PDF 2544-03-31-หมิงฮุย #3.pdf
วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย จ. ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
เมื่อมนุษย์ไร้ทางสู้จึงทำผิด สำรวมจิตเลือกทางเดินอย่ากลัวพ่าย
ณ สุดปลายแห่งความพ่ายคือมีชัย ณ สุดปลายแห่งมีชัยคือปราชัย
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
คนสนิทสนิทด้วยมีมารยาท อย่าประมาทในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
ดวงจิตนี้ขัดเกลาให้ใสดั่งแก้ว จะคลาดแคล้วผองภัยถ้าให้ฟ้าคุ้มครอง
การบำเพ็ญในยุคปลายต้องเคร่งครัด รู้จำกัดจิตใจในคราบปุถุชน
อย่าให้ทุกเวลาเฝ้าสับสน แม้อับจนจงไม่เสื่อมศีลธรรม
การบำเพ็ญเป็นพุทธะในวันนี้ ต้องเริ่มที่ทำความดีสม่ำเสมอ
ใช่นึกทำก็จึงทำดั่งละเมอ จิตใจเผลออ่อนข้อให้ตัณหาตน
จงรู้ว่าพ้นเวียนว่ายได้ด้วยตน อาจารย์ดีแต่เราแย่พ้นได้ไฉน
ทำผิดบาปทุกวันพ้นอย่างไร จงเข้าใจศึกษาแล้วปฏิบัติจริง
ทำในสิ่งที่ดีที่สุด แดนวิสุทธิ์และแดนโลกรวมเป็นหนึ่ง
ณ กลางใจอันเข้มแข็งรู้คำนึง จิตเมตตาเป็นที่พึ่งให้มวลชน
พุทธะล้วนสำเร็จไปจากมนุษย์ ทำให้ดีที่สุดนะน้องท่าน
อย่ามัวท้อถอยให้ใจรำคาญ คนสราญเพราะปล่อยวางความกังวล
ในวันนี้มาประชุมธรรมะแล้ว ขอน้องแก้วรู้จักซึ่งตนเองเถิด
รู้จักใช้ชีวิตอันแสนประเสริฐ มิละเมิดกฎแห่งกรรมให้จำทน
หวังให้น้องอยู่ครบทั้งสองวัน จะแข่งขันแข่งกันดีดีกว่าไหม
จะแย่งชิงแม้นไม่ใช่ของเราไซร้ จะแย่งมาเท่าไรไม่ได้ครอง
การบำเพ็ญเป็นพุทธะชนะใจ และแก้ไขชะตาด้วยการสำนึก
สกัดซึ่งกิเลสที่ตกผลึก ให้จารึกชื่อขจรเพราะทำดี
จงรักษาพุทธระเบียบให้ดีพร้อม ควรต้องยอมก็ให้ยอมอย่าไปฝืน
พุทธจิตอาจตื่นขึ้นแม้ชั่วคืน อย่ากล้ำกลืนทุกข์เบื้องหน้าบั่นกำลัง
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นสองวันประชุมธรรม
หวังศิษย์น้องศึกษาธรรมทุกถ้อยคำ ร้อยเรียงนำสู่จิตให้จงดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังน้องได้บำเพ็ญสำเร็จสู่แดนฟ้า
ธรรมะไร้รูปนามให้ใฝ่หา น้อมนำมาสู่จิตตนรู้ทางเพียร
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย จ. ลพบุรี
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
ลองย้อนมองที่แล้วมาของชีวิต เฝ้าลิขิตตามอารมณ์ตามโลกหนา
ยิ่งไปไกลก็เหมือนวนกลับมา กว่ารู้ว่าหลงไปเกือบสุดทาง
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดาเรียบร้อยแล้ว ถามเมธีทุกท่านยังอยากฟังธรรมะอีกไหม
เคยผิดหวังมืดมิดโดยลำพัง จงยังหวังความงามเวลาเช้า
ตื่นอยู่ลุกจากชีวิตเก่าเก่า หลงอยู่เท้าก้าวไปใจลำเค็ญ
ธรรมในใจย้ำเตือนประพฤติดี ด้วยชีวีไม่ยึดมั่นความเห็น
อุปสรรคกลับไกลช้าดั่งแสงเย็น ลังเลใกล้ไร้ฝั่งเป็นเพื่อนตน
เสลาสลักทะเลทุกข์รวมเรื่องต่าง วิวาทหวั่นกลางนี้บารมีร่วงหล่น
ศึกษาคนเข้าสังเกตเป็นกระจกตน ติดยึดมีวันจนด้วยทาง
คงมั่นแต่เจออุปสรรคทำรำคาญ ประสงค์ฝั่งใจของท่านไยเคว้งคว้าง
สุขนั้นที่ตนรู้จักปล่อยวาง ทุกข์ที่ยังไม่รู้จักตนเอง
สิ่งเคยมีเคยเป็นของเรา ทว่าเพราะใจเขลาไม่สำรวจเพ่ง
แล้วพอวันคิดได้อย่างไรเร่ง จิตหนึ่งขาดไปเก่งก็อำลา
ผิดจึงรู้เสียมากระวังจับ ด้อยคุณค่าสูญกลับยากรักษา
สติช่วยสำทับคนให้เห็นเพิ่มสง่า พิจารณาออกนึกนึกพารู้ยอม
คนจริงฝืนฝ่ากิเลสในอุรา ผิดพลาดทำอย่าล้าสำนึกน้อม
อย่าผิดซ้ำซ้ำรับอ้อมอ้อม เมตตามากล้ายอมทุกข์เพื่อเวไนย
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
ลงโทษคนมาสายดีไหม (ไม่ดี) ทำไมไม่ดี การลงโทษเป็นสิ่งไม่ดีใครๆ ก็ไม่อยากถูกลงโทษใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดมีการลงโทษขึ้นมาเราจะโทษคนทำดีหรือโทษคนทำไม่ดี ถ้าลงโทษคนดี แล้วปล่อยคนชั่วไปไม่ต้องลงโทษ ดีไหม (ไม่ดี) ทำไมไม่ดีล่ะ เราว่าน่าจะดีนะ จะได้ทำให้คนชั่วเขาสำนึกแล้วรู้สึกว่าเราทำไม่ดี ทั้งที่น่าจะเป็นเราโดนลงโทษ แต่คนที่ทำดีทั้งโลกกลับโดนลงโทษ จริงไหม (จริง) แล้วบทลงโทษอันไหนจะทำให้คนสำนึกแล้วไม่กล้าทำผิด มากกว่ากัน หรือว่าไม่ต้องลงโทษใครเลยดีไหม (ไม่ดี) ไม่มีบทลงโทษเลยก็ไม่ดี ลงโทษคนชั่วก็ไม่ดี ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) ทำไม่เริ่มเปลี่ยนใจแล้วล่ะ ลงโทษคนทำผิดดีหรือไม่ดี (ดี) ไหนเมื่อสักครู่บอกว่าสงสาร ท่านนี่เอาใจยากจริงๆ บางทีเรามองเห็นคนไม่ดีในสังคม เรารู้สึกว่าพอเราได้รับรู้เราอยากจะประณามเขา เราอยากจะให้สังคมลงโทษเขาให้ตาย ใช่ไหม (ใช่) แต่เราลองคิดกลับกันว่าเดี๋ยวนี้แม้จะมีบทลงโทษ ยิ่งรุนแรง ยิ่งน่ากลัวเท่าไร แต่คนชั่วกลับไม่กลัวเลยใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราเปลี่ยนบทลงโทษ ใครทำชั่วให้คนในบ้านเป็นคนรับโทษแทนเขาจะกล้าชั่วไหม (ไม่กล้า) เขาจะรู้สึกสำนึก แล้วก็สะท้อนใจว่า แค่เราทำ คนเดียวแต่คนรอบข้างต้องรับโทษแทนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าคิดกลับไปอีก ไม่มีการลงโทษเลยดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ทำไมจึงไม่ดี กลัวทำให้เขาคนนั้นได้ใจใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในเมื่อมีบทลงโทษแล้วเขาไม่กลัว เขาไม่เดือดร้อน แล้วมีบทลงโทษไว้ทำไมล่ะ ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านคิดว่าคนที่ทำไม่ดีนั้นเขาขาดอะไร (คุณธรรมและศีลธรรม ความคิดเกรงใจ) เราทำผิดไปเพราะว่าไม่เกรงใจ ไม่สนใจเขาใช่หรือไม่ (ความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์) อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจจะทำไปเพราะอารมณ์วูบใหญ่ๆ อาจจะทำไปเพราะว่าความอยาก อาจจะทำไปเพราะว่าแรงกดดัน กดดันทำให้ทำผิดไป ทำให้คิดผิดไป แล้วก็อาจจะทำผิดไปเพราะว่าความไม่รู้
ปัจจุบันนี้คนในโลกหลายๆ คนทำผิดเพราะว่าไม่รู้ เราสรุปให้คำเดียวก็ได้ว่า “ไม่รู้” ไม่รู้ว่าทำไปแล้วจะผิด จะเกิดโทษ หรือถ้าเราคิดในแง่ร้ายเราก็บอกว่า เขารู้แต่ว่าเขาไม่ยอมทำ เขาสำนึกแต่เขาไม่อยากคิดตอนนั้น เขาละอายไหม เขารู้ผิดรู้ชอบไหม เขารู้แต่ตอนนั้นเขาอยากทำ ฉะนั้นวันนี้ที่เราพูดมามากมาย เราก็ต้องการจะบอกให้ท่านรู้ว่า ก่อนที่ท่านจะลงโทษใครนั้น เราลองคิดกลับไปเยอะๆ แล้วเราจะรู้สึกว่าบางครั้งไม่น่าลงโทษเขาเลย แต่ควรจะทำอะไรให้เขาสำนึก ดีกว่าลงโทษเขาให้เจ็บแค่ตัว แต่ใจเขา ไม่ได้รู้สึกเจ็บด้วย ฉะนั้นเวลาเราเจอคนทำผิดอย่าเพิ่งคิดลงโทษ อย่าเพิ่งคิดเอาแต่อารมณ์ว่าจะต้องตีหรือต่อว่าเขา แต่ขอให้คิดย้อนกลับไปเยอะๆ ว่า เหตุใดเขาผู้นั้นจึงทำผิด แล้วเราก็จะเข้าใจเขา เห็นใจเขา แล้วก็จะลงโทษเขาไม่ลง จริงไหม (จริง)
การทำให้เขาสำนึกด้วยการพยายามนึกเห็นใจ เข้าใจเขา จะทำให้เขารู้สึกว่าเขากล้าที่จะพูดความจริงกับเราและกล้าเล่า แต่ถ้าเราเข้ามาก็พูดว่าเธอน่ะไม่ดี เธอนี่ใจร้าย เธอทำไมถึงฆ่าคน เธอทำไมถึงโมโหคน เธอทำไมถึงตีคน เราจะเข้าใจเขาไหม พอเจอหน้าก็ทำไม ทำไม ทำไม ไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะว่าคำว่า “ทำไม” บดบังจิตใจอันเมตตาของท่าน บดบังความรู้สึกเห็นใจที่ควรจะมีต่อคนๆ หนึ่ง
เช่นเดียวกัน วันนี้เรามาตรงนี้ หากเจอหน้ายังไม่ทันฟังก็คิดแล้วว่าทำไมจึงมา ทำไมจึงเป็นเด็กอย่างนี้ ทำไมจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะเข้าใจไหม จะรับรู้หรือได้ยินเรื่องที่เราพูดไหม ได้ยินเหมือนกันแต่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะว่าคำว่า “ทำไม” นั้นเหมือนกระดานที่บังตัวเราอยู่ แล้วจะเห็นเราชัดไหม (ไม่ชัด) หากคำว่า “ทำไม” ใหญ่เท่ากระดาน แล้วตัวเราเล็กนิดเดียวเท่ามด เห็นหรือเปล่า (ไม่เห็น)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม) เราชื่อ “อว๋าอวา” นะเป็นเซียนเด็กผู้หญิง รู้จักเราแล้ว เราแนะนำตัวเองแล้ว ถามเมธีทุกท่านยังอยากฟังธรรมอีกไหม อยากฟังเราพูดธรรมะแบบเด็กๆ ไหม (อยาก) ลองฟังดูหน่อยนะว่าเด็กจะพูดธรรมะอะไรได้ คุยกับเด็กอย่าบอกนะว่าเด็กไม่มีสาระ เราได้ยินมาว่าคบเด็กสร้างบ้านใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นคบกับเด็กไม่ต้องกลัว ได้บ้านตั้งหลังหนึ่ง เราไม่เคยได้ยินว่าคบผู้ใหญ่สร้างบ้านเลย ฉะนั้นคบเด็กวันนี้ได้สร้างบ้านหลังหนึ่ง แต่บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่มองไม่เห็นด้วยตา สัมผัสไม่ได้ด้วยมือ แต่จิตใจนั้นรับรู้ได้ เอาไหมบ้านหลังนี้ กายเรามีที่พักพิง แต่ใจมักจะไม่ค่อยมีที่พักให้พิงสักที กายเรามีบ้านพักผ่อนสบาย แต่ใจเรากลับร้อนรุ่ม วิตกกังวล ฉะนั้นเรามาสร้างบ้านเล็กๆ ให้ใจได้พักพิง ไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องหรู แต่ง่ายๆ และมีคุณค่า และเป็นที่พักใจดีหรือเปล่า (ดี) เราเริ่มต้นกันเลยนะ จะสร้างบ้านก็ต้องปูพื้นฐานก่อน ฐานนี้ถ้าไม่หนักแน่น วางไว้บนดินทราย ก็พังได้ ไว้บนดินเหนียว ก็ไม่ค่อยดี ต้องเป็นอย่างไร ดินร่วนดีหรือเปล่า (ดินร่วนก็ไม่ดี) แล้วเป็นดินอะไรดีล่ะ ทำไมยากจังนะจะสร้างบ้าน ใช้ดินเหนียวผสมดินร่วนใช่หรือไม่ นั่นก็คือการจะสร้างสิ่งใดก็ตาม จะต้องปูพื้นฐานให้มั่นคงเสียก่อน ถ้าพื้นฐานไม่มั่นคง ก่อร่างสร้างตัวไปก็อาจจะล้มได้ เฉกเช่นเดียวเราจะสร้างบ้านให้จิตใจได้พักพิง และบ้านนี้เป็นบ้านแห่งธรรมะ เราจะต้องปูพื้นฐานในการศึกษาหลักธรรมให้เข้าใจ เพราะถ้าขาดความเข้าใจ แม้จะสร้างไปเสร็จเรียบร้อยก็มีวันล้มครืนลงมาได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะที่วันนี้ท่านศึกษา ไม่ใช่ธรรมะที่ผิดแผกแตกต่างไปจากพุทธศาสนาเลย ธรรมะที่วันนี้ท่านศึกษาก็คือต้องการให้ท่านรู้ถึงจิตญาณเดิมแท้ของตนเอง ค้นหาจิตญาณเดิมแท้ของตนเองให้พบ และรักษา คุณธรรมที่เคยมีอยู่ ที่เคยนับถืออยู่ ที่เคยตั้งใจว่าจะรักษาอยู่นั้น เอามาใช้ควบคู่กับชีวิตและจิตใจ และเมื่อยามออกไปสู่สังคม พบคน มีชีวิตอยู่ก็จงเอาธรรมะไปใช้ เพราะใจจะเคลื่อนไหวได้ ก็ต้องมีกายตามไปด้วย กายจะไปไหนได้ก็ต้องล้วนอยู่ที่ใจเป็นผู้กำหนด ถ้าใจมีธรรม กายขับเคลื่อนก็ต้องมีธรรมตามไปด้วย แต่ถ้าใจไร้ธรรม กายก็ย่อมไร้ธรรมไปด้วย นี่คือพื้นฐานง่ายๆ ที่ทุกท่านรู้ แต่ชีวิตมีอะไรง่ายๆ เท่านี้ไหม (ไม่มี) ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ชีวิตเป็นเรื่องที่ยาก ไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาง่ายๆ หรือเมื่อได้มาง่ายๆ มักจะเสียไปง่ายเหมือนกัน ทำไมเราจึงบอกว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาง่ายๆ ก็เพราะว่าในโลกนี้คำว่าสำเร็จมีน้อยกว่าล้มเหลว นั่นก็แปลว่าในโลกนี้ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตามย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะพบความล้มเหลวได้ แล้วคนส่วนใหญ่ชอบความสำเร็จหรือชอบความล้มเหลว (ชอบความสำเร็จ) ความสำเร็จมีน้อย แต่ความต้องการของคนมีมาก ฉะนั้นการแก่งแย่งกันจึงเกิดขึ้น พอคนแก่งแย่งกันย่อมมีทั้งคนที่สำเร็จและล้มเหลว ทำให้บางครั้งความผิดหวังจึงต้องเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาเรารู้กันอยู่ เราพูดเรื่องนี้ท่านก็รู้ แต่พอเจอกับตัวเข้าจริงๆ ก็นอนพักรักษาใจ ขอพักใจก่อนเดี๋ยวค่อยลุกขึ้นไปสู้ชีวิตใหม่ เจอสักช่วงหนึ่งเราก็แทบทรุดลงไปกับพื้นดิน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าคนๆ นั้นทรุดลงไปแล้วอาจจะไม่มีวันกลับคืนมาได้ ถ้าชีวิตขาดความหวัง ใช่ไหม (ใช่) บางคนแม้จะมีเงินแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าเขาไม่หวังที่จะสู้ ไม่หวังที่จะลุก ไม่หวังที่จะก้าวไป อดทนไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “ความหวังคือประทีปส่องทางสู่ชีวิต” บางคนแม้แขนขาด ขาขาด แต่ขอให้มีความหวัง มีใจสู้ ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต ไม่ยอมแพ้โลก ไม่ยอมแพ้คำต่อว่า ไม่ยอมแพ้อะไรทั้งสิ้น เขาก็ลุกขึ้นมาสู้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของท่านก็เหมือนกัน บางครั้งเราอยากจะสร้างพื้นฐานความดีงาม เราปูไปแล้ว ความดีเล็กๆ เราก็หมั่นทำ ทำเยอะแล้วแต่บางครั้งพอทำ ไปแล้วผลสะท้อนกลับมาไม่ค่อยดีทำไปแล้วโดนคนต่อว่า สิ่งที่ปูแม้เป็นก้อนเล็กก้อนน้อยเพื่อจะสร้างบ้านให้อยู่ในใจเรา ให้ใจเราได้พักพิงกลับทำไม่ไหว เพราะว่าเราหมดหวังในการทำความดีแล้ว จริงๆ ทำดีนั้นไม่เคยมีหมดหวัง แต่ที่หมดหวังต้องเข้าใจให้ถูก ใจเราต้องบอกใจตัวเองให้ถูกว่าหมดหวังกับอะไรต่างหาก เราไม่ได้หมดหวังกับความดีที่เราทำ แต่เราหมดหวังกับคนที่เราทำ หรือว่าหมดหวังกับใจที่เราทำ หมดหวังกับใจตัวเองต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราต้องคิดด้วยนะว่าธรรมะนั้นไม่ใช่มีเอาไว้แค่ให้สวด ไม่ได้มีเอาไว้แค่กราบ แต่ธรรมะยังมีไว้ให้ย้ำเตือนชีวิต เหมือนที่หัวหน้าชั้นบอก เหนี่ยวรั้งชีวิตให้อยู่บนทางที่ถูกต้อง ให้คิดในทางที่เหมาะสม ให้คิดในเรื่องที่ถูกจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นธรรมะเราจึงต้องเอามาใช้ อย่าได้แค่สวด อย่าได้แค่ไหว้ แต่ต้องเอามาใช้กับใจเราด้วย เอามาสอนใจเราให้ได้ด้วย แล้วเราก็จะรู้ว่าทำดีนั้นไม่มีวันหมดหวังหรอกถ้าใจเรายังมีไฟตลอดเวลา แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่รู้จักเติมเชื้อไฟให้กับตัวเอง เราก็หมดแรง จริงไหม (จริง)
