่านยังมีเรื่อยๆ ถ้ามีเรื่อยๆ ท่านจะสวดมนต์ทุกขณะได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทำไมไม่ได้ล่ะ ในเมื่อสวดมนต์ไหว้พระแล้วช่วยทำให้กิเลสลดลงจนเกือบจะไม่มี ฉะนั้นเวลาออกไปไหนทั้งวันเลยจะได้ไม่มีกิเลสทั้งวันเลยดีไหม (ดี) พอคนมาโมโหใส่ก็นะโมตัสสะ ภะคะวะโต ดีไหม ถ้าเด็กๆ ทำเขาคงโกรธไม่ลง แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำเป็นอย่างไร โดนว่ากลับ โดนชกกลับ กลับยิ่งโมโหอีกใช่ไหม บอกฉันไม่ใช่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ต้องมาสวดมนต์ให้ใช่ไหม นั่นก็คือว่าเราไม่สามารถสวดมนต์ได้ แล้วปัญญาท่านจะเอามาจากอะไรถึงจะดับได้ทุกขณะ (สติ, ธรรมะ) เราจะทำอย่างไรปัญญาเราถึงจะสามารถตัดกิเลสได้ทุกขณะเวลา นั่นก็คือ ต้องมีสติและปัญญาให้เท่าทันทุกขณะที่ใจคิด ทุกขณะอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มักอยู่ได้ด้วยอารมณ์ของตน และเดินเคลื่อนไหวไปตามแรงผลักดันของอารมณ์ตนใช่ไหม (ใช่) ใช่หรือ ไม่ได้อยู่เพราะมีความหวังหรือ กลายเป็นอยู่เพราะมีอารมณ์ อารมณ์หมดก็ตายทันที ไม่ใช่ เรามีอารมณ์ก็เพราะว่าเรามีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อเรามีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใจเราจะไม่สามารถที่จะตัดภพตัดชาติและตัดอารมณ์กิเลสได้ ฉะนั้นเมื่อไรที่เรามี ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าแอปเปิ้ลลูกนี้เป็นใจ พอมีอารมณ์ แอปเปิ้ลก็มีเขา มีความโกรธ แอปเปิ้ลก็มีหาง พอมีตัณหาแอปเปิ้ลก็ใส่ชุดดำ แล้วผลสุดท้ายใจดวงนี้ก็เลยกลายเป็นปีศาจจริงไหม (จริง) ฉะนั้นเราจงอย่าเพิ่มเขา เติมหาง ใส่ชุดดำให้กับใจตัวเอง จากที่จะสร้างบ้านกลายเป็นแปลงร่างเป็นปีศาจ แล้วเรารู้ตัวไหม เรารู้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ชี้หน้าคนโกรธได้ถูกต้องหรอกจริงไหม (จริง) ฉะนั้นจงอย่าเผลอ เพราะถ้าเผลอเมื่อไรเราก็จะกลายเป็นหญิงชุดดำกับชายชุดดำเอาไหม (ไม่เอา) แล้วเราก็จะตัดภพตัดชาติไม่ได้ เราก็จะต้องว่ายเวียนเกี่ยวกรรมไปเรื่อยๆ น่ากลัวนะ วันนี้เกี่ยวคนนี้ที วันต่อไปเกี่ยวคนนั้นที เราเกี่ยวเขาเราว่าเราปล่อยแล้ว แต่เขาไม่ปล่อย ฉะนั้นเกี่ยวน้อยๆ สร้างเหตุน้อยๆ ผลจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ผลก็คือเขาจะได้ไม่ต้องกลับมาทำร้ายท่านอีก ดีหรือไม่ (ดี) ฉะนั้นการศึกษาธรรมนอกจากจะทำให้เรารู้จักตัวตนเองได้อย่างแท้จริงแล้ว ยังเข้าใจ รู้แจ้งชีวิต และนำพาชีวิตไปถูกทาง ทีนี้อยากศึกษาอีกไหม (อยาก) มาอีกไหม (มา)
“ผิดจึงรู้เสียมากระวังจับ” เมื่อเราผิดเราจึงรู้ว่าเรามีสิ่งเสียมาก แต่บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้ พอพูดหนึ่งแล้วเราเข้าใจแค่หนึ่ง พอพูดสองแล้วเราเข้าใจแค่สองพอพูดสาม เข้าใจสาม เขาก็ว่าเราโง่ แต่บางคนบอกว่าพูดหนึ่ง แต่ท่านเข้าใจไปถึงสองสามสี่ เขาบอกว่าเราเจ้าเล่ห์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นนอกจากเรารู้เรื่องชีวิตว่าต้องเป็นอย่างนี้แล้ว บางครั้งปัญญาเราต้องตามให้ทันทุกๆ เรื่องราว และทุกๆ เหตุการณ์ที่เข้ามากระทบใจ เราว่าความดีชนะความชั่วแต่บางครั้งความดีอาจจะพ่ายแพ้ความชั่วได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณความดี ขึ้นอยู่กับสิ่งดีที่เราเลือกเอาไปใช้กับเขา เหมือนวันนี้ท่านเจอคนไม่ซื่อสัตย์ ท่านเอาความอะไรไปตอบเขาดีล่ะ ต้องใช้ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ แต่บางครั้งพอเราจริงใจ เราซื่อสัตย์ เขากลับได้ใจ เหมือนวันนี้เพื่อนท่านขี้เกียจท่านเอางานเขามาช่วยทำหมดเลย กลับกลายเป็นว่าช่วยเขาในทางที่ผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ลูกหลานเราทำผิด เราว่ากล่าว แต่เราไม่ได้ชี้นำทางที่ถูกให้เขาแก้ไข แล้วเขาจะทำได้ถูกไหม ไม่ได้ เหมือนท่านไม่ทำให้เขาดู เขาจะนึกออกไหมถ้าท่านเอาแต่พูด (ไม่ออก) ฉะนั้น ความดีรู้จักพลิกแพลงอย่างเดียวไม่พอ ท่านยังจะต้องปฏิบัติเป็นตัวอย่างด้วย ให้เขาเห็น ให้เขาเชื่อ ให้เรานี่แหละเป็นประจักษ์หลักฐานว่าทำดีแล้วได้ดี ทำดีแล้วมีคุณค่า ทำดีแล้วน่าเคารพนับถือ เขาก็จะทำตาม จริงหรือไม่ (จริง)
เรามาก็ทำให้ท่านเสียเวลาเยอะแล้ว เดี๋ยวเราก็จะกลับแล้วนะ เรื่องราวในโลกนี้เมื่อเดินไป ผลสุดท้ายก็ต้องเดินกลับมา เกิดขึ้นผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนที่เดิม วันนี้เรียนพรุ่งนี้ก็หยุดเรียน วันนี้มีเกียรติ พรุ่งนี้ก็ไร้เกียรติ วันนี้มีเงินพรุ่งนี้ก็ไร้เงิน เป็นเรื่องที่เดินไปแล้ว วิ่งไปแล้ว ไขว่คว้าไปแล้วแทบเป็นแทบตาย ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนที่เดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เราแม้จะวิ่งวนไขว่คว้าแสวงหารัก โลภ โกรธ หลง เกียรติยศชื่อเสียง ความรู้ ความมั่งคั่ง แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็นคนที่ไม่มีเกียรติ ไม่มีความรู้ และไร้ความมั่งคั่งไม่วันใดก็วันหนึ่งเป็นธรรมชาติ จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนกลอนนำที่เราให้ไว้นะ แม้เราจะวิ่งวนหาไปเท่าไร วิ่งไปมากเท่าไร ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนตรงที่เดิม บางครั้งความสุขที่เราไขว่คว้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีเงินทอง มีชื่อเสียง การนั่งเฉยๆ วางใจเรียบๆ ไม่คิดเรื่องราวอะไร แล้วปล่อยใจให้เบาสบาย ก็เป็นสุขได้เหมือนกันเคยบ้างไหม เคยค้นพบความสุขนี้กันบ้างไหม นั่งเฉยๆ ไม่ต้องมีใคร ไม่ต้องมีเรื่องกังวลใดๆ นั่งอยู่กับบ้านมองต้นไม้หรือมองใคร ใจเราก็เป็นสุขแล้วก็อิ่มในความว่างเปล่า ถ้าทำได้เช่นนี้ท่านจะเป็นคนที่ รู้จักสุขในคำว่า “พอ” เราอยากให้ท่านลองไปลิ้มรสความสุขอันนี้ดูบ้าง เป็นสุขที่ไม่ต้องเหนื่อยเลย แค่ทำใจวางให้สบาย ความวิตกกังวลเอาวางไว้ก่อน ปล่อยใจให้เบา ทำสมองให้ปลอดโปร่ง ปล่อยร่างกายให้อยู่ในท่าสบาย แล้วลองมองออกไปหรือลองมองย้อนกลับมา เราก็จะรู้สึกว่าสุขจังเลย ไม่ยากเลยนะ ในโลกนี้อะไรก็ถูกแย่งไปได้แต่ไม่มีใครแย่งความดีไปจากใจท่านได้ ฉะนั้นจงรักษาให้ดี หาทางแห่งความเป็นพุทธะก็อยู่ที่ตัวท่านจะสร้างไหม จิตใจแห่งความเสียสละก็อยู่ที่ว่าท่านจะยื่นมือไปช่วยเขาไหม ถ้าเห็นแต่ทุกข์ของตัวเองมากก็จะไม่เห็นทุกข์ของใคร แต่ถ้าเห็นทุกข์ของคนอื่นมาก เราก็จะเป็นพุทธะของใครๆ เอาล่ะ ต่อแต่นี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้ว จะเป็นคนเดินดินเหมือนเดิม หรือว่าจะฝึกฝนเป็นพุทธะบำเพ็ญตน
วันนี้ก็จบเพียงแค่นี้แล้วนะ ถึงเวลาที่เราต้องกลับแล้ว วันนี้เรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันและเรามาพูดคุยศึกษาธรรมะซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่ามาพูดนะว่าเรามาเล่นละครให้พวกท่านดู เมื่อสักครู่ท่านรับปากไปแล้วว่าเรามาคุยกัน เรามาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน ใช่ไหม (ใช่) อย่าเอาสายตาแห่งมนุษย์มามองพุทธะ ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็นความเป็นพุทธะ อย่าเอากิเลสอารมณ์มาบังใจของตน ไม่อย่างนั้นจะไม่รู้แจ้งในธรรมะ วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านได้มาศึกษาหลักธรรมอย่างจริงๆ จังๆ ขอให้ตั้งใจให้ครบสองวัน มีโอกาสว่างเมื่อไรก็มาศึกษาเพิ่มเติมได้หรือไม่ (ได้) คงได้นะ เซียนน้อยอย่างเรายังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เลย แล้วทำไมตัวท่านจะเป็นไปไม่ได้ อย่ายอมแพ้          ได้หรือไม่ (ได้) ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย จ. ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ลำบากสอนให้เป็นคนเต็มคน ความอดทนตอบแทนด้วยสิ่งที่หวัง
ความเมตตานั้นแฝงซ่อนขุมพลัง ศิษย์รักเอยระวังใจของตนเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจมาบำเพ็ญดีหรือไม่