ไฟในการทำความดีคืออะไร (เติมความสุขในการทำความดี, จิตใจดี, ประพฤติดี, ความหวัง) เราใช้อะไรเป็นตัวเติมเชื้อเพลง นั่นก็คือการให้กำลังใจกับตัวเอง ไม่ยอมท้อ แล้วก็คิดว่าเราทำดีเพราะเราต้องการให้มีดีอยู่ อยู่ที่ไหนล่ะ แม้เขาจะไม่เอาแต่อยู่ที่ใจของเราใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นทำดีก็อย่ายอมแพ้ อย่ายอมพ่ายใจตัวเอง อย่ายอมพ่ายคนที่ไม่ดี เราทำดีเพื่อรักษาความดีให้ใจเรามีอยู่ ไม่ใช่ให้เขามีอยู่ เขาจะไม่มี เขาจะไม่เอาไม่เป็นไรแต่เราจะมี ไม่สนใจเขาเลย ฉันคนเดียวที่มี ดีไหม (ไม่ดี) ก็ไม่ดี ฉะนั้นต้องใช้เวลาเหมือนกัน แต่บางทีเชื้อไฟของท่านนั้นก็หมดง่ายจริงๆ บางทีแค่ทำครั้งเดียวก็ไม่เอาแล้ว เพราะไม่อดทน พอทำแล้วไม่ได้รับผลดี ก็ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว อย่างนั้นทำเพื่อรับผลหรือ หรือว่าทำเพื่อให้มีดี (เพื่อให้มีดี) ฟังเพื่อให้เสียงกลับมาเพราะๆ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ถ้ายังหวังอยู่รับรองเดี๋ยวไฟดับอีกแน่เลย ฉะนั้นแม้ทำไปแล้วจะมีเสียงกลับมาไม่ดี หรือมีคนว่ากลับมาไม่ดี ก็ไม่เป็นไร ขอให้ยังทำอยู่ เพราะถ้าทำได้เช่นนี้ คือการฝึกจิตใจอย่างเช่นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่) ฝึกจิตใจอย่างเช่นฟ้า ฝนจะตกหรือไม่ตก แม้ใครจะว่าไม่ว่า ฟ้าก็ยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ ไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง นี่คือจิตใจอันยิ่งใหญ่เหมือนฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องของโลกเป็นที่แน่นอนตายตัวไหม (ไม่แน่นอน) แน่นอน คนทุกคนเหมือนกันคือเกิด แก่ เจ็บ ตายแน่นอนไหม (แน่นอน) ไม่แน่นอน ใช่หรือเปล่า ว่าแน่นอนก็ได้ ไม่แน่นอนก็ได้ แน่นอนก็คือเหมือนกันต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่แน่นอนก็คือไม่มีอะไรเป็นอนิจจัง ไม่ใช่เกิดแล้วก็เกิดๆๆ เกิดแล้วยังต้องมีแก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่อายุมากแล้วก็แก่ๆๆ ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วในความไม่แน่นอนนี้ก็ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันในทุกๆ เรื่อง เหมือนที่เราบอก เกิดก็ยังต้องมีแก่ เจ็บ ตายสัมพันธ์กัน ในการเกิดนั้นก็ยังต้องมีอะไรสัมพันธ์กันอีก ก็ยังมีเรื่องทุกข์ สุขอีกใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็มีดีร้ายได้เสียอยู่ในการเกิดด้วย อย่างวันนี้เราดีใจ แต่มีความสัมพันธ์อะไรเกี่ยวเนื่องอีก ความเสียใจใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราหมดเงิน แต่เรายังมีอะไรสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอีก พรุ่งนี้อาจมีเงินใช่หรือไม่ (ใช่) เรื่องของโลกจึงเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนกับความสัมพันธ์ สองอย่างผสมปนเปเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่สองอย่างนี้ แปลว่าในโลกนี้มีเรื่องให้น่าคิดจริงไหม (จริง) ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย ทำไมเราจึงบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ชีวิตนี้มีคุณค่าและมีความหมาย มองดูง่ายๆ เราอยู่บนโลกนี้มีความ แน่นอนไหม (ไม่แน่นอน) มีสิ ใจเราต้องแน่นอน ไม่ใช่โลกเปลี่ยนไป ใจเราก็เปลี่ยนร้อนๆๆ อย่างนี้แย่แน่เลย ร้อนแล้วเราต้องใจเย็นๆ แม้โลกจะเปลี่ยนไปแต่ใจท่านต้องแน่นอน ไม่ใช่โลกเปลี่ยนไปใจเราก็ปรวนแปร อย่างนี้ไม่ดี อย่างเช่นฟ้า ฟ้าแม้จะเปลี่ยนสว่าง มืด ดำ มีฝน ไม่มีฝน แต่ก็ยังวนกลับมาที่เดิมคือความแน่นอน ถึงแม้ร่างกายสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปแต่ใจต้องแน่นอน
นอกจากตัวคนแล้ว คนเรามีความไม่แน่นอน แล้วมีความสัมพันธ์ไหม (มี) สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม สัมพันธ์กับธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตเรา ร่างกายเราสัมพันธ์กับทุกสิ่งในโลก นั่นก็คือเราต้องมีสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและตัวบุคคล จะตอบว่าคนอย่างเดียวก็ไม่ได้ เรายังต้องสัมพันธ์กับคนและสัมพันธ์ทั้งสิ่งแวดล้อม แต่ในสิ่งแวดล้อมนั้นวันนี้เราจะไม่พูด เราจะพูดเรื่องคนดีกว่า เพราะสิ่งแวดล้อมเรารู้กันอยู่แล้ว แต่คนที่สัมพันธ์นั้นบางทีมีปริศนาแฝงอยู่และทำให้รู้จักตัวเองยิ่งขึ้น
คนที่เราสัมพันธ์ด้วยนี้ ถ้าเราสรุปง่ายๆ พวกหนึ่งคือพวกเป็นมิตร พวกหนึ่งคือพวก (ศัตรู) แล้วก็มีอะไรอีก คนที่เราเคารพและคนที่เราไม่รู้จัก นั่นคือเราแยกให้เป็น 4 จำพวก คนที่เป็นมิตรกับท่านจะเป็นลักษณะอย่างไร มีสิ่งที่ถูกใจเรา เราถึงเป็นมิตรกับเขา มีสิ่งที่เป็นมิตร มีสิ่งที่ถูกใจแล้วก็มีสิ่งที่อะไรๆ ก็คล้ายเรา แต่คนที่เป็นศัตรูจะมีลักษณะที่เราไม่ชอบ เราไม่อยากมีและเราไม่อยากเป็นอย่างนั้น แล้วทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เป็นมิตรที่เราชอบนั้นก็คือคล้ายๆ กับเรา แล้วสิ่งที่เราไม่ชอบนั่นก็คือคนที่เป็นศัตรูของเรา ทำไมเราจึงบอกว่าความสัมพันธ์ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักทันทีเลย พอเราเห็นศัตรู นั่นคือสิ่งที่เราเกลียดและเราไม่อยากเป็นเลย แต่พอเราเจอมิตร นั่นคือสิ่งที่เราเป็นแล้วเราก็เป็นเหมือนมิตร ตอนนี้ลองนึกสิว่า เรามีมิตรเป็นแบบไหนและเรามีศัตรูเป็นแบบใด และหากเรามองอีกคน คนที่เราไม่รู้จักเลยคือสิ่งที่เราไม่เคยมี ไม่เคยคิดและไม่เคยเป็น จริงไหม (จริง) ฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าในความเปลี่ยนแปลงและในความสัมพันธ์ทำให้เรามองรู้จักตัวเองยิ่งขึ้น เราจะวัดคนโดยการดูแต่ภายนอกไม่ได้ คนที่วัดกันแต่ภายนอกจะทำให้เราไม่สามารถรู้จักตัวเองและทำให้เราไม่เห็นกระจกที่คอยส่องจิตใจตน
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือว่าเป็นศัตรู จะเป็นคนรู้จักหรือคนเคารพ สิ่งนี้ยิ่งกลับทำให้เรารู้จักตัวเรามากขึ้น เราเกลียดอะไร เราไม่ชอบอะไร นั่นก็คือคนที่เราเห็น คือสิ่งที่เราไม่อยากมี เราเป็นมิตรกับใคร นั่นคือนิสัยเราคล้ายๆ คนนั้น ง่ายไหมในการมองคนแล้วทำให้เห็นตัวตน (ง่าย) เพราะหลายคนมักอยู่ในโลก เหมือนบางครั้งไม่เข้าใจตัวเอง ต้องให้คนอื่นมาบอกว่าฉันเป็นคนอย่างไรหรือ คราวนี้ไม่ต้องถามแล้วแค่ดูคนรอบข้างก็จะทำให้มองเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนอย่างที่กลอนเราบอกไว้ว่าถ้าเราศึกษาคนได้เข้าใจจะทำให้เราได้มีกระจกย้อนมองส่องตน แต่ในอีกมุมหนึ่งที่เราอยากให้ท่านคิด คนที่ท่านไม่ชอบกับคนที่ท่านรักมีลักษณะเป็นอย่างไร คนที่ท่านชอบย่อมมีลักษณะที่ทำอะไรเราก็ถูกใจ ทำอะไรเราก็ดีใจ ทำอะไรๆ เราก็สุขใจไปหมด แต่เขาต้องทำนะเราถึงชอบ ใช่ไหม (ใช่) นั่นแปลว่าท่านรักเขาหรือว่าท่านรักตัวเอง (รักตัวเอง) เพราะเขาต้องทำ ไม่ใช่ตัวท่านทำ อย่างนี้เรียกว่ารักถูกหรือ (ไม่ถูก) แล้วลองหันมามองคนที่ท่านเกลียด คือคนที่ชอบในสิ่งที่ท่านไม่อยากได้ ชอบจี้ใจดำ ชอบพูดแทงใจดำ ใช่ไหม (ใช่) รู้ว่าเป็นใจดำก็ยังไม่ยอมเลิก ยังไปเกลียดเขาอีก แล้วท่านคิดว่าเขารักท่านหรือเขาเกลียดท่าน ต้องคิดให้ดีๆ เขารักท่านต่างหาก จริงไหม (จริง) คนที่กล้าอยู่ร่วมกันและกล้าชี้บอกข้อผิด กล้าพูดในสิ่งที่ไม่ถูกของเรา ให้เราดีขึ้น ให้เราเก่งขึ้น ให้เราเป็นพุทธะขึ้น ยังเกลียดเขาลงหรือ (ไม่เกลียด) อย่างนั้นวันนี้ท่านคงไม่เกลียดเราแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) จงคิดให้ดีๆ ว่าความสัมพันธ์นั้นให้แง่คิดและยังทำให้เรารู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นจริงหรือไม่ (จริง) เหมือนเช่นทุกท่านในที่นี้ รักเพื่อน รักมิตร แต่บางครั้งไม่ค่อยรักพ่อแม่ญาติพี่น้องของตัวเองใช่ไหม (ใช่) เพื่อนไปไหนไปกัน ลุยไหนลุยกัน แต่พ่อแม่คำก็ไม่ให้ สองคำก็ไม่ให้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราต้องคิดให้ดีๆ อย่าสับสนความรักความเกลียด ไม่อย่างนั้นเรานั่นแหละที่เป็นผู้ขีดเส้นใต้จำกัดความรักความเกลียดที่ผิดๆ และทำร้ายกระจกที่จะส่องตัวเองให้รู้จักตัวเองยิ่งขึ้นจริงหรือไม่
วันนี้เรามาพูดกับท่านตั้งมากมาย ก็เพราะอยากให้ท่านได้รู้จักตัวเอง คนเรานั้นจะเดินไปทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะไปซ้ายไปขวา แต่ถ้าเราเข้าใจแค่กายเนื้อแต่ไม่เข้าใจถึงจิตใจตัวเองแท้ๆ สักวันหนึ่งย่อมก้าวผิดแล้วก็พาตัวเองร่วงหล่นจริงไหม (จริง) ฉะนั้นก่อนที่ท่านจะร่วงหล่น ก่อนที่ท่านจะก้าวผิด เราจึงขอมาบอกก่อน ฟังไหม (ฟัง) ทำไมว่าง่ายจังนะ (พูดสิ่งที่ถูก) พูดสิ่งที่ถูกหรือ อย่างนั้นฟังสิ่งที่ถูกแล้วก็ไปทำในสิ่งที่ถูกด้วย ได้ไหม (ได้) ยากหรือเปล่า (ไม่ยาก) เพราะในดวงใจของเรานี้เมื่อเราสัมพันธ์กับคนแล้ว คนทำให้เราได้รู้จักตัวเอง แล้วสภาพแวดล้อมล่ะทำให้เรารู้จักตัวตนเองไหม สภาพแวดล้อมที่เราต้องเจอกันทุกๆ วัน นั่นก็คือความทุกข์ที่ท่านมักจะเสียใจและไม่อยากให้มาหาเลย อยากจะใส่พานแล้วถวายพระ พระรับไปทีนะ ฉันจะได้เบาสบายสักที ใช่ไหม (ใช่) เราไปที่ห้องพระที่ไหน ก็เห็นทุกข์เต็มโต๊ะพระหมดเลย ไม่มีวันไหนที่โต๊ะพระมีแต่รอยยิ้ม มีแต่ความสุข ไปวัดไหนก็เจอแต่ทุกข์ ไม่มีวันไหนที่บอกว่า วันนี้มีความสุข นึกถึงพระเลยมาไหว้พระ มีแต่บอกว่าวันนี้ทุกข์มา ขอพระช่วยให้หายทุกข์ เอาทุกข์ไปที ใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่านน่ะใจร้าย และก็มาว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย ทุกข์นั้นใครเป็นคนเอาไปใส่ล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วใครจะหยิบออกล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วใครให้ที่ทุกข์อยู่ล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วพระจะช่วยอะไรได้ พระช่วยได้แค่ชี้บอกทางแล้วก็สะกิดให้ท่านตื่น รู้ว่าทุกข์นั้นมีทุกคนใช่ไหม (ใช่) แล้วในทุกข์นั้นยังมีเรื่องแปลกให้น่าคิดอยู่สองสามเรื่อง อยากฟังไหม
เรื่องแรกก็คือ เราเคยเดินไปคุยกับทุกข์ แล้วทุกข์เล่าให้ฟังบอกว่ามนุษย์นั้นไม่ฉลาดเลย มีทุกข์น่ะเป็นสิ่งที่ดีนะ เราก็ถามว่าดียังไงล่ะ เราก็ว่าไม่ดีนะ แต่คิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน เพราะมีท่าน เราถึงได้เป็นเซียนน้อย แล้วเราก็คุยกับทุกข์ต่อ ทุกข์ก็บอกว่า ก็เพราะท่านรู้ แต่เขาไม่รู้ มนุษย์ก็เลยขับไล่ไสส่งฉัน ทั้งที่ฉันเนี่ยเป็นทุกข์ที่ดีนะ เป็นทุกข์ที่ทำให้มนุษย์รู้ตื่น จริงไหม (จริง) รู้ตื่นว่าบนโลกนี้น่ะทุกข์นะ เราต้องตื่นจากความทุกข์ ตื่นจากความฝัน ตื่นจากความหลง ตื่นจากความสุข ใช่ไหม (ใช่) พอเดินไปอีก ทุกข์ก็ยังบอกอีกว่า ทุกข์ทำให้ตัวเรานั้นอดทน เข้มแข็ง และชนะใจ เราก็บอกว่า ขี้โม้ๆ จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เขาก็เลยย้อนกลับถามเราตอนที่ท่านมีทุกข์ ไม่ใช่ท่านมีเราจนท่านสามารถชนะเราได้ แล้วก็ยืนหยัดเข้มแข็งจนมีสุขไม่มีทุกข์ได้หรือ ทุกข์ทำให้เรานั้นอดทน รู้จักคำว่าอดทนเหนืออดทน แล้วทำให้เราชนะใจเราใช่หรือเปล่า (ใช่) และทุกข์ยังเล่าต่ออีกนะว่า ในทุกข์นั้นๆ ทำให้เราเห็นใจคนและมองเห็นน้ำใจคน เราก็บอกว่าจะจริงได้ยังไงล่ะ เวลาเราทุกข์ เราไม่เห็นหรอก เขาก็บอกว่าเห็นสิ พอมีคนเดินมาบอกว่า ไม่ต้องคิดมากนะ ไม่ต้องเสียใจ ท่านเห็นน้ำใจเขาไหม เราก็บอกว่า เห็นจริงๆ ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเห็นเลย นึกว่าคนนี้ใจร้าย แต่พอเราทุกข์แล้วเขามาปลอบใจ เขาเหมือนนางฟ้าติดปีกลงมาบอกเราเลย เหมือนเทพบุตรสุดหล่อเลย ใช่ไหม (ใช่) เราก็เลยบอกว่า ทำไมทุกข์ช่างดีอย่างนี้ เริ่มเปลี่ยนใจแล้ว เริ่มไม่เกลียดทุกข์แล้ว เพราะดีตั้งสามข้อแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ทุกข์ยังบอกอีกว่า แล้วยังมีอีกข้อหนึ่งนะ ทุกข์ทำให้เห็นตัวตนว่าตัวท่านนั้นเป็นคนอย่างไร เวลาทุกข์ ขี้น้อยใจหรือเปล่า เวลาทุกข์ แช่งด่าคนหรือเปล่า ทำให้เห็นถึงน้ำใจของตัวตนเอง ทุกข์ก็เลยบอกนับได้สี่ข้อแล้วตอนนี้รักทุกข์ได้หรือยัง เราก็เลยบอกว่า รักสิ แล้วคราวหน้า จะกลัวทุกข์อีกไหม (ไม่กลัว) แต่ทุกข์บอกว่า ก่อนจะเอาทุกข์ไป คิดให้ดีๆ นะ ถึงแม้จะนับดีได้สี่ข้อ แต่ก่อนจะเอาทุกข์ไปทำไมถึงต้องคิดให้ดีๆ ล่ะ เราก็บอกว่าทำไมต้องคิดล่ะ ก็เพราะว่าหลายต่อหลายคนพอทุกข์แล้ว นึกไม่ถึงสี่ข้อนี้ แล้วก็ลืมข้อดีข้อนี้เพราะมักจะคิดในด้านลบมากกว่าด้านดี เมื่อทุกข์แล้วก็มีแต่ทุกข์ ไม่ยอมมองให้เห็นทุกข์จริงๆ ไม่มองให้เห็นว่าทุกข์นั้นคืออะไร ทุกข์นั้นมาจากไหน และทุกข์นั้นมีเหตุที่ใด เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เห็นพระพุทธองค์เป็นพระพุทธองค์ เห็นพระไตรปิฎกเป็นพระไตรปิฎก ก็เลยเป็นมนุษย์ไม่เคยได้รู้ตื่นสักที เพราะเขาขาดอะไร (ขาดปัญญา) นั่นก็คือขาดปัญญา เห็นคนไม่ดีก็เป็นคนไม่ดีวันยังค่ำ เห็นธรรมะก็เป็นธรรมะวันยังค่ำ ไม่รู้แจ้งไม่รู้ตื่นสักที ฟังธรรมกี่รอบก็เป็นธรรมะอยู่ทุกวัน ไม่เคยฟังธรรมะตื่นทันที หัวสมองโล่งปลอดโปร่ง จิตใจเบาสบาย เคยเป็นไหม เคยฟังธรรมะแล้วหัวสมองโล่ง ใจเบา เหมือนลอยได้ ถึงแม้ว่ายังเหยียบอยู่บนพื้นดิน เคยเมื่อไรก็จะสำเร็จเมื่อนั้น ปัญญาทำให้เรารู้แจ้งเห็นจริง ปัญญานั้นทำให้มนุษย์ใสสะอาดที่จิตใจและทำให้มนุษย์ข้ามภพข้ามชาติเป็นพุทธะ และรู้แจ้งแทงตลอดแห่งความเป็นคน แล้วปัญญาอยู่ที่ใด อยู่ที่ตัวเราเอง
ถ้าไม่มีการศึกษาเรียนรู้ ปัญญาก็ไม่เกิด ปัญญาจะเกิดได้จึงต้องควบคู่กับการศึกษา ศึกษาทางโลกก็ได้ปัญญาทางโลก ศึกษาทางธรรมก็ได้ปัญญาทางธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเรามีกิเลส เรามีความโลภ เรามีตัณหา สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เราต้องทุกข์ แล้วเป็นอุปสรรคทำให้เราไม่สามารถข้ามภพข้ามชาติได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะตัดที่ไหน ลองใช้ปัญญาของท่านดู (ตัดจากกิเลสความอยากได้) แล้วถามว่ากิเลสอยู่ที่ไหน ความอยากได้อยู่ที่ไหน ต้องใช้ปัญญาตัดให้ถูกที่ใช่ไหม (ใช่) เหมือนท่านอยากเห็นนก ท่านต้องไปมองที่ไหน (รัง, ฟ้า, ต้นไม้) รังก็ได้ ฟ้าก็ได้ ต้นไม้ก็ได้ ถูกทั้งสามคำตอบนะ อยากมองเห็นปลาต้องไปมองที่ (น้ำ) นั่นก็คือเราอยากหาว่าสิ่งนี้อยู่ที่ไหนเราต้องไปหาให้เจอว่ามาจากตรงไหนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกิเลส อารมณ์ล่ะมาจากที่ใด (ใจ) ฉะนั้นเราจะตัดก็ต้องตัดที่ใจ แต่ใจนั้นจะตัดใช่ตัดตอนนั่งท่องมนต์ นั่งไหว้พระ ตัดได้ไหม (ไม่ได้) ตอนเราสวดมนต์ตอนนั้นเรามีกิเลส อารมณ์ ตัณหาไหม (ไม่มี) บางครั้งก็ยังมีคั่งค้างอยู่ ยังเป็นตะกอนเกาะอยู่ที่ใจ ใครกล้ายอมรับบ้างว่าตอนนี้ใจสะอาด ไม่มีความเกลียดอยู่ในใจยกมือขึ้น (มีนักเรียนคนหนึ่งยกมือ) ไม่เกลียดแน่นะ อะไรที่ท่านไม่ชอบกินต้องกินให้หมดนะ ใครไม่มีความโกรธในใจเลยยกมือขึ้น ไม่มีใครยกให้ชื่นใจเลยหรือ นั่นก็แปลว่าบางครั้งใจเรามีสิ่งที่คั่งค้างอยู่ที่เป็นกิเลส แต่พอมีแล้วตอนนั้นเราสวดมนต์ เราไหว้พระ เราสามารถสกัดลดให้หายได้ แต่ว่าพอหลังสวดมนต์ มีอีกไหม (มี) ทำไมยังมีเต็มปากเต็มคำเลย น่าจะบอกว่าไม่มีแล้ว ต้องไม่มีอีก แต่ว่าเป็นจริงอย่างที่เราพูดไหม ไม่ ท่านยังมีเรื่อยๆ ถ้ามีเรื่อยๆ ท่านจะสวดมนต์ทุกขณะได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทำไมไม่ได้ล่ะ ในเมื่อสวดมนต์ไหว้พระแล้วช่วยทำให้กิเลสลดลงจนเกือบจะไม่มี ฉะนั้นเวลาออกไปไหนทั้งวันเลยจะได้ไม่มีกิเลสทั้งวันเลยดีไหม (ดี) พอคนมาโมโหใส่ก็นะโมตัสสะ ภะคะวะโต ดีไหม ถ้าเด็กๆ ทำเขาคงโกรธไม่ลง แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำเป็นอย่างไร โดนว่ากลับ โดนชกกลับ กลับยิ่งโมโหอีกใช่ไหม บอกฉันไม่ใช่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ต้องมาสวดมนต์ให้ใช่ไหม นั่นก็คือว่าเราไม่สามารถสวดมนต์ได้ แล้วปัญญาท่านจะเอามาจากอะไรถึงจะดับได้ทุกขณะ (สติ, ธรรมะ) เราจะทำอย่างไรปัญญาเราถึงจะสามารถตัดกิเลสได้ทุกขณะเวลา นั่นก็คือ ต้องมีสติและปัญญาให้เท่าทันทุกขณะที่ใจคิด ทุกขณะอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มักอยู่ได้ด้วยอารมณ์ของตน และเดินเคลื่อนไหวไปตามแรงผลักดันของอารมณ์ตนใช่ไหม (ใช่) ใช่หรือ ไม่ได้อยู่เพราะมีความหวังหรือ กลายเป็นอยู่เพราะมีอารมณ์ อารมณ์หมดก็ตายทันที ไม่ใช่ เรามีอารมณ์ก็เพราะว่าเรามีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อเรามีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใจเราจะไม่สามารถที่จะตัดภพตัดชาติและตัดอารมณ์กิเลสได้ ฉะนั้นเมื่อไรที่เรามี ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าแอปเปิ้ลลูกนี้เป็นใจ พอมีอารมณ์ แอปเปิ้ลก็มีเขา มีความโกรธ แอปเปิ้ลก็มีหาง พอมีตัณหาแอปเปิ้ลก็ใส่ชุดดำ แล้วผลสุดท้ายใจดวงนี้ก็เลยกลายเป็นปีศาจจริงไหม (จริง) ฉะนั้นเราจงอย่าเพิ่มเขา เติมหาง ใส่ชุดดำให้กับใจตัวเอง จากที่จะสร้างบ้านกลายเป็นแปลงร่างเป็นปีศาจ แล้วเรารู้ตัวไหม เรารู้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ชี้หน้าคนโกรธได้ถูกต้องหรอกจริงไหม (จริง) ฉะนั้นจงอย่าเผลอ เพราะถ้าเผลอเมื่อไรเราก็จะกลายเป็นหญิงชุดดำกับชายชุดดำเอาไหม (ไม่เอา) แล้วเราก็จะตัดภพตัดชาติไม่ได้ เราก็จะต้องว่ายเวียนเกี่ยวกรรมไปเรื่อยๆ น่ากลัวนะ วันนี้เกี่ยวคนนี้ที วันต่อไปเกี่ยวคนนั้นที เราเกี่ยวเขาเราว่าเราปล่อยแล้ว แต่เขาไม่ปล่อย ฉะนั้นเกี่ยวน้อยๆ สร้างเหตุน้อยๆ ผลจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ผลก็คือเขาจะได้ไม่ต้องกลับมาทำร้ายท่านอีก ดีหรือไม่ (ดี) ฉะนั้นการศึกษาธรรมนอกจากจะทำให้เรารู้จักตัวตนเองได้อย่างแท้จริงแล้ว ยังเข้าใจ รู้แจ้งชีวิต และนำพาชีวิตไปถูกทาง ทีนี้อยากศึกษาอีกไหม (อยาก) มาอีกไหม (มา)
“ผิดจึงรู้เสียมากระวังจับ” เมื่อเราผิดเราจึงรู้ว่าเรามีสิ่งเสียมาก แต่บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้ พอพูดหนึ่งแล้วเราเข้าใจแค่หนึ่ง พอพูดสองแล้วเราเข้าใจแค่สองพอพูดสาม เข้าใจสาม เขาก็ว่าเราโง่ แต่บางคนบอกว่าพูดหนึ่ง แต่ท่านเข้าใจไปถึงสองสามสี่ เขาบอกว่าเราเจ้าเล่ห์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นนอกจากเรารู้เรื่องชีวิตว่าต้องเป็นอย่างนี้แล้ว บางครั้งปัญญาเราต้องตามให้ทันทุกๆ เรื่องราว และทุกๆ เหตุการณ์ที่เข้ามากระทบใจ เราว่าความดีชนะความชั่วแต่บางครั้งความดีอาจจะพ่ายแพ้ความชั่วได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณความดี ขึ้นอยู่กับสิ่งดีที่เราเลือกเอาไปใช้กับเขา เหมือนวันนี้ท่านเจอคนไม่ซื่อสัตย์ ท่านเอาความอะไรไปตอบเขาดีล่ะ ต้องใช้ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ แต่บางครั้งพอเราจริงใจ เราซื่อสัตย์ เขากลับได้ใจ เหมือนวันนี้เพื่อนท่านขี้เกียจท่านเอางานเขามาช่วยทำหมดเลย กลับกลายเป็นว่าช่วยเขาในทางที่ผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ลูกหลานเราทำผิด เราว่ากล่าว แต่เราไม่ได้ชี้นำทางที่ถูกให้เขาแก้ไข แล้วเขาจะทำได้ถูกไหม ไม่ได้ เหมือนท่านไม่ทำให้เขาดู เขาจะนึกออกไหมถ้าท่านเอาแต่พูด (ไม่ออก) ฉะนั้น ความดีรู้จักพลิกแพลงอย่างเดียวไม่พอ ท่านยังจะต้องปฏิบัติเป็นตัวอย่างด้วย ให้เขาเห็น ให้เขาเชื่อ ให้เรานี่แหละเป็นประจักษ์หลักฐานว่าทำดีแล้วได้ดี ทำดีแล้วมีคุณค่า ทำดีแล้วน่าเคารพนับถือ เขาก็จะทำตาม จริงหรือไม่ (จริง)
เรามาก็ทำให้ท่านเสียเวลาเยอะแล้ว เดี๋ยวเราก็จะกลับแล้วนะ เรื่องราวในโลกนี้เมื่อเดินไป ผลสุดท้ายก็ต้องเดินกลับมา เกิดขึ้นผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนที่เดิม วันนี้เรียนพรุ่งนี้ก็หยุดเรียน วันนี้มีเกียรติ พรุ่งนี้ก็ไร้เกียรติ วันนี้มีเงินพรุ่งนี้ก็ไร้เงิน เป็นเรื่องที่เดินไปแล้ว วิ่งไปแล้ว ไขว่คว้าไปแล้วแทบเป็นแทบตาย ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนที่เดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เราแม้จะวิ่งวนไขว่คว้าแสวงหารัก โลภ โกรธ หลง เกียรติยศชื่อเสียง ความรู้ ความมั่งคั่ง แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็นคนที่ไม่มีเกียรติ ไม่มีความรู้ และไร้ความมั่งคั่งไม่วันใดก็วันหนึ่งเป็นธรรมชาติ จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนกลอนนำที่เราให้ไว้นะ แม้เราจะวิ่งวนหาไปเท่าไร วิ่งไปมากเท่าไร ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนตรงที่เดิม บางครั้งความสุขที่เราไขว่คว้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีเงินทอง มีชื่อเสียง การนั่งเฉยๆ วางใจเรียบๆ ไม่คิดเรื่องราวอะไร แล้วปล่อยใจให้เบาสบาย ก็เป็นสุขได้เหมือนกันเคยบ้างไหม เคยค้นพบความสุขนี้กันบ้างไหม นั่งเฉยๆ ไม่ต้องมีใคร ไม่ต้องมีเรื่องกังวลใดๆ นั่งอยู่กับบ้านมองต้นไม้หรือมองใคร ใจเราก็เป็นสุขแล้วก็อิ่มในความว่างเปล่า ถ้าทำได้เช่นนี้ท่านจะเป็นคนที่ รู้จักสุขในคำว่า “พอ” เราอยากให้ท่านลองไปลิ้มรสความสุขอันนี้ดูบ้าง เป็นสุขที่ไม่ต้องเหนื่อยเลย แค่ทำใจวางให้สบาย ความวิตกกังวลเอาวางไว้ก่อน ปล่อยใจให้เบา ทำสมองให้ปลอดโปร่ง ปล่อยร่างกายให้อยู่ในท่าสบาย แล้วลองมองออกไปหรือลองมองย้อนกลับมา เราก็จะรู้สึกว่าสุขจังเลย ไม่ยากเลยนะ ในโลกนี้อะไรก็ถูกแย่งไปได้แต่ไม่มีใครแย่งความดีไปจากใจท่านได้ ฉะนั้นจงรักษาให้ดี หาทางแห่งความเป็นพุทธะก็อยู่ที่ตัวท่านจะสร้างไหม จิตใจแห่งความเสียสละก็อยู่ที่ว่าท่านจะยื่นมือไปช่วยเขาไหม ถ้าเห็นแต่ทุกข์ของตัวเองมากก็จะไม่เห็นทุกข์ของใคร แต่ถ้าเห็นทุกข์ของคนอื่นมาก เราก็จะเป็นพุทธะของใครๆ เอาล่ะ ต่อแต่นี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้ว จะเป็นคนเดินดินเหมือนเดิม หรือว่าจะฝึกฝนเป็นพุทธะบำเพ็ญตน