เวลามักจะชนะคนกำลังทุกข์ ชีวิตเมาพร้อมสุขดังใจไม่
จงฝันใฝ่ฝึกตนเผื่อฤทัย เพื่อเหลือคนรุ่นใหม่บำเพ็ญจริง
ประคองหน้าช่วยหลังด้วยคุณธรรม เพียงแจ้งธรรมพุทธจิตสว่างยิ่ง
วาระผิดจากนี้ไร้ทางจริง ถนอมยิ่งแม้นไม่อวลปานผกา
สัมมาธรรมเพียรพบอบอุ่นแสน ศึกษาแก่นอย่าหลบการปฏิบัติหนา
ไร้สงบไม้ผุลุใจศิษยา นับวันร้อยซ่อนปัญหาสุดประมาณ
เวิ้งฟ้ากว้างใจไพศาลผสานหนึ่ง ขจัดซึ่งรอยลึกที่ใจนั่น
โลกแสนเข็ญบำเพ็ญเริ่มนั้นสำคัญ เวลาแห่งทุกข์ยาวนานค่อยบรรเทา
อุทิศตนคืนวันสะพานยุคสาม ประสงค์คืนกลับโพ้นข้ามกิเลสเร้า
บางอุปสรรคดั่งเส้นผมบังภูเขา ขอศิษย์เยาว์เบาแสวงนอกกายา
ฮา  ฮา   หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มนุษย์ทุกคนมีจิตใจ แต่มิได้ใช้ใจที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองมีอยู่ข้างใน ธรรมะมีกันอยู่ทุกคนไหม (มี) หัวใจของเรามีธรรมะไหม (มี) แล้วตอนนี้ใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตหรือไม่ ใครว่าตัวเองใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตสิบเปอร์เซ็นต์  ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตสามสิบเปอร์เซ็นต์ ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เอามือลง ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกมือค้างไว้ อาจารย์ให้ศิษย์คัดตัวเอง การคัดตัวเอง มีสามคนเท่านั้นเอง อาจารย์ให้ศิษย์เป็นผู้คัดตัวเอง คนที่ไปสวรรค์ได้ต้องเป็นคนดี คนชั่วก็ไปนรกใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าบำเพ็ญธรรมแล้วจิตใจของเรากลับมาสว่างเรียกว่า ฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ขมุกขมัวมอมแมมนั้นให้กลับมาสมบูรณ์ได้ ก็กลับมาเป็นพุทธะได้ แต่อย่างที่ถาม กี่คน กี่เปอร์เซ็นต์ ศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี้ตอบตัวเองว่าตัวเองใช้ไปกี่เปอร์เซ็นต์ มีจิตใจที่ใช้บำเพ็ญธรรมะอยู่มากเท่าไร จิตใจที่ดีงามอยู่มากเท่าไร ถ้าศิษย์ยิ่งมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งไกลสวรรค์มากเท่านั้น มนุษย์สมัยนี้จึงบอกว่าสวรรค์สงสัยจะไกลเกินเอื้อม ถ้าหากพูดถึงจะไปนิพพานยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) 
แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งนี้ พูดถึงสิ่งที่ศิษย์คิดว่ามันไกลเกินเอื้อม ในเมื่อศิษย์บอกว่าทุกๆ คนมีหัวใจ แล้วหัวใจของทุกๆ คนก็มีธรรมะ ทำไมศิษย์ถึงคิดว่าเรานั้นไม่สามารถทำให้จิตใจดีกว่านี้ได้ สามารถทำได้ไหม (ได้) แล้วต้องทำหรือเปล่า (ต้องทำ) อย่างที่สังคมปัจจุบันนี้เป็น บางคนนั้นก็เป็นคนดีแต่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนไม่ดี เราเคยโดนไหม บางทีเราบอกว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับอีกคนหนึ่งเราก็ยังดีน้อยกว่าเขา หรือไม่เราอาจจะเป็นคนไม่ดีที่ชอบบอกว่าตัวเองเป็นคนดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์คิดว่าคนในสังคมนี้ที่มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายจิตใจ เวลาเราเผลอไปทำชั่ว เราเผลอไปทำไม่ดี เราก็ไปโทษว่าคนนั้นทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดี เพราะว่าเขามาปรักปรำเราอยู่เรื่อย เรารู้สึกแย่จริงๆ เรารู้สึกว่าเราต้องทำให้สมกับที่เขาใส่ร้ายเราให้พอ ในที่สุดแล้วเราก็ทำชั่ว สุดท้ายผลกรรมชั่วนี้โทษใคร ใครเป็นคนทำ (ตัวเอง) กฎแห่งกรรมนั้นก็คือใครทำ ใครรับ เพราะฉะนั้นถ้าทำดีก็รับสิ่งที่ดี ถ้าทำไม่ดีก็รับสิ่ง  ไม่ดี จริงๆ แล้วโทษใครได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าวันนี้ศิษย์ทุกคนบำเพ็ญธรรม วันข้างหน้าศิษย์ของอาจารย์จะไปถึงไหน ทุกคนไปได้ไกลเท่าที่ตัวเองอยากไป แต่หากว่าวันนี้ยังเป็นอย่างทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ วันข้างหน้าไปถึงไหน มีอยู่สามทาง ทางแรกเวียนว่ายตายเกิด เกิดครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ทางเลือกที่สองคือไปรับกรรมในนรก และทางที่สามคือไปสวรรค์หรือหลุดพ้น ใครคิดว่าตัวเองเวียนว่ายตายเกิดยกมือขึ้น ใครคิดว่าตัวเองต้องไปนรกยกมือขึ้น แล้วใครคิดว่าตัวเองสามารถกลับสวรรค์หรือว่าหลุดพ้นจากการเวียนว่ายยกมือขึ้น อาจารย์ถามหมายถึงว่าที่เราทำอยู่ตอนนี้ ใครคิดว่าผลสุดท้ายตัวเองจะสามารถไปสวรรค์หรือหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดยกมือขึ้น มีคนบอกว่าเราต้องพยายาม แล้วความพยายามนั้นมักแพ้ความขี้เกียจเสมอใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นี้น่าประหลาดใจ กินก็ขี้เกียจ นอนก็ขี้เกียจ นั่งก็ขี้เกียจ ไปทำงานก็ขี้เกียจ รวยมากไปก็ขี้เกียจ จนมากไปก็ขี้เกียจ อยากจะกตัญญูก็ยัง    ขี้เกียจ ขี้เกียจเป็นคำติดปากหรือเป็นนิสัยของเราจริงๆ (เป็นคำติดปาก) ติดที่ปากก็พอ อย่าให้ติดที่ใจ ฉะนั้นวันนี้อาจารย์มา ไม่ว่าศิษย์จะเชื่ออาจารย์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ บอกไว้เลยว่าไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่วันนี้ที่อาจารย์พูดทั้งหมด ถ้าหากว่าเห็นด้วยจงทำ อาจารย์ขอแค่นี้ จงทำ แล้วทำให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องสนใจว่าความดีของเรานั้นจะมีคนเห็นหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราเรียกร้องผลของความดีให้ตอบแทน ถ้าไม่ตอบแทนเราจะเลิกทำดีนั้นๆ มนุษย์สมัยนี้คิดอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราจะดีกับใครสักคนหนึ่ง ก็คิดว่าเขาต้องดีกับเราด้วย ถ้าเขาไม่ดีกับเรา เราก็เลิกทำเหมือนกัน เอาชีวิตของเราไปผูกไว้กับอะไร ตอนนี้ชีวิตเป็นของเรา หัวใจนี้เป็นของเรา เราทำดีก็เพื่อตัวเราเอง เพื่อตัวเราเองรู้สึกดีและเป็นคนที่ดีขึ้น แต่บางคนไม่ใช่ เอาความดี เอาจิตใจ เอาการทำดีของเราทั้งหมดไปผูกไว้กับคนอื่น ถ้าเขาไม่ดีต่อเรา เราจะเลิกทำ เพราะว่าหัวใจได้ผูกไว้กับเขาใช่หรือไม่ (ใช่) เราสั่งหัวใจของเราเองได้ไหม (ได้) แน่ใจหรือ คนที่เคยมีความรักมักจะรู้ว่าเวลามีความรักแล้วสั่งหัวใจของตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราสั่งหัวใจของคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าหัวใจของเราชอบเขาแล้วหัวใจของเขาเกลียดเรา เราสั่งเขาได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเปลี่ยนได้หรือเปล่า (ได้) แล้วเขาชอบเราเปลี่ยนได้ไม่ได้ (ได้) เขาเกลียดเราเปลี่ยนได้ไม่ได้ (ได้) คนที่ตอบว่าได้ หนักแน่นมั่นคงดี แต่ต้องดูอีกทีตอนปฏิบัติใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร สามวันดีสี่วันไข้ คำพูดคำนี้ใครเป็นคนคิด คำพูดคำนี้คนเป็นคนพูดเพื่อบอกคนด้วยกันว่าทุกคนนั้นเป็นคนที่โลเล เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากเป็นคน ก็โลเลต่อไป ถ้าเราอยากบำเพ็ญธรรมก็ต้องเลิกนิสัยโลเล วันละครั้งเดียวนี่ก็มากเกินไปแล้วรู้ไหม เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีก็คือเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง การเปลี่ยนนิสัยตัวเองได้นี้เป็นเรื่องแรกของการบำเพ็ญธรรมที่จะต้องทำ หากว่าเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไม่ได้ ธรรมะจะวิเศษได้ไหม ถ้าหากว่าเราเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไม่ได้ แก้นิสัยที่ไม่ดีของตัวเองไม่ได้ เราจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนดีอยู่ได้ไหม (ไม่ได้) ตอนที่มากราบรับธรรมนั้น ศิษย์ทุกคนให้อาจารย์แนะนำรับรองบอกว่าศิษย์ทุกคนเป็นคนดี ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วอาจจะยังดีไม่ถ้วนไม่ทั่ว แต่อย่างน้อยอาจารย์ก็เชื่อว่าทุกคนนั้นยังเชื่อว่าลึกๆ ตัวเองยังเป็นคนที่ดีอยู่ แม้ใครจะพูดว่าอย่างไร เราก็ยังเชื่อว่าเรานั้นยังมีความดีอยู่บ้าง ขอให้เราเชื่อมั่นในความดีส่วนน้อยนิดของตัวเองส่วนนี้ แล้วขยายมันออกไปเหมือนกับเมล็ดของต้นไม้บางประเภทที่สามารถขยายพันธุ์ของตัวเองได้ อาจารย์อยากให้เราซึ่งเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าต้นไม้ใบหญ้า ยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ นั้น สามารถขยายความดีแค่กำเดียวในหัวใจของเรานี้ออกไป ถ้ามีใครไม่เชื่อถือว่าเราเป็นคนดีหรือบำเพ็ญธรรมได้ดี เราบังคับให้คนอื่นเชื่อไม่ได้ แต่เรานั้นทำตัวดีๆ ให้สม่ำเสมอได้ มนุษย์เป็นสิ่งที่อ่อนไหวต่อความรู้สึก และมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้อาจารย์มาที่นี่ก็เพราะว่าเชื่อว่าศิษย์ทุกคนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกันดีไหม (ดี) ไหนใครคิดว่าตัวเองนั้นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปใน    ทิศทางที่ดีขึ้น ยกมือหน่อย ทีนี้เอามืออีกข้างหนึ่งปรบมือให้ตัวเอง ปรบมือดังๆ อาจารย์หวังว่าวันหน้าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนเป็นผู้ปรบมือให้ศิษย์ ด้วยการที่เรานั้นสามารถที่จะคว้าชัยชนะมาให้ตัวเอง ด้วยการที่เรานั้นสามารถที่จะบอกว่าเบื้องบนนั้นไม่ไกลเกินเอื้อม เราไปถึง ถึงวันนั้นอาจารย์ปรบมือให้
“ศิษย์รักเอ๋ยระวังใจของตนเอง”
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้น ไม่ใช่เสือสิงห์ที่ไหน สิ่งที่น่ากลัวนั้นก็ไม่ใช่สังคมที่เลวร้าย สิ่งที่น่ากลัวก็ไม่ใช่ว่าคนนี้จะมาหลอกเราหรือว่าอะไรก็แล้วแต่จะมาหลอกเรา ผีก็ยังไม่น่ากลัว น่ากลัวที่สุดนั้นก็คือใจของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะสามารถที่จะพาเราไปทำเรื่องที่ร้ายที่สุด และสามารถทำให้เรานั้นทำเรื่องที่ดีที่สุด ดีจนคนอื่นเขาใจหาย พร้อมจะเปลี่ยนจากคนที่ดีที่สุดกลายเป็นร้ายที่สุดในเวลา 5 นาที เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้ก็คือจิตใจของตัวเราเอง โจรขโมยก็ขโมยไปแค่ทรัพย์สิน ฆาตกรฆ่าเราก็ฆ่าไปแต่กาย แต่สิ่งที่น่ากลัวที่ยังเหลือไว้คือจิตใจที่ไม่ได้รับการขัดเกลาของตัวเอง อาจารย์นั้นได้ชื่อว่าเป็นพระที่บ้า แต่อาจารย์ก็ยังเห็นว่าคนบ้านั้นไม่ใช่คนที่น่ากลัว แล้วก็ไม่เลวร้ายอะไร แต่มนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้ยิ่งกว่า ว่าไปแล้วเหมือนกับบ้าทุกคน เพราะว่าเรามีความบ้าอยู่ในตัว แล้วพร้อมจะแสดงออกทุกเมื่อใช่หรือเปล่า (ใช่) พุทธะมีความบ้าไหม พุทธะไม่มีความบ้า ถ้าหากว่าเรายังบ้าอยู่ และพร้อมจะแสดงออกทุกเมื่อ แสดงว่าจิตใจของเรานั้นยังไม่ได้รับการขัดเกลาใช่หรือไม่ (ใช่) ยังเน้นหนักเห็นสิ่งภายนอกสำคัญกว่าจิตใจของตัวเราเอง ฉะนั้นจิตของเราเมื่อ  ไม่อยู่ในภาวะปกติก็เรียกบ้า แล้วจิตใจของศิษย์ยังไม่ปกติ คือพร้อมที่จะแสดงความบ้าออกมาทุกเมื่อ ก็แสดงว่าจิตใจของเรานั้นยังไม่ถูกขัดเกลาไปสู่สภาวะเดิมแท้ คือความใสสะอาด จะให้คนอื่นขัดเกลาเราได้ไหม (ไม่ได้) ใครต้องเป็นผู้ขัดเกลา (ตัวเราเอง) แล้วถามว่าเรานั้นยินยอมที่จะขัดเกลาหรือไม่ (ยอม) สมมติว่าศิษย์ของอาจารย์เจอสิ่งๆ หนึ่ง คนๆ หนึ่งที่เราชอบมาก ปกติแล้วจะต้องได้สิ่งๆ นี้มา แต่รู้ว่าทุกครั้งที่ได้มาก็คือทำไม่ถูกต้อง ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องไปเอามา ถ้าหากว่าเราอยากขัดเกลาจริงๆ ตั้งแต่วันนี้ไปก็ต้องทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าเอามาไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ใช่ของของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอดใจไม่เอามา     ได้ไหม (ได้)
ศิษย์รู้ตัวไหมว่าทุกๆ คนนั้นเป็นคนมีบุญ เวลามีเหตุการณ์จวนตัวนั้นอยู่ดีๆ รอดไปได้อย่างไร เคยไหม (เคย) แล้วเคยไหมว่าพอมีเรื่องจวนตัวแล้ว   ไม่รอดเลย (เคย) ก็เคยเหมือนกัน แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่มีบุญแล้วมีอะไรด้วย (กรรม) ถ้ามีเหตุการณ์คับขันอย่างไรก็รอดมาได้ เหตุการณ์เคราะห์ภัยอะไรสามารถที่จะหลุดรอดออกมาได้ ปลอดภัยได้ ก็แสดงว่าเราเป็นคนที่มีบุญ แต่ว่าในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีกรรมอย่างที่อาจารย์ว่า คือบางทีไม่สามารถที่จะรอดไปได้ อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่ามารับธรรมะสามารถที่จะมากราบขอรับธรรมได้ ก็แสดงว่าเรานั้นมีบุญอยู่ แต่ในขณะเดียวกันกรรมก็ตามมาติดๆ ถ้าหากว่าเราไม่ใช้กรรมไป เราสามารถที่จะพ้นกรรมได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นต้อง  รู้จักที่จะชดใช้กรรมของตัวเอง ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศล ถ้าหากว่าเราเห็นคนที่ไม่มีข้าวกิน เราจะเอาข้าวไปให้เขากินไหม ถ้าเราเองก็เป็นคนที่แทบจะไม่มีข้าวกิน เราสามารถแบ่งข้าวให้เขากินสักครึ่งจาน ทำได้ไหม (ได้) แล้วเคยทำหรือเปล่า (เคย) อย่าตอบไปเฉยๆ นะ
การที่กุศลหรือบุญนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ เกิดได้ตอนไหน เกิดได้ในตอนเราสร้างบุญนั้นได้ลำบากแต่เรานั้นยังสร้างต่อไป ก็จะทำให้บุญนั้นๆ เป็นบุญแท้จริง เพราะว่าคนทั่วไปนั้นถ้ามีเงินถึงได้ทำบุญ มีเงินอยู่จะไปสร้างบุญก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากว่าไม่มีแล้วเรายังสร้าง คนนี้ธรรมดาไหม (ไม่) ถ้าหากว่าศิษย์มองด้วยตาของศิษย์เอง ตรงนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนบุญที่แท้จริง (คนไม่มีเงิน) ที่อาจารย์ยกตัวอย่างนี้เพราะว่าเห็นง่าย แต่บุญนั้นไม่ได้สร้างด้วยเงิน บางทีคนสร้างด้วยเงินนั้นไม่มีบุญด้วยซ้ำ บุญนั้นสร้างด้วยจิตใจที่จะลงไปปฏิบัติ  ไม่ใช่จิตใจอย่างเดียว ศิษย์อาจารย์อะไรๆ ก็ใจ มีใจแต่ไม่มีแรงใช่หรือเปล่า แรงไปไหนหมดไม่รู้ พอจะทำบุญแล้วหมดแรงเป็นอย่างนั้นไหม บุญนั้นสร้างด้วยหลายสิ่ง อย่างเช่นสร้างด้วยแรง คือสมมติว่าเราเห็นคนแก่คนหนึ่งไม่มีแรงยกของขึ้นรถของตัวเอง เราเดินไปช่วยยกอย่างนี้มีบุญไหม อย่าถามอาจารย์ว่ามีบุญเท่าไร บุญไม่เหมือนกับเงิน ที่อันนี้ห้าบาท อันนี้สิบบาท อันนี้ยี่สิบบาท อันนี้ห้าร้อย อันนี้หนึ่งพัน ไม่ใช่อย่างนี้ แต่มันอยู่ที่ว่าจิตใจของศิษย์ที่จะออกไปช่วยนั้นมีเท่าไร ไม่ใช่มีจิตใจอยู่สองเปอร์เซ็นต์แต่อีกแปดเปอร์เซ็นต์คือช่วยด้วยคิดว่าถ้าไม่ทำนี่ก็คงละอายใจ อย่างนี้บุญคนนี้มีอยู่เท่าไร เห็นคนๆ นี้จะยกของขึ้นรถแต่ว่าเราเข้าไปช่วยด้วย สองเปอร์เซ็นต์อยากช่วย แต่อีกแปดเปอร์เซ็นต์ช่วยด้วยจิตสำนึก ถ้าไม่ช่วยคงละอายใจเพราะแถวนั้นมีเราอยู่คนเดียว ถามว่าคนๆ นี้ได้บุญเท่าไร ถ้าหากจะวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็มีอยู่แค่สอง แต่หากว่าคนๆ นี้เข้าไปช่วย จิตใจเต็มสิบรีบวิ่งเข้าไปช่วยเพราะรู้สึกว่าต้องช่วย เราอยากช่วยด้วย จิตใจที่อยากจะช่วย ถามว่าคนๆ นี้มีบุญเท่าไร (สิบ) คนนี้ก็คือเป็นคนที่มีบุญทั้งสิบ ทำบุญทำอย่างไร ไม่มีเงินก็ช่วยแรง ไม่มีแรงก็ช่วยออกเงิน พูดเรื่องเงินก็  ไม่ดีอีก เดี๋ยวจะหาว่าอะไรๆ ก็เงิน เพาะว่าคนไม่ไว้ใจกันก็ด้วยเรื่องเงินใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการออกปากพูดถึงเรื่องเงินกับใครก็ต้องดูก่อน อาจารย์สอนศิษย์ทุกคนที่เป็นคนเก่า อย่าได้ไปเน้นเงินทองสิ่งภายนอก เขาเรียกว่าเงินทองของบาดใจ ทะเลาะกันง่ายๆ ก็เพราะเงินใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่สร้างด้วยเงินแล้วสร้างด้วยอะไร (ใจ) เห็นคนๆ นี้เขาอยากจะยกของขึ้นท้ายรถ เราก็มีใจ เอาแต่ใจไปช่วยของมันจะยกไหม (ไม่ยก) เหมือนตอนนี้อาจารย์อยากจะคุยกับศิษย์ แต่อาจารย์มีแต่ใจ มีใจดวงเดียวเท่านั้นเองที่มา แล้วศิษย์มองเห็นหรือไม่เห็น (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็ไปจบที่คำว่าใจนั้นบางทีก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) มีอย่างเดียวที่ใจมาเป็นหนึ่งนั้นคือความศรัทธา แต่ศรัทธาแล้วก็ต้องทำให้เห็นด้วยว่าศรัทธา ไม่ใช่ศรัทธาแต่ใจ อีกทางหนึ่งที่สามารถให้ทานได้ ที่สามารถสร้างกุศลได้คือการพูดธรรมะเป็นทาน พูดธรรมะอาจจะไม่จำเป็นว่าจะชวนคนมารับธรรมะก็ได้ เพราะหากศิษย์ไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร พูดให้เขาฟังว่าธรรมะๆๆ ศิษย์ก็อธิบายไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มแรกตัวเองต้องเข้ามาศึกษาก่อน สองวันพอไหม (ไม่พอ) ต้องมากกว่านี้อีก แต่จะมากเท่าไรก็ขอให้ขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ก็แล้วกัน ว่ามีใจเท่าไรก็ให้ไปลงแรงเท่านั้น คนเรานั้นชอบพูด วันหนึ่งพูดกี่ชั่วโมง นอนแปดชั่วโมง เวลาที่เหลือก็คือใช้ชีวิตอยู่ทั้งวัน เสร็จแล้ววันๆ หนึ่งพูดไปกี่ชั่วโมง วันๆ หนึ่งก็เจอคนมากมาย พูดธรรมะเป็นทานอย่างไร เห็นคนนี้เขาท้อแท้ชีวิตหมดอาลัยตายอยาก ศิษย์พูดให้เขามีกำลังใจอย่างนี้เป็นการทำบุญไหม (เป็น) คนนี้เขาท้อแท้ใจมาก สามีภรรยาเลิกกัน บ้านเละเทะ   ไปหมด เราพูดให้เขามีกำลังใจ พูดให้เขาปลงตกกับชีวิตแล้วพูดให้เขากลับไปคืนดีกันได้ คนนี้ทำบุญหรือไม่ทำบุญ (ทำบุญ) กับอีกอย่างหนึ่ง เห็นคนนี้เขาทะเลาะกันเราไม่ชอบคนนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราเข้าข้างคนนี้แล้วพูดยุคนนี้ไปด้วยความไม่ตั้งใจคนนี้ทำบุญหรือทำกรรม (ทำกรรม) ฉะนั้นกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทำบ่อยที่สุดก็คือวจีกรรม กรรมที่เกิดจากทางปาก เพราะวันๆ หนึ่งนั้นมีคนผ่านเข้ามาตั้งเยอะ วันๆ ก็พูดตั้งเยอะเสร็จแล้วก็พูดอะไรที่เป็นกรรมใส่ตัวก็เยอะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงมีโรคที่เกี่ยวกับปากมากมายเช่น ฟันผุ ลิ้นเป็นแผล เหงือกอักเสบ ทุกอย่างในปากนี้ ริมฝีปากก็เป็นเริม เป็นอะไรไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจงหัดพูดแต่ในสิ่งที่ดี ไม่ใช่บอกว่าฉันพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ฉันก็ยังฟันผุ ลิ้นแตก ปากก็ยังเป็นเริมอุตลุดไปหมด จะให้มาทำกรรมได้หรือเปล่า สมมติว่าสร้างกรรมไว้ท่วม อยู่ดีๆ พอเราสร้างบุญ กรรมตรงนี้หายไปหมดได้หรือไม่ (ไม่ได้) รู้เหมือนกันหรือว่าไม่ได้ อาจารย์ไม่นึกว่าศิษย์รู้  ที่ไปทำบุญแล้วบอกว่าฉันทำบุญแล้วทำไมยังไม่ได้ดี ก็เพราะว่าเรานั้นเพิ่งจะเริ่มทำบุญเองใช่หรือไม่ (ใช่) คนก็เป็นคนใจร้อนเวลาทำบุญก็ยังใจร้อนเสร็จแล้วได้บุญไหม (ไม่ได้) คิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว กรรมก็ทำมาตั้งเยอะ บุญก็ค่อยๆ ทำไป แต่บางครั้งวิ่งมาเร็วก็หายไปเร็ว ศิษย์อาจารย์มาเร็วเหมือนม้า ควบมาแรงมากพอเจอ   เส้นชัยเข้าก็หายไป เส้นชัยนี้ก็คือประชุมธรรมได้สองวัน อยากที่จะเป็นม้าแข่งอย่างเดียววิ่งให้เร็วกว่าคนอื่น แต่ไม่อยากเป็นม้างาน ไม่อยากทำงาน ทุกอย่างรู้หมด วิ่งเร็วทำได้หมดแต่ไม่ทำ อย่างนี้จะมีประโยชน์กับตัวเองไหม (ไม่มี) ถึงจะวิ่งเร็วกว่าคนอื่น แต่ก็อาจจะเป็นเหมือนนิทานเรื่องเต่ากับกระต่าย สุดท้ายอะไรชนะ (เต่า) ทำไมล่ะ (กระต่ายประมาทแต่เต่ามีความเพียร)
จะเห็นได้ว่าชีวิตจริงๆ ของเราก็คือนิทานเรื่องนี้ บางคนนั้นเขาดูแล้วยังด้อยกว่าเราอีกมากมาย แต่เป็นเพราะว่าเราไปเหมือนกระต่ายแทนที่จะเหมือนเต่า แม้จะดีกว่าแต่หากไม่ลงมือทำเราก็อาจจะเป็นผู้แพ้ไป อยากจะเป็นผู้แพ้หรือว่าผู้ชนะ ชนะอะไร (ใจตัวเอง) อาจารย์นึกว่าจะบอกว่าชนะคนอื่น ทุกวันก็บอกว่าชนะๆ  แต่ว่าชนะอะไร (คนอื่น) แต่พอให้ตอบก็รู้จักตอบว่าชนะใจตัวเอง แสดงว่ามนุษย์มีข้ออ้างเยอะใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จะถามว่าเมื่อสักครู่ที่อาจารย์มานั้น อาจารย์ได้พูดไว้บอกว่าเรื่องแรกของการเริ่มบำเพ็ญธรรม ศิษย์จะต้องทำอะไร (เปลี่ยนนิสัยตัวเอง)
“จงฝันใฝ่ฝึกตนเผื่อฤทัย เพื่อเหลือคนรุ่นใหม่บำเพ็ญจริง” 
มีอยู่คำหนึ่งมีความหมาย คือ คนรุ่นใหม่ คนสมัยนี้ชอบพูดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ต้องกล้าทำกล้าแสดงออก แต่อาจารย์อยากจะถามว่าโดยทั่วไปเรากล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้องไหม เหมือนกับที่ศิษย์รู้ข่าวคนฆ่าตัวตายตามๆ กัน ด้วยเสพยาเสพติด การที่เรากล้าทำ กล้าแสดงออก ไม่ใช่กล้าทำในสิ่งที่ผิด ต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นชายก็ควรที่จะกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง รู้ว่าสิ่งใดควรจึงทำ รู้ว่าสิ่งใดไม่ควรก็ไม่ทำ เป็น ผู้หญิงต้องรู้จักนิ่มนวลดั่งหญิง ต้องรู้จักพูดดี ต้องพูดจาอ่อนหวาน ใบหน้ายิ้มตลอดเวลาแล้วก็มีความจริงใจ หวังดีให้กับคนอื่น ไม่กล้าที่จะคิดร้าย คนที่ทำได้อย่างนี้ ใครเห็นใครรัก ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ทุกคนที่เห็นเรารักเราทุกคนหรือยัง (ยัง) เพราะว่าเราชอบทำหน้าบึ้ง เพราะว่าเราพูดจาไม่ดี อดทนไม่ได้ก็ด่าไป    ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้ใครเห็นใครรักได้ไหม (ไม่ได้) สุดยอดความปรารถนาของศิษย์ที่เป็นผู้หญิงหลายคน อยากให้สามีรักใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าเขาจะรักเราลงไหม ถามตัวเองนะ อาจารย์ให้เคล็ดลับง่ายๆ พูดดี พูดอ่อนหวาน ตลอดเวลาไม่ว่าจะโมโหก็ตาม (ทำไม่ได้) ทำไมล่ะ ผู้ชายชอบผู้หญิงโกรธไหม (ไม่ชอบ) ผู้หญิงชอบผู้ชายเจ้าชู้ไหม (ไม่ชอบ) ให้ทำตัวเป็นบุคคลที่รู้ใจซึ่งกันและกัน รู้ว่าสิ่งใดเขาไม่ชอบก็อย่าทำ อย่างเช่นพื้นฐานง่ายๆ เรื่องการพูดจาให้พูดดี ถึงรู้ว่าเขาไปทำผิดมา แต่ถ้าหากพูดดี เขาจะใจแข็งไหม (ไม่) ใจคนไม่ได้แข็งเหมือนหิน แต่พออยู่ด้วยกับกลับเหมือนหินสองก้อนกระทบกันทุกที ปัญหาบางปัญหาก็สร้างขึ้นมากองพะเนิน พอทำดีเข้าหน่อยจะให้ปัญหาหายไปได้ไหม เพราะฉะนั้นเราเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทิศทางที่ดี พูดดีพูดจาอ่อนหวาน คิดดีไม่คิดร้าย เมื่อไม่คิดร้าย ใบหน้าก็ยิ้มตลอดเวลา ไม่เฉพาะแค่สามีที่บ้าน แม้แต่พ่อแม่ เพื่อน ญาติ พี่น้อง คนสนิทชิดใกล้ ใครที่ไหนก็รักเรา ถูกต้องไหม (ถูก)
คนไหนขี้โมโหยกมือขึ้น ทุกคนขี้โมโหหมดนะ ถ้าหากใครมายั่วก็โมโหทั้งนั้น ถ้าเขาไม่มายั่วเราก็ไม่โมโหใช่หรือเปล่า (ใช่) ไปแก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา) แก้ที่เราดีกว่า แก้ที่เขาปวดหัวหรือเปล่า (ปวดหัว) อยากให้ลูกเรียนหมด ลูกเรียนไม่เรียน อยากให้ลูกดีก็ไม่ยอมดี อยากให้เขาทำอย่างไรก็ไม่ทำอย่างนั้น แก้ที่ลูกหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา) หากบ่นทุกวัน อยู่ดีๆ เงียบไปจะสงสัยไหม (สงสัย) อยากให้เขาสงสัยเราไหม ปกติถามเขาทุกวัน ถ้าอยู่ดีๆ เราเงียบไปคนที่เราไปบ่นเขาทุกวันต้องมาถามเราแน่นอนเลยใช่หรือไม่ (ใช่) หากเอาวิธีของอาจารย์ไปเป็นเล่ห์กลอุบาย เลิกบ่นสองวัน อีกสามร้อยหกสิบสามวันนั้นบ่นที่เหลือให้หมดเลยได้ไหม (ไม่ได้) ต้องเป็นคนที่ไม่ขี้บ่น ทำได้ไหม (ได้) ตั้งแต่อาจารย์มารับปากไปกี่ข้อแล้ว (หลายข้อ) อาจารย์ยินดีที่ศิษย์จะทำได้อย่างที่รับปาก อาจารย์ไม่ได้หวังว่าให้ศิษย์รับปากแน่ๆ แต่อาจารย์ก็ไม่หวังให้ศิษย์ผิดสัญญานะ รู้ไหม (รู้) เพราะฉะนั้นในบทนี้อาจารย์พูดถึงคนรุ่นใหม่ ทุกคนนั้นก็บอกว่าตัวเองคือคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะผมดำ ไม่ว่าจะผมขาว อายุมากอายุน้อยก็บอกว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ อาจารย์ไม่เถียงนะ ศิษย์เป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ แต่ว่าให้เราเป็นคนกล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เข้ามาศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะก็จงปฏิบัติ ไม่ใช่อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนที่มาถือบวช แต่อยากให้ศิษย์ถือบวชจิต จิตใจของตัวเองนั้นต้องถือบวช ถึงแม้ภายนอกเราจะเป็นปุถุชน ผมของเราก็ยังยาว เสื้อผ้าของเราก็หลากสี แต่อาจารย์อยากให้จิตใจของเรานั้นขาวบริสุทธิ์ ได้หรือไม่ (ได้) เพราะเข้าใจว่าพวกเราทุกคนนั้นมีภาระทางครอบครัว มีภาระผูกพันกับคนจำนวนมาก ก็อยากให้ถือโอกาสนี้ที่เรานั้นได้เป็นฆราวาส อยู่ในโลกมนุษย์นี้ รู้จักคนเยอะมากเท่าไร ก็ช่วยคนเท่านั้นให้เป็นคนดีมากขึ้น รู้จักคนห้าคนก็ช่วยคนห้าคนนั้นให้เป็นคนดีขึ้นมา รู้จักคนสิบคนก็ช่วยคนสิบคนนั้นให้เป็นคนดีขึ้นมา เพราะว่าคนที่ก่ออาชญากรรมหรือคนที่ก่อเหตุเรื่องชั่วร้ายต่างๆ นั้น บางทีก็เป็นคนที่แวดล้อมเรา ถ้าเราช่วยเขาช้าไป เขาอาจจะทำไม่ดีขึ้นมาก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่อย่ามัวมองแต่คนอื่นๆ ให้มองตัวเองด้วย สักวันหนึ่งถ้าหากเราโมโหมากเกินไปจนยากที่จะดับ เราก็อาจจะเป็นคนก่อเหตุ     เสียเอง หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งก็อาจจะเป็นรูปเราสักวันหนึ่งก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตนให้ดีๆ เสียสละเวลาตนมานั่งฟังสองวันแล้ว ให้เสียสละเวลามาศึกษา ปีหนึ่งมีชีวิตอยู่ที่บ้านมากกว่าค่อน ปีหนึ่งมีชีวิตมาสถานธรรมไม่กี่ชั่วโมง ทำไมเราถึงทำไม่ได้ล่ะ ก็เพราะว่าจิตใจของเรานั้นยังเน้นหนักด้านทางโลกมาก แต่อาจารย์หวังว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ฟังธรรมะ แต่สามารถใช้กับชีวิตที่เหลือได้ตลอดชีวิต ฟังไปมากใช้ให้มากเท่านั้น ทำได้ไหม (ทำได้) 
เห็นศิษย์ง่วงเหงาหาวนอนอย่างนี้ เมื่อคืนนอนหลับไหม (ไม่ค่อยหลับ) ทำไมไม่หลับล่ะ (ไม่สบายใจ) แล้วไม่หลับกลางคืนมาหลับกลางวันเหมือนกันหรือเปล่า ก็หลับเหมือนกัน ตั้งแต่อาจารย์มาก็เริ่มหลับ พอไปถามว่าเมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่า บอกว่าไม่หลับ กลางคืนไม่หลับกลางวันหลับเหมือนกันไหม มีคนในโลกนี้ชอบพูดบอกว่าถ้าหลับกลางวันจะไม่ค่อยสบาย เพราะหลับกลางคืนจะหลับยาว เพราะฉะนั้นกลับกลางคืนหรือกลางวันดีกว่า    (กลางคืน) แต่หลับกลางคืนกับหลับกลางวัน คำว่าหลับเหมือนกันไหม (เหมือน) ทำไมเมื่อคืนถึงไม่หลับล่ะ ก็บอกว่าไม่สบายใจ อาจารย์อยากจะบอกว่ามนุษย์ทุกคนในโลกนี้ก็มีความไม่สบายใจทุกเมื่อเชื่อวัน ปัญหานี้จบไป ปัญหาอื่นมาใหม่ มีวันไหนไม่มีปัญหา (ไม่มี) ตายไปแล้วมีปัญหาไหม (ไม่มี) ตายไปแล้วไม่มีปัญหา ลูกยังดื้ออยู่เหมือนเดิม ที่บ้านเงินยังไม่พอใช้เหมือนเดิม ทุกคนในบ้านเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม) มีปัญหาเหมือนเดิมใช่ไหม แต่เราตายแล้ว เป็นอย่างไรมีปัญหาไหม ไม่มี เป็นคนนั้นโดยทั่วไปก็คือปลงไม่ได้ เมื่อปลงไม่ได้ปัญหาจึงมาเกาะอยู่ที่จิตใจใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรจึงจะปลดปัญหาทิ้ง
เวลามาสถานธรรมก็ต้องรู้จักทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เดินสวนกันไปก็เดินสวนกันมา เขาก็น่าคุยแต่ไม่กล้า เรียกว่าไม่กล้าทำในสิ่งที่     ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เข้ามาสถานธรรมแล้วต้อง     ทำความรู้จักใกล้ชิดสนิทสนมกัน เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าทำอย่างไรถึงจะมีปัญหาน้อยลง ก็คือไม่มีทางที่ชีวิตมนุษย์นั้นจะไม่มีปัญหา ทุกๆ วันก็มีปัญหา มีไม่ซ้ำกันปัญหานี้จบไป ปัญหาใหม่งอกมา มีอยู่ทางเดียวทำอะไร คำที่ศิษย์ชอบตอบอาจารย์ที่สุด (ทำใจ) เก่งมาก ก็คือทำใจ บางเรื่องนั้นไม่สามารถที่จะให้มันจบไปอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ว่าทุกเรื่องก็ต้องมีวันจบ ทุกเรื่องก็มีทางออก ใช่หรือเปล่า (ใช่) มีอยู่ทางออกหนึ่งที่ศิษย์ไม่ค่อยชอบ คือการทำใจ ทีนี้อาจารย์จะสอนให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำใจ ปล่อยวาง ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือ เห็นคำๆ นี้แล้วก็บอกว่าเราทำไม่ได้ หรือบอกว่าไว้วันหลังทำ  แต่หากว่าอยากที่จะทำใจต้องลองเลย ตอนที่มีกำลังที่จะต่อต้านความทุกข์มากที่สุดคือตอนที่ฟังธรรมะจบ เราฟังธรรมะจบ เรารู้สึกว่าทำใจตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้แม้ว่านั่งฟังธรรมะที่อาจารย์พูดอยู่ แต่ในจิตใจของศิษย์นั้นกลับลอยไกลคิดถึงปัญหาต่างๆ แต่ว่าอย่าให้คิดนานเกินไปนะ คิดปุ๊บก็วางปั๊บ ไม่ต้องไปหาทางออกให้กับปัญหานั้นๆ เวลาต่างหากที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้เอง จิตใจเราก็เหมือนปม เวลานั้นทำให้ปมคลายออกไป บางทีคนที่จะแก้ปัญหานั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นคนอื่นที่เป็นคนผูกไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นบางทีก็ควรจะปล่อยวางทำใจให้เวลานั้นคลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องแก้ไข ต้องคลายปมของตัวเองอยู่เสมอก็คือการคลายปมนิสัยของตัวเอง เพราะว่าทุกคนมีนิสัย นิสัยก็กลายเป็นความเคยชิน พอเคยชินแล้วก็ไม่ต้องพูดถึง เหมือนคนติดเหล้าติดบุหรี่ เหมือนคนติดการพนัน แก้ง่ายไหม (ไม่ง่าย) จะว่าไม่ง่ายก็ไม่ง่าย จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก เหมือนกินเหล้าติดเหล้า ถ้าวางเหล้าลง เหล้ามาถึงปากไหม (ไม่ถึง) เวลาที่ยกดื่ม ใครยกให้      (ตัวเอง) ส่วนใหญ่เราเป็นผู้ยกเข้าปากเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) แล้วจิตใจอยากที่จะบำเพ็ญจิตใจไหม (อยาก)
ใครยังไม่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น อยากได้ไหม (อยากได้) เดี๋ยวถ้าอาจารย์ตั้งคำถามให้ตอบต้องตอบนะ อย่างนี้อาจารย์ตั้งปัญหาง่ายๆ ทุกคนตอบได้กลับไปบ้านเริ่มไปทำสิ่งใดเป็นสิ่งแรก หลังจากที่กลับไปแล้ว เราจะกลับไปแก้ไขสิ่งใดก่อน (แก้ไขความเป็นอยู่) แก้ไขความเป็นอยู่หมายความว่าอย่างไร หาเงินมากๆ (ไม่ใช่ ทำตัวให้ดีขึ้น) แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้ล่ะ (ไม่ดีก็แก้ไขต่อไป) ดีมาก ศิษย์หลายคนตอนเข้ามาไม่ใช่ว่าเป็นคนดีทุกคน แต่หลังจากที่เข้ามาแล้วตั้งแต่วันนี้ไปขอให้ดีตลอดไป ส่วนมากตอนที่เข้ามาแล้วดีๆๆๆๆ แต่พออยู่ไปอยู่มาแล้วแย่ๆๆๆๆ อย่างนี้ดีไม่ดี (ไม่ดี) (เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง และโน้มน้าวจิตใจคนรอบข้าง) ทำได้ไหม (ทำได้) อาจารย์บอกให้ว่าอย่าเปลี่ยนใจไป เปลี่ยนใจมา ถ้านึกจะทำอะไร ตรงไปเลย (เลิกทำสิ่งไม่ดี) มีหลายเรื่องไหม เลิกเรื่องไหนก่อน (เลิกกินเหล้า) ทำได้ไหม (ได้) แน่ใจไหม (แน่ใจ) บางทีการเลิกในสิ่งที่เราพูดถึงก็ง่ายแค่นี้เอง แต่เรารู้จักที่จะไปทำ ไม่ยาก ลองดู (เลิกขี้งอน) ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ของคนที่อายุแค่สิบกว่ายี่สิบกว่า บางทีคนที่เขาทำอะไรให้เรา บางทีเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งเรา แต่ว่าเรางอนใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีโอกาสมาถึงหน้า แต่ว่าเรางอนซะก่อน โอกาสก็หลุดไป เพราะฉะนั้นคนที่อายุเท่านี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เสมอ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักว่า ถ้าเราจะบำเพ็ญเป็นพุทธะ พุทธะไม่ขี้งอน เข้าใจไหม บางเรื่องควรพูดก็พูดไป ทนไม่ไหวก็พูด แต่พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาปกติ ทำได้ไหม (ได้) คนอื่นว่าอย่างไร (ปล่อยวางในเรื่องที่ทำให้ใจเราไขว้เขว, เป็นลูกที่ดี) ตอนนี้เป็นลูกที่ดีมากไหม (ยังดีไม่พอ) เราต้องรู้ว่าความพยายามที่เราพูดถึงนั้น จะถึงตรงไหน ความพยายามที่เราพูดถึงไม่ใช่ขีดไว้สูง พอถึงเวลาทำไม้ได้แล้วล้มเลิกหมดนะ ต้องพยายามขีดให้สูงกว่าตัวเองนิดหน่อย แล้วปีนขึ้นไปทีละขั้น แต่ตอนนี้อย่าเรียกร้องตัวเองจนสูงมาก ถ้าทำไม่ได้ แล้วเราจะรู้สึกท้อ (ขี้โมโห) ตัวแค่นี้ทำไมขี้โมโห เมื่อเรายังเด็ก เราต้องไม่ขี้โมโห เพราะวันข้างหน้ายังอีกไกล ยิ่งเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราโมโห ยิ่งควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้ขี้โมโหมาก วันหน้ายิ่งหนักกว่านี้ ถ้าวันนี้เลิกได้ วันนี้น้อยได้ วันหลังจะได้ดีขึ้นๆ ดีไหม (ดี) 
มีอยู่ทางหนึ่งในการที่จะรู้สึกศรัทธาธรรมะและเชื่อในธรรมะ คือการทำตัวของเราเป็นแบบอย่าง ธรรมไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีเสียง แต่ธรรมะสามารถมองเห็นได้ เมื่อเราปฏิบัติ นั่นเป็นวิธีการพูดธรรมะที่แยบยลที่สุด ดีกว่าคนที่พูดๆๆ แล้วทำไม่ได้ ธรรมะที่สูงค่าวิเศษล้ำก็กลับกลายเป็นแค่หญ้าบนดิน    เท่านั้นเอง อยู่ที่ว่าเรานั้นสามารถใช้ตัวเรามาแสดงธรรมได้มากเท่าไร ถ้าตัวเราใช้การปฏิบัติของเรา พูดธรรมะได้มาก ยิ่งลึกซึ้งเท่าไร คนก็ยิ่งรู้สึกศรัทธามากขึ้นเท่านั้น ศรัทธานี้บางทีก็ไม่ใช่ศรัทธาในธรรมะ แต่ศรัทธาในตัวบุคคล ใครที่เข้ามาในสถานธรรม เข้ามาด้วยความรู้สึกศรัทธาในตัวบุคคล ยึดติดในบุคคล ถ้าหากว่ารู้ตัวแล้ว ให้รีบแปรเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นความศรัทธาในธรรมะ ไม่เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งคนที่เขาดีกับเราเพราะว่าเขาอยากส่งเสริมเรา พอถึงวันหนึ่งเขาไม่ใช่อย่างนั้น วันหนึ่งเขาต้องการที่จะส่งเสริมคนใหม่ เขาไม่สนใจเราเท่าที่ควร แล้วเรารู้สึกน้อยใจ อย่างนี้เราจะบำเพ็ญธรรมะอย่างสบายได้อย่างไร อย่างนี้เราจะมีจิตใจที่ไหนไปช่วยคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าใครเข้ามาด้วยเหตุนี้ก็รีบๆ เปลี่ยน ไม่ใช่แค่บุคคลในโลกมนุษย์นี้ แม้แต่ติดในพุทธะ   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่าติดนอกเหนือจากการปฏิบัติตามประวัติ ตามทำนองคลองธรรม ใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติธรรมแล้ว นอกเหนือจากนี้จะต้องรู้จักที่จะเปลี่ยนความยึดติดนั้นๆ เหมือนกัน
วันนี้อาจารย์มาให้ศิษย์เห็นเป็นรูปลักษณ์ อาศัยคนมาพูดธรรมะให้ศิษย์ฟัง ถ้าวันหนึ่งอาจารย์ไม่มาแล้ว แต่ศิษย์ของอาจารย์ยังยึดติดในตัวของอาจารย์อยู่ ศิษย์ของอาจารย์จะบำเพ็ญธรรมะอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์มา ก็เพราะให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะฟังในสิ่งที่อาจารย์พูดแล้วทำให้ได้ วันนี้ศิษย์ท้อใจ อาจารย์ยังอยู่ให้กำลังใจ วันหนึ่งอาจารย์ไม่มาแล้ว ไม่มีคนให้กำลังใจ ศิษย์จะบำเพ็ญธรรมะต่อไปอย่างไรล่ะ จงรักษาทุกเวลาทุกนาทีให้มีประโยชน์ บำเพ็ญธรรมะไปตามขั้นตอน อย่ารีบร้อน อย่ารีบเร่ง บำเพ็ญจิตใจของเราให้ดี ภายนอกให้เหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรม แต่ถ้าภายในของเรานั้นไม่สามารถจะขัดเกลาให้ดีได้ แม้ภายนอกจะสมบูรณ์แบบ แต่ภายในนั้นเมื่อสิ้นกายแล้ว เหลือแต่ใจ ใจไม่สามารถกลับคืนนิพพานได้ ถึงวันนั้นบำเพ็ญมา     ชั่วชีวิตก็ไร้ค่า เข้าใจไหม (เข้าใจ) เพียงแต่อาจารย์นั้นมีความหวังในตัวศิษย์ทุกๆ คน ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา หวังแต่เพียงให้ศิษย์อาจารย์นั้นบำเพ็ญให้ดี
วันนี้ชีวิตเราเท่านี้ บางคนมีวันพรุ่งนี้ บางคนไม่มี แต่คนส่วนใหญ่ก็คือมีวันพรุ่งนี้ มีวันต่อไป มีปีต่อไป อาจารย์จึงบอกว่าศิษย์นั้นมีโอกาสแก้ตัวได้เสมอๆ พวกเราผู้บำเพ็ญธรรมะ ชะตาชีวิตนั้นไม่ได้ฝากไว้กับพญายม แต่ชะตาชีวิตนั้น ครึ่งหนึ่งฟ้าช่วยศิษย์แบก อีกครึ่งหนึ่งเราก็เป็นผู้กำหนดตัวของเราเอง แต่ถ้าศิษย์ไม่ได้สำนึกในพระคุณฟ้าที่ให้ธรรมะลงมาช่วยคน ถ้าศิษย์ไม่สำนึกเลย ศิษย์ก็ไม่แก้ไขตัวเองเลย ฟ้าก็คุ้มครองศิษย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นบางคน     รับธรรมะแล้วแม้มีใจ แต่ข้างในเป็นใจปลอม ก็ไม่สามารถที่จะอยู่ยืนยงได้ หลายคนเอาเปลือกนอกคือการแสดงออกที่ดี แต่ข้างในไม่ดีอย่างที่ข้างนอกแสดงออก ถึงวันหนึ่งผู้ที่เป็นผู้ตัดสินก็คือเรา เพราะทุกคนเกิดมาต้องตาย   เวียนว่ายตายเกิดย่อมอยู่ที่ตัวเราเอง เพราะฉะนั้นขอให้บำเพ็ญให้ดีๆ อย่าได้เอาหน้ากากนั้นมาปิดหลอก เข้าใจไหม (เข้าใจ)
รู้ไหมว่าคนที่สำเร็จเป็นพุทธะทุกคนต้องมีความกตัญญู ถ้าขาดความกตัญญูแล้วย่อมจะสำเร็จเป็นพุทธะไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ศิษย์ฟังหัวข้อกตัญญูไป เป็นเรื่องที่สำคัญมากในคนบำเพ็ญธรรม บุญคุณของพ่อแม่ต้อง   ทดแทนไปตลอดชีวิต แม้พ่อแม่จะไม่อยู่แล้วก็ยังต้องทดแทนต่อไป การกตัญญูมีหลายระดับ หวังว่าศิษย์จะสะกิดใจ อาจารย์ไม่ต้องพูดซ้ำ (นำธรระมะไปปฏิบัติ, แก้ไขจิตใจ) แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น (คนไทยพอปีใหม่ก็จะแก้ไขจากสิ่ง ไม่ดีให้ดีขึ้น) ไม่ใช่แค่คนไทยหรอกนะ คนทั้งโลกก็เป็นเหมือนกัน นี้เป็นนิสัยของคนที่อยู่ในโลก ศิษย์รู้แต่ศิษย์ยังทำไม่ได้ วันนี้หมดวันหรือยัง (ยัง) ฉะนั้นวันนี้   มีโอกาสได้เริ่มต้นไหม (มี) แล้วไม่รักษาโอกาสนั้น แต่วันนี้ยังไม่จบวันเพราะพระอาทิตย์ยังไม่ตก คนเราถ้าหากว่าอยากจะแก้ไขตัวเองต้องรีบไปทำ ศิษย์ให้โอกาสตัวเองอย่างนี้ ผัดวันประกันพรุ่งเป็นดินพอกหางหมู ศิษย์เป็นคนใช่ไหม เพราะฉะนั้นอย่าเอาอะไรมาพอก อย่าเอาสิ่งที่ตัวเองคิดแก้ไขแล้วเอามาพอก คิดจะทำก็ทำ ทำในสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปทำ เข้าใจไหม (พยายามอยู่) เวลาเราเห็นคนที่ไม่มีกำลังใจ จงให้กำลังใจเขา นี่จึงจะเป็นนิสัยของคนที่บำเพ็ญธรรมะอย่างแท้จริง ไม่ใช่เขาทำไม่ได้แล้วไม่ให้โอกาสเขา อาจารย์หวังว่าศิษย์ทำได้ อาจารย์ให้โอกาสศิษย์ทุกๆ คนที่คิดจะทำเสมอ ขอให้ทุกๆ คนนั้นตั้งใจที่จะทำ มีคนประเภทหนึ่งที่ไม่ยกมือนี่แหละ ถ้าให้พูดไปเฉยๆ โดยไม่ได้ระบุชื่อ เรียกว่ายุคนโดยไม่ต้องเซ็นชื่อล่ะก็ร่วมด้วย แต่หากถ้าต้องเซ็นชื่อเมื่อไรไม่ยุ่งด้วย  อย่างนี้เป็นนิสัยของคนที่ชอบตีลับหลัง ดีหรือไม่ (ไม่ดี) นิสัยของคนประเภทนี้แย่ยิ่งกว่าคนที่กล้ายอมรับว่า จะให้เขาหรือไม่ให้เขาอีก เข้าใจไหม (เข้าใจ) เพราะฉะนั้นนิสัยตีคนลับหลังต้องเลิกนะ (เลิก)
“โลกแสนเข็ญบำเพ็ญเริ่มนั้นสำคัญ เวลาแห่งทุกข์ยาวนานค่อยบรรเทา”
โลกนี้แสนเข็ญไหม (แสนเข็ญ) ลำบากไหม (ลำบาก) ลำเค็ญไหม (ลำเค็ญ) ทุกคนรู้เหมือนกันหรือเปล่าว่าแสนเข็ญ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม ตอนที่เราจะเริ่มต้นเป็นช่วงที่สำคัญมาก อาจารย์ถึงบอกนักเรียนชายคนนี้ว่า เมื่อคิดจะเริ่มก็ให้เริ่มไป พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินก็คือยังไม่จบวัน อย่าไป     เรียกร้องจนสูงว่าเราจะเริ่มตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น ถ้าหากว่าตอน        พระอาทิตย์เริ่มขึ้น เรายังเริ่มไม่ได้ เวลาเที่ยงก็ให้เที่ยงนี้เริ่ม เรียกว่ามีสติตอนไหนให้ตอนเริ่มนั้น อย่าผลัดไปผลัดมากลายเป็นดินพอกหางหมู เมื่อคิดจะเริ่มใหม่ให้เริ่มไป ถ้าหากยังไม่จบวันก็ยังไม่หมดความตั้งใจ แม้จบวันแล้วถ้ายัง   แก้ไขไม่ได้เริ่มใหม่ได้ไหม (ได้) แต่อย่าให้โอกาสตัวเองหรือให้อภัยในความผิดของตัวเองบ่อยมากจนกระทั่งเรานั้นเริ่มไม่ได้เลย หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นถึงกายจะเมื่อยแต่ใจอย่าเมื่อย ฟังมาสองวันแล้ว อาจารย์พูดมาเป็นชั่วโมงๆ แต่ว่าในด้านของการปฏิบัตินี้สิ่งที่อาจารย์ให้ศิษย์ฟังนี้เป็นเพียงเล็กน้อยสำหรับการที่ศิษย์นั้นจะใช้ปฏิบัติบำเพ็ญจริงๆ เพราะฉะนั้นถึงจะเหนื่อย ถึงจะเมื่อย แต่ขอให้จิตใจนั้นตั้งมั่น ตั้งใจสำรวมให้จิตใจนั้นประสานกับอาจารย์ได้ จึงจะรับรู้ถึงอาจารย์ที่แท้จริง ไม่ใช่อาจารย์ที่ศิษย์มองเห็นเพียงรูปลักษณ์นี้