วันนี้ก็จบเพียงแค่นี้แล้วนะ ถึงเวลาที่เราต้องกลับแล้ว วันนี้เรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันและเรามาพูดคุยศึกษาธรรมะซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่ามาพูดนะว่าเรามาเล่นละครให้พวกท่านดู เมื่อสักครู่ท่านรับปากไปแล้วว่าเรามาคุยกัน เรามาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน ใช่ไหม (ใช่) อย่าเอาสายตาแห่งมนุษย์มามองพุทธะ ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็นความเป็นพุทธะ อย่าเอากิเลสอารมณ์มาบังใจของตน ไม่อย่างนั้นจะไม่รู้แจ้งในธรรมะ วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านได้มาศึกษาหลักธรรมอย่างจริงๆ จังๆ ขอให้ตั้งใจให้ครบสองวัน มีโอกาสว่างเมื่อไรก็มาศึกษาเพิ่มเติมได้หรือไม่ (ได้) คงได้นะ เซียนน้อยอย่างเรายังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เลย แล้วทำไมตัวท่านจะเป็นไปไม่ได้ อย่ายอมแพ้ ได้หรือไม่ (ได้) ไปแล้วนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย จ. ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ลำบากสอนให้เป็นคนเต็มคน ความอดทนตอบแทนด้วยสิ่งที่หวัง
ความเมตตานั้นแฝงซ่อนขุมพลัง ศิษย์รักเอยระวังใจของตนเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจมาบำเพ็ญดีหรือไม่
เวลามักจะชนะคนกำลังทุกข์ ชีวิตเมาพร้อมสุขดังใจไม่
จงฝันใฝ่ฝึกตนเผื่อฤทัย เพื่อเหลือคนรุ่นใหม่บำเพ็ญจริง
ประคองหน้าช่วยหลังด้วยคุณธรรม เพียงแจ้งธรรมพุทธจิตสว่างยิ่ง
วาระผิดจากนี้ไร้ทางจริง ถนอมยิ่งแม้นไม่อวลปานผกา
สัมมาธรรมเพียรพบอบอุ่นแสน ศึกษาแก่นอย่าหลบการปฏิบัติหนา
ไร้สงบไม้ผุลุใจศิษยา นับวันร้อยซ่อนปัญหาสุดประมาณ
เวิ้งฟ้ากว้างใจไพศาลผสานหนึ่ง ขจัดซึ่งรอยลึกที่ใจนั่น
โลกแสนเข็ญบำเพ็ญเริ่มนั้นสำคัญ เวลาแห่งทุกข์ยาวนานค่อยบรรเทา
อุทิศตนคืนวันสะพานยุคสาม ประสงค์คืนกลับโพ้นข้ามกิเลสเร้า
บางอุปสรรคดั่งเส้นผมบังภูเขา ขอศิษย์เยาว์เบาแสวงนอกกายา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
มนุษย์ทุกคนมีจิตใจ แต่มิได้ใช้ใจที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองมีอยู่ข้างใน ธรรมะมีกันอยู่ทุกคนไหม (มี) หัวใจของเรามีธรรมะไหม (มี) แล้วตอนนี้ใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตหรือไม่ ใครว่าตัวเองใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตสิบเปอร์เซ็นต์ ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตสามสิบเปอร์เซ็นต์ ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เอามือลง ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกมือค้างไว้ อาจารย์ให้ศิษย์คัดตัวเอง การคัดตัวเอง มีสามคนเท่านั้นเอง อาจารย์ให้ศิษย์เป็นผู้คัดตัวเอง คนที่ไปสวรรค์ได้ต้องเป็นคนดี คนชั่วก็ไปนรกใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าบำเพ็ญธรรมแล้วจิตใจของเรากลับมาสว่างเรียกว่า ฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ขมุกขมัวมอมแมมนั้นให้กลับมาสมบูรณ์ได้ ก็กลับมาเป็นพุทธะได้ แต่อย่างที่ถาม กี่คน กี่เปอร์เซ็นต์ ศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี้ตอบตัวเองว่าตัวเองใช้ไปกี่เปอร์เซ็นต์ มีจิตใจที่ใช้บำเพ็ญธรรมะอยู่มากเท่าไร จิตใจที่ดีงามอยู่มากเท่าไร ถ้าศิษย์ยิ่งมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งไกลสวรรค์มากเท่านั้น มนุษย์สมัยนี้จึงบอกว่าสวรรค์สงสัยจะไกลเกินเอื้อม ถ้าหากพูดถึงจะไปนิพพานยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งนี้ พูดถึงสิ่งที่ศิษย์คิดว่ามันไกลเกินเอื้อม ในเมื่อศิษย์บอกว่าทุกๆ คนมีหัวใจ แล้วหัวใจของทุกๆ คนก็มีธรรมะ ทำไมศิษย์ถึงคิดว่าเรานั้นไม่สามารถทำให้จิตใจดีกว่านี้ได้ สามารถทำได้ไหม (ได้) แล้วต้องทำหรือเปล่า (ต้องทำ) อย่างที่สังคมปัจจุบันนี้เป็น บางคนนั้นก็เป็นคนดีแต่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนไม่ดี เราเคยโดนไหม บางทีเราบอกว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับอีกคนหนึ่งเราก็ยังดีน้อยกว่าเขา หรือไม่เราอาจจะเป็นคนไม่ดีที่ชอบบอกว่าตัวเองเป็นคนดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์คิดว่าคนในสังคมนี้ที่มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายจิตใจ เวลาเราเผลอไปทำชั่ว เราเผลอไปทำไม่ดี เราก็ไปโทษว่าคนนั้นทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดี เพราะว่าเขามาปรักปรำเราอยู่เรื่อย เรารู้สึกแย่จริงๆ เรารู้สึกว่าเราต้องทำให้สมกับที่เขาใส่ร้ายเราให้พอ ในที่สุดแล้วเราก็ทำชั่ว สุดท้ายผลกรรมชั่วนี้โทษใคร ใครเป็นคนทำ (ตัวเอง) กฎแห่งกรรมนั้นก็คือใครทำ ใครรับ เพราะฉะนั้นถ้าทำดีก็รับสิ่งที่ดี ถ้าทำไม่ดีก็รับสิ่ง ไม่ดี จริงๆ แล้วโทษใครได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าวันนี้ศิษย์ทุกคนบำเพ็ญธรรม วันข้างหน้าศิษย์ของอาจารย์จะไปถึงไหน ทุกคนไปได้ไกลเท่าที่ตัวเองอยากไป แต่หากว่าวันนี้ยังเป็นอย่างทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ วันข้างหน้าไปถึงไหน มีอยู่สามทาง ทางแรกเวียนว่ายตายเกิด เกิดครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ทางเลือกที่สองคือไปรับกรรมในนรก และทางที่สามคือไปสวรรค์หรือหลุดพ้น ใครคิดว่าตัวเองเวียนว่ายตายเกิดยกมือขึ้น ใครคิดว่าตัวเองต้องไปนรกยกมือขึ้น แล้วใครคิดว่าตัวเองสามารถกลับสวรรค์หรือว่าหลุดพ้นจากการเวียนว่ายยกมือขึ้น อาจารย์ถามหมายถึงว่าที่เราทำอยู่ตอนนี้ ใครคิดว่าผลสุดท้ายตัวเองจะสามารถไปสวรรค์หรือหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดยกมือขึ้น มีคนบอกว่าเราต้องพยายาม แล้วความพยายามนั้นมักแพ้ความขี้เกียจเสมอใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นี้น่าประหลาดใจ กินก็ขี้เกียจ นอนก็ขี้เกียจ นั่งก็ขี้เกียจ ไปทำงานก็ขี้เกียจ รวยมากไปก็ขี้เกียจ จนมากไปก็ขี้เกียจ อยากจะกตัญญูก็ยัง ขี้เกียจ ขี้เกียจเป็นคำติดปากหรือเป็นนิสัยของเราจริงๆ (เป็นคำติดปาก) ติดที่ปากก็พอ อย่าให้ติดที่ใจ ฉะนั้นวันนี้อาจารย์มา ไม่ว่าศิษย์จะเชื่ออาจารย์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ บอกไว้เลยว่าไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่วันนี้ที่อาจารย์พูดทั้งหมด ถ้าหากว่าเห็นด้วยจงทำ อาจารย์ขอแค่นี้ จงทำ แล้วทำให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องสนใจว่าความดีของเรานั้นจะมีคนเห็นหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราเรียกร้องผลของความดีให้ตอบแทน ถ้าไม่ตอบแทนเราจะเลิกทำดีนั้นๆ มนุษย์สมัยนี้คิดอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราจะดีกับใครสักคนหนึ่ง ก็คิดว่าเขาต้องดีกับเราด้วย ถ้าเขาไม่ดีกับเรา เราก็เลิกทำเหมือนกัน เอาชีวิตของเราไปผูกไว้กับอะไร ตอนนี้ชีวิตเป็นของเรา หัวใจนี้เป็นของเรา เราทำดีก็เพื่อตัวเราเอง เพื่อตัวเราเองรู้สึกดีและเป็นคนที่ดีขึ้น แต่บางคนไม่ใช่ เอาความดี เอาจิตใจ เอาการทำดีของเราทั้งหมดไปผูกไว้กับคนอื่น ถ้าเขาไม่ดีต่อเรา เราจะเลิกทำ เพราะว่าหัวใจได้ผูกไว้กับเขาใช่หรือไม่ (ใช่) เราสั่งหัวใจของเราเองได้ไหม (ได้) แน่ใจหรือ คนที่เคยมีความรักมักจะรู้ว่าเวลามีความรักแล้วสั่งหัวใจของตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราสั่งหัวใจของคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าหัวใจของเราชอบเขาแล้วหัวใจของเขาเกลียดเรา เราสั่งเขาได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเปลี่ยนได้หรือเปล่า (ได้) แล้วเขาชอบเราเปลี่ยนได้ไม่ได้ (ได้) เขาเกลียดเราเปลี่ยนได้ไม่ได้ (ได้) คนที่ตอบว่าได้ หนักแน่นมั่นคงดี แต่ต้องดูอีกทีตอนปฏิบัติใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร สามวันดีสี่วันไข้ คำพูดคำนี้ใครเป็นคนคิด คำพูดคำนี้คนเป็นคนพูดเพื่อบอกคนด้วยกันว่าทุกคนนั้นเป็นคนที่โลเล เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากเป็นคน ก็โลเลต่อไป ถ้าเราอยากบำเพ็ญธรรมก็ต้องเลิกนิสัยโลเล วันละครั้งเดียวนี่ก็มากเกินไปแล้วรู้ไหม เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีก็คือเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง การเปลี่ยนนิสัยตัวเองได้นี้เป็นเรื่องแรกของการบำเพ็ญธรรมที่จะต้องทำ หากว่าเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไม่ได้ ธรรมะจะวิเศษได้ไหม ถ้าหากว่าเราเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไม่ได้ แก้นิสัยที่ไม่ดีของตัวเองไม่ได้ เราจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนดีอยู่ได้ไหม (ไม่ได้) ตอนที่มากราบรับธรรมนั้น ศิษย์ทุกคนให้อาจารย์แนะนำรับรองบอกว่าศิษย์ทุกคนเป็นคนดี ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วอาจจะยังดีไม่ถ้วนไม่ทั่ว แต่อย่างน้อยอาจารย์ก็เชื่อว่าทุกคนนั้นยังเชื่อว่าลึกๆ ตัวเองยังเป็นคนที่ดีอยู่ แม้ใครจะพูดว่าอย่างไร เราก็ยังเชื่อว่าเรานั้นยังมีความดีอยู่บ้าง ขอให้เราเชื่อมั่นในความดีส่วนน้อยนิดของตัวเองส่วนนี้ แล้วขยายมันออกไปเหมือนกับเมล็ดของต้นไม้บางประเภทที่สามารถขยายพันธุ์ของตัวเองได้ อาจารย์อยากให้เราซึ่งเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าต้นไม้ใบหญ้า ยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ นั้น สามารถขยายความดีแค่กำเดียวในหัวใจของเรานี้ออกไป ถ้ามีใครไม่เชื่อถือว่าเราเป็นคนดีหรือบำเพ็ญธรรมได้ดี เราบังคับให้คนอื่นเชื่อไม่ได้ แต่เรานั้นทำตัวดีๆ ให้สม่ำเสมอได้ มนุษย์เป็นสิ่งที่อ่อนไหวต่อความรู้สึก และมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้อาจารย์มาที่นี่ก็เพราะว่าเชื่อว่าศิษย์ทุกคนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกันดีไหม (ดี) ไหนใครคิดว่าตัวเองนั้นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปใน ทิศทางที่ดีขึ้น ยกมือหน่อย ทีนี้เอามืออีกข้างหนึ่งปรบมือให้ตัวเอง ปรบมือดังๆ อาจารย์หวังว่าวันหน้าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนเป็นผู้ปรบมือให้ศิษย์ ด้วยการที่เรานั้นสามารถที่จะคว้าชัยชนะมาให้ตัวเอง ด้วยการที่เรานั้นสามารถที่จะบอกว่าเบื้องบนนั้นไม่ไกลเกินเอื้อม เราไปถึง ถึงวันนั้นอาจารย์ปรบมือให้
“ศิษย์รักเอ๋ยระวังใจของตนเอง”
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้น ไม่ใช่เสือสิงห์ที่ไหน สิ่งที่น่ากลัวนั้นก็ไม่ใช่สังคมที่เลวร้าย สิ่งที่น่ากลัวก็ไม่ใช่ว่าคนนี้จะมาหลอกเราหรือว่าอะไรก็แล้วแต่จะมาหลอกเรา ผีก็ยังไม่น่ากลัว น่ากลัวที่สุดนั้นก็คือใจของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะสามารถที่จะพาเราไปทำเรื่องที่ร้ายที่สุด และสามารถทำให้เรานั้นทำเรื่องที่ดีที่สุด ดีจนคนอื่นเขาใจหาย พร้อมจะเปลี่ยนจากคนที่ดีที่สุดกลายเป็นร้ายที่สุดในเวลา 5 นาที เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้ก็คือจิตใจของตัวเราเอง โจรขโมยก็ขโมยไปแค่ทรัพย์สิน ฆาตกรฆ่าเราก็ฆ่าไปแต่กาย แต่สิ่งที่น่ากลัวที่ยังเหลือไว้คือจิตใจที่ไม่ได้รับการขัดเกลาของตัวเอง อาจารย์นั้นได้ชื่อว่าเป็นพระที่บ้า แต่อาจารย์ก็ยังเห็นว่าคนบ้านั้นไม่ใช่คนที่น่ากลัว แล้วก็ไม่เลวร้ายอะไร แต่มนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้ยิ่งกว่า ว่าไปแล้วเหมือนกับบ้าทุกคน เพราะว่าเรามีความบ้าอยู่ในตัว แล้วพร้อมจะแสดงออกทุกเมื่อใช่หรือเปล่า (ใช่) พุทธะมีความบ้าไหม พุทธะไม่มีความบ้า ถ้าหากว่าเรายังบ้าอยู่ และพร้อมจะแสดงออกทุกเมื่อ แสดงว่าจิตใจของเรานั้นยังไม่ได้รับการขัดเกลาใช่หรือไม่ (ใช่) ยังเน้นหนักเห็นสิ่งภายนอกสำคัญกว่าจิตใจของตัวเราเอง ฉะนั้นจิตของเราเมื่อ ไม่อยู่ในภาวะปกติก็เรียกบ้า แล้วจิตใจของศิษย์ยังไม่ปกติ คือพร้อมที่จะแสดงความบ้าออกมาทุกเมื่อ ก็แสดงว่าจิตใจของเรานั้นยังไม่ถูกขัดเกลาไปสู่สภาวะเดิมแท้ คือความใสสะอาด จะให้คนอื่นขัดเกลาเราได้ไหม (ไม่ได้) ใครต้องเป็นผู้ขัดเกลา (ตัวเราเอง) แล้วถามว่าเรานั้นยินยอมที่จะขัดเกลาหรือไม่ (ยอม) สมมติว่าศิษย์ของอาจารย์เจอสิ่งๆ หนึ่ง คนๆ หนึ่งที่เราชอบมาก ปกติแล้วจะต้องได้สิ่งๆ นี้มา แต่รู้ว่าทุกครั้งที่ได้มาก็คือทำไม่ถูกต้อง ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องไปเอามา ถ้าหากว่าเราอยากขัดเกลาจริงๆ ตั้งแต่วันนี้ไปก็ต้องทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าเอามาไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ใช่ของของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอดใจไม่เอามา ได้ไหม (ได้)