ชีวิตคนเกิดมานั้นไม่ยืนนาน เวลาที่เราทำเรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้สิบส่วน ผิดหวังไปแปดหรือเก้าส่วน ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะรู้อยู่แน่ๆ ว่าเรื่องนั้นๆ ต้องผิดหวัง ศิษย์จะหยุดทำได้ไหม ถ้าหากว่าศิษย์หยุดทำไป หยุดที่จะลงแรงไป ก็เท่ากับว่าศิษย์นั้นไม่สามารถที่จะทำสิ่งใดสำเร็จได้เลย เพราะฉะนั้นบางทีถึงรู้ว่าผิดหวังหรือว่าอาจจะไม่สำเร็จแต่ก็ยังต้องลงแรง ยังต้องทุ่มเทต่อไป อาจารย์หวังว่าศิษย์นั้นคงจะมีใจเช่นนี้ ในเรื่องของการบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน เปอร์เซ็นต์ที่ศิษย์ของอาจารย์คิดว่าตัวเองนั้นสมหวังในด้านการบรรลุธรรมนั้นก็มีน้อย แต่หวังว่าเรานั้นสามารถที่จะทุ่มเทต่อไป เพราะว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้ก็อาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันข้างหน้าได้ แต่หากว่าเรานั้นไม่ลงแรงเลยก็      หมายความว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็คือศูนย์เปอร์เซ็นต์ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้เกิดมามีร่างกายครบพร้อมทุกคน นี่เป็นโอกาสอันดี หากว่าศิษย์ไม่มีร่างกายอันนี้ศิษย์จะทำอะไร ช่วยคนคือการสร้างบุญสร้างกุศล ถ้าหากศิษย์ไม่มีร่างกายอันนี้ช่วยคนอื่นได้ไหม ช่วยตัวเองได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นชีวิตจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด การฆ่าตัวตายจึงเป็นบาปที่สุด เกิดมาเป็นคนนั้น    ถือว่าเป็นคนประเสริฐ มีอีกมากมายที่เกิดมาแล้วไม่ใช่คน เกิดมาแล้วมีลูกเป็นสัตว์ เป็นหมู หมา กา ไก่ เป็นนกเป็นหนอนที่ศิษย์จะเห็น เป็นมดที่ให้คนเขาบี้ให้ตาย เป็นยุงที่ให้คนเขาตบ ศิษย์คิดว่าสัตว์เหล่านี้มีวิญญาณไหม (มี) ทำไมวันนี้ถึงพูดเรื่องการกินเจ ก็เพราะว่าการที่เราไปกินเขาที่มีวิญญาณเหมือนกับเรานั้นมันบาปใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่เป็นยุง เป็นมดก็คือคนที่วิญญาณนั้นแตก วิญญาณของคนนั้นเหมือนกับกำปั้นหนึ่ง อาจารย์เปรียบอย่าคิดเป็นรูป วิญญาณของยุงของมดก็คือวิญญาณที่แตกออกไป ต้องรอเวลาที่รวมๆ กันจึงจะสามารถเกิดมาเป็นคนใหม่ได้ ฉะนั้นยุงนี้ตัวเล็กวิญญาณเล็ก ศิษย์ลองคิดไปถึงตัวใหญ่ๆ เช่น หมู หมา กา ไก่ วัว ควายที่ต้องเกิดมาเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าทำผิดบาปไว้มาก สะสมกรรมไว้มากต้องมาใช้กรรม แต่เขาไม่ใช่ใช้ด้วยการให้เรามากิน ฉะนั้นการที่เราไปกินเขาจึงบาปใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ก็ควรที่จะเลิก ไม่เช่นนั้นแล้วก็เหมือนกับถังใบหนึ่งที่รั่วใส่กุศลไปเท่าไรก็รั่วออกหมด ถึงสุดท้ายแล้วจะมีเหลือไว้สักกำไหม (ไม่เหลือ) เหมือนกับอาจารย์ที่พูดถึงคนขี้บ่นก็เหมือนกัน ทำในสิ่งที่เป็นบุญ ทำไปบ่นไป ถังนั้นก็รั่วเหมือนกัน สมมติว่ากำลังช่วยเขาทำงานธรรมะ ทำครัวอยู่ทำไปก็บ่นไปอย่างนี้จะเหลืออะไรไหม (ไม่เหลือ) ฉะนั้นปากของคนเรานี้เป็นเรื่องร้ายกาจมาก จงใช้แต่ในสิ่งที่ดีๆ ถ้าไม่ดีอย่าไปใช้ ทำได้ไหม (ทำได้)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้และส่งเสริมแม่ครัว)
ดูซิว่าคนที่เดินมาข้างหลังๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนอายุมากทั้งนั้นเลย  ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นแล้วน่าสงสารหรือไม่ สักวันหนึ่งเราก็ต้องอายุมากแบบนี้ สักวันหนึ่งเราก็ต้องเดินไม่ไหว อยู่บ้านก็ลำบาก บำเพ็ญธรรมง่ายไหม (ยาก) เพราะฉะนั้นคนชอบพูดว่าแก่แล้วค่อยบวช แก่แล้วค่อยบำเพ็ญ จริงๆ การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของคนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ขอให้มีใจบำเพ็ญ ถ้าหากลำบาก ก็บำเพ็ญไปตามลำบาก แต่หากว่าสามารถที่จะเริ่มบำเพ็ญตั้งแต่     ร่างกายยังไหว สุขภาพยังไหว ย่อมเป็นเรื่องที่ดี อย่ารอให้แก่แล้วค่อยบำเพ็ญ เพราะถึงวันนั้นจะทำอะไรก็ลำบากไปหมด จะหาข้าวให้ตัวเองกินก็ยังยากเลย อย่าพูดถึงว่าจะช่วยผู้อื่นเลย การที่จะช่วยผู้อื่นนั้น ต้องรู้จักช่วยตัวเองก่อนถึงจะทำได้ อยากจะให้คนอื่นดี ต้องบำเพ็ญจิตของตัวเองให้ดีก่อน จึงบำเพ็ญได้
ถึงแม้เราจะเป็นคนเก่าแล้ว แต่ขอให้ทุกๆ วัน ใจของเรานั้น เป็นจิตใจที่ใหม่ๆ สะอาดๆ ยิ่งนับวันจิตใจยิ่งดี กิเลสยิ่งน้อย เวลาว่างไม่มี แต่ขอให้มีใจตอนนี้ออกมาบำเพ็ญยาก เศรษฐกิจไม่ดี แต่อย่างน้อยต้องมีจิตใจคงมั่น เสมอต้นเสมอปลาย คนใหม่ก็กลายเป็นคนเก่า แต่คนเก่ากลายเป็นคนใหม่นั้นไม่น่าดู ฉะนั้นขอให้ทุกวันทุกเวลาจงเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าออกมาไม่ได้ ขอให้เราเก็บใจรักษาใจไว้ให้ดี ทำให้ดีที่สุด แม้คนอื่นไม่เข้าใจ อาจารย์ก็พร้อมที่จะเข้าใจศิษย์เสมอ ขอให้ศิษย์นั้นทำแต่สิ่งที่ดี ยามนั้นอาจารย์เข้าใจศิษย์ได้ ถ้าศิษย์ทำไม่ดี ต่อให้อาจารย์อยากเข้าข้างก็ทำไม่ได้ บำเพ็ญธรรมก็ยังต้องศึกษาธรรมะให้มากๆ เข้าใจให้มากๆ ต่างคนต่างอ่อนน้อมถ่อมตนให้แก่กัน งานธรรมะถึงแม้จะเคลื่อนตัวไปช้า ก็ยังจะมีการเคลื่อนตัว ถ้าหากว่าศิษย์อยากจะให้ทุกวัน     รุ่งเรื่อง ก็ทำจิตใจของเราให้รุ่งเรื่องด้วยการศรัทธา ด้วยการมุ่งหน้าและด้วยการบำเพ็ญดี เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ทำไมอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์ช่วยเหลือคนรุ่นหลัง เพราะว่ายังมีคน  รุ่นหลังเราอีกใช่หรือไม่ ด้านทางโลก เรานั้นรับบทเป็นพ่อ แม่ ลูก แต่ในขณะเดียวกันก็รับบทเป็นสามีภรรยา เป็นพี่เป็นน้อง ทุกคนมีบทบาทเหล่านี้ในตัวเอง เป็นพ่อค้าและลูกจ้าง เป็นเกษตรกรและผู้บริโภคในขณะเดียวกัน ชีวิตนั้นต้องอยู่ร่วมคุณธรรมถึงจะดี ถึงจะเรียกว่าประเสริฐ เพราะฉะนั้นอาจารย์ถึงเรียกว่าช่วยเหลือคนรุ่นหลัง ช่วยเหลือคนรุ่นหลังก็ด้วยคุณธรรมของเรา บางทีเราช่วยเหลือคนอื่น คนอื่นอาจจะไม่ต้องการ เราต้องสำรวจตนเองว่า เรานั้นมีคุณธรรมมากพอไหม
“ความหวังยังลุกอยู่” ทุกคนเกิดมามีความหวังทั้งนั้น บางคนก็มีความหวังที่จะบำเพ็ญธรรมให้บรรลุเป็นพุทธะ บางคนก็มีความหวังว่าทำงานหาเงินและร่ำรวยในวันข้างหน้า บางคนมีความหวังว่าจะต้องเป็นคนดีสักวันหนึ่ง อาจารย์ขอให้เมื่อความหวังของเรายังมีในขณะนั้น ไม่ว่าไฟกองนี้จะเป็นไฟกองเล็กหรือกองใหญ่ที่มันลุกอยู่ ขอให้ก้าวไปเรื่อยๆ ก้าวลงไปเพื่อย้ำจิตใจของเราเอง อย่ามัวแต่หวังอะไรเลย ขอให้หวังแล้วเท้าก็ก้าวไปเรื่อยๆ ย้ำในสิ่งที่ตัวเองนั้นตั้งใจ ย้ำลงไปในใจ
“ในไม่ช้าไกลกลับใกล้สักวัน” ในไม่ช้านั้นทุกสิ่งทุกอย่างจากที่เคยไกลก็ใกล้ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้หยุดเดิน
“กลางทะเลไร้ฝั่ง ทุกข์นี้คนยึดมั่น แต่มีเข้าสักวันเจอฝั่งนั้นที่ใจของตน” ตอนที่เราอยู่กลางทะเลนั้น ในกลางทะเลไม่มีฝั่ง แต่มีเข้าสักวันพยายามต่อไป จะเจอฝั่งนั้นในใจของตน ถ้าคิดในทางโลกก็คิดได้ คิดในทางธรรมก็คิดออก ขอให้ศิษย์นั้นใช้จิตใจของเรานั้นคิด
“ที่เคยมียังไม่เคยคิดพอใจ” วันนี้เรามีทรัพย์สิน มีคนที่เรารัก มีคนที่รักเรา ตอนนี้เรามีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราไม่พอใจสิ่งที่เรามี ที่สุดแล้ววันหนึ่งขาดไป เราค่อยมารู้ว่าสิ่งนั้นที่เราทำหายนั้น มันมีคุณค่า จากที่ไม่เคยแยแส วันหนึ่งขาดไปค่อยมารู้คุณค่าก็สูญเสียแล้ว สำนึกจริงๆ ก็ต้องไม่ทำพลาดซ้ำอีก
“ทุกข์มักจะมาพร้อมสุข” ความทุกข์ส่วนใหญ่ก็มาพร้อมกับ    ความสุข เราจะเลือกเอาสุขอย่างเดียวไม่เอาทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นใครบอกว่าชอบไปกราบพระขอพรให้ตนเองนั้นมีความสุข ก็ให้รู้ว่าความสุขจริงๆ นั้นมีอยู่แล้ว ถ้าเรามีความทุกข์เราก็มีความสุข
“ชนะดังฝันใฝ่” ชนะเพราะเราฝึกตนบำเพ็ญธรรม ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อไปช่วยเหลือคนรุ่นหลัง
เวลาเราทำอะไร เราก็ต้องไปพร้อมๆ กัน หากว่าทุกเรื่องเดินไปพร้อมๆ กันจะจบได้ไหม (ได้) แต่จะจบอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราต้องการให้มันสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่บางทีคนข้างหน้าก็ฝืนคนข้างหลังไม่ได้ เขาเรียกว่าเมื่อน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือเข้าไปขวาง ถ้าหากว่าอยากจะให้ทุกอย่างดีก็ต้องช่วยกันสามัคคีกัน แต่ถ้าเกิดอยากให้เรื่องมันจบอย่างนั้นๆ เราก็ต้องทำตามใจตนเอง ไม่เป็นไร  บางทีเราบังคับสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เรื่องราวมันจะเกิดขึ้นอย่างไร บางทีก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นถึงจะได้รู้
อาจารย์พูดไปพูดมาไม่พ้นคำว่า “ทำใจ” เข้าใจไหม (เข้าใจ) จะได้  ไม่ต้องดิ้นรนทุรนทุรายกับชีวิตที่เป็นอยู่มากไป เพราะว่าทุกคนนั้นมีสมหวัง มีผิดหวัง ทุกคนมีได้รับแล้วก็มีการให้ มีสูญเสียแล้วก็มีได้มา เกิดขึ้นสลับกันไปสลับกันมา อยู่ที่ว่าเราอยู่ในช่วงไหนของชีวิตเท่านั้นเอง เข้าใจไหม
การที่จะฝืนให้คนทำในสิ่งที่ถูกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นบางทีก็ต้องยอมๆ ไปกับเขา ในประเภทแบบศิษย์นี่อันตรายที่สุด บางทีเราฝืนให้เขาทำถูกแต่เวลาที่เราผิดเราไม่รู้ ระวังไว้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “พุทธธรรมสัมผัสได้ด้วยจิต”)
คำว่า “พุทธธรรม” หมายความว่าอย่างไร ก็คือธรรมแห่งพุทธะ เราทุกคนนั้นถึงแม้ว่าเป็นปุถุชน แต่ภายในกายปุถุชนนี้ก็คือพุทธะ พุทธธรรมก็คือธรรมแห่งเรา ทุกคนนั้นส่วนใหญ่มองสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ก็อยากที่จะมี อย่างเช่นอารมณ์โกรธ  เกลียด อิจฉา แม้กระทั่งเรื่องไม่มีรูปลักษณ์เราก็ยังอยากที่จะให้มันมีรูปใช่หรือไม่ เราก็เฝ้าวาดตามจินตนาการของเราออกมา เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าพุทธธรรมสัมผัสได้ด้วยการใช้จิตใจของเราเท่านั้นเอง พุทธธรรมเป็นสิ่งไม่มีรูปลักษณ์ ไม่สามารถสัมผัสได้ แต่เมื่ออยากสัมผัสได้จงใช้จิตใจของเราสัมผัส คนยิ่งบำเพ็ญธรรมนานจะยิ่งรู้ จะยิ่งเข้าใจ จะมีความรู้สึกเหมือนสัมผัสธรรมะได้ สัมผัสพุทธธรรมได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคนที่บำเพ็ญไปนานแล้วจึงมีความมั่นคงยิ่งกว่าคนที่บำเพ็ญตอนเริ่มๆ หรือว่าคนที่ทุ่มเทแล้วทำไมถึงมีความมั่นคงยิ่งกว่าคนที่ไม่ทุ่มเท ก็เพราะว่าบำเพ็ญนานนั้นสามารถสัมผัสธรรมะ สามารถสัมผัสพุทธธรรมได้ อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้น แม้วันนี้ยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงได้ ยังมองธรรมะเป็นรูป หรือคิดถึงธรรมะในลักษณะของสิ่งของ วันนี้ไม่เป็นไร แต่ว่าเมื่อบำเพ็ญนานๆ ขอให้ใช้จิตใจของเรานั้นไปสัมผัสพุทธธรรมเหล่านี้ ดีหรือไม่ (ดี) 
ถ้าหากว่าศิษย์ใช้กุศล เพราะคิดว่ากุศลมีรูปลักษณ์ ใช้ธรรมะเพราะคิดว่าธรรมะมีรูปลักษณ์ ศิษย์ก็กำลังก้าวทางผิด สิ่งที่ศิษย์เห็นอยู่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงบ้านหลังหนึ่ง ข้างหน้าก็เป็นเพียงตัวแทนสัญลักษณ์ของพุทธะเท่านั้นเอง คนบำเพ็ญที่อยู่ในที่นี้จึงเป็นคนสำคัญ ธรรมะไม่ได้อยู่ในสถานธรรม ธรรมะอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง อยู่บ้านกินข้าว กำลังนอน กำลังเที่ยว กำลังเล่น ทุกขณะจิตมีธรรมะหมด ฉะนั้นธรรมะนั้นตามศิษย์ไปทุกที่ เพราะว่าธรรมะนั้นอยู่ในจิตของศิษย์เอง เพียงแต่ทุกวันทุกเวลาไม่เคยสนใจ ไม่เคยจะเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน ธรรมะนั้นจึงยังอยู่ห่างไกลตัวเรามาก อาจารย์อยากให้ดึงธรรมะนั้นมาใกล้กว่านี้อีกหน่อย ดีหรือไม่ (ดี) 
ดังที่ศิษย์ชอบพูดกัน ตั้งแต่อาจารย์มาตั้งแต่ต้น ศิษย์เป็นคนพูดเองว่าอะไรก็ใจ เพราะอะไร ทำไมถึงติดคำว่าใจเป็นคำติดปาก เพราะว่าจิตใจของเรานั้นควบคุมกาย ใจควบคุมกายอยู่ แต่อย่าให้กายมาควบคุมใจ กายควบคุมใจเป็นอย่างไร คนที่ติดเหล้า สูบบุหรี่เป็นคนอย่างไร กายมาควบคุมจิตใจของศิษย์ให้จิตใจนั้นรู้สึกติด แต่จริงๆ แล้ว ควรที่จะเอาจิตมาควบคุมกายของตัวเอง อย่าให้จิตใจที่หยาบกระด้างมาควบคุมจิตใจละเอียด จิตใจนั้นมีอยู่หลายชั้นหลายขั้นด้วยกัน เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้ตรงลำต้น พอตัดออกมาก็มีชั้น มีตั้งแต่หยาบ ละเอียด ปานกลาง อาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นใช้จิตใจละเอียดของเราในการที่จะทำสิ่งต่างๆ เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดพลั้ง ถ้าหากว่าพลาดแล้วก็อย่าพลาดซ้ำ ทำให้ได้นะ
วันนี้อาจารย์มาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวอีกสักครู่อาจารย์ก็จะกลับ มีหลายคนนั่งฟังมาตั้งแต่ต้น สามารถรวบรวมใจของตัวเองได้ในช่วงต้นเท่านั้นเอง พออาจารย์มาในประมาณช่วงกลางใจก็แตกซ่าน ฟุ้งกระจาย กลับไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำให้การฟังธรรมะของศิษย์นั้นไม่ดีเท่าที่ควร อาจารย์ขอฝากฝังตัวศิษย์ไว้กับตัวศิษย์เอง ว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้ใส่ใจสิ่งที่ศิษย์นั้นไม่เคยใส่ใจ ขอให้เสียสละเวลามาศึกษาธรรมะ  ธรรมะนั้นแม้จะไม่มีรูปลักษณ์ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ในสองวัน ถ้าหากว่าศิษย์ยิ่งไม่เสียสละเวลา ศิษย์ก็ยิ่งไม่มีใจที่จะบำเพ็ญธรรมะ แล้ววันหนึ่งเมื่อชีวิตนี้ถึงคราวดับสิ้น ศิษย์ก็จะไม่ได้อะไรเลยจึงอยากฝากตัวศิษย์ไว้กับตัวเอง ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเมื่ออยู่กับผู้อื่น และทำในสิ่งที่ถูกต้องตามมโนธรรมสำนึกของตัวเอง พุทธะอยู่ไกล แต่อย่าลืมว่าในตัวของศิษย์นั้นก็มีพุทธะเช่นเดียวกัน เหมือนจิตใจที่มีฝ่ายพระและฝ่ายมาร เวลาจะทำอะไรสักเรื่องหนึ่งก็มักจะมีจิตใจที่เป็นฝ่ายพระมาดึงไว้ไม่ให้ทำชั่ว เหมือนกับ ตัวเองคุยกับตัวเอง นั่นแหละคือจิตใจของพุทธะกำลังบอกและกำลังสอน ฟังเสียงขอให้ฟังแต่เสียงที่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปมอง สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปพูด สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปทำ สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปคิด ถ้าศิษย์ทำอย่างที่อาจารย์ว่าได้ สามารถช่วงชิงสิ่งที่ศิษย์นั้นมีอยู่ในตนได้ สามารถช่วงชิงก็ได้แค่วัตถุภายนอก อย่าเน้นภายนอกอย่างคนที่ลุ่มหลงโลกีย์ แต่ขอให้หามาเท่าที่จำเป็น สิ่งใดที่ต้องวางโครงการก็วางไป สิ่งใดที่จำเป็นต้องมีก็มีไป แต่อย่ามีจนเกินสิ่งที่ควรจะมี ไม่เช่นนั้นแล้ว เงินทองที่มากก็ผูกมัดเรา อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้มีมากก็มัดเรา อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นใช้ชีวิตอย่างธรรมชาติ
เป็นพุทธะก็กังวลใจว่าเวไนยนั้นจะกลับคืนนิพพานไม่ได้ เป็นปุถุชนก็มีเรื่องกังวลใจ กังวลใจว่าจะเอาชีวิตให้รอดไปอย่างไร พุทธะกับปุถุชนถึง    แตกต่างกันอย่างนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเป็นทั้งพุทธะและปุถุชนในขณะเดียวกันและให้พุทธะนั้นมีอำนาจเหนือจิตใจปุถุชนให้มีส่วนในจิตใจของศิษย์มากขึ้น มากขึ้นกว่าจิตใจอันเป็นปุถุชน
อย่าท้อแท้ใจ ร่วมเป็นกำลังใจแก่กัน การท้อนั้นเป็นเรื่องปกติของคนที่พยายาม แต่อย่าให้ท้อมากเกินจนทำอะไรไม่ได้ บำเพ็ญดีๆ รู้ไหม แล้วสิ่งใดที่ถูกต้อง วันหลังเราจะรู้มากขึ้น บำเพ็ญธรรมกับอาจารย์ดีไหม วันนี้อาจจะยังไม่สัญญา แต่ลองดูก่อนได้ไหม บำเพ็ญธรรมนะ มีเวลาก็มา ไม่มีก็รักษาธรรมะเอาไว้ในจิตใจ เป็นคนมีบุญแต่ไม่รู้ว่าจะยอมให้กรรมบังหรือเปล่า ถ้าเราไม่ยอมให้กรรมบัง คราวนี้เจออาจารย์ต้องสู้นะ สิ่งที่เป็นความฝันของเรา เราก็ไปคว้า แต่อีกทางหนึ่ง ทางธรรมะเราก็ต้องเดิน เข้าใจไหม อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป ศึกษาธรรม เข้าใจธรรม แล้วทำตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มีเวลามาสถานธรรมบ่อยๆ ศึกษาธรรมะให้มากๆ ให้เข้าใจกว่านี้ วันหน้าอาจารย์ต้องอาศัยศิษย์นั้นเป็นแขน เป็นขา เป็นมือ เป็นเท้า ช่วยนำคนขึ้นฝั่ง ช่วยคนดีให้ได้รู้ธรรมะ มาบำเพ็ญธรรมะกับอาจารย์นะ วันนี้ยังไม่เข้าใจ วันหน้าค่อยๆ ศึกษา อาจารย์  รับรองว่าอาจารย์ไม่หลอกศิษย์ ขอให้สัญญาว่าจะตั้งใจมาบำเพ็ญธรรม ศึกษาให้มากๆ ให้เข้าใจ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะบำเพ็ญธรรมะไหม
วันนี้ไม่ตอบอาจารย์เลย มีบุญเป็นอาจารย์เป็นศิษย์กัน ขอให้เรานั้นได้ร่วมทางเดียวกัน หลังจากวันนี้ไปมีเวลาว่างก็ให้มาสถานธรรม หนักหน่อยเหนื่อยหน่อย แต่อาจารย์รับรองว่าไม่เอาเปรียบ ช่วยอาจารย์นำคนที่มีบุญ    ทั้งหลายมา งานธรรมะมาเป็นที่หนึ่ง ถ้าหากว่าศิษย์ดูตัวเองแล้วกำลังเปลี่ยนไป เราต้องย้อนมองส่องตน อาจจะไม่ใช่ผู้น้อยของเราไม่ดี ถึงเขาไม่ดี เขาก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใจของเรา ให้เอาความจริงใจให้เบื้องบน สุขภาพต้องรักษาเอาไว้ ธรรมะก็ต้องรักษาไว้ ความจำเป็นทางโลกนั้นอาจจะไม่จำเป็น ถ้าเทียบถึงงานที่ศิษย์ทำอยู่ ทำให้ดีๆ เป็นกำลังใจให้พวกเขา คนเรามักไม่ชอบให้คนโทษ บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจิตใจ หากจิตใจของเราไม่ดีแล้ว บำเพ็ญไปอีกนานเท่าไรก็ไม่ก้าวหน้า ภายนอกนั้นดูดีอยู่แล้ว แต่ภายในใจนั้นยังต้องเพิ่มแรงเข้าไปอีก อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นจะกลับมาศึกษาธรรมะเหมือนลมหายใจที่ลึก หายใจยิ่งลึกเท่าไรสุขภาพก็ยิ่งดีเท่านั้น หากเราบำเพ็ญธรรมเข้าใจยิ่งลึกเท่าไร เราก็มีโอกาสที่จะกลับคืนมากขึ้นเท่านั้น
อาจารย์มีคำพูดอีกมากมายที่คงไม่ได้พูดแล้ว แต่อาจารย์นั้นจะยังอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนเสมอ ตราบเมื่อศิษย์นั้นคิดถึงอาจารย์ และอาจารย์ยังคงช่วยคุ้มครองศิษย์ได้ ต่อเมื่อศิษย์ของอาจารย์นั้นได้บำเพ็ญจิตใจให้ดี สร้างกุศลชดใช้เจ้ากรรมนายเวร ให้อาจารย์ได้มีโอกาสต่อรองกับเขา ทุกคนเกิดมา ก็ต้องตายไป วันนี้เรายังอยู่ขอให้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด รักษาสุขภาพของเราให้ดี รักษา  จิตใจของเราให้ดี การบำเพ็ญธรรมะก็คือการบำเพ็ญจิตใจ สิ่งนอกกายแม้มีความสำคัญ แต่จิตใจนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า บางเรื่องต้องรู้จักชั่งหนักเบา คนมักไม่ชอบให้โทษกัน แม้จะผิดก็ไม่อยากให้ใครว่า แม้ว่าเราจะไม่ว่าเขาก็อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ตัว บางทีช่วยกันไป เห็นใจกันไป คนไม่ดีก็เปลี่ยนแปลงตนเองได้ โดยที่เราไม่ต้องจี้ในสิ่งที่เขาผิดอยู่เลย
รักษาตัวเองให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญให้มากๆ วันหนึ่งผ่านไป พรุ่งนี้ มะรืนนี้ผ่านไป ขอให้เรานั้นผ่านไปอย่างคนที่ก้าวขึ้นบันได ผ่านไปอย่างคนที่ก้าวขึ้นไปสูงกว่า ไม่ใช่ตกต่ำลงทุกวันนะศิษย์นะ ผู้ร่วมฟังข้างล่างก็ขอให้รักษาจิตใจให้คงที่ คงเส้นคงวา ลาก่อนนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ 