ศิษย์รู้ตัวไหมว่าทุกๆ คนนั้นเป็นคนมีบุญ เวลามีเหตุการณ์จวนตัวนั้นอยู่ดีๆ รอดไปได้อย่างไร เคยไหม (เคย) แล้วเคยไหมว่าพอมีเรื่องจวนตัวแล้ว ไม่รอดเลย (เคย) ก็เคยเหมือนกัน แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่มีบุญแล้วมีอะไรด้วย (กรรม) ถ้ามีเหตุการณ์คับขันอย่างไรก็รอดมาได้ เหตุการณ์เคราะห์ภัยอะไรสามารถที่จะหลุดรอดออกมาได้ ปลอดภัยได้ ก็แสดงว่าเราเป็นคนที่มีบุญ แต่ว่าในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีกรรมอย่างที่อาจารย์ว่า คือบางทีไม่สามารถที่จะรอดไปได้ อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่ามารับธรรมะสามารถที่จะมากราบขอรับธรรมได้ ก็แสดงว่าเรานั้นมีบุญอยู่ แต่ในขณะเดียวกันกรรมก็ตามมาติดๆ ถ้าหากว่าเราไม่ใช้กรรมไป เราสามารถที่จะพ้นกรรมได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นต้อง รู้จักที่จะชดใช้กรรมของตัวเอง ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศล ถ้าหากว่าเราเห็นคนที่ไม่มีข้าวกิน เราจะเอาข้าวไปให้เขากินไหม ถ้าเราเองก็เป็นคนที่แทบจะไม่มีข้าวกิน เราสามารถแบ่งข้าวให้เขากินสักครึ่งจาน ทำได้ไหม (ได้) แล้วเคยทำหรือเปล่า (เคย) อย่าตอบไปเฉยๆ นะ
การที่กุศลหรือบุญนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ เกิดได้ตอนไหน เกิดได้ในตอนเราสร้างบุญนั้นได้ลำบากแต่เรานั้นยังสร้างต่อไป ก็จะทำให้บุญนั้นๆ เป็นบุญแท้จริง เพราะว่าคนทั่วไปนั้นถ้ามีเงินถึงได้ทำบุญ มีเงินอยู่จะไปสร้างบุญก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากว่าไม่มีแล้วเรายังสร้าง คนนี้ธรรมดาไหม (ไม่) ถ้าหากว่าศิษย์มองด้วยตาของศิษย์เอง ตรงนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนบุญที่แท้จริง (คนไม่มีเงิน) ที่อาจารย์ยกตัวอย่างนี้เพราะว่าเห็นง่าย แต่บุญนั้นไม่ได้สร้างด้วยเงิน บางทีคนสร้างด้วยเงินนั้นไม่มีบุญด้วยซ้ำ บุญนั้นสร้างด้วยจิตใจที่จะลงไปปฏิบัติ ไม่ใช่จิตใจอย่างเดียว ศิษย์อาจารย์อะไรๆ ก็ใจ มีใจแต่ไม่มีแรงใช่หรือเปล่า แรงไปไหนหมดไม่รู้ พอจะทำบุญแล้วหมดแรงเป็นอย่างนั้นไหม บุญนั้นสร้างด้วยหลายสิ่ง อย่างเช่นสร้างด้วยแรง คือสมมติว่าเราเห็นคนแก่คนหนึ่งไม่มีแรงยกของขึ้นรถของตัวเอง เราเดินไปช่วยยกอย่างนี้มีบุญไหม อย่าถามอาจารย์ว่ามีบุญเท่าไร บุญไม่เหมือนกับเงิน ที่อันนี้ห้าบาท อันนี้สิบบาท อันนี้ยี่สิบบาท อันนี้ห้าร้อย อันนี้หนึ่งพัน ไม่ใช่อย่างนี้ แต่มันอยู่ที่ว่าจิตใจของศิษย์ที่จะออกไปช่วยนั้นมีเท่าไร ไม่ใช่มีจิตใจอยู่สองเปอร์เซ็นต์แต่อีกแปดเปอร์เซ็นต์คือช่วยด้วยคิดว่าถ้าไม่ทำนี่ก็คงละอายใจ อย่างนี้บุญคนนี้มีอยู่เท่าไร เห็นคนๆ นี้จะยกของขึ้นรถแต่ว่าเราเข้าไปช่วยด้วย สองเปอร์เซ็นต์อยากช่วย แต่อีกแปดเปอร์เซ็นต์ช่วยด้วยจิตสำนึก ถ้าไม่ช่วยคงละอายใจเพราะแถวนั้นมีเราอยู่คนเดียว ถามว่าคนๆ นี้ได้บุญเท่าไร ถ้าหากจะวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็มีอยู่แค่สอง แต่หากว่าคนๆ นี้เข้าไปช่วย จิตใจเต็มสิบรีบวิ่งเข้าไปช่วยเพราะรู้สึกว่าต้องช่วย เราอยากช่วยด้วย จิตใจที่อยากจะช่วย ถามว่าคนๆ นี้มีบุญเท่าไร (สิบ) คนนี้ก็คือเป็นคนที่มีบุญทั้งสิบ ทำบุญทำอย่างไร ไม่มีเงินก็ช่วยแรง ไม่มีแรงก็ช่วยออกเงิน พูดเรื่องเงินก็ ไม่ดีอีก เดี๋ยวจะหาว่าอะไรๆ ก็เงิน เพาะว่าคนไม่ไว้ใจกันก็ด้วยเรื่องเงินใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการออกปากพูดถึงเรื่องเงินกับใครก็ต้องดูก่อน อาจารย์สอนศิษย์ทุกคนที่เป็นคนเก่า อย่าได้ไปเน้นเงินทองสิ่งภายนอก เขาเรียกว่าเงินทองของบาดใจ ทะเลาะกันง่ายๆ ก็เพราะเงินใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่สร้างด้วยเงินแล้วสร้างด้วยอะไร (ใจ) เห็นคนๆ นี้เขาอยากจะยกของขึ้นท้ายรถ เราก็มีใจ เอาแต่ใจไปช่วยของมันจะยกไหม (ไม่ยก) เหมือนตอนนี้อาจารย์อยากจะคุยกับศิษย์ แต่อาจารย์มีแต่ใจ มีใจดวงเดียวเท่านั้นเองที่มา แล้วศิษย์มองเห็นหรือไม่เห็น (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็ไปจบที่คำว่าใจนั้นบางทีก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) มีอย่างเดียวที่ใจมาเป็นหนึ่งนั้นคือความศรัทธา แต่ศรัทธาแล้วก็ต้องทำให้เห็นด้วยว่าศรัทธา ไม่ใช่ศรัทธาแต่ใจ อีกทางหนึ่งที่สามารถให้ทานได้ ที่สามารถสร้างกุศลได้คือการพูดธรรมะเป็นทาน พูดธรรมะอาจจะไม่จำเป็นว่าจะชวนคนมารับธรรมะก็ได้ เพราะหากศิษย์ไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร พูดให้เขาฟังว่าธรรมะๆๆ ศิษย์ก็อธิบายไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มแรกตัวเองต้องเข้ามาศึกษาก่อน สองวันพอไหม (ไม่พอ) ต้องมากกว่านี้อีก แต่จะมากเท่าไรก็ขอให้ขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ก็แล้วกัน ว่ามีใจเท่าไรก็ให้ไปลงแรงเท่านั้น คนเรานั้นชอบพูด วันหนึ่งพูดกี่ชั่วโมง นอนแปดชั่วโมง เวลาที่เหลือก็คือใช้ชีวิตอยู่ทั้งวัน เสร็จแล้ววันๆ หนึ่งพูดไปกี่ชั่วโมง วันๆ หนึ่งก็เจอคนมากมาย พูดธรรมะเป็นทานอย่างไร เห็นคนนี้เขาท้อแท้ชีวิตหมดอาลัยตายอยาก ศิษย์พูดให้เขามีกำลังใจอย่างนี้เป็นการทำบุญไหม (เป็น) คนนี้เขาท้อแท้ใจมาก สามีภรรยาเลิกกัน บ้านเละเทะ ไปหมด เราพูดให้เขามีกำลังใจ พูดให้เขาปลงตกกับชีวิตแล้วพูดให้เขากลับไปคืนดีกันได้ คนนี้ทำบุญหรือไม่ทำบุญ (ทำบุญ) กับอีกอย่างหนึ่ง เห็นคนนี้เขาทะเลาะกันเราไม่ชอบคนนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราเข้าข้างคนนี้แล้วพูดยุคนนี้ไปด้วยความไม่ตั้งใจคนนี้ทำบุญหรือทำกรรม (ทำกรรม) ฉะนั้นกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทำบ่อยที่สุดก็คือวจีกรรม กรรมที่เกิดจากทางปาก เพราะวันๆ หนึ่งนั้นมีคนผ่านเข้ามาตั้งเยอะ วันๆ ก็พูดตั้งเยอะเสร็จแล้วก็พูดอะไรที่เป็นกรรมใส่ตัวก็เยอะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงมีโรคที่เกี่ยวกับปากมากมายเช่น ฟันผุ ลิ้นเป็นแผล เหงือกอักเสบ ทุกอย่างในปากนี้ ริมฝีปากก็เป็นเริม เป็นอะไรไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจงหัดพูดแต่ในสิ่งที่ดี ไม่ใช่บอกว่าฉันพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ฉันก็ยังฟันผุ ลิ้นแตก ปากก็ยังเป็นเริมอุตลุดไปหมด จะให้มาทำกรรมได้หรือเปล่า สมมติว่าสร้างกรรมไว้ท่วม อยู่ดีๆ พอเราสร้างบุญ กรรมตรงนี้หายไปหมดได้หรือไม่ (ไม่ได้) รู้เหมือนกันหรือว่าไม่ได้ อาจารย์ไม่นึกว่าศิษย์รู้ ที่ไปทำบุญแล้วบอกว่าฉันทำบุญแล้วทำไมยังไม่ได้ดี ก็เพราะว่าเรานั้นเพิ่งจะเริ่มทำบุญเองใช่หรือไม่ (ใช่) คนก็เป็นคนใจร้อนเวลาทำบุญก็ยังใจร้อนเสร็จแล้วได้บุญไหม (ไม่ได้) คิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว กรรมก็ทำมาตั้งเยอะ บุญก็ค่อยๆ ทำไป แต่บางครั้งวิ่งมาเร็วก็หายไปเร็ว ศิษย์อาจารย์มาเร็วเหมือนม้า ควบมาแรงมากพอเจอ เส้นชัยเข้าก็หายไป เส้นชัยนี้ก็คือประชุมธรรมได้สองวัน อยากที่จะเป็นม้าแข่งอย่างเดียววิ่งให้เร็วกว่าคนอื่น แต่ไม่อยากเป็นม้างาน ไม่อยากทำงาน ทุกอย่างรู้หมด วิ่งเร็วทำได้หมดแต่ไม่ทำ อย่างนี้จะมีประโยชน์กับตัวเองไหม (ไม่มี) ถึงจะวิ่งเร็วกว่าคนอื่น แต่ก็อาจจะเป็นเหมือนนิทานเรื่องเต่ากับกระต่าย สุดท้ายอะไรชนะ (เต่า) ทำไมล่ะ (กระต่ายประมาทแต่เต่ามีความเพียร)
จะเห็นได้ว่าชีวิตจริงๆ ของเราก็คือนิทานเรื่องนี้ บางคนนั้นเขาดูแล้วยังด้อยกว่าเราอีกมากมาย แต่เป็นเพราะว่าเราไปเหมือนกระต่ายแทนที่จะเหมือนเต่า แม้จะดีกว่าแต่หากไม่ลงมือทำเราก็อาจจะเป็นผู้แพ้ไป อยากจะเป็นผู้แพ้หรือว่าผู้ชนะ ชนะอะไร (ใจตัวเอง) อาจารย์นึกว่าจะบอกว่าชนะคนอื่น ทุกวันก็บอกว่าชนะๆ แต่ว่าชนะอะไร (คนอื่น) แต่พอให้ตอบก็รู้จักตอบว่าชนะใจตัวเอง แสดงว่ามนุษย์มีข้ออ้างเยอะใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จะถามว่าเมื่อสักครู่ที่อาจารย์มานั้น อาจารย์ได้พูดไว้บอกว่าเรื่องแรกของการเริ่มบำเพ็ญธรรม ศิษย์จะต้องทำอะไร (เปลี่ยนนิสัยตัวเอง)
“จงฝันใฝ่ฝึกตนเผื่อฤทัย เพื่อเหลือคนรุ่นใหม่บำเพ็ญจริง”
มีอยู่คำหนึ่งมีความหมาย คือ คนรุ่นใหม่ คนสมัยนี้ชอบพูดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ต้องกล้าทำกล้าแสดงออก แต่อาจารย์อยากจะถามว่าโดยทั่วไปเรากล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้องไหม เหมือนกับที่ศิษย์รู้ข่าวคนฆ่าตัวตายตามๆ กัน ด้วยเสพยาเสพติด การที่เรากล้าทำ กล้าแสดงออก ไม่ใช่กล้าทำในสิ่งที่ผิด ต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นชายก็ควรที่จะกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง รู้ว่าสิ่งใดควรจึงทำ รู้ว่าสิ่งใดไม่ควรก็ไม่ทำ เป็น ผู้หญิงต้องรู้จักนิ่มนวลดั่งหญิง ต้องรู้จักพูดดี ต้องพูดจาอ่อนหวาน ใบหน้ายิ้มตลอดเวลาแล้วก็มีความจริงใจ หวังดีให้กับคนอื่น ไม่กล้าที่จะคิดร้าย คนที่ทำได้อย่างนี้ ใครเห็นใครรัก ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ทุกคนที่เห็นเรารักเราทุกคนหรือยัง (ยัง) เพราะว่าเราชอบทำหน้าบึ้ง เพราะว่าเราพูดจาไม่ดี อดทนไม่ได้ก็ด่าไป ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้ใครเห็นใครรักได้ไหม (ไม่ได้) สุดยอดความปรารถนาของศิษย์ที่เป็นผู้หญิงหลายคน อยากให้สามีรักใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าเขาจะรักเราลงไหม ถามตัวเองนะ อาจารย์ให้เคล็ดลับง่ายๆ พูดดี พูดอ่อนหวาน ตลอดเวลาไม่ว่าจะโมโหก็ตาม (ทำไม่ได้) ทำไมล่ะ ผู้ชายชอบผู้หญิงโกรธไหม (ไม่ชอบ) ผู้หญิงชอบผู้ชายเจ้าชู้ไหม (ไม่ชอบ) ให้ทำตัวเป็นบุคคลที่รู้ใจซึ่งกันและกัน รู้ว่าสิ่งใดเขาไม่ชอบก็อย่าทำ อย่างเช่นพื้นฐานง่ายๆ เรื่องการพูดจาให้พูดดี ถึงรู้ว่าเขาไปทำผิดมา แต่ถ้าหากพูดดี เขาจะใจแข็งไหม (ไม่) ใจคนไม่ได้แข็งเหมือนหิน แต่พออยู่ด้วยกับกลับเหมือนหินสองก้อนกระทบกันทุกที ปัญหาบางปัญหาก็สร้างขึ้นมากองพะเนิน พอทำดีเข้าหน่อยจะให้ปัญหาหายไปได้ไหม เพราะฉะนั้นเราเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทิศทางที่ดี พูดดีพูดจาอ่อนหวาน คิดดีไม่คิดร้าย เมื่อไม่คิดร้าย ใบหน้าก็ยิ้มตลอดเวลา ไม่เฉพาะแค่สามีที่บ้าน แม้แต่พ่อแม่ เพื่อน ญาติ พี่น้อง คนสนิทชิดใกล้ ใครที่ไหนก็รักเรา ถูกต้องไหม (ถูก)