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2544

2544-03-24 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์


PDF  2544-03-24-ฮุ่ยจื้อ #2.pdf


วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

แม้เวลาผ่านไปใจไม่เปลี่ยน ดุจดั่งเทียนเผาไหม้ให้แสงสว่าง
มีจุดหมายจิตใจไม่เลือนลาง ปัญญากว้างนำทางตนหวนสุทธา
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา

ร่วมจัดงานศักดิ์สิทธิ์ใจต้องศักดิ์สิทธิ์ อันความคิดที่โลดแล่นเร่งสงบ
จงยอมให้ฟ้าดินในใจได้บรรจบ และเร่งลบฝุ่นกิเลสในใจตน
เพื่อได้รู้ธรรมแท้ปฏิบัติแลก อาจดูแปลกแต่ไม่เกินความสามารถ
นิพพานนั้นใช่ดินแดนอันเอื้อมอาจ เพียงจิตใจไม่ประมาทล้วนคืนได้
เกิดเป็นคนอย่าได้บ่นว่าลำบาก บำเพ็ญมากเคราะห์กรรมสิ้นจนเบาได้
สร้างประโยชน์แก่ตนและโลกใหญ่ ดั่งพุทธะมาโปรดบนโลกา
หากพยายามอาจชนะหรือว่าพ่าย แต่หากทิ้งกลางคันไปพ่ายเดี๋ยวนั้น
แม้ปัญหารุมล้อมสารพัน จงขยันใช้ปัญญาเร่งปล่อยวาง
จงคืนดีกับการบำเพ็ญจิต อย่ายึดติดโชคลาภสรรเสริญ
เงินทองมากพาจิตใจให้เพลิดเพลิน จงพินิจดูตนเดินอยู่ทางใด
อย่าเอาสิ่งเล็กน้อยมาชวนโมโห อย่าคุยโวโอ้อวดในสิ่งทำไม่ได้
ขอให้พร้อมจากภายในคือจิตใจ เร่งก้าวไกลสู่แนวทางมีหลักธรรม
เมื่อจิตใจพร้อมแล้วย่อมราบรื่น ทุกวันคืนย้อนมองตนเร่งแก้ไข
มนุษย์ขาดการฝึกฝนบังคับใจ ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไม่เว้นวัน
สองวันนี้ฟังธรรมะฟื้นฟูจิต คนเคยผิดไม่ผิดซ้ำฟ้ายกย่อง
การบำเพ็ญต้องช่วยกันประคับประคอง ต้องคล้องจองทั้งจิตใจและปัญญา
อันนอกกายแม้สำคัญแต่ชั่วคราว เกณฑ์ยุคขาวเลือกเมธีคืนกลับฟ้า
ใครแน่จริงพ้นได้จึงตามมา จงเมตตาช่วยเวไนยให้ตามกัน
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมฟังธรรมะอย่างเคร่งครัด
แม้สองวันเป็นเวลาอันเร่งรัด ขอน้องหัดพิจารณาศึกษาเรื่อยไป
ประชุมธรรมใช่เรื่องง่ายของคนบุญ จิตว้าวุ่นจงวางก่อนจะได้ไหม
รักษาซึ่งพุทธระเบียบไม่ปล่อยใจ จงตั้งใจและหนักแน่นทั้งสองวัน
น้องฝ่ายชายเคร่งครัดอย่าฝืนกฎ ฝ่ายหญิงลดจิตฟุ้งซ่านเป็นแม่นมั่น
มีกายนี้มีโอกาสอันสำคัญ ขอให้หมั่นศึกษาจะเข้าใจเอง
สองวันนี้พี่รับบัญชามา ขอน้องอย่าทำเป็นเล่นรู้ไหมหนา
ธรรมะลงสู่โลกจำกัดเวลา ยิ่งเวลายิ่งวุ่นวายยิ่งคัดคน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศิษย์พี่ยืนคุมชั้นเรียน
ฮวา   ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระนาจา

เจอหน้ากันยิ้มให้กันสักนิด การเป็นมิตรกันไว้ไม่เสียหลาย
พูดภาษาซื่อซื่อตรงจากใจ สื่อความหมายจริงใจในฤดี
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนยินดีต้อนรับศิษย์พี่ไหม

ขณะหนึ่งพูดทำนำคาบเกี่ยว ใจดวงเดียวสามารถเป็นนรกสวรรค์
สุขุมคิดพะวงน้อยคงสุขนาน การทำงานร่วมกันใจต้องศรัทธา
คุณธรรมชิดใกล้เมื่อเราไม่ห่าง โอกาสกว้างดั่งเวหาไม่กล้าคว้า
ตั้งมั่นในปณิธานกล้ากว่ากล้า ยอมชีวาสิ้นในธรรมไม่ลำพัง
ประสงค์ความก้าวหน้ามาฝึกตน ณ กมลบำเพ็ญกล้าหาเวลาว่าง
ชีวิตไม่ฝันแต่กลับไม่ต่าง อยากใจสบายความหมางต้องบรรเทา
พินิจความวุ่นวายโดยไม่วนวก อย่าตระหนกยิ่งใจหล่นยิ่งเศร้า
กายใจเมื่อประสานดั่งอยู่เหย้า พิสุทธิ์หวังเต็มเท้าก้าวขึ้นเรือ
กระจ่างงานสืบทอดธรรมตามเวลา งานเบื้องฟ้าอดทนใจไม่เรื่อ 
อุปสรรคอยู่บนทางลองหยั่งเผื่อ รู้กำลังจุนเจือเดินทางไกล
ประทีปธรรมให้ทางส่องสู่ชีวี ฤทัยดีกลายร้ายคนหนีหาย
ฤทัยร้ายกลายดีจนวันตาย ปราบทุกข์อยู่ใจกำลังเปี่ยมวุฒิ
เอื้อเมื่อคนหลงจงช่วยบุคคล ชีวิตคนประมาทจะเบื่อใช้สติ
ด้วยเคยชินไม่รู้คิดสิริ กลายอคติเอนเอียงไกลธรรมไป
ฮิ   ฮิ  หยุด

 เรื่อ : อ่อนๆ
  สิริ : ศรี, มิ่งขวัญ, มงคล


พระโอวาทพระนาจา

พายสนุกไหม (สนุก)  ทำไมยิ่งนั่งคนยิ่งหาย หายไปไหนเอ่ยตั้งเยอะ  ไหนเมื่อกี้ใครไม่ได้พายเรือยกมือขึ้น ข้างหลังไม่ได้พายเราเห็นนะ ข้างหน้าก็สนุกกันใหญ่เลย ใช่ไหม  ใส่ชุดก่อนนะ ไม่รู้ต้องใส่ทำไม เป็นมนุษย์จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้า แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าไหม (ไม่ใส่) เดี๋ยวไม่ใส่ก็ว่าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แน่เลย ใช่หรือเปล่า  ฟังรู้เรื่องไหม  (รู้เรื่อง)  ไหนบ้านใครไม่มีทีวียกมือขึ้น ดูหนังปกติดูทุกวันไม่พออีกหรือ  ทีวีก็มีอยู่แล้ว หน้าตาเราก็เหมือนจอทีวี  คนที่อยู่รอบข้างก็เหมือนตัวละคร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วใครเป็นตัวเอกล่ะ ให้เราเป็นนางเอกหรือ แล้วคนที่เราไม่ชอบเป็นอะไร (เป็นผู้ร้าย, เป็นตัวโกง)  ไม่ใช่ คนที่เราไม่ชอบเป็นตัวที่ทำให้เรายิ่งเป็นนางเอก ใช่ไหม อย่าไปว่าเขาเป็นตัวโกงสิ จริงหรือเปล่า กลับยิ่งทำให้เราเป็นนางเอกที่ดีมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอย่าไปเกลียดเขาเลย ต้องดีใจต่างหาก พอเขาร้ายก็ปล่อยให้เขาร้ายไปอย่างนั้นเลย ใช่ไหม  เพื่อให้เรานั้นดีคนเดียวในโลก ดีหรือเปล่า  (ไม่ดี)  ชีวิตไม่ใช่ละคร จริงไหม (จริง)  เราดูสนุกได้แค่ชั่วครู่เดียวเอง   สักพักเราก็ต้องมาเจอความจริง อย่าคิดว่าชีวิตคือละคร อย่าได้ติดหนังจนเกินไป ติดแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร กลายเป็นคนขี้เกียจ เงินก็ไม่มีแล้วพรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งเราเป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะปานกลาง หรือใกล้ๆ จะไม่มีด้วย เราจะต้องมีความขยัน ใช่ไหม (ใช่)  
“เจอหน้ากัน”  เวลาเจอหน้ากันทำอะไรดี (ยิ้ม)  ยิ้มใช่หรือไม่ ยิ้มให้กันสักนิด จริงหรือเปล่า (จริง)  ไม่ใช่เจอหน้าก็ ใครหนอมาเดินอยู่นั่นแหละ แต่งตัวก็ประหลาด ใช่หรือเปล่า  เจอหน้ากันต้องยิ้ม ยิ้มเหมือนประตูหรือใบเบิกทางที่ทำให้เราสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในสังคมได้อย่างกล้าขึ้น ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านเดินเข้ามาในห้องพระนี้ เดินมาทำหน้าวอกแวก ใครจะให้ท่านเข้า  คุณมาจากไหนไปเถอะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอเข้ามาเราก็ต้องยิ้มสักนิด รู้จักไม่รู้จักยิ้มไว้ก่อน เพราะตอนนี้เราจะเข้ามาใช่หรือไม่ (ใช่)  รอยยิ้มช่วยทำให้คนตรงข้ามกล้าที่จะเป็นมิตรกับเรา ทำให้เราผูกมิตรกับเขาแม้จะรู้จักหรือไม่รู้จัก ใช่ไหม (ใช่)  
“การเป็นมิตรกันไว้ไม่เสียหลาย”  วันนี้เรามาฟังธรรมะ ใช่หรือไม่ แต่บางคนพอได้ยินว่าจะมาฟังธรรมะก็เบื่อ ใช่ไหม เบื่อแล้วก็บอกว่าอีกแล้วเหรอ ธรรมะก็คือการทำดีนั่นแหละ แล้วก็ไม่เอา แล้วทำไมเราถึงอยากมาล่ะ (อยากรู้เลยอยากมา) ไม่ใช่บอกว่าฟังไปแล้วก็เหมือนเดิม พูดไปก็เหมือนเดิม  เราชอบพูดอย่างนี้กัน ใช่ไหม บางครั้งก็บอกว่ามากี่ทีๆ ก็ให้ทำดี เราก็เลยรู้สึกเบื่อ ใช่หรือเปล่า เราพูดเทียบง่ายๆ ถ้าเกิดการฟังธรรมะเหมือนเด็กเวลากินข้าว เด็กทำไมไม่กินข้าว เพราะเวลาเขาจะกินข้าวเขากินแล้วเขาก็อม อมไว้นานเลยใช่ไหม (ใช่)  อมจนข้าวบูด แล้วก็เปรี้ยว พอจะกลืนก็เลยไม่อยากกลืน ท่านฟังธรรมะเหมือนกัน ฟังแล้วอม อมไว้นานจนมันเปรี้ยว แล้วอยากกลืนไหม (ไม่อยาก)  คราวหน้าฟังธรรมะดี ดีแล้วเอาไปใช้หน่อย ก็เหมือนอมแล้วเคี้ยวด้วย เคี้ยวแล้วได้รสไหม (ได้)  พอได้รสแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร กลืนไปแล้วรู้สึกอะไร (อร่อย )  การฟังธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกันถ้ารู้แล้วไว้อม อึมดี  อมจนเรอ เรอในที่นี้ก็คือ ไม่อยากฟังแล้ว เอาแต่เก็บไว้แต่ไม่ได้ลองมาใช้ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเกิดฟังแล้วนำไปใช้ทันทีก็รู้สึกซึ้ง รู้สึกถึงคุณค่าของธรรม คุณค่าของรสข้าวใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วข้าวหรือคุณประโยชน์ของมันนั้นก็ทำให้เราเห็นผลทันที จริงไหม (จริง)  เหมือนวันนี้เราฟัง ยิ้มไว้เป็นสิ่งที่ดี เจอหน้าใครก็ยิ้ม พอพูดต่อการยิ้มนี้เป็นสิ่งที่ดี ใช่ เราตอบทันที เราจะมีความรู้สึกร่วม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงดี ก็เพราะได้ลองเอาไปใช้แล้ว ยิ้มแล้วเขาเป็นอย่างไร เขายิ้มกลับมา จริงไหม ยิ้มแล้วเป็นอย่างไร จากที่ไม่เคยมองหน้าเรา หันมามองหน้าเราแล้วยิ้มกลับตาหวาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเรามีความรู้สึกร่วม แล้วเราก็ได้รู้สึกสนุกสนานในการที่เราเข้าใจคำว่า “ยิ้ม” จริงไหม (จริง)  ฟังธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกัน  ฉะนั้นฟังแล้วอย่าอมไว้ จงเอาไปปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะรู้ว่าธรรมะนั้นมีค่ามีประโยชน์  แล้วทำให้เราอิ่มท้องหรืออิ่มใจ อิ่มใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่หรือแม้แต่ตัวท่านเองฟังแล้วอิ่มหรือว่าอืด ไม่รู้สิ คราวนี้ลองฟังดูนะ ฟังแล้วจงนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่าอมไว้ อย่าเก็บไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“พูดภาษาซื่อซื่อตรงจิตใจ สื่อความหมายจริงใจในฤดี” 
 สิ่งหนึ่งที่เป็นคำพูดอยู่เสมอๆ สำหรับที่มาจากแดนไกล แล้วมาเจอคนที่อยู่นอกๆ เมือง นั่นก็คือว่าคนนอกเมืองนั้นพูดกันซื่อๆ ว่ากันตรงๆ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ใช่ไหม (ใช่)  นี่คือสิ่งดีและเป็นสิ่งที่เป็นคุณธรรมประจำของคนที่อยู่ต่างแดนไกล บ้านไกลๆ เมือง ไม่เหมือนคนที่อยู่ในเมืองหลวงที่เป็นอย่างไร  ไม่ค่อยยิ้ม พูดกันแบบอ้อมๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดกันอย่างไร พูดกันหวานๆ แต่ฟังแล้วไม่หวาน ใช่ไหม (ใช่)  ไม่เหมือนเราพูดกันซื่อๆ ห้วนๆ ฟังแล้วเป็นอย่างไร   เออเข้าใจ
มันไปเที่ยว  ใช่ไหม แต่คนเมืองกรุงไปไหนล่ะ อ๋อ ไปทำธุระ ฟังแล้วดูดีนะ แต่เข้าใจไหม  ไม่รู้ ธุระอาจจะแอบไปเที่ยวก็ได้ ใช่ไหม   ธุระอาจจะไปตีกอล์ฟก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าว่าแต่คนข้างในคนข้างนอก แต่คนส่วนใหญ่ในเมืองจะเป็นแบบนี้ คนต่างจังหวัดจะเป็นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะเรียนรู้จากในเมือง หรืออยากจะเรียนจากคนต่างจังหวัด  ก็อยู่ที่ตัวเราว่าจะเห็นสิ่งใดดีกว่าสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเราจะรู้จักความเป็นตัวตนของเราไว้ไหม หรือพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามคนอื่นเขา ใช่ไหม (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าเป็นคนต่างจังหวัดไม่กล้าพูด พอใครว่าเราเป็นคนต่างจังหวัดก็โกรธ  พอยิ่งบอกว่าบ้านนอกยิ่งโกรธไหม น่าจะดีใจนะ เพราะบ้านเราเป็นนอกเมือง เราอย่าไปถือสาคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็อย่าได้คิดเล็กคิดน้อย การถือสาคำพูดและคิดเล็กคิดน้อยคนที่ทุกข์ก็คือคนที่ถือและคนที่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราเป็นพี่ ท่านเป็นน้อง อายุทางธรรมต่างกัน ศิษย์พี่รับธรรมะก่อนได้รู้ธรรมะก่อนแล้วก็ตื่นก่อน แต่ศิษย์น้องได้รับธรรมหลัง รู้ธรรมหลัง แต่ก็ยังต้องตื่นหลังอยู่ดี ใช่หรือไม่ หรือยังไม่ตื่น (ตื่นแล้ว)  ตื่นจากอะไร (ตื่นจากธรรมะ, ตื่นจากง่วงนอน)
วันนี้ร้อนไหม (ร้อน)  อากาศอาจจะร้อน แต่ถ้าใจเราเย็น เราก็จะไม่รู้สึกกระวนกระวายในความร้อนมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดอากาศร้อน ใจเรายิ่งร้อนด้วย เราจะร้อนกว่าคนอื่นเป็นหมื่นเท่า ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าเรารู้สึกว่าวันนี้เราสบายใจ ใจเย็น แม้อากาศจะร้อนมากกว่าเมื่อวาน แต่เราก็รู้สึกเย็นจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นบางครั้งธรรมชาติแม้จะเป็นไปอย่างไรก็ตาม แต่ใจเรามีจุดยืน ธรรมชาติก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงใจเรา  หรือมาทำร้ายใจเราได้ จริงไหม (จริง)
ศิษย์น้องหลายคนมักจะพูดว่า การอยู่บนโลกนี้เป็นคนดีมีธรรมะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราคิดในเรื่องเมื่อสักครู่ เอาเรื่องเมื่อสักครู่เป็นตัวอย่าง ถ้าใจเราเย็นแม้โลกจะร้อนเราก็จะเป็นอย่างไร  เราก็จะไม่รู้สึกร้อนมาก ใช่ไหม (ใช่)  อาจจะร้อนบ้างไม่ร้อนบ้าง แต่ถ้าเกิดใจเราร้อน รู้สึกไม่ดี อารมณ์วุ่นวายเต็มไปหมดเลย โมโห โกรธเกรี้ยว แล้วข้างนอกก็ร้อนด้วย เราจะเป็นอย่างไร ยิ่งร้อนใหญ่ ยิ่งโวยวายใหญ่  ฉะนั้นไม่ว่าสภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไร มีผลหรือไม่มีผล ขึ้นอยู่กับใจเรา ใจเรามีจุดยืนไหม ถ้าใจเรามีจุดยืน สภาวะแวดล้อมจะทำอะไรเราไม่ได้เลย  แต่ถ้าเราไม่มีจุดยืน เราเป็นคนหวั่นไหว เอนเอียง เชื่อคนง่าย เราก็จะไปตามลมปากของคน และแรงของสภาวะแวดล้อม  แล้วตอนนี้เรามีจุดยืนของใจกันบ้างหรือยัง (มีแล้ว)  มีแล้วคืออะไร (คือธรรมะ)  ธรรมะอะไรล่ะ (ธรรมะคือสัจธรรม)  สัจธรรมความเป็นจริงของชีวิตใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดเมื่อใดเราเจ็บป่วยเราก็จะต้องเป็นอย่างไร (ก็ต้องมีความทุกข์)  ถ้ามีทุกข์แล้วทำอย่างไร (ก็ต้องมีความเจ็บใจ แล้วก็ต้องหาทาง)  หาทางแก้ใช่หรือไม่ (หาความระบายในทุกข์)  หาทางระบายทางไหน (ทางสัจธรรม, ทางที่พ้นทุกข์)  ระบายไปทางคนข้างๆ หรือเปล่า (ไม่ได้)  ระบายไปกับลูกได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แล้วศิษย์น้องคนอื่นล่ะ ทำอย่างไรเราถึงจะไม่เอนเอียงไปกับสิ่งภายนอกได้ง่ายๆ เราจะต้องมีจุดยืนใช่ไหม (ใช่)  จุดยืนของเราเป็นอะไรกันบ้างล่ะ  หรือใครยังไม่มีจุดยืนยกมือขึ้น
อยากดูละครไหม ต้องตอบปัญหาให้ได้ก่อน แล้วศิษย์พี่จะให้ดูละครหนึ่งเรื่อง ดีหรือเปล่า
(จุดยืนของชีวิตก็คือตั้งมั่น ปฏิบัติใจให้ดี ซื่อสัตย์ ซื่อตรง)  มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติดี ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องท่านอื่นล่ะ (เป็นคนที่ซื่อสัตย์)  ฟังแล้วคิด จะรู้ว่าสิ่งที่เราพูดน่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ (มีธรรมะในใจเป็นแนวทาง) ธรรมะนั้นเป็นเรื่องอะไรบ้าง (ปฏิบัติความดี)  คือถือความดีเป็นแนวทาง เป็นจุดยืนในชีวิต  (พูดจริงทำจริง)  แปลว่าในชีวิตนี้จะไม่โกหก ใช่ไหม ว่าจะบำเพ็ญก็จะ (บำเพ็ญ)  (จุดยืนคือความตั้งมั่นในสัจธรรม)  มีสัจธรรมเป็นจุดยืน จริงไหม จุดยืนเป็นความตั้งมั่นในสัจธรรม กับสัจธรรมเป็นจุดยืน อันไหนฟังง่ายกว่ากันศิษย์น้อง (สัจธรรมเป็นจุดยืน)  อย่ากลับหัวกลับหาง  ศิษย์น้องท่านอื่น (สัตย์ซื่อถือธรรมะ)  อะไรอีกท่าน (ซื่อสัตย์กตัญญูต่อพ่อแม่)  ตาท่านแล้วว่าอย่างไร (เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกๆ ต่อไป)  เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกๆ ต่อไป  (จุดยืนคือเราต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง และมีธรรมะประจำใจด้วย)  ธรรมะประจำใจคือ (คือสัจธรรม ความซื่อสัตย์)  ท่านว่าอย่างไรศิษย์น้อง  (ทำจิตใจให้สงบ)  
เมื่อสักครู่ฟังหัวข้อสัจธรรมชีวิตไป สัจธรรมสอนให้รู้ว่า มี เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตายใช่ไหม การรู้สัจธรรมชีวิตก็คือการรู้แล้วรู้จักปล่อยวางใช่หรือไม่ (จุดยืนคือมีความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ มีความเสียสละ เป็นคนดีไม่ทำให้บิดามารดาผิดหวัง) 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมออกมาแสดงละคร โดยเนื้อหาในละคร มีครอบครัว 2 ครอบครัว ทั้ง 2 ครอบครัว แต่ละครอบครัวมียาย 1 คน หลาน 1 คน ครอบครัวแรก ยายเมื่อยเลยเรียกหลานให้มาช่วยนวด เมื่อนวดเสร็จหลานก็ขอเงินยายไปซื้อขนม ครอบครัวที่สองก็เช่นกัน แต่เมื่อนวดเสร็จยายถามหลานว่าต้องการอะไรบ้าง แต่หลานไม่ต้องการอะไร กลับบอกว่าถ้ายายต้องการให้นวดอีกเมื่อไหร่ให้เรียกได้เลย) 
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถามว่า จากนิทาน ๒ เรื่องนี้นักเรียนได้อะไรบ้าง  (ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน) หลานสองคนทำความดีเหมือนกันใช่ไหม มีใครตอบได้บ้างว่าต่างกันอย่างไร (แก่แล้วย่อมปวดเมื่อย)  คนที่ตอบว่ามีจุดยืนเป็นสัจธรรมว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยง อายุมากแล้ว คนอ่อนกว่าต้องช่วยคนแก่ และคนที่มีอายุมากแล้ว ย่อมเจ็บป่วยเป็นธรรมดา 
คนในปัจจุบันมักพูดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ แม้จะมีจุดยืนว่าอยากเป็นคนดี และอยากทำดี แต่เวลาทำดีแล้วไม่ได้ดี ศิษย์น้องก็ไม่ค่อยอยากจะทำต่อ  เปรียบเทียบได้กับเรื่องเมื่อสักครู่ ว่าเราทำดีเพราะว่าเราอยากได้เงินไปกินขนม หรือว่าเราทำเพราะเห็นยายเมื่อยจึงนวด และไม่เอาเงินไปกินขนม จะเห็นว่าหลาน 2 คนนี้ทำดี คนหนึ่งทำเพราะว่าอยากได้เงินไปกินขนมเลยทำ แต่อีกคนนวดไม่ใช่เพราะอยากได้เงิน แต่นวดเพราะเห็นยายเมื่อย แปลว่าการทำดีของคนสองคนนี้ต่างกันไหม (ต่างกัน) คนหนึ่งเหมือนแอปเปิ้ลอีกคนหนึ่งเหมือนกล้วย ทำให้คนหนึ่งดูเหมือนสูงกว่า คือผลที่ได้นั้นออกมาต่างกัน คนหนึ่งจึงดูสูงกว่าอีกคน คนที่ทำเพราะไม่ได้หวังผลจึงดูเหมือนจะสูงกว่า เหมือนกล้วย แม้จะเพรียวบางไปสักหน่อย แต่อีกคนแม้จะเอาอกเอาใจ แต่หวังผล ก็เลยเตี้ยลงมาหน่อยหนึ่ง ทำให้ผลออกมาต่างกัน การทำดีของศิษย์น้องก็เหมือนกัน คนที่มาหาพระเพราะกำลังทุกข์นั้นเหมือนแอปเปิ้ล หรือเหมือนกล้วย (เหมือนแอปเปิ้ล) แต่คนที่มาไหว้พระเพราะอยากไหว้ เห็นดอกไม้สวยซื้อไปไหว้พระ วันนี้อยากไปไหว้พระคิดถึงพระ เลยไปไหว้พระ ใครน่าจะได้บุญมากกว่ากัน แอปเปิ้ลหรือกล้วย (กล้วย) นี่ล่ะคือความแตกต่างระหว่างการทำดีแบบตั้งใจกับการทำดีแบบหวังผลตอบแทน ผลของการทำดีจึงออกมาแตกต่างกัน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้คนออกมาแสดงเป็นกิ่งไม้ที่หนีบแอปเปิ้ลกับกล้วยไว้)  การทำความดีนั้นต้องมีจุดยืน ถ้าเราไม่มีจุดยืนแล้วบางครั้งเมื่อมีกระแสลมพัดผ่านมาอาจทำให้แอปเปิ้ลกับกล้วยหล่นลงไปได้ ฉะนั้น การทำความดีนอกจากจะมีจุดยืนแล้ว เราจะต้องรู้จักควบคุมตนเองด้วย ถ้าเกิดวันนี้กล้วยไม่อยากอยู่บนกิ่งกล้วย แล้วแกว่งตกลงมา ก็ทำให้ชีวิตของกล้วยบนพื้นกับชีวิตของแอปเปิ้ลบนกิ่งใครจะอยู่รอดปลอดภัยกว่ากัน (แอปเปิ้ล) เพราะกล้วยนั้นบางทีศิษย์พี่เดินมาก็อาจเหยียบกล้วยได้ แต่แอปเปิ้ลนั้น ศิษย์พี่หยิบไม่ได้ ถ้าเกิดว่าสูงมากก็ต้องกระโดด แต่กล้วยเหยียบได้ง่าย เพราะกล้วยไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ในขณะที่แอปเปิ้ลมีสิ่งยึดเหนี่ยว นอกจากเรามีจุดยืนแล้วบางครั้งเราต้องเป็นอย่างไร รู้จักควบคุมตนรู้จักบังคับใจตนให้อยู่ในที่ที่ควรเป็น ใช่หรือไม่ หลายต่อหลายคนนั้นมักจะเป็นอย่างไร ไม่ชอบกฎเกณฑ์ของสังคมไม่ชอบผู้ปกครองมาควบคุม ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  .แต่ศิษย์น้องลองคิดดูระหว่างมีคนควบคุมมีคนคอยดูแลกับไร้คนควบคุมไร้คนดูแลอะไรอันตรายกว่ากัน (ไร้คนควบคุม) แอปเปิ้ลหรือกล้วยใครอันตรายคิดให้ดี (กล้วย)  แอปเปิ้ลจะอยู่ได้รอดปลอยภัยกว่าใช่หรือไม่   ศิษย์พี่ยกตัวอย่างง่ายๆ  เพราะหากว่าพูดลึกไป  ศิษย์น้องก็ฟังไม่เข้าใจและก็เอาไปปฏิบัติไม่ได้  ฉะนั้นบางครั้งมีกฎเกณฑ์ควบคุมรู้จักควบคุมใจจึงไม่ใช่การกดรัด  เราอย่าเป็นเหมือนแมวที่ยิ่งกดยิ่งอยากชูหัว   ยิ่งดึงหางยิ่งอยากไปข้างหน้า ใช่หรือไม่    บางครั้งพอเราถูกกฎควบคุมมาก  เราก็อยากแหวกออกจากกฎ  เราอยากทำอะไรที่นอกเหนือจากความตั้งใจเรา  และเป็นสิ่งที่ดีไหมศิษย์น้อง  (ไม่ดี) ฉะนั้นนี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกวุ่นวาย  เพราะมีกฎก็ไม่ใช้กฎ  เพราะคนเรามักจะลื่นไหลไปตามกิเลสตัณหาและความอยากได้ง่าย  แม้จะมีกฎเกณฑ์ควบคุมบางครั้งเราก็ยังปล่อยตัว  ปล่อยใจตามสภาวะอารมณ์ได้ ใช่หรือไม่  แม้วันนี้เราจะตั้งใจว่าเราจะทำดี  แม้มีจุดยืนของเราในการเป็นคนดี  พออารมณ์เราโมโหเราก็ควบคุมตัวเองไม่ได้  และก็ปล่อยไปตามอารมณ์  สุดท้ายคนที่เจ็บคือใคร (ตัวเราเอง) และคนข้าง ๆ เดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)  ทำให้เราเห็นว่า  มีกฎหมายหรือผู้คุมก็เปล่าประโยชน์ เพราะอะไร  เพราะคนเรายังกล้าที่จะฝ่าฝืนกฎและกล้าที่จะไม่เชื่อฟังผู้คุม  และเพราะอะไร (ความเห็นแก่ตัว,ขาดสติสัมปชัญญะ,ความโลภ)  บางครั้งความถนัดของคนมีกันคนละเรื่อง  แต่ว่างานๆ หนึ่งจะสำเร็จได้ใช่จากคนๆ เดียวไหม (ไม่ใช่)  ก็ต้องหลายๆ คน เพราะหลายคนมารวมกันก็เกิดปัญหาขึ้น   ปัญหาที่เกิดก็เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานและพื้นเพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน   บางคนเป็นอย่างไร นี่ก็ทำให้เราเป็นคนฝ่าฝืนกฎหรือไม่อยู่ในการควบคุม  เพราะว่าบางคนรักสบายแม้ว่าจะทำงานร่วมกันอะไรหนักๆ โยนให้คนอื่นทำจริงหรือไม่ (จริง)  บางคนรักตัวเองอะไรที่เป็นความชอบฉันรับ อะไรที่เป็นความผิดก็คือคนอื่น 
บางครั้งเราอยากเป็นอะไร (อยากอิสระ)  เพราะว่าคนทุกคนมักอยากเป็นอิสระ พอถูกยึดมั่น พอถูกควบคุมก็อยากจะฝ่าอยากจะเป็นอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  .พอเป็นอิสระบางครั้งก็อดเสียดายการควบคุมจริงไหม (จริง)  แต่พุทธะเคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่มีอิสระอย่างแท้จริงคือผู้ที่สามารถเข้าใจในกฎแล้วใช้กฎอยู่อย่างมีชีวิตอิสระ นี่คือการเข้าใจอิสระอย่างแท้จริง ไม่ใช่อยากมีอิสระเลยฝ่าฝืนกฎเช่นนี้ไม่ใช่ผู้รักการมีชีวิตอิสระจริงไหม (จริง)  เพราะอะไรก็เพราะต้องลงเอยเหมือนอย่างที่ศิษย์พี่บอก ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎมักจะไม่ค่อยได้ดี ไม่เหมือนผู้ที่ใช้กฎแล้วน้อมนำเอากฎมาใช้ แล้วมีชีวิตอย่างอิสระคนนั้นมักจะไปได้ดีและอยู่ในโลกได้อย่างเป็นสุขไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้จึงต้องค่อยๆ คิดค่อยๆ พิจารณา อยากอิสระแต่อิสระบนความทุกข์ของคนอื่นไม่ใช่ความอิสระที่ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)   เหมือนวันนี้อยากนั่งอย่างอิสระเมื่อยขาก็เอาขามาพาดแล้วเดือดร้อนคนอื่นไหม (เดือดร้อน)  อย่างนี้ทำถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นในความอิสระที่ศิษย์น้องอยากได้จึงต้องรู้จักใช้ให้ดี
มนุษย์ทุกคนมักมีเรื่องเศร้าเรื่องสุขอยู่ในชีวิตประจำวันทุกๆ วันถ้าศิษย์พี่เทียบง่ายๆ ความสุขความทุกข์ในโลกนี้เหมือนกินข้าว เวลาได้กินข้าวแล้วเป็นอย่างไร (สุข)  แล้วเวลาหิวข้าวสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้ววนเวียนอย่างนี้เหมือนกินข้าวตลอดไหม เหมือนความสุขความทุกข์ไหม (เหมือน)  ทำไมถึงว่าเหมือนล่ะ (กินไปเรื่อยๆ กินจุกจิก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมศิษย์พี่จึงบอกว่าเหมือน ก็เวลามนุษย์เราสุข พอสุขเต็มอิ่มสุขนั้นก็จะค่อยๆ คลายตัวแล้วก็พลิกกลับไปเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทุกข์จนเต็มอิ่มทุกข์นั้นก็จะค่อยๆ คลายตัวแล้วกลับมาเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นแปลว่าชีวิตนี้สอนให้เรารู้ว่าสุขทุกข์นั้นก็เหมือนเวลาหิวข้าวอิ่มข้าวนั่นแหละวนเวียนเหมือนวัฏจักร บางครั้งเราจึงอยากให้ความทุกข์ความสุขนั้นมีอิทธิพลกับใจของเรามากเกินไป เรื่องบางเรื่องให้เวลาใจเราจากทุกข์แล้วก็กลายเป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องบางเรื่องใจนั้นต้องรักษาใจจริงไหม (จริง)  ก็คือเวลาเราทุกข์จะทำอย่างไร ก็เหมือนเวลาท้องเราหิวเราจะต้องเดินไปเพื่อให้ท้องเราอิ่ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราทุกข์เราจะทำอย่างไร เราต้องเอาใจรักษาใจ ก็คือแก้ที่ทุกข์แล้วเดินไปให้พบความสุขให้จงได้จริงไหม (จริง)  อย่าปล่อยให้เวลาทำใจ เวลารักษาหายหิวไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นเมื่อมีทุกข์จะต้องเดินไปแก้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)    แต่ถ้าเกิดว่าเราอิ่มแล้ว ตอนนี้เราอิ่มทุกข์แล้วแก้อย่างไรก็แก้ไม่ได้ มันอิ่มเต็มที่แล้วเราจะทำอย่างไร ให้เวลารักษาความอิ่มจริงไหม (จริง)  ศิษย์น้องใช้ถูกหรือไม่ ทุกข์บางอย่างต้องแก้จึงหายแล้วจะมาสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกข์บางอย่างแก้ไม่ได้ต้องปล่อยให้เวลารักษาจึงจะหายจริงไหม (จริง)  เหมือนเรื่องความตายทุกข์ไหม (ทุกข์)  เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้เราหายเองจริงไหม (จริง)  เหมือนความเจ็บเมื่อมีดบาดเราจะรอให้เวลารักษาให้หาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนศิษย์น้องอกหักดังเป๊าะ ทำอย่างไรดีทุกข์นี้ถึงจะหาย (ใช้เวลา)  ใช้เวลารักษาใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนศิษย์น้องผิดหวัง ตั้งใจว่าทำงานแล้วต้องสำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จรักษาอย่างไร เดินไปกินข้าว หรือปล่อยให้ท้องหายหิวเอง (เดินไปกินข้าว)  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่ถามว่า ถ้าเกิดผิดหวังเราจะไปทำอย่างไร ไปฝืนหรือ ไม่ได้ ศิษย์น้องต้องปล่อยให้หายหิวเอง เหมือนหิวในสิ่งที่ไม่น่าจะหิว เช่นหิวเดือน หิวดาว  อยากกินเหลือเกินได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นศิษย์น้องต้องมองเหตุการณ์ในโลกนี้ให้ออกด้วย  บางครั้งเจอทุกข์ ทุกข์นี้เป็นทุกข์ที่ต้องทำใจ หรือว่าทุกข์นี้เป็นทุกข์ที่ต้องไปแก้ไข  แล้วศิษย์น้องจะแก้ความหิว ความไม่หิวได้เหมือนกินข้าว  ไม่เข้าใจมาศึกษาบ่อยๆ แล้วกันนะ 
(ศิษย์พี่เมตตาให้ยืนขึ้น นั่งลง ยกขา ยกมือ เพื่อแก้อาการเมื่อย) เมื่อตั้งใจมีแนวทางแล้ว การทำดีง่ายๆ จะเริ่มต้นอย่างไรต่อไปอีก นั่นคือต้องล้างใจให้บริสุทธิ์ จิตใจที่บริสุทธิ์และสะอาด จะเป็นจิตใจที่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นและสามารถเผชิญกับโลกนี้ได้อย่างแจ่มชัด แต่ถ้าจิตใจเอนเอียง โน้มเอียงข้างใดข้างหนึ่ง จะมองโลกได้ไม่ชัดเจน เหมือนถ้าสมมติว่าจิตใจของศิษย์น้องรักสีขาวมากกว่าสีดำ   เวลาศิษย์น้องเห็นคนๆ หนึ่งจะรู้สึกว่ารักขาวมากกว่ารักดำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าจิตใจน้องบริสุทธิ์ ไม่ว่าขาวไม่ว่าดำศิษย์น้องก็รักได้เท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมหรือการทำความดีจึงต้องมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นพื้นฐาน ฉะนั้นจะบำเพ็ญธรรมจิตใจต้องล้างให้สะอาดก่อน เมื่อใจล้างได้สะอาดต่อไปก็คือ มีความคิดที่เป็นเมตตา และรักคนได้ง่ายด้วย เมื่อใจสะอาด ความคิดก็มีความรักและเมตตาทุกๆ คน ไม่เอนเอียง ความสะอาดจะทำให้ความรักนั้นไม่เอนเอียง ความเมตตาจะทำให้เมตตาได้อย่างไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจบริสุทธิ์ยุติธรรมและมีความเมตตาเป็นพื้นฐาน การแสดงออกก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน หากทำได้สามอย่างนี้แล้ว ใจมีแนวทางที่มั่นคง ศิษย์น้องจะเป็นคนดีที่อยู่บนโลกนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ยากไหมในการบำเพ็ญตน (ไม่ยาก)  ไม่ยาก จะยากตรงที่จะทำอย่างไรให้ใจเราบริสุทธิ์ยุติธรรมใช่ไหม (ใช่)  ใจทุกคนลำเอียงไหม (ลำเอียง)  เวลากลัวลำเอียงไหม (ลำเอียง)  ลำเอียงใช่ไหม อย่างเวลาศิษย์น้องกลัวศิษย์พี่ ศิษย์พี่บอกว่าศิษย์พี่ดี ศิษย์น้องก็ต้องชมใช่ไหมว่าดี เพราะว่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่ทำตัวไม่น่ารัก ศิษย์พี่มีความน่ากลัว มีอำนาจ ศิษย์น้องก็ต้องบอกว่า น่ารัก  ฉะนั้นเวลาเรารักษาใจเราจึงต้องพยายามรักษาให้บริสุทธิ์ เมื่อเรารักษาให้บริสุทธิ์แล้วไม่ว่าเราจะทำก็จะยุติธรรม ไม่เอนเอียง และไม่เข้าข้าง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเกิดศิษย์พี่บอกว่าศิษย์พี่ทำตัวไม่น่ารัก แล้วศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่าน่ารักไหม ศิษย์น้องจะบอกว่า (ไม่น่ารัก)  น่ารักไหม (ไม่น่ารัก) ผู้ปฏิบัติงานธรรม น่ารักไหม (น่ารัก)  ไม่น่ารักเหรอ เรากล้าพูดจริงๆ หรือ ไม่กล้า ใช่ไหม (ใช่) เราต้องรู้จักเอานิสัยคนเมืองกรุงมาใช้ นั่นคือต้องรู้จักพูดอ้อมนิดหนึ่ง เพราะบางคนไม่ชอบคำพูดตรง ใช่ไหม (ใช่)  การที่เราจะเปลี่ยนแปลงคนๆ หนึ่งนั้น บางครั้งเรารู้แล้วว่าเขาทำตัวไม่น่ารักนะ เราจะเอนเอียงไม่ได้ แล้วเราจะบอกเขาอย่างไรดี ให้เขารู้ เราจะต้องบอกเขาว่า เหมือนจะน่ารักนะ จริงๆ ก็น่ารักนะ แต่ถ้าแก้อีกนิดหนึ่งจะน่ารักยิ่งขึ้น  ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นคือใช้ความบริสุทธิ์แล้วใช้ความคิดที่ถูกต้องมาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงคน แล้วก็ได้เปลี่ยนแปลงฝึกฝนตัวเราเองด้วย จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่เช่นนั้นแล้วเออออห่อหมกไป เราจะกลายเป็นคนที่ปล่อยคนชั่วให้ได้ใจ  ปล่อยคนดีให้
ยอมแพ้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นใจต้องบริสุทธิ์ การกระทำต้องถูกต้องด้วย
คราวนี้รู้แล้วว่าเวลาบำเพ็ญ ต้องทำสามอย่างนี้ให้ได้ คือรักษาใจให้บริสุทธิ์ มีความคิดที่เมตตากรุณา มีท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตน แต่บางครั้งพอบำเพ็ญแล้วมีท่าทีอ่อนน้อม คนจะรู้สึกว่าไม่มีเกียรติ จริงไหม (จริง)  ทำไมเราต้องยอมเขา เสียเกียรติและเสียเหลี่ยมเรา เสียเชิงชายไหม (เสีย)  การอ่อนน้อมกับคนอื่นเสียเชิงชายไหม (ไม่เสีย)  เสียเกียรติไหม (ไม่เสีย)  ทำไมถึงไม่เสีย  หลายต่อหลายคนนั้นพอบอกให้มาบำเพ็ญธรรมต้องมีความอ่อนน้อม บอกให้เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้นะ ไม่เอาเดี๋ยวเสียภูมิ เสียเกียรติหมด  จริงไหมหัวหน้า (จริง)  ตอบมาจากใจลึกๆ ไม่ต้องอ้อมแล้วศิษย์พี่อยากฟังตรง ๆ จริงไหม (จริง)  บางครั้งเวลาเราอ่อนน้อมกับเพื่อน เขาโกรธหรือว่าเรา เรายิ้มให้อภัย เสียเกียรติจังเลยทำไมต้องไปยอมจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรายอมได้ เรามีเกียรติยิ่งกว่าเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเกียรตินี้คือ เราชนะใจตัวเองได้ และยังสามารถชนะเขาได้ด้วย ยิ่งเวลาเขาโกรธเรา เราบอกว่าไม่เป็นไร แล้วแต่เธอจะโกรธฉันแต่สักวันเธอจะเข้าใจ เขาก็จะไม่โกรธ จริงไหม (จริง)  เวลาเขาโกงเราสิบครั้ง เรารู้แต่ก็ยังไปซื้อกับเขาถึงสิบครั้ง เขาจะรู้สึกแพ้ไหม  
(รู้สึก)  แล้วเรามีเกียรติไหม (มี)  มีเกียรติตรงไหนรู้ไหม  มีเกียรติตรงที่ตอนหลังเขาจะเคารพนับถือเรา และเขาจะเชื่อเราใช่ไหม (ใช่)  แต่คนที่ไม่รู้จักมีคุณธรรม ไม่รู้จักอ่อนน้อม ไม่รู้จักซื่อสัตย์ เกียรติของเขา หรือความน่าเชื่อของเขา ก็ยังไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำดี สิ่งหนึ่งที่คอยยับยั้งและคุมใจเรานั่นคือความละอาย ความผิดชอบชั่วดี ถ้าเกิดเป็นคนหมดสิ้นซึ่งสองอย่างนี้ ยากจะเรียกว่าผู้ประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์น้องหากตั้งใจจะเป็นคนดี เมื่อตั้งใจจะบำเพ็ญ ก็อย่าถือว่าการมีธรรมะเป็นเรื่องเสียเกียรติ ศิษย์พี่ว่าไม่ใช่ ถ้าคิดให้ดีๆ กลับเป็นเรื่องที่มีเกียรติและน่าภูมิใจยิ่งนัก เพราะอย่างน้อยเราก็มีศักดิ์ศรีของเรา เรามีธรรมของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงรักษาให้ดีๆ แล้วศิษย์น้องจะเป็นคนที่มีค่าและมีเกียรติที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังนับถือ  แต่ถ้าทำไม่ได้ศิษย์น้องก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีวันได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่องค์เดียว กลัวไหม (กลัว) ตายไปแล้วเจอแต่วิญญาณมาฉุด มาดึงไป ไม่เจอพุทธะ ไม่เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลัวไหม (กลัว) หากมีชีวิตยังหวาดกลัว หากมีชีวิตยังหวั่นวิตก แต่ว่ายังทำไม่ได้ดี แต่ถ้ามีชีวิตกลัวไหม ไม่กลัว ไม่หวาดหวั่น นั่นแหละ ได้ดีแล้ว จริงไหม (จริง)  แล้วตอนนี้กลัวไหม (ไม่กลัว)  หวาดไหม (ไม่หวาด)  แน่ใจหรือ (แน่ใจ)  ว่าดีแล้ว  ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นะ หน้าอย่างนี้ โกหกไหม (ไม่โกหก)  ฆ่าสัตว์ไหม (ฆ่า)  ดีแล้วหรือศิษย์น้องที่ยังฆ่าอยู่ ใช่ไหม โกหกไหม (ไม่โกหก)  พูดได้อย่างไร ทำได้อย่างนั้นเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  คนไม่เป็นนั้นเก่ง แปลว่ารู้ตัวเอง (ผมชอบยิ่งใหญ่)  ทำไมชอบยิ่งใหญ่ล่ะ เล็กกระจ้อยร่อยก็มีค่านะ ใช่หรือไม่ อย่างนั้นศิษย์พี่ขอเป็นเล็กกระจ้อยร่อยแล้วกัน  เพราะศิษย์น้องเป็นใหญ่แล้วใครจะเล็กล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเรายอมเล็กเพื่อให้คนอื่นใหญ่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเป็นใหญ่ตลอดเลย เป็นใหญ่ตลอดเหนื่อยนะ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  เหนื่อยที่ต้องคุมคนเยอะๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   แม้ตัวจะเป็นใหญ่แต่ใจเล็ก อ่อนน้อม อย่างนี้สิจึงเรียกว่าใหญ่จริง ถ้าตัวใหญ่ ใจใหญ่ด้วย แบบนี้ขี้ขลาดแน่นอนเลย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะศิษย์พี่เห็นมาเยอะแล้ว ฉันเก่ง ฉันแน่ พอเอาเข้าจริงๆ กลัวยิ่งกว่าอะไรดี  ใช่หรือไม่ (ใช่) ว่าจะรีบๆ มา รีบๆ ไปก็ใช้เวลาเยอะเลยนะ  
“ประทีปธรรมให้ทางส่องสู่ชีวี”  ฉะนั้นเมื่อตั้งใจจะทำแล้ว ขอให้ทำให้ได้ดีนะศิษย์น้อง ได้หรือเปล่า ยิ่งศิษย์น้องอยากจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรจะต้องมีความเข้มแข็ง แล้วก็ต้องมีความดีด้วย ใช่ไหม (ใช่)  คนเราจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคนอื่นได้นั้นต้องมีหลักที่มั่นคง แล้วมีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยว ไม่เช่นนั้นศิษย์น้องจะเป็นไม่ได้เลยแม้สักต้นเดียว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม ศิษย์พี่รู้ว่าศิษย์น้องรักตัวเอง รักครอบครัว แต่เท่านั้นไม่พอ หากมีแต่รักตัวเองรักครอบครัวไม่รักคนอื่น ศิษย์น้องก็เอาตัวไม่รอด จริงไหม (จริง)  จะต้องรู้จักรักตัวเอง รักครอบครัว และรักคนอื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงจะเป็นคนที่สามารถอยู่บนโลกเป็นที่ต้องการของคนอื่น และร่วมกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข ใช่ไหม (ใช่)  
ฟังมาตั้งเยอะแล้วคงพอจะจับใจความอะไรได้บ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)   พอจับใจความได้บ้างไหม นั่นก็คือเกิดเป็นคนต้องมีจุดยืนที่มั่นคงและถูกทาง นั่นก็คือความดี คุณธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีจุดยืนแล้วก็ดำเนินไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ อย่างเช่นอยากเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็รักษาความซื่อสัตย์ไว้ยิ่งชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากเป็นคนกตัญญูรู้คุณ ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ หากเขาทำดีกับเรา เราถือความกตัญญูเป็นหลักตอบแทนคุณเขาด้วยความอ่อนน้อม ด้วยความจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องใจ ที่ศิษย์พี่บอกมีสามอย่าง มีใจบริสุทธิ์ มีจุดยืน  แล้วก็มีความคิดเมตตารักใคร่คน  แล้วก็มีท่าทีที่อ่อนน้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากบำเพ็ญตนแล้วใช้สี่อย่างนี้ศิษย์น้องก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งได้ และเป็นผู้บำเพ็ญได้ ทำได้ไหม (ได้) ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเสียงฝ่ายชายยากไหม (ไม่ยาก) ไม่ยากเลยถ้าทำได้ทั้งสี่อย่างนี้ ศิษย์น้องจะสามารถอยู่ร่วมกัน คนที่สูงก็สูงได้ กลางก็อยู่ได้ ต่ำก็อยู่ได้ ท่าทีที่อ่อนน้อมจะทำให้เราอยู่กับผู้ใหญ่ได้อย่างน่ารัก ด้วยใจที่คิดแต่เมตตารักใคร่ จะอยู่กับเพื่อนได้อย่างเป็นสุข ด้วยใจที่เมตตารักใคร่และมีความอ่อนน้อมอยู่กับน้อง น้องจะเป็นอย่างไร  รักเราเชื่อฟังเรา เพราะพี่ไม่ถือตัว ไม่เอาความเป็นพี่ข่มเหง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากศิษย์น้องปฏิบัติได้สี่อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งแล้ว เป็นผู้ที่พร้อมก้าวเดินฝึกฝนเป็นพุทธะ อยากฝึกไหม (อยาก)  หรือว่าพอใจในความเป็นคนแล้ว ศิษย์น้องหลายต่อหลายคนมักจะพอใจการเป็นคน ศิษย์พี่ให้ดูง่ายๆ ดูไม้ท่อนนี้ ไม้ท่อนนี้ถ้าโยนขึ้นไปปุ๊บ สักพักก็ตกลงมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดศิษย์พี่เหลาปลายให้แหลม แล้วหาไม้อีกอันหนึ่งมาทำเป็นคันธนู แล้วยิงขึ้นไป แรงของอะไรไปได้แรง หรือสูงกว่ากัน แรงที่เปลี่ยนเป็นคันธนูแล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์น้องดูน้ำ ในแก้วนี้ถ้าเทต่ำๆ ไหลได้แรงไหม แต่ถ้าอยู่สูงๆ แล้วเทมาแรงไหม (แรง)  แรงใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่างอะไรกันหล่ะ ศิษย์น้องมักจะดูถูกตัวเองว่า เหมือนน้ำธรรมดาในแก้ว เหมือนไม้ธรรมดาที่ไร้คุณค่า แต่อย่าลืมว่าไม้ธรรมดาที่ไร้คุณค่านี้ หากรู้จักเหลา รู้จักเพียรพยายาม รู้จักอดทน และมีความเด็ดเดี่ยว ไม้นี้ก็อาจจะเป็นธนูที่พุ่งสูงสุดได้ จริงไหม (จริง)  น้ำนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากพอใจในความเป็นน้ำเท่านี้แล้ว เกิดเป็นคนทุกข์สุขพอแล้ว เดี๋ยวก็ตาย แต่กับอีกหนึ่งที่คิดว่ายกตัวเองสูงหน่อย ยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งดี แรงในการไหลยิ่งมีประโยชน์ไปได้ไกล ใช่ไหม (ใช่)  แต่น้ำต่ำๆ ไหลไปได้ไกลไหม (ไม่ไกล)  ไม่ไกล นั่นแหละศิษย์น้องพอใจชีวิตตัวเองเท่านี้หรือ ในเมื่อมีคนมาบอกศิษย์น้องว่า ชีวิตศิษย์น้องยังมีค่ามากกว่านี้ ยังเป็นได้สูงกว่านี้ ศิษย์น้องจะไม่คิดหรือจะไม่ลองพยายามบ้างหรือ ลองบ้างไหมล่ะ  ลองไปก็ไม่เสียหลายนี่ จริงไหม (จริง)  แต่การจะลองนั้นศิษย์น้องต้องยอมรับก่อนว่า ต้องใช้ความพยายามหนึ่งข้อ ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวอีกสองข้อ และต้องใช้ความอดทนอีกสามข้อ ไหวไหม (ไหว)  อยากเป็นไหม (อยาก)  ในเมื่อชีวิตนี้อดทนไหม อดทน บางครั้งอยู่ในโลกนี้ต้องทนในความทุกข์ยาก ทนในคำพูดคน ทนไหม (ทน)  ทนเพิ่มอีกหน่อยหนึ่งไม่เห็นเป็นไรเลย แถมทนแล้วได้เป็นพุทธะ ดีกว่าทนแล้วให้เขาชี้หน้าด่า จริงไหม (จริง)  ทนไหมล่ะ พยายามนิดหนึ่งก็สำเร็จ แต่สำเร็จนี้สำเร็จเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พยายามไหม (พยายาม) จะเด็ดเดี่ยวหรือเปล่าขึ้นอยู่กับศิษย์น้อง อย่าดูถูกตัวเองว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่ศิษย์พี่อยากจะบอกว่าคนธรรมดาทั่วไปนี้ หากรู้จักฝึกฝนตน ควบคุมตนก็เป็นพุทธะและเป็นคนดีให้คนเคารพนับถือได้ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเช่นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ที่สำเร็จกัน ขออย่างเดียวอย่าดูถูกตัวเองว่าเป็นไม่ได้ วันนี้ก็จบเท่านี้แหละ จะกลับแล้วนะ 
“ด้วยเคยชินไม่รู้คิดสิริ”  เพราะศิษย์น้องมักจะเคยชินใช้ชีวิตทุกข์สุขมีอารมณ์มีโมโหมีตัณหา แต่ลืมไปว่าถ้าคิดให้ดีๆ เรานี่แหละคือคนๆ หนึ่งที่จะฝึกเป็นพุทธะได้  เรานี่แหละเป็นคนๆ หนึ่งที่แม้จะไม่ได้เป็นพุทธะ ก็ยังเป็นคนที่ตายไปแล้วทิ้งชื่อให้คนอยากเจริญรอยตามได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ขออย่าดูถูกตัวเอง แต่ก่อนศิษย์พี่ก็เคยคิดว่าเหมือนกับศิษย์น้องเป็นคนธรรมดา เป็นเด็กธรรมดา มีชีวิตอิสระ แต่พอได้รู้จิตเดิมแท้ของตัวเอง มาได้รู้ถึงพุทธะภาวะของตัวเองจึงเริ่มฝึกฝนตน จึงเริ่มควบคุมตน แล้วจึงเริ่มบำเพ็ญตนเพื่อให้เป็นคนดี อยากไหม 
พูดตั้งเยอะแล้วยังไม่มีใครอยากไปสวรรค์กับศิษย์พี่เลย แค่สวรรค์ก็ไม่เอา แล้วนิพพานจะไปถึงหรือ ใช่ไหม อยากไปไหม (อยากไป)  แล้วทำไมกุมขมับแล้วล่ะ 
วันนี้หมดเวลาของศิษย์พี่แล้ว จะกลับแล้ว สัจธรรมสอนเราแล้ว เมื่อมีเจอหน้าก็ต้องมีจาก ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตก็เหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา บางครั้งต้องรู้จักปลงบ้างนะ ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ได้)   โดยยึดหลักแนวทางของคุณธรรมเป็นพื้นฐาน รักษาจิตให้บริสุทธิ์สะอาด จะไปแล้วนะ ศิษย์พี่พยามยามพูดธรรมะวันนี้ง่ายที่สุดแล้วนะ ถ้าใครยังฟังยากอยู่ ฟังไม่เข้าใจยังมีข้อสงสัยให้กลับมาศึกษาบ่อยๆ ดีไหม (ดี)  เรียนรู้การเป็นพุทธะไม่สามารถเรียนได้ในสองวันแล้วจะเป็นพุทธะได้ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์น้องกินข้าวยังต้องกินทุกๆ วันเลย  เรียนธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกันต้องใช้ทุกๆ วันแล้วก็ต้องศึกษาทุกๆ วัน หากหัวใจว่างไปสักนิดหนึ่ง ระวังความชั่วร้ายจะมาแทนที่ธรรมะนะ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า แม้กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด อย่าทำให้สภาวะเปลี่ยนใจอันมุ่งมั่นของศิษย์น้องเด็ดขาด ตั้งใจบำเพ็ญอย่างไรก็จงตั้งใจต่อไปนะ ยากลำบากเพียงใดก็ขอให้ฝ่าภยันอันตรายกลับไปหาอาจารย์ของศิษย์น้องได้อย่างปลอดภัยและเข้มแข็ง การบำเพ็ญธรรมอาจจะดูเป็นเรื่องไม่ยาก แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลย ใช่ไหม (ใช่)  ต้องชนะใจตัวเอง ต้องชนะใจคนอื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เรายิ่งท้อแท้ยิ่งต้องทุกข์ ยากจะบำเพ็ญได้ บำเพ็ญธรรมศิษย์พี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร รู้ว่าศิษย์น้องมีความทุกข์ยากไม่เหมือนกัน เจออุปสรรคมากมาย แต่ถ้าศิษย์น้องไม่สู้ ไม่ฝืนตัวเองบ้าง ก็จะไปไม่ถึงใช่หรือไม่ (ใช่)  รักษาตัวเองให้ดี ดูแลจิตดูแลกายให้ดีนะ อย่าเป็นลูกศิษย์ที่ดื้อของอาจารย์ อย่าทำให้อาจารย์ต้องทุกข์มาก รู้หรือเปล่า เข้มแข็งหน่อยนะ ไปแล้วนะ อยากพาไปจังเลย อย่าหลงในโลกนี้มาก โลกนี้แท้จริงไม่ได้สวยงามอย่างที่ศิษย์น้องคิด