คนไหนขี้โมโหยกมือขึ้น ทุกคนขี้โมโหหมดนะ ถ้าหากใครมายั่วก็โมโหทั้งนั้น ถ้าเขาไม่มายั่วเราก็ไม่โมโหใช่หรือเปล่า (ใช่) ไปแก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา) แก้ที่เราดีกว่า แก้ที่เขาปวดหัวหรือเปล่า (ปวดหัว) อยากให้ลูกเรียนหมด ลูกเรียนไม่เรียน อยากให้ลูกดีก็ไม่ยอมดี อยากให้เขาทำอย่างไรก็ไม่ทำอย่างนั้น แก้ที่ลูกหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา) หากบ่นทุกวัน อยู่ดีๆ เงียบไปจะสงสัยไหม (สงสัย) อยากให้เขาสงสัยเราไหม ปกติถามเขาทุกวัน ถ้าอยู่ดีๆ เราเงียบไปคนที่เราไปบ่นเขาทุกวันต้องมาถามเราแน่นอนเลยใช่หรือไม่ (ใช่) หากเอาวิธีของอาจารย์ไปเป็นเล่ห์กลอุบาย เลิกบ่นสองวัน อีกสามร้อยหกสิบสามวันนั้นบ่นที่เหลือให้หมดเลยได้ไหม (ไม่ได้) ต้องเป็นคนที่ไม่ขี้บ่น ทำได้ไหม (ได้) ตั้งแต่อาจารย์มารับปากไปกี่ข้อแล้ว (หลายข้อ) อาจารย์ยินดีที่ศิษย์จะทำได้อย่างที่รับปาก อาจารย์ไม่ได้หวังว่าให้ศิษย์รับปากแน่ๆ แต่อาจารย์ก็ไม่หวังให้ศิษย์ผิดสัญญานะ รู้ไหม (รู้) เพราะฉะนั้นในบทนี้อาจารย์พูดถึงคนรุ่นใหม่ ทุกคนนั้นก็บอกว่าตัวเองคือคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะผมดำ ไม่ว่าจะผมขาว อายุมากอายุน้อยก็บอกว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ อาจารย์ไม่เถียงนะ ศิษย์เป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ แต่ว่าให้เราเป็นคนกล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เข้ามาศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะก็จงปฏิบัติ ไม่ใช่อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนที่มาถือบวช แต่อยากให้ศิษย์ถือบวชจิต จิตใจของตัวเองนั้นต้องถือบวช ถึงแม้ภายนอกเราจะเป็นปุถุชน ผมของเราก็ยังยาว เสื้อผ้าของเราก็หลากสี แต่อาจารย์อยากให้จิตใจของเรานั้นขาวบริสุทธิ์ ได้หรือไม่ (ได้) เพราะเข้าใจว่าพวกเราทุกคนนั้นมีภาระทางครอบครัว มีภาระผูกพันกับคนจำนวนมาก ก็อยากให้ถือโอกาสนี้ที่เรานั้นได้เป็นฆราวาส อยู่ในโลกมนุษย์นี้ รู้จักคนเยอะมากเท่าไร ก็ช่วยคนเท่านั้นให้เป็นคนดีมากขึ้น รู้จักคนห้าคนก็ช่วยคนห้าคนนั้นให้เป็นคนดีขึ้นมา รู้จักคนสิบคนก็ช่วยคนสิบคนนั้นให้เป็นคนดีขึ้นมา เพราะว่าคนที่ก่ออาชญากรรมหรือคนที่ก่อเหตุเรื่องชั่วร้ายต่างๆ นั้น บางทีก็เป็นคนที่แวดล้อมเรา ถ้าเราช่วยเขาช้าไป เขาอาจจะทำไม่ดีขึ้นมาก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่อย่ามัวมองแต่คนอื่นๆ ให้มองตัวเองด้วย สักวันหนึ่งถ้าหากเราโมโหมากเกินไปจนยากที่จะดับ เราก็อาจจะเป็นคนก่อเหตุ เสียเอง หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งก็อาจจะเป็นรูปเราสักวันหนึ่งก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตนให้ดีๆ เสียสละเวลาตนมานั่งฟังสองวันแล้ว ให้เสียสละเวลามาศึกษา ปีหนึ่งมีชีวิตอยู่ที่บ้านมากกว่าค่อน ปีหนึ่งมีชีวิตมาสถานธรรมไม่กี่ชั่วโมง ทำไมเราถึงทำไม่ได้ล่ะ ก็เพราะว่าจิตใจของเรานั้นยังเน้นหนักด้านทางโลกมาก แต่อาจารย์หวังว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ฟังธรรมะ แต่สามารถใช้กับชีวิตที่เหลือได้ตลอดชีวิต ฟังไปมากใช้ให้มากเท่านั้น ทำได้ไหม (ทำได้)
เห็นศิษย์ง่วงเหงาหาวนอนอย่างนี้ เมื่อคืนนอนหลับไหม (ไม่ค่อยหลับ) ทำไมไม่หลับล่ะ (ไม่สบายใจ) แล้วไม่หลับกลางคืนมาหลับกลางวันเหมือนกันหรือเปล่า ก็หลับเหมือนกัน ตั้งแต่อาจารย์มาก็เริ่มหลับ พอไปถามว่าเมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่า บอกว่าไม่หลับ กลางคืนไม่หลับกลางวันหลับเหมือนกันไหม มีคนในโลกนี้ชอบพูดบอกว่าถ้าหลับกลางวันจะไม่ค่อยสบาย เพราะหลับกลางคืนจะหลับยาว เพราะฉะนั้นกลับกลางคืนหรือกลางวันดีกว่า (กลางคืน) แต่หลับกลางคืนกับหลับกลางวัน คำว่าหลับเหมือนกันไหม (เหมือน) ทำไมเมื่อคืนถึงไม่หลับล่ะ ก็บอกว่าไม่สบายใจ อาจารย์อยากจะบอกว่ามนุษย์ทุกคนในโลกนี้ก็มีความไม่สบายใจทุกเมื่อเชื่อวัน ปัญหานี้จบไป ปัญหาอื่นมาใหม่ มีวันไหนไม่มีปัญหา (ไม่มี) ตายไปแล้วมีปัญหาไหม (ไม่มี) ตายไปแล้วไม่มีปัญหา ลูกยังดื้ออยู่เหมือนเดิม ที่บ้านเงินยังไม่พอใช้เหมือนเดิม ทุกคนในบ้านเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม) มีปัญหาเหมือนเดิมใช่ไหม แต่เราตายแล้ว เป็นอย่างไรมีปัญหาไหม ไม่มี เป็นคนนั้นโดยทั่วไปก็คือปลงไม่ได้ เมื่อปลงไม่ได้ปัญหาจึงมาเกาะอยู่ที่จิตใจใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรจึงจะปลดปัญหาทิ้ง
เวลามาสถานธรรมก็ต้องรู้จักทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เดินสวนกันไปก็เดินสวนกันมา เขาก็น่าคุยแต่ไม่กล้า เรียกว่าไม่กล้าทำในสิ่งที่ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เข้ามาสถานธรรมแล้วต้อง ทำความรู้จักใกล้ชิดสนิทสนมกัน เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าทำอย่างไรถึงจะมีปัญหาน้อยลง ก็คือไม่มีทางที่ชีวิตมนุษย์นั้นจะไม่มีปัญหา ทุกๆ วันก็มีปัญหา มีไม่ซ้ำกันปัญหานี้จบไป ปัญหาใหม่งอกมา มีอยู่ทางเดียวทำอะไร คำที่ศิษย์ชอบตอบอาจารย์ที่สุด (ทำใจ) เก่งมาก ก็คือทำใจ บางเรื่องนั้นไม่สามารถที่จะให้มันจบไปอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ว่าทุกเรื่องก็ต้องมีวันจบ ทุกเรื่องก็มีทางออก ใช่หรือเปล่า (ใช่) มีอยู่ทางออกหนึ่งที่ศิษย์ไม่ค่อยชอบ คือการทำใจ ทีนี้อาจารย์จะสอนให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำใจ ปล่อยวาง ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือ เห็นคำๆ นี้แล้วก็บอกว่าเราทำไม่ได้ หรือบอกว่าไว้วันหลังทำ แต่หากว่าอยากที่จะทำใจต้องลองเลย ตอนที่มีกำลังที่จะต่อต้านความทุกข์มากที่สุดคือตอนที่ฟังธรรมะจบ เราฟังธรรมะจบ เรารู้สึกว่าทำใจตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้แม้ว่านั่งฟังธรรมะที่อาจารย์พูดอยู่ แต่ในจิตใจของศิษย์นั้นกลับลอยไกลคิดถึงปัญหาต่างๆ แต่ว่าอย่าให้คิดนานเกินไปนะ คิดปุ๊บก็วางปั๊บ ไม่ต้องไปหาทางออกให้กับปัญหานั้นๆ เวลาต่างหากที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้เอง จิตใจเราก็เหมือนปม เวลานั้นทำให้ปมคลายออกไป บางทีคนที่จะแก้ปัญหานั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นคนอื่นที่เป็นคนผูกไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นบางทีก็ควรจะปล่อยวางทำใจให้เวลานั้นคลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องแก้ไข ต้องคลายปมของตัวเองอยู่เสมอก็คือการคลายปมนิสัยของตัวเอง เพราะว่าทุกคนมีนิสัย นิสัยก็กลายเป็นความเคยชิน พอเคยชินแล้วก็ไม่ต้องพูดถึง เหมือนคนติดเหล้าติดบุหรี่ เหมือนคนติดการพนัน แก้ง่ายไหม (ไม่ง่าย) จะว่าไม่ง่ายก็ไม่ง่าย จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก เหมือนกินเหล้าติดเหล้า ถ้าวางเหล้าลง เหล้ามาถึงปากไหม (ไม่ถึง) เวลาที่ยกดื่ม ใครยกให้ (ตัวเอง) ส่วนใหญ่เราเป็นผู้ยกเข้าปากเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) แล้วจิตใจอยากที่จะบำเพ็ญจิตใจไหม (อยาก)
ใครยังไม่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น อยากได้ไหม (อยากได้) เดี๋ยวถ้าอาจารย์ตั้งคำถามให้ตอบต้องตอบนะ อย่างนี้อาจารย์ตั้งปัญหาง่ายๆ ทุกคนตอบได้กลับไปบ้านเริ่มไปทำสิ่งใดเป็นสิ่งแรก หลังจากที่กลับไปแล้ว เราจะกลับไปแก้ไขสิ่งใดก่อน (แก้ไขความเป็นอยู่) แก้ไขความเป็นอยู่หมายความว่าอย่างไร หาเงินมากๆ (ไม่ใช่ ทำตัวให้ดีขึ้น) แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้ล่ะ (ไม่ดีก็แก้ไขต่อไป) ดีมาก ศิษย์หลายคนตอนเข้ามาไม่ใช่ว่าเป็นคนดีทุกคน แต่หลังจากที่เข้ามาแล้วตั้งแต่วันนี้ไปขอให้ดีตลอดไป ส่วนมากตอนที่เข้ามาแล้วดีๆๆๆๆ แต่พออยู่ไปอยู่มาแล้วแย่ๆๆๆๆ อย่างนี้ดีไม่ดี (ไม่ดี) (เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง และโน้มน้าวจิตใจคนรอบข้าง) ทำได้ไหม (ทำได้) อาจารย์บอกให้ว่าอย่าเปลี่ยนใจไป เปลี่ยนใจมา ถ้านึกจะทำอะไร ตรงไปเลย (เลิกทำสิ่งไม่ดี) มีหลายเรื่องไหม เลิกเรื่องไหนก่อน (เลิกกินเหล้า) ทำได้ไหม (ได้) แน่ใจไหม (แน่ใจ) บางทีการเลิกในสิ่งที่เราพูดถึงก็ง่ายแค่นี้เอง แต่เรารู้จักที่จะไปทำ ไม่ยาก ลองดู (เลิกขี้งอน) ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ของคนที่อายุแค่สิบกว่ายี่สิบกว่า บางทีคนที่เขาทำอะไรให้เรา บางทีเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งเรา แต่ว่าเรางอนใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีโอกาสมาถึงหน้า แต่ว่าเรางอนซะก่อน โอกาสก็หลุดไป เพราะฉะนั้นคนที่อายุเท่านี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เสมอ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักว่า ถ้าเราจะบำเพ็ญเป็นพุทธะ พุทธะไม่ขี้งอน เข้าใจไหม บางเรื่องควรพูดก็พูดไป ทนไม่ไหวก็พูด แต่พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาปกติ ทำได้ไหม (ได้) คนอื่นว่าอย่างไร (ปล่อยวางในเรื่องที่ทำให้ใจเราไขว้เขว, เป็นลูกที่ดี) ตอนนี้เป็นลูกที่ดีมากไหม (ยังดีไม่พอ) เราต้องรู้ว่าความพยายามที่เราพูดถึงนั้น จะถึงตรงไหน ความพยายามที่เราพูดถึงไม่ใช่ขีดไว้สูง พอถึงเวลาทำไม้ได้แล้วล้มเลิกหมดนะ ต้องพยายามขีดให้สูงกว่าตัวเองนิดหน่อย แล้วปีนขึ้นไปทีละขั้น แต่ตอนนี้อย่าเรียกร้องตัวเองจนสูงมาก ถ้าทำไม่ได้ แล้วเราจะรู้สึกท้อ (ขี้โมโห) ตัวแค่นี้ทำไมขี้โมโห เมื่อเรายังเด็ก เราต้องไม่ขี้โมโห เพราะวันข้างหน้ายังอีกไกล ยิ่งเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราโมโห ยิ่งควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้ขี้โมโหมาก วันหน้ายิ่งหนักกว่านี้ ถ้าวันนี้เลิกได้ วันนี้น้อยได้ วันหลังจะได้ดีขึ้นๆ ดีไหม (ดี)
มีอยู่ทางหนึ่งในการที่จะรู้สึกศรัทธาธรรมะและเชื่อในธรรมะ คือการทำตัวของเราเป็นแบบอย่าง ธรรมไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีเสียง แต่ธรรมะสามารถมองเห็นได้ เมื่อเราปฏิบัติ นั่นเป็นวิธีการพูดธรรมะที่แยบยลที่สุด ดีกว่าคนที่พูดๆๆ แล้วทำไม่ได้ ธรรมะที่สูงค่าวิเศษล้ำก็กลับกลายเป็นแค่หญ้าบนดิน เท่านั้นเอง อยู่ที่ว่าเรานั้นสามารถใช้ตัวเรามาแสดงธรรมได้มากเท่าไร ถ้าตัวเราใช้การปฏิบัติของเรา พูดธรรมะได้มาก ยิ่งลึกซึ้งเท่าไร คนก็ยิ่งรู้สึกศรัทธามากขึ้นเท่านั้น ศรัทธานี้บางทีก็ไม่ใช่ศรัทธาในธรรมะ แต่ศรัทธาในตัวบุคคล ใครที่เข้ามาในสถานธรรม เข้ามาด้วยความรู้สึกศรัทธาในตัวบุคคล ยึดติดในบุคคล ถ้าหากว่ารู้ตัวแล้ว ให้รีบแปรเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นความศรัทธาในธรรมะ ไม่เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งคนที่เขาดีกับเราเพราะว่าเขาอยากส่งเสริมเรา พอถึงวันหนึ่งเขาไม่ใช่อย่างนั้น วันหนึ่งเขาต้องการที่จะส่งเสริมคนใหม่ เขาไม่สนใจเราเท่าที่ควร แล้วเรารู้สึกน้อยใจ อย่างนี้เราจะบำเพ็ญธรรมะอย่างสบายได้อย่างไร อย่างนี้เราจะมีจิตใจที่ไหนไปช่วยคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าใครเข้ามาด้วยเหตุนี้ก็รีบๆ เปลี่ยน ไม่ใช่แค่บุคคลในโลกมนุษย์นี้ แม้แต่ติดในพุทธะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่าติดนอกเหนือจากการปฏิบัติตามประวัติ ตามทำนองคลองธรรม ใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติธรรมแล้ว นอกเหนือจากนี้จะต้องรู้จักที่จะเปลี่ยนความยึดติดนั้นๆ เหมือนกัน
วันนี้อาจารย์มาให้ศิษย์เห็นเป็นรูปลักษณ์ อาศัยคนมาพูดธรรมะให้ศิษย์ฟัง ถ้าวันหนึ่งอาจารย์ไม่มาแล้ว แต่ศิษย์ของอาจารย์ยังยึดติดในตัวของอาจารย์อยู่ ศิษย์ของอาจารย์จะบำเพ็ญธรรมะอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์มา ก็เพราะให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะฟังในสิ่งที่อาจารย์พูดแล้วทำให้ได้ วันนี้ศิษย์ท้อใจ อาจารย์ยังอยู่ให้กำลังใจ วันหนึ่งอาจารย์ไม่มาแล้ว ไม่มีคนให้กำลังใจ ศิษย์จะบำเพ็ญธรรมะต่อไปอย่างไรล่ะ จงรักษาทุกเวลาทุกนาทีให้มีประโยชน์ บำเพ็ญธรรมะไปตามขั้นตอน อย่ารีบร้อน อย่ารีบเร่ง บำเพ็ญจิตใจของเราให้ดี ภายนอกให้เหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรม แต่ถ้าภายในของเรานั้นไม่สามารถจะขัดเกลาให้ดีได้ แม้ภายนอกจะสมบูรณ์แบบ แต่ภายในนั้นเมื่อสิ้นกายแล้ว เหลือแต่ใจ ใจไม่สามารถกลับคืนนิพพานได้ ถึงวันนั้นบำเพ็ญมา ชั่วชีวิตก็ไร้ค่า เข้าใจไหม (เข้าใจ) เพียงแต่อาจารย์นั้นมีความหวังในตัวศิษย์ทุกๆ คน ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา หวังแต่เพียงให้ศิษย์อาจารย์นั้นบำเพ็ญให้ดี