วันอาทิพย์ที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ความจริงกับมายาเหมือนกันจนคนงุนงง ถ้าใจมิตรงเท็จจริงปนเปกันไป
หนทางบนโลกาแม้เดินไปไกลเพียงใด ยังมินำใจพ้นทุกข์ไปสักวันเวลา
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฮุ่ยจื้อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนพร้อมจะบำเพ็ญธรรมหรือยัง

ความเมตตายืดอายุให้ยืนนาน อันสังขารเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวหนา
ขอให้ใช้วันเวลาสร้างคุณค่า วันข้างหน้าขอเจอแต่สิ่งดีดี
บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญกายบำเพ็ญใจ มั่นคงไว้เจอปัญหาอย่าคิดหนี
อ่อนน้อมลงจึงจะพบแต่เรื่องดี เป็นดั่งพี่เป็นดั่งน้องปรองดองกัน
ตรองละเอียดในเรื่องควรจะละเอียด อย่าคร้านเกียจในความพยายามนั้น
จงคิดน้อยหากเป็นคนน้อยใจกัน จงขยันศึกษาธรรมสร้างคุณงาม
ในยุคนี้บำเพ็ญธรรมในครัวเรือน หัวใจแห่งนักสู้เยือนคนพยายาม
จงจริงใจให้กันทั้งรูปนาม อย่ามองข้ามสิ่งสำคัญจึงได้ดี
ฮา   ฮา  หยุด

ความจริงกับมายาเหมือนกันจนคนงุนงง   ถ้าใจมิตรงเท็จจริงปนเปกันไป
หนทางบนโลกาแม้เดินไปไกลเพียงใด   ยังมินำใจพ้นทุกข์ไปสักวันเวลา
หากแม้นใครอยากพ้นความทุกข์บำเพ็ญธรรมา   ขวนไปขวายมาไม่ทุกข์ใจของคนยอมปลง
ความจริงกับมายาเหมือนกันจนคนงุนงง      ยามอัตตาลดลงรู้ยืมปลอมบำเพ็ญจริง