วันนี้ชีวิตเราเท่านี้ บางคนมีวันพรุ่งนี้ บางคนไม่มี แต่คนส่วนใหญ่ก็คือมีวันพรุ่งนี้ มีวันต่อไป มีปีต่อไป อาจารย์จึงบอกว่าศิษย์นั้นมีโอกาสแก้ตัวได้เสมอๆ พวกเราผู้บำเพ็ญธรรมะ ชะตาชีวิตนั้นไม่ได้ฝากไว้กับพญายม แต่ชะตาชีวิตนั้น ครึ่งหนึ่งฟ้าช่วยศิษย์แบก อีกครึ่งหนึ่งเราก็เป็นผู้กำหนดตัวของเราเอง แต่ถ้าศิษย์ไม่ได้สำนึกในพระคุณฟ้าที่ให้ธรรมะลงมาช่วยคน ถ้าศิษย์ไม่สำนึกเลย ศิษย์ก็ไม่แก้ไขตัวเองเลย ฟ้าก็คุ้มครองศิษย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นบางคน รับธรรมะแล้วแม้มีใจ แต่ข้างในเป็นใจปลอม ก็ไม่สามารถที่จะอยู่ยืนยงได้ หลายคนเอาเปลือกนอกคือการแสดงออกที่ดี แต่ข้างในไม่ดีอย่างที่ข้างนอกแสดงออก ถึงวันหนึ่งผู้ที่เป็นผู้ตัดสินก็คือเรา เพราะทุกคนเกิดมาต้องตาย เวียนว่ายตายเกิดย่อมอยู่ที่ตัวเราเอง เพราะฉะนั้นขอให้บำเพ็ญให้ดีๆ อย่าได้เอาหน้ากากนั้นมาปิดหลอก เข้าใจไหม (เข้าใจ)
รู้ไหมว่าคนที่สำเร็จเป็นพุทธะทุกคนต้องมีความกตัญญู ถ้าขาดความกตัญญูแล้วย่อมจะสำเร็จเป็นพุทธะไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ศิษย์ฟังหัวข้อกตัญญูไป เป็นเรื่องที่สำคัญมากในคนบำเพ็ญธรรม บุญคุณของพ่อแม่ต้อง ทดแทนไปตลอดชีวิต แม้พ่อแม่จะไม่อยู่แล้วก็ยังต้องทดแทนต่อไป การกตัญญูมีหลายระดับ หวังว่าศิษย์จะสะกิดใจ อาจารย์ไม่ต้องพูดซ้ำ (นำธรระมะไปปฏิบัติ, แก้ไขจิตใจ) แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น (คนไทยพอปีใหม่ก็จะแก้ไขจากสิ่ง ไม่ดีให้ดีขึ้น) ไม่ใช่แค่คนไทยหรอกนะ คนทั้งโลกก็เป็นเหมือนกัน นี้เป็นนิสัยของคนที่อยู่ในโลก ศิษย์รู้แต่ศิษย์ยังทำไม่ได้ วันนี้หมดวันหรือยัง (ยัง) ฉะนั้นวันนี้ มีโอกาสได้เริ่มต้นไหม (มี) แล้วไม่รักษาโอกาสนั้น แต่วันนี้ยังไม่จบวันเพราะพระอาทิตย์ยังไม่ตก คนเราถ้าหากว่าอยากจะแก้ไขตัวเองต้องรีบไปทำ ศิษย์ให้โอกาสตัวเองอย่างนี้ ผัดวันประกันพรุ่งเป็นดินพอกหางหมู ศิษย์เป็นคนใช่ไหม เพราะฉะนั้นอย่าเอาอะไรมาพอก อย่าเอาสิ่งที่ตัวเองคิดแก้ไขแล้วเอามาพอก คิดจะทำก็ทำ ทำในสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปทำ เข้าใจไหม (พยายามอยู่) เวลาเราเห็นคนที่ไม่มีกำลังใจ จงให้กำลังใจเขา นี่จึงจะเป็นนิสัยของคนที่บำเพ็ญธรรมะอย่างแท้จริง ไม่ใช่เขาทำไม่ได้แล้วไม่ให้โอกาสเขา อาจารย์หวังว่าศิษย์ทำได้ อาจารย์ให้โอกาสศิษย์ทุกๆ คนที่คิดจะทำเสมอ ขอให้ทุกๆ คนนั้นตั้งใจที่จะทำ มีคนประเภทหนึ่งที่ไม่ยกมือนี่แหละ ถ้าให้พูดไปเฉยๆ โดยไม่ได้ระบุชื่อ เรียกว่ายุคนโดยไม่ต้องเซ็นชื่อล่ะก็ร่วมด้วย แต่หากถ้าต้องเซ็นชื่อเมื่อไรไม่ยุ่งด้วย อย่างนี้เป็นนิสัยของคนที่ชอบตีลับหลัง ดีหรือไม่ (ไม่ดี) นิสัยของคนประเภทนี้แย่ยิ่งกว่าคนที่กล้ายอมรับว่า จะให้เขาหรือไม่ให้เขาอีก เข้าใจไหม (เข้าใจ) เพราะฉะนั้นนิสัยตีคนลับหลังต้องเลิกนะ (เลิก)
“โลกแสนเข็ญบำเพ็ญเริ่มนั้นสำคัญ เวลาแห่งทุกข์ยาวนานค่อยบรรเทา”
โลกนี้แสนเข็ญไหม (แสนเข็ญ) ลำบากไหม (ลำบาก) ลำเค็ญไหม (ลำเค็ญ) ทุกคนรู้เหมือนกันหรือเปล่าว่าแสนเข็ญ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม ตอนที่เราจะเริ่มต้นเป็นช่วงที่สำคัญมาก อาจารย์ถึงบอกนักเรียนชายคนนี้ว่า เมื่อคิดจะเริ่มก็ให้เริ่มไป พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินก็คือยังไม่จบวัน อย่าไป เรียกร้องจนสูงว่าเราจะเริ่มตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น ถ้าหากว่าตอน พระอาทิตย์เริ่มขึ้น เรายังเริ่มไม่ได้ เวลาเที่ยงก็ให้เที่ยงนี้เริ่ม เรียกว่ามีสติตอนไหนให้ตอนเริ่มนั้น อย่าผลัดไปผลัดมากลายเป็นดินพอกหางหมู เมื่อคิดจะเริ่มใหม่ให้เริ่มไป ถ้าหากยังไม่จบวันก็ยังไม่หมดความตั้งใจ แม้จบวันแล้วถ้ายัง แก้ไขไม่ได้เริ่มใหม่ได้ไหม (ได้) แต่อย่าให้โอกาสตัวเองหรือให้อภัยในความผิดของตัวเองบ่อยมากจนกระทั่งเรานั้นเริ่มไม่ได้เลย หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นถึงกายจะเมื่อยแต่ใจอย่าเมื่อย ฟังมาสองวันแล้ว อาจารย์พูดมาเป็นชั่วโมงๆ แต่ว่าในด้านของการปฏิบัตินี้สิ่งที่อาจารย์ให้ศิษย์ฟังนี้เป็นเพียงเล็กน้อยสำหรับการที่ศิษย์นั้นจะใช้ปฏิบัติบำเพ็ญจริงๆ เพราะฉะนั้นถึงจะเหนื่อย ถึงจะเมื่อย แต่ขอให้จิตใจนั้นตั้งมั่น ตั้งใจสำรวมให้จิตใจนั้นประสานกับอาจารย์ได้ จึงจะรับรู้ถึงอาจารย์ที่แท้จริง ไม่ใช่อาจารย์ที่ศิษย์มองเห็นเพียงรูปลักษณ์นี้
ชีวิตคนเกิดมานั้นไม่ยืนนาน เวลาที่เราทำเรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้สิบส่วน ผิดหวังไปแปดหรือเก้าส่วน ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะรู้อยู่แน่ๆ ว่าเรื่องนั้นๆ ต้องผิดหวัง ศิษย์จะหยุดทำได้ไหม ถ้าหากว่าศิษย์หยุดทำไป หยุดที่จะลงแรงไป ก็เท่ากับว่าศิษย์นั้นไม่สามารถที่จะทำสิ่งใดสำเร็จได้เลย เพราะฉะนั้นบางทีถึงรู้ว่าผิดหวังหรือว่าอาจจะไม่สำเร็จแต่ก็ยังต้องลงแรง ยังต้องทุ่มเทต่อไป อาจารย์หวังว่าศิษย์นั้นคงจะมีใจเช่นนี้ ในเรื่องของการบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน เปอร์เซ็นต์ที่ศิษย์ของอาจารย์คิดว่าตัวเองนั้นสมหวังในด้านการบรรลุธรรมนั้นก็มีน้อย แต่หวังว่าเรานั้นสามารถที่จะทุ่มเทต่อไป เพราะว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้ก็อาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันข้างหน้าได้ แต่หากว่าเรานั้นไม่ลงแรงเลยก็ หมายความว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็คือศูนย์เปอร์เซ็นต์ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้เกิดมามีร่างกายครบพร้อมทุกคน นี่เป็นโอกาสอันดี หากว่าศิษย์ไม่มีร่างกายอันนี้ศิษย์จะทำอะไร ช่วยคนคือการสร้างบุญสร้างกุศล ถ้าหากศิษย์ไม่มีร่างกายอันนี้ช่วยคนอื่นได้ไหม ช่วยตัวเองได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นชีวิตจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด การฆ่าตัวตายจึงเป็นบาปที่สุด เกิดมาเป็นคนนั้น ถือว่าเป็นคนประเสริฐ มีอีกมากมายที่เกิดมาแล้วไม่ใช่คน เกิดมาแล้วมีลูกเป็นสัตว์ เป็นหมู หมา กา ไก่ เป็นนกเป็นหนอนที่ศิษย์จะเห็น เป็นมดที่ให้คนเขาบี้ให้ตาย เป็นยุงที่ให้คนเขาตบ ศิษย์คิดว่าสัตว์เหล่านี้มีวิญญาณไหม (มี) ทำไมวันนี้ถึงพูดเรื่องการกินเจ ก็เพราะว่าการที่เราไปกินเขาที่มีวิญญาณเหมือนกับเรานั้นมันบาปใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่เป็นยุง เป็นมดก็คือคนที่วิญญาณนั้นแตก วิญญาณของคนนั้นเหมือนกับกำปั้นหนึ่ง อาจารย์เปรียบอย่าคิดเป็นรูป วิญญาณของยุงของมดก็คือวิญญาณที่แตกออกไป ต้องรอเวลาที่รวมๆ กันจึงจะสามารถเกิดมาเป็นคนใหม่ได้ ฉะนั้นยุงนี้ตัวเล็กวิญญาณเล็ก ศิษย์ลองคิดไปถึงตัวใหญ่ๆ เช่น หมู หมา กา ไก่ วัว ควายที่ต้องเกิดมาเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าทำผิดบาปไว้มาก สะสมกรรมไว้มากต้องมาใช้กรรม แต่เขาไม่ใช่ใช้ด้วยการให้เรามากิน ฉะนั้นการที่เราไปกินเขาจึงบาปใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ก็ควรที่จะเลิก ไม่เช่นนั้นแล้วก็เหมือนกับถังใบหนึ่งที่รั่วใส่กุศลไปเท่าไรก็รั่วออกหมด ถึงสุดท้ายแล้วจะมีเหลือไว้สักกำไหม (ไม่เหลือ) เหมือนกับอาจารย์ที่พูดถึงคนขี้บ่นก็เหมือนกัน ทำในสิ่งที่เป็นบุญ ทำไปบ่นไป ถังนั้นก็รั่วเหมือนกัน สมมติว่ากำลังช่วยเขาทำงานธรรมะ ทำครัวอยู่ทำไปก็บ่นไปอย่างนี้จะเหลืออะไรไหม (ไม่เหลือ) ฉะนั้นปากของคนเรานี้เป็นเรื่องร้ายกาจมาก จงใช้แต่ในสิ่งที่ดีๆ ถ้าไม่ดีอย่าไปใช้ ทำได้ไหม (ทำได้)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้และส่งเสริมแม่ครัว)
ดูซิว่าคนที่เดินมาข้างหลังๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนอายุมากทั้งนั้นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นแล้วน่าสงสารหรือไม่ สักวันหนึ่งเราก็ต้องอายุมากแบบนี้ สักวันหนึ่งเราก็ต้องเดินไม่ไหว อยู่บ้านก็ลำบาก บำเพ็ญธรรมง่ายไหม (ยาก) เพราะฉะนั้นคนชอบพูดว่าแก่แล้วค่อยบวช แก่แล้วค่อยบำเพ็ญ จริงๆ การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของคนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ขอให้มีใจบำเพ็ญ ถ้าหากลำบาก ก็บำเพ็ญไปตามลำบาก แต่หากว่าสามารถที่จะเริ่มบำเพ็ญตั้งแต่ ร่างกายยังไหว สุขภาพยังไหว ย่อมเป็นเรื่องที่ดี อย่ารอให้แก่แล้วค่อยบำเพ็ญ เพราะถึงวันนั้นจะทำอะไรก็ลำบากไปหมด จะหาข้าวให้ตัวเองกินก็ยังยากเลย อย่าพูดถึงว่าจะช่วยผู้อื่นเลย การที่จะช่วยผู้อื่นนั้น ต้องรู้จักช่วยตัวเองก่อนถึงจะทำได้ อยากจะให้คนอื่นดี ต้องบำเพ็ญจิตของตัวเองให้ดีก่อน จึงบำเพ็ญได้
ถึงแม้เราจะเป็นคนเก่าแล้ว แต่ขอให้ทุกๆ วัน ใจของเรานั้น เป็นจิตใจที่ใหม่ๆ สะอาดๆ ยิ่งนับวันจิตใจยิ่งดี กิเลสยิ่งน้อย เวลาว่างไม่มี แต่ขอให้มีใจตอนนี้ออกมาบำเพ็ญยาก เศรษฐกิจไม่ดี แต่อย่างน้อยต้องมีจิตใจคงมั่น เสมอต้นเสมอปลาย คนใหม่ก็กลายเป็นคนเก่า แต่คนเก่ากลายเป็นคนใหม่นั้นไม่น่าดู ฉะนั้นขอให้ทุกวันทุกเวลาจงเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าออกมาไม่ได้ ขอให้เราเก็บใจรักษาใจไว้ให้ดี ทำให้ดีที่สุด แม้คนอื่นไม่เข้าใจ อาจารย์ก็พร้อมที่จะเข้าใจศิษย์เสมอ ขอให้ศิษย์นั้นทำแต่สิ่งที่ดี ยามนั้นอาจารย์เข้าใจศิษย์ได้ ถ้าศิษย์ทำไม่ดี ต่อให้อาจารย์อยากเข้าข้างก็ทำไม่ได้ บำเพ็ญธรรมก็ยังต้องศึกษาธรรมะให้มากๆ เข้าใจให้มากๆ ต่างคนต่างอ่อนน้อมถ่อมตนให้แก่กัน งานธรรมะถึงแม้จะเคลื่อนตัวไปช้า ก็ยังจะมีการเคลื่อนตัว ถ้าหากว่าศิษย์อยากจะให้ทุกวัน รุ่งเรื่อง ก็ทำจิตใจของเราให้รุ่งเรื่องด้วยการศรัทธา ด้วยการมุ่งหน้าและด้วยการบำเพ็ญดี เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ทำไมอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์ช่วยเหลือคนรุ่นหลัง เพราะว่ายังมีคน รุ่นหลังเราอีกใช่หรือไม่ ด้านทางโลก เรานั้นรับบทเป็นพ่อ แม่ ลูก แต่ในขณะเดียวกันก็รับบทเป็นสามีภรรยา เป็นพี่เป็นน้อง ทุกคนมีบทบาทเหล่านี้ในตัวเอง เป็นพ่อค้าและลูกจ้าง เป็นเกษตรกรและผู้บริโภคในขณะเดียวกัน ชีวิตนั้นต้องอยู่ร่วมคุณธรรมถึงจะดี ถึงจะเรียกว่าประเสริฐ เพราะฉะนั้นอาจารย์ถึงเรียกว่าช่วยเหลือคนรุ่นหลัง ช่วยเหลือคนรุ่นหลังก็ด้วยคุณธรรมของเรา บางทีเราช่วยเหลือคนอื่น คนอื่นอาจจะไม่ต้องการ เราต้องสำรวจตนเองว่า เรานั้นมีคุณธรรมมากพอไหม
“ความหวังยังลุกอยู่” ทุกคนเกิดมามีความหวังทั้งนั้น บางคนก็มีความหวังที่จะบำเพ็ญธรรมให้บรรลุเป็นพุทธะ บางคนก็มีความหวังว่าทำงานหาเงินและร่ำรวยในวันข้างหน้า บางคนมีความหวังว่าจะต้องเป็นคนดีสักวันหนึ่ง อาจารย์ขอให้เมื่อความหวังของเรายังมีในขณะนั้น ไม่ว่าไฟกองนี้จะเป็นไฟกองเล็กหรือกองใหญ่ที่มันลุกอยู่ ขอให้ก้าวไปเรื่อยๆ ก้าวลงไปเพื่อย้ำจิตใจของเราเอง อย่ามัวแต่หวังอะไรเลย ขอให้หวังแล้วเท้าก็ก้าวไปเรื่อยๆ ย้ำในสิ่งที่ตัวเองนั้นตั้งใจ ย้ำลงไปในใจ
“ในไม่ช้าไกลกลับใกล้สักวัน” ในไม่ช้านั้นทุกสิ่งทุกอย่างจากที่เคยไกลก็ใกล้ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้หยุดเดิน
“กลางทะเลไร้ฝั่ง ทุกข์นี้คนยึดมั่น แต่มีเข้าสักวันเจอฝั่งนั้นที่ใจของตน” ตอนที่เราอยู่กลางทะเลนั้น ในกลางทะเลไม่มีฝั่ง แต่มีเข้าสักวันพยายามต่อไป จะเจอฝั่งนั้นในใจของตน ถ้าคิดในทางโลกก็คิดได้ คิดในทางธรรมก็คิดออก ขอให้ศิษย์นั้นใช้จิตใจของเรานั้นคิด
“ที่เคยมียังไม่เคยคิดพอใจ” วันนี้เรามีทรัพย์สิน มีคนที่เรารัก มีคนที่รักเรา ตอนนี้เรามีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราไม่พอใจสิ่งที่เรามี ที่สุดแล้ววันหนึ่งขาดไป เราค่อยมารู้ว่าสิ่งนั้นที่เราทำหายนั้น มันมีคุณค่า จากที่ไม่เคยแยแส วันหนึ่งขาดไปค่อยมารู้คุณค่าก็สูญเสียแล้ว สำนึกจริงๆ ก็ต้องไม่ทำพลาดซ้ำอีก
“ทุกข์มักจะมาพร้อมสุข” ความทุกข์ส่วนใหญ่ก็มาพร้อมกับ ความสุข เราจะเลือกเอาสุขอย่างเดียวไม่เอาทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นใครบอกว่าชอบไปกราบพระขอพรให้ตนเองนั้นมีความสุข ก็ให้รู้ว่าความสุขจริงๆ นั้นมีอยู่แล้ว ถ้าเรามีความทุกข์เราก็มีความสุข
“ชนะดังฝันใฝ่” ชนะเพราะเราฝึกตนบำเพ็ญธรรม ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อไปช่วยเหลือคนรุ่นหลัง
เวลาเราทำอะไร เราก็ต้องไปพร้อมๆ กัน หากว่าทุกเรื่องเดินไปพร้อมๆ กันจะจบได้ไหม (ได้) แต่จะจบอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราต้องการให้มันสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่บางทีคนข้างหน้าก็ฝืนคนข้างหลังไม่ได้ เขาเรียกว่าเมื่อน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือเข้าไปขวาง ถ้าหากว่าอยากจะให้ทุกอย่างดีก็ต้องช่วยกันสามัคคีกัน แต่ถ้าเกิดอยากให้เรื่องมันจบอย่างนั้นๆ เราก็ต้องทำตามใจตนเอง ไม่เป็นไร บางทีเราบังคับสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เรื่องราวมันจะเกิดขึ้นอย่างไร บางทีก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นถึงจะได้รู้
อาจารย์พูดไปพูดมาไม่พ้นคำว่า “ทำใจ” เข้าใจไหม (เข้าใจ) จะได้ ไม่ต้องดิ้นรนทุรนทุรายกับชีวิตที่เป็นอยู่มากไป เพราะว่าทุกคนนั้นมีสมหวัง มีผิดหวัง ทุกคนมีได้รับแล้วก็มีการให้ มีสูญเสียแล้วก็มีได้มา เกิดขึ้นสลับกันไปสลับกันมา อยู่ที่ว่าเราอยู่ในช่วงไหนของชีวิตเท่านั้นเอง เข้าใจไหม
การที่จะฝืนให้คนทำในสิ่งที่ถูกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นบางทีก็ต้องยอมๆ ไปกับเขา ในประเภทแบบศิษย์นี่อันตรายที่สุด บางทีเราฝืนให้เขาทำถูกแต่เวลาที่เราผิดเราไม่รู้ ระวังไว้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “พุทธธรรมสัมผัสได้ด้วยจิต”)
คำว่า “พุทธธรรม” หมายความว่าอย่างไร ก็คือธรรมแห่งพุทธะ เราทุกคนนั้นถึงแม้ว่าเป็นปุถุชน แต่ภายในกายปุถุชนนี้ก็คือพุทธะ พุทธธรรมก็คือธรรมแห่งเรา ทุกคนนั้นส่วนใหญ่มองสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ก็อยากที่จะมี อย่างเช่นอารมณ์โกรธ เกลียด อิจฉา แม้กระทั่งเรื่องไม่มีรูปลักษณ์เราก็ยังอยากที่จะให้มันมีรูปใช่หรือไม่ เราก็เฝ้าวาดตามจินตนาการของเราออกมา เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าพุทธธรรมสัมผัสได้ด้วยการใช้จิตใจของเราเท่านั้นเอง พุทธธรรมเป็นสิ่งไม่มีรูปลักษณ์ ไม่สามารถสัมผัสได้ แต่เมื่ออยากสัมผัสได้จงใช้จิตใจของเราสัมผัส คนยิ่งบำเพ็ญธรรมนานจะยิ่งรู้ จะยิ่งเข้าใจ จะมีความรู้สึกเหมือนสัมผัสธรรมะได้ สัมผัสพุทธธรรมได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคนที่บำเพ็ญไปนานแล้วจึงมีความมั่นคงยิ่งกว่าคนที่บำเพ็ญตอนเริ่มๆ หรือว่าคนที่ทุ่มเทแล้วทำไมถึงมีความมั่นคงยิ่งกว่าคนที่ไม่ทุ่มเท ก็เพราะว่าบำเพ็ญนานนั้นสามารถสัมผัสธรรมะ สามารถสัมผัสพุทธธรรมได้ อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้น แม้วันนี้ยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงได้ ยังมองธรรมะเป็นรูป หรือคิดถึงธรรมะในลักษณะของสิ่งของ วันนี้ไม่เป็นไร แต่ว่าเมื่อบำเพ็ญนานๆ ขอให้ใช้จิตใจของเรานั้นไปสัมผัสพุทธธรรมเหล่านี้ ดีหรือไม่ (ดี)
ถ้าหากว่าศิษย์ใช้กุศล เพราะคิดว่ากุศลมีรูปลักษณ์ ใช้ธรรมะเพราะคิดว่าธรรมะมีรูปลักษณ์ ศิษย์ก็กำลังก้าวทางผิด สิ่งที่ศิษย์เห็นอยู่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงบ้านหลังหนึ่ง ข้างหน้าก็เป็นเพียงตัวแทนสัญลักษณ์ของพุทธะเท่านั้นเอง คนบำเพ็ญที่อยู่ในที่นี้จึงเป็นคนสำคัญ ธรรมะไม่ได้อยู่ในสถานธรรม ธรรมะอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง อยู่บ้านกินข้าว กำลังนอน กำลังเที่ยว กำลังเล่น ทุกขณะจิตมีธรรมะหมด ฉะนั้นธรรมะนั้นตามศิษย์ไปทุกที่ เพราะว่าธรรมะนั้นอยู่ในจิตของศิษย์เอง เพียงแต่ทุกวันทุกเวลาไม่เคยสนใจ ไม่เคยจะเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน ธรรมะนั้นจึงยังอยู่ห่างไกลตัวเรามาก อาจารย์อยากให้ดึงธรรมะนั้นมาใกล้กว่านี้อีกหน่อย ดีหรือไม่ (ดี)
ดังที่ศิษย์ชอบพูดกัน ตั้งแต่อาจารย์มาตั้งแต่ต้น ศิษย์เป็นคนพูดเองว่าอะไรก็ใจ เพราะอะไร ทำไมถึงติดคำว่าใจเป็นคำติดปาก เพราะว่าจิตใจของเรานั้นควบคุมกาย ใจควบคุมกายอยู่ แต่อย่าให้กายมาควบคุมใจ กายควบคุมใจเป็นอย่างไร คนที่ติดเหล้า สูบบุหรี่เป็นคนอย่างไร กายมาควบคุมจิตใจของศิษย์ให้จิตใจนั้นรู้สึกติด แต่จริงๆ แล้ว ควรที่จะเอาจิตมาควบคุมกายของตัวเอง อย่าให้จิตใจที่หยาบกระด้างมาควบคุมจิตใจละเอียด จิตใจนั้นมีอยู่หลายชั้นหลายขั้นด้วยกัน เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้ตรงลำต้น พอตัดออกมาก็มีชั้น มีตั้งแต่หยาบ ละเอียด ปานกลาง อาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นใช้จิตใจละเอียดของเราในการที่จะทำสิ่งต่างๆ เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดพลั้ง ถ้าหากว่าพลาดแล้วก็อย่าพลาดซ้ำ ทำให้ได้นะ
วันนี้อาจารย์มาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวอีกสักครู่อาจารย์ก็จะกลับ มีหลายคนนั่งฟังมาตั้งแต่ต้น สามารถรวบรวมใจของตัวเองได้ในช่วงต้นเท่านั้นเอง พออาจารย์มาในประมาณช่วงกลางใจก็แตกซ่าน ฟุ้งกระจาย กลับไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำให้การฟังธรรมะของศิษย์นั้นไม่ดีเท่าที่ควร อาจารย์ขอฝากฝังตัวศิษย์ไว้กับตัวศิษย์เอง ว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้ใส่ใจสิ่งที่ศิษย์นั้นไม่เคยใส่ใจ ขอให้เสียสละเวลามาศึกษาธรรมะ ธรรมะนั้นแม้จะไม่มีรูปลักษณ์ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ในสองวัน ถ้าหากว่าศิษย์ยิ่งไม่เสียสละเวลา ศิษย์ก็ยิ่งไม่มีใจที่จะบำเพ็ญธรรมะ แล้ววันหนึ่งเมื่อชีวิตนี้ถึงคราวดับสิ้น ศิษย์ก็จะไม่ได้อะไรเลยจึงอยากฝากตัวศิษย์ไว้กับตัวเอง ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเมื่ออยู่กับผู้อื่น และทำในสิ่งที่ถูกต้องตามมโนธรรมสำนึกของตัวเอง พุทธะอยู่ไกล แต่อย่าลืมว่าในตัวของศิษย์นั้นก็มีพุทธะเช่นเดียวกัน เหมือนจิตใจที่มีฝ่ายพระและฝ่ายมาร เวลาจะทำอะไรสักเรื่องหนึ่งก็มักจะมีจิตใจที่เป็นฝ่ายพระมาดึงไว้ไม่ให้ทำชั่ว เหมือนกับ ตัวเองคุยกับตัวเอง นั่นแหละคือจิตใจของพุทธะกำลังบอกและกำลังสอน ฟังเสียงขอให้ฟังแต่เสียงที่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปมอง สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปพูด สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปทำ สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปคิด ถ้าศิษย์ทำอย่างที่อาจารย์ว่าได้ สามารถช่วงชิงสิ่งที่ศิษย์นั้นมีอยู่ในตนได้ สามารถช่วงชิงก็ได้แค่วัตถุภายนอก อย่าเน้นภายนอกอย่างคนที่ลุ่มหลงโลกีย์ แต่ขอให้หามาเท่าที่จำเป็น สิ่งใดที่ต้องวางโครงการก็วางไป สิ่งใดที่จำเป็นต้องมีก็มีไป แต่อย่ามีจนเกินสิ่งที่ควรจะมี ไม่เช่นนั้นแล้ว เงินทองที่มากก็ผูกมัดเรา อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้มีมากก็มัดเรา อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นใช้ชีวิตอย่างธรรมชาติ
เป็นพุทธะก็กังวลใจว่าเวไนยนั้นจะกลับคืนนิพพานไม่ได้ เป็นปุถุชนก็มีเรื่องกังวลใจ กังวลใจว่าจะเอาชีวิตให้รอดไปอย่างไร พุทธะกับปุถุชนถึง แตกต่างกันอย่างนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเป็นทั้งพุทธะและปุถุชนในขณะเดียวกันและให้พุทธะนั้นมีอำนาจเหนือจิตใจปุถุชนให้มีส่วนในจิตใจของศิษย์มากขึ้น มากขึ้นกว่าจิตใจอันเป็นปุถุชน
อย่าท้อแท้ใจ ร่วมเป็นกำลังใจแก่กัน การท้อนั้นเป็นเรื่องปกติของคนที่พยายาม แต่อย่าให้ท้อมากเกินจนทำอะไรไม่ได้ บำเพ็ญดีๆ รู้ไหม แล้วสิ่งใดที่ถูกต้อง วันหลังเราจะรู้มากขึ้น บำเพ็ญธรรมกับอาจารย์ดีไหม วันนี้อาจจะยังไม่สัญญา แต่ลองดูก่อนได้ไหม บำเพ็ญธรรมนะ มีเวลาก็มา ไม่มีก็รักษาธรรมะเอาไว้ในจิตใจ เป็นคนมีบุญแต่ไม่รู้ว่าจะยอมให้กรรมบังหรือเปล่า ถ้าเราไม่ยอมให้กรรมบัง คราวนี้เจออาจารย์ต้องสู้นะ สิ่งที่เป็นความฝันของเรา เราก็ไปคว้า แต่อีกทางหนึ่ง ทางธรรมะเราก็ต้องเดิน เข้าใจไหม อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป ศึกษาธรรม เข้าใจธรรม แล้วทำตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มีเวลามาสถานธรรมบ่อยๆ ศึกษาธรรมะให้มากๆ ให้เข้าใจกว่านี้ วันหน้าอาจารย์ต้องอาศัยศิษย์นั้นเป็นแขน เป็นขา เป็นมือ เป็นเท้า ช่วยนำคนขึ้นฝั่ง ช่วยคนดีให้ได้รู้ธรรมะ มาบำเพ็ญธรรมะกับอาจารย์นะ วันนี้ยังไม่เข้าใจ วันหน้าค่อยๆ ศึกษา อาจารย์ รับรองว่าอาจารย์ไม่หลอกศิษย์ ขอให้สัญญาว่าจะตั้งใจมาบำเพ็ญธรรม ศึกษาให้มากๆ ให้เข้าใจ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะบำเพ็ญธรรมะไหม
วันนี้ไม่ตอบอาจารย์เลย มีบุญเป็นอาจารย์เป็นศิษย์กัน ขอให้เรานั้นได้ร่วมทางเดียวกัน หลังจากวันนี้ไปมีเวลาว่างก็ให้มาสถานธรรม หนักหน่อยเหนื่อยหน่อย แต่อาจารย์รับรองว่าไม่เอาเปรียบ ช่วยอาจารย์นำคนที่มีบุญ ทั้งหลายมา งานธรรมะมาเป็นที่หนึ่ง ถ้าหากว่าศิษย์ดูตัวเองแล้วกำลังเปลี่ยนไป เราต้องย้อนมองส่องตน อาจจะไม่ใช่ผู้น้อยของเราไม่ดี ถึงเขาไม่ดี เขาก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใจของเรา ให้เอาความจริงใจให้เบื้องบน สุขภาพต้องรักษาเอาไว้ ธรรมะก็ต้องรักษาไว้ ความจำเป็นทางโลกนั้นอาจจะไม่จำเป็น ถ้าเทียบถึงงานที่ศิษย์ทำอยู่ ทำให้ดีๆ เป็นกำลังใจให้พวกเขา คนเรามักไม่ชอบให้คนโทษ บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจิตใจ หากจิตใจของเราไม่ดีแล้ว บำเพ็ญไปอีกนานเท่าไรก็ไม่ก้าวหน้า ภายนอกนั้นดูดีอยู่แล้ว แต่ภายในใจนั้นยังต้องเพิ่มแรงเข้าไปอีก อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นจะกลับมาศึกษาธรรมะเหมือนลมหายใจที่ลึก หายใจยิ่งลึกเท่าไรสุขภาพก็ยิ่งดีเท่านั้น หากเราบำเพ็ญธรรมเข้าใจยิ่งลึกเท่าไร เราก็มีโอกาสที่จะกลับคืนมากขึ้นเท่านั้น
อาจารย์มีคำพูดอีกมากมายที่คงไม่ได้พูดแล้ว แต่อาจารย์นั้นจะยังอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนเสมอ ตราบเมื่อศิษย์นั้นคิดถึงอาจารย์ และอาจารย์ยังคงช่วยคุ้มครองศิษย์ได้ ต่อเมื่อศิษย์ของอาจารย์นั้นได้บำเพ็ญจิตใจให้ดี สร้างกุศลชดใช้เจ้ากรรมนายเวร ให้อาจารย์ได้มีโอกาสต่อรองกับเขา ทุกคนเกิดมา ก็ต้องตายไป วันนี้เรายังอยู่ขอให้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด รักษาสุขภาพของเราให้ดี รักษา จิตใจของเราให้ดี การบำเพ็ญธรรมะก็คือการบำเพ็ญจิตใจ สิ่งนอกกายแม้มีความสำคัญ แต่จิตใจนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า บางเรื่องต้องรู้จักชั่งหนักเบา คนมักไม่ชอบให้โทษกัน แม้จะผิดก็ไม่อยากให้ใครว่า แม้ว่าเราจะไม่ว่าเขาก็อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ตัว บางทีช่วยกันไป เห็นใจกันไป คนไม่ดีก็เปลี่ยนแปลงตนเองได้ โดยที่เราไม่ต้องจี้ในสิ่งที่เขาผิดอยู่เลย
รักษาตัวเองให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญให้มากๆ วันหนึ่งผ่านไป พรุ่งนี้ มะรืนนี้ผ่านไป ขอให้เรานั้นผ่านไปอย่างคนที่ก้าวขึ้นบันได ผ่านไปอย่างคนที่ก้าวขึ้นไปสูงกว่า ไม่ใช่ตกต่ำลงทุกวันนะศิษย์นะ ผู้ร่วมฟังข้างล่างก็ขอให้รักษาจิตใจให้คงที่ คงเส้นคงวา ลาก่อนนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