ชื่อเพลง : ความจริงกับมายา
ทำนองเพลง : ตาอินกะตานา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์ทุกคนไม่ได้มีความสุขทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าในปีหนึ่งถ้ามีความสุขสักห้าวันพอไหม (มีไม่ถึง)  ความสุขจริงๆ มีเต็มห้าวันไหม (ไม่มี) ทำไมไม่มีด้วยหรือ แล้วถ้าบอกว่าให้ห้าวันแล้วยังไม่เอาอีก ถือว่าเป็นคนอะไร เป็นคนที่ไม่สามารถมีความสุขได้ทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีห้าวันพอไหม (พอ, ไม่พอ)  ก็เลยอยากจะมีความทุกข์ไปทุกวันอย่างเดิม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วให้ห้าวันพอหรือไม่พอ ศิษย์รักคนงกทั้งหลายพอไม่พอ  ใครคิดว่าตัวเองงกบ้างยกมือขึ้น ใครรู้ตัวเองไม่งกยกมือขึ้น เอาอย่างนี้ให้พี่เลี้ยงดู เดี๋ยวถ้าใครไม่ยกมือไม่ทำตามสักอย่าง จะให้ลงห้องพระเลยดีไหม จับสิตัวเองมีร่างกายไหม (มี) จับดูสิใช่ไหม (ใช่)  เอาใจมาด้วยหรือเปล่า (เอามา) จับปากสิพูดได้หรือเปล่า (พูดได้)  พูดเป็นแต่เรื่องไร้สาระหรือเรื่องมีสาระ (มีสาระ)  วันนี้อาจารย์มาทั้งที ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้นดีหรือไม่ (ดี)  เรื่องที่ไม่ได้ถาม เรื่องที่ไม่เป็นสาระ สงสัยบ้างไม่สงสัยบ้างก็ยังไม่ต้องคิดดีไหม (ดี)  ฟังว่าวันนี้จี้กงพูดอะไรดีหรือเปล่า (ดี)  คิดแค่นั้นก็พอนะ  ไหนลองจับตัวเองใหม่สิว่าอยู่ไหม (อยู่)  มือมีไหม (มี)  พร้อมจะยกหรือยัง (พร้อม)  ใครไม่ยกเดี๋ยวให้ออกจากห้องเลยนะ แน่ใจไหม (แน่ใจ)  
คนทุกคนไม่สามารถมีความสุขได้ทุกวัน มีความสุขปีละห้าวันพอไหม เรางกหรือไม่งก ใครงกยกมือขึ้น อาจารย์มีแต่ศิษย์ที่เป็นคนงกใช่หรือเปล่า ไหนใครคิดว่าตัวเองมีความสุข ในปีหนึ่งมีไม่กี่วันอยู่แล้ว ให้สักห้าวันนี้ก็พอใจให้ยกมือขึ้น มาสองวันนี้ มาเพื่อรู้ว่าบำเพ็ญธรรมะอย่างไร และมาเพื่อรู้ว่าความสุขนั้นจริงๆ นั้นก็หาง่าย แค่พลิกฝ่ามือ แค่เราทำจิตใจของเรานั้นให้สบาย ความทุกข์ต่างๆ บางทีเราไม่ได้เป็นฝ่ายที่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ว่าลูกหลานของเราไม่ยอมเชื่อฟัง ไปทำเรื่องทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลูกเราทำเรื่องแต่ใครทุกข์ (เราทุกข์) แล้วทำไมเราทุกข์ล่ะ (เพราะเราเป็นแม่) ใช่เพราะเราเป็นพ่อแม่ แต่เราห้ามความทุกข์เหล่านี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้) มีแต่ทำอะไร (ทำใจ)  มีแต่ทำใจ พอทำใจได้แล้ว เราก็รู้สึกมีความสุขขึ้นไหม (มี)  ความสุขของเราที่เมื่อก่อนมีแค่ห้าถึงสิบเปอร์เซ็นต์ มันก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพิ่มมากขึ้นทีละหนึ่งเปอร์เซ็นต์ๆ แล้วเรายินดีที่จะสร้างหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้มาหรือไม่ ยอมหรือเปล่า (ยอม)  ถ้าเราอยากได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้ก็ต้องรู้จักทำใจให้สบายขึ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราอยากมีความสุขขึ้นมาหนึ่งส่วนก็ต้องทำจิตใจนี้ให้เป็นสุขหนึ่งส่วน พูดอย่างนี้ฟังยากไหม (ไม่ยาก) ทำได้ไหม (ได้)  ตอนนี้พาศิษย์เข้ามาอบรม นี่คือภาคทฤษฎี ต้องปล่อยให้ไปปฏิบัติ ถึงจะรู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นทำได้หรือเปล่า  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้แค่นึกถึงหน้าคนที่เราเป็นทุกข์เพราะเขา เราก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงต้องรู้จักที่จะทำอย่างไร ทำจิตใจให้สบายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำจิตใจให้สบาย จิตใจเป็นของใคร (ของเรา)  อยู่ที่ใคร (อยู่ที่เรา) ทุกข์เพราะใคร (ตัวเรา)  อย่าไปโทษคนอื่นเลยนะ ถ้าเวลาเราทุกข์ ทุกข์เพราะคนนั้นทำ คนนี้ทำ ทุกข์เพราะใคร ทุกข์เพราะตัวเราเองทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าเรามีความทุกข์เพราะคนอื่น แท้จริงแล้วเราทุกข์เพราะเราไม่รู้จักห้ามจิตใจของตัวเอง ห้ามอะไร  ห้ามให้กังวล เราไม่รู้จักห้ามจิตใจของเราไม่ให้กังวล ไม่รู้จักห้ามจิตใจของเรานั้นให้รู้จักยับยั้งชั่งใจว่านี่ผิดและนี่ถูก สิ่งนี้ควรทำและไม่ควรทำ เราไม่ค่อยได้ยับยั้งชั่งใจสิ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดาไหมที่เรามีความทุกข์ (เป็นธรรมดา)  แล้วทุกข์เพื่อใคร (ตัวเอง)  เราทุกข์เพื่อตัวเอง เพราะฉะนั้นเราจึงได้ชื่อว่า เป็นปุถุชน เป็นคนธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หลังจากสองวันนี้ไป เรามานั่งฟังธรรมะจนเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยหรือไม่เหนื่อย เมื่อยหรือไม่เมื่อย (ไม่เมื่อย)  อย่างนั้นนั่งต่ออีกสามวันดีไหม (ดี)  ทุกวันก็มีข้าวให้กินดีไหมดี (ดี)  ดีแต่ปากหรือเปล่า วันนี้มาสองวันแล้ว ไม่ให้เสียทีที่นั่งตั้งสองวัน เราต้องรู้จักที่จะเก็บสิ่งที่เราฟังไปปฏิบัติด้วย วันนี้อาจารย์พูดเริ่มต้นด้วยเรื่องความทุกข์ของมนุษย์ที่ศิษย์นั้นเจอกันทุกวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่อยากมี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักตัวเองว่าที่เรามีความทุกข์นั้นก็เพราะตัวเรา จึงต้องหักห้ามความทุกข์เหล่านี้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ความจริงกับมายาเหมือนกันจนคนงุนงง  
ถ้าใจมิตรง เท็จจริงปนเปกันไป    
หนทางบนโลกาแม้เดินไปไกลเพียงใด  
 ยังมินำใจพ้นทุกข์ไปสักวันเวลา”
ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใช่อะไร คนที่มองตามกระดานรู้ว่าใช่อะไร แต่คนที่ไม่มองตามนี่ไม่รู้ คนที่ไม่ตั้งใจฟังก็ไม่รู้ ใช่หรือเปล่า 
(นักเรียนในชั้นกราบรับพระอาจารย์) 
ใช้อะไรรับ (ใจ)  ใช้ใจของศิษย์รับใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใจของเราเป็นจิตใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าในขณะเดียวกันจิตใจที่บริสุทธิ์นี้แปดเปื้อนไปด้วยกิเลส ถูกหรือเปล่า (ถูก)  อย่างนี้เรียกว่าบริสุทธิ์ไหม (ไม่บริสุทธิ์)  เรามาสองวันนี้ก็เพื่อจะฟื้นฟูจิตใจของเราให้บริสุทธิ์คืนมา ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เวลาที่พื้นสกปรก บ้านเราสกปรกต้องถูไหม (ถู)  แต่ถูนี่ต้องออกแรงหรือเปล่า (ออกแรง) แต่สมมติจิตใจของเราเป็นพื้นที่เราถูอยู่นี่เจ็บไม่เจ็บ (เจ็บ)  เจ็บใช่ไหม แต่ถ้าหากว่ายอมที่จะออกแรงเยอะๆ พื้นก็ทำไม (สะอาด)  อยากให้พื้นจิตใจของเราสะอาดไหม (อยาก)  ยอมเจ็บหน่อยดีหรือเปล่า (ดี)  เวลาที่เราเจอของที่เราชอบมากๆ นี่ อยากกินของถูกปากก็ดี เรื่องถูกใจก็ดี แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักที่จะฝืนใจตัวเองนิดหนึ่ง รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำให้เรามีกิเลส เราต้องรู้จักขัดจิตใจส่วนนั้นของเราทิ้งไปนิดหนึ่ง อาจจะได้ความสุขเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเปอร์เซ็นต์ในวันหลังก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   
วันนี้อาจารย์มาก่อนเที่ยงต้องทำเวลาด้วย ใช่หรือเปล่า  ต้องทำไม่ทำ อย่างนี้เดี๋ยวอาจารย์รีบกลับนะ อยากให้อาจารย์รีบกลับหรือยอมอดข้าว (ยอมอดข้าว)  อดข้าวมื้อหนึ่งตายไม่ตาย (ไม่ตาย)  แต่อดได้ของที่ถูกใจครั้งหนึ่งตายไม่ตาย (ไม่ตาย)  อย่างนี้เราบำเพ็ญสักชาติหนึ่งเป็นอย่างไร ตายไม่ตาย (ไม่ตาย)   ต้องขยันบำเพ็ญทุกวัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาจะโมโหต้องทำอย่างไร ก็ต้องทำใจใช่ไหม (ใช่)  เวลาเราจะไปเล่นหวย เล่นผิดไม่ผิด (ผิด)  ยิ่งเล่นยิ่งจน เพราะฉะนั้นเราต้องหยุดเล่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องทำใจ ใช่ไหม (ใช่)  ทำใจทุกวันที่จะไปเล่นเลย อย่างนี้ก็ดีขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเปิดปากจะต่อว่าคนแล้ว ต้องทำไม เวลาเราอยากจะว่าคนนี้หรือ ลูกหลานคนนี้ ต้องทำอะไร (ทำใจ)  ผู้ชายถ้าอยากสูบบุหรี่ต้องทำอย่างไร (ทำใจ)  ถ้าอยากสูบบุหรี่ก็ทำใจ ถ้าอยากกินเหล้าก็ต้องทำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากไปเที่ยวล่ะ ทำอย่างไร ทำใจ ถ้าหากว่าเราทำใจได้ทุกเรื่อง อย่างนี้ถ้าเรางดได้ แต่ละเรื่องๆ น้อยลงเรื่อยๆ เราก็เป็นคนที่เหมือนคนที่บำเพ็ญธรรมมากขึ้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไร เพราะว่าเรามีการเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก)  เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะอย่างนี้เอง ง่ายๆ  เราก็จะกลายเป็นคนบำเพ็ญมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความจนที่เราเคยกังวลอยู่ทุกวันมันก็จะไม่รบกวนจิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครที่เขานินทาเรา เราก็ไม่สะทกสะท้าน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาที่เราอยากจะได้สิ่งใด แล้วเราไม่ได้มา เราก็ไม่รู้สึกหมองใจ เศร้าใจ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดี นี่แหละเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญต้องทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์จะกลับไปทำไหม (ทำ)  อาจารย์คงไม่กล้าถามว่าปีหนึ่งเปลี่ยนได้สักกี่เรื่อง  เอาเป็นถามว่าปีหนึ่งคิดว่ามีไหมที่เราเปลี่ยนแปลง (มี)  คิดว่ามีนะ อาจารย์ดีใจด้วย ปีหนึ่งเมื่อเราคิดว่าเรามีเรื่องที่เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเรานั้นเป็นผู้บำเพ็ญธรรมได้ดีมากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่ละคนมีเรื่องหนักๆ แล้วก็เรื่องเบาๆ มีเรื่องหนักแล้วก็เรื่องเบาไม่เท่ากัน เรื่องที่เป็นปัญหาของเรามีหนักมีเบาไม่เท่ากันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าหนักๆ อันนั้นมันเป็นความผิดที่ร้ายแรงหน่อย ก็ควรที่จะเปลี่ยนก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงแม้ว่าเราเปลี่ยนแล้วเราจะหนัก แต่ถ้าหากเราเปลี่ยนได้เหมือนยกภูเขาลูกนี้ออกจากอกได้เป็นอย่างไร เราก็เบาใจสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากเรารู้สึกว่าหนักๆ นั้น เราเปลี่ยนไม่ได้ อย่างนี้หันมาใหม่ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นความผิดเราก็ต้องรู้จักเปลี่ยนด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หนักเปลี่ยนไม่ได้ อย่างนั้นเปลี่ยนเบาก่อน ทำได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นการเป็นคนขี้โมโหนี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมากในสายตาอาจารย์ ใครไม่เคยโมโหบ้าง เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง สะสมๆ แล้ว เท่ากับเรื่องใหญ่ๆ เหมือนกัน แต่ว่าทำได้ไหม เปลี่ยนได้ไหม (ได้)  เมื่อเราโมโหได้เราก็เปลี่ยนได้ เพราะว่าใจอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ตัวเรา) ใจอยู่ที่เรา ให้เราเป็นผู้บังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครว่าตัวเองเปลี่ยนได้ พอที่จะกลับไปทำอย่างที่อาจารย์ว่าได้ตอนนี้เชิญนั่งลง  ใครที่นั่งนี้ต้องแน่ใจ ไม่ใช่ว่านั่งตามๆ กันไปนะ  ใครที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนได้นั่งลง ใครที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไม่ได้ให้ยืน  ทุกคนทำได้หมด ถึงว่าทำไมบนสวรรค์ถึงมีเทวดาน้อย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าทุกคนนั้นไม่มีใครคิดว่าตัวเองทำไม่ได้เลย ถึงเวลาพอทำไม่ได้ก็คือเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์จะตกนรก เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ) เพราะว่าคนนั้นบางทีโกหกโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นอย่างนี้ แต่อาจารย์หวังนักเรียนในชั้นนี้เป็นพิเศษ คือสามารถที่จะทำได้อย่างที่ตัวเองนั้นรับปาก ส่วนผู้ปฏิบัติงานธรรมอาจารย์ก็หวังว่าในปีหนึ่งๆ นั้น จะสามารถหาเรื่องที่ตัวเองนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ แม้สักเรื่อง สักสองเรื่องก็ยังดี บำเพ็ญธรรมนั้นเป็นการบำเพ็ญตลอดชีวิต หากปีหนึ่งศิษย์เปลี่ยนแปลงได้หนึ่งเรื่องในเรื่องใหญ่ สิบปีผ่านไปก็สิบเรื่องแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าจริงๆ แล้วชีวิตของคนนั้น ถ้าจะหาเรื่องเดียว แค่นิสัยความเคยชินของเราเพียงเรื่องเดียวนั้นสามารถทำให้เราเป็นคนมีปัญหาตลอดชีวิตทีเดียว เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)  คือปัญหาเรื่องเดียวสร้างปัญหาให้กับศิษย์นั้นตลอดชีวิต อาจารย์หวังว่าเมื่อเราสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นๆ เพียงเรื่องเดียว ปัญหาของเรานั้นก็ลดลงๆๆ ชีวิตนั้นก็มีความผาสุกมากขึ้นๆๆ หรือพูดอีกทีก็คือมีความสุขใจนั้นมากขึ้นๆ มีความทุกข์นั้นน้อยลงๆ ดีหรือไม่ (ดี)  วันหลังเวลาจะไปวัดไปขอพร ไปไหว้พระที่ไหน จะไปขออีกไหมว่าขอให้ครอบครัวนั้นมีความสุข ขอให้ชีวิตราบรื่น ขอให้เงินทองไหลมาเทมา ขอให้หายโรคภัยไข้เจ็บสักที สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นที่พระให้พร  แต่อยู่ที่เรานั้นให้พรตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นครอบครัวเราจะดีขึ้นต่อเมื่อเราบ่นน้อยลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเราบ่นน้อยลงลูกของเราก็ฟังมากขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะนานๆ แม่ของเราจะพูดสักทีหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเราบ่นน้อยลงนิสัยความขี้บ่นของเราน้อยลง คนก็ฟังเรามากขึ้นแล้ว เมื่อเราไม่คิดที่จะบ่นอะไร สมองของเรา จิตใจของเราก็ปลอดโปร่ง สุขภาพก็ดีขึ้น เมื่อไม่เอาเวลาไปเสียเวลากับการคิดมาก กังวลมาก สุขภาพดีขึ้นยังไม่พอ วันๆ มีเวลาว่างทุกวัน เอาเวลาว่างเหล่านี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเวลาว่างไปใช้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ถ้าหากว่ามาบำเพ็ญธรรม จิตใจนั้นก็รวยมากขึ้น แต่หากว่าเอาเวลานั้นไปทำงานทางด้านเงินทองภายนอกจับจ่ายก็มีมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแต่ว่ามนุษย์สมัยนี้นั้น นอกจากขอให้รวยแล้วยังขี้เกียจอีกด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ก็ไม่รู้จะให้อีท่าไหน เพราะว่าอะไร เพราะมัวแต่มาเสียเวลาไหว้ขออยู่นี่เอง แต่ไม่ยอมลงไปทำสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินมาได้อย่างไร เงินมาเองได้ไหม (ไม่ได้)  นอกจากว่ายังมีพ่อแม่มาให้ตัวเองนั้นขอเท่านั้นเอง ถึงจะรวยได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอพระบนแท่นอาจจะไม่สู้ขอพระในบ้านด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้แยกกลอนที่พระนาจาประทานให้และประทานเพลงทำนอง : ตาอินกะตานา)
อาจารย์ยังไม่ได้ให้ร้องเลยนะ อย่างนี้เรียกว่าใจร้อนใช่ไหม (ใช่)  เราเป็นหรือเปล่า (เป็น)  เรานั้นบางทียังไม่ได้ดูคนอื่นเลย แล้วเราก็ใจร้อนออกไป เสร็จแล้วเรื่องต่างๆ ก็ไม่สมใจ ก็โทษคนอื่นใช่หรือเปล่า อาจารย์ไม่ได้ว่าศิษย์นะ แค่ยกศิษย์สอนคนอื่นเท่านั้นเอง 
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาทและถามว่ามีใครต้องการจะแต่งเพลงวรรคสุดท้ายหรือไม่) 
หรือว่าจะแต่งเอง ท่อนสุดท้าย เผื่อมีใครคิดว่าอาจารย์ปลอมๆ มา ก็มาช่วยต่อกับอาจารย์ปลอมๆ หน่อย อย่างนี้อันสุดท้ายลบไปก่อนนะ เผื่อว่าจะมีใครแต่งด้วย 
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงตาอินกะตานา)
ใครอยากแต่งออกมาแต่งสิ จริงๆ แล้วคนไหนที่กล้าสงสัยอาจารย์ก็ต้องกล้าออกมาแต่งดูถึงจะรู้ ดีไหม ถ้าหากว่าตอนนี้ไม่กล้าออกมาแต่งก็อย่ากล้าคิด ดีไม่ดี นับหนึ่งถึงสามนะ คนกล้าต้องไม่ใช้เวลานานมาก พระอาจารย์เมตตานับหนึ่งถึงสาม วันนี้ไม่มีใครที่อยากจะแสดงความกล้าออกมาเหมือนอย่างจิตใจที่สงสัยอยู่ ฉะนั้นจงเก็บจิตใจที่สงสัยนั้นให้มิดลงไปก่อน เดี๋ยวอาจารย์ไปแล้วค่อยมาสงสัยต่อนะ ไม่เป็นไร ความคิดของศิษย์นั้นไม่หยุดนิ่งอยู่แล้ว แต่ว่าจงทำให้มันนิ่งสักชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง เปรียบไปได้เหมือนกับการนั่งสมาธิเหมือนกัน ขอให้เรานั้นทำจิตใจให้สงบดีไหม (ดี)  สงบท่ามกลางความเคลื่อนไหว นี่เป็นสมาธิอันเยี่ยมยอด เพราะว่าเราไม่มีเวลาไปนั่งหลับตาทุกวันๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเรามีเวลาไปนั่งหลับตาทุกวันก็หลับได้เพียงแค่ไม่กี่นาทีใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนนั่งสมาธิไปแต่จริงๆแล้วจิตใจไม่เคยสงบเลย แต่หลอกตัวเองว่าตัวเองนั้นเคยได้นั่งสมาธิและนั่งสมาธิมาแล้ว จริงๆ แล้วถ้าจิตใจไม่สงบ นั่งไปห้าชั่วโมงก็ไม่มีประโยชน์ แต่หากว่าจิตใจของเราสงบได้ท่ามกลางความ
เคลื่อนไหว สามารถที่จะมีอารมณ์โมโหแล้วระงับอารมณ์โมโหได้ นั่นถึงเรียกว่าเยี่ยมยอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเป็นคนก็อยากเป็นคนเยี่ยมยอด ถูกหรือเปล่า (ถูก) เมื่อเรานั้นเกิดเป็นคนเราก็อยากจะเป็นคนที่เยี่ยมยอดที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมไม่ทำล่ะ ตั้งแต่นี้ไปก็ตั้งใจใหม่ ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่ตัวเองเห็นว่าดีที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราคิดนั้นอาจจะยังผิด อาจจะยังพลาด แต่ว่าย่อมดีกว่าการทำอะไรโดยที่ตัวเองไม่มีสติใช่หรือไม่ (ใช่) ดีกว่าการทำอะไรที่ตัวเองนั้นไม่แน่ใจว่าทำไปแล้วจะดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นจงทำอะไรที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด ถึงแม้จะยังมีข้อผิดพลาดบ้าง เพื่อเป็นกำลังใจกับชีวิตของตัวเอง ถ้าหากว่าเราทำสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้ว ตอนหลังโดนคนอื่นว่า ก็ขอให้เราปรับปรุงแก้ไขไปเรื่อยๆ หากคนอื่นเขามองว่าเราผิด บางทีเราไม่มีสิทธิ์อธิบาย แต่ว่าจงให้เวลานั้นได้อธิบาย แต่ว่าหากมีสิทธิ์อธิบายก็จงอธิบายในสิ่งตัวเองคิดว่าถูกนั้นให้คนอื่นได้ฟัง ถ้าหากว่ามีคนค้านมาว่าเรายังคิดผิดอีก เราต้องรู้จักพิจารณาย้อนมองตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ามัวแต่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเองไม่ปล่อยวางไป เพราะว่าทุกคนนั้นมีสิทธิ์ผิดใช่หรือเปล่า (ใช่) ย่อมมิใช่ว่าทุกครั้งที่ทำงานร่วมกันนั้น คนอื่นจะเป็นฝ่ายผิดเสมอ บางทีเราก็เป็นฝ่ายผิดได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงวรรคสุดท้าย)
เวลาที่ศิษย์คิดได้อย่างที่อาจารย์พูดนี้ ก็คือเวลาที่ศิษย์นั้นมีอัตตาลดลง
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงตาอินกะตานาอีกรอบ)
รู้สึกว่าจะร้องเพลงต้นฉบับได้คล่องกว่า ไม่ต้องมองกระดานเลยใช่หรือไม่ (ใช่) การร้องเพลงที่เราเคยชินนี้ก็เหมือนกับนิสัยที่เราเคยชินนั่นแหละ บางทีหัวสมองเรายังคิดไม่ทันเสียงที่เปล่งออกไปเลย เพราะว่าออกมาจากจิตของเรา เพลงอันนี้ได้ฝังลงไปในจิตของเราแล้ว แล้วมันออกมาจากจิต จึงแทบจะไม่ต้องคิดในการที่จะนำออกมา แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเพลงเข้าไปได้ ความเคยชิน นิสัยไม่ดีต่างๆ นั้นก็เข้าไปได้เหมือนกัน แล้วการที่เราจะขัดออกมาก็เป็นเรื่องยาก 
ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน (ความสำเร็จอยู่ที่นั่น) ประโยคนี้ก็คุ้นดีนะ อย่าใช้แต่ “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปนะ” ให้ใช้ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น” และก็ “ทำดีได้ดี” เสมอ ศิษย์จะได้มีเชื่อมั่นในความดีตลอดไป ไม่ว่าทำอะไรก็ดูที่จะงดงาม ดูสมบูรณ์พร้อมด้วยความดีที่เราเอาออกมาจากข้างใน เข้าใจไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องบทเพลงพระโอวาท)
ในเพลงบทนี้นั้นอาจารย์พูดถึงเรื่องจริงกับเรื่องปลอม ความจริงกับมายาคือภาพลวงตานั้นๆ ให้ศิษย์ลองไปคิดดูเอาเองอย่างที่อาจารย์บอกว่า “หนทางบนโลกาแม้เดินไปไกลเพียงใด ยังมินำใจพ้นทุกข์ไปสักวันเวลา” หนทางบนโลกนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม (ของปลอม)  แล้วศิษย์ไปเดินหรือเปล่า ถ้าหนทางบนโลกเป็นของปลอมศิษย์ก็เป็นของปลอม ใช่หรือไม่ (ใช่)  .  อย่างนั้นจะมาอยู่อย่างปลอมๆ ทำไม ก่อนอื่นต้องรู้จักอธิบายว่า หนทางบนโลกนั้นเป็นเส้นทางจริงที่มีอยู่เพราะว่าเราเหยียบย่างได้ เพราะศิษย์ทุกๆ คนนั้นมีชีวิตเหมือนฝัน แต่ชีวิตของศิษย์นั้นเป็นของจริง หนทางบนโลกนั้นเดินไปได้ไกลเท่าไรก็แล้วแต่ ถ้ายังไม่สามารถทำใจให้พ้นทุกข์ได้ก็ไม่สามารถทำให้ตัวเราพ้นทุกข์ได้เช่นกัน แต่หนทางธรรมนั้น เราเดินไปไม่กี่ก้าวเราก็สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้แล้ว จึงบอกว่าเรื่องจริงกับเรื่องปลอมมันซ้อนกันอยู่ หากศิษย์ใช้ใจพินิจพิจารณาก็จะรู้ว่าหนทางบนโลกนี้มันเป็นสิ่งปลอม อย่างที่ศิษย์ข้างหลังตอบอาจารย์ ต้องรู้ว่าภาวะทางธรรมของคนที่นั่งอยู่ที่นี่กับเรานั้นไม่เหมือนกัน การที่เรานั้นจะสอนอะไรใคร จะพูดสิ่งใดออกไปจึงต้องรู้จักพูดตั้งแต่ต้น เพื่อปรับสภาพจิตใจของคนฟังให้เป็นสภาพจิตใจเดียวกับเราเสียก่อนจึงจะสามารถนำพาเขาสู่ฝั่งได้ หากศิษย์นั้นไม่สามารถพูดธรรมะปรับสภาพจิตใจของเขาให้สมดุลกับเราแล้ว ศิษย์จะพูดธรรมะให้ใครฟัง สภาวะธรรมที่สูงส่งแต่รู้อยู่คนดียวก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  . ถ้าเป็นสภาวะที่ปรับได้จนสมดุลกัน เราพูดไปกี่คำก็ฟังได้ทุกคำ อย่างนี้จะมีประโยชน์กว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  .
การแสดงธรรมที่ดีที่สุด การบรรยายธรรมที่ดีที่สุดให้คนฟังนั้น ก็คือการที่เรานั้นทำได้ในสิ่งที่เราพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  .คำนี้ฟังมาประจำ แต่ว่าฟังนานๆ ก็เริ่มที่จะชินชา จึงต้องรู้จักที่จะเรียกร้องตัวเองให้ก้าวหน้า และก็ก้าวหน้าไปอีกอย่าได้หยุดลง 
ในเพลงนี้อาจารย์พูดอย่างนี้ก็เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า
หนทางนั้นมีอยู่จริง แต่นำไปสู่ความปลอมจึงเรียกว่าของปลอม ศิษย์ของอาจารย์นั้นมีชีวิตอยู่จริง ถ้าเดินบนหนทางทางโลกแล้วรู้สึกปลอมก็ให้เอาจิตใจของเราที่เป็นของจริงมาเดินบนเส้นทางจริงๆ ก็คือ เส้นทางธรรมเพื่อนำจิตใจของเรานั้นให้พ้นทุกข์แล้วคืนสู่ฝั่งได้ พยายามหน่อยได้ไหม (ได้)  ตอนนี้มีโอกาสมาบำเพ็ญธรรม มีโอกาสมาเป็นศิษย์ของอาจารย์ ขอให้มีปณิธานมีความตั้งใจมุ่งมั่นจะได้เป็นมือขวามือซ้ายของอาจารย์ไปช่วยคน ใช่หรือเปล่า (ใช่)    .
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนในชั้น)
ลูกใหญ่หรือลูกเล็ก  (ลูกใหญ่)  หัวหน้าผู้หญิงจะเอาลูกใหญ่ งกตามแบบฉบับมนุษย์ใช่ไหม  อาจารย์จะบอกให้ มรรคผลยิ่งลูกใหญ่ ยิ่งต้องลงแรงเยอะ ลงแรงเยอะอุปสรรคก็เยอะ จะต้องมีความอดทนมากๆ นะ 
นั่งที่นี่นั่งอย่างมีความสุขหรือเปล่า เวลาจิตใจของเราร้อนนั้น เราย่อมไม่มีความสุข แต่หากว่าอากาศร้อน เราจงทำจิตใจของเราให้มีความสุข เพื่อสลับกัน ดีหรือไม่ (ดี) อย่าได้ถูกสภาวะแวดล้อมข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นอากาศก็ดี ความเครียดก็ดี มาโน้มน้าวให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ไร้ความสุข วันนี้ทานข้าวสักบ่ายโมงได้ไหม (ได้)
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมแม่ครัว)
วันนี้แม่ครัวยังอุตส่าห์ขึ้นมาได้นะ ทำอาหารเสร็จหรือยัง (เสร็จแล้ว)  นอกจากเจียดเวลามาสร้างกุศลแล้ว ยังต้องรู้จักบำเพ็ญจิตใจให้ดีๆ ด้วย เพราะว่าการบำเพ็ญภายนอกกับการบำเพ็ญภายในต้องควบคู่กันไป  ภายนอกรู้จักออกแรงมาสร้างกุศล ภายในต้องบำเพ็ญเพิ่มให้ทัดเทียมกันไปด้วย ไม่เช่นนั้นถ้าจิตใจเราไม่ดี วันๆ คิดแต่เรื่องไม่ดี หรือคิดเรื่องดีน้อยกว่าเรื่องไม่ดีอย่างนี้  ย่อมเสียแรงที่เรานั้นบำเพ็ญมานานแต่จิตใจไม่ได้บำเพ็ญ เพราะฉะนั้นต้องรักษาจิตใจของเรานั้นให้ดีๆ และสะอาดๆ ด้วย เก็บกวาดบ้านก็ต้องเก็บกวาดจิตใจของเราให้สะอาดด้วยเข้าใจไหม (เข้าใจ) ไหนดูสิว่าอนาคตคนที่จะเป็นแม่ครัวใหญ่หน้าตาเป็นอย่างไร มีกี่คน สามคน ใช่หรือไม่ อาจารย์ขอให้วันนี้เรียนรู้งานให้มากๆ วันหลังเรามาตั้งหลักทำเองได้ วันหลังถ้าหากมีคนมาช่วยเยอะอย่างนี้อีก เราก็ทำหน้าที่เป็นแม่ครัวใหญ่ และมีลูกมือมากมาย เรียกว่าตำแหน่งนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกไม่ใช่สิ่งที่จริงๆ ผลัดกันชมอย่าไปยึดติด เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ไม่จำเป็นว่าคนที่ยิ่งใหญ่แล้วต้องใหญ่เสมอไป คนที่ยิ่งใหญ่แล้วยอมก้มหัวลงมานั้นถึงจะเป็นคนยิ่งใหญ่ตลอดกาล เข้าใจไหม (เข้าใจ)  สามคนนี้เป็นอะไร เขาเรียกพ่อครัวจะเป็นแม่ครัวไหม
บำเพ็ญธรรมต้องพูดดี คิดดี ทำดีให้ปรากฏ เมื่อคนอื่นเห็นก็รู้ว่า อ้อ! คนนี้บำเพ็ญธรรม อยากจะตามเรามาบำเพ็ญ อันนี้ให้กำลังใจ
กระสังอยู่ที่ไหน (บุรีรัมย์)  เมื่อสักครู่อาจารย์มาต้นๆ อาจารย์พูดถึงเรื่องความสุขให้ศิษย์ฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเรื่องความสุขนั้นยังมีถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทีนี้คำว่า “เปลี่ยน” ตรงข้ามกับคำว่าอะไร ไหนใครตอบได้ คำว่าเปลี่ยนแปลงตรงข้ามกับคำว่า ต้องคิดให้ดีๆ บางทีเรามองของหลายอย่าง เราก็มองๆ ไป มองแล้วเหมือนกับว่าเหมือนๆ กัน เหมือนกับที่เรามองธรรมะก็เหมือนๆ กัน แต่ว่าถ้าบำเพ็ญปฏิบัติแล้วไม่เหมือนกัน เปลี่ยนแปลงตรงข้ามกับคำว่าอะไรตอบไม่ได้เหรอ (มั่นคง ถาวร)  “มั่นคงถาวร” ปรบมือให้หน่อย เป็นศิษย์อาจารย์นานๆ เจออาจารย์ที ไม่เอาในสิ่งที่อาจารย์ให้ได้อย่างไร อาจารย์ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ให้ของแล้วจะไม่เอา ใช่ไหม หรือว่าใช่ ถ้ามองเฉพาะข้างนอกก็ใช่อยู่นะ ใช้ใจสื่อใจดีหรือเปล่า (ดี)  คำว่าเปลี่ยนแปลงตรงข้ามกับคำว่า “คงมั่น มั่นคง”
คำว่าเปลี่ยนแปลงคือเปลี่ยนแปลงทุกเมื่อ คงมั่นคือไม่เปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คราวนี้มีเรื่องพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงแล้ว และในส่วนที่เราต้องคงมั่นไว้นี่ คืออะไรบ้าง ต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง ใครอยากตอบลุกขึ้นตอบ     สิ่งที่ชีวิตนี้เราต้องคงมั่นไว้มีอะไรบ้าง (ใจของเรา)  จะรอดทางไหน (เพื่อความอยู่รอด)  จะรอดทางไหนล่ะ  จะให้ชีวิตนี้รอดไปจนถึงร้อยปี  แล้วค่อยตายหรือว่าจะเอาให้ชีวิตจิตญาณ รอดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เอารอดทางไหน (รอดจากการเวียนว่ายตายเกิด)  (มีสัจจะ, มีความมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดี, พยายามทำแต่ความดี, ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด, มั่นคง คุณธรรมประจำใจ, บำเพ็ญแต่กุศล เพื่อความดียั่งยืนต่อไป)  ไหนลองดูซิว่าตอนนี้ ผู้หญิงกับผู้ชายใครแพ้  ผู้ชายที่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น ผู้หญิงที่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น ประมาณโหลหนึ่ง  อย่าคิดว่าผู้หญิงชนะนะ เพราะว่าผู้หญิงมีปริมาณมากกว่า ใช่หรือเปล่า ต้องให้ชนะแบบขาดลอย (ต้องยึดมั่นสัจจะ, มีความแน่วแน่ ไม่แปรผัน, ทำความดี)
เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลง และตรงข้ามกับคำว่าคงมั่น เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์จะบอกว่า เปลี่ยนแปลง ก็คือเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่ดี ให้กลายเป็นดีมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนคำว่า “คงมั่น” หมายถึง คงสิ่งที่เราดีอยู่แล้ว ให้ดีอยู่เรื่อยๆ ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นความดี การเป็นลูกที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ การเป็นลูกสะใภ้ที่ดี การเป็นลูกของแม่ที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังมีอีก การเป็นเพื่อนบ้านที่ดี การที่เราไม่โลภมากเกินไป การที่เรานั้นไม่โกรธมากเกินไป ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเห็นผู้อื่นที่ทำไม่ดี แล้วเขาได้ดีแล้ว เราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เราจะเปลี่ยนแปลงจากการที่เราเป็นคนดีมากอยู่แล้ว เห็นว่าคนอื่นนั้นทำไม่ดีแล้วได้ดี เราก็จะไปทำตามคนๆ นั้นได้หรือไม่ (ไม่ได้)
แต่ในชีวิตของความเป็นจริงแล้ว อาจารย์เห็นศิษย์หลายคน เมื่อตัวเองทำดีอยู่แล้ว แต่เกิดความรู้สึกว่า ตัวเองทำดีไม่มีคนเห็นข้อดี แต่คนๆ นั้นเนี่ยใครๆ ก็เห็นเขาทำไม่ดี แต่เขาก็ยังได้ดีไปเรื่อยๆ เกิดความรู้สึกว่าไม่มั่นคงในความดีของตัวเอง เกิดการเปรียบเทียบกับคนๆ นั้นว่าเป็นอย่างไร แล้วเราก็ไปทำตามคนๆ นั้นเสีย โดยที่เราไม่ได้นึกถึงความเป็นจริงเลยว่า ผลของกรรมนั้นเป็นอย่างไร
สิ่งที่เรานั้นศึกษามาตั้งแต่เล็กจนโต เกี่ยวกับเรื่องของบุญๆ กรรมๆ นั้นคือ กฎแห่งกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่าทุกๆ วันนี้เรายังเชื่อกฎแห่งกรรมไหม (เชื่อ)  ทุกวันนี้เราทำความดีมากกว่าหรือความไม่ดีมากกว่า (ไม่ดีมากกว่า, ดีมากกว่า)  ความดีแล้วก็มีความไม่ดีด้วย แล้วแต่ศิษย์ของอาจารย์จะตอบแล้วกันนะ ถ้าอย่างไรอาจารย์ก็ยังเชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น ยังเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี สำหรับไว้ปลูกต้นไม้ที่ดีให้งอกงาม ขอให้เรานั้นเลือกในสภาวะที่พร้อมที่ดี ก็คือดินที่ดีในการปลูกต้นไม้ของเรา การเลือกนี้เป็นการเลือกอย่างไร เลือกที่จะคบคนที่ดี เลือกที่จะคิดดี เป็นพื้นดินให้กับการปลูกต้นไม้ของเรา แต่ไม่ใช่การเลือกจนไม่ได้อะไรเลย  มีบางคนเวลาจะแต่งงานทั้งที ก็เลือกแล้วเลือกอีก จนกระทั่งเราไม่ได้แต่งงาน เวลาที่เราจะกินข้าวสักชามหนึ่ง ก็เลือกอาหารไป เลือกอาหารมา จนกระทั่งเรานั้นไม่ได้กินข้าว จะเลือกใส่เสื้อผ้าทั้งทีก็เลือกไปเลือกมา จนเสียเวลาเป็นชั่วโมง ขอให้เราเลือกแต่พองาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งการเลือกคบคนที่ดีนั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เรารู้ได้อย่างไรว่าเราคบคนที่ดี ก็มองตัวเราสิว่าดีหรือเปล่า ถ้าเรามีคนที่คบเรามาเราก็อาจจะเป็นคนที่ดี  แล้วก็จงรู้ว่าคนนั้นชอบเลือกคบคนที่ดีมากกว่าคนที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
จงทำตัวเราให้ดีเสมอ เอาตัวเรานั้นไปเทียบกับความไม่ดีต่างๆ จนกระทั่งจิตใจของเรานั้นมันขาดประสิทธิภาพ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  สิ่งที่ศิษย์นั้นต้องคงมั่นไว้ เมื่อสักครู่ที่อาจารย์ตอบ บางคนตอบเป็นความซื่อสัตย์ บางคนตอบเป็นความดีงาม ก็แล้วแต่ว่าเราจะรักษาสิ่งใดในตัวของเราให้ได้มากที่สุด มากนี้เพื่อเราจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ศิษย์ทุกวันนี้รวยไม่รวย ไม่รวยเท่าไหร่ จนไหม อาจารย์บอกให้ จนเงินจนทองไม่เรียกจน แต่ถ้าจนน้ำใจนี้เรียกว่าจน ทุกวันนี้เราจนก็จริงแต่ขอให้เราตั้งอยู่ในความดีงาม ความดีงามนี้จะพาให้ชีวิตของเรานั้นราบรื่น เมื่อเราไม่นำความเดือดร้อนมาให้ตัวเองย่อมไม่ยาก จะดิ้นรนไปทำอะไร นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจารย์เรียกศิษย์ว่า ศิษย์มีบุญมาก เราไม่ค่อยได้ทำความผิดความบาปอะไร ขอให้ชีวิตนี้บำเพ็ญให้ดีๆ ตลอดไปก็เพียงพอแล้ว หากว่าเจอคนดี ก็รู้จักที่จะช่วยคนดี มีเวลาว่างศึกษาธรรมะ สร้างกุศลบ้างด้วยการออกแรงก็ดี ถ้าหากเงินไม่มีก็ออกด้วยแรง เช่นนี้แล้ว เราจะกลัวอะไรกับว่าเมื่อตายไปแล้วเราจะตกนรกใช่หรือไม่ เคยเห็นนรกในหัวใจตัวเองไหม (เคย) เวลาเราคิดไม่ดีรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเหมือนกลัวคนรู้ไหม (กลัว) นั่นแหละนรก
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกไปวงพระโอวาทซ้อน แล้วให้คนบุรีรัมย์ออกไปวง)
ในจังหวัดเดียวกันนั้นมีสถานธรรมอยู่ถึงสองแห่ง เป็นภาระที่มากแต่ทว่าก็เหมือนกับการทำให้มีแขนซ้าย และมีแขนขวา เป็นการเพิ่มให้มีแรงมากขึ้น ให้มีกำลังมากขึ้น มองในแง่ดีก็ยิ่งจะดี เพราะฉะนั้นต้องยิ่งรุดหน้า มีเวลาว่างให้มาช่วยจุนเจือสถานธรรมนี้หน่อยนะ ศึกษาธรรมให้มากๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทาน พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจนักสู้”)
หัวใจนักสู้นั้นเป็นอย่างไร หัวใจนักสู้คือความไม่ยอมแพ้ในสิ่งต่างๆ อย่างง่ายดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อยากให้ศิษย์มีหัวใจนักสู้ เพราะอะไร เพราะว่าเรานั้นเป็นคนที่อ่อนแอ เป็นชีวิตที่ยอมแพ้ปัญหาอยู่เรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้ว คนที่แพ้ก็มี คนที่ชนะก็มี แต่เราก็เลือกเป็นคนแพ้อยู่เป็นประจำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอเพียงเมื่อมีปัญหาอยู่ข้างหน้า เราก็ถอยมาสามก้าว พอปัญหาวิ่งเข้ามาหาเรา เราก็หันหลังวิ่งหนี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าเจอปัญหาเล็กหรือใหญ่ บางทีเรายังไม่ทันมองเลย ปัญหานี้ที่เราเองก็เป็นคนสร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าอยากให้ศิษย์มีหัวใจของนักสู้ แต่ไม่ใช่สู้เพื่อให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่สู้นี้คือสู้กับกิเลสของตัวเองให้ชนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ยากเกินไป สิ่งเดียวที่อยากได้คือละกิเลส เมื่อเราไม่มีกิเลส จิตใจของเราก็ย่อมดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบไปแล้วก็เหมือนศิษย์เอาของสิ่งหนึ่งที่ลอยอยู่ในน้ำ แต่เราก็ยังจะใช้มือของเรากดลงไปให้มันจมให้ได้ หากว่าเราละกิเลสก็เหมือนกับเราเอามือออกจากสิ่งนั้น รู้สึกเบาจากกิเลสนั้น อาจารย์อยากให้ศิษย์มีความรู้สึกที่ดีแบบนั้น
พุทธะกับปุถุชนนั้นล้วนเกิดมาจากมนุษย์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพุทธะนั้นรู้จักปล่อยวาง ส่วนมนุษย์นั้นชอบยึดติด ศิษย์จะเป็นคนไหน อยากเป็นพุทธะหรือปุถุชน อยากเป็นพุทธะก็ต้องรู้จักปล่อยวางบ่อยๆ  สิ่งนี้เรียกว่ามุ่งมั่น อาจารย์นั้นอยากให้ศิษย์มีหัวใจนักสู้ มีความมุ่งมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง ศิษย์นั้นต่างเป็นคนมีบุญ ได้มีร่างกายเป็นมนุษย์ อาการครบบริบูรณ์ จะเรียกว่าไม่มีบุญได้อย่างไร ฉะนั้นจงรู้และใช้ในสิ่งที่ตนเองมี
หลังจากวันนี้ไป ถ้าหากว่ามีคนเรียกศิษย์มาฟังธรรมะ ถ้าเราว่างเราจะมาไหม (มา)  การบำเพ็ญธรรมะแม้เป็นเรื่องที่ไกลจากตัว ไม่ว่าศิษย์จะยืนหรือนั่ง เดินหรือนอน ทุกๆ อย่างสามารถมีธรรมะอยู่ข้างในได้ทั้งสิ้น โลกเรานี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อาจารย์หวังอยากให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นตั้งมั่นอยู่ในความดี โลกนี้เหมือนกับคนที่เดินไม่ไหว ต้องให้การประคอง แม้ว่าต้นไม้ต้นเดียวอาจเกิดน้ำป่าไหลหลากได้ แต่ว่าต้นไม้หากว่ามีครึ่งป่าค่อนป่าก็สามารถที่จะกันไว้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีหากมีเป็นกองทัพ ความชั่วที่ไหนจะสามารถเอาชนะได้ อาจารย์เห็นศิษย์เป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง อาจารย์เป็นคนปลูกต้นไม้ อาจารย์ย่อมไม่อยากให้ต้นไม้ต้นนั้นตายไปด้วยพืชหรือแมลงอันเป็นกิเลส ต้นไม้ที่ขาดน้ำก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญที่ขาดกำลังใจ อาจารย์ย่อมไม่อยากให้ต้นไม้ต้นนั้นแห้งตายไปอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่อยากให้ศิษย์เป็นอย่างนี้ คนมีบุญร่วมทางเดียวกัน คนหมดบุญเราก็ช่วยๆ กัน เรียกร้องให้เขานั้นมาบำเพ็ญให้ได้
ทุกๆ คนนั้นมีจุดอ่อน แล้วเวลาที่มารหรือกิเลสต้องการทำร้ายเรา ก็ทำร้ายเราตรงจุดอ่อน อาจารย์จึงอยากให้ทุกๆ คนเข้มแข็ง อย่าเป็นชีวิตที่อ่อนแอ อย่าเป็นต้นไม้ที่หักโค่นตามลมไป อนาคตเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปสนใจอดีตที่ขมขื่นก็ดี อดีตที่ดีแค่ไหนก็ผ่านไปเรียบร้อย จงเอาชีวิตนั้นมุ่งมั่นอยู่กับปัจจุบันนี้ ปัจจุบันสิ่งที่ควรทำคือทำให้จิตใจของเราดีงามพร้อมเสมอ เพราะว่าคนเรานั้นจะเกิดมาอยู่ดีๆ ก็เกิด คนเราจะตายอยู่ดีๆ ก็ตาย เราไม่รู้ว่าวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่คือวันสุดท้ายหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกๆ วันก็จงทำในสิ่งที่ดีที่สุด ดีหรือไม่ดี (ดี)  อย่ามัวสะดุดด้วยอารมณ์ของตัวเอง ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลาย เพราะปัญหาใหญ่ๆ เริ่มมาจากปัญหาเล็กๆ และเมื่อมีปัญหาเล็กๆ ศิษย์จะรอให้มันใหญ่เหมือนเชื้อโรคที่ลุกลาม หรือว่าเต็มใจจะตัดมันออกๆ ไป หากบอกอาจารย์ว่า อาจารย์อยากจะตัดแต่เราก็กลัวเจ็บ เราไม่ยอมเสียอะไรเลย และศิษย์จะตัดกิเลสเหล่านั้นไปได้อย่างไร อยากได้เงินก็ต้องทำงานแลก อยากได้มรรคผลนิพพานก็ต้องลงทุน
วันนี้เจอศิษย์ที่นี่ วันหน้านั้นยังไม่รู้ว่าจะเจอศิษย์อีกหรือเปล่า การบำเพ็ญธรรมไม่ได้แยกว่าศิษย์นั้นเป็นคนไทยหรือว่าจะพูดภาษาไหน เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นลงแรงที่จิต ไม่ได้สนใจว่าศิษย์นั้นพูดภาษาอะไร ไม่ได้สนใจว่าเป็นคนผิวสีอะไรแต่สนใจว่าจิตใจของเรานั้นถูกยกระดับให้ดีขึ้นหรือยัง บำเพ็ญธรรมคือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้นๆ  นี่คือการบำเพ็ญธรรม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาส่งเสริมนักเรียนชายในชั้น)  
ผู้ชายในชั้นจำไว้ให้ดีๆ  บำเพ็ญธรรมคือการแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น ก่อนมาที่นี่อาจจะมีเรื่องที่ไม่ดีแต่หลังจากวันนี้ไปต้องทำแต่สิ่งที่ดีๆ  รู้ไหม บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ  มีเวลาว่างศึกษาให้มากๆ  จงเชื่อมั่นความดีที่มีอยู่ในโลกนี้ และจงเป็นคนดีเพื่อเชิดชูเกียรติแห่งความดีนี้ให้มากๆ  เมื่อคนในโลกนี้ดีมากศิษย์ก็จะมีโลกที่ผาสุกอยู่เข้าใจไหม
อาจารย์อ้าแขนรอรับศิษย์ทุกคน อย่าเดินหนีอ้อมแขนของอาจารย์ไป จงทำให้ดีที่สุด อาจารย์เป็นพุทธะ ศิษย์เป็นพุทธะก็อยู่กับอาจารย์ ศิษย์เป็นคนขี้โมโหเป็นคนทำแต่สิ่งไม่ดี ศิษย์ก็อยู่กับพุทธะไม่ได้ ศิษย์ก็อยู่กับอาจารย์ไม่ได้ ขอให้ตามอาจารย์มาติดๆ  ลาก่อน รักษาสุขภาพให้ดีๆ  เจอกันใหม่เมื่อมีเวลา อย่าท้อแท้ง่ายดายรู้ไหม (รู้)  


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หัวใจแห่งนักสู้”

ทำพูดหนึ่งเดียวกันน้อยพะวง คิดเป็นคงใจกว้างดั่งเวหา
เมื่อมั่นในปณิธานกล้ากว่ากล้า ไม่สิ้นความก้าวหน้าในกมล
บำเพ็ญกล้าไม่ฝันแต่ความสบาย ใจวุ่นวายประสานใจยิ่งตกหล่น
ทอดสืบงานหวังเต็มใจอดทน ฟ้าเบื้องบนให้กำลังจุนเจือ
เดินไม่หยั่งทางดีกลายร้าย คนจนกำลังใจอยู่ทุกเมื่อ
คนประมาทเคยชินไม่รู้เบื่อ จงคิดเอื้อชีวิตด้วยใช้ธรรม

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา