วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2542

2542-07-10 พุทธสถานฉืออิน อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร


PDF 2542-07-10-ฉืออิน #16.pdf


วันเสาร์ที่ ๑๐  กรกฎาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานฉืออิน  อ.วชิรบารมี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

แสงสว่างจากฟ้าส่องถึงใจคน มิปล่อยตนเลื่อนลอยตามทะเลขม
ในวันนี้รู้ย้อนมองช่างน่าชม ความเกลียวกลมพาสัมฤทธิ์ซึ่งงานใหญ่
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉืออิน  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องพี่เกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

วิสุทธิอาจารย์ชี้ลัดตรงถึงใจเดิม ให้พูนเพิ่มซึ่งคุณธรรมให้ดีหนา
วันเวลาผ่านรวดเร็วไม่รอช้า ใครมัวล้าจมในคิดไม่ก้าวไกล
ในครานี้เป็นยุคสามฟ้าฉุดโปรด อย่ามัวโทษอย่ามัวเสียใจต้องแก้ไข
ซึ่งตนเองตั้งแต่ยังมีลมหายใจ เดินทางไกลต้องเริ่มต้นแต่ก้าวแรก
น้องต่างเป็นผู้มีบุญแต่เก่าก่อน อย่าผัดผ่อนตามใจตนไม่มองหวน
บำเพ็ญธรรมจะต้องรู้จักทบทวน ใดดีควรรีบกระทำจึงงดงาม
ชีวิตหนึ่งดั่งความฝันใครกำหนด จงรู้ลดเหล่ากิเลสจิตตัณหา
ในบัดนี้ที่นี่เกิดซึ่งนาวา จะนำพาน้องทุกคนคืนบ้านเดิม
กลางสลัวเกิดสว่างสุดประมาณ ด้วยใจนั้นมุ่งศึกษาปฏิบัติได้
พุทธะล้วนจากมนุษย์สำเร็จไป เมื่อเข้าใจต้องเข้าใจให้จริงจริง
บำเพ็ญธรรมยามนี้ใช่เรื่องง่าย ปัญญาใหญ่กว่าเรื่องของปากท้อง
ใจหลงทางแม้มีเงินยากปกป้อง ขอให้น้องตรึกตรองใช้เวลา
จากวันนี้เริ่มต้นเพื่อตั้งหน้าเพียร ชีพดุจเทียนแม้ปล่อยไว้ก็หมดสิ้น
สร้างคุณค่าให้ชีวิตแห่งชาวดิน เป็นอาจิณรู้จักตนแห่งตนก่อน
หลังสองวันให้กลับมาหมั่นศึกษา อย่ามัวว่ายากแก่การเข้าใจรู้ไหม
ทางที่ดีมักเดินยากลำบากใจ ขอตั้งใจไว้เหนือสิ่งอื่นใด
ในวันนี้เป็นวันแรกการเริ่มต้น ขออดทนให้มากมากอย่าบ่นท้อ
ชีวิตหนึ่งจะสูงส่งด้วยรู้พอ ล้างกรรมก่อด้วยกุศลตั้งจิตนำ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอตั้งใจศึกษาทุกทุกท่าน
อย่าได้แพ้อุปสรรคที่โรมรัน ฝ่าประจัญอริศัตรูด้วยถ่อมตน
สุดท้ายนี้ขอยินดีเรือลำใหม่ ขอตั้งใจพายไปจนถึงซึ่งฝั่ง
เสมอต้นเสมอปลายรวมพลัง แม้นานยังรู้อภัยกำลังใจ
ศิษย์พี่นั้นรับบัญชามาคุมชั้น ขอน้องท่านรักษาซึ่งกฎระเบียบ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานฉืออิน อ.วชิรบารมี
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

มองมองหาพุทธะในแดนโลก เวียนรักโลภโกรธหลงเบื่อบ้างไหม
รู้ทั้งรู้แต่ยากปลงทำใจได้ ผลสุดท้ายร้องหาใครมาช่วยตน
เราคือ
นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉืออิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนหลับไปกี่ตื่นแล้ว

ภาวะการณ์สรรสร้างเหล่าวีรชน อุทิศตนช่วยงานฟ้าไม่สลาย
ดั่งจุดไฟต่อกันสว่างไสว ตนมอดไหม้ไฟอยู่ไม่จืดจาง
พลังแห่งผู้ศึกษาที่มุ่งมั่น ลงกำลังจริงนั้นค้นตนว่าง
แจ้งจริงแท้คือไป่แท้อนิจจัง ธรรมสว่างได้ลงมือแก่นปรากฏ
สิ่งอธรรมพึงไม่ปฏิบัติและสัมพันธ์ ใจหุนหันชอบพาลพึงเร่งลด
รักเป็นดั่งผู้ประมาทปราชัยหมด ใครยังอดโมโหไม่ได้ทรมาน
ลาภยศถาอำนาจไม่ทั้งชาติคง เมื่อรู้ปลงทำให้เกษมศานต์
เพื่อโด่งดังซ้ำผิดไม่ประมาณ ยิ่งต้องการยิ่งขาดคุณธรรม
ปราชญ์ยากเดินเมื่อวิจารณญาณ ถูกจำกัด กลางอัตคัดต้องมั่นคงอย่าตกต่ำ
โอบอุ้มใจอริยะทางแห่งธรรม ตื่นประจำค่อยไม่ฝันจากครรลอง
เปรียบคลื่นแปรดุจอารมณ์คะนองส่ง ไม่บรรจงขึ้นลงตามแต่ล่อง
กระไรฤๅแบกเหนื่อยยากได้ลอง เข้าทำนองรับความทุกข์นานไป
บำเพ็ญให้คืนกลับนานไม่หวั่น ลุปณิธานบ้านพุทธะย่อมถึงได้
สง่างามด้วยมรรคผลสว่างไสว สมบูรณ์นอกสมบูรณ์ในพร้อมเพราะเพียร
สู่หนทางการบำเพ็ญต้องเข้มแข็ง ตนสามแรงฟ้าเจ็ดส่วนสืบเสถียร
ในชาตินี้บำเพ็ญพ้นวนเวียน คุมบังเหียนชีวิตตนให้ตรงทาง
ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

“มองมองหาพุทธะในแดนโลก เวียนรักโลภโกรธหลงเบื่อบ้างไหม”
เบื่อไหม อยู่บนโลกนี้เรามีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลงวนไปก็วนมา  วันนี้อารมณ์นี้  อีกวันหนึ่งก็อารมณ์หนึ่ง  เวียนไปไม่รู้จักจบสิ้น  เบื่อไหม (เบื่อ)  เบื่อแล้วก็ต้องไม่มีอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  สังเกตไหมว่าเวลาเราทำอะไรประจำ ซ้ำซาก  เราจะรู้สึกเบื่อ  ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบด้วยแล้ว  เราจะทนอยู่ไม่ได้ เราจะต้องหาวิถีทางที่จะหลุดจากตรงนี้ไปให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่เกิดความเบื่อ  ถึงแม้จะซ้ำหรือเหมือนเดิมอย่างไร  เราก็จะไม่มีวันหนีไปจากตรงนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากท่านทุกคนในที่นี้ยังชอบที่จะมีรัก มีโลภ มีหลง  และมีเกลียด  เราก็ยังไม่คิดที่จะทิ้งสิ่งเหล่านี้  วันนี้ไม่มีอันนี้ พรุ่งนี้ก็ไปเอาอีกอันหนึ่งมา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เวลาอยู่ว่างๆ ก็ฟุ้งซ่าน เวลาวุ่นวายก็เหน็ดเหนื่อยใช่หรือเปล่า จะมีใครบ้างที่ว่างจากอารมณ์ต่างๆ แล้วรู้สึกสงบ พอว่างก็คิดโน่นคิดนี่  ไม่มองเขาก็มองตัวเอง ใช่หรือไม่  แต่เวลาเราวุ่นวาย  แม้จะป่วยเล็กๆ น้อยๆ เราก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งโอดครวญหรือมานั่งดูตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราว่างสักครู่หนึ่งพอป่วยนิดหน่อย เราก็บอกว่าทำอย่างไรดี  ไม่สบายตรงนั้น ตรงนี้  การป่วยเล็กๆ น้อยๆ ตอนวุ่นกับการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ตอนว่าง หนักกว่ากันไหม  จริงๆ ก็เท่าๆ กันตอนนั้นใจวุ่นก็เลยไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องป่วย  แต่พอใจว่าง ป่วยนิดนึงก็แทบเป็นแทบตายเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นมนุษย์เราก็จึงมักจะเข้าใจผิด  ว่างก็ไม่อยากจะว่าง  ว่างก็เบื่อ  วุ่นก็เหนื่อย  เอาอย่างไรดีคนเรา  ถ้าเป็นพระพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้ที่รู้จักและเข้าใจชีวิต เมื่อว่างย่อมหาความสงบ  เมื่อวุ่นก็ต้องพยายามนิ่งให้ได้ แต่มนุษย์เรามักจะตรงกันข้าม พอว่างก็คิดมาก พอวุ่นก็สับสน  แล้วเมื่อไรเราจะเบื่อรัก โลภ โกรธ หลงกัน และชอบความเป็นธรรมดาสามัญ  ชอบไหม  เปรี้ยวมากเกินก็เข็ดฟัน  หวานมากเกินก็เลี่ยน  สู้รสจืดๆ ไม่ดีกว่าหรือ (ดี)    กินก๋วยเตี๋ยวยังต้องมีเครื่องปรุงสี่ถ้วย บางทียังไม่ทันชิมก็เติมทุกอย่าง แล้วก็มาเสียใจภายหลังที่เติมความเค็มมากไปหน่อย  ความเปรี้ยวเยอะไปหน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตของเราก็เหมือนกัน เหมือนชามก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่ง  ลองชิมรสชาติของชีวิตที่เรามีหรือยัง บางทียังไม่ทันชิม  เราก็อยากเอาชีวิตของเราไปผจญชะตากรรมที่มองไม่เห็น ยังไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงเป็นเหมือนชามก๋วยเตี๋ยวที่เวลาเปรี้ยวก็เปรี้ยวจนเกินไป  เวลาหวานก็หวานจนเลี่ยนไม่น่ากิน  เวลาเค็มก็เค็มจนแสบคอ จริงหรือไม่ (จริง)
“ผลสุดท้ายร้องหาใครมาช่วยตน”  ผลสุดท้ายจะร้องหาใครช่วยเราดี   ให้คนอื่นช่วยได้ไหม  แล้วเราจะให้ใครช่วยเราดี  ตัวเราเองต้องช่วยตัวเราเอง ใช่หรือไม่   คนที่ทุกข์คือใคร  คนที่เติมชีวิตจนเค็มเกินไปคือใคร (ตัวเราเอง) แล้วเค็มแล้วปรับเป็นจืดได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้หรือ เวลาน้ำแกงเค็มเกินไปแก้ได้ไหม (แก้ได้) เติมน้ำซุปลงไปใช่หรือไม่ (ใช่)  น้ำซุปที่รสจืดใช่หรือเปล่า เวลาหวานเกินไปเราทำอย่างไร ไม่เติมเค็มก็เติมน้ำให้จางใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมเรายังรู้วิธีแก้  แล้วนับประสาอะไรกับตัวเรา เราแก้ไม่ได้หรือ  จริงหรือเปล่า หรือเป็นคนที่ผูกปมแล้วแก้ปมให้กับตัวเองไม่เป็น เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น)  เป็นเพราะว่าเราขาดอะไรเวลาเรามีชีวิตอยู่ เพราะเราขาดเราจึงต้องแก้อยู่ร่ำไป (เพราะขาดสติ) 
สติช่วยทำให้เรารู้ว่าตอนไหนเราทำอะไร ตอนไหนเราผูกอย่างไร ตอนไหนเราเป็นอย่างไร แต่ถ้าเรามีแต่สติปัญญา  มักมีความน่าอันตรายอยู่ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ทำไมเราถึงบอกว่าน่าอันตรายล่ะ เพราะคนที่มีสติปัญญามาก ๆเราเรียกว่าคนฉลาด ใช่หรือไม่(ใช่)และคนที่มีสติปัญญามากๆ มักจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเรามีสติปัญญารู้กับตัวตนกลับกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ ก็ไม่ดีซิใช่หรือไม่  (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรดีให้มีสติคอยควบคุมตัวเราเอง คอยทำให้ตัวเองรู้อยู่ทุกขณะเวลาเราทำอะไร แต่ไม่เกินเลยไปจะทำอย่างไรดีล่ะให้มีแบบพอดี ก็ต้องมีอีกตัวหนึ่งมาช่วยควบคุมใช่หรือไม่ (ใช่) มีอีกตัวหนึ่งมาคอยตรวจสอบดูแล ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาเราทำงานชิ้นหนึ่ง เราว่าเราสำเร็จแล้ว แต่บางทีพอให้คนอื่นดู คนอื่นจะช่วยชี้แนะว่าตรงนี้พลาดนะ ตรงนี้ผิดนะ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งมั่นใจในตัวเองเกินไปก็ไม่ดี การให้คนอื่นช่วยตรวจสอบดูคุณภาพ ดูของที่เราเอาออกมาจะเป็นการดีใช่หรือไม่ (ใช่) ออกไปจะได้ไม่ขายหน้าเขาใช่หรือเปล่า (ใช่) 
บางครั้งเราคิดว่าสติปัญญาเรารอบคอบดีแล้ว แต่บางทีก็ควรมีอีกตัวหนึ่งคอยควบคุมไม่ให้เราทำผิดพลาด นั่นก็คืออะไร (มีคุณธรรม) คุณธรรมช่วยให้คนไม่คดโกงคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ฉลาดและไม่คิดเบียดเบียนทำร้ายใครใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคุณธรรมช่วยให้เราไม่ประพฤติผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เมื่อเราอยู่บ้านแคบๆ เรารู้สึกเป็นอย่างไร (อึดอัด) แล้วอยู่บ้านกว้างๆ รู้สึกอย่างไร ต่างคนต่างเข้าห้องของตนเองกลับไม่มีความสนิทสนม ไม่มีความแนบแน่น ใช่หรือเปล่า(ใช่) เป็นเพราะอะไร ทำไมเราจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา มีอีกอย่างหนึ่งก็กลับเสียอีกอย่างหนึ่ง พอได้อีกอย่างหนึ่ง กลับเสียอีกอย่างหนึ่ง เหมือนมีหนึ่งก็เสียไปอีกหนึ่ง  เสียหนึ่งก็เหมือนได้อีกหนึ่ง นี่แหละชีวิต
จริงหรือเปล่าที่คนเป็นพี่ รู้อะไรดีๆ มีของดีๆ แต่ไม่เคยส่งมอบสิ่งที่ดีให้น้อง น้องจะได้รับไหม (ไม่ได้) น้องก็คงต้องอดอยากใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่อดอยากในเรื่องเงินทอง เลยใช่หรือเปล่า  เพราะเห็นกระเป๋าไม่เคยขาดเงินเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นอกจากจะตุงมากตุงน้อยเท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์น้องของพี่ขาดคุณธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะฟังธรรม  เรามาปลุกจิตใจเราให้มีความกระปรี้กระเปร่า ดีหรือเปล่า( ดี) เมื่อวานเราแอบมองเห็นเขาร้องเพลง แล้วโยกตัวด้วย ใช่ไหม คราวนี้เราร้องเพลงนั้นเหมือนกัน
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงและทำท่าโยกศรีษะ) มีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่าคลื่นลูกหลังย่อมมาแรงกว่าคลื่นลูกแรก  แต่ศิษย์น้องเป็นคลื่นลูกหลังที่ไม่ได้เรื่องเลย สู้คลื่นลูกแรกก็ไม่ได้ ซ้ายก็ไม่ซ้าย ไม่พร้อมกัน  วันนี้ใครหลับมีไหม  ถ้าไม่ได้ร้องเพลงให้ท่านฟัง เขาพูดธรรมะท่านก็โยกไปตามจังหวะธรรมะที่เขาพูด
เวลาเป็นสิ่งที่ใจร้ายไหม (ไม่ใช่)  ไม่ใช่จริงๆ หรือ เวลาดูเหมือนใจร้าย พรากให้เราจากคนที่เรารัก พรากให้เราไม่ได้สมปรารถนา พรากทำให้เราไม่สามารถทำอะไรเสร็จดั่งที่ใจเราต้องการ  แต่เวลาก็เหมือนสายน้ำไม่มีใครตัดน้ำได้ขาด ไม่มีใครหยุดเวลาได้  เวลาคือชีวิตของเรา เวลาคือตัวที่แสดงคุณค่า และประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต หรือประวัติศาสตร์ในชีวิตของเรา คนทุกคนเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ให้กับชีวิตของเรา  บางคนตั้งแต่มีชีวิตมาอาจจะมีแต่เรื่องเงินทอง โกรธ หลง ทุกข์ สุขใช่หรือเปล่า  แต่จะมีใครบ้างที่ประวัติศาสตร์ของชีวิตตนเองเป็นเหมือนรอยเกวียนที่ตก แม้จะตกพลาดหลุมนี้ไปแล้ว แต่ก็สามารถที่จะทำให้เกวียนเล่มต่อไปไม่อยากที่จะพลาดชีวิตแบบนี้อีก หรือไม่อยากที่จะทำให้ตนเองเป็นเช่นอย่างนี้อีก ส่วนมากเวลาเรามีชีวิต คนที่รู้จักประวัติศาสตร์ชีวิตเรา อย่างมากสุดก็แค่คนในครอบครัวใช่หรือไม่  เพื่อนฝูงอาจจะมีบ้างแต่ก็เป็นวงจำกัดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาของเราหรือค่าของชีวิตเราจึงได้แค่เพียงไม่กี่คน เพียงคนในกลุ่มไม่กี่กลุ่ม  แต่สำหรับผู้ที่รู้จักคุณค่า รู้จักเวลาของชีวิตจะไม่ปล่อยให้เวลาของชีวิตผ่านไปเหมือนสายน้ำแล้วไม่สนใจ แต่ทุกขณะที่ผ่านไปล้วนตั้งอยู่ในความสำรวม ระมัดระวังและรอบคอบด้วยจิตใจที่เป็นอย่างไร อ่อนน้อมและรู้เท่าทันเหตุการณ์  ถ้าคนที่สามารถมีชีวิตแล้วรู้จักประพฤติตนควบคุมตนให้ได้อย่างนี้ทุกเวลา หรือทุกสายน้ำที่ไหลไป จะเป็นการไหลที่มีแต่สิ่งที่ดีงาม ยากจะผิดพลาดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรามักจะไม่ใช่แบบนั้น เรามักจะปล่อยไปตามใจไปตามอารมณ์ ปล่อยไปตามสิ่งที่เราอยากได้ และต้องการใช่หรือเปล่า (ใช่)  ค่าของชีวิตเราจึงเหมือนเทียนที่จุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วก็ดับไปอย่างที่ไม่มีใครรู้คุณค่า ไม่มีใครค้นพบว่าแสงสว่างของชีวิตเรานั้น แท้ที่จริงแล้วหากเรานำไปใช้ให้ดี เราสามารถนำแสงสว่าง เอาคุณค่าของชีวิตไปช่วยนำทางอีกชีวิตหนึ่งได้จริงหรือไม่ (จริง)  เรามักจะไม่รู้ว่าชีวิตของเราก็เหมือนเทียนธรรมดาที่มีเกิด แก่ เปลี่ยนแปลงแล้วก็ดับไป แต่ระหว่างเกิด แก่ เปลี่ยนแปลงแล้วดับไปนั้น เราสามารถสร้างคุณค่าสร้างประสบการณ์ แบบอย่างหรือรอยเกวียนอันดีให้กับหมู่ชนได้จริงหรือไม่  ด้วยการทำอย่างไรล่ะ ง่ายๆ ใครตอบได้บ้าง (ต้องมีคุณธรรม)  เมื่อเราอยู่ในบ้านเราประพฤติอย่างไรดี เมื่อออกไปข้างนอกเราประพฤติอย่างไรดีให้รอยเกวียนของชีวิตเราเป็นรอยเกวียนที่คนน่าจะเอารอยเกวียน หรือเอาชีวิตของตนเดินตาม  เราจะทำอย่างไรดี   การกระทำย่อมเป็นการสื่อได้ดีกว่าการพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยเราก็อยากนำให้ครอบครัวมีสิ่งที่ดีงาม  มีชีวิตที่ร่มเย็น  เป็นครอบครัวที่สงบสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  การเรียกร้องผู้อื่นย่อมไม่เป็นผลเท่ากับเรียกร้องตนเอง  แล้วทำตนเองให้เป็นแบบอย่างให้กับคนในครอบครัว  เมื่อเราเป็นแบบอย่างที่ดีออกสู่สังคม  สังคมย่อมคิดจะดำเนินตาม จริงหรือไม่ (จริง)  แต่แบบอย่างของชีวิตที่ดีนั้นต้องเป็นแบบอย่างเช่นไร  (มีคุณธรรม) ใช่ต้องมีคุณธรรม  แต่คุณธรรมแบบไหน  คุณธรรมที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะหรือ ไม่ใช่  ต้องเป็นคุณธรรมที่แน่วแน่ มั่นคง ไม่หวั่นไหวหากตั้งใจจะทำสิ่งใด (คุณธรรมที่แน่วแน่มั่นคงไม่หวั่นไหว)  เพราะความแน่วแน่มั่นคงย่อมสามารถที่จะทำให้เห็นว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นสามารถจะกดให้เป็นรอยได้  เหมือนชีวิตเรา เวลาเราจะทำดี  เกวียนนั้นจะเดินไปตามทางได้  จะปรากฏรอยได้นั้น เกวียนนั้นจะต้องมีแรง มีความหนัก มีความมั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกัน  การทำดีของเราก็เหมือนกัน  ทำดีนั้นจะเห็นผลได้ จะทำดีแล้วคนตามได้ ความดีนั้นต้องหนักแน่นและมั่นคง ประจักษ์ผลให้คนอื่นเขาเห็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และพิสูจน์ตนให้คนเห็นได้ด้วย จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วเมื่อนั้นรอยเกวียนของเราก็จะเป็นรอยเกวียนที่คนอยากดำเนินตาม หรือไฟแห่งชีวิตเราก็จะเป็นไฟที่แม้เทียนเล่มนี้ดับไปแล้วก็ยังมีคนอยากจุดไฟแห่งความตั้งใจของเราต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ท่านเคยได้ยินเรื่อง “ลุงโง่ย้ายภูเขา” ไหม สมัยก่อนนั้นการเดินทางจะไม่ค่อยสะดวก ไม่มีถนนหนทางเหมือนปัจจุบันนี้  การเดินทางเวลาจะไปอีกที่หนึ่งบางครั้งต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเล  ลุงโง่เขาก็เลยคิดว่า ถ้าเกิดเขาสามารถตัดภูเขานี้ทิ้งไปได้ ทางที่จะไปเมืองอีกเมืองหนึ่งก็จะสั้นลง ไม่ต้องปีนขึ้นไปบนภูเขา แล้วก็ลงจากภูเขา  เพื่อจะไปอีกเมืองหนึ่ง  แต่สมัยก่อนอุปกรณ์ยังไม่สะดวกเท่ากับปัจจุบันนี้  สมัยนี้ระเบิดตูมเดียว ภูเขาก็เป็นรูได้  แต่สมัยก่อนต้องใช้ความพยายาม วิริยะ อุตสาหะและความอดทน  ลุงโง่ก็เลยต้องใช้จอบขุดดินทีละนิดทีละหน่อย เพื่อจะทำให้ภูเขานี้ราบเหมือนพื้น แต่การจะทำอย่างนี้ต้องใช้เวลา ชั่วชีวิตของลุงโง่สามารถจะทำให้ภูเขานี้หายไปได้ไหม ย่อมไม่ได้  จึงทำให้มีคนว่าลุงโง่ว่า “ลุงโง่ทำอย่างนี้ทำไม  ช่างโง่จริง  ก็ปล่อยให้เขาเดินไป ไม่เห็นต้องไปคิด ไปกังวลถึงคนอื่นเขา  ไม่เห็นต้องไปห่วงความทุกข์ร้อนของเขาเลย”  แต่ลุงโง่บอกว่า “แม้ความตั้งใจหรือพลังของลุงโง่จะหมดไปเมื่อหมดสิ้นอายุ แต่ความตั้งใจและมุ่งมั่นของลุงโง่ ย่อมมีคนสักคนในโลกนี้อยากจะเดินตามและคิดจะช่วย” ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เขาเรียกว่าการมีชีวิตแบบมีรอยเกวียนที่ดี มีแสงสว่างนำทางที่ดี มีแสงสว่างนำทางชีวิตให้มีคุณค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้เหมือนลุงโง่ หรือเหมือนคนที่ว่าลุงโง่ (คนที่ว่าลุงโง่)  เหมือนคนว่าลุงโง่ หนึ่งไม่คิดจะช่วย สองเห็นแก่ตน ตัวใครตัวมัน  ไม่เคยคิดช่วยเหลือคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราก็เหมือนผู้ที่รู้ว่า  การมีชีวิตนั้น เราสามารถมีอีกหนทางหนึ่ง ที่ไม่ต้องไปฝ่าขึ้นไปบนภูเขาที่ยากลำบาก ไม่ต้องฝ่าชีวิตที่ทุกข์ยาก  เราสามารถรู้ได้ว่าชีวิตเรา ถ้าเรารู้จักสร้างคุณค่า  รู้จักนำคุณธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต ชีวิตของเราย่อมเป็นชีวิตที่มีความหมาย  และสามารถนำพาคนไปสู่ทางสว่างได้  ไม่ต้องให้พบทุกข์ยาก แต่ใครจะคิดได้เช่นนี้  ใครจะยอมเป็นลุงโง่ จริงไหม (จริง)  ทุกคนมักจะคิดว่า เรื่องอะไรที่เราจะต้องลำบาก และให้คนอื่นสบาย   แต่ถ้าเกิดเมื่อไรคนในโลกทุกคนมีเช่นนี้ โลกเป็นอย่างไร  ที่คิดแต่ตนแต่ไม่คิดเพื่อใคร มองแต่ตนแต่ไม่คิดทำเพื่อใคร  โลกก็คงวุ่นวาย ไม่มีความสมัครสมานสามัคคี  ทุกคนต่างหวังแต่ตนเองไม่เคยคิดช่วยใคร  แต่ตอนนี้ศิษย์น้องได้รู้แล้ว  ศิษย์น้องจะยอมเป็นลุงโง่ให้เขาว่าไหม (ยอม)  ถ้าออกไปแล้วศิษย์น้องทำแบบนี้จะต้องโดนคนว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตเรา ลูกก็ต้องดูแล อาชีพงานภาระก็ต้องทำใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วทำไมต้องหางานให้กับตัวเอง ดึงคนนั้น ดึงคนนี้ แถมโดนว่าอีก   แต่คนที่ทำแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร พูดง่ายๆ ก็เรียกว่าคนดี  แต่ถ้าเรารู้จักประวัติศาสตร์  คนที่ยอมให้ตนเองทุกข์ยาก แต่ช่วยคนอื่นให้เป็นสุข  เรียกว่าพุทธะหรือโพธิสัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนที่มีใจเมตตา  แต่ไม่ใช่เมตตาแต่ตนเอง  แต่เมตตาคนอื่นด้วย  คิดว่าตนเองอยู่ได้ คนอื่นต้องอยู่ได้  ตนเองสบาย คนอื่นต้อง (สบาย)  ทำได้ไหม
แล้วเมื่อไรที่ศิษย์น้องพร้อมจะเป็นลุงโง่  เมื่อพร้อมและมีใจอยากเป็นลุงโง่ แล้วพยายามเดินไปในหนทางนี้  ศิษย์น้องจะค่อยๆ พบคุณธรรมในตนและค่อยๆ พบความชั่วร้ายในตนพร้อมๆ กัน  ทำไมศิษย์พี่ถึงพูดแบบนี้  เพราะเวลาที่เรามีใจอยากจะไปช่วยคน หรือมีใจจะไปคุยกับคนในเรื่องธรรมะ เรื่องความดี  เรามักจะได้ตรวจสอบใจของตนเอง  การไปคุยกับคนๆ หนึ่ง  ถ้าเกิดเขาหงุดหงิด พอเราพูดก็ไม่อยากฟังเรา แต่ถ้าเรามีความอดทน เราย่อมเปลี่ยนเขา หรืออดทนพูดจนเขาอยากมาฟังได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่อดทน พอเขาหงุดหงิด เราเป็นอย่างไร เบื่อแล้ว แต่ถ้าโดนเขาว่ากลับมา  เวลาไปหาอีกคนๆ หนึ่ง กลายเป็นโดนว่ากลับมา แต่เราสามารถทนได้ ยิ้มได้ นั่นก็เป็นการฝึกใจเราให้มีการให้อภัยเขา  ให้อภัยเขาแล้วเรายังสามารถกลับไปให้กำลังใจเขาได้   ไปให้เขารู้ว่าการอภัย  ความมีน้ำใจต่อกันจริงๆ นั้นสามารถที่จะปรากฏได้ในโลกนี้  สามารถจะมีได้ในคนบนโลกนี้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่า ถ้าเกิดมีใจกระทำดี  การกระทำดีย่อมสามารถจะทำให้เราฟื้นคุณธรรมและล้างความชั่วร้ายในตัวตนได้ด้วย ดีหรือเปล่า (ดี)  ไม่เหมือนการที่เราไปเพลินอยู่กับโลก  ไปเพลินอยู่กับกิเลสตัณหา  เรามักจะเป็นอย่างไร  ปล่อยไปตามใจตนเอง นึกจะโกรธก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  นึกจะไม่พอใจก็ไม่สนใจใคร เราไม่เคยง้อ เราไม่เคยแคร์ใครเลยในบางที  หรือไม่บางทีก็แคร์หรือง้อคนจนเกินไป ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)   เมื่อครู่ศิษย์พี่ถามว่า  เพราะอะไรเราอยู่บนโลกนี้ เราจึงขาดความพอดี หรือขาดความลงตัวให้กับชีวิต  เข้าใจคำว่า “ลงตัวให้กับชีวิตตนเอง” ไหม  เหมือนคนมีที่ใหญ่ๆ  เราก็รู้สึกว่าคนห้าสิบนั้นน้อยเกินไป ที่แคบๆ คนห้าสิบก็มากเกินไป  นั่นเป็นเพราะอะไร  เหมือนเรามีชีวิตอยู่ เราว่าเราขาวแล้ว แต่พอไปยืนใกล้อีกคนหนึ่งทำไมเราช่างดำขนาดนี้ เราว่าเราสูงแล้วดีแล้วเก่งแล้ว ทำไมเมื่อไปอยู่กับอีกคนเราเตี้ยขนาดนี้ ทำไมเราโง่ขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร (ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ , เพราะใจเราเปรียบเทียบ) เพราะใจเราเปรียบเทียบใช่หรือเปล่า
แต่ละสิ่งก็มีสิ่งที่ดีต่างกันไป บางครั้งมนุษย์เรามักจะติดการแบ่งแยกจนเกินไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เราอย่าลืมว่าหากไม่มีมืดหรือจะมีสว่าง หากไม่มีสูงหรือจะมีต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เห็นด้านเดียวคนนั้นจะเป็นทุกข์แต่คนที่สามารถมองเห็นทั้งสองด้านเราเรียกว่ารู้จักการดำเนินชีวิตให้เป็นสุข  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะหากเรามองด้านเดียวจนเกินไปย่อมไม่ดี เรามีชีวิตต้องมีชีวิตที่มองเห็นได้ทั้งสองด้าน ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนดาบมีสองคมเรื่องทุกเรื่อง ย่อมมีสองด้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แถมบางทีเราว่ามีสองด้านยังแตกออกเป็นสี่ห้าด้านก็เป็นไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเพราะอะไรล่ะ ก็เพราะว่าทุกอย่างล้วนเป็นจริง ความจริงเป็นมูลรากของทุกสิ่ง จะบอกว่าอีกสิ่งหนึ่งแย่กว่าอีกสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้ใช่หรือไม่  แล้วเราจะพบความเป็นจริงของทุกสิ่งได้จากไหน ได้จากตัวเรานั่นเองเมื่อตัวเราเป็นคนเปรียบเทียบ กำหนด แบ่งแยกดีร้าย ชั่ว ขาวดำ มืดสว่าง ทำไมเรากลับมองไม่เห็นล่ะ จริงหรือไม่ (จริง) อย่าติดด้านใดด้านหนึ่ง เพราะว่าถ้าติดด้านใดด้านหนึ่ง เรานั้นจะเป็นทุกข์ เราต้องเป็นคนที่มองแล้วรู้ได้ทั้งสองด้าน  ถึงจะเป็นสุขในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ธรรมดาทุกคนมีดีมีชั่ว มีมืดสว่าง มีขาวมีดำ คนที่ฉลาดเท่านั้น ถึงจะรู้จักนำสิ่งที่ดีของเขามาอยู่ร่วมมาเสริมข้อบกพร่องของเราใช่หรือไม่ (ใช่) นำสิ่งที่ดีของเขามาเป็นแบบอย่างนำชีวิตของเรา สิ่งใดที่ไม่ดีสิ่งใดที่เป็นด้านมืดนำมาตรวจสอบนำมาวัดดูทำให้รู้จักว่าทุกชีวิตในโลกนี้ล้วนเป็นจริง มีมืดย่อม มีสว่าง มีทุกข์ ย่อมมีสุข  แล้วคราวนี้เราจะไม่เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ กลัดกลุ้มใจ หรือไม่พอใจในตนเอง เพราะว่าเราเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การคิดแบบนี้ก็มีข้อเสีย ใช่หรือไหม (ใช่) ทำไมเราจึงบอกว่ามีข้อเสีย สรรพสิ่ง ล้วนมีมูลรากของความจริง เป็นพื้นฐาน แต่มูลรากของความจริง  ค้นพบได้ในใจตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  สรรพสิ่ง เป็นอย่างไรนั้นคือการมองสรรพสิ่ง มองคน แต่ใจเราเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงได้ไหม (ได้) จากดำจะกลับเป็นขาว จากขาวกลายเป็นดำ ได้ไหม (ได้)  จากดำเป็นขาวทำอย่างไร (ต้องบำเพ็ญตน) บำเพ็ญตนอย่างไร (ทำความดีละเว้นความชั่ว, ไม่คิดเห็นแก่ตน,และไม่เบื่อหน่ายท้อที่จะช่วยคน) ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าตอนนี้ตัวเองดำหรือขาว  สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่รู้ตัวเอง จะรู้หรือว่าตอนนี้ตัวเองดำหรือขาว  ฉะนั้นเราต้องรู้จักตัวเอง ก่อนว่าตอนนี้เราดำหรือขาว หรือว่าขาวดำ หรือว่าขาวจุดดำ หรือว่าดำจุดขาว  ไม่รู้ว่าเป็นแบบไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่ทำให้เราเปลี่ยนจากดำเป็นขาว นั่นคือ เรารู้ตนเองแล้วพร้อมที่จะแก้ไขตน เหมือนคนจากมืดจะกลายเป็นสว่าง  หากไม่รู้ตนเองมืดแล้วเขาจะไปสว่างได้ไหม (ไม่ได้) นั่นก็คือต้องยอมรับตนเองก่อนว่าพร้อมที่จะแก้ไขตน เหมือนกับคนที่จะมืดแล้วจะกลายเป็นสว่างใช่หรือไม่ (ใช่) แต่แท้ที่จริงแล้วคนเราเกิดมาไม่ใช่มืดมาแต่เกิดใช่ไหม(ใช่) ทุกคนก็ล้วนที่อยากจะเป็นคนดี ไม่อยากที่เกิดมาก็เป็นคนที่ชั่วร้ายทันทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรื่องน่าเศร้าที่สุดสำหรับการเป็นคนนั้นก็คือการไม่มีความละอายใจ  เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับสังคม นั่นก็คือไม่มีคุณธรรมต่อความถูกต้อง ฉะนั้นการตรวจสอบตนเองช่วยเป็นการย้ำให้ตัวเองรู้จักละอายใจและช่วยส่งเสริมให้โลกนั้นมีคุณธรรมและความถูกต้อง เราทำตนเองและยังได้ช่วยสังคมด้วยดีไหม (ดี) 
(ศิษย์พี่เมตตาให้ร้องเพลง อิปปี้ยา และเล่นเกมส่งพานผลไม้)  เหมือนความตั้งใจแรกเริ่มเดิมทีเราก็มีความตั้งใจมุ่งมั่นอย่างสวยงามอย่างดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอผ่านระยะทางผ่านคนโน้นผ่านคนนี้เราเห็นทำไมกลับมามันไม่สวยเหมือนเดิมล่ะ (พบอุปสรรค)  นั่นก็มีส่วน กับอีกอย่างหนึ่งสิ่งที่เราทำมักจะไม่ราบรื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแปลว่าการที่เราจะตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าคนที่เราจะทำหรือทางที่เราจะทำไปนั้นมันสามารถจะราบเรียบหรือไม่ แล้วมันจะมีอะไรเกิดขึ้นเราไม่สามารถรู้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งที่เรารู้ได้อย่างหนึ่งคือตัวเรามีแต่มีแล้วต้องมีให้ตลอดรอดฝั่งมีแล้วตอนต้น ตอนปลายก็ยังจบลงเหมือนความตั้งต้นเดิมใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเป็นประเภทที่แบบว่าตอนต้นเริ่มดีแต่ตอนปลายเสียอย่างนั้นไม่มีประโยชน์ใช่ไหม(ใช่)  เหมือนเวลาที่เราดูไม้เราจะเลือกไม้สักเส้นหนึ่งหรือสักแผ่นหนึ่งหากไม้ตอนต้นดีตอนปลายคดท่านก็ไม่เอาใช่หรือไม่ (ใช่)    แต่ถ้าคดตั้งแต่ต้นยันปลายยิ่งไม่มองใหญ่เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ตอนนี้เราเป็นไม้ที่อยากได้ต้นตรง ปลายก็ต้องตรงตอนนี้เราเป็นไม้ที่อยากจะอบตัวเองให้ตรง แล้วเป็นไม้ที่สามารถจะไปช่วยคนได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องยอมรับว่าถ้าเจออุปสรรคบ้าง เจอทางที่ไม่ราบรื่นบ้าง เราก็ยังต้องมั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลง  อย่างที่เราบอก เรื่องราวในโลกเกิดขึ้นก็เกิดในใจ จะดับได้ก็ดับลงที่ใจ ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเราพูดว่า มีเงิน มีเกียรติ มีคุณธรรม  สามอย่างนี้คนมักเลือกอะไรกัน (เงิน)  ถ้าเลือกคุณธรรมป่านนี้เราคงไม่เห็นท่านนั่งตรงนี้  ตั้งแต่เกิดก็คงไปอยู่วัดแล้ว  เพราะตั้งแต่เกิดมาเราจะเลือกมีเงิน ตามมาด้วยเกียรติยศ  ตอนนี้ถึงแม้ว่าเราจะช้าไปหน่อย  แต่ตอนนี้เงินเรามีไหม (มี) เกียรติมีไหม (มี) ยังไม่ครบ แล้วเรายังไม่เอาอันที่สามคือคุณธรรมหรือ  ถามว่าเรามีเกียรติไหม  จริงๆ เกียรติเกิดขึ้นได้จากไหน (ตัวเอง)   ตัวเราเอง เกียรติไม่ใช่แค่ตำแหน่งยศถา  แต่เกียรติคือเกียรติยศในความเป็นคน  มนุษย์ประเสริฐไม่ใช่แค่กายตั้งตรง มีขายืนอยู่บนพื้น หัวชี้ฟ้า  ไม่ใช่พูดได้  แต่มนุษย์ประเสริฐตรงที่มีจิตใจ มีมโนธรรมสำนึกและมีอุดมการณ์ที่ดีงามและสูงส่ง  ถึงจะเรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ  ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต่างอะไรกับคนที่ทำร้ายคนได้ หรือคนที่ขายคนได้  แต่คนส่วนมากนั้นมักจะยอมทิ้งคุณธรรมเพื่อที่จะยอมให้ตัวเองมีเกียรติยศ มีชื่อเสียง มีเงินทอง  แต่ว่าตอนนั้นตัวเองเอาค่าตัวเองตัดทิ้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง เป็นการกระทำที่ถูกไหม (ไม่ถูก)  บางคนยอมแล่เนื้อเถือหนังตัวเองเพื่อให้ตนเองมีค่าเป็นเงินเป็นทอง  ไม่มีค่าเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเงินแต่ไม่มีชีวิตจะมีประโยชน์อะไร  แล้วถ้ามีคุณธรรมแต่ไร้ชีวิตเอาหรือไม่ (เอา)  ทำไมถึงเอา  ถ้าเราบอกว่ามีเงินเป็นล้านแต่ต้องไม่มีชีวิตเอาไหม (ไม่เอา)  แต่ครั้งไหนเราจะรู้ว่าช่วงที่เราหาเงิน ตอนนั้นเราได้เงินแต่ตอนนั้นเราจะไม่มีชีวิต  เราไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้ก็คือว่า ให้เรารู้ว่ามีเงินแล้วต้องรู้จักมีคุณค่าในการมีชีวิต  เอาเวลาที่หาเงินนั้นปลีกมาช่วยคนด้วย  เวลาเราตายเราก็ไม่กลัวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ได้มีค่าแค่หาเงินเป็นอย่างเดียว  แต่ช่วงที่หาเงินนั้น  ตอนขายไปเรายังพูดว่า ไปฟังธรรมะมาดีนะ  แปลว่าเราได้เงินด้วยเรายังได้ขายคุณธรรม เอาคุณธรรมไปให้คนอื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครๆ ก็ไม่อยากได้เงินแล้วเสียชีวิต  แต่ทำไมพุทธะยอมเสียชีวิตเพื่อให้มีคุณธรรม  เพื่อให้ธรรมปรากฏอยู่บนโลก  แต่ทำไมเราไม่เอา น่าแปลก  เราก็เลยเป็นอย่างนี้ ไม่เคยได้เป็นพุทธะสักรอบเลย  นั่นเป็นเพราะว่าเราเห็นคุณค่าต่างกัน  เงินกับชีวิตเราเลือกชีวิต  แต่ชีวิตกับคุณธรรม ทำไมเราเลือกชีวิต เราไม่เลือกคุณธรรม  แต่ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กลับคืนขึ้นไปท่านเลือกคุณธรรม  ท่านไม่เอาชีวิต แต่ท่านได้กลับฟ้า  ถ้าเราเลือกชีวิต ไม่เอาคุณธรรม เราลงดิน จริงไหม (จริง)  แล้วตอนนี้คิดไหมว่าต่อไปได้สร้างคุณธรรม ไปช่วยคน แม้ถูกรถชนตายก็ไม่เป็นไร  ยอมไหม  จะบอกว่าฟ้าไม่ยุติธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  นั่นเป็นเรื่องที่ต้องคิดแล้ว  ทำไมพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำได้แต่ตัวเราทำไม่ได้ เราคิดไม่ถึง เพราะอะไร  เพราะเราเป็นอย่างนั้นไม่ได้ก็ไม่ใช่  เพราะอะไรเราถึงไม่ยอมทำตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงตอนนี้  ยังมีชีวิตอยู่เลย คุณธรรมหายหมดแล้ว  เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  เราก็ไม่ต้องการให้ท่านทำถึงขนาดนั้น  แต่เมื่อเรามีโอกาสเลือก ถ้าเรายอมดำรงซึ่งคุณธรรมไว้ แม้กายจะเหนื่อยเพียงใด หรือเหนื่อยจนกระทั่งขาดใจตาย ก็ขอให้ปฏิบัติธรรม  คนนั้นจึงจะได้กลับคืนเบื้องฟ้า  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอบอกว่าให้เสียสละ ให้ยอมลำบากเพื่อจะได้เอาคุณธรรมนี้ให้กับคนอื่น เรากลับไม่เอา  เราบอกว่าเราเหนื่อยเพื่อเงินได้  แต่ทำไมเราเหนื่อยเพื่อเอาธรรมไปช่วยคนไม่ได้  แปลกไหม  พอบอกว่างานวัด หรือที่พุทธสถาน ต้องการคนถูพุทธสถาน เราก็ไม่เอา  ไปล้างห้องน้ำให้วัดหน่อยก็ไม่เอา ทำไมเราไม่เอา ไม่เลือกกัน   เป็นเพราะว่าเราลืมคุณค่าแห่งธรรมะไป  เมื่อยามเลือกเงินกับชีวิต บางทีเราเลือกชีวิต  แต่เมื่อชีวิตกับคุณธรรมเราลืมค่าแห่งคุณธรรมไป จริงไหม (จริง) ฉะนั้นต้องอย่าลืม คุณธรรมก็มีค่าเหมือนกัน อย่ามองข้าม
“ปราชญ์ยากเดินเมื่อวิจารณญาณถูกจำกัด กลางอัตคัดต้องมั่นคงอย่าตกต่ำ
โอบอุ้มใจอริยะทางแห่งธรรม ตื่นประจำค่อยไม่ฝันจากครรลอง”
ชีวิตเราเหมือนละครฉากใหญ่ฉากหนึ่ง มีตัวเราเป็นนางเอก แต่มีนางเอกจำเป็นต้องมีพระเอกไหม  มีพระเอกจำเป็นต้องมีนางเอกไหม บางทีก็ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้  ใช่ว่ามีพระเอกแล้วต้องมีนางเอกแล้วจะทำให้ชีวิตนั้นเรียกว่าสมบูรณ์ ก็ไม่ใช่   ความหมายของคำว่า “สมบูรณ์” ในชีวิต ไม่ใช่อยู่ที่การมีใครคนหนึ่ง แต่เราต้องคิดให้ดีๆ ว่า ชีวิตที่สมบูรณ์ ชีวิตที่มีความหมายที่แท้จริงคือการอะไรต่างหาก  ถ้าเกิดตัวเราเองยังนำพาตนเองไม่ค่อยได้  ยังพาไปสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ผิดหวังบ้าง แก้แล้วแก้อีกบ้าง การไปดึงอีกคนหนึ่งมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราด้วยนั้นบาปไหม  เอาเขามาจมหัวจมท้ายกับเราด้วย น่าคิดนะ  แต่บางคนเรายังไม่รู้จักเขา แต่ก็ยอมจมหัวจมท้ายไปกับเขา พอรู้แล้วก็สะบัดทิ้งเลย ไม่น่าจมด้วยเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ความหมายของภาษาไทยก็มีอยู่แล้ว “จมหัวจมท้าย”  ทั้งหัวทั้งท้ายนี่จมมืดหมดเลย  ฉะนั้นเวลาเรามีชีวิตขอให้เราคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ  เวลาเรามอง เราฟัง เราพูด เราลิ้มรส เรามักจะเลือกฟัง เลือกมอง เลือกพูด  ฉะนั้นเวลาเรามีชีวิตอยู่ เรามีสติ เรามีปัญญา  เราเอาสติปัญญา ความถูกต้อง ความดีงามนั้นมาใช้  ในชีวิตแล้วพัฒนาชีวิตตนเองให้ดีได้  ไม่มีใครสามารถนำพาชีวิตเราได้นอกจากตัวเราเอง  คำพูดนี้เราได้ยินมาแต่ไหนแต่ไร  แต่เราต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้  แต่ถ้าเราเอาชนะใจตนเองไม่ได้  เมื่อนั้นรู้ไปก็ไร้ประโยชน์ ก็ไร้ค่า  เพราะคนเรานั้นปกติเป็นธรรมดา มีรัก โลภ โกรธ หลง  แต่เราจะรัก โลภ โกรธ หลงอย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์จนเกินไป  ให้มีได้อย่างพอเหมาะ ถูกขอบเขต และถูกต้องในการมีชีวิต รักอย่างไรไม่ให้หลงเกินไป โกรธอย่างไรไม่ทำให้เราต้องไปขุ่นแค้น ต้องไปล้างแค้น  โกรธได้แต่ต้องรีบวางเสีย  โกรธแล้วไม่ใช่ต้องล้างแค้น ต้องไม่เหลือไฟที่สุมอยู่ภายในใจ ไม่เหลือฟืนหรือเถ้าถ่านที่ก่อให้เกิดขึ้นมาใหม่  แต่มีอย่างไรให้ดี ให้พอเหมาะ ให้ถูกขอบเขต มีแล้วไม่เป็นพิษกับตัวเอง มีแล้วไม่เกิดโรคเกิดภัยให้กับตนเอง  นี่ถึงจะเรียกว่ามีอย่างถูกต้อง
“เปรียบคลื่นแปรดุจอารมณ์คะนองส่ง ไม่บรรจงขึ้นลงตามแต่ล่อง”
เราอย่าปล่อยชีวิตเดี๋ยวก็ขึ้น เดี๋ยวก็ลง  แต่เวลาขึ้นก็ให้รู้ว่าตนเองขึ้นอยู่ แล้วรีบปรับให้ลง  ใจที่ฟูๆ แฟบๆ  กายที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ใครก็เข้าไม่ติด  แม้แต่ตัวเราเองก็ยังหงุดหงิดตัวเอง ฉะนั้นเราต้องรู้จักปรับอารมณ์  ฟูอย่างไรให้ฟูแล้วงาม น่ากิน  แฟบอย่างไรให้มองดูแล้วไม่น่าเกลียดจนเกินไป เหมือนขนมจะทำให้สวยต้องใส่ยีสต์เร่งให้ฟู ชีวิตของคนเราจะมีรสชาติก็ต้องมีความทุกข์มาทดสอบเรานิดหนึ่ง  ไม่ทุกข์หรือจะค้นหาความสุข  ไม่ลำบากหรืออยากจะสบาย จริงไหม (จริง)  ถ้าทุกคนมีชีวิตสบายคงไม่มีใครหันมามองธรรมะ อยากจะบำเพ็ญตน  มีทุกข์ก็ช่วยทำให้เราอยากค้นหาความสุข  ค้นหาความแท้จริงของชีวิต  เรามีชีวิตมาตั้งนาน ไม่ใช่แค่มีเงินมีทอง มีลูกมีหลาน  นี่คือชีวิตหรือ ไม่ใช่   แล้วชีวิตของเราเป็นอย่างไรกันแน่  จุดมุ่งหมายของการมีชีวิตคืออะไร ใช่มีครอบครัว มีเงินมีทอง นั่นหรือคือชีวิต  นั่นหรือคือความหมายของการเป็นคน  แต่ที่เรารู้ความหมายของการเป็นคน ค่าของคนที่มากกว่านั้นก็คือสร้างคุณค่าให้กับตัวตน  นำพาตัวตนไปให้ถูกหนทาง  หรือพูดง่ายๆ ก็คือรู้จักบำเพ็ญตน  ค้นพบ ค้นหาความเป็นพุทธะในตน ใช่ไหม (ใช่)
พระพุทธองค์สอนให้เรารู้สำนวนหนึ่งว่า “เมื่อไรมีธรรม เมื่อนั้นมีตถาคต”  แต่ตอนนี้ศิษย์น้อง ธรรมก็ไม่อยากมี  แล้วจะมีตถาคตได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ศิษย์พี่มาพูดตั้งนานก็เพื่อต้องการให้ศิษย์น้องรู้ตรงนี้ว่า  “เมื่อไรมีธรรม เมื่อนั้นเรามีตถาคต”  ตถาคตนั้นไม่ใช่พระพุทธองค์ แต่คือความเป็นพุทธะในตัวตน  เรามีได้ก็ต่อเมื่อเราต้องมีธรรมก่อน  ถ้าธรรมไม่มี ตถาคตจะมาอย่างไร  ถ้าธรรมไม่มี ตถาคตก็ไม่มีแต่จะมีพญามาร ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นไม่ใช่เลือกขาวไม่ได้ก็ดำไปเลย อย่างนี้ไม่ถูก 
ร้อนไหม  เวลาร้อนศิษย์น้องก็ปลอบใจตัวเองว่าเราอยู่ท่ามกลางน้ำแข็ง  เรากินน้ำเย็น  เรากำลังอาบน้ำเย็น ปลอบใจตัวเองจะได้นั่งฟังดีๆ ได้  ไม่อย่างนั้นถ้าคิดว่าร้อนจัง ลมก็ไม่พัด แดดก็เปรี้ยง ก็จะยิ่งร้อน  ถ้าเราคิดอย่างหนึ่งแล้วเรามีความคิดอีกอย่างหนึ่งสนับสนุน เราจะยิ่งเป็นมากกว่าเดิม  แต่ถ้าคิดอย่างหนึ่งแล้ววางความคิดไว้ตรงนั้น  ความคิดตรงนั้นก็ยากมามีผลกับใจและกาย  เหมือนเวลาที่เราบอกว่าทุกข์  เราทำหน้าเป็นทุกข์ ใจกังวล เราก็จะเป็นทุกข์ครบเสร็จสรรพเลย  แต่ถ้าเราบอกว่าไม่เป็นไรต้องยิ้มสู้  หน้าก็จะยิ้มได้  เรื่องทุกข์สุขดีร้ายในโลกนี้ หากเรามีความเชื่อมั่นในตนเองเราย่อมสามารถ  กุมชะตาชีวิตของตนเองได้  เปลี่ยนร้ายให้เป็นดีได้ด้วยน้ำมือของเราเอง  พอเข้าใจไหม  ขอเพียงเชื่อมั่นในตัวตน อย่าตอกย้ำ อย่าซ้ำเติมตนเอง ไม่อย่างนั้นเราจะยิ่งทุกข์   หากทุกข์เมื่อไรเราต้องคิดว่าเราต้องยิ้มสู้  ปากยังไม่ยิ้มก็เอามือดันก็ได้  ไม่ใช่ทำหน้าเศร้า เราก็ยิ่งตอกย้ำให้ตัวเองเศร้าใหญ่   เมื่อไรที่เราเจอสิ่งใดที่ไม่สมอารมณ์ ไม่สมปรารถนา  เราต้องรู้จักพลิกกลับอีกด้านหนึ่ง  อย่างที่ศิษย์พี่บอก เรารู้ว่านี่คือความทุกข์แต่เราย่อมมองความสุขได้  แล้วเราก็อยู่ท่ามกลางทุกข์กับสุข  เมื่อไรเราอยู่ท่ามกลาง  เมื่อนั้นเราจะเป็นสุขที่แท้จริง  อย่าได้ไปยึดติดด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป  แต่เมื่อเราสุข จะทำอย่างไรให้เราไม่หลงตนเองและประมาท เผลอพลาดทำผิดอีก ก็คือต้องปลดตัวเองลงมาบ้าง  เวลาเรามีสุขเรามักจะหลงลำพองใจ  ฉะนั้นเราต้องคิดอีกด้านหนึ่ง จะต้องระวังไว้  มีสุขได้ก็ต้องมีทุกข์ได้เหมือนกัน วันนี้มีเงินได้  พรุ่งนี้ก็เสียเงินได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังไม่ต้องบอกว่าไม่มีเงินหรอกนะ วันนี้ให้มีเงิน แต่บอกว่าไม่มีหรอก ใครมาว่าเราไม่มี ก็บอกว่า ฉันมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีเยอะแต่เราก็บอกว่ายังน้อยไป เราก็เป็นอย่างไร โมโหไม่ยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่จะบอกให้เงินคล้ายๆ กับขวาน  คล้ายๆ กับไม้ก็ได้ เวลาเราเอาขวานมาเราตัดไม้มาเพื่อทำขวานใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ขวานนั้นเองก็ไปตัดไม้ต่อจริงหรือไม่  เราอยากได้เงินเราพยายามหาเงินแต่เราต้องเอาเงินที่เรามีอยู่ไปสร้างเงินต่อจริงหรือไม่  มันก็เหมือนเราตัดนั่นแหละ เงินมันก็ทำร้ายเงินเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นผู้ใช้เงินเราต้องรู้จักใช้ให้เป็นไม่อย่างนั้นขวานจะจามมือจริงหรือเปล่า เงินนั่นแหละจะทำให้เราเศร้าใจเป็นทุกข์ใจ ฉะนั้นต้องรู้จักใช้ให้เป็นฟังแล้วง่ายไหม (ง่าย)
วันนี้ศิษย์น้องอยากได้รางวัลจากศิษย์พี่หรืออยากได้จากพระอาจารย์หรืออยากได้ทั้งศิษย์พี่และพระอาจารย์  อยากได้ทั้งสองอย่างเลยใช่ไหม งั้นทำอย่างไรจะไม่ให้ตัวเองทุกข์ (ทำจิตใจให้สงบ)  เมื่อเวลาความทุกข์มาหาก็รู้จักเป็นอย่างไร (ลืมไป)  ลืมไปเลยเหรอคงจะลืมยากนะ เมื่อเจอความทุกข์ต้องพยายามสืบหาสาเหตุแห่งทุกข์ใช่หรือไม่ สืบหาสาเหตุเสร็จก็แก้ทุกข์แล้ววางทุกข์ให้ลงใช่หรือไม่  (ทำจิตใจให้แน่วแน่มั่นคง ทุกข์มาสุขมาก็ไม่บ่น  นึกแต่ความสุขข้างหน้า) แล้วถ้าเกิดข้างหน้ามันไม่มีสุขมาเลยล่ะ  นั่นคือต้องทำให้ใจเรามีกำลังสู้กับความทุกข์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพื่อข้างหน้าเราจะได้พบความสุข (ตัดกิเลส)  ตัดกิเลสให้หมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสเกิดจากไหน (ตัวเรา)  อย่างนั้นตัดตัวเราทิ้งเลยดีไหม (ไม่ดี)  กิเลสเกิดจากใจใช่หรือไม่ (ใช่)  งั้นตัดใจทิ้งเลยดีไหม (ไม่ดี)  ตอบง่ายๆก็คือตัดใจ  พูดมากๆก็ตัดใจบ้างใช่หรือไม่ ปลงบ้างแล้ววางบ้าง  ทุกเรื่องย่อมเป็นจริงอย่างนั้น เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ที่เป็นเท็จก็จริงอย่างเท็จใช่หรือไม่ ที่เป็นจริงก็จริงอย่างจริงใช่หรือไม่  ที่เป็นทุกข์ก็ต้องแก้ความทุกข์ (หนักแน่นและเชื่อมั่นในตนเอง)  แต่ถ้าเชื่อมั่นแล้วตอนนี้ตัวเองทุกข์แล้วเชื่อมั่นในตนเองก็ไม่ยอมทิ้งจริงหรือเปล่า หนักแน่นและเชื่อมั่นที่จะแก้ไขตนเองและเปลี่ยนแปลงตนเองเมื่อตอนตัวเองมีคุณค่าหรือมีทุกข์ใช่หรือไม่  เวลาเราเจอปัญหาเราต้องรู้จักวางตัวให้อยู่เหนือปัญหาก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเรามีปัญหาก็เหมือนคนที่ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมความยุ่งยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยู่ตามท่ามกลางความยุ่งยากเรามักจะมองไม่เห็น  ฉะนั้นเราเดินออกมานิดหนึ่ง ทำจิตใจสงบแล้วก็เพ่งมองปัญหา เมื่อเราทำจิตใจให้สงบการเพ่งมองปัญหาย่อมเด่นชัดใช่หรือไม่  สังเกตบางครั้งเวลาเรามีปัญหาทำไมคนนอกถึงแจกแจงรายละเอียดได้ชัดเจนเพราะว่าเขาอยู่นอกปัญหาและเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนกว่าเรา ฉะนั้นเวลาเราเจอปัญหาเราต้องถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วมองดูด้วยใจที่สงบ  แล้วค่อยๆ แก้ไขเป็นลำดับขั้นตอน  เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่จะเรียกว่าทุกข์ ใช่ไหม  บางทีเราบอกว่านี่คือเรื่องที่ยากสำหรับเรา เป็นเรื่องที่หนักมาก เรารู้สึกทุกข์  แต่พอให้คนอื่นเขากลับไม่ทุกข์  ฉะนั้นบางครั้งเราต้องรู้จักข่มใจ อย่าไปคิดว่านั่นคือเรื่องที่ทำให้ทุกข์ (พยายามมองโลกในแง่ดี)  การมองในด้านใดด้านหนึ่งเกินไปจะทำให้เราเป็นทุกข์ ต้องมองให้ออกทั้งสองด้าน  แต่ว่าปรับสภาพใจให้เป็นกลาง  เวลาที่เราเจอแบบนี้ เราต้องเอาแบบนี้มาแล้วให้อยู่ตรงกลาง ใช่ไหม (ใช่) มองในด้านดี บางทีก็มีประโยชน์ แต่บางทีก็ทำให้เราทุกข์ได้โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน  ทำไมถึงบอกว่าทุกข์รู้ไหม  เพราะว่าบางทีเราอาจจะเผลอทำผิดไป  เพราะว่าเราเห็นเขาดีไปหมด แยกไม่ออกเลยว่าคนไหนควรตาม คนไหนไม่ควรตาม อันไหนเรียกว่าดี อันไหนเรียกว่าไม่ดี  บางครั้งแบ่งแยกใจเป็นสองก็ไม่ดี ไม่แบ่งเลยก็ไม่ได้  ฉะนั้นต้องรู้ว่าการอยู่ระหว่างสอง การมีสองเป็นอย่างไรด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ใครอยากตอบอีก (เปิดใจให้กว้างยอมรับสภาพความเป็นจริงตามสภาวะธรรม)  เปิดใจให้กว้างยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นด้วย ไม่ใช่พอมีเรื่องทุกข์มาก็ไม่เอา  ไม่เอาได้อย่างไรก็มันมาแล้ว ใช่หรือเปล่า  (ถึงแม้ขณะนี้เรามีทุกข์ ขอให้คิดว่ามีคนอื่นทุกข์มากกว่าเรา)  ให้คิดว่าบางครั้งสิ่งที่เราทุกข์อาจจะมีคนทุกข์มากกว่าเรา  จะได้เป็นกำลังใจต่อสู้ความทุกข์ของตนเอง  บางทีเราบอกว่าเรามีเท่านี้ลำบากแล้ว  แต่ถ้าเรามองไปอีกจะมีคนลำบากกว่าเรา
เมื่อไรที่เราคิดจะบำเพ็ญแล้วช่วยเหลือคน เราออกแค่สามแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยตั้งเจ็ดรู้ไหม  แล้วเมื่อไรเรารับธรรมแล้ว เราเหลือแค่สาม  สิ่งศักดิ์สิทธิ์แบกให้เจ็ด  เข้าใจตรงนี้ไหม (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : เวลานี้งานของฟ้าเบื้องบนคือแผ่โปรดวิถีอนุตตรธรรม  กระแสตอนนี้คือกระแสที่จะฉุดช่วยคนทั้งหลาย  เมื่อเราตั้งใจทำไปสามส่วน  ฟ้าเบื้องบนก็หนุนให้เราเจ็ดส่วน  งานนี้จะต้องใช้แรงสิบส่วน เราออกไปแค่สามส่วน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยเจ็ดส่วน   กรรมของเรามีสิบส่วน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยแบกเอาไว้เจ็ดส่วนให้เราเบาสบาย  ให้เราแบกของเราเองสามส่วน นี่คือความเมตตาของฟ้าเบื้องบน  เพื่อให้คนที่ตั้งใจทำงานของฟ้าในการฉุดช่วยคนทั้งหลายนี้สามารถเดินไปสู่หนทางที่จะประสบความสำเร็จได้)
วันนี้งานจะสำเร็จได้  ก็ต้องด้วยความร่วมมือร่วมแรงของศิษย์น้อง  ใช่หรือไม่ บางคนต้องทำงานหนัก บางคนอาจจะไม่ทำงานอะไรเลย แต่เมื่อเราบำเพ็ญร่วมกัน เหมือนที่ศิษย์พี่บอกไว้ว่า อย่าได้มองว่าตนเองทำงานหนัก เพราะว่าเราไปมองคนไม่ทำงาน เราทำได้เท่าไร เราก็ได้รับในสิ่งที่เราทำ ถ้าเราทำมากแต่ทำแล้วต้องมานั่งเสียใจ มานั่งบ่นตัดพ้อต่อว่าคนอื่น  อย่าทำดีกว่า  ไม่อย่างนั้นทำไปแล้วศิษย์น้องก็เกิดตราบาปขึ้นในใจ  เกิดใจที่คิดผิดด้วย  ฉะนั้นถ้าเกิดรู้ว่าเราทำแค่นี้แล้วเราเหนื่อย  เราไม่ไหว  หรือว่าใจเราคิดไม่ดีก็หยุดเสีย หรือไม่ก็อย่าไปมองเสีย  ทำงานตรงนี้เป็นธรรมดา บางคนรู้จักทำ บางคนไม่รู้จักทำ  บางคนทำมาก บางคนทำน้อย  แต่ว่าถ้าใครลงแรงแล้ว เหนื่อยยากแล้ว อย่าคิดว่าไม่มีผลตอบแทน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนรับรู้ ล้วนมองเห็น  ใครเหนื่อยมากกว่า ใครเหนื่อยน้อยกว่า  แต่ถ้าเราคิดอย่างเดียว เราทำเพื่อช่วยคน เหนื่อยมากหน่อยก็ไม่เป็นไร ได้ชะล้างกรรมของตัวเอง ได้ขัดเกลาใจตนเอง จะเป็นอะไรไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องเห็นว่างานที่สำเร็จมาได้  บางครั้งตั้งอยู่บนความเหนื่อยยากของคนอื่น งานนี้เราแค่มานั่งฟังเฉยๆ ได้รับรู้  แต่ก่อนที่จะเปิดงานนี้ ล้วนมีคนเหนื่อยยาก ล้วนมีคนลำบาก เราอยู่ตรงนี้ได้ เราสบายได้ เราอย่าลืมมองข้างหลังและดูคนข้างหน้าด้วย  เป็นคนที่สำคัญต้องไม่ลืมบุญคุณคน เป็นคนต้องมีการตอบแทนคนด้วย  การที่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีแค่เราคนเดียว  แต่เราต้องอยู่ร่วมกับคนในสังคม  ช่วยได้เราต้องรีบช่วย  อย่าเป็นคนเห็นแก่ตน  ไม่เช่นนั้นวันนี้เราเห็นแก่ตน  ต่อไปเราก็จะเจอคนที่เห็นแก่ตนทำกับเราเหมือนกัน  
วันนี้เราอยากให้สังคมอุดมไปด้วยคุณธรรม  ครอบครัวเป็นสุข มีความร่มเย็น  ตัวเรานั้นต้องปูความร่มเย็นและคุณธรรมให้กับตนเองและนำพาไปสู่ครอบครัว  เมื่อไรครอบครัวเรามีคุณธรรม  ประเทศชาติหรือเมืองต่อๆ ไปย่อมมีคุณธรรมได้  ด้วยครอบครัวเรา ด้วยใจเราเป็นคนแรก เพราะว่าตนเองเป็นพื้นฐานของครอบครัว  ครอบครัวเป็นพื้นฐานของสังคมและประเทศ  ใจเราจึงต้องรักษาให้ดีๆ ควบคุมให้ถูกทาง
วันนี้ศิษย์พี่มาเสียเวลาศิษย์น้องนานแล้ว เดี๋ยวคงต้องกลับแล้ว
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจกขนมให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มาเตรียมงานก่อน)  ตั้งใจศึกษาให้ดีทำจิตใจให้สงบ ละลายหนี้กรรม คนที่จะช่วยละลายได้มีแต่เราต้องละลายเอง ให้คนอื่นช่วยแต่เดี๋ยวศิษย์น้องก็ต้องมาละลายต่ออีกจริงหรือไม่  อย่างที่ศิษย์พี่บอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือให้เจ็ดส่วนแล้วนะศิษย์น้องรับแค่สามส่วน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจกขนมให้แม่ครัว)  ใครยังไม่มาเดี๋ยวแจกให้เขาด้วยนะ  ศิษย์พี่คงต้องไปแล้ว ขอให้ตั้งใจศึกษาให้ดีนะอย่าเห็นว่าศิษย์พี่มาหลอกเลยนะ  ธรรมะเป็นสิ่งมีคุณค่า บำเพ็ญได้เราย่อมสำเร็จได้ใช่หรือไม่  บำเพ็ญไม่ได้ลองถามซิว่าเพราะอะไร  เพราะเจออุปสรรคเพราะทนอุปสรรคไม่ได้หรือ  เมื่อเราบำเพ็ญไม่ได้หาสาเหตุก่อนเมื่อหาสาเหตุก่อนแล้วแก้ไข แล้วลองตั้งใจบำเพ็ญดูอีกรอบหนึ่งไม่ใช่พอบำเพ็ญไม่ได้รอบหนึ่งแล้วก็ไปเลย ไม่เอาน่าเสียดายใช่หรือไม่ ขอให้คิดให้ดี  ธรรมะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าช่วยคนได้ และเรายังได้ช่วยตนเองด้วย  ไปแล้วนะ ไม่รู้ว่าต้องจากกันอีกนานเท่าใด ถึงแม้จะไม่ได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือถึงแม้จะไม่ได้พบศิษย์พี่ขอให้รักษาปณิธานตนเองให้ดี  ถึงแม้ว่าไม่มีการประชุมธรรมไม่เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กำลังใจ  แนวทางที่จะบำเพ็ญธรรมก็คือปณิธานการช่วยเหลือคนนะ ไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ข้ายินดีในความสำเร็จแห่งศิษย์รัก จงมีมากขึ้นทุกปีขึ้นทุกก้าว
ข้าอวยชัยอวยพรให้ศิษย์แห่งเรา เปลี่ยนคนเก่าเป็นคนใหม่ถ้วนทุกคน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉืออิน  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

มั่นคงในศรัทธาแม้เวลาผ่าน มั่นคงเหนือกาลเวลาไม่หวั่นไหว
มั่นคงเหนืออุปสรรคหนทางไกล มั่นคงได้เพราะเข้าใจในธรรมา
ใช้ปัญญาให้เต็มที่ดีไหมศิษย์ ดีกว่าคิดวกวนไปวกวนมา
ปัญญานั้นดีงามเพราะมีเมตตา มีความกล้าทำในสิ่งที่สมควร
ดาบสองคมในหลายสิ่งโปรดระวัง หมั่นสมสั่งซึ่งความดีอย่าผันผวน
ปลดจิตใจแห่งตนเองพ้นโซ่ตรวน นอกนิ่มนวลในเข้มแข็งศิษย์เมธา
จงใช้จิตแห่งพุทธะไปสัมผัส จงเคร่งครัดซึ่งตนเองเกิดคุณค่า
จงว่ายทวนกระแสน้ำดุจฝูงปลา ศิษย์คนกล้าหมั่นออกไปฉุดช่วยคน
ขอจำกัดความลุ่มหลงแห่งตนเถิด ขอศิษย์เกิดจิตพุทธะอย่าสับสน
อริยะนั้นล้วนสำเร็จจากกายคน ศิษย์ทุกคนต่างเป็นได้อย่าดูเบา
ร่วมแรงกายร่วมแรงใจสามัคคี เรือลำนี้ทุกคนสามารถเป็นหลักเสา
เริ่มขึ้นเถิดดีขึ้นจากตัวเรา สมานร้าวคืนงามด้วยใจเดียวกัน
เวียนว่ายในทะเลขมมานานแล้ว โอ้ศิษย์แก้วอย่าพึงด่วนไปโศกศัลย์
จิตใจโปร่งโล่งสบายหายจาบัลย์ เพียรทุกวันอย่าได้ขาดหรือห่างไป
ศิษย์เจ้าเอยจิตเดิมนั้นต่างพุทธะ ฟื้นฟูละชนะใจตนหมั่นแก้ไข
จากวันนี้จนวางวายไม่เปลี่ยนใจ อาจารย์ไซร้ก็ไม่ทิ้งศิษย์รักเอย
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตาให้ปรบมือให้กับเจ้าของสถานธรรม)
สถานธรรมแห่งนี้สร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากอย่างยิ่งโดยที่เราไม่อาจรับรู้เลย แต่ว่าสถานธรรมสร้างขึ้นแล้ว ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีใช่หรือไม่  ภาระตอนแรกสร้างนั้นเป็นของคนที่อยู่ข้างหน้า  แต่ตอไปเป็นภาระหน้าที่ของคนทุกคน  ศิษย์ของอาจารย์ที่มานั่งประชุมธรรมในวันนี้ ถ้าหากใครเป็นคนที่นี่ก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องมาศึกษาธรรมให้มากๆ  ส่วนคนที่อยู่ในละแวกนี้ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรมก็ต้องรู้จักที่จะรักสถานธรรมนั้นให้เหมือนบ้านของตัวเอง  เรี่ยวแรงอะไรที่ออกมา  เรี่ยวแรงอะไรที่มีอยู่ ให้ทำตามความสามารถของตนที่มี  เพราะฉะนั้นในวันนี้สถานธรรมที่นี่เป็นเรื่องน่ายินดีสมควรปรบมือให้  เราปรบมืออีกครั้งเชิญผู้ที่เป็นเจ้าของสถานธรรมออกมาดีไหม  และเชิญผู้ที่มาช่วยงานตั้งแต่แรกสร้าง คนที่ช่วยงานตั้งแต่ก่อนที่จะเปิดสถานธรรมทุกๆ คนออกมาด้วย
(พระอาจารย์เมตตาประทานขนมให้กับผู้ที่มาช่วยเตรียมงานเปิดพุทธสถาน)
เห็นไหมว่าอาจารย์แบ่งออกจากขนมชิ้นเดียวกัน การที่เราอยู่ด้วยกันก็คือจิตหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกว่าเขาเป็นใครเราเป็นใคร  
ทำมาตั้งเยอะ อาจารย์ให้แค่นี้คุ้มหรือเปล่า (อยู่ที่ใจ ถ้าคิดว่าคุ้มก็คุ้ม  คิดว่าไม่คุ้มก็ไม่คุ้ม)  ทุกอย่างอยู่ที่ใจของเรา  เพราะฉะนั้นบำเพ็ญก็ต้องบำเพ็ญที่ใจด้วย  การบำเพ็ญที่ใจนั้นเป็นเรื่องยาก  เพราะว่าใจของเราเป็นสิ่งที่คิดเร็ว ไม่นิ่ง  จะควบคุมให้นิ่งก็เป็นเรื่องยาก  การควบคุมใจของเรานี้สำคัญ  ควบคุมใจไม่ได้เป็นพุทธะไม่ได้  ฉะนั้นชาตินี้ต้องมุ่งหมายจะเป็นพุทธะ เสียสละทำงานใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยิ่งต้องมีจุดมุ่งหมายที่มุ่งมั่นกว่าคนธรรมดา  เพราะว่าชาตินี้เพียงชาติเดียว เวลาของชาตินี้ยาวไหม ถ้าคิดว่าอายุมีแค่ร้อยปี  ตอนนี้ก็อายุเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลือต้องใช้ให้มีคุณค่ามากกว่าเดิม  ทำได้ไหม
อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ที่ได้รับไปทุกคน  อาจารย์แบ่งสิ่งที่เป็นสิ่งเดียวกันออกจากกัน หมายความว่าหลังจากวันนี้ให้ศิษย์ทุกๆ คนยังร่วมแรงร่วมใจ ยังมีจิตหนึ่งใจเดียวกัน  ไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นขอให้เรานั้นตั้งหน้าสู้แล้วก็สู้ ดีไหม  อะไรที่คนอื่นเขาผิดนิดผิดหน่อย  ร่วมงานกันมามีจิตใจที่ไม่ตรงกันก็พยายามปรับให้ตรงกันให้มากๆ ดีหรือเปล่า (ดี)  เหมือนกับคลื่นวิทยุถ้าคนส่งสัญญาณหนึ่งแต่คนรับเปิดอีกคลื่นหนึ่งจะได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะให้คนส่งคลื่นปรับคลื่นหรือว่าจะให้คนที่เป็นเจ้าของวิทยุปรับคลื่น  ให้ใครปรับคลื่น  ให้เจ้าของใช่ไหม (ใช่) แต่มีปัญหาสำคัญว่าใครเป็นเจ้าของวิทยุ  หลายๆ คนอยากเป็นเจ้าของคลื่นแต่ไม่อยากเป็นเจ้าของเครื่อง เราอยากให้คนอื่นปรับให้ตรงกับเรา  แต่เราไม่อยากปรับตนเองเป็นเช่นนี้ไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นย่อมไม่มีใครเป็นเจ้าของคลื่น ย่อมไม่มีใครเป็นเจ้าของเครื่อง บางทีถ้าหากว่าเราทำงานที่ใหญ่กว่าคนที่ทำงานชิ้นเล็กอยู่ แบกงานชิ้นเล็กอยู่ก็จงพยายามปรับเข้าหาคนที่ทำงานชิ้นใหญ่  แม้ว่าเราจะเป็นคนที่เคยทำงานใหญ่มา แต่หากเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่เล็กๆ ก็ต้องพยายามปรับเข้าหาผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเราจะเป็นคนข้างหน้า เป็นเตี่ยนฉวันซือ ฐันจู่ เจี่ยงซือก็เหมือนๆ กัน ล้วนแล้วได้ชื่อว่าเป็นคน คำว่าคนหมายความว่าอย่างไร ในความนัยอีกอันหนึ่ง  “คน”  ก็คือ คนไปก็คนมา   ก็เลยวุ่นวาย ก็เลยไม่นิ่ง  เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นพุทธะให้ได้  แต่การจะเป็นพุทธะได้นั้นต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด  ในวันนี้อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ทุกๆ คนว่าต้องตั้งใจบำเพ็ญ  ตัวเราปรับปรุงตัวเรา  อาจารย์นั้นถ้าอยากจะขอก็ไม่ขออะไร  การบำเพ็ญนั้น  
เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นพุทธะ เราต้องเป็นพุทธะให้ได้แต่การจะเป็นพุทธะนั้น ต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด
ในวันนี้อาจารย์อยากจะบอกว่า ศิษย์ทุกๆคนนั้นต้องตั้งใจบำเพ็ญ ตัวเราปรับปรุงตัวเรา อาจารย์นั้นถ้าอยากจะขอก็ไม่ขออะไร การบำเพ็ญนั้นมีจุดใหญ่ใจความอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ศิษย์ทุกๆคนนั้นต้องพยายามทำและขี้เกียจไม่ได้ คือการพยายามแก้ไข ๆ ในสิ่งผิดให้ถึงขั้นที่ดีที่สุด อาจารย์ไม่ได้บอกให้ถูก แต่อาจารย์บอกให้แก้ไขในสิ่งผิดให้ถึงขั้นที่ดีที่สุด ดีที่สุดในสายตาใคร ไม่ใช่ดีที่สุดในสายตาเราเอง แต่ต้องดีที่สุด เราวัดได้ตรงไหน วัดได้ที่ว่าเรานั้นสามารถที่จะช่วยผู้อื่นได้แล้ว มีคนที่จะยอมเดินตามเรา โดยที่เราไม่ได้เอาเงินทองไปบังคับเขา หรือเราไม่ได้เอาสิ่งล่อใจไปบังคับเขา แต่เขาตามเรามาเอง เพราะว่าเขาเห็นว่าเราดี ดังนั้นเชื่อมั่นได้ว่าเราเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นคนดีจึงจะสามารถเป็นพุทธะได้ หากว่าเป็นคนแล้วเป็นคนดียังทำไม่ได้ เป็นพุทธะจะได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นหลังจากวันนี้ คนละส่วนที่อยู่ในมือเอาไปประกบกันร่วมมือกันร่วมแรงกันร่วมใจกันร่วมพลังได้หรือไม่ (ได้) ต้องร่วมกันกันทุกอย่าง อย่าบอกว่าฉันร่วมแรงแล้ว แรงเงินฉันไปแล้วแ ต่แรงกายฉันยังไม่ไปเลย หรือร่วมใจแล้ว แต่ใจข้างซ้ายหรือใจข้างขวามันยังไม่สามัคคีกันเท่าไร อย่างนี้ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าความแตกแยกๆ นั้นมักจะเกิดจากจุดเล็กๆ ความแตกแยกส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากจุดใหญ่ๆ แต่ความแตกแยกส่วนใหญ่นั้นเกิดจากจุดเล็กๆ ที่เรานั้นเป็นผู้ก่อขึ้น เพราะฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่าการควบคุมใจของเราเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจุดเล็กๆ นั้นคนอื่นเห็นหรือไม่ (ไม่เห็น)  เหมือนกับจุดเสียบนผลไม้ เวลาผลไม้ นั้นเป็นผลไม้ที่เสีย ก็เริ่มจากจุดเล็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ยิ่งวางทิ้งไว้ก็ยิ่งใหญ่ ขึ้น ก็ยิ่งลามปราม ไปมากขึ้น ยิ่งลุกลามไปมากขึ้น แต่หัวใจของเรานั้นไม่ใช่ผลไม้ หัวใจของเรานั้นเป็นสิ่งวิเศษที่แยบยล จุดเล็กๆ อันนี้สามารถแปรเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี ทำสิ่งที่เสียตรงนี้ให้กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ เพราะว่าการบำเพ็ญนั้นสามารถรู้ได้ด้วยประสบการณ์ สามารถเรียนรู้จากความยากลำบา ก  ถ้าหากว่าสบายอยู่บอกว่าจะเรียนรู้ รู้ได้หรือไม่ (ไม่ได้ ) ถ้าหากบอกว่าสบายแล้วจะเรียนรู้  ไม่สำเร็จ มีแต่ความยากลำบากเท่านั้น ที่ทำให้ศิษย์นั้นประสบความสำเร็จได้ แต่ความยากลำบากอันนี้เกิดจากอะไร อย่าได้เกิดจากเราไปหาเอง ดังคำพูดที่ว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เคยได้ยินหรือไม่ (ได้ยิน) บางทีศิษย์ของอาจารย์ ก็เป็นลักษณะนี้ บางทีไม่ต้องลำบากแต่อยากลำบาก มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เพราะเรายับยั้งอารมณ์ไม่อยู่ ยับยั้งใจของเราเองไม่ได้ รู้ว่าผิดแต่ว่าอยากทำ อย่างนี้เรียกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน อาจารย์จึงหวังว่าเท้าของเราไม่ได้มีไว้แกว่ง เท้าของเรามีไว้เดิน เดินไปข้างหน้า เดินไปช่วยคน แล้วต้องเดินไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ไม่ใช่เดินแค่สองสามวัน เดินแค่สองสามปี หลังจากวันนี้เรายังเจออุปสรรคอีกเยอะแยะ แต่ละคนนั้นจะเจออุปสรรคมากเท่าไร ขึ้นอยู่กับว่าเรานั้นมีกรรมมามากเท่าไร หรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องการทดสอบให้สูงขึ้นไปมากเท่าไร ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทดสอบแล้วสูงขึ้นไปเท่านี้ ได้เท่านี้ ไม่ยอมไปไหนแล้ว อย่างนี้มรรคผลของศิษย์ก็เท่านี้ ไม่สามารถที่จะสูงเด่นกว่านี้ได้แล้ว ฉะนั้นชีวิตนี้ใครกำหนด ตัวเรากำหนดอย่าบอกว่าฉันไปดูดวงมา แล้วชะตาฉันมาอย่างนี้ ชะตาฉันว่าอย่างนี้อนาคตเกิดขึ้นหรือยัง (ยัง) อนาคตยังไม่เกิด หมอดูๆ อะไรไว้ ดูอนาคต อดีตเขาดูอาจจะถูก แต่ว่าอนาคตใครกำหนด (ตัวเอง) แม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างจะขรุขระๆ บ้าง แต่ว่าที่ไหนราบรื่นดี (ใจ) ใจของเรานั้นต้องราบรื่นเข้าไว้ จิตใจของเราต้องไม่มีอารมณ์ที่แอบแฝงชั่วร้าย จิตใจไม่มีความโมโหบ่อย อย่างนั้นอุปสรรคก็ลดไปครึ่งหนึ่งแล้ว เคยเห็นไหมใครบ้างคน ที่เวลาป่วยแล้วยังยิ้มได้ เคยเห็นไหมใครบางคนที่เวลาไม่มีเงินก็ยังยิ้มได้  (เคย) เหมือนกันเวลาที่ยากลำบากที่สุด ยามนั้นจะเกิดพุทธะที่แท้จริง  ขอให้ศิษย์ของอาจารย์จงเป็นเช่นนั้น อาจารย์ขออวยชัยให้ทุกคน (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา) เปลี่ยนคนเก่าเป็นคนใหม่ทำอย่างไร ถามว่าเราคนเก่าดีอยู่หรือเปล่า (ดีอยู่แล้ว) แต่เราคนใหม่ทำอย่างไร (เราคนใหม่จะดียิ่งขึ้น) เราคนใหม่จะดีกว่าเดิม เพราะว่าเราคนเก่าที่บอกว่าดีอยู่แล้วนั้น บางทีก็ดีเข้าข้างตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางทีก็ยังมีเอาแต่ใจตัวเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางที ยัง มี อะไรที่แอบแฝง ซ่อนเร้นที่เราคนเดียวรู้ว่าเราไม่ดีอยู่ที่ตรงไหน คนอื่นมองไม่ออก คนอื่นไม่รู้เลย แต่ว่าเราคนใหม่อันนี้จะเป็นเหมือนกันผ้าขาวที่ขาวไปทั้งผืนใช่หรือไม่ (ใช่) เวลา ผ้าขาวผืนหนึ่งนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่จะดำอยู่แถวๆ ขอบ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แถวๆขอบผ้าคนไม่สนใจ มองแต่ตรงกลางใช่หรือไม่ (ใช่) ตรงกลางผ้าก็สะอาดขาวดี แต่ตรงขอบผ้านั้นยังดำ ถามว่าผ้าผืนนี้จะเรียกว่าผ้าสะอาดได้หรือไม่ (ไม่)  ผ้าผืนนี้ก็ยังเรียกว่าผ้าสะอาดไม่ได้  ใครเอาปลายผ้าของตัวเอง ยิ่งเอาไปจุ่มโคลน จุ่มเลน ไปลากมาก็ยิ่งดำ ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตรงกลางเราก็ยังรักษาได้ดีอยู่ ตรงกลางเราก็ยังรักษาให้ขาวอยู่  แต่ถามว่าเรียกว่าผ้าขาวได้หรือไม่ (ไม่ได้) ใครเป็นคนรู้ได้มากที่สุด (ตัวเอง) ตัวเราเองเป็นผู้รู้ดี ว่าผ้าผืนนั้นขาวหรือไม่ ฉะนั้นจากวันนี้เราจึงต้องมาดีทั้งหมด ไม่ว่าคนอื่นนั้นจะเห็นหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าคนอื่นไม่เห็นใครเห็น (ตัวเอง) ถามว่าคนอื่นเห็นกับตัวเราเห็นใครเห็นดีกว่ากัน (ตัวเอง) ตัวเราเห็นดีกว่า ฉะนั้นเวลาทำความผิดทุกครั้งก็เลยให้ตัวเองเห็นคนเดียว บางทีอาจารย์บอกว่าการที่ทำความผิดนั้น ให้คนอื่นเห็นยังไม่รู้สึกละอาย  ให้ตัวเองเห็นยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจากวันนี้ ถ้าหากว่าเราทำความดีไม่ว่าจากข้างนอกไม่ว่าจะข้างใน ไม่ว่าจะมืดๆ แล้วไม่มีคนเห็นสักคนหนึ่ง เราก็ไม่ทำ นั้นแสดงว่าเราเป็นดีที่เป็นดีแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากเป็นดีแท้หรือว่าเป็นดีเทียม (ดีแท้) อยากเป็นดีแท้ๆ ต้องทำอย่างไร อยากเป็นดีแท้ ก็ต้องลำบากแท้ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าในสังคมปัจจุบันนี้ คนดีถูกทำอย่างไร คนดีถูกเอาเปรียบ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เรายิ่งดีคนอื่นยิ่งเอาเปรียบ 
ทนได้ไหม (ทนได้)  ต้องพยายามทนให้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเขาบอกว่าคนดีนั้นเป็นคนโง่  คนดีนั้นเซ่อๆ ซ่าๆ คนดีนั้นลำบากเพราะฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าเมื่อศิษย์นั้นตั้งใจที่จะเป็นคนดีแล้วก็ทนด่านเหล่านี้ให้ได้เหมือนกับมีด่านข้างหน้าอยู่สามประตูแต่ละประตูนั้นต้องไปผ่านเอง ด้วยตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงแม้ว่าศิษย์จะรู้ว่าข้างหน้านั้นมีสามประตูต้องไปผ่านให้ได้ คนถามศิษย์ว่ารู้ไหมว่าข้างหน้ามีกี่ประตู รู้มีกี่ประตูแต่ถามว่าเรายังไม่เคยผ่านกันเลยจะเรียกว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้) 
ในวันนี้ที่ศิษย์ของอาจารย์ได้รับธรรมเรียบร้อยแล้วถือว่าได้รู้ความลับของฟ้าดินตั้งแต่โบราณกาลสามารถที่จะเป็นพุทธะได้แต่ว่าประตูทั้งสามประตูนี้ไม่เคยผ่านเลย  การบำเพ็ญทั้งสามด่านนี้ยังไม่เคยผ่านเลย ถามว่ารู้ไหมว่าสามประตูข้างหน้ามีประตูอะไรบ้าง รู้หมดแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากี่ทีก็บอกรู้หมดแล้วสามประตูข้างหน้ามีอะไรแต่ถามว่าเราไม่เคยผ่าน  ผ่านประตูหนึ่งประตูให้ผลไม้หนึ่งลูกผ่านสามประตูต้องได้กลับมาสามลูก  ศิษย์ไม่เคยได้สักลูกหนึ่งแต่รู้ว่าคนที่ผ่านแล้วต้องมีผลไม้ทั้งสามลูกนี้ผลไม้ลูกแรกอาจจะเป็นผลไม้คุณธรรม ผลไม้ลูกที่สองอาจจะเป็นผลไม้ของการละกิเลส ผลไม้ลูกที่สามอาจจะเป็นผลไม้ของมรรคผล แต่หากว่าเรานั้นไม่เคยเลย ไม่เคยผ่านประตูทั้งสามด่าน  นี้ถึงแม้ว่าคนบอกเรา  ถึงแม้ว่าเราจะรู้ดีว่ากุญแจเป็นอย่างไรบ้างว่าประตูสีอะไร  คนผ่านมาแล้วกี่คน  แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่เราเลย ถามว่าเราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สำเร็จในพุทธะหรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงอยากจะบอกว่าต้องไปมุ่งหน้าเอง  การบำเพ็ญนั้นไม่ใช่อื่นไกลการบำเพ็ญคือการบำเพ็ญภายในของเราเองให้เป็นคนดีถึงที่สุด  เมื่อเป็นคนดีถึงที่สุดจึงนับได้เป็นพุทธะในก้าวแรก  ส่วนว่าเป็นพุทธะก้าวต่อไปทำอย่างไร  ถ้าหากว่าศิษย์ได้ก้าวๆ แรกแล้วคงจะรู้ว่า ก้าวต่อไปนั้นทำอย่างไรโดยปริยาย  ทุกครั้งที่อาจารย์มาอาจารย์บอก  สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอก  ก็เพียงแค่บอกการเป็นพุทธะในก้าวแรกหวังว่าศิษย์ทุกคนนั้นคงจะทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  (นักเรียนในชั้นกราบรับพระอาจารย์)  เอาอะไรรับอาจารย์ดี (ใจ)  หัวหน้าชั้นเอาอะไรรับอาจารย์ดี (ความตั้งใจที่จะทำดี)  ความตั้งใจที่จะทำดีเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น)  ความตั้งใจที่จะทำดีนั้นถ้าหากเอาสิ่งนี้มารับก็ยิ่งใหญ่เพราะความตั้งใจที่จะทำดีนั้นต้องอาศัยเวลาใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนตั้งใจทำดีตั้งใจกี่วันได้  ตลอดชีวิตนะ  อาจารย์จะรับความตั้งใจอันนี้ของศิษย์ไว้ เป็นการต้อนรับที่ดีมากเลย เรามาพายเรือกันดีกว่านะไหนๆ สถานธรรมนี้เปิดขึ้นมาแล้วเรือลำนี้อาจารย์จะมานำพายเองจะได้ก้าวหน้าขึ้นทุกปีอย่างที่อาจารย์อวยพร (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงพายเรือธรรม)  วันข้างหน้าให้นักเรียนมาพายให้คนอื่นนั่งดีกว่าไหม (ดี)  พร้อมหรือยัง (พร้อม) นักเรียนจับพายขึ้นมาเอามือที่จับพายไปดึงสมอขึ้นมาก่อน  สมออยู่ข้างๆแบมือดึงสมอขึ้นมา  สมอนี้คือกิเลสของเรานะถ้าอย่างนั้นกิเลสจะไปถ่วงเรือของเราให้ไม่ยอมไป ถ้าต่างคนต่างไม่มีกิเลสมาช่วยกันพายเรือลำนี้เรือลำนี้ก็แล่นเร็วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่ามีใครคนหนึ่งที่เป็นคนที่อยู่ภายในเรือ  แต่กลับมีกิเลส  แค่กิเลสของตนเองเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้เรือช้าลงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องตั้งหน้าตั้งตาที่จะขัดเกลากิเลสของตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาคนอื่นเตือนต้องเป็นอย่างไร (รับฟัง)  รับฟังแล้วแก้ไขด้วยไหม (แก้ไข)  เราต้องมาย้อนมองส่องตน  ว่าเรามีความไม่ดีเหล่านี้ด้วยหรือไม่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากเรามีความไม่ดีเหล่านี้ติดตัวอยู่  เราต้องรู้จักแก้ทิ้งใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หากว่าเรามีความดีอยู่แล้วแต่หากโดนเขาว่าทำอย่างไรดี  อันนี้เป็นปัญหาหนักอก  เพราะว่าหลายคนเป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่างแรกต้องมาทำอะไรก่อนเราต้องมามองตัวเองอีกรอบหนึ่งก่อนว่าเราไม่เข้าข้างตัวเองแน่ๆ เราไม่เข้าข้างตัวเองแล้วพิจารณาดูเเล้วถี่ถ้วนดีแล้วเข้าใจในความเป็นไปของเขา  เราทันเขาเราทันความคิดทั้งหมดของคนที่อยู่อีกข้างหนึ่ง  แต่รู้ทันไปเพื่ออะไร  รู้ทันเพื่อตอบกลับเขาหรือเปล่า
อย่างแรกต้องมามองตัวเองอีกรอบหนึ่งก่อน ว่าเราไม่เข้าข้างตัวเองแน่นอน  ถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเองแน่นอนแล้ว พิจารณาถี่ถ้วนดีแล้ว เข้าใจในความเป็นไปของเขา  เราทันเขา เราทันความคิดทั้งหมดของคนที่อยู่อีกข้างหนึ่ง   แต่รู้ทันไปเพื่อไปตอบกลับหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เราต้องรู้ทันเพื่อรักษาความดีของตัวเราเองไว้  ในที่สุดแล้วธรรมะชนะอธรรมได้ไหม (ได้)  เราต้องเชื่อว่าความดีนั้นเอาชนะความไม่ดีได้  ต้องเชื่อว่าบุญและกรรมมีจริง  อย่าได้ทำตัวเป็นศาลเสียเอง เที่ยวตัดสินผู้อื่นไม่ได้  เราต้องรู้จักที่จะรักษาความดีของเราไว้ เมื่อเรามั่นใจว่าเราดีพอ  แต่ในขณะเดียวกันความดีที่เรามีอยู่อาจจะมีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยอันอาจเกิดจากความเผอเรอ  เพราะฉะนั้นทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที  ในหนึ่งวันจึงต้องมีการทบทวนตัวเองสักครั้งหนึ่ง กลับมามองดูตัวสักครั้งหนึ่งให้เป็นมงคลแก่ชีวิต  แม้ว่าเราจะห้อยพระราคาแพง  แต่หากเราเป็นคนที่ดีไม่พอ  ถามว่าพระท่านคุ้มครองไหม  แต่ในขณะเดียวกันแม้ว่าเราไม่ได้ห้อยพระอะไร  แต่หากว่าเราเป็นคนดี ไม่เพียงคุ้มครองตัวเองยังคุ้มครองผู้อื่นอีกด้วย
วันนี้นั่งฟังธรรมะเป็นวันที่สองแล้ว เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ร้อนไหม (ไม่ร้อน)  หลับไหม (ไม่หลับ)  การที่เรานั่งฟังธรรมะสองวันนี้นั้นเปรียบเสมือนเป็นพื้นฐานของเรา  พื้นฐานที่จะทำให้เราได้รู้ได้เข้าใจถึงสิ่งที่เราได้รับมา เพราะฉะนั้นหวังว่าศิษย์ทุกคนจงตั้งใจศึกษาให้มากๆ  ในตอนนี้เป็นตอนบ่ายของวันที่สองแล้ว  อีกสักครู่หนึ่งจะกลับบ้านแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด  เพราะเมื่อเรากลับไปบ้านแล้ว จิตใจของเราที่คิดตั้งใจบำเพ็ญนั้นจะหายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  หายไปกับโลกีย์ของเราที่เรากลับไปคลุกเคล้าด้วย  สองวันนี้จึงเปรียบเสมือนมาอยู่บนสวรรค์  พอกลับไปบ้านแล้วเหมือนกับเรากลับไปคลุกเคล้าปะปนกับโลกียภูมิอีก  เมื่อเรากลับไปคลุกเคล้าแล้ว ถามว่าเราควรไหมที่จะรู้ตื่น (ควร)  อาจารย์จึงบอกว่าหลังจากช่วงเวลานี้ไปจึงเป็นช่วงเวลาที่อันตราย    ตราบใดที่ศิษย์ของอาจารย์มีความมั่นคงในสิ่งที่เข้าใจ ตั้งใจปฏิบัติได้นั่นคือช่วงเวลาที่ปลอดภัย  ปลอดภัยจากโลกีย์ จากกิเลสที่ให้ร้ายตัวเอง จากการที่เรานั้นลุ่มหลงอยู่ในโลกีย์นี้ ในทะเลทุกข์นี้   
การที่เราอยู่ในโลกีย์นั้นไม่ดีตรงไหน  ชีวิตนี้ของศิษย์มีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่ากัน (ทุกข์)  เรามีความทุกข์มากกว่า  คำถามนี้ไม่ต้องรอให้เราอายุมาก ไม่ต้องรอให้เราแก่แล้วถึงจะรู้  เรารู้คำตอบนี้ตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่ด้วยซ้ำ เพราะว่าความทุกข์ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ใหญ่  แต่เกิดขึ้นกับทุกวัยและทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรามีความทุกข์ก็ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่มีความทุกข์  เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงถูกเปรียบว่าเป็นทะเลแห่งทุกข์  ก็คือที่ที่มีความทุกข์มากจนไม่สามารถที่จะเปรียบประมาณได้  ลึกพอที่จะทำลายคนทั้งคนไปได้  เมื่อมีความทุกข์มากศิษย์ของอาจารย์จึงข้ามไปทำความไม่ดีเกิดขึ้น  เริ่มจากเล็กน้อยไปสู่ที่มากขึ้นๆ ใช่หรือไม่  แต่หากว่าเรายิ่งทำความไม่ดีมากขึ้นเท่าไร  ยิ่งทำความชั่วมากขึ้นเท่าไร  ก็จะยิ่งไกลนิพพาน ยิ่งไกลจิตพุทธะแห่งตนเอง  ฉะนั้นความทุกข์ที่ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรกนี้อยากพ้นไหม (อยาก)  ต้องให้คำตอบกับตัวเอง  ไม่มีใครสามารถที่จะให้คำตอบกับเราได้  เมื่อเราอยากจะพ้น เราอยู่เฉยๆ ทำเหมือนทุกวันที่ผ่านมา พ้นทุกข์ไหม  ก็ไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ไปได้  ฉะนั้นชีวิตของเรานั้นจึงต้องถูกปรับเปลี่ยนใหม่  จะเปลี่ยนอะไรในชีวิตนี้ดี เราจึงเข้าใกล้พุทธะมากขึ้น ใกล้นิพพานมากขึ้น  นิพพานจึงไม่เป็นที่ที่ไกลเกินเอื้อมเหมือนที่เราเคยได้ยิน เคยรู้สึกมา  เราต้องปรับเปลี่ยนชีวิตของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรับเปลี่ยนอะไร (เปลี่ยนตนเองให้มีคุณธรรม, ปรับปรุงตนเอง, เปลี่ยนคนเก่าให้เป็นคนใหม่, เปลี่ยนให้จิตใจบริสุทธิ์, มีความคิดที่ดี, มุ่งมั่นหมั่นทำความดี, รักษาศีลห้า, พบต้นเหตุของทุกข์แล้วหาทางดับ, มีเมตตาจิต, ตั้งใจปฏิบัติธรรม, ละนิสัยเคยชินที่ไม่ดี, แก้ไขความไม่กตัญญู, มีจิตใจขอบคุณอยู่เสมอ, ละกิเลสให้หมดสิ้น)
หัวหน้าชั้นยังไม่นำตอบหรือ  ความตั้งใจที่จะตอบเมื่อกี้หายไปไหนหมด  เห็นไหมว่าจิตใจของมนุษย์นั้นเปลี่ยนง่าย  รวดเร็ว เมื่อกี้บอกว่าจะตอบใช่หรือเปล่า แต่เวลาที่จะตอบจริงๆแล้วไม่กล้าตอบเป็นเพราะว่าอะไรเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ต่างๆบีบคั้นเราทำให้เราเป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจึงต้องสู้ให้ชนะเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ด้วย  อย่างเช่นเราชนะเหตุการณ์ด้วยความกล้าเพียงแค่ว่าเรามีความกล้าเล็กๆน้อยๆลุกขึ้น
เอาสั่น สั่นหน่อยไม่เป็นไรลุกสั่นสู้ เพราะว่าลุกขึ้นมาอย่างไรก็ได้แอปเปิ้ลอยู่แล้วใช่หรือเปล่า  (ใช่) ถ้าหากว่าไม่ลุก ไม่กล้าลุกก็เป็นอย่างไร (ก็ไม่ได้) เราจะปรับเปลี่ยนชีวิตของเรานี้อย่างไรจะปรับปรุงชีวิตนี้ของเราอย่างไร คำถามนี้เป็นคำถามสำหรับผู้ที่ตั้งใจที่จะบำเพ็ญจริงๆ  คำตอบนั้นมีอยู่ในตัวของเราทุกคนเพราะว่าเรารู้ว่าข้อบกพร่องของเราจริงๆนั้นอยู่ที่ไหนการปรับปรุงนั้น ก็ไม่ใช่บอกว่าศิษย์จะต้องเปลี่ยนจากการกินข้าวแปดโมงมากินข้าวสิบโมง  ไม่ใช่อาจารย์ไม่ใส่ใจเรื่องอันนี้  แต่อาจารย์นั้นอยากจะบอกว่าการที่จะทำให้ชีวิตของเรามีระเบียบได้คือการทำให้เรานั้นไม่ตามใจตัวเอง  ไม่ตามอารมณ์ตัวเองและนิสัยความเคยชินต่างๆ  แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดของเรา  ที่ผ่านมาไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำสอง  แก้ไขตัวของเราที่ยึดติดใจสิ่งต่างๆนาๆ  แก้ไขความไม่กตัญญูของเราหรือมีน้อยให้มากขึ้นมีจิตใจที่ขอบคุณอยู่ ส ม่ำเสมอฟัง  ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วใช้ปัญญาของเรานั้นไปตรึกตรอง  ที่สำคัญที่สุดในการปรับปรุงชีวิตของเราเองนั้นก็คือ  การที่ทำอย่างไรจะสามารถละกิเลสต่างๆนาๆให้หมดสิ้นได้  เพราะว่าหากเป็นพุทธะหากมีกิเลสถามว่าพุทธะมีกิเลสได้หรือไม่ (ไม่)มีเพียงนิดเดียวก็ไม่ได้เปลี่ยนจากกิเลสมาเป็นความเมตตาได้  นั้นเหมือนกับจะต้องกรีดเนื้อพลิกเนื้อทีเดียวแหละนะรู้จักกรีดเนื้อพลิกเนื้อหรือไม่   ถ้าหากว่าเนื้  อข้างนอกของเรานั้นมันดำมากก็ต้องพลิกเอาเนื้อข้างในที่เป็นสีแดงๆขึ้นมาแทนทีเดียวนะ  เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นพุทธะนั้นจึงเป็นความยากลำบาก  ลำบากเพราะว่าเรานั้นตามใจตัวของเราเองนั้นมาตั้งแต่เด็กจนโตเรานั้นยึดติดในลาภยศสักการะเงินทองมากเกินไปเรายึดติดในเงินทองมากเกินไปใช่หรือไม่  (ใช่)  มีเงินก็นับเป็นน้องมีทองก็นับเป็นพี่และมีธรรมะนับเป็นอะไร  ถามว่าอยากเป็นน้องเป็นพี่หรือเป็นพุทธะ(พุทธะ)ต้องอยากเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่) พุทธะองค์นี้รู้สึกว่าไม่มีใครจะยอมนับด้วยเป็นพุทธะอยู่โดดเดี่ยวเอาหรือไม่(ไม่เอา) ถ้าอยากไม่โดดเดี่ยวนั้นจะต้องพยายามเข้ากับผู้อื่นให้ได้พยายามที่จะดึงญาติพี่น้องพ่อแม่ของเรานั้นให้เข้าใจธรรมะเหมือนที่เราเข้าใจใช่หรือไม่(ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เรามาอยู่ที่นี่ก็มีคนจำนวนมากเป็นพี่เป็นน้องกับเรามีธรรมะเหมือนกันแต่พอกลับบ้านทำไมมีเราคนเดียวฉะนั้นสภาพแวดล้อมที่เรากลับไปเจอนั้นจึงเป็นความทุกข์ทรมานใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอะไรใหญ่โตพูดถึงเรื่องการกินเจก็พอใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอยู่ที่นี่มีคนกินเจกับเราเยอะ
แยะใช่หรือไม่(ใช่)  พอเรากลับไปบ้านเป็นอย่างไร  ทุกคนก็ กินธรรมดา  กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องธรรมดาใช่หรือไม่(ใช่)  พอนานวันเข้าแล้วกลับไปกินด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่สามารถดึงเวลาสองวันนี้ให้ยาวกว่านี้ได้เพราะเวลามีอยู่เท่านี้ก็คือเท่านี้เที่ยงตรงที่สุด  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์จึงต้องไปดึงใครจึงต้องรู้จักที่จะดึงญาติพี่น้องของตัวเราเองให้เขารู้ถึงธรรมะที่ล้ำค่า ถามว่าล้ำค่าตรงไหนล้ำค่าตรงที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้เปลี่ยนจากคนที่ไม่ค่อยดีให้เป็นคนที่ดีมากกว่านี้ถามว่าการพูดธรรมะเช่นนี้ยากหรือไม่  หลายคนบอกว่าพูดธรรมะพูดยากพูดไม่เป็นเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราพูดธรรมะไม่เป็นเลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีอาจารย์บอกว่าถ้ามีการพูดธรรมะด้วยการปฏิบัติตนเราทำตนของเราให้ดีขึ้นใช่หรือไม่(ใช่)  หากว่าเป็นคนชอบโมโหบ่อยก็โมโหน้อยๆ หน่อย  ถามว่าคนเห็นเราโมโหน้อยๆเขารู้สึกแปลกใจหรือไม่(แปลกใจ)  แต่เขาแปลกนี้เขารังเกียจหรือเปล่า (ไม่)  ไม่รังเกียจแต่ในขณะเดียวกันหากว่าเราเป็นคนที่โมโหบ่อยมากถามว่าคนแปลกใจหรือไม่ทำไมโมโหบ่อยแต่ถามว่าแปลกใจอันนี้รังเกียจหรือชมชอบ(รังเกียจ)   เขารังเกียจเราที่เรานั้นเป็นคนขี้โมโหใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงต้องเปลี่ยนแปลงตนเองนั้นให้ดีขึ้นๆด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวของเราเองก่อน การพูดธรรมะเช่นนี้ไม่ต้องใช้เสียงและจะกว้างใหญ่ไพศาลจะยาวไกลยิ่งกว่าสิ่งที่ตะโกนอีกบางคนบอกว่าตะโกนแล้วเสียงดังใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถามว่าเราทำตนเป็นคนดีนั้นเสียงนี้จะไปไกลยิ่งกว่าอีก  ทำได้หรือไม่ (ได้)  มีคนเอยู่ดีๆเจตนาเดินมาเหยียบเท้าเราจะทำอย่างไร(ยิ้มรับ)อยู่ดีๆมีคนเจตนาเดินมาตบหน้าเราๆทำอย่างไรอยู่ดีๆมีคนเจตนาเดินมาเตะเราๆทำอย่างไร(ให้อภัย)  ให้อภัยทำอย่างไร
ทำอย่างไรดี (เตือนเขา)  คนไม่ดีชอบคำเตือนหรือเปล่า (ไม่ชอบ)  แล้วเราเตือนเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรดี  มีคนเจตนาจะโกงเรา  เราจะทำอย่างไร (ให้โกง)  ให้โกงหมดเลยหรือเปล่า (ไม่หมด)  ไม่หมดทำอย่างไรดี  เขาอยากโกงหมดเลยไม่เหลือให้ด้วย  ทำอย่างไรดี (ก็ให้ไม่หมด)  ทำอย่างไรดีเขาหาทุกวิถีทางที่จะโกง  มีคนเจตนามานินทาลับหลังทำอย่างไร (ยอมรับฟัง และปรับปรุง)  เขาไม่ยอมให้เราได้ยินเลย  เราได้ยินมาจากคนอื่น (เราก็ฝังว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นจริงหรือเปล่าแล้วก็นำมาปรับปรุง)  อยู่ดีๆมีคนเดินมาว่าเราทำอย่างไร (ยิ้มรับแล้วฟังที่เขาพูด)  มีคนมาแย่งสิ่งที่รักที่สุดไปทำอย่างไรดี  เป็นการยากที่เราจะตอบว่าเราควรจะทำอย่างไรดี  ในสถานการณ์เช่นนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าถ้าเขาร้ายมาแล้วเราร้ายตอบเป็นอย่างไร   อาจารย์ไม่บอกหลอกนะว่าแต่ละสถานการณ์จะแก้อย่างไร  แต่ว่าอาจารย์จะรวบยอดอย่างเดียวก็คือว่า  ถามว่าเขาร้ายมาเราร้ายตอบ  เขาร้ายมาเขาเป็นคนร้ายถูกหรือเปล่า  เราร้ายตอบเราเป็นคนอะไร (คนร้าย)  ถามว่าอยากเป็นคนร้ายหรือเป็นคนดี (คนดี)  อยากเป็นคนดี  ถามว่าร้ายตอบได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นเรื่องของสติปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเขามาตบเตะ  ชกตีซึ่งหน้านั้น  เราเจ็บเพียงกายใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากเขาให้ร้ายทำไม่ดีด้วย  เจ็บถึงใจใช่หรือไม่  ฉะนั้นเราถามตัวเองซิว่า  เราจะเอาชนะเขาด้วยอะไร   ถ้าเอาชนะเขาด้วยสิ่งร้าย  เราก็จะกลายเป็นคนร้ายถูกหรือเปล่า (ใช่)  เราบอกว่าเราดี  แต่ถ้าเผอิญมีคนที่สามมานั่งมองเราทำ  ว่าเราทำในสิ่งที่ไม่ดี  เขาจะเห็นตั้งแต่ต้นไหมว่าคนอื่นนั้นมาให้ร้ายเราก่อน  เขาอาจจะไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็กลายเป็นคนร้ายไปโดยปริยายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการที่จะแก้ปัญหาต่างๆในชีวิตนี้ จึงเป็นเรื่องของสติปัญญาทั้งสิ้น  หลายๆคนเจอเหตุการณ์นี้  เหตุการณ์ที่เป็นสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมนั้นมีคู่เป็นคู่ๆใช่หรือเปล่า  นึกออกไหมว่าสามเหลี่ยมสักอันหนึ่งมีคู่ไหน  มีคู่นี้  กับคู่นี้ถูกหรือเปล่า  แล้วคนนี้เป็นคนที่สาม  นี่คือหนึ่งคู่ใช่ไหม  แล้วคู่นี้อยู่คู่นี้  คนนี้กับคนนี้เป็นหนึ่งคู่  คนนี้เป็นคนที่เท่าไร (คนที่สาม)  ถามว่าอยู่กันเป็นคู่ๆไหม (เป็น)  ทุกคนมีหนึ่งคู่  ดูให้ดีๆ  ฟังให้ดีๆที่อาจารย์พูด  ทุกคนมีคู่หมดเลย  ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์หลายคนก็อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้  แต่ว่าในงานธรรมะอาจจะไม่เป็นคนหนึ่งร้ายไป  คนหนึ่งดีมา  แต่ความจริงแล้วดีด้วยกันทั้งคู่  แต่เกิดความผิดพลาดที่ตรงกลางเส้น  มีความผิดพลาดที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนนี้ที่ดีไปกับคนนี้ที่ดีมา  แต่ว่าคนที่มองอยู่ตรงนี้เขาก็ยังมองว่าไม่ดีอยู่  แล้วคนที่อยู่ข้างนี้ก็ว่าคนข้างนี้ไม่ดี  ทั้งที่จริงๆแล้วทุกคนดีหมดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจึงคิดให้ดี  ในยามใดที่เราเห็น  ที่เราคิดว่าผู้อื่นไม่ดี  จงคิดสิว่านั่นเป็นธาตุอันแท้จริงหรือเป็นธาตุมายา  อย่าใช้ตาสัมผัส  ให้ใช้ใจสัมผัส  สัมผัสได้ถึงความดีของเขาหลายๆครั้ง  จึงบอกว่าทุกๆคนที่เป็นศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนดีหมด  ไม่มีใครไม่ดีเลย  แต่ไม่รู้อยู่กันอย่างไร  มีอายตนะอยู่กี่อย่าง  มีอยู่หกอย่าง  ก็ใช้หมดเลย  ใช้ตาดูเต็มที่  ใช้หู
ฟังเต็มที่  ใช้จมูกสัมผัสเต็มที่  ใช้ลิ้นเต็มที่  กาย  ใจ  ใช้เต็มที่  ถามว่าการที่เราอยากเป็นพุทธะนั้น  ถ้าหากเราใช้สิ่งเหล่านี้เต็มที่จะได้ไหม (ไม่ได้)  ให้ใช้อะไร  มีอย่างหนึ่งต้องใช้ให้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวเหนื่อย   คืออะไรรู้ไหม (ปัญญา)  ใช่หรือเปล่า  กลัวปัญญาเหนื่อยไหมใช้เขามากไป (ไม่กลัว)  ปัญญาไม่ได้อยู่ในความคิด  ถ้าปัญญาอยู่ในความคิดถามว่า  ทุกวันนี้ที่บางทีทำเรื่องเดือดร้อนไปคิดหรือยัง  บางทีก็คิดแล้ว  แต่ยังคิดได้ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอยากจะได้ปัญญา  ต้องลองคิดสักสามรอบ  อยากจะได้ปัญญาลองใช้ใจแห่งพุทธะนั้นตัดสิน  ลองสงบใจพิจารณาอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์  แล้วสิ่งที่ออกมาอาจจะเป็นปัญญาก็ได้
ในการที่เราจะบำเพ็ญธรรมะไม่ใช่เรื่องง่าย  อาจารย์ไม่กล้าพูดว่าการบำเพ็ญธรรมะเป็นเรื่องง่ายสำหรับศิษย์  เพราะว่าแต่ละคนนั้นต่างมีอุปสรรคเป็นของตน  แต่อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นคือใจของตัวเอง  จิตใจที่ขึ้นๆ ลงเหมือนน้ำขึ้นน้ำลง  บางครั้งก็ดีเสียจนอาจารย์ใจหาย  บางครั้งก็ลงเสียจนหาไม่เจอ    ใครก็ตามที่มีคนที่ตัวเองนำพาอยู่ลองถามตนเองสักนิดว่า  เวลาเราขึ้นเขาก็ขึ้นตามกับเรามา  แต่เวลาเราลงแล้วจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน  นั่นเป็นภาระหน้าที่ของเรา  ในการเป็นพุทธะนั้นต้องอาศัยความตั้งใจอย่างยิ่ง  ความตั้งใจที่กล้าแกร่ง ความตั้งใจที่แข็งแรง  ชีวิตคนหนึ่งชีวิตนั้นบางครั้งเรามุ่งหมายอยากจะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ  ถามว่าในชีวิตนี้ศิษย์ของอาจารย์เคยมุ่งหมายจะทำสิ่งใดไหม มีไหม (มี)  ดังเช่นการเรียนจะเรียนให้สูง ให้สำเร็จถึงขั้นไหนที่เราตั้งใจ  ดังเช่นชีวิตครอบครัว ความสามัคคีในบ้าน  นั่นเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราจุดหนึ่งเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าใครก็ตามที่เคยมีจุดมุ่งหมายในชีวิตแล้วเคยลองพยายามก็จะรู้ว่าความตั้งใจนั้นเป็นเช่นไร  การฝ่าความยากลำบากต่างๆ นั้นเป็นเช่นไร   เมื่อเคยมีจุดมุ่งหมายในชีวิต  อาจารย์อยากจะบอกว่าความตั้งใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ  ศิษย์ของอาจารย์นั้นมานั่งฟังธรรมะด้วยความตั้งใจมา  หลังจากที่เราได้เข้าใจแล้วเปลี่ยนความตั้งใจนี้เป็นจุดมุ่งหมายแห่งชีวิต  เพราะชีวิตของคนเรานั้นแสนสั้น คำว่าจุดมุ่งหมายนั้นไม่ได้ตั้งขึ้นง่ายๆ  ที่สำคัญนั้นคืออย่าได้หลอกลวงตัวเอง  อย่าได้หลอกลวงคนอื่น  เมื่อมีจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตนั้นจึงจะสามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้  
อาจารย์อยากจะถามว่าชีวิตนี้มุ่งหมายอยากจะเป็นอะไร  อยากเป็นคนรวยไหม (อยาก) อยากเป็นคนดีไหม (อยาก) อยากเป็นพุทธะไหม (อยาก)  เป็นอะไรยากที่สุด  อยากเป็นคนรวยศิษย์ก็ขยันหาเงินมากๆ  อยากเป็นคนดีก็ขยันช่วยผู้อื่น  คนที่ช่วยผู้อื่นนอกจากการช่วยตัวเองจึงเรียกว่าเป็นคนดีได้  ถ้าหากว่าทุกวันๆ ช่วยแต่ตนเอง คนนี้เป็นคนดีหรือเปล่า (ไม่)  ถ้าหากว่าช่วยตนเองทุกวันหรือว่าช่วยเฉพาะญาติพี่น้องของตนเองทุกวันเลย  คนนี้เป็นคนดีไหม ไม่ใช่คนดีนะ เพราะว่าเป็นแค่ความดีเฉพาะตัว ไม่นำออกไปสู่ผู้อื่น  จึงไม่เรียกว่าเป็นคนดี  แต่ถามว่าเป็นพุทธะทำอย่างไร  ยากกว่าการเป็นคนดีไหม (ยากกว่า)  เป็นคนดีนั้นแค่ช่วยผู้อื่นแต่เป็นพุทธะนั้นต้องเสียสละเพื่อผู้อื่น  เสียสละอะไรบ้าง (ต้องสละทั้งร่างกายและจิตใจ)  เวลาที่เรานั้นจะมั่นคงในทางธรรมก็ต้องมั่นคงเช่นนี้  บางทีถ้ามีคนอยากจะดึงมรรคผลไปจากมือ เราจะยอมให้เขาดึงง่ายๆ หรือเปล่า (ไม่ยอม)  ไม่มีมรรคผลก็ไม่เรียกพุทธะเหมือนกัน  เพราะขึ้นไปแล้วไปเคว้งคว้างเหมือนเมฆลอยไปลอยมา  เพราะฉะนั้นการที่อาจารย์นั้นให้แอปเปิ้ลเหมือนกับให้ศิษย์ของอาจารย์ไปเริ่มสร้างมรรคผลแห่งตนเอง  มรรคผลนี้จะยอมให้ผู้อื่นดึงไปง่ายๆ หรือเปล่า  บางทีเราออกไปเจอคนว่า โจมตีเรา ให้ร้ายเรา เราจะทนได้หรือเปล่า  ถ้าเราทนไม่ได้แล้วไปตามที่เขาพูด ตกไปตามที่เขาพูด เราก็จะเป็นอะไร  ตกมาจากนิพพานก็ลงมาสวรรค์  ตกมาจากสวรรค์ก็เป็นมนุษย์  แต่ถ้าหากว่าแย่ที่สุดก็คือตกมาจากมนุษย์ลงไปนรก  อย่าตกจากมนุษย์ลงไปนรกนะ เพราะว่านรกเป็นความทุกข์ขมมากๆ เพียงแต่ไม่ได้ใช้ระยะเวลายาวนานเท่ากับตอนที่เป็นปุถุชนเช่นนี้เท่านั้น 
ปัญญาสว่างได้หรือเปล่า คนที่ยังสงสัยอยู่ถามตัวเองสิว่าเอาความสงสัยที่ออกมาจากใจทิ้งไปชั่วคราวได้หรือเปล่า  ถ้าหากว่าสงสัยมากๆ ก็ฟังอะไรไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นสงสัยอาจาย์สู้สงสัยตัวเองดีกว่า  เมื่อคิดอะไรทำไมช่างรวดเร็วว่องไว  การที่อาจารย์มาอย่างนี้ไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นยึดติดในรูปลักษณ์ที่อาจารย์ใช้อยู่  เพราะอาจารย์นั้นสำเร็จเป็นพุทธะแล้ว  ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งทำเช่นนี้ก็ได้  ทั้งๆ ที่อาจารย์มาอย่างนี้  อาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์ยึดติดในรูปลักษณ์ที่ใช้  เพราะการบำเพ็ญธรรมะนั้นบำเพ็ญตามอะไร  การบำเพ็ญธรรมะนั้นไม่ใช่บำเพ็ญตามใจตัวเอง  แต่การบำเพ็ญธรรมะนั้นไม่ใช่บำเพ็ญตามรูปลักษณ์เช่นเดียวกัน  แล้วให้บำเพ็ญตามอะไร  สิ่งที่ให้บำเพ็ญตามคือหลักสัจธรรม สิ่งที่อาจารย์พูดขอให้ฟัง ให้เข้าไปสู่ใจ  เอาเสียงต่างๆ เข้าไปสู่ใจแล้วไปตั้งมั่นปฏิบัติ  ในการที่ศิษย์ของอาจารย์มานั่งฟังเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตนเอง  เมื่อรู้จึงปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปปฏิบัตินั้นจึงมีแกนสำคัญคือความรู้  ความรู้เป็นแกนสำคัญของการปฏิบัติ
การบำเพ็ญธรรมมิใช่การบำเพ็ญตามรูปลักษณ์เช่นเดียวกันแล้วให้บำเพ็ญตามอะไรสิ่งที่ให้บำเพ็ญตามคือหลักสัจธรรมสิ่งที่อาจารย์พูดขอให้ฟังให้เข้าไปสู่ใจเอาเสียงต่างๆนั้นเข้าไปสู่ใจและไปตั้งมั่นปฏิบัติศิษย์ของอาจารย์มานั่นฟังเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเองเมื่อรู้จึงปฏิบัติได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปปฏิบัตินั้นจึงมีความสำคัญนั้นก็คือความรู้ความรู้เป็นแกนสำคัญของการปฏิบัติ การปฏิบัตินั้นก็เป็นผลงานของความรู้เหล่านั้นเพราะฉะนั้นบางคนถึงแม้ว่าจะรู้มากแต่หากว่าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ตัวเองรู้เลยถามว่ามีคุณค่าหรือไม่(ไม่มี)  ถึงแม้ว่าจะรู้มากกว่านี้  รู้มากกว่าคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด  รู้มากกว่าที่อาจารย์พูดไปซะอีกแต่ถามว่าไม่เคยทำอะไรเลยคนๆนี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้หรือไม่(ไม่มี)  ฉะนั้นจึงบอก ว่าทุกๆขณะจิตนั้นให้มองให้เห็นตนเองเมื่อคนอื่นเตือนเราไม่ได้เราจึงต้องรู้จักที่จะเตือนตัวเองๆให้มากๆ  ให้ตนเองนั้นอยู่บนทางสายกลางให้ตนเองนั้นเดินได้อย่างถูกต้อง  ความมุ่งมั่นที่อาจารย์พูดไปเมื่อครู่นี้ในโลกมนุษย์นี้ยังหาได้ยาก  แม้ว่าศิษย์ของอาจารย์จะยื่นอยู่ที่นี่เต็มไปหมดหรือนั่งที่นี่เต็มไปหมดแต่สิบคนนี้หาได้สักห้าคนได้ไหมก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยากในการยุคนี้ในขณะที่โลกมนุษย์นั่นวุ่นวายมากๆมีมีทั้งภัยธรรมชาติและภัยที่มนุษย์สร้างมีทั้งภัยที่อยู่ในใจของมนุษย์เองความคิดที่ไม่ดีสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์นี้หากว่าเราไม่รู้จักช่วยกันแม้ฟ้าดินจะเอาธรรมะลงมาโปรดแม้จะพาเข้าสู่ยุคสามแล้วแต่หากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่หมั่นที่จะตรวจทานตนเองไม่หมั่นแก้ไขตนเองแม้ว่าจะเกิดมาทันยุคนี้แม้ว่าจะได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ก็ไม่แน่ที่จะสำเร็จเป็นพุทธะหรือไม่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่เรานั้นจะต้องมานั่งมองตนเอง  เมื่อเราดีพร้อมเหมือนกับการทอผ้าหนึ่งผืน  ทอด้วยอะไรทอด้วยด้ายที่ละเส้นใช่หรือไม่(ใช่)  ด้ายที่ละเส้นๆตอนนี้อาจารย์ก็เหมือนคนที่ทำหน้าที่ทออยู่ส่วนศิษย์ของอาจารย์นั้นก็เป็นด้ายที่ละเส้นที่อยู่บนการทอครั้งนี้  อาจารย์อยากจะทอผ้าผืนนี้ให้สำเร็จเป็นผืนหนี่งผืน  ให้ผ้าผืนนี้นั้นเป็นสิ่งที่มีเกียรติของโลกเป็นเกียรติของยุคสามให้ผ้าที่ทออยู่นี้ประดับไว้ในแดนโลกให้คนรุ่นหลังได้เคารพสักการะให้ศิษย์ได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่เป็นฑูตในยุคสาม  ถามว่าเมื่อใครก็แล้วแต่ต้องการที่จะมาอยู่บนผ้าผืนนี้ทุกคนต้องทำตัวให้เป็นสีขาวใช่หรือไม่(ใช่)  ถามว่าต้นๆขาวปลายๆดำได้หรือไม่(ไม่ได้)  หรือว่าปลายๆดำต้นๆขาวได้หรือไม่(ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็เหมือนกับด้ายเส้นหนึ่งเท่านั้น  อาจารย์ไม่อยากจะเปรียบเทียบศิษย์ของอาจารย์ให้ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้แต่อยากจะเปรียบเทียบว่าทุกคนนั้น  แม้จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ก็เหมือนกับเส้นด้ายเส้นหนึ่งที่เรานั้นจำเป็นจะต้องกวดขันตนเอง  เวลาที่ศิษย์นั้นตรวจสอบตนเองก็จงดูว่าเรานั้นเป็นด้ายสีขาวเส้นนี้หรือยังพร้อมหรือไม่ที่จะมารวมกับผู้อื่นที่เป็นสีขาว ถ้าหากว่าเราไม่ใช่สีขาว  ถ้าหากว่าโดนดึงขึ้นไป  แม้เราเส้นเดียวถามว่าคนอื่นเห็นหรือไม่ว่าผ้าผืนนี้ไม่ขาว(เห็น)
ก็จะเห็นได้ว่าผ้าผืนนี้ไม่ใช่สีขาวเพราะเราเพียงคนเดียว แต่ที่กลัวกว่านั้นก็คือว่าจะไม่ได้ขึ้นมาอยู่บนผ้าผืนนี้ด้วยซ้ำเพราะว่าเรานั้นขาวไม่พอ
อาจารย์ไม่ทิ้งศิษย์  แล้วศิษย์ทิ้งอาจารย์หรือเปล่า (ไม่ทิ้ง)  แต่เวลาถามว่า  มาสถานธรรมดีหรือไม่  ตอบว่าอย่างไร (ดี)  ไม่ใช่ตอบว่ามีเวลาหรือ  ใช่หรือเปล่า  หลายคนตอบว่าไม่มีเวลาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าไม่มีเวลานี่ทิ้งใคร  อาจารย์จะบอกให้  จริงๆแล้ว  ไม่ได้ถือว่าเป็นการทิ้งอาจารย์  แต่การทิ้งสถานธรรมไปห่างไป  ยิ่งห่างก็ถือว่าเป็นการทิ้งกันอยู่ดี  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ามนุษย์เป็นอย่างไร  พอนานวันเข้า   หลายวันเข้า  หากว่าหนึ่งวันไม่มา  สองวันไม่มา  สามวันไม่มา  อาทิตย์หนึ่งไม่มา   สองอาทิตย์ไม่มา   เป็นอย่างไร  ใจก็ห่างขึ้นเรื่อยๆใช่หรือไม่ (ใช่)  ความมั่นใจ  ความแน่ใจ  ก็มีน้อยลงทุกๆวันใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วยิ่งนับวันก็ยิ่งเป็นอย่างไร  ยิ่งห่างไปนะ  ถามว่าเราอยากเดินทางพุทธะ  อยากจะเดินทางเส้นนี้ไป  แต่ว่าเราอยู่ที่ไหน  เราไปอยู่ทางอีกเส้นหนึ่ง  และเราบอกว่า   เราอยากจะเดินทางเส้นนี้  ถามว่าเราจะเดินได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่เราบอกว่าเราไม่มีเวลาถ้าอาจารย์บอกว่าไม่มีเวลาบ้างเป็นอย่างไร  ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นพยายามที่จะเจียดเวลาให้กับตัวเองมากๆ  ดีหรือเปล่า (ดี)  หากมีเวลากินข้าวก็มีเวลาบำเพ็ญธรรม  หากมีเวลาทำธุระส่วนตัวก็มีเวลาไปช่วยคน  ถืออย่างนั้นดีไหม (ดี)  หากมีเวลาทำมาหากิน  ก็มีเวลาที่จะมาช่วยงานสถานธรรม  เอาอย่างนั้นก็แล้วกันนะ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงพระโอวาท)
“ผู้ศึกษาที่จริงนั้นคือได้  ลงมือไปค้นแก่นแท้และปฏิบัติ”
หมายความว่าผู้ที่ศึกษาอย่างแท้จริง  ผู้ที่ตั้งใจศึกษาธรรมะคือผู้ที่ได้ลงมือ การศึกษานั้นไม่ใช่การที่เรามานั่งฟังอย่างเดียว  การศึกษาคือการลงมือไปปฏิบัติ  คือภาคปฏิบัติ ในภาคปฏิบัติต่างๆ นั้นจะได้เห็นถึงประสบการณ์แท้จริง การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง  บางคนนั้นอาจจะยังไม่เคยได้เข้าชั้นเรียน  แต่บางคนนั้นก็มีจิตที่บำเพ็ญแล้วสูงล้ำ  แต่การเข้าชั้นฟังธรรมะนั้นเพื่อให้เราได้รู้ในสิ่งที่เรายังไม่รู้เพื่อเป็นการฝึกที่ให้เราอ่อนน้อมลองฟังผู้อื่นดู  เพื่อจะขอความที่เขานั้นบำเพ็ญมาก่อน  เพราะฉะนั้นถึงแม้จะรู้หรือไม่รู้นั้นก็คือต้องฟังให้ได้  แม้เราจะมีสิ่งใดที่เหนือหรือวิเศษกว่าก็ยังจะต้องทำตนเหมือนคนที่ไม่รู้ให้ได้  ฉะนั้นผู้ที่ศึกษาจริงนั้นคือผู้ที่ลงมือค้นถึงแก่นแท้โดยการปฏิบัตินั่นเอง  ผู้ที่ศึกษานั้นเป็นอย่างไรอีก  คือผู้ที่ไม่พาลโมโห ไม่เป็นคนที่ช่างพาล ช่างโมโหง่าย  เพราะผู้ที่โมโหนั้นคือผู้ที่ประมาท  การโมโหนั้นทำให้คนเรานั้นขาดสติไม่สามารถที่จะยับยั้งชั่งใจได้  เพราะฉะนั้นผู้ที่ประมาทจึงศึกษาธรรมะไม่รอด  
“ทั้งไม่อาจทำผิดซ้ำดั่งขาดวิจารณญาณ”  
คือการที่เรานั้นศึกษาธรรมะ  เมื่อศึกษาแล้ว รู้แล้ว เข้าใจแล้ว  จะบอกตัวเองว่ารู้แล้วยังทำนั้นเป็นเรื่องที่ยากอภัย  ฉะนั้นเมื่อรู้ว่าสิ่งใดที่ผิดแล้ว สิ่งใดไม่ถูกไม่ควรจึงต้องพยายามที่จะระวังไม่ยอมให้ผิดซ้ำสอง  เพราะถ้าหากมีครั้งที่สองก็คงจะมีครั้งที่สาม  ขอให้หยุดไว้ในตอนที่เราผิดครั้งแรกก็พอแล้ว  แต่หากมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามมา จะต้องรู้จักระมัดระวังตนเองเป็นสองถึงสามเท่า  
“เมื่อเดินทางอริยะใจต้องมั่นคง”
ถ้าหากว่าจะเดินทางอริยะนี้ เส้นทางเส้นนี้ต้องมีใจที่มั่นคง ไม่คอยแปรขึ้นลงตามอารมณ์ผัน  ไม่ใช่ว่าอยากจะบำเพ็ญก็มา ไม่อยากจะบำเพ็ญก็อยู่บ้าน  ฉันกลัวความยากลำบากฉันก็ไม่อยาก  อารมณ์ฉันขึ้นๆ ลงๆ  ผู้บำเพ็ญเป็นอย่างนั้นได้ไหม
“แบกรับความเหนื่อยยากทุกข์ได้นานๆ” 
หมายความว่า ต้องยอมที่จะอยู่ท่ามกลางความทุกข์นี้ได้อย่างนานวันทีเดียว  เพราะว่าความทุกข์เดิมทีนั้นต่อให้เราไม่อยากจะมีก็มี  ต่อให้เราไม่อยากจะเหนื่อยก็เหนื่อย ความยากต่อให้หนีเท่าไรก็ยังเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นแทนที่จะวิ่งหนีก็แบกมันขึ้นมา  แบกความเหนื่อยยากอันนี้ไม่ใช่แบกเพื่อตนเองแต่เป็นการแบกความเหนื่อยยากแทนผู้อื่นด้วย  
จิตใจของอริยะนั้นจะต้องเป็นจิตใจที่เสียสละเพื่อผู้อื่นได้  การที่จะกลับคืนบ้านนั้นต้องมีมรรคผลที่พร้อมสมบูรณ์  หลายๆ คนเป็นผู้สร้างกุศลเก่ง  แต่ชอบเผากุศลหมด  สร้างมาเสร็จแล้วก็เผาทิ้ง  ถามว่ามีมรรคผลไหม (ไม่มี)  จริงๆ แล้วมีกุศลไหม  เคยมีแต่ไม่มี  เหมือนทำได้เยอะแต่ไม่เหลือ  ใครเป็นอย่างนี้บ้าง  ทำได้เยอะไหม  อาจารย์บอกทำได้เยอะ  ถ้าหากศิษย์ไม่เผาทิ้งป่านนี้ก็เยอะกว่าผู้อื่น  เพราะฉะนั้นถามว่ามองได้ไหมว่าคนนี้ทำมากแล้วคนนี้มีกุศลเยอะ  อาจารย์บอกยังไม่แน่  ถามตนเองสิว่าตนเองนี้นมีอารมณ์ร้ายหรือเปล่า  ยึดติดมากหรือเปล่า ฟุ้งซ่านหรือเปล่า  เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไปหรือเปล่า  ต้องถามตัวเองให้ดี  เราจะเป็นผู้ตอบคำถามของตัวเราได้ดี  
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เส้นทางอริยะ”)
“เส้นทางอริยะ” คืออะไร คือเส้นทางของผู้ที่ตั้งใจที่จะบำเพ็ญกลับคืนขึ้นสู่นิพพาน  เส้นทางของอริยะนั้นมีอยู่ที่เรา  และเราเป็นผู้มองเห็นได้  มองเห็นอันนี้ไม่ได้ใช้ตา  มองเห็นอันนี้ใช้วิจารณญาน ใช้ปัญญา เวลาที่เราเดินไปตามเส้นทางนี้นั้นทุกครั้งก็จะมีอุปสรรค  ตอนที่เราเดินไปเส้นทางนี้มีความเจ็บปวด  เพราะว่าเดินสวนกระแส  ในคราที่เรานั้นเป็นปุถุชนเช่นนี้  ทุกๆ วันนี้ทางที่เราเดินอยู่ทุกวันเรียกว่าเป็นทางแห่งปุถุชน หาเช้ากินค่ำ หาให้พอกิน หาให้พอใช้  ลาภยศสรรเสริญต่างๆ  แต่เรายิ่งเดินทางเส้นนี้เท่าไร  ทางเส้นนี้เหมือนกับเป็นทางที่ลาดลง  สะดวดสบาย ง่ายดาย  แต่ไม่สามารถพาศิษย์นั้นกลับคืนขึ้นนิพพานได้  แต่ทางอริยะเหมือนกับการปีนภูเขา ใครสามารถขึ้นไปถึงยอดภูเขาก็คือสามารถที่จะไปฝึกฝนเป็นอริยะได้  ฉะนั้นจึงหวังว่าเมื่ออาจารย์มอบทางเส้นนี้ให้เป็นปริญญาบัตรแล้ว  หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนนั้นสามารถที่จะเดินทางเส้นนี้ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง  เดินได้ไหมเส้นทางเส้นนี้  ขอให้มีความสำเร็จกันทุกคนนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับญาติธรรมที่มาจากประเทศลาว)
เห็นไหมว่าเราเดินทางมาไกลแล้ว ยังมีคนเดินทางมาไกลกว่าเราอีก  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมะนั้นไม่ใช่ว่าแบ่งแยกเด็ก ผู้ใหญ่ หรือว่าแบ่งแยกคนที่อายุมาก อายุน้อย ผู้ชาย ผู้หญิง  ขาวหรือดำ  ไม่ได้แบ่งแยกตรงนี้  ทุกคนต่างมีพุทธจิตธรรมญาณสามารถบำเพ็ญได้เหมือนกันทั้งสิ้น  จึงหวังว่าเมื่อเขาเดินทางมาไกลแล้วจะเป็นบทเรียนให้เรา  จะเป็นกำลังใจให้เราในการบำเพ็ญต่อๆ ไป ดีไหม  
ในชาตินี้ได้เกิดเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  หากว่าศิษย์นั้นจับพลัดจัลพลูเกิดเป็นหมู หมา กา ไก่ให้เขาเชือด ให้เขากิน  จะดีไหมชีวิตนี้   ชีวิตนี้ก็ไม่ดีเลย แต่ชาตินี้หัวชี้ฟ้า ขาเหยียบดิน เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด  แม้ว่าเราจะไม่มีทรัพย์สินเงินทอง  แต่ว่ามีร่างกายอันนี้ดีกว่าหรือเปล่า  เงินทองนั้นมีวันหมดสูญไปได้ภายในเวลาไม่กี่ปี  แต่ว่าร่างกายของเรานี้สามารถยืนยงได้หลายสิบปี  ฉะนั้นเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว หนึ่งชาตินี้คุ้มค่าหรือไม่ที่ได้เกิดมา  ก็ย่อมอยู่ที่เรานั้นทำสิ่งใด  มนุษย์นั้นเกิดท่ามกลางฟ้าและดิน  ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งมวล  อยู่กลางระหว่างสวรรค์และนรก  อยากจะไปสวรรค์ก็ทำได้  ก็ทำดีให้มากๆ  อยากจะไปนรกก็ทำชั่วให้มากๆ  แต่อยากจะไปสูงกว่านั้น ไปนิพพานก็เดินตามอาจารย์มา  ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรในการที่เรานั้นจะบำเพ็ญธรรมสักชาติหนึ่ง  หากว่าศิษย์นั้นไม่มีบุญที่จะเป็นพุทธะ มีหรือจะได้รับธรรมะในครานี้  ฉะนั้นอย่าดูถูกตนเองดีหรือไม่ (ดี) อย่าบอกนิพพานไกลเกินเอื้อม เพียงแต่เราไม่รู้จักเอื้อม ไม่พยายามที่จะเอื้อม  ชั้นเรียนชั้นนี้เป็นชั้นแรกของสถานธรรมที่นี่  และเป็นชั้นสุดท้ายของการประชุมธรรมในครึ่งปีนี้  อาจารย์นั้นมีความห่วงใย  ทุกครั้งๆ ที่อาจารย์นั้นขาดหายไม่ได้มาพบปะกันในงานประชุมธรรม  อาจารย์ก็ต้องทนเห็นศิษย์ของอาจารย์นั้นร่วงหล่นไป  เป็นเพราะอะไรเราถึงขาดหายไป  เพราะอะไรพี่น้องของเราจึงไม่ยอมบำเพ็ญต่อ ศิษย์รู้ไหม  เพราะว่าเขามั่นคงไม่พอ  มีศรัทธาในตอนแรก  แต่ไม่อาจจะเหนี่ยวรั้งศรัทธาของตนเองได้ตลอดไป  เพราะว่าใจของคนนั้นมันรวดเร็วมาก  เมื่อศิษย์รู้เช่นนี้จงได้เก็บไปเป็นบทเรียนของตัวเราเอง  อย่าให้เหตุการณ์เหล่านี้มาเกิดขึ้นกับเรา  อีกทั้งเมื่ออาจารย์ไม่ค่อยได้มาแล้ว ขอให้ศิษย์นั้นรู้จักส่งเสริมกันให้มากๆ  สิ่งใดที่ดีๆ นั้นให้ขยันพูด  สิ่งใดที่ไม่ดีนั้นอย่าได้พูด  สิ่งใดดีๆ ให้ขยันทำ  สิ่งใดไม่ดีอย่าได้ทำ  สิ่งใดที่ดีนั้นให้คิด  สิ่งใดที่ไม่ดีให้ตัดทิ้ง หมั่นแก้ไขตนเอง  สิ่งใดที่อาจารย์เคยพูด เคยกล่าวไป  ตอนนั้นงานยุ่งๆ อาจจะไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ไม่ได้คิดพิจารณาให้ถ้วนถี่  แต่ตอนนี้ให้กลับไปพิจารณาให้ถ้วนถี่  แก้ไขให้จริงจัง  ท่ามกลางงานธรรมะที่ยุ่งๆ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย  ใจของเรานั้นต้องนิ่ง นิ่งมากๆ  เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวด้วยความดีของเรา  อาจารย์เคยบอกไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน บอกว่าผู้บำเพ็ญธรรมะนั้นก็เหมือนสลากที่ติดอยู่บนยา  ธรรมะนั้นเสมือนยาที่อยู่ในขวด  ยานี้ดีเท่าไรไม่มีใครรู้ได้  แต่ผู้บำเพ็ญนั้นเหมือนสลากยา  เราทำดีมากเท่าไร คุณสมบัติก็ยิ่งขึ้นมามากเท่านั้น  ความดีของเรายิ่งถูกระบุไป  เมื่อระบุไว้มากๆ คนเอาไปกินแล้ว คือคนได้มองเห็นเราแล้วว่าเราเป็นคนดีจริง เขาก็บอกว่ายานี้เป็นยาที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ท่ามกลางงานธรรมะที่ยุ่งๆ  ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย  ใจของเรานั้นต้องนิ่งมากๆ  เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวด้วยความดีของเรา  อาจารย์เคยบอกไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน  ว่าผู้ปฏิบัติธรรมนั้นก็เหมือนฉลากยา  ธรรมะก็เหมือนยาที่อยู่ในขวด  ยานี้ดีเท่าไรไม่มีใครรู้ได้  แต่ผู้บำเพ็ญนั้นเหมือนฉลากยา  เราทำดีมากเท่าไร  คุณสมบัติก็ยิ่งขึ้นมากเท่านั้น  ความดีของเราเมื่อถูกระบุไปมากๆ  คนเมื่อเอาไปกินแล้วคือคนได้มองเห็นเราแล้ว  ว่าเป็นคนดีจริงๆ  เขาก็บอกว่ายานี้เป็นยาที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราทำได้ไม่ดี  ฉลากยานี้ก็ยับยู่ยี่  คุณสมบัติที่ติดบนฉลากยาคงทำให้คนกิน  แล้วจะตาย  แบบนี้ก็ไม่มีใครอยากจะกิน  เหมือนเป็นยาอันตรายมีรูปหัวกะโหลกไขว้เป็นยาห้ามรับประทาน  แล้วศิษย์คิดว่าจะเป็นผลดีไหม (ไม่ดี)  จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะรู้จักทำตนให้ดี  ความผิดน้อยๆก็อย่าไปทำ  ความดีแม้เล็กน้อยไม่ขี้เกียจทำ  ถ้าทำได้เช่นนี้ทุกๆวันทุกๆเวลา  ก็จะเป็นคนดีมากขึ้น  น่าเสียดายที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่ใช่เช่นนี้  แต่หลายๆคนนั้นความผิดเล็กน้อยก็ไม่ค่อยใส่ใจ  ทำเสียทุกวัน  วันละเล็กวันละน้อย  ความดีที่เล็กน้อยมองข้ามไป  ชอบทำดีแต่ความดีที่ใหญ่ๆ  หลายวันผ่านไปหัวใจนั้นเหมือนถ่าน  กองๆนั้นเป็นกองของความดีหรือความไม่ดี  ตัดสินใจเอาเอง  ให้สั่งสมความดีให้มาก  ให้คู่กับเรา  อาจารย์บอกแล้วว่าเป็นคนดีให้ถึงที่สุด  เป็นพุทธะในก้าวแรก หากเราทำในสิ่งที่พุทธะทำเราก็เป็นพุทธะ หากเราทำในสิ่งที่มารทำเราก็เป็นมาร หากเราทำในสิ่งที่ปุถุชนทำเราก็เป็นปุถุชน ชั่วชีวิตนี้ทำเรื่องใดก็เป็นอย่างนั้น โกหกใครก็ได้ โกหกตนเองไม่ได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำงานธรรมะนั้นอย่าเร่งร้อนให้ทุกก้าวนั้นก้าวด้วยความมั่นใจตรวจสอบแล้วใคร่ครวญแล้วระวังแล้ว แม้ว่าเรื่องราวหลายเรื่องเป็นเรื่องของฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมะลงมาจากเบื้องบนแต่หากมนุษย์ทุกคนร่วมกันประมาทจะให้เบื้องบนช่วยอย่างไร จึงหวังให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้นระมัดระวัง สิ่งดีๆ เกิดขึ้นง่ายเพราะศิษย์ของอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์มอบเส้นทางอริยะไว้เตือนใจศิษย์ทุกคน  หลังจากนี้เดินเส้นทางนี้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง  ด้วยจิตใจที่มุ่งหน้า  อย่าท้อถอยต่ออุปสรรคต่างๆ นานา  อย่าฝืนในสิ่งที่อาจารย์เคยบอกว่ามันไม่ดี อย่าไปทำ  อย่าเป็นคนดื้อของอาจารย์  หวังว่าวันหน้าอาจารย์กลับมาก็ยังได้เจอศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนให้ดีพร้อมขึ้นทุกวัน ให้ก้าวหน้าขึ้นทุกปี  ให้เป็นคนดีที่คนอื่นเขายกย่อง ให้เป็นบุตรที่น่ารักของพระแม่องค์ธรรม ขององค์มารดา  จงใช้เวลาที่เหลือในชีวิตนี้ในการศึกษา ปฏิบัติ ทำดี มุ่งหน้าเส้นทางอริยะนี้เถิดนะ   วันหน้าเจอกันใหม่นะ ลาก่อน



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เส้นทางอริยะ”

ผู้ศึกษาที่จริงนั้นคือได้ ลงมือไปค้นแก่นแท้และปฏิบัติ
ไม่พึงพาลโมโหดั่งผู้ประมาท ทั้งไม่อาจทำผิดซ้ำดังขาดวิจารณญาณ
เมื่อเดินทางอริยะใจต้องมั่นคง ไม่คอยแปรขึ้นลงตามอารมณ์ผัน
แบกรับความเหนื่อยยากทุกข์ได้นานนาน กลับคืนบ้านด้วยมรรคผลพร้อมสมบูรณ์

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2542

2542-07-03 พุทธสถานสกุลหยัง บางบอน กทม.


PDF 2542-07-3-สกุลหยัง #15.pdf
วันเสาร์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานสกุลหยัง บางบอน กทม.
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

ชีวิตนี้แม้ยากรู้อนาคต จงกำหนดทำวันนี้ให้ดียิ่ง
อันสิ่งใดไม่ถูกควรควรละทิ้ง จิตใจนิ่งท่ามกลางความวุ่นวาย
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

หลายสิ่งในโลกนี้เป็นดาบสองคม หลงชื่นชมสิ่งผิดยากจะรู้แจ้ง
ในวันนี้ฝึกปัญญามาพลิกแพลง รู้แจกแจงเท็จจริงอย่างยุติธรรม
ในวันนี้เป็นวันดีประชุมธรรม ขอน้อมนำจิตศรัทธามาเผยกว้าง
หากสงสัยต้องศึกษาให้ถูกทาง หมั่นจืดจางเหล่ากิเลสในทุกวัน
ดอกไม้งามไม่บานบ่อยรู้ไว้เถิด ทิวทัศน์เลิศยากพบเห็นรู้ไหมหนา
โอกาสดียากพบเจอกลางธารา ยุคสามมาเร่งบำเพ็ญแจ้งในตน
วิสุทธิอาจารย์ชี้ทางลัดยามนี้โปรด ละลดโกรธเป็นอารมณ์อันเผาผลาญ
ละความหลงอันพาให้เวียนทรมาน ฟื้นพุทธญาณต้องเริ่มต้นวันนี้เลย
ด้วยเวลาแห่งชีวิตไม่มากนัก จงตระหนักอย่าปล่อยผ่านไปเฉยเฉย
หากว่าตนไม่บำเพ็ญอีกละเลย ความชินเคยจะพาสู่ห้วงนรกานต์ 
ในครานี้ช่างโชคดีรู้ทางแท้ ให้หมั่นแก้อุปนิสัยแต่ก่อนหนา
ว่ายทวนน้ำไปดั่งเช่นเหล่ามัจฉา มิคร้านนาสักวันต้องไปถึง
เวียนว่ายในวัฏสงสารช่างขื่นขม จะเศร้าตรมอีกเพียงไหนหากไม่พ้น
ในยามนี้มีสติมิร้อนรน เพียรมรรคผลต้องบำเพ็ญกลางลำบาก
หากชีวิตเรียบง่ายช่วยผู้อื่น หากกล้ำกลืนทุกข์แทนคนไปทั่วหล้า
เริ่มจากตนบำเพ็ญดีมิพ้อว่า ฝึกเมตตาเป็นทุนจากดวงใจ
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ แลเคารพซึ่งธรรมาศึกษาได้
ปฏิบัติได้หลังจากจบสองวันนี้ไป จะใกล้ไกลขอให้หมั่นขยันเทอญ
ในวันนี้น้องชายหญิงผู้มีบุญ จงนำหนุนการบำเพ็ญสู่ชีวิต
ทำสิ่งใดให้ถี่ถ้วนปัญญาคิด เนรมิตร้ายเป็นดีด้วยเท่าทัน
ศิษย์พี่รับพระบัญชามาคุมชั้น ขอน้องนั้นอดทนนั่งตั้งใจศึกษา
จงรู้ว่าพุทธระเบียบเฝ้ารักษา คนมีค่าที่ทำตนเป็นคนดี
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา หยุด


วันเสาร์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานสกุลหยัง บางบอน
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

มนุษย์ชอบเอาแต่รับโดยประมาท ธรรมชาติเป็นผู้ให้ไปเท่านั้น
ผู้หลงโลกถูกหลงโลภคอยลงทัณฑ์ ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่เป็นอื่น
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานสกุลหยัง  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

การบำเพ็ญเป็นสุขเพราะมีเมตตา อุทิศกลางอุราจะมีไม่ขาด
คุมสติไม่ว่าอะไรเกิดอุบัติ จิตเที่ยงชัดเคียงข้างทุกเวลา
อุบลผุดขึ้นมาหวั่นโคลนไม่ เมื่อเข้าใจทำอย่างไรรู้เองหนา
ปฏิบัติตนเป็นอย่างหน้าที่นา เรื่องปฏิปทาไปถามมาจากตน
ยากลำบากเคียงบ่าเคียงไหล่ไว้ ยามสบายลดไหล่ไม่เที่ยวชน
แม้หนามขวากฝ่ากันด้วยอดทน ประจักษ์ผลไม้ซี่ยามรวมกัน
น้ำเหมือนกันรวมได้ไม่ประหลาด ปัญญาฉาด  บั่นยากใคร่ครวญมั่น
ละอัตตาทิฐิคอยทำลายโอกาสนั้น รู้เท่าทันฤทัยที่หมองมัว
หากขัดกันเนืองเนืองน่าอดสู จิตหลับอยู่เป็นหลงฟุ้งสลัว
ดูไม่ออกอะไรปลอมชีวิตตัว มนุษย์มัวเฟื่องสุขจอมทัพอวิชชา
อุกฤษฏ์  แห่งโศกศัลย์คือสิ้นหวัง ฤทัยยังโศกอยู่พาบิ่นบ้า
ฝ่าอุปสรรคร่วมกันมีคุณค่า น้อยรักษาน้ำใจทุกข์กินใจ
สามัคคีกันเฝ้าแบ่งปันร่วมประสาน อยู่ร่วมกันร่วมสุขทุกข์อัชฌาสัย
ความหนักแน่นกลมเกลียวชนะภัย นอกในใจเป็นหนึ่งยากปราชัย

ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

นั่งฟังวันนี้ ฟังด้วยความทรมานกันหรือเปล่า (ไม่ทรมาน)  อากาศร้อนไหม มีแอร์ใจก็ร้อนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ใจร้อนเพราะว่าใจไม่สงบ ใจไม่สงบเพราะมีสิ่งต้องคิด แล้วเราคิดกันเรื่องอะไรเราถึงใจร้อน  เรารู้ว่าตัวเราใจร้อน เราก็ต้องถามตัวเราเอง แล้วเราก็ต้องรู้ตัวเราเองด้วยว่าเราใจร้อนเพราะสาเหตุใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่  รู้อย่างเดียวว่าเราใจร้อน แต่เหตุของความใจร้อนมาจากสิ่งใดทำไมไม่รู้กันเมื่อสักครู่บอกว่าเกิดจากใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วใจเป็นอย่างไรถึงเรียกว่าใจร้อน (ใจไม่สงบ)  ใจไม่สงบทำให้ใจร้อน ไม่สงบเพราะว่าคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าอย่างไรถึงใจไม่สงบ ถึงใจร้อน  คิดอยากให้วันนี้จบไวๆ ใจเราเลยร้อนรนกระวนกระวาย จริงหรือเปล่า  หรือไม่ก็มีคนขึ้นมาพูดก็อยากให้เขาพูดจบไวๆ ใจเราเลยร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่ร้อนเพราะว่าโดนไฟไหม (ไม่ใช่)  แต่ร้อนเพราะว่าเราเร่งใจเราเอง เร่งความรู้สึก หรือเร่งสถานการณ์ที่อยู่รอบตัวเรา เราจึงใจร้อน แต่จริงๆ ใจร้อนแล้วทำให้เย็นได้ไหม (ได้)  โดยการทำอย่างไร (นั่งสมาธิ)  นั่งสมาธิโดยกำหนดลมหายใจอย่างนั้นหรือทำให้ใจเย็น  หากตอนนี้ท่านมานั่งฟังแล้วท่านนั่งสมาธิจะดับได้ไหม  เพราะเหตุแห่งการดับคืออยู่ที่ใจใช่ไหม  ใจเรากำลังคิดว่าทำอย่างไรให้เวลาหมดเร็วๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เราจะทำใจให้เราหยุดได้ก็คือยอมรับสภาพ  เมื่อเรายอมรับสภาพ เราจะใจร้อนไหม (ไม่)  เปลี่ยนจากการใจร้อนเป็นตั้งใจฟัง เมื่อตั้งใจฟัง มีใจจดจ่อ ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ เราจะมีความรู้สึกอย่างไร  บางคนจะรู้สึกว่าคนพูดๆ ได้ช้าจังเลย บางคนคิดว่าทำไมจบไวจังเลย  ความรู้สึกจะกลับกันทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาที่เราสนใจที่จะอยู่กับคนๆ หนึ่ง  แต่เราเกลียดที่จะอยู่กับคนๆ หนึ่ง เวลาเท่าๆ กัน  เมื่ออยู่ใกล้คนรัก เรารู้สึกว่าเวลาช่างเร็วเหลือเกิน  แต่เวลาอยู่ใกล้คนเกลียดเรารู้สึกว่าเวลาช่างช้าเหลือเกิน  ทั้งที่เวลาก็เท่าๆ กัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการจะดับใจร้อน ต้องดับที่ตัวเราแล้วยอมรับสภาพแวดล้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  การจะเอาแต่นั่งสมาธิ นั่นก็คือเหมือนเราหนีสภาวะแวดล้อมนั้นไปชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่ง  แต่ผลสุดท้ายถ้าเราดึงใจนั้นกลับมา เราก็ต้องเจอเหมือนเดิมอีก จริงหรือไม่ (จริง)  
มนุษย์เรามักเป็นทุกข์เพราะว่าเราไม่ยอมรับความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นทุกข์เพราะว่าเรามีอารมณ์สองอย่าง  อารมณ์อย่างแรกคืออะไร เพราะว่าเรารัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอารมณ์อย่างที่สองเป็นอะไร  เพราะว่าเราเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าท่านสามารถหยุดเรื่องรักกับเกลียดได้ ในโลกนี้จะไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์  จะเป็นสุขไปหมดเลย แต่เป็นเพราะว่าเราทำใจไม่ได้ นึกจะเกลียดก็เกลียด บางทีไม่มีเหตุผล  นึกจะรักก็รักอย่างหัวปักหัวปำ ไม่ดูอะไรถูกอะไรผิด จึงทำให้เราเป็นทุกข์  หรือพูดง่ายๆ ตามสำนวนว่า “มนุษย์เราต้องดิ้นรนเดือดร้อน เพราะอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา”  จริงหรือไม่ (จริง)  ไม่อย่างนั้นเราก็คงเป็นสุขแล้ว พอแล้วกับการมีชีวิตเท่านี้ พอแล้วกับการมีเท่านี้  พอแล้วกับการเป็นคนอย่างนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะเรามักไม่พอ  ต้องหาอีก  เราจึงมักจะไม่มีสุข  มักจะเห็นการมีสุขเป็นของคนอื่น  ของตัวเองมักจะไม่ดี ของคนอื่นดีกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้อยากซื้อเสื้อตัวหนึ่ง เห็นแล้ว อยากได้ ถูกใจมาก พยายามหาเงินซื้อมาให้ได้  แต่พอซื้อได้ เคยรู้สึกเสียใจบ้างไหม ไม่เห็นจะดีเลย ใส่แล้วก็ไม่สวย ใส่แล้วก็ไม่หล่อ ไม่น่าซื้อมาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นอย่างนี้กันบ่อยๆ พอได้มาหนึ่งตัวก็อยากได้อีกหนึ่งตัว ซื้อเสื้อแบบนี้ต้องมีกางเกงแบบนี้  พอมีเสื้อกางเกงแบบนี้  รองเท้าต้องเป็นแบบเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างสมมติซื้อเสื้อมาราคาร้อยบาท แต่กางเกงห้าร้อย ใส่แล้วรู้สึกไม่ถูกใจ  ต้องเสื้อพันหนึ่งหรือกางเกงห้าร้อยถึงจะไปกันได้  แล้วเมื่อเสื้อพันหนึ่ง กางเกงห้าร้อย รองเท้าต้องเท่าไหร่ แล้วจะเดินหรือจะนั่งรถ  ก็ต้องนั่งรถ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจะนั่งรถเมล์หรือนั่งรถเบนซ์  ก็นั่งรถเบนซ์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่นเป็นเพราะอะไร  เราทั้งนั้นเลยที่ทำให้เราต้องเดือดร้อน แล้วก็วุ่นวาย แล้วก็เป็นทุกข์กับการหาไม่จบไม่สิ้น เพราะว่าไม่พอใจแล้วก็ไม่มีสุขในสิ่งที่ตนเองมี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรามีชีวิตเราต้องอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยู่กับธรรมชาติได้อย่างสอดคล้องเราก็เป็นสุข แต่ถ้าอยู่อย่างขัดแย้งกับธรรมชาติเราจะเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์)  ถ้าอากาศร้อนแต่เราใส่เสื้อผ้าหนาๆ ก็ร้อน  ฉะนั้นถ้าอากาศร้อนเราต้องใส่เสื้อผ้าบางสักนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่บางจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็แปลว่าธรรมชาติสอนให้เรารู้ว่าการดำเนินชีวิตเราต้องรู้จักแปรหรือปรับสภาพให้อยู่กับแวดล้อมได้  แต่มนุษย์เราปกติเราอยู่อย่างสอดคล้องหรืออยู่อย่างขัดแย้ง (ขัดแย้ง)  มักจะขัดแย้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีรู้ว่าอากาศร้อนแต่ชอบเสื้อตัวนี้ เลยยอมใส่หนาๆ แล้วก็เป็นทุกข์กับการใส่เสื้อผ้าหนาจนเกินไป  บางทีรู้ว่าแต่งตัวแบบนี้มาห้องพระจะไม่เหมาะสมแต่ก็ยังอยากแต่งเพราะว่าชอบ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คุยกันก่อนดีไหม อย่าเพิ่งสงสัยว่าเรามาอย่างไร ดีหรือเปล่า (ดี)  เรามาก็มาทางประตู ออกก็ออกทางประตูเหมือนท่าน  แต่ประตูที่เราเข้ากับประตูที่ท่านเข้านั้นต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากเป็นอย่างเราไหม (อยาก)  เดินไปเดินมาก็มีคนมอง เดินไปเดินมาก็มีคนเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากเป็นไหม
นั่นต้องรู้จักเข้าออกประตูให้ถูกทางก็ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  
“ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่เป็นอื่น” 
ใครทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น  แต่เรามักไม่กลัวกฎแห่งกรรมแล้วก็ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมกัน จริงไหม (จริง)  เพราะอะไรถึงไม่เชื่อ  คิดว่าทำดีไม่ได้ดีหรือว่าอย่างไร  
โลกนี้เรื่องราวผ่านมาก็มากมาย  ทำให้คนเรามักจะยิ้มยาก  ตอนเป็นเด็กก็ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย ร้องไห้ง่าย  พอโตขึ้นประสบการณ์มีมากขึ้น ชีวิตสอนให้เรารู้จักคน รู้จักเรื่องราวมากขึ้น  ทำไมเราจึงกลายเป็นคนที่ยิ้มยากไปเสีย  ทั้งที่ก็รู้ว่าการยิ้มไม่ใช่เรื่องยากเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ายิ้มยากต่อไปต้องมาเรียนหัดยิ้มกัน  เพิ่งได้ยินกันมาเองไม่ใช่หรือ โรงเรียนสอนวิธียิ้ม  ต่อไปถ้ายิ้มไม่เป็น  คงต้องมีโรงเรียนสอนให้มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าต่อไปใจแข็งอีก ก็ต้องเป็นมีโรงเรียนที่สอนให้ร้องไห้เป็น 
ความเมตตาก็คือความรัก  ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน หากเรานั่งแต่คนอื่นยืน เราจะไม่เชื้อเชิญบ้างก็ดูแห้งแล้งน้ำใจไมตรี แห้งแล้งน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่ถ้าวันนี้เรามีหน้าที่นั่งก็ขอให้นั่งฟังอย่างเต็มที่  คนที่นั่งข้างๆ หรือยืนข้างๆ เขาจะได้เป็นสุขในการดูแลท่าน จริงหรือไม่ (จริง)  อย่าให้เหมือนปูที่อยู่ในห้อง  จับไปทางซ้ายก็อยากจะไปทางขวา 
เป็นอะไร ชวนคุยก็แล้ว  พูดก็แล้ว  ยิ้มก็ไม่ยิ้ม  พูดก็ไม่พูด  กลัวเรากันหรือเปล่า (ไม่กลัว)  อุตส่าห์ถือตะกร้าดอกไม้ให้รู้ว่าเป็นคนใจดีแล้วคนโหดร้ายใจร้ายจะถือดอกไม้กันไหม (ไม่)  ถ้าให้ปาเซียน (แปดเซียน) องค์อื่นมา  ถือดาบ ถือมีด  วางท่าทีอย่างสง่าน่าเกรงขาม  ท่านก็คงหวาดกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาถือดาบถือมีด  ท่านมาปราบมาร    ใช่หรือไม่ (ใช่)  มารเท่านั้นที่จะกลัวดาบ  ถ้าท่านกลัวดาบท่านก็เป็น (มาร)  ฉะนั้นวันนี้เราถือดอกไม้  ท่านคงไม่กลัวแล้วใช่ไหม (ใช่)  ปล่อยใจให้สบาย  อย่าได้วิตกกังวล หรืออย่าได้สงสัย  ไม่อย่างนั้นมาฟัง หรือนั่งฟังวันนี้ก็คงฟังเราไม่ได้รู้เรื่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนบำเพ็ญก็คือคนที่ฝึกฝนตนเองให้ตนเองมีคุณธรรมตลอดเวลา และหมั่นขัดเกลาแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี  คนที่มีภูมิธรรมเป็นคนอย่างไรในสายตาหรือในความคิดของท่าน (มีเมตตากรุณา)  คนที่บำเพ็ญธรรมหรือคนที่มี คุณธรรมนั้นต้องมีความเมตตากรุณา  แล้วต้องมีอะไรอีก (ความรัก)  มีความรักแต่รักอย่างถูกต้อง ไม่ใช่รักอย่างหัวปักหัวปำ  แล้วอะไรอีก รักษาศีลใช่หรือไม่  ศีลมีอะไรบ้าง จำได้ไหม  อย่าบอกว่ามีแค่ห้าข้อแล้วท่องไม่ได้เลย ศีลมีแค่ห้าข้อเองไม่ใช่หรือ (ใช่)  คนมีคุณธรรมต้องรู้จักรักษาศีล  ไม่ผิดศีล  สิ่งใดที่ทำให้ตนเองดำเนินชีวิตแล้วเกิดการกระทำที่ผิดศีลก็จะไม่กระทำ วันนี้ถ้าเราพูดว่าให้ท่านมาบำเพ็ญธรรม  ให้ท่านดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม  อยู่ๆ ให้พูดอย่างนี้ก็คงไม่ทำ  ฉะนั้นเราจะชี้ก่อนว่า  การมีธรรมมีประโยชน์อย่างไร  พอรู้ว่ามีประโยชน์คนเราถึงจะสนใจแล้วก็ลงมือกระทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ท่านจะไปซื้อของ เห็นเขาพูดโฆษณาสินค้าหรือของ  ถ้าไม่พูดเชิญชวน หรือว่าพูดแล้วไม่น่าฟัง ใช้แล้วไม่มีประโยชน์ ท่านก็ไม่สนใจที่จะเข้าไปฟัง  ไม่สนใจที่จะซื้อแล้วเอาไปใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้ทุกคนรู้ไหมว่าคุณธรรมนั้นมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์  (มีประโยชน์)  ทุกคนต่างก็รู้  หากเราจะสรุปง่ายๆ  คุณธรรมนอกจากมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตให้กับตนเองแล้ว  ยังรู้จักที่จะนำพาชีวิตได้ถูกต้องด้วย  แล้วก็สามารถอยู่กับ   ผู้อื่นได้อย่างเป็นสุขด้วยการมีคุณธรรม  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการมีคุณธรรมยังช่วยลดความคม คลายปมที่ยุ่งเหยิง ทอนความอยาก คลายความมืด คืนความใส นำพาสู่ความสงบและสันติ  แปลว่าผู้ใดที่รู้จักนำคุณธรรมไปบำเพ็ญตน ไปฝึกฝนตนหรือไปใช้ในชีวิต  เขาจะสามารถลดความคมได้  ความคมนั่นก็คือความเจ้าเล่ห์เพทุบาย  คลายความยุ่งเหยิงนั้นคือคลายความวุ่นวายในชีวิต  ทอนความอยาก  อยากในทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศที่ไม่รู้จักจบสิ้น  คลายความมืด  มืดที่หลงวนอยู่ในโลกใบนี้  คืนความใส ใสอย่างไร  ใสบริสุทธิ์อย่างฟากฟ้า  ใสบริสุทธิ์อย่างปราศจากซึ่งอัตตาและตัวตนที่มีขอบเขต มีชื่อ มีนาม มีความเจ็บ มีความโศกเศร้า  คืนความสงบและสันติ  ก็คือนำพาชีวิตให้ไม่วุ่นวาย  มีความสงบสุข มีความร่มเย็น ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นสุข  ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เป็นคนที่หาเรื่อง ไม่มีพิษ ไม่มีภัยกับใคร  หากใครทำได้คนนั้นย่อมมีความสุขดังที่เราบอก  ทุกคนรู้จักคุณธรรม แต่เอาชนะธรรมในตัวตนไม่ได้  ธรรมในตัวตนมักพ่ายแพ้กิเลสในตัวตน แล้วเพราะอะไรถึงพ่ายแพ้ (โลภ โกรธ หลง, ความอยากได้)  ความอยากได้ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เราแพ้กิเลสในใจตน แสดงว่าในใจเราก็มีสิ่งดีและไม่ดีอยู่ในตัวเรา  
คนเราไม่มีใครเป็นคนร้ายมาตั้งแต่เกิด หรือพูดง่าย ๆ ไม่มีใครเป็นคนชั่วตั้งแต่เกิด  ทุกคนต่างเป็นคนดีและไม่มีใครที่อยากจะใฝ่ชั่วมาตั้งแต่เกิดด้วย  ตั้งแต่เกิดมาเราก็อยากได้ความรักความอบอุ่นของอ้อมอกพ่อแม่ ไม่ใช่ความเกลียดของพ่อแม่  ตั้งแต่เกิดมาสิ่งแรกที่เราปรารถนาก็เริ่มต้นดีแล้ว  แต่ทำไมตั้งแต่เริ่มต้นมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้  สิ่งที่เราปรารถนาจึงดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เพราะอะไร เพราะว่าใจเราไม่ดีตั้งแต่เกิดก็หาไม่ เพราะว่าใจเราฝักใฝ่ไม่ดีตั้งแต่เกิดก็หาไม่  แต่เพราะความเคยชิน ความหลงผิด หรือการปล่อยตัวไปตามกระแสแห่งโลก กระแสแห่งอารมณ์  จึงทำให้เราทำผิดพลาด จึงทำให้เราลืมควบคุมตนเอง จึงทำให้เราลืมไปว่าการกระทำใดที่เรียกว่าผิด การกระทำใดที่เรียกว่าถูก การกระทำใดที่เรียกว่าเป็นคนดี การกระทำใดที่เรียกว่าทำแล้วไม่ดี  เราลืมนึกถึงข้อนี้ไป  บางครั้งอยู่บ้าน พ่อแม่อาจจะไม่มีเวลาอบรมบ่มสอนเรา  แต่ในเมื่อคนทุกคนมีพื้นฐานที่ต้องการสิ่งที่ดีอยู่แล้ว  เมื่อเราปฏิบัติไม่ดีหรือเผลอทำผิดไยต้องโทษพ่อแม่  เราต้องโทษตัวเราเองมากกว่า  ทำผิดใครนำทางเรา ใครพาขาเราเดิน ก็ไม่ใช่พ่อแม่  แต่ใจเราเองต่างหาก แต่ผิดแล้วรู้แก้ไขจึงจะเป็นสิ่งที่ถูก จึงจะเป็นคนที่ดีงาม จึงจะเป็นคนที่ประเสริฐ  แต่ถ้าผิดแล้วไม่แก้ไขเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่รู้แล้วทำไม่ได้  ถ้าพูดง่าย ๆ  ก็คือโง่เขลาเบาปัญญา  แล้วตอนนี้มีผิดแล้วแก้ได้หรือยัง (ยัง)  อย่างนั้นยอมรับแล้วใช่ไหมว่าโง่เขลาเบาปัญญาไปบ้าง  โง่เขลาเบาปัญญา ไม่ได้แพ้ใคร แต่แพ้ใจเราเอง  ไม่ต้องกลัวว่าเราว่าท่านโง่กว่าคนอื่น ไม่ใช่แต่เราโง่กับตัวเราเอง พ่ายแพ้กับตัวเราเอง  เราไม่ได้โง่กว่าคนอื่นหรอก  เราฉลาดกว่าคนอื่น  เอาชนะคนอื่นได้  แต่ทำไมเอาชนะตนเองไม่ได้ ฉลาดกับตนเองไม่ได้
“ปฏิบัติตนเป็นอย่างหน้าที่นา เรื่องปฏิปทาไปถามมาจากตน”  มนุษย์เราเกิดมามีร่างกายพร้อมสมบูรณ์นับเป็นสิ่งที่ดี  บางคนสามารถยืนได้สูง แต่บางคนทำไมยังวนเวียนอยู่เบื้องล่าง  ทำไมบางคนเกิดมามีลาภยศเต็มไปหมด แต่บางคนไม่มีเลยสักอย่างเดียว  เรื่องหนึ่งก็คือเกิดจากบุญกรรม  แต่อีกเรื่องหนึ่งที่เราสามารถไขว่คว้าและแก้บุญกรรม หรือแก้วาสนาได้ก็คือการรู้จักมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และมีอุดมการณ์ให้กับชีวิต  ความคิดของมนุษย์ในเรื่องคุณค่าและอุดมการณ์แตกต่างกัน  ทำไมคนยืนอยู่บนเขาจึงคุยกับคนที่เดินอยู่พื้นล่างไม่รู้เรื่อง ทำไมคนที่เคยทำงานกับคนที่ไม่ทำงานบางครั้งจึงพูดกันไม่เข้าใจ
ท่านเคยสงสัยไหม เคยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอเข้าใจไหมว่าเพราะอะไร  นั่นก็คือว่าเพราะเขาสองคนมีอุดมการณ์ต่างกัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากดูตั้งแต่ต้น คนหนึ่งมีอุดมการณ์แล้วพยายามทำไปให้ถึงอุดมการณ์จนสำเร็จ แต่อีกคนหนึ่งอุดมการณ์ในชีวิตยังไม่เคยมี ถ้ามาพูดกับเขาว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น  ฟังแล้วเป็นเรื่องที่รู้สึกว่า  เขาพูดโม้เกินไปหรือเปล่า  เขาพูดเพ้อฝันเกินไปหรือไม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้เรามาคุยกับท่านหากเราพูดว่าตัวท่านนั้นสามารถเป็นพุทธะกลับคืนเบื้องบนได้ วันนี้ฟังก็คงเหมือนกับเรื่องที่เมื่อครู่เราพูด คือคนที่อยู่บนเขาสูงกับที่ยังเดินอยู่รอบเขา  ยังไม่คิดที่จะไต่ปีนขึ้นไปที่สูง  แต่คนสองคนนี้เหมือนกันไหม (เหมือน)  มีทั้งเหมือนและไม่เหมือน ไม่เหมือนคือคนหนึ่งมีอุดมการณ์และไปถึงอุดมการณ์จนสำเร็จแล้ว แต่อีกคนหนึ่งยังไม่มีอุดมการณ์ยังไม่มีความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วความคาดหวังหรืออุดมการณ์ในชีวิตของท่านเป็นเรื่องใดกันบ้าง  (อยากเป็นผู้นำนำสิ่งที่ดีสู่สังคม) การจะเป็นผู้นำก็คล้ายๆ กับหินที่โยนลงไปในแม่น้ำใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้ขาดหินก้อนนั้น หินที่ยอมโยนลงไปในแม่น้ำแล้วเกิดวงแตกกระจายนับไม่ถ้วน คือขาดแบบอย่างที่ดี ถ้าสังคมมีแบบอย่างที่ดีสามารถชี้ชัดได้ว่า ทำดีแล้วบังเกิดผล ทำชั่วแล้วได้โทษ คนนั้นย่อมเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วนำสังคมไปสู่การกระทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้ขาดคนเช่นนี้ ขาดคนที่ยอมเสียสละ
เมื่อครู่เราบอกว่าคนนั้นต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำ กับอีกคนหนึ่งไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสิ่งใดเลย จึงทำให้เขาสองคนแตกต่างกัน เพราะว่าความมุ่งมั่นหรืออุดมการณ์ในชีวิตของคนแตกต่างกัน จึงทำให้ชีวิตของคนค่อยๆ ตีห่างจากกันทีละน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราเกิดมาในเพื่อนบ้านเดียวกัน แต่ทำไมเขาไปได้สูงแต่เรายังย่ำอยู่กับที่นั่นก็คืออยู่ที่อุดมการณ์ความมุ่งมั่น หรือการดูชีวิตของเขาหรือการวาดฝันชีวิตของเขา  หรือถ้าพูดให้ดีหน่อยก็คือการวาดค่าให้กับชีวิตของตนเองว่าจะเป็นในทางใด บางคนวาดค่าว่าอดทนเรื่องเล็กได้แต่อย่าให้เงินขาดมือ ขาดเงินฉันทนไม่ได้อดทน ในการทำงานลำบากตรากตรำได้ แต่อดทนให้  ไม่มีเงินทำไม่ได้  อดทนให้ตัวเองมอซอแบบนี้ไม่ได้ แต่อดทนลำบากเพื่อให้ตนเองมีเสื้อผ้าสวยๆ ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คืออุดมการณ์หรือคุณค่าในการมองชีวิตและมองรูปลักษณ์ในโลกใบนี้ต่างกัน
แต่สำหรับปราชญ์นั้นเวลามองสังคมมองโลกและมองค่าชีวิต เป็นอย่างไรรู้ไหมพระโพธิสัตว์และพระพุทธองค์ท่านมองค่าชีวิตว่าชีวิตคือความทุกข์  มนุษย์ทุกคนต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ ฉันจะต้องทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ให้ได้ ค้นหาความหลุดจากทุกข์นี้ให้เจอ แล้วนำพามวลชนไปสู่ความรู้แจ้งแห่งชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความแตกต่างระหว่างพุทธะกับมนุษย์ตรงที่เมื่อท่านตั้งความมุ่งมั่นแล้วท่านไปให้ถึง ความมุ่งมั่นของท่านไม่ใช่แค่ลาภยศเงินทอง แต่เป็นเรื่องชีวิต ค่าแห่งชีวิต ค่าแห่งการเป็นคน จึงทำให้ต่างกันราวฟ้ากับดิน เราสำเร็จได้เหมือนกันในเวลาเดียวกัน สำเร็จของเราเป็นการมีเงินมีทอง แต่ท่านสำเร็จได้เหมือนกันในเวลาเดียวกัน แต่เป็นการรู้แจ้งรู้ตื่นแล้วนำพามวลชนคืนสู่แดนนิพพาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ค่าของคนจึงต่างกันตรงนี้ ต่างกันตรงที่ว่าเราหวังอะไรกับชีวิต เราให้ค่าชีวิตมีค่าตรงไหน เราให้ค่าชีวิตมีค่าตรงแค่หาเงินทอง หรือเราให้ค่าชีวิตมีค่าทั้งหาเงินทองด้วย ช่วยเหลือชีวิตตนเองด้วยและนำพาชีวิตผู้อื่นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือความต่างกันอย่างฟ้ากับดินแต่ก็ไม่ใช่จะคุยกันไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งที่คนขึ้นไปบนที่สูงแล้วอยากบอกคนอยู่ที่ต่ำ แต่น้อยเหลือเกินที่คนอยู่ที่ต่ำแล้วขึ้นมาบอกคนที่สูง มีหรือไม่ (ไม่มี) มีเหมือนกันที่มาบอกว่าอย่าไปเลยเหมือนสำนวนที่ว่า  “สวรรค์มีประตูแต่คนไม่เดินนรก ไม่มีทางไม่มีประตูแต่คนจะไป”  แปลว่าชีวิตของคนเรานั้นเหมือนๆ กัน จะต่างกันตรงที่ไหน แล้วจะทำให้ค่าเราสูงส่งหรือต่ำต้อยก็อยู่ที่ว่าเรามุ่งมั่น เราคาดหวัง หรือเรามีอุดมการณ์ในเรื่องชีวิตและในเรื่องรอบตัวชีวิตอย่างไรกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
(มีนักเรียนท่านหนึ่งเรียนถามท่านหลันต้าเซียนว่า “อนุตตรธรรมนี่คือธรรมชาติที่เป็นจริงไม่ขึ้นกับเวลา มนุษย์ทำไมต้องเกิดมา แล้วเท่าที่นักวิทยาศาสตร์ค้นหา ปรากฏว่าสิ่งมีชีวิตมีเฉพาะบนดาวดวงนี้ ดาวดวงอื่นยังไม่ค้นพบ ทำไมอนุตตรธรรมถึงสร้างมนุษย์เฉพาะบนโลกดวงนี้”)  เขาถามว่าอนุตตรธรรมทำไมจึงสร้างมนุษย์ให้เกิดมาบนโลกนี้ ในดาวดวงอื่นทำไมจึงไม่ค้นพบ จริงๆ  ในดาวดวงอื่นก็มีสรรพชีวิตเหมือนกัน แต่สรรพชีวิตนั้นอาจจะไม่ใช่เป็นรูปร่างคน อาจจะเป็นรูปร่างอื่นที่เรายังสืบหา ค้นหาไม่เจอ  จะพูดว่าไม่มีชีวิตก็เป็นไปไม่ได้  ทุกสรรพสิ่งเมื่อมีโลก มีฟ้า มีสวรรค์ มีแดนให้คนอยู่ย่อมมีชีวิต  แต่ชีวิตอาจจะยังหาไม่เจอก็เป็นได้ นั่นขึ้นอยู่กับว่าภูมิปัญญาของคนได้ไต่เต้าไปถึงเท่าไหร่ จะพูดว่าในโลกนี้มีเฉพาะมีสรรพชีวิต จริงๆ แล้วเราอยากจะบอกว่าไม่  จริงๆ ดาวดวงอื่นก็มีชีวิตเหมือนกัน แต่ชีวิตอาจจะไม่ได้เรียกว่าคน ไม่ได้เรียกว่าสรรพสิ่ง ไม่ได้เรียกว่าพืช อาจจะเป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่นอกเหนือจากคำพูดจะกำหนดได้ พอเข้าใจไหม  เราแก้ให้เปลาะหนึ่งก่อน ส่วนอีกเปลาะหนึ่งทำไมมนุษย์จึงต้องเกิดมาบนโลกนี้  จริงๆ แล้วคำว่าเกิดดับมนุษย์เราเป็นคนกำหนดคำว่า เป็น อยู่ ตาย เปลี่ยนแปลง มนุษย์เราให้ตัวอักษรเป็นคำพูด แล้วการแบ่งแยกฟ้า สวรรค์ นรก มนุษย์ก็เป็นคนแบ่งอีกใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ สรรพสิ่งในโลกนี้หากพูดว่าเกิดดับทุกๆ ที่ก็มีเกิดดับ แต่เราสามารถจะดับได้ไหม หรือเราสามารถจะหยุดการเกิดได้ไหม ขึ้นอยู่กับตัวเราปฏิบัติต่อโลกใบนี้เช่นไร หากเราปฏิบัติได้ถูกต้อง ดำเนินได้ถูกหนทาง กลับคืนได้ถูกทิศทาง จะเป็นการดับที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป แต่เป็นเพราะว่ามนุษย์เราเมื่อมีโอกาสแล้ว บ่อยครั้งที่อยู่ตรงนี้ก็อยากไปตรงโน้น อยู่บนฟ้าก็อยากจะอยู่บนโลก  หากจะบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้ท่านเกิด แต่ตัวท่านเองนั่นแหละเป็นผู้ที่อยากลงมาเกิด อยากมาช่วยโลกเอง อนุตตรธรรมไม่ได้กำหนดให้ท่านลงมาเกิดคน แต่ให้ท่านลงมาทำหน้าที่  เมื่อลงมาทำหน้าที่ มาอยู่ตรงนี้แล้ว เราเกิดแล้วเราไม่ยอมกลับ  เราเกิดๆ ดับๆ แล้วหาทางกลับไม่ถูก หาทางดับไม่ถูกทาง  ฟังดูแล้วอาจจะยิ่งฟังยิ่งงง เพราะเรื่องเกิดดับเป็นเรื่องที่เรายากจะพูดถึง แต่ทำอย่างไรให้เราอยู่ตรงนี้ เข้าใจตรงนี้ แล้วเข้าใจเรื่องการเกิดดับได้ถูกต้องก่อน หากตรงนี้เรายังทำไม่ดี จะไปพูดทำไมในเรื่องอนาคต จะไปพูดทำไมในเรื่องที่เรายังไม่รู้แจ้ง จริงหรือไม่  บ่อยครั้งที่เราอยู่ในป่า เรารู้หมดว่าต้นไม้มีกี่ต้น นกมีกี่ชนิด  แต่ชีวิตเราเป็นอย่างไร นิสัยอย่างไร  เรารู้ไหม  แล้วเรียนรู้ป่าไปทำไม  ในเมื่อตัวเองยังช่วยตัวเองไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเรียนรู้ป่าต้องรู้จักสอนชีวิต มองธรรมชาติของชีวิต ต้องมองย้อนชีวิตตนเป็น อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเรียนรู้แล้วนำมาสอนตนเอง แล้วพาตนเองกลับคืนสู่ที่เดิมได้ แต่ตอนนี้เริ่มต้นเรายังไม่รู้ เดินไปยังไม่ถูกทาง ฉะนั้นเราจะไปพูดทำไมเรื่องอีกไกล  สู้เราพูดในเรื่องตรงนี้ให้ถูกแล้วเป็นได้ดี เมื่อเป็นไปได้ดี ไปได้ถูกแล้วไปดับ  อย่างนี้น่าสนใจกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  การรู้เรื่องอนาคต การรู้เรื่องโลกจึงเป็นเรื่องที่รู้แล้วยังไม่มีประโยชน์ จริงหรือเปล่า(จริง)  ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากบอกท่าน แต่อยากให้ท่านเข้าใจชีวิตตรงนี้ก่อน  ถ้าท่านเข้าใจชีวิต  ก็จะเหมือนกับสำนวนที่ว่า”อยู่ในบ้าน โลกภายนอกก็เรียนรู้ได้หมด” เพราะทุกๆ อย่างในโลกล้วนเกิดจากใจตนจริงหรือไม่ (จริง)  ทำไมเรียกว่าโลก ทำไมเรียกว่าฟ้า ทำไมเรียกว่าดี ทำไมเรียกว่าชั่ว  เพราะใจเราเป็นคนกำหนดจริงหรือไม่ (จริง)  แท้ที่จริงแล้วดีชั่วเหมือนกันไหมจริงๆ แล้วมีพื้นฐานเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่อีกคนหลงผิด อีกคนหนึ่งเดินทางถูกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการจะมาพูดวันนี้ เราต้องการจะมาพูดให้รู้จักชีวิตก่อน เมื่อรู้จักชีวิตแล้วนำพาชีวิตให้ถูกทาง ท่านย่อมสามารถหยิบใช้ฉวยของในโลกนี้ได้เป็น ไม่เดือดร้อน และไม่เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  อาจจะยังกระจ่างไม่หมด  แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อนดีไหม เพราะยังมีหลายคนที่สงสัยเหมือนกัน ถ้าวันนี้ทั้งวันเราตอบคำถามทุกคนคงตอบได้ไม่หมด  วันนี้เรามาคุยกันเรื่องชีวิตง่ายๆ ก่อน แต่ง่ายๆแบบนี้ทำไม่เคยสำเร็จสักที ดับทุกข์ไม่เป็นสักที จริงหรือไม่ (จริง)   
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องอยู่ร่วมกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ว่าจะทำงานหรือว่าจะปกป้องเภทภัย เราต้องใช้ความร่วมมือของทุกๆ คน  การดำเนินชีวิตคนเดียวบนโลกนี้ย่อมยากที่จะสำเร็จ ใช่หรือเปล่า แต่นั่นเพราะอะไร ทำไมอยู่บนโลกนี้ยังต้องมีกฎเกณฑ์ควบคุมคนในสังคม ให้ดำเนินไปในทางเดียวกัน ให้สอดคล้องกัน  ทั้งที่เราอยู่บนโลกนี้ ใครๆ ก็รักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น  ทำไมจึงต้องมีมาตรการหรือกฎเกณฑ์ของสังคมมา  ควบคุมจิตใจเรา  ทำไมจึงต้องมีคุณธรรมมาคอยบังคับไม่ให้เราพลาดพลั้งทำผิด เราเคยสงสัยไหม (สงสัย)  ชีวิตนี้เช้ามาหาเงิน หาเงินได้เป็นสุขแล้วนอนหลับ เท่านั้นหรือ  จริงๆ แล้วเราต่างหวังดีให้แก่กัน แต่เพราะอะไรบ่อยครั้งที่เราอยู่ร่วมกัน เรามักทะเลาะเบาะแว้งกัน  เพราะว่าเรามีความคิดที่แตกต่างกัน มีความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็มีกิเลสตัณหาที่เราใฝ่ ที่เราปรารถนาเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเหมือนกันเราก็เกิดการแย่งกัน เบียดเบียนทำร้ายกัน  แต่ถ้าต่างกันแล้วมากเกินขอบเขตที่ควรมี มากเกินขอบเขตแห่งความดี เราก็ย่อมทำร้ายเขาอย่างไม่มีสิ้นสุด เพราะว่ามนุษย์เรามีกิเลสและความเป็นตัวตนที่อยากจะได้ อยากจะมี จึงทำให้เราเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นโดยที่ยอมละเมิดคุณธรรมและความเป็นเพื่อน  โดยที่ยอมแม้กระทั่งทำร้ายบุพการีของตน เพียงเพราะตนต้องได้สมหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากทำเช่นนี้ เราก็ไม่ต่างอะไรกับสรรพสัตว์ในโลกนี้  สัตว์นั้นมีความรักแต่เป็นรักที่ไม่ตลอด  สัตว์ในบางจำพวกนั้นไม่รู้จักว่าใครคือพ่อแม่  แล้วบางทียังทำร้ายกันได้ลงคอแม้เป็นพี่น้องกันเอง  แต่มนุษย์เราประเสริฐกว่าสรรพสัตว์ เราต้องรู้จักควบคุมกิเลสตนเองให้เป็น  แล้วเราจะควบคุมกิเลสกันอย่างไรดี (พอใจในสิ่งที่เรามี)  แต่ความเป็นจริงของมนุษย์มักจะไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่  มักจะเอาชนะกิเลสในใจตนไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรเราถึงเอาชนะกิเลสในใจตนไม่ได้ (เพราะกิเลสมีมากกว่า)  เพราะกิเลสมีมากกว่าความดีในใจเราหรือ  อยากให้กิเลสมีน้อยกว่า อย่างนั้นต้องพยายามทำให้กิเลสมีน้อยให้จงได้ ดีหรือไม่  แล้วการจะเอาชนะกิเลสด้วยการกด ข่มไว้ เป็นวิธีที่ถูกไหม  โดยการขับไล่ไปเลยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ตราบใดที่มีชีวิต ตราบนั้นมนุษย์ยังมีความอยาก  ตราบใดที่ยังมีร่างกายมนุษย์ยังต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ  ยังต้องหาเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรกับตัวกิเลสที่อยู่ในใจเราดี (ต้องพยายามสงบจิตใจตนเองให้ได้)  ต้องพยายามสงบ หรือพูดง่ายๆ คือต้องพยายามควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้  ไม่ให้กิเลสนั้นพลุกพล่านและนอนเนื่องเป็นสันดานในตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะต้องพยายามละลายให้ได้  แต่การจะละลายนั้น  เราต้องรู้จักละลายให้เป็น  มีให้เป็น  อยากให้ถูก  มีแบบไหนเรียกว่ามีเป็น และอย่างไหนเรียกว่าอยากอย่างถูก (อยากได้โดยการรู้จักฐานะตนเอง)  นั่นคือรวมใจให้เป็นหนึ่งอย่าแตกแยกเป็นสอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความทุกข์ยากต่างๆ ล้วนเกิดจากใจ  เมื่อใจเป็นสอง ใจหนึ่งเรียกว่าขาว ใจหนึ่งเรียกว่าดำ  ดำคือกิเลส การใฝ่ไม่ดี  ขาวคือคุณธรรม ความดีงาม  ถ้ามีเท่าๆ กันการแสดงออกย่อมเป็นอย่างไร  ย่อมยากที่จะผิดหรือผิดไม่มากเท่าไหร่  แต่ถ้าเมื่อไหร่เรามีด้านใดด้านหนึ่งมากกว่าจนครอบคลุมได้หมด เราจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างเดียว  ไม่มีใจที่มาทำให้เราหวั่นไหว เปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราสามารถทำให้ใจเรากลายเป็นใจดวงเดียวกันได้ไหม 
บ่อยครั้งที่เรื่องราวบนโลกนี้ ความสุขก็ทำให้เราหลงลืมตัวเองเผลอกระทำผิด กลายเป็นทุกข์อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วความทุกข์ก็อาจจะทำให้เราจมปลักจนแทบจะไม่มีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรื่องราวในชีวิตนี้ บางครั้งเราอยากจะให้อยู่กับที่แต่ก็เปลี่ยนแปลงไป บางครั้งเราอยากให้เปลี่ยนแปลงแต่ก็อยู่กับที่  บางครั้งเราอยากให้สมหวังแต่เรื่องราวก็กลายเป็นผิดหวัง บางครั้งเราอยากออกห่างจากเขา ไม่อยากสมหวังกับเขา แต่ก็กลับกลายเป็นสมหวัง  เรื่องราวในโลกนี้บางครั้งอยากได้อะไรกลับยิ่งหนี  อยากมีอะไรกลับยิ่งยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่ยังรู้จักทำใจ หรือยอมรับ หรือพูดง่ายๆ คือปลงตกได้ คนนั้นย่อมสุข มีสวรรค์อยู่กับใจ  แต่ผู้ที่ปลงไม่ตกยอมรับสรรพเรื่อง สรรพชีวิตในโลกใบนี้ไม่ได้ย่อมเป็นทุกข์ มีนรกอยู่กับตน การรู้จักทำใจให้เป็น การรู้จักปลงตกกับชีวิต จะทำให้เรามีประโยชน์ จะทำให้เราสามารถมีชีวิตยืนหยัดอย่างเข้มแข็งห้าวหาญบนโลกใบนี้ บนเรื่องราวต่างๆ ที่พานพัดเข้ามาได้ โดยการปฏิบัติ โดยการกระทำ เมื่อไรเรายอมรับเรื่องราวได้ เรารู้จักที่จะเลือก เรารู้จักที่จะแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง ไม่รังเกียจดูหมิ่นดูแคลนใคร สามารถอยู่ร่วมกับใครๆ ก็ได้ สามารถรับเรื่องราวในโลกอะไรก็ได้  เราย่อมเป็นสุข จิตใจเราย่อมปลอดโปร่งและแจ่มใส  การยอมรับเรื่องราว การวางใจให้เป็นปกติสุข ไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง ไม่แยกใจให้เป็นสอง รวมใจให้เป็นหนึ่งในการอยู่บนโลกนี้ นั่นคือการบำเพ็ญตน นั่นคือการรู้จักนำพาชีวิตตนเองให้ดีงาม ให้รู้จักมีความสุขง่ายๆ กับชีวิต ยอมรับและเปิดใจกว้าง  เหมือนวันนี้หากท่านยอมรับเราไม่ได้ จะเป็นสุขไหมในการนั่งอยู่ร่วมกัน (ไม่เป็นสุข)  ไม่เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะให้เรากลับไวๆ ใช่หรือเปล่า (เปล่า)  มีใครขับไล่เราหรือเปล่า (ไม่มี)  แต่เมื่อครู่เราได้ยินแว่วๆ ว่าเมื่อไรจะจบเสียที  
การทำใจก็คงไม่ยาก ใช่หรือไม่  แล้วเมื่อเราเจอปัญหา เราจะต้องรู้จักสืบสาวหาเรื่องราวให้เจอ แล้วแก้ให้ได้  เมื่อแก้ให้ได้ ใจเราไม่วิตก ใจเราไม่กังวลกับสิ่งที่ผ่านมา ทำให้เบาใสเป็นสุข เราย่อมอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสันติและสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
บ่อยครั้งที่เรื่องผ่านไปก็เป็นทุกข์  เรื่องที่ยังไม่ผ่านมาก็กังวล จึงทำให้ชีวิตวันนี้วุ่นวายและยากสงบใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะกังวลกันอยู่สามกาล ไม่อดีตก็อนาคต  ไม่อนาคตก็ปัจจุบัน  สู้กังวลแต่ปัจจุบันแล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าผัดวันประกันพรุ่ง  โลกนี้ไม่มี  คำว่าพรุ่งนี้  โลกนี้มีแต่คำว่าวันนี้  ฉะนั้นทำไมเราไม่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ต้องมัวสะสม มัวกังวลในเรื่องอนาคต ถ้าวันนี้ดีจะไปกลัวอะไรกับอนาคต  ที่แล้วมาแก้ได้ด้วยการทำวันนี้ให้ดี  ที่แล้วมาสำนึกได้ แก้ได้ด้วยการทำวันนี้ให้ถูกต้อง  หากชีวิตเรารู้จักคำว่าถูกต้องและดีงาม จะกลัวอะไรกับความทุกข์ยากบนโลกนี้  หากชีวิตเรารู้จักเปิดกว้าง ยอมรับทำใจได้เป็น จะกลัวอะไรกับความทุกข์ยาก ลำบาก จริงหรือไม่ (จริง)  หากชีวิตเราอดทนเรื่องเล็กๆ ได้จะกลัวอะไรกับเรื่องใหญ่ จริงหรือไม่ (จริง)  จึงมีคำกล่าวว่ามองเห็นรูรั่วเล็กได้เราย่อมดับไฟ หรือดับภัยอันยิ่งใหญ่ได้ ถ้าเมื่อไรรูรั่วเล็กๆ ที่เกิดจากใจเราดับไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ยากจะมีสุขได้  ฟังตรงนี้แล้วพอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
มนุษย์เราตายแล้วไปไหน อยากรู้ไหม (อยาก)  ดูง่ายๆ มนุษย์เราชอบสิ่งไหนก็ไปสิ่งนั้น รักสิ่งไหนก็ไปหาสิ่งนั้น  ตอนนี้ท่านชอบสิ่งไหน เงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเงินทองหาได้ด้วยการทำอย่างไร  ทำงานและดิ้นรนไปแสวงหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้พอเดาได้หรือยังว่าเราตายแล้วเราจะไปไหน  มีทางจะไปสวรรค์ไหม  เพราะเมื่อมีเงินมีทอง ตัวจะเป็นอย่างไร (หนัก)  หนักแล้วก็หยาบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนักใกล้กับฟ้าหรือใกล้กับดิน (ใกล้กับดิน)  แล้วไปไหน รู้แล้วใช่หรือไม่  นี่คือเรื่องง่ายๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้เรามีชีวิต ทำวันนี้ให้เบา ใส สว่าง สงบในทางที่ถูก รู้จักควบคุมจิตใจให้ดีงาม ยอมรับในสิ่งที่ควรยอมรับ สิ่งใดที่ไม่ถูกไม่ควรรีบแก้ไข รีบปรับปรุง จะกลัวอะไรกับวันพรุ่ง  วันนี้ได้รับธรรมพรุ่งนี้ตายก็ไม่กลัว  วันนี้ฟังธรรมพรุ่งนี้ตายก็ไม่กลัวแล้ว  แต่จะมีใครสักกี่คนที่วันนี้ฟังธรรมพรุ่งนี้ตายแล้วกลัวบ้าง  กลัวกันหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรื่องเกิดดับในโลกนี้ อยากรู้ไหมว่าทำอย่างไรเราจะดับเรื่องราวในโลกนี้ได้ (อยากรู้)  อย่างนั้นดับความอยากก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วความดับในเรื่องนี้ หรือการดับในโลกนี้ ไม่ยากเลย  ดับอย่างไร  เมื่อไรที่เราไม่มีตัวตน เมื่อนั้นเราก็ตายแล้ว  เข้าใจคำว่าไม่มีตัวตนไหม เราเคยกล่าวไว้เมื่อประชุมธรรมครั้งที่แล้ว  เราพูดเรื่องการเกิดดับให้เขาฟังเหมือนกัน  ทุกคนสนใจกันใหญ่เลย  แต่ฟังจบแล้วดับไม่ได้สักคน  อย่างนั้นเราพูดง่ายๆ เกิดก็คือการมีชีวิตและรู้สึกเป็นตัวตน  ตายก็คือหมดชีวิต ไร้ตัวตน  ฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์มากระทบเรา เราดับได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไมดับไม่ได้  ก็เพราะลืมตัวตนไม่ได้  เมื่อใดที่ลืมตัวตน ไม่มีที่ให้กิเลสอยู่  กิเลสจะเกาะอะไร จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อกิเลสไม่เกาะการดับ  การเกิดจะต้องมานั่งพูดไหม (ไม่)  
มีชีวิตเพียงเพื่อทำวันนี้ให้ดีที่สุด  ทำหน้าที่ ทำภาระตนเองให้ดีที่สุด  มีโอกาสช่วยคน นั่นแหละก็คือการเกิดมา  แต่คนเรามักจะเป็นอย่างไร  ดับอารมณ์ไม่ได้  ดับความอยากไม่ได้  เหมือนเกิดเป็นแต่ดับไม่เป็น  อยากได้แต่หยุดไม่เป็น  เอาแต่อยากๆ ไปเรื่อยๆ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วทำไมไม่หยุดกัน  หยุดไม่ใช่แค่หลับ แต่ต้องหยุดที่ใจ  เพราะเมื่อไรที่เราหยุดที่ใจ หรือว่าพอ เมื่อนั้นเราเป็นสุข จริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นการเกิดดับในโลกนี้จะกลัวอะไร  ถ้าเมื่อไรเราลืมตัวตน  การเดินทางในโลกนี้เมื่อเราเดินจนถึงสุดปลาย  ทิ้งตัวตนเสีย  เมื่อนั้นเราก็จะดับได้  แต่เมื่อไรเราทิ้งตัวตนไม่ได้  เมื่อนั้นแม้จะไม่มีกายแล้ว ใจเราก็ยังกังวล เกาะติดกับอารมณ์ เกาะติดกับลูกหลาน  เพราะว่าฉันคนนี้มีลูก ตัวฉันคนนี้มีเงิน  ฉันคนนี้ก็เลยยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด  เพราะว่าดีดตนเองจากกิเลส  ดีดตนเองจากโลกใบนี้ไม่ได้  เมื่อไรที่ดีดได้ต้องดีดได้ทั้งตัวตน ทั้งวัตถุรูปนามได้ด้วย  เมื่อดีดได้ทั้งสองอย่าง  เมื่อนั้นย่อมหลุดพ้น จริงหรือไม่  (จริง)  แต่เมื่อไรรูปนามดีดได้  แต่ตัวตนดีดไม่ได้ นี่คือตัวฉัน นี่คือของๆ เธอ นี่คือของๆ ฉัน  เมื่อนั้นไม่มีวันหลุดพ้น  เพราะว่ายังติดอยู่ ยังมั่นอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  ดูง่ายๆ เหมือนคนที่ชอบมอง ชอบดูภาพไม่ดี  ตายไปก็ไปเกิดเป็นอะไรรู้ไหม จิ้งจกที่เกาะอยู่ฝาผนัง  ภาพอะไรสวยไม่สวยก็ได้ดูหมด ได้ดูทุกวันเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  เหมือนใครชอบทำอะไรในที่ลับ ซ่อนในที่มืด  ชอบอยู่ในที่มืดๆ ที่สว่างอยู่ไม่ได้ อยู่ในที่มืดๆ แล้วมีเสียงเพลงดังกึกก้อง ตายไปก็ไปไหน ก็กลายเป็นไส้เดือน กิ้งกืออยู่ใต้ดิน  เพราะเวลาคนเหยียบทีหนึ่งก็เป็นจังหวะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการดำรงชีวิตของเราตอนนี้  วันนี้จะเป็นตัวผลักดัน  จะเป็นตัวชี้ชัดว่าเราจะไปทางใด  หากวันนี้ไม่เร่งรีบปฏิบัติ  หากวันนี้ไม่เร่งรู้ตื่นชีวิตตนเองให้มีค่า  ให้มีปณิธาน  ให้มีอุดมการณ์ที่สูงส่ง  เราก็จะเป็นนกที่พอใจบินอยู่กับพื้น  หรือเดินต๊อกๆ อยู่กับดิน จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วนกที่อยู่บนฟ้ากับนกที่อยู่บนดินต่างกันหรือไม่ (ต่าง)  ไม่ต่างเลย  อยู่ที่ว่าเมื่อไรจะก้าวให้ตนเองมีอุดมการณ์  มีคุณค่าแล้วรู้ค่าชีวิตที่แท้จริง 
หากมีเมืองๆ หนึ่ง  ภายในเมืองๆ นี้ คนทำงานหรือคนปฏิบัติงานสามัคคีกลมเกลียวกัน  ศัตรูจะมารุกรานย่อมยาก  ครอบครัวๆ หนึ่งจะแตกแยกหรือเป็นสุขต้องเกิดจากภายในบ้านอยู่ร่วมกันได้อย่างฉันท์มิตรก่อน  หากมีใครคนใดคนหนึ่งเกิดจิตใจฝักใฝ่ภายนอก  การที่คนอื่นจะมายุยงส่งเสริมให้แตกแยกย่อมเป็นการง่าย  หากตัวเราหรือสรรพสิ่งนั้นเน่า หนอนย่อมเกิด  เฉกเช่นเดียวกันหากภายในตัวเรามีความคิดที่อกุศล  มารย่อมลงมาสู่  ใจไม่ดีย่อมปรากฏ  นั่นก็คือว่าสรรพสิ่งในโลกนี้จะดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับใจภายในของเราคิดเช่นไร  หากเราไม่มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ไม่คดโกง  มารจะมากล้ำกรายได้ไหม (ไม่ได้)  ความทุกข์ยากจะมาสู่เราได้ไหม (ไม่ได้) ก็ไม่ได้  ฉันใดก็ฉันนั้น  หากจิตเราวางได้ถูก  รากเราลงได้ถูกไม่มีหนอนมาชอนไช  รู้จักดูดซับสิ่งที่ดี การบำรุงเลี้ยงต้นย่อมเจริญเติบโตงดงามได้  หากใจเรารู้จักบ่มเพาะในสิ่งที่ดีงาม  รู้จักเลือกสรรว่าอะไรดี อะไรควรรับ อะไรควรหยุด อะไรควรมี  การจะเจริญเติบโตหรือมีชีวิตบนโลกนี้ย่อมเป็นสุขและเจริญงอกงาม  เป็นสิ่งที่ต้องการของทุกคน  ฉะนั้นใจจึงเป็นส่วนสำคัญ  หากเราไม่ควบคุมให้ดี  กฎเกณฑ์สังคมอะไรก็ยากจะควบคุมได้  กฎหมายบางทียังควบคุมได้ไม่หมด  ไม่เหมือนกฎแห่งคุณธรรมศีลธรรม ควบคุมได้ทั้งนอกและใน ควบคุมทั้งที่มืดและสว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงไม่ควรละเลยคุณธรรม และเราจึงไม่ควรมองข้ามคุณธรรมในการปฏิบัติ  เมื่อไรที่เราสามารถมีชีวิตได้อย่างกลมกลืนสอดคล้องได้ เรียกว่ามีอย่างพอเหมาะ อยากให้อยากอย่างรู้ควร  อะไรดีอะไรชั่วแบ่งแยกให้เป็น รู้เด่นชัด  การดำเนินชีวิตให้มีคุณธรรมจึงไม่เป็นเรื่องยากเลย  การดำเนินชีวิต ให้บำเพ็ญตนให้เป็น ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเหมือนกัน จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าอะไรควร อะไรไม่ควร (รู้แล้ว)  รู้หรือยังอะไรดี อะไรร้าย (รู้)  เราดีท่านร้าย การคิดแบบนี้ก็ไม่ถูก ต้องเรียกว่าเราดีได้ เขาต้อง (ดีได้)   เรารวยได้  เขาต้อง (รวยได้)  ทำได้ไหม  นั่นแหละก็คือการฝึกจิตใจ ความเป็นคนที่มีเมตตา  ฝึกจิตใจที่รู้จักให้  บ่อยครั้งที่เรามักพูดว่า สังคมเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เอาแต่ได้  แต่พอถึงคราวที่เราเสียสละ ทำไมท่านกลับเห็นแก่ตัวตามเขาไปด้วย  พอถึงคราวที่เราต้องเสียสละ เรากลับพูดว่าปล่อยๆ ไปเถอะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือไม่ก็บอกว่าเอาไว้ทีหลัง เอาไว้วันหน้า  แล้ว
วันหน้าเมื่อไรจะมีวันนี้สักที  จริงหรือเปล่า (จริง)
การจะเรียกร้องสังคม การจะเรียกร้องผู้อื่น หรือการจะเรียกร้องแม้
กระทั่งบุตรหลานตัวเอง  หากตนเองไม่เคารพตนเองใครจะเคารพเรา  หากตัวเราเองไม่นำก่อน  ใครจะตามเรา แล้วใครจะเชื่อเรา 
คงเป็นการพูดสั้นๆ เท่านี้  สงสารผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนกันจนเมื่อยแล้ว  รู้เรื่องกันทั้งหมดไหม  อย่าบอกนะว่าฟังได้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งฟังไม่รู้เรื่องแล้ว  สิ่งที่เราทิ้งไว้ก็คือกลอนทั้งหมดนี้  ตรงไหนไม่เข้าใจ ไม่แจ่มแจ้งขอให้มีโอกาสมาทบทวนศึกษาได้หรือไม่ (ได้)  วันนี้ฟังธรรมทั้งหมดให้รู้เรื่องก็คงเป็นไปไม่ได้  มีโอกาสขอให้มาเพิ่มอีกวันหนึ่งได้หรือเปล่า (ได้)  
เราไม่ได้มาเพื่อให้ท่านมาเคารพเราหรือยกย่องเรา แต่เราอยากให้ท่านได้รู้ว่าชีวิตคนเราเป็นสิ่งมีค่า ขอให้ถนอมรักษาให้ดีและนำพาให้ถูกทาง  การจะกลับคืนสู่แดนนิพพาน หรือการจะกลับคืนสู่ที่มาเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่วันนี้และวันพรุ่งนี้หรือต่อๆ ไป ทุกคนล้วนมีแต่เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง  หากเบาได้ขอให้เบา แล้วเอาเวลาที่สามารถปลีกได้มาช่วยเหลือ     ตนเองและมานำพาคนอื่นได้หรือไม่ (ได้)  ท่านคิดว่าการมีเงินทองกับการมีคุณธรรม สิ่งไหนควรมีมากกว่ากัน สิ่งไหนช่วยชีวิตเราได้ตลอดมากกว่ากัน (คุณธรรม)  เงินทองช่วยได้แค่กายปลอมตัวนี้ แต่คุณธรรมช่วยได้ทั้งตัวนี้และตัวที่อยู่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำพูดเราจะเป็นจริงหรือหลอกลวงขอให้เอาไปพิจารณาดู  หากท่านนำคุณธรรมไปใช้ได้ คุณธรรมจะช่วยทั้งกายเนื้อและพุทธจิตธรรมญาณ  แต่เงินทองช่วยได้แค่กายเนื้อเท่านั้นเอง พิสูจน์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  รอท่านปฏิบัติ  ขอให้พยายามทำให้ได้  เอาชนะใจตนเองให้ได้  ชนะคนอื่นไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าตนเองยังไม่เคยชนะเลย  สะสมทรัพย์แม้จะมีมาก  แต่มีแล้วก็มาหวาดวิตก  ไม่เหมือนมีคุณธรรม มีมากเท่าไหร่ก็ไม่ต้องวิตก ถ้าคนนั้นไม่ยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งมีคุณธรรมก็ยึดติด   คุณธรรมอีก  เช่น สร้างกุศลร้อยบาทก็ต้องมีชื่อ ต้องเขียนชื่อ  แต่อย่าลืมว่าปิดทองหลังพระย่อมมีคุณธรรมยิ่งใหญ่กว่า  ช่วยโดยไม่หวังผลย่อมมีบุญกุศลมากกว่า  อยู่บนโลกนี้ดำเนินชีวิตมาถึงสุดปลายแล้ว ขอให้ทิ้งตัวตนเสีย อย่าได้กังวล  เมื่อใดทิ้งตัวตนได้ เมื่อนั้นย่อมเบา  ถ้าเมื่อไรยังทิ้งความเป็นตัวตนไม่ได้ เมื่อนั้นย่อมหนัก  การจะกลับคืนสู่เบื้องบนย่อมเป็นการยาก  การจะมีจิตใจที่โปร่งใสเบาสบายเมื่อยามมีชีวิตก็เป็นการยากเช่นกัน  ขอให้ดูแลรักษาตนเองให้ดี ๆ  อย่าพาตนเองตกลงไปในห้วงเหวแห่งโลกีย์อีก  สวรรค์มีทางให้แล้ว เป็นสวรรค์ที่สูงสุดหรือเรียกง่าย ๆ ว่านิพพาน  ขอให้รู้จักค้นหา หาให้เจอแล้วเดินให้จงได้  แล้วเราก็จะไปพบกันที่นั่น อย่าพบกัน  ตรงนี้เลย  

วันอาทิตย์ที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อันความสุขที่แท้จริงคือสิ่งใด สละให้ผู้อื่นไม่หวังผล
ชีวิตหนึ่งเวลาสั้นย้อนมองตน ศิษย์ทุกคนขอโปรดจงได้เห็นตาม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานบ้านสกุลหยัง  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

อย่ากลัวความยากลำบากเลยศิษย์รัก แบกของหนักจึงรู้เบาเป็นไฉน
บำเพ็ญธรรมเสมอต้นเสมอปลาย เร่งละลายเหล่ากิเลสในใจตน
เมื่อเคยแพ้จึงชนะอย่างภาคภูมิ ศิษย์มีปูมความหลังคอยส่งผล
วิบากกรรมนำพาศิษย์จำทน ไปช่วยคนพ้นวิบากได้เป็นไท
เรือน้อยล่องกลางทะเลมรสุมมาก ละความอยากในใจตนให้สลาย
เป็นพุทธะต้องศึกษาให้เข้าใจ เป็นคนใหม่หลังจากได้ผ่านหล่อหลอม
ในวัยหนุ่มระวังเรื่องกามตัณหา ฉกรรจ์มาใจนักเลงขาดอ่อนน้อม
วัยชราหลงละโมบต้องตรมตรอม ศิษย์จงพร้อมระวังสามเวลานี้
จงปล่อยวางซึ่งสิ่งใดควรปล่อยวาง ใจสว่างอยู่ร่วมกันดั่งน้องพี่
จะใกล้ไกลบอกตนเองเวลามี ขยันที่มาสถานธรรมฟื้นดวงญาณ
ฮา  ฮา  หยุด

ชีวาไม่เคยแน่นอน  ขึ้นลงเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป  เวียนว่ายในสุขทุกข์ที่วุ่นวาย  ไปกับอารมณ์นั้น  เวลาที่ทนทุกข์ใจ  ใครใคร่ครวญกว่านั้น  ความเศร้าในวันนั้น  แม้เจ้าผ่านโปรดได้รู้ระวัง
*ผลีผลามเป็นสุขที่ไหน  คนใจร้อนสอบเป้าหมาย  เมื่อจิตใจร้อนใหญ่  นาทีไม่ยอมจะรอ  ผลุนผลันเป็นสุขที่ไหนเหมือนไม้แข็งไม่อาจงอ  ฝึกจิตใจให้รอ  บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่
ใครนำสิ่งดีของตน  เผยความไม่ดีสหาย  คุณธรรมสลายมิคงหยุดอยู่มิอาจเหลือไว้  แค่เพียงหากใครรู้ตน  ก็จงได้หมั่นแก้ไข  ตนได้ทำแค่ไหนผลงาม       ย่อมตกเท่าตนได้ทำ

ทำนองเพลง : สงสารกันหน่อย
ชื่อเพลง :   บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เรือลำนี้นั่งไม่สบายเลยนะ  อาจารย์อยู่ในเรือรู้สึกเรือจะโยก  แสดงว่าเราพายไม่นิ่งพอ  ถ้าเราพายเก่งๆ เรือต้องไปตรงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเรือยังโยกไปโยกมาอีกล่ะ (พายไม่พร้อมกัน)  พายไม่พร้อมกัน พายแล้วเรือหมุนไปหมุนมาเพราะว่าไม้พายชนกัน คนหนึ่งอยากจะพาย ข้างซ้าย คนหนึ่งอยากจะพายข้างขวา ถ้าพายแบบนี้เรือก็จะหมุน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คงเป็นคำตอบจากผู้ที่เคยพายเรือ เพราะฉะนั้นการพายเรือเป็นเรื่องง่ายไหม (ไม่ง่าย)  อาจารย์ ทำไมบอกว่าเวลาที่เราพายเรือแล้ว เรือลำนี้นั่งไม่สบาย เพราะว่าเรานั้นต้องอาศัยความสามัคคีเป็นหลัก  หากว่าเรานั่งอยู่ในเรือเราก็ย่อมรับรู้ได้ว่าเรือลำนี้พายได้ตรงดีหรือไม่  ถ้าหากว่าเราอยู่นอกเรือเป็นแต่คนมองไกลๆ  เราจะรู้ไหมว่าเรือลำนี้พายแล้วรู้สึกอย่างไร (ไม่รู้)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องเข้ามานั่งบนเรือลำนี้เอง  เหมือนกับสองวันนี้ที่ตั้งใจมาศึกษาธรรมะต้องศึกษาเอง  ศึกษาแล้วลองดูเรือตัวเองว่าโยกไปโยกมาหรือเปล่า (โยก)  เรือในหัวตัวเองหมุนไปหมุนมาหรือเปล่า (หมุน)  สงสัยบ้างไม่สงสัยบ้าง ศรัทธาบ้าง สงสัยบ้าง เป็นหรือเปล่า (เป็น)  แสดงว่าเรายังนั่งไม่สบาย  เมื่อเรือของเรานั่งไม่สบาย  ถามว่าจะให้คนอื่นมานั่งได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นจะต้องกำราบอะไรที่อยู่ในใจของเราก่อน (กิเลส)  ถ้าพายนิ่งๆ ดีก็เรียกว่า “เรือ” ถ้าไม่นิ่งเรียกว่า “ลิง” ดีไหม (ดี)  เพราะใจของเราว่องไวรวดเร็ว  เร็วดีหรือเร็วไม่ดี (เร็วดี, เร็วไม่ดี)  เวลาที่เราจะปฏิบัติงานธรรม  เวลาที่เราจะบำเพ็ญธรรม  ช้าดีหรือเร็วดี (เร็วดี)  ถามว่าเร็วต้องเร็วแบบไหน (มั่นคง) ถ้าช้าต้องไม่ช้าอืดอาด  ถ้าเร็วต้องเร็วแบบคนที่มั่นคงแล้ว  ถามว่าเราเป็นคนเร็วหรือคนช้า (ช้า)  ช้าอืดอาดหรือเปล่า (ไม่อืดอาด)  ก็คอยดูว่าหลังจากจบชั้นเรียนสองวันนี้ไปแล้วจะช้าอืดอาดหรือเปล่า  ใครพูดอะไรให้เราฟัง เราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร  ก็ไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไร  หลังจากสองวันนี้ ไม่เข้าใจมากก็ต้องเข้าใจน้อย  ถามว่าน้อยหรือมากสำคัญตรงไหน ไม่เป็นไรขอให้ทำจริง กลัวแต่ว่ากลับไปแล้วก็เป็นคนช้าอืดอาด  รู้ว่าดีแต่ไม่ทำหรือว่ามันฝืนใจตัวเองไม่ไป อุปสรรคใหญ่อยู่ที่ใจเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอย่างไรดี ทุบใจทิ้งดีไหม (ไม่ดี)  ทำอย่างไรกับใจตัวเองดี (ชนะใจตัวเอง)  ชนะหรือเปล่าเดี๋ยวก็รู้ อยู่มาตั้งเป็นสิบปีชนะตัวเองได้ไม่กี่หน  ดูว่าคราวนี้อุดมการณ์สูงส่งจะชนะจิตใจอันเป็นจิตใจกิเลสของเราได้หรือไม่  
เมื่อยหรือยัง (ยัง)  ยังไม่เมื่อยก็พายอีกสักรอบหนึ่ง  เขาบอกให้เราพายขวา เราก็ขวา เขาบอกให้เราพายซ้าย เราก็ซ้าย ดีหรือเปล่า (ดี)  ไม่ใช่คนหนึ่งอยากขวาคนหนึ่งอยากซ้าย พายไปพายมา เรือ หมุนไปหมุนมา ไม่ต้องไปไหน อยู่กับที่  ขนาดการพายเรือ กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่สถานธรรมนั้นให้ศิษย์ทำ  ให้ศิษย์ร่วมพายยังทำได้ไม่พร้อมเพรียงเลย  แสดงว่าการศึกษาธรรมะหรือว่าการหัดสิ่งใดก็แล้วแต่ต้องอาศัยเวลา  จะใช้เวลาแค่สองวันคงไม่พอ  ต้นไม้ไม่สามารถโตขึ้นได้ภายในสองวันหรือสามวัน  เช่นเดียวกัน การที่ศิษย์ของอาจารย์มาศึกษาธรรมะ ศึกษาแล้วยังต้องเอาไปปฏิบัติ  หากว่าไม่ปฏิบัติก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งเห็นจริงได้  บางคนอ่านหนังสือเก่ง แต่ว่ารู้แจ้งเห็นจริงแต่ในตัวอักษรในตัวหนังสือเท่านั้น  เขาพูดเรื่องความเมตตาดี พูดเรื่องการอภัยดี  แต่ถามว่าเราเคยอภัยไหม (เคย) เราเคยเมตตาไหม (เคย)  แล้วถามว่าการเมตตาและอภัยของเรานั้นได้ดียอดเยี่ยมหรือยัง (ยัง)  แสดงว่าสิ่งที่รู้แจ้งเห็นจริงของคนสมัยนี้เป็นเพียงการรู้แจ้งเห็นจริงในกระดาษ ในหนังสือ ในคัมภีร์ต่างๆ เท่านั้น  ถ้าหากว่าเราเคยปฏิบัติก็จะรู้ว่าการรู้แจ้งเห็นจริงเป็นเช่นไร  ไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริงตามคำเขาว่า  ไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริงเพียงแค่เดี๋ยวเดียว แต่เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงอย่างตลอดเวลา  เพราะฉะนั้นการที่ศึกษาธรรมะในสองวันนี้ก็เพื่อให้เรานั้นมีความเข้าใจ เพื่อให้เรานั้นมีความตั้งใจที่จะทำดีต่อไป  เพื่อให้เรานั้นบรรลุเป็นพุทธะในวันข้างหน้า สำคัญหรือไม่ (สำคัญ)  เพราะว่าชีวิตของเราวันนี้ คนเขาเรียกเราเป็นพุทธะหรือปุถุชน (ปุถุชน)  เป็นปุถุชนเดิมทีก็ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นคนธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าคนเขาเรียกว่าเป็นพุทธะเดินดินยิ่งดีกว่าไหม (ดีกว่า)  แต่ถามว่าเป็นพุทธะเดินดิน ทำยากหรือเปล่า (ยาก)  เป็นพุทธะเดินดินทำอย่างไร (ต้องบำเพ็ญ, ต้องมีเมตตากรุณา)  
ผู้ชายมาหรือเปล่าวันนี้ (มา) แน่ใจหรือที่บอกว่ามา  เรามาแข่งกันดีกว่าว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ใครจะชนะ  ถ้าคนสุดท้ายตอบที่ฝ่ายชายให้ฝ่ายชายเป็นผู้ชนะ  ถ้าคนสุดท้ายตอบที่ฝ่ายหญิงให้ฝ่ายหญิงชนะ  ดีไหม (ดี)  เพราะฉะนั้นยอมแพ้ไม่ได้  อาจารย์ให้เวลาห้านาที  คำถามว่าเป็นพุทธะเดินดินทำอย่างไร (ตั้งใจปฏิบัติดี, ตั้งใจปฏิบัติธรรม, ฉุดช่วยผู้อื่นให้มาร่วมฟังธรรม, ลงมือปฏิบัติ, มีความกตัญญู, การทำจิตใจให้บริสุทธิ์, มีใจที่แน่วแน่และมั่นคง, ปฏิบัติธรรมด้วยความจริงใจและเต็มใจ, รู้จักเสียสละ, ต้องรู้แจ้งเห็นจริง) คนสุดท้ายเป็นฝ่ายไหน (หญิง)  ผู้หญิงชนะ
เวลาที่ศิษย์ของอาจารย์มองดูไป  โลกรอบๆ ข้างในขณะนี้  มองเห็นไหมว่าภัยพิบัตินั้นมากมายเหลือเกิน  บางคนนั้นไม่ทุกข์ไม่ร้อนเพราะเห็นว่าภัยพิบัตินั้นไม่ได้อยู่กับเรา  ไม่ได้เกิดหน้าบ้านเรา และไม่ได้เกิด    ตรงหน้าเรา  ภัยพิบัติหมายความว่าอย่างไร  ภัยพิบัติไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นภัยที่อยู่ไกลตัวเรา   แต่หมายถึงเป็นภัยที่รอบๆ ข้างเราและมิหนำซ้ำ ภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดคือภัยพิบัติที่อยู่ภายในใจของตัวเอง  เวลาที่สำคัญที่สุดคือเวลาของอะไร  ไม่ใช่เวลาของโลกนี้แต่เป็นเวลาของชีวิตตัวเราเอง  เหมือนกับเมื่อครู่ศิษย์ก็เห็นอยู่  ปกติคนเราไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง  วันไหนเกิดวันไหนไปไม่มีใครรู้  แต่เมื่อครู่อาจารย์บอกให้ชัดๆ ว่าเวลาจะหมดแล้ว  ปกติเราจะต้องเดือดเนื้อร้อนตัว ต้องรีบตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะต้องทำอย่างสุดกำลัง  ไม่ใช่มัวแต่ตัดสินใจ   อันนี้เรียกว่าช้าอืดอาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่า  เวลาที่เห็นว่าเวลาจะหมดอยู่อย่างนี้  จะต้องรีบร้อน  รีบร้อนอย่างมั่นคง  
ผู้บำเพ็ญธรรมมั่นคงได้ด้วยสิ่งใด  มั่นคงได้ด้วยหลักสัจธรรม  มั่นคงได้ด้วยคุณธรรมที่ตัวเองคิดว่าตัวเองมีพอแล้ว  ถ้าหากศิษย์ของอาจารย์รู้ว่าเวลามีน้อย  แต่คุณธรรมของตัวเองไม่มีเลย  ถามว่าเมื่อหมดจากชีวิตนี้ไป  ไปไหนดี (นิพพาน)  คำถามที่ว่าคนเราตายแล้วไปไหนควรจะเป็นคำถามที่ต่างคนต่างตอบเอง  มีคนบอกว่าอยากไปนิพพาน  คนที่ไปนิพพานได้เป็นพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าเราเหมือนพุทธะหรือยัง  แล้วชั่วชีวิตนี้ของเราจะเหมือนพุทธะได้ไหม (ได้)  แต่มีเงื่อนไขสำคัญนั้นคือคนไม่รู้ว่าชีวิต วันไหนมา วันไหนไป   เพราะฉะนั้นเวลาของชีวิตเราอาจจะเหลือแค่คืบเดียว  แค่สามคืบหรือเป็นเมตร  ไม่มีใครรู้  ฉะนั้นจึงบอกว่าศิษย์ของอาจารย์ต้องมีสติทุกๆ ขณะจิตใช่หรือไม่ (ใช่)  รีบร้อนแต่รีบอย่างมั่นคง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่มีคุณธรรมปลอมๆ หรือความดีปลอมๆ  แต่ต้องมีความดีจริงๆ มีคุณธรรมจริงๆ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นแรงแค่ไหน หรือว่าจะพรากเอาชีวิตของเราไป  เราก็ต้องไม่สูญเสียความดีของเราไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดว่าอยู่บนโลกนี้ทำในสิ่งที่พุทธะทำ  เห็นในสิ่งที่พุทธะเห็น  ช่วยคนเหมือนที่พุทธะทำนั้น  ถามว่าตายไปแล้วก็เป็นพุทธ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดวันนี้ทำดี  พรุ่งนี้ดีน้อยๆ  มะรืนนี้กลับมาดีมากอีกแล้ว  แต่มะเรื่องนี้ก็ไม่มีความดี  เหมือนกับที่เขาบอกว่า “ดีครึ่งไม่ดีครึ่ง”  ถามว่าอย่างนี้เป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)   ไปอยู่ที่ไหนที่ครึ่งๆ ดี  ตายไปเป็นอะไร (เปรต) ก็ไปอยู่ที่ครึ่งๆ  คิดเอาเองว่าที่ครึ่งๆ เรานั้นครึ่งอยู่ทางไหน  เพราะแต่ละคนก็ครึ่งไม่เท่ากัน  ถ้าหากว่าเรามีความดีเต็มเปี่ยมเราก็พุ่งขึ้นสูงสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่ายังมีความดีไม่เต็มเปี่ยม เราก็ขึ้นเท่าที่เรามีแรง  ก่อนถึงนิพพานเป็นอะไร (สวรรค์)  เรียกว่าสวรรค์   สวรรค์ทะลุไปถึงจะเป็นนิพพานใช่หรือไม่   เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำดีแค่พอไปสวรรค์เราก็ไปอยู่สวรรค์  ถ้าเราทำความดีแค่เหมือนที่มนุษย์ทำ  ชาติต่อไปเราก็เกิดมาเป็นมนุษย์อีก ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ถ้าเราร่วงหล่น  ความดีของเราทำไม่ถึงเกณฑ์ที่มนุษย์เป็น  เรียกว่าเป็นสัตว์ในคราบของมนุษย์     ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชาตินี้เราไม่ใช่สัตว์  แต่ชาติต่อไปใช่ไหม (ใช่)  ก็คือหมุนกลับมาแล้วมาเกิดเป็นสัตว์  เป็นวัวก็ดี  เป็นม้าก็ดี  เป็นหมูก็ดี  ชอบกินใช่ไหม  เพราะฉะนั้นชาติหน้าก็เกิดมาให้คนอื่นกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่) การเกิดเป็นอะไรแล้วแต่เรากำหนด  แต่ถ้าหากว่าทำความชั่วมาก  ก็ต้องลงไปเกิดเป็นผีนรกก่อน  ต้องรับกรรมให้เสร็จจึงจะสามารถกลับชาติมาเกิดอีกได้  หรือไม่ก็อาจจะเป็นครึ่งอย่างที่หัวหน้าชั้นฝ่ายหญิงว่า  เพราะฉะนั้นอยากเป็นอะไรตัดสินใจให้ดี ดีหรือไม่ (ดี)  
แดนโลกมนุษย์นั้นเป็นเสมือนทางผ่านของภพภูมิทั้งมวลจะผ่านจากภพนี้ไปเป็นพุทธะย่อมได้  ผ่านจากภพนี้ไปในภพที่ต่ำกว่า  ย่อมได้  ผ่านจากภพนี้ขึ้นไปสู่นิพพานย่อมได้  ย่อมอยู่ที่เราตัดสินใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อคนที่ตัดสินใจแล้ว มีเป้าหมายแล้ว  ถามว่าเวลาที่เราอยากจะทำดี เราจะเป็นพุทธะ  เวลาที่คนชั่วมาเอาเปรียบรังแกเรา เราทำอย่างไร (อภัย)  ขอให้ศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนตั้งความมุ่งมั่นให้ดี  เวลาเจอคนชั่วมารังแกก็อย่าไปรังแกคนชั่วนะคนดีทั้งหลาย รู้ไหม  
พิธีรีตองเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเป็นการสอนให้คนนั้นรู้จักระเบียบ  เหมือนกับเราใช้ชีวิตที่ในบ้านของเรา เราก็ต้องมีพิธีรีตองด้วย  เวลาเราจะออกจากบ้านเราต้องบอกใคร (พ่อแม่)  เวลาเรากลับเข้าบ้านแล้วต้องบอกใคร (พ่อแม่)  เวลาเราจะนั่ง เราต้องให้ใครนั่งก่อน (พ่อแม่)  เวลาเราจะ กินน้ำต้องให้ใครกินก่อน (พ่อแม่)  เวลาเราจะกินข้าวต้องให้ใครกินก่อน (พ่อแม่)  ถามว่าเคยทำหรือเปล่า (เคย)  เวลามาพุทธสถานเราต้องมากราบ องค์มารดาบอกว่าเรามาถึงแล้ว  เวลาเราไปก็เช่นเดียวกัน  เวลาจะนั่งเราก็ต้องดูซ้ายดูขวาว่าคนอื่นเขายืนหรือนั่ง  เวลาอาจารย์มาก็ต้องรู้จักทักทายอาจารย์  เวลาอาจารย์ถามก็ต้องตอบ  
เมื่อครู่นี้ร้องเพลงฉันอยู่ที่นี่มีความสุข อยู่ที่นี่ทุกคนมีความสุขจริงๆ หรือไม่  ความสุขที่แท้จริงอยู่ไหน (ใจ)  ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่นี่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  แต่อยู่ที่จิตใจของเราที่เบิกบาน  เบิกบานด้วยอะไร  อยู่เฉยๆ จิตใจนั้นเบิกบานไม่ได้  ยิ่งบางคนเป็นโรคชอบเก็บตัวเงียบคนเดียว  ยิ่งเราเก็บตัวเงียบ นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน  ยิ่งฟุ้งซ่านมาก เราจะได้สิ่งที่ตรงข้ามกับความสุข คือความทุกข์  ความทุกข์นั้นมีสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่อมทุกข์  ทำให้เรานั้นกลายเป็นคนที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หาทางออกไม่เจอ  คนที่ชอบนั่งคิดอะไรคนเดียว คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เป็นคนอมทุกข์ให้ทำอย่างไร  อาจารย์มีวิธีง่าย ๆ คือ เวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาก ๆ ให้ลุกขึ้นยืน เดินออกไปข้างนอก  เจอใครก็ยิ้มให้  แล้วก็ลืมความทุกข์ของตนเองไป แล้วก็พูดกับคนในสิ่งที่ดี ๆ เท่านั้น ไม่กลับมาพูดถึงความทุกข์ที่ตัวเองมีอยู่  เมื่อเราออกไปพูดคุยกับคนอื่นมาก ๆ  ไม่พูดถึงความทุกข์ของตนเอง  ความทุกข์ในใจของเราก็เป็นอย่างไร (หายไป)  ไม่ใช่หายไป เพียงแต่เราลืมไป  พอไปๆ มาๆ เราก็จะเห็นว่า การที่เราพูดกับคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่เรียกว่าการทำดี  การพูดกับคนอื่นเรียกว่าการทำดีก็ต่อเมื่อเราพูดในสิ่งที่ดีเท่านั้น  การพูดกับคนอื่น ถ้าเราพูดในสิ่งที่ไม่ดี แม้ว่าเราจะพูดในสิ่งที่ไม่ดีด้วยเจตนาที่ดี ถามว่าเหมือนกันไหม  ก็ไม่เหมือนกับการที่เราใช้วาจาที่ดี  ก็จะไม่เป็นการที่เรานั้นใช้คำพูดที่ดีได้  เพราะว่าคนอื่นนั้นมองไม่เห็นเจตนาที่อยู่ในใจของเรา  เขามองเห็นแต่สีหน้าที่ขมวดคิ้วของเรา  เห็นแต่คำพูดที่ลอยลมมา  เขาได้ยินแต่เสียง เขาไม่เห็นจิตใจของศิษย์ว่ามีจิตใจดีหรือเปล่า  เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นผู้บำเพ็ญธรรมนั้น ต้องพูดแต่ในสิ่งที่ดี  แต่การจะพูดในสิ่งที่ดีต้องมาจากใจ  เพราะฉะนั้นใจสร้างความคิด ต้องคิดในสิ่งที่ดี  การที่เราคิดในสิ่งที่ไม่ดีเป็นกรรมไหม (เป็น)  บางคนบอกแค่คิด ยังไม่ทำอะไรเลย  แค่คิดว่าเขาไม่ดีเท่านั้นเอง  ถามว่าเราส่งความคิดว่าเขาไม่ดีออกไป ถามว่าใครไม่ดี (เรา)  ใครเป็นคนส่ง (เรา)  ถามว่าเพราะฉะนั้นเราก็ยัง ไม่ดีได้ คนอื่นจะดีไหม (ไม่ดี)  คนอื่นก็เหมือนเรา  คนอื่นชอบทานอาหารอร่อยๆ เราก็ชอบทานอาหารอร่อยๆ  คนอื่นชอบให้คนทำดีด้วย เราก็ชอบให้คนทำดีด้วย  เพราะฉะนั้นเราต้องทำดีกับคนอื่น  จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าเราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่า  เราจะเป็นอย่างไร (เห็นแก่ตัว)  เพราะฉะนั้นเราอยากเป็นคน เราต้องไม่เห็นแก่ตนเอง  ถ้าหากว่าเห็นแก่ตนเอง เพื่อความสุขของตนเองเราก็จะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว  เราจึงต้องรู้จักที่จะเห็นแก่ผู้อื่น  อันว่าปุถุชนมนุษย์ธรรมดาเห็นแก่ตนเอง  แต่พุทธะนั้นเห็นแก่ผู้อื่น  เราก็ให้ผู้อื่นเรียกเราว่าเป็นผู้ที่เห็นแก่คนอื่นเป็นสำคัญ  คำว่าเห็นแก่ตัวกับคำว่าเห็นแก่ผู้อื่นต่างกันมากไหม (มาก)  ทำไมถึงต่างกันมาก  แล้วสิ่งไหนเป็นความรู้สึกที่ดี (เห็นแก่ผู้อื่น)  สิ่งไหนเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี (เห็นแก่ตัว)  ถามว่าเราเป็นคนที่เห็นแก่สิ่งไหน  ต้องไปชั่งน้ำหนักดู  ถ้าหากว่าความดีและความไม่ดีแตกต่างกันแค่นี้  ทำไมศิษย์ของอาจารย์จะข้ามความไม่ดีมาสู่ความดีไม่ได้เหรอ จริงหรือไม่ (จริง)  มีข้างซ้ายก็มีข้างขวา ข้างนี้บอกว่าเห็นแก่ตัวเอง  ข้างนี้บอกว่าฉันเห็นแก่ผู้อื่น ก็แค่ข้างสองข้างนี้ ทำไมเราถึงข้ามจากฝั่งนี้มาสู่ฝั่งนี้ไม่ได้ เพราะอะไร อะไรที่เป็นลำคลอง เป็นเหวที่กั้นอยู่ตรงกลาง (กิเลส)  มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบโทษกิเลส แต่ว่าสิ่งที่กั้นอยู่ตรงกลาง คือตัวเราเอง ความคิดเราเอง อคติของตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะบอกว่ากิเลสเขาไม่ดี   
(พระอาจารย์ยกตัวอย่างผู้ปฏิบัติงานธรรมหญิงท่านหนึ่ง)
คนนี้สวยไหม (สวย)  แล้วถามว่าคนนี้เป็นกิเลสหรือเปล่า (ไม่เป็น) กิเลสอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจเรา)  ผู้ชายคนนี้หล่อไหม กิเลสอยู่ที่เขาหรือเปล่า อยู่ที่ใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไปโทษกิเลสได้ไหม (ไม่ได้)  
(พระอาจารย์ชูสร้อยทองคำขึ้น)
อันนี้สีอะไร (สีทอง)  สวยไหม (สวย)  อยากได้ไหม (ไม่อยาก)  ทำงานหาเงินแทบตายซื้อทองมาเส้นเดียวไม่พอก็ซื้อสองเส้น กิเลสอยู่ที่ทองหรือเปล่า (ไม่ใช่) อะไรที่เรียกกิเลส ใจเราใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นกิเลสไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่ว่ากิเลสอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายิ่งมีกิเลสมากเท่าไหร่ กิเลสก็ยิ่งเป็นเครื่องเตือนสติเราว่า เรามีกิเลสเราต้องตัด เราต้องมองทุกอย่างให้ดีขึ้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้น 
แม้บอกว่าเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ดีเลย แต่ตัวเราต้องดีอยู่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตั้งแต่โบราณกาลมาพอมนุษย์เงินทองขาดมือ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อุดมสมบูรณ์จะเกิดการแก่งแย่งชิงดีกัน  คำๆ นี้มีไว้บอกถึงสังคมโลก แต่ศิษย์ของอาจารย์มีสังคมอีกสังคมหนึ่งที่แปลก คือสังคมของการบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ว่า จะอยู่ในภาวะที่ดีหรือว่าร้าย เราต้องดีอยู่ได้ แม้ว่าจะมีสีดำกล้ำกลายเข้ามากินสีขาวมากเท่าไหร่ แต่ว่าสิ่งที่ไม่ดำเลยคือใจของเรา เหมือนกับจับเสื้อผ้าของเราไปย้อม วันนี้เราใส่เสื้อผ้าสีขาว พรุ่งนี้มีคนเอาเสื้อผ้าของเราไปย้อมกลายเป็นสีดำไป แต่ว่า  สิ่งที่ไม่เป็นสีดำ ก็คือใจของคนที่ใส่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ใบหน้านั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าหากว่าเราดีที่จิตใจ ใบหน้าของเราต้องยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยไมตรี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องห่วงคนอื่นด้วยความจริงใจ เมื่อผนวกกันเข้าเรียกว่า ภายนอกก็ดี ภายในก็ดี ในที่สุดแล้วย่อมเป็นคนดีที่สมบูรณ์  แต่มนุษย์ในปัจจุบันนี้ หลายคนมีภายนอกที่ดี แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันสวยงามราคาแพง แต่จิตใจของเรานั้น ไม่แพงเหมือนกับเสื้อผ้าเลย จิตใจนั้นกลับมีราคาถูกกว่า ฉะนั้นจึงต้องให้ดีทั้งภายในและภายนอกประสานกัน จึงจะเรียกว่าเป็นการดีอย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
การที่ภายนอกนั้นจะดูดีได้ ภายนอกนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีได้ ขอเพียงให้แต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อย กิริยามารยาทเป็นสิ่งที่สำคัญ ส่วนภายในนั้นจะทำให้ดีได้อย่างไร ภายในใจของเราเรามองเห็นไหม เรารู้สึกได้ไหม (รู้สึกได้)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะขัดเกลาใจของเรานั้น  ไม่ใช่เอาใจดึงออกมาขัด 
แต่เป็นการที่เรานั้น ความรู้สึกของตัวเอง 
ตอนนี้เรามีพ่อแม่อยู่ แต่เรากลับมาจากที่ทำงานเราก็เหนื่อยมาก เราก็ไม่อยากไปดูแลพ่อแม่ ไม่อยากจะไปเอาใจใส่พ่อแม่เท่าที่ควร แต่การที่เราจะเป็นคนดีได้ เราต้องฝืนความรู้สึกของตัวเราเองที่ขี้เกียจนี้ เข้าไปหาพ่อแม่ แล้วก็ถามสารทุกข์สุขดิบ ต้องยกข้าวให้ทาน ต้องยกน้ำให้ถึง เวลาเราไปที่ทำงาน บางคนทำงานเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ เขาบอกว่าเงินทองหน้าตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เราจะจับเงินจับทองในที่ทำงานก็ต้อง ไม่หยิบเล็ก ไม่ฉวยน้อย ต้องทำให้ได้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมีโอกาสมาถึงให้โกงได้ ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเราเอง พี่น้องเราทำไมนิสัยไม่ดีเลย ทำไมชอบทะเลาะกับเราบ่อยๆ ทำอย่างไรดี  ทะเลาะกับเขาเลยไหม เขาเห็นเขาไม่ดีเราก็ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเราเอง ไม่ไปทะเลาะ ไม่ไปปะทะคารมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่สำคัญที่สุดที่มีเรื่องทะเลาะมากที่สุดคือสามีภรรยา ทะเลาะกันเกือบทุกวันเลย ทำอย่างไรดี  ไหนใครเคยมีประสบการณ์ลองบอกวิธีแก้ไขมาหน่อย  (เวลาเขาว่าเรา เราเฉยฟังไว้)  ทำอย่างไรดีฝ่ายผู้ชาย  ฝ่ายหนึ่งร้อนอีกฝ่ายหนึ่งก็เย็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วส่วนใหญ่เราร้อนหรือเราเย็น (ร้อนครับ) แต่โบราณมีคำพูดอยู่คำหนึ่งเอาไว้สอนสำหรับคนที่มีครอบครัวแล้ว ตั้งแต่สมัยก่อนผู้ชายจะเป็นผู้นำครอบครัว ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน ทำไมถึงต้องมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้นำ ก็เหมือนกับที่เพื่อนนักเรียนตอบไว้ว่า ฝ่ายหนึ่งร้อนฝ่ายหนึ่งต้องเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าคนหนึ่งต้องเป็นขาหน้า คนหนึ่งต้องเป็นขาหลัง แต่ในสมัยก่อนนั้นกำหนดไว้เลยว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง แต่ในสมัยนี้อาจารย์ไม่อยากจะสอน ถ้าสอนแบบนี้ไปก็คงจะมีคนคัดค้าน เพราะฉะนั้นขอพูดแต่เล็กน้อย สมัยก่อนบอกว่าผู้ชายเป็นผู้มีคุณธรรม ผู้หญิงจึงเดินตาม ฉะนั้นถ้าหากว่าในบ้านของเรา เราเป็นผู้ชาย เราก็มาตรวจสอบว่าเรามีคุณธรรมมากพอหรือยัง แล้วผู้หญิงก็มาตรวจสอบว่าที่จริงแล้วแฟนของเราดีหรือเปล่า ถ้าดีเราก็ควรที่จะเดินตาม ไม่ใช่เดินไปขัดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าเราเป็นผู้หญิง แล้วก็  ผู้ชายไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่ ผู้หญิงจะทำอย่างไร สมัยนี้บอกว่า สิทธิเท่าเทียมกัน อย่างนั้นผู้หญิงก็มีคุณธรรม เอาความดีนั้นไปชนะใจของสามีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อพูดเองว่าสิทธิเท่าเทียมเพราะฉะนั้นเราจะต้องมีคุณธรรม จึงสามารถให้แฟนมาเดินตามเราได้ แต่เมื่อเขาเดินตามแล้วก็อย่าได้ใจ ต้องเก็บใจไว้แต่พอดี 
การที่ยุคสามนี้ เภทภัยลงมามาก ทำให้ธรรมะแท้ลงมาโปรดชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง ดังที่ศิษย์เห็นรอบๆ บ้าน  รอบๆ ประเทศ รอบๆ โลก ทุกๆ ที่มีภัยเกิดขึ้น แม้กระทั่งภัยที่อยู่ในใจของเราก็มีมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น
จำเป็นจะต้องมีธรรมลงมาช่วยจิตใจของศิษย์ทั้งหลาย 
ในอดีตกาลนั้นใช้ศาสนาเป็นที่กล่อมเกลาจิตใจของเราทุกคน แต่ถามว่าสุดยอดของศาสนา ของผู้บำเพ็ญ ของผู้ที่ต้องการจะหลุดพ้นคือการไปบวช ผู้หญิงไปเป็นแม่ชีได้ไหม ผู้ชายไปบวชพระได้ไหม ตลอดชีวิตไปไหม (ไม่ไป)  ไม่มีกี่คนที่จะไปอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้นในปัจจุบันนี้การบำเพ็ญนั้น  ขอให้ศิษย์บำเพ็ญในเพศฆราวาส ทำตัวให้ดี ให้ดีมากๆ ให้ศิษย์ศึกษาธรรมะและปฏิบัติได้ ไม่ไช่ศึกษาแค่รู้เหมือนสมัยก่อน  ฉะนั้นในปัจจุบันนี้การบำเพ็ญธรรมนั้นจึงเข้าสู่ครัวเรือน  ผู้ที่บำเพ็ญธรรมได้ดีนั้น ครอบครัวต้องสมานสามัคคีกัน  ถ้าศิษย์ทำไม่ได้หรือยิ่งแตกแยกเพราะว่ามีธรรมะเข้าไปในบ้าน  แสดงว่ากำลังเดินทางผิด  เพราะธรรมะเป็นธรรมชาติ จำเป็นต้องเข้ากับคนทุกคนให้ได้  จะต้องมีทางออกของสิ่งที่เรียกว่าความแตกร้าว  ถ้าหากศิษย์ยังหาไม่เจอ  แสดงว่ายังเดินทางผิด หรือไม่ก็ยังพยายามไม่พอ ฉะนั้นอาจารย์จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนเข้ากับคนทุกคน เข้ากับคนในบ้านและเข้ากับคนข้างนอกได้  นั่นจึงเรียกว่า เป็นผู้ที่บำเพ็ญได้ดี  แต่ไม่ใช่เข้ากับคนได้แบบลิ้นสองแฉก  อยู่กับคนหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง มาอยู่กับอีกคนหนึ่งก็พูดอีกอย่างหนึ่ง  อย่างนี้ไม่ใช่เรียกว่าการเข้ากับคนได้ จะเรียกว่าเป็นการตั้งระเบิดเวลาให้กับตัวเอง  รอสักวันหนึ่งให้ความแตกปะทุ คนที่จะเอาตัวไม่รอดคนแรกก็คือเรา  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมในยามนี้  ไม่ใช่การบำเพ็ญธรรมที่เหมือนสมัยก่อน  แต่เน้นหนักในชีวิตประจำวัน ความคิด คำพูด จิตใจของศิษย์ทุกๆ คน ให้เป็นสีขาวตั้งแต่ข้างในจนถึงข้างนอก  ให้เป็นสีขาวตั้งแต่ข้างนอกจนถึงข้างใน  ให้เป็นสีขาวจากตัวศิษย์ออกไปหาคน   ทุกคน
อย่าบอกว่าพุทธะเป็นยาก  อย่าบอกว่านิพพานไกลจนเกินเอื้อม  เรายังไม่เคยเอื้อมเลยยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วถึงหรือไม่ถึง พระพุทธองค์เคยมี ร่างกายเกิดเป็นมนุษย์ไหม (เคย)  ท่านใช้ความพยายามมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ของอาจารย์นั้นมีความพยายามเท่าท่านไหม  เพราะยังไม่มีจึงไม่ถึง  ถ้าศิษย์ของอาจารย์มีความพยายามถึงขนาดพระพุทธองค์ จะถึงไหม (ถึง)  ต้องถึงแน่นอน  พระพุทธองค์นั้นต้องใช้เวลานาน กว่าจะเสาะแสวงหาธรรมแท้เจอ  แต่ศิษย์ของอาจารย์เจอแล้วกลับไม่รู้  ทางอยู่ข้างหน้ากลับไม่เดิน เรานั้นเป็นคนโง่หรือฉลาด (คนโง่)  เราย่อมเป็นคนที่โง่กว่า  แต่ในยามนี้ อาจารย์พูดกับศิษย์ถึงขนาดนี้  บางคนไม่ชอบใจที่พูดแบบนี้  แต่ถามว่าทางอยู่ข้างหน้าแล้วไปเดิน เดินช้าๆ ก็ถึง  ขอเพียงแต่อย่าหยุดเดิน  เดินไวก็    หกล้มได้  ฉะนั้นคนที่ไวก็ต้องรู้จักระวังตัวเอง  อยากที่จะช่วยผู้อื่นได้ ต้องช่วยตัวเองให้พ้นก่อน ช่วยตัวเองให้พ้นจากอะไร (จากวิบากกรรม)  ช่วยให้พ้นจากวิบากกรรมได้อย่างไร  คือการช่วยผู้อื่น  แปลกไหม (แปลก)  ถ้าหากอยากพ้นวิบากกรรมต้องไปช่วยผู้อื่น ตัวเองจึงพ้น  แต่หากมัวช่วยตัวเองให้พ้นวิบากกรรม เราจะไม่พ้น  เพราะฉะนั้นวิธีของการบำเพ็ญธรรมนั้นค่อนข้างจะแยบยลลึกซึ้ง  บางคนเข้าใจว่าการพ้นวิบากกรรม คือการช่วยตัวเองให้พ้น  ไปๆ มาๆ ไม่ยอมพ้น  เพราะมัวแต่ห่วงตัวเองว่าจะเป็นอย่างไร จะได้รับผลอย่างไร  อย่างนี้จะไม่พ้นวิบากกรรมไปไหน  ต้องรู้จักช่วยผู้อื่น  ช่วยชนิดลืมตัวเองและเราอยู่ท่ามกลางความยากลำบาก แล้วมีความสุขได้  กลัวไหม (ไม่กลัว)  ความยากลำบากนั้นจะทำให้เราเกิดปัญญาขึ้น  เหมือนคนไม่เคยตีเหล็กจะไปฝึกหัดตีเหล็ก  การตีเหล็กนั้นทั้งร้อน ยาก ลำบาก  แต่ตีไปตีมา ในที่สุดแล้วก็ตีเป็น  แต่หากว่าเรากลัวร้อนและไปมองอยู่ข้างๆ ดูเขาตีเหล็กตั้งแต่ขั้นต้นถึงขั้นสุดท้าย มองจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว แต่ตัวเอง    ไม่เคยลงมือตี  เรียกว่าเป็นผู้ร่วมดูและสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ  ดูจนเชี่ยวชาญแล้วตีเป็นไหม (ไม่เป็น)  แต่คนที่ตีเหล็ก หัดตีผิดตีถูก  ในที่สุดก็ตีเป็น  ฉะนั้นการกระทำทุกๆ อย่างก็เหมือนกัน จำเป็นที่จะต้องลงมือทำเอง  ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย  อยากได้มากก็ต้องลงมือทำมาก  กลัวยากและลำบากไหม (ไม่กลัว)  
การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้  มีช่วงเวลาที่ควรจะระมัดระวังอยู่สามช่วงเวลา  รู้ไหมว่าสามช่วงเวลานี้ คือสามช่วงเวลาอะไร  ช่วงเวลาแรกเรียกว่าช่วงเวลาวัยหนุ่ม หรือวัยสาว  ช่วงเวลาที่สองเรียกว่าวัยฉกรรจ์  ช่วงเวลาที่สามเรียกว่าวัยชรา  ทำไมถึงมีแต่สามช่วงเวลานี้  ก็เพราะว่าตั้งแต่เล็กจนถึงก่อนที่จะเป็นวัยหนุ่มสาว จิตใจของเรานั้นสะอาดสะอ้านใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอจิตใจของเรานั้นเริ่มที่จะเติบโตขึ้นๆ  กลับนำพากิเลสภายนอกอันเป็นฝุ่นสีดำเหมือนที่เราเห็นตามถนนนั้น  มันไม่ได้เกาะเฉพาะร่างของเรา  แต่มันเกาะลึกเข้าไปถึงในจิตใจของเราด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ช่วงเวลาหนุ่มนั้นควรจะระวังอะไร  ควรจะระวังเรื่องกามตัณหา การเสพเนื้อหนัง สุราของมึนเมา ใช่หรือเปล่า  อาจารย์ไม่อยากจะพูด แต่ในสมัยนี้นั้นไม่ได้เป็นเฉพาะ   ผู้ชาย ผู้หญิงก็เป็นด้วยแต่หาได้น้อย  พอในวัยฉกรรจ์นั้นควรจะระวังอะไร  ควรจะระวังจิตใจนักเลง ที่คอยเอาเปรียบผู้อื่น  จิตใจที่คอยพร่ำเอาชนะคนอื่น  ไม่รู้จักยอม ไม่รู้จักถอย  ลุยเป็นอย่างเดียว   เหมือนอย่างที่คนปัจจุบันนี้เรียกว่า   “ดับเครื่องชน”  อันนี้อาจารย์ไม่ได้พูดเล่น  แต่ว่ามนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้เป็นจริงๆ   เดินหน้าเพื่ออะไร  เพื่อสังเวยอารมณ์ของตนเอง  อารมณ์ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เต็มล้น  อันได้แก่  อารมณ์ของความโกรธ  โกรธบ่อยไหม  (บ่อย)  อารมณ์ของความหลง  อารมณ์ของความรัก  ความรักต่างกับความเมตตาตรงไหน  ความรักนั้นมีให้มากเกินไปแล้วเป็นความรักที่มีให้กับคนเพียงคนหรือสองคนหรือคนแค่กลุ่มเดียว  แต่ความเมตตาหมายถึงการรักผู้อื่นโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ  ไม่แบ่งว่าเขารวยหรือจน  ไม่แบ่งว่าเขานั้นเป็นใครมา  จะตัวดำตัวขาวก็รักเท่าๆ กัน นั่นคือความเมตตา  แต่ความรักที่มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีให้  ก็คือรักเฉพาะคู่ของตน  รักเฉพาะลูกของตน  รักเฉพาะเพื่อนของตนเท่านั้น นี่ไม่ได้เรียกว่าความเมตตา  แต่เรียกว่าเป็นความรักที่หลง  
มีอีกวัยหนึ่งที่ต้องควรระวังคือวัยไหน  (วัยชรา)  วัยชราระวังอะไร  วัยชราก็เกือบจะหมดไปอยู่แล้ว  แต่ต้องระวังอะไร (โรคภัยไข้เจ็บ)  วัยชราควรจะระวังอะไรไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บ (ระวังสุขภาพ)  คำถามบางคำถาม ถามง่ายแต่ตอบยาก เพราะฉะนั้นต้องคิดตามไปด้วย (เรื่องอารมณ์, กามตัณหา)   ถึงวัยชราจะสงบราบเรียบเหมือนน้ำไม่มีคลื่น  เรื่องกามตัณหาให้ระวังไว้ตั้งแต่วัยหนุ่ม  พอถึงเวลาแก่ก็จะนิ่งสงบได้เหมือนน้ำที่ราบเรียบ  วัยฉกรรจ์ให้ระวังอารมณ์ จิตใจที่นักเลง  พอถึงวัยชรา กลับมีสิ่งหนึ่งที่เข้ามาแทน  ที่ทำให้เรานั้นกลายเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้   มีสิ่งหนึ่งแต่อาจารย์ไม่ได้บอกว่าให้ระวังโรคภัยไข้เจ็บเสียทีเดียว  เพราะโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นปลายสาเหตุของสิ่งนี้  วัยชราระวังอะไร (ความตาย, ความเหงา, กลัวลูกหลานทอดทิ้ง)  ถ้าเด็กตายล่ะ  เด็กบางคนออกจากท้องแม่ยังไม่ทันเห็นโลกก็ตายแล้ว บางคนยังหนุ่มยังสาวก็ตายได้  เพราะฉะนั้นความตายไม่ใช่เป็นเรื่องของคนที่อายุมากต้องระวัง  แต่ต้องเป็นเรื่องที่รู้จักปลงได้  มีชีวิตตั้งหลายสิบปี  ถ้าหากจะตายปีนี้ก็ต้องทำใจได้แล้ว  ส่วนความเหงาป้องกันได้  อาจารย์จะสอน  ไม่ต้องกลัวเหงาตอนแก่  ทำอย่างไรรู้ไหม  ตอนมีชีวิตอยู่ก็ช่วยผู้อื่นให้มาก  ถึงเวลาเราลำบากเขาก็จะมาช่วยเราเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าการช่วยนี้ต้องเป็นการช่วยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน  จึงจะมีผลตอบแทนกลับมา เข้าใจไหม  แต่หากว่าเราช่วยเพราะว่าอยากให้เขามาช่วยเรา  เขาจะมาช่วยไหม (ไม่ช่วย)  เขาอาจจะไม่มาช่วย  เราอาจจะผิดหวัง
อาจารย์ถามกลับว่าเคยทอดทิ้งพ่อแม่หรือเปล่า  ถ้าใครไม่เคยทอดทิ้งพ่อแม่  ลูกหลานก็จะไม่ทอดทิ้งเรา  แต่ถ้าเราทอดทิ้งพ่อแม่  ลูกหลานเห็นเราทิ้งได้ เขาก็ทิ้งตาม  เพราะฉะนั้นใครอยากให้ลูกหลานกตัญญู ก็ต้องรู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่ของตัวเองให้ลูกหลานเห็น  ให้ลูกหลานเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ  ไม่ใช่มาสอนตอนที่เขารู้หมดแล้ว  ต้องทำตั้งแต่เขายังเล็กๆ ชนิดที่ว่าเขายังพูดกับเราไม่รู้เรื่อง  เราคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องแต่เขารู้เรื่องแล้ว  ถ้าหากว่าเราไม่ทำแล้วเราทำบังหน้า  ทำแบบขอไปที เขาก็จะทำกับเราแบบบังหน้าแล้วขอไปที  จะได้ผลมาเท่าๆ กันทีเดียว  เพราะฉะนั้นอยากได้สิ่งไหนก็ต้องทำสิ่งนั้น  วัยชราระวังอะไรอีกดี (จะทำสิ่งใดในบั้นปลายของชีวิต, การปลงไม่ตก ตัดไม่ขาด, ความคิด, ความเจ็บป่วย) 
นี่คือความคิดของคนที่อยู่ในวัยชราจำนวนมาก  บอกว่าจะเอาผลไม้ไปให้ลูกกิน  ตัวเองกินไหม (ไม่กิน)  เพราะฉะนั้นอันนี้คืออะไร (ความกังวล)  ในวัยชรานั้นหลายๆ คนตัวเองไม่ค่อยจะได้ใช้เอง  ไม่ค่อยจะได้กินเอง  แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ให้กับลูกหลาน  ทุกสิ่งเก็บไว้แต่ไม่รู้ว่าท้าย  ที่สุดแล้วจะเอาไปไหน  การที่จิตใจของเรานั้นเป็นเช่นนี้จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น  เพราะว่าจิตใจนั้นอัดแน่นไปด้วยที่ที่เต็มแล้ว  ไม่มีช่องว่างที่จะให้ความใสบริสุทธิ์เข้าไป  ฉะนั้นการที่เป็นเช่นนี้ จะทำให้เป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ
การรักษาสุขภาพนั้นต้องรักษาที่ต้นเหตุ คือการรักษาที่ใจของเรา  จริงๆ แล้วอาจารย์พูดเช่นนี้อย่าหาว่าอาจารย์ว่า  แต่อาจารย์พูดให้ฟังว่าศิษย์นั้นควรไปตัดที่ต้นเหตุ อันได้แก่ความหลงทั้งมวล ความโลภในทรัพย์สินทั้งมวล  ถ้าหากว่าอยากจะส่งสิ่งใดให้แก่ลูกหลาน  จงส่งความดีไป ส่งความดีไปให้ถึงลูกหลาน  เมื่อลูกหลานเห็นเราทำดี เขาก็ทำดี  นั่นจะเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่น่าเก็บรักษาที่สุด  หลายๆ คนส่งเงินส่งทองให้แล้วถามว่า เขาเอาไปทำอะไร  ศิษย์มีเงินให้เขาล้านหนึ่งหรือสิบล้าน เวลาเขาเอาไปใช้ เงินสิบล้านนั้นสามารถใช้ได้กี่วัน  ถ้าหากว่าลูกหลานเป็นคนดี เงินสิบล้านก็อาจใช้ได้ในชีวิตหนึ่งก็ได้  แต่ว่าเราส่งแต่เงินทองไปให้ ไม่ได้มีอะไรที่บอกว่าให้ใช้เงินทองอย่างระมัดระวัง ใช้ด้วยการให้รู้จักทำดี ให้รู้จักเผื่อแผ่คนอื่น  ในที่สุดเงินสิบล้านนั้นก็อาจใช้หมดภายในหนึ่งปีก็ได้  เงินนั้น มากน้อยไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ แต่ว่าความดีที่มีมากให้เขาต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เหมือนในขณะนี้อาจารย์บอกว่าไม่ได้มารักษาโรคให้ศิษย์ ไม่ได้มาบอกว่าให้ศิษย์ร่ำรวย  อาจารย์บอก รวยแล้วมีประโยชน์อะไร  สิ่งเดียวที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไว้ ก็คือการที่ให้ศิษย์รู้จักทำความดี  ถ้าหากเราทำความดีมากๆ  แม้ร่างกายจะไม่แข็งแรง แต่จิตใจนั้นแข็งแรง  แม้ว่าเราจะไม่ร่ำรวย แต่จิตใจนั้น
รวย  เป็นสิ่งที่ดีกว่าแน่นอน  
ศิษย์ของอาจารย์ที่มาอยู่ที่นี่ มาจากหลายที่ที่ต่างๆ กัน ไม่ใช่คนในกรุงเทพฯ ทั้งหมด  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกลับไปบ้านของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะใกล้หรือไกล ให้รู้จักที่จะแบ่งเวลาให้ตนเอง บอกตนเองว่าตนเองนั้นมีเวลา  ไม่ใช่ใครถามกี่ทีก็บอกว่าไม่มีเวลา  แท้จริงแล้วมีหรือไม่มีเวลาเราย่อมรู้ตัวดี  อาจารย์กำลังจะบอกต่อไปว่า ขยันมาสถานธรรมฟื้นดวงญาณของตนเอง  ถ้าหากว่าเราอยู่ที่บ้านจะฟื้นได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีใครจับเรามานั่งอย่างนี้ อยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างนี้  ทุกๆ วันก็อยู่แต่ที่บ้าน  อยู่แต่กับความเคยชินของตนเอง  ในที่สุดก็กลายเป็นความเคยชินที่หนักมาก  ไม่สามารถที่จะฟื้นจิตใจของเราได้  ไม่ออกมาเห็นคนดี ก็คิดแต่ว่าโลกนี้ยังเลวร้าย  เพราะฉะนั้นแม้ว่าโลกนี้เลวร้าย แต่ในสถานธรรมเต็มไปด้วยคนดี  จึงบอกว่าให้ศิษย์บอกตนเองว่ามีเวลา  ไม่ใช่พูดคำว่าไม่มีเวลาจนติดปาก  ขอให้ศิษย์นั้นกลับมาสถานธรรม มาศึกษาธรรมให้มากๆ  มีความเข้าใจให้มากๆ  มีคำกล่าวว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า”  วันนี้บอกว่าตนเองเข้าใจแล้ว แต่ยังมีคนเข้าใจมากกว่าเราอีก  เราบอกว่าเราทำดีแล้ว แต่ยังมีคนทำดีกว่าเราอีก  ฉะนั้นจึงบอกว่าการที่ศิษย์ของอาจารย์มาที่นี่  อาจารย์บอกให้ศิษย์บำเพ็ญธรรม  ไม่ใช่บำเพ็ญแบบไม่ตั้งใจ  แต่ให้บำเพ็ญด้วยความตั้งใจจริงๆ  เมื่อบอกว่าเข้าใจแล้วต้องเข้าใจจริงๆ  ต้องทำได้ ต้องพูดได้ ต้องคิดเป็น  หลายคนบอกว่าเข้าใจธรรมแล้ว  แต่ว่าเข้าใจแค่ไหน  เข้าใจแต่ยังไม่ยอมลงแรงบำเพ็ญเลย  คนที่ไม่ลงแรงบำเพ็ญก็ไม่สามารถที่จะได้มรรคผลใดๆ  ลงแรงแค่ความว่างเปล่า มรรคผลก็คือความว่างเปล่า  ลงแรงมาก มรรคผลก็คือผลงานของศิษย์
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่วงคำในพระโอวาท)
“มา”  มาสถานธรรมบ่อยๆ ดีไหม  มีโอกาสก็มา  ถ้าเขาชวนแล้วอย่าบอกว่าไม่มีเวลาว่าง ได้ไหม (จะพยายาม) 
“ไหล่”  ได้คำว่าไหล่คิดว่าอย่างไร (แบกรับภาระ)  แล้วทำได้ไหม (ได้) คนมีไหล่อยู่สองข้าง มีไหล่ซ้าย ไหล่ขวา  ไหล่ข้างหนึ่งแบกภาระทางโลก  ไหล่อีกข้างหนึ่งแบกภาระทางธรรม แบกมวลเวไนยสัตว์ทั้งหมด  อยู่ที่ว่าเราจะบริหารสองข้างนี้ให้สมดุลย์กันได้ไหม  ถ้าหากว่าอยากให้ไหล่สองข้างสบายๆ ก็อยู่เฉยๆ กับบ้าน  แต่หากอยากให้ตัวเองเป็นพุทธะก็ใช้ไหล่สองข้างนี้ไว้แบกคนจำนวนมาก  อย่างอาจารย์แบกภาระโปรดทั้งสามภูมินี้  แล้วไหล่ของศิษย์มีไว้แบกอะไร  
“กัน”  หมายความว่าอะไร (กันทุกอย่างไม่ให้เข้ามาหาตัวเรา)  อย่างนี้ญาติธรรมก็เข้ามาหาเราก็ไม่ได้สิ (อันนั้นเป็นของดีเราต้องไปเปิดประตูต้อนรับ) “กัน” ตัวนี้มาจากคำว่า ด้วยกัน  ไปด้วยกันกับอาจารย์ดีไหม  อย่าลืมว่าเวลาอาจารย์เรียกแล้วต้องไปนะ  
“ฝ่า”  ฝ่าฟันอุปสรรค งานที่ยุ่งของตัวเอง ดีไหม  ฝ่าออกมาให้ได้  อาจารย์จะรอ
“ขวาก”  “หนาม”  แสดงว่าบำเพ็ญธรรมไม่ง่ายทั้งคู่เลย  แต่อาจารย์หวังว่าจะพยายามดีไหม  อย่าลืมว่าเป็นศิษย์อาจารย์แล้ว  อาจารย์บอกให้ศิษย์เป็นพุทธะ ก็อย่าลืมว่าต้องทำตัวเป็นพุทธะ  แม้จะมีขวากหนาม ความยากลำบากอย่างไร  ขอเพียงแต่ใจเราสู้ เวลาที่มีความไม่เข้าใจอะไร ก็กลับมา สถานธรรม มาถาม  อย่าให้คนอื่นพูดจาสองสามคำก็ปลิวลมไปกับเขา  ขอให้กลับมาสถานธรรม
“คอย”  ชีวิตนี้คอยอะไร มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์นั้นรอคอย บางสิ่งมีค่า  แต่บางสิ่งนั้นไม่มีค่าสมควรแก่การคอย  ขอให้ศิษย์นั้นคอยในสิ่งที่มีค่า  คอยในสิ่งที่คอยได้  อาจารย์อยากจะบอกว่า คอยตัวนี้ อาจารย์คอยศิษย์ ไม่ใช่ศิษย์คอยในสิ่งที่ศิษย์ต้องการ  ขอให้คอยในสิ่งที่มีค่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทและผลไม้แก่ครอบครัวสกุลหยังทั้งหมด)  
อยากกินอะไรดีวันนี้ กินเจดีกว่า  เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันดีจริงๆ  เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็อยากจะบอกว่ารักกันให้มาก บำเพ็ญตามกันให้ดีๆ เราเป็นน้องก็บำเพ็ญตามเขาให้ติดๆ  อย่าบำเพ็ญทีเว้นห่างสามก้าว วันนี้ขี้เกียจหน่อยเว้นห่างสักห้าก้าว  เราเป็นพี่เราต้องดูแลเขาให้ดีๆ อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็ต้องช่วยเหลือ อะไรที่ควรจะพูดก็พูด ต้องรู้อะไรควรไม่ควร อันไหนที่ตามกำลังเราทำ อันไหนที่ไม่ตามกำลังเราอย่าทำ 
อาจารย์ให้นักเรียนในชั้นนี้เพื่อที่จะให้รู้ว่าศิษ์ทั้งหลายนั้นเป็นพี่น้องกัน  แม้ว่าจะเกิดมาคนละเวลา คนละสถานที่ คนละพ่อและคนละแม่ แต่ว่าเมื่อมาอยู่ในเรือลำเดียวกันแล้ว ขอให้รักกันเหมือนกับพี่น้อง แม้ว่าพี่เราน้องเราจะนิสัยไม่ดีไปซักนิดหนึ่งก็จงอภัยให้มากๆ  เพราะการอภัยนั้นเป็นความสุขที่แท้จริง  การเสียสละให้ผู้อื่นนั้นเป็นความสุขที่แท้จริง  รวมทั้งอาจารย์อยากจะให้กำลังใจแก่ฐันจู่ และบ้านสกุลหยังหลังนี้ด้วย เพื่อที่จะให้รู้ว่าให้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเข้าไว้  พี่น้องที่รักกันนั้นหายาก แต่พวกศิษย์ทำได้ แต่เมื่อเราทำได้แล้วก็ขอให้เราทำได้ตลอดไป  การที่จะรักกันจริงๆนั้นคืออะไร พี่น้องที่รักกันจริงๆ ไม่ใช่ว่าพูดจาดีเข้าหากันตลอดเวลา แต่บางครั้งพูดจาตักเตือนกันอย่างเกรงอกเกรงใจด้วย  ตักเตือนเพื่ออะไร เพื่อให้พี่น้องของเรานั้นไม่หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ร่วมทุกข์ร่วมสุขเพื่อไรเพื่อให้คนในบ้านของเรานั้นได้บำเพ็ญธรรม  ท้ายที่สุดแล้วได้กลับคืนขึ้นนิพพานไปพร้อมกัน  ไม่ใช่ว่าเราขึ้นนิพพานแล้ว น้องเรายังตกอยู่ในโลกีย์  เมื่อพี่ขึ้นนิพพานแล้วปล่อยน้อง น้องขึ้นนิพพานแล้วปล่อยพี่ ปล่อยพ่อ ปล่อยแม่ ปล่อยญาติเราอยู่ข้างในโลกีย์นี้ ให้เขาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ อันนี้ไม่ถือเป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแท้จริง  ฉะนั้นวันนี้มีญาติพี่น้องของตนเอง ถ้าหากเขายังไม่บำเพ็ญธรรม  ถ้าหากเขายังไม่เข้าใจธรรมะ  เราก็มาดูว่าเป็นเพราะว่าอะไร  ธรรมะไร้รูปลักษณ์ไม่มีสิ่งใดให้ศิษย์มองเห็นได้  แต่ว่าธรรมะนั้นดูที่ใครหละ  ดูที่ตัวของคนที่ได้รับธรรมะไปแล้ว ก็คือดูที่ตัวของศิษย์เอง  เปรียบไปแล้วเหมือนกับอะไร  เคยเห็นยาขวดหนึ่งไหม  ยาน้ำขวดหนึ่ง  หากว่ายาน้ำอันนี้ไม่ติดฉลากเป็นอย่างไรรู้ไหม (ไม่รู้)  ยาในขวดเป็นน้ำสีดำ  ไม่ติดฉลากจะรู้ไหมว่าเป็นยาอะไร (ไม่รู้)  ในฉลากไม่มีคุณสมบัติ รู้ไหมว่าเป็นยาอะไร (ไม่รู้)  ผู้บำเพ็ญธรรมก็เหมือนกับฉลากที่ติดอยู่ข้างขวดยา  บนฉลากเขียนคุณ-สมบัติไว้  บำเพ็ญได้ดีมากแค่ไหน คุณสมบัติมีมากเท่าไร  เสร็จแล้วชื่อยี่ห้อได้รับการค้ำประกันหรือเปล่า  คนกินแล้วหายไหม  ย่อมอยู่ที่ตัวเรา  หากเราเป็นฉลากยาที่ไม่มีคุณสมบัติเลย  แปะลงไปแต่มีความว่างเปล่า  ใครจะกล้ากินหรือเปล่า (ไม่กล้า)  ไม่มีใครบอกว่าศิษย์เป็นคนบำเพ็ญดีสักคน  ถ้าเทียบไปแล้วก็คือเราไม่มีฉลาก ไม่มีสิ่งใดเขียนลงไปเลย เป็นฉลากเปล่า ไม่มีใครกล้าบำเพ็ญตามศิษย์หรอก  ฉะนั้นจึงขอให้เรานั้นเอาความดีของเราเป็นคุณสมบัติของยา  ให้เอาคุณธรรมของเราเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงธรรมะว่าดีเท่าไร  สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดเสมอว่า ธรรมะเท็จหรือจริงอยู่ที่ศิษย์  อยู่ที่คนทั้งนั้น  ธรรมะจะเท็จ ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์จี้กงออกไปทำแต่สิ่งที่ไม่ดี  ธรรมะก็จะไม่ดี  เพราะว่าศิษย์นั้นรับไปแล้วแต่ทำไม่ได้  ธรรมะเป็นสิ่งที่จริงได้ อยู่ที่ศิษย์เป็นผู้บำเพ็ญและบำเพ็ญดีมากด้วย ให้คนเขายกย่องเป็นพุทธะเดินดิน  ในที่สุดแล้ว ธรรมะก็กลายเป็นสิ่งที่ดี  ฉะนั้นธรรมะคือธรรมชาติ จะดีหรือไม่ดี อยู่ที่ตัวศิษย์เอง  อยากให้ธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ศิษย์ก็จงทำความดีตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเป็นความดีเล็กๆ น้อยๆ  ก็ไม่มองข้าม ให้ทำทุกอย่าง  แม้ว่าเป็นความชั่วเล็กๆ น้อยๆ  เราก็ไม่ทำ  เพราะความชั่วเล็กๆ น้อยๆ สั่งสมกันมากๆ ก็เป็นความชั่วที่มาก  คนที่เคยทำความชั่วที่เล็กๆ น้อยๆ จึงกล้าที่จะทำความชั่วที่ยิ่งใหญ่ได้  คนที่เคยทำความดีเล็กๆ น้อยๆ จึงค่อยๆ ทำความดีที่ยิ่งใหญ่ได้  ดูสิว่าศิษย์นั้นจะน้อยจากดีหรือไม่ดีขึ้นไปหาสิ่งที่มากนั้น  
(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงและเมตตาอธิบายเพลง            "บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่" )
"ใครนำสิ่งดีของตน  เผยความไม่ดีสหาย  คุณธรรมสลาย  มิคงหยุดอยู่ มิอาจเหลือไว้  แค่เพียงหากใครรู้ตน  ก็จงได้หมั่นแก้ไข  ตนได้ทำแค่ไหน  ผลงามย่อมตกเท่าตนได้ทำ" การนำความดีของตนไปเผยโดยเผยความไม่ดีของคนอื่น  ทำอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นเจตนาดี  แต่มนุษย์หลายคนชอบทำ  ทำเหมือนเจตนาดีที่เราเอาความดีของเรานั้นไปเปิดเผยความไม่ดีของคนอื่น  การทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่มีคุณธรรม  เพราะฉะนั้นคุณธรรมย่อมสลายและไม่คงหยุดอยู่กับเรา ไม่อาจเหลือไว้กับเรา  หลายคนทำไปด้วยความไม่ตั้งใจ  แต่เมื่อเราได้เห็นตนเองแล้วต้องรีบแก้ไข  แต่บางคนทำไปด้วยความตั้งใจ ด้วยความอยากจะเด่นกว่าเขา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง  ถ้าหากเป็นเช่นนี้จะเรียกว่ามีคุณธรรมไม่ได้  ในการที่เกิดมาเป็นมนุษย์หนึ่งชาตินั้น  อันว่าความดีของเรานั้นมีอยู่  แต่ความดีของเรานั้นอาจไม่เป็นผลดี ถ้าหากว่าเรานั้นใช้เปิดเผยความไม่ดีของคนอื่น  แล้วกับคนไม่ดีเราจะทำอย่างไร  อาจารย์จะให้คำตอบคือ จงใช้ความดีไปชนะผู้อื่น  ความดีนั้นไปเงียบๆ เหมือนกับลม  อยู่ก็อยู่  ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ไม่มีรูปลักษณ์อะไร  ในขณะที่ศิษย์อยู่กับคนที่ไม่ดี สิ่งใดที่เป็นผลงานที่ทำขึ้นมาจงยกให้เขาเสีย  หรือว่าอยู่กับคนดีก็เช่นเดียวกัน  ผลงานที่ทำต่างๆ นานานั้น จงยกให้คนอื่น  อย่าได้เก็บเป็นผลงานของตนเอง อย่าได้เป็นความดีของตนเองเฉพาะตัว  เพราะถ้าหากว่าอยู่กับเรา ความดีนั้นๆ จะไม่คงอยู่ได้  จงเอาความดีนั้นๆ ส่งให้กับคนจำนวนมาก  ให้เป็นความดีของมวลชน  แล้วความดีนั้นๆ จะอยู่ตลอดไป  เหมือนกับฟ้าที่ให้แสงสว่างลงมา  ถามว่าฟ้าบอกว่าเราก็ทำความดีไม่ได้หรือ  กลายเป็นการไปเปิดเผยความไม่ดีของเขา ได้หรือเปล่า  อาจารย์จะให้คำตอบว่า  จงใช้ความดีไปชนะผู้อื่น  ความดีนั้นไปเงียบๆ เหมือนกับลม อยู่ก็อยู่  ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร  ไม่มีรูปลักษณ์อะไร  ในขณะที่ศิษย์อยู่กับคนไม่ดี  สิ่งใดที่เป็นผลงานที่ทำขึ้นมาจงยกให้เขาเสีย  หรือว่าจะอยู่กับคนดีด้วยกันก็เหมือนกัน  ผลงานที่ทำต่างๆ นานานั้นจงยกให้กับคนอื่น  อย่าได้เก็บเป็นผลงานของตัวเอง  อย่าได้เป็นความดีของตัวเองเฉพาะตัว  เพราะถ้าหากว่าอยู่กับเรา ความดีนั้นๆ จะไม่คงอยู่  จงเอาความดีนั้นส่งให้กับคนจำนวนมาก  ให้เป็นความดีของมวลชน  แล้วความดีนั้นจะอยู่ตลอดไป  เหมือนกับฟ้าที่ให้แสงสว่างลงมา หากฟ้าบอกว่าฉันให้แสงสว่างพวกเธอเป็นความดีของฉัน ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ฟ้าไม่เคยทวงถาม  ทุกวันก็เป็นอย่างนั้น  แต่มนุษย์ทุกคนต่างหากที่ได้รับสิ่งดีๆ นั้นจากฟ้า   มนุษย์ก็เจริญเติบโตใต้ฟ้านี้โดยไม่ติดขัดอะไร  ถ้าหากว่าฟ้าอยากจะได้ความดีของตัวเองอย่างเดียว  มนุษย์ในใต้หล้านี้จะเจริญเติบโตได้ไหม จะมีความเจริญต่างๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจึงบอกว่าเมื่อฟ้าช่วยไม่หวังผล มนุษย์ก็เจริญเติบโตใต้หล้านี้อย่างรุ่งเรือง  หวังว่าศิษย์นั้นจะเจริญรอยตามฟ้าดินโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ความดีที่พูดถึงได้ตลอดกาลคือ ความดีที่ไม่ใช่ความดีของเราคนเดียว  
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันตั้งชื่อเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง “สงสารกันหน่อย”)
ชื่อเพลงอะไรดี (ตั้งมั่น, รู้ชีวิต, รู้ตัวหรือเปล่า, รู้ตน, ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน, คนใจร้อน, บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่)  เอาชื่อสุดท้ายก็แล้วกัน “บำเพ็ญให้เป็นคนใหม่”  อาจารย์ก็หวังอย่างยิ่งว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะบำเพ็ญได้เป็นคนใหม่ คนเก่าบางคนนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่หวังว่าคนใหม่นี้ต้องดีกว่าคนเก่า  เราจะไม่เป็นอะไรที่แย่ลง  แต่จะเป็นอะไรที่ดีขึ้นตลอดเวลา  อย่างนี้จึงเหมาะที่จะเป็นพุทธะได้  แต่การจะบำเพ็ญเป็นคนใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อยู่ดีๆ จะใหม่ขึ้นมาได้อย่างไร  เหมือนทองที่ใส่อยู่หากอยากจะเอามาทำใหม่ก็ต้องเอาไปหลอม ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน  อย่ากลัวความยากลำบาก เพราะความยากลำบากนั้นมีไว้สอนชีวิต  ไม่มีความยากศิษย์ของอาจารย์จะไม่ได้เป็นคนใหม่  แต่อาจารย์นั้นไม่แน่ใจว่ากี่คนจะทนความยากลำบากแบบนี้ได้  ขอให้ถือว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นเหมือนกับตอนที่เราตั้งใจที่จะหาเงินทอง  มีเท่านี้ยังไม่พอ ยังหาเพิ่มอีก ก็หวังว่าการบำเพ็ญของศิษย์จะเป็นเช่นนี้  โลภเงินทองอาจจะไม่ได้จริง  เพราะเงินทองเป็นของนอกกาย  ถ้าหากอยากมีความโลภ  ขอให้ศิษย์มีความโลภในกุศล 
(นักเรียนในชั้นถามพระอาจารย์จี้กงว่า อนุตตรธรรมใช้อะไรเป็นหลัก) ใจของศิษย์ไง  หลักหมายถึงอะไร หมายถึงแก่น หลักทุกหลักมีไว้ เหมือนทางให้ศิษย์เดิน  แต่อนุตตรธรรมเปรียบไปแล้วเป็นธรรมชาติ  ศิษย์ที่อยู่ที่นี่ทุกคน  ต่างคนต่างมา  ต่างคนต่างกรรม  ต่างคนต่างเวียนว่ายตายเกิด  ไม่มีใครบอกได้ว่าใครเป็นอย่างไร  อนุตตรรรมก็เป็นธรรมชาติ  ศิษย์นำกลับไปแล้วปฏิบัติดู  แล้วศิษย์จะรู้ว่าหลักของศิษย์คืออะไร  หากศิษย์จะบอกว่าหลักคืออะไร  ศิษย์แต่ละคนที่บำเพ็ญยืนอยู่ตรงนี้  หลักของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน  อาจารย์ก็ไม่เคยว่า  ขอเพียงแต่ศิษย์นั้นได้ปฏิบัติได้ขัดเกลาจิตใจของตนเองให้ดีขึ้น  
(นักเรียนในชั้นถามพระอาจารย์จี้กงว่า มนุษย์ทุกคนท้ายสุดต้องการที่จะไปสู่แดนนิพพาน  เราจะทดสอบได้อย่างไรว่า  ขั้นตรงนั้นเราได้ฝึกจิตแล้วถึงขั้นนิพพาน) ถ้าหากว่ามีวิธีการทดสอบตั้งแต่อยู่ในโลก  คงไม่ต้องเปลืองแรงศิษย์ของอาจารย์ทุกวันนี้ที่ต้องมานั่งบำเพ็ญใช่ไหม (ใช่)   ธรรมะเป็นสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์  ไม่สามารถมองเห็นได้  คนที่จะทดสอบแล้วรู้ว่าตัวเองถึงนิพพานหรือยัง ควรหรือไม่ที่จะไปถึง  คือการมองกลับเข้าไปในใจของตัวเอง  และควรทดสอบด้วยตนเองเท่านั้น  แต่คนที่คิดจะทดลองในการที่จะไปถึงนิพพานนั่นคือคนที่ไปไม่ถึง  รู้ไหม  เหมือนกับอาจารย์บอกศิษย์ว่า ให้โลภในกุศล  แต่จริงๆ แล้วโลภในกุศลถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  แต่ด้วยมนุษย์นี้ต้องมีอะไรสักอย่างเป็นหลักยึด เป็นหลักเกาะ  ในเมื่ออยากโลภ อาจารย์ขอให้โลภกุศลแทน  แต่ถ้าอาจารย์สอนศิษย์ได้  ถ้าศิษย์ทุกคนมีระดับเท่ากัน  มีพื้นฐานเท่าๆ กัน  อาจารย์จะบอกว่าธรรมะไม่มีอะไร  แค่ช่วยคน ช่วยคนอื่น เสียสละด้วยตนเองเท่านั้น  แต่คนที่คิดจะทดลองในการที่จะไปถึงนิพพานนั้นคือคนที่ไปไม่ถึง  เหมือนกับอาจารย์บอกให้ศิษย์ว่า ให้โลภในกุศลถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  แต่ด้วยมนุษย์ต้องมีอะไรเป็นหลักยึด เป็นหลักเกาะ  ในเมื่ออยากโลภ อาจารย์บอกให้โลภกุศลแทน  แต่ถ้าอาจารย์สอนศิษย์ได้  ถ้าศิษย์ทุกคนมีระดับเท่ากัน  และมีพื้นฐานเท่าๆ กัน  อาจารย์จะบอกว่าธรรมะไม่มีอะไร  แค่ช่วยคน ช่วยคนอื่น เสียสละเพื่อคนอื่น เมตตาเพื่อคนอื่น  ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย  ถามว่าศิษย์กี่คนรับได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  

เพราะฉะนั้นจึงมีการแบ่งการบำเพ็ญได้สามระดับ  ระดับแรกคือ บุคคลที่ชอบนั่งสมาธิ หาความสงบให้แก่ตนเอง  แต่การหาความสงบให้แก่ตนเองนั้นพอไหม  การบำเพ็ญญานอันสูงสุดนั้น มีแต่การทำเพื่อคนอื่น ช่วยผู้อื่น  
ญาณระดับแรกคือคนที่ชอบวอนขอ ขอโน่นขอนี่  ขอให้ร่ำรวย  มีสุขภาพแข็งแรง
ส่วนญาณระดับที่สองคือ คนที่ชอบสวดมนต์ แล้วคิดว่าตนเองจะไปถึงนิพพาน ทั้งที่จริงๆ แล้ว  ในมนต์คาถาต่างๆ นั้น ไม่เคยจะนำกลับไปปฏิบัติ
ญาณระดับที่สามคือ คนที่มุ่งบำเพ็ญถึงจิตใจของตนเอง เอาจิตใจออกมาขัดเกลา  ไม่กลัวความยากลำบาก  ไม่กลัวความเจ็บร้อน  อยากไปถึงนิพพานไหม (อยาก)  อาจารย์จะบอกให้  ตัวอย่างของคนที่บำเพ็ญอนุตตรธรรมแล้วสำเร็จไปบนนิพพาน เป็นอย่างไรรู้ไหม  คือคนที่ยอมคนอื่นว่า  คนที่เห็นแล้วทำก่อน  ไม่ต้องรอให้ใครเรียก คือคนที่ดังเช่นแม่ครัว ที่ยอมลงไปทำครัวให้ศิษย์ทั้งหมดทาน  โดยที่ไม่ยอมสนใจว่าศิษย์นั้นจะเป็นใคร  มาจากไหน จะดีหรือชั่ว  เขาก็ทำให้ศิษย์ทาน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ต้องไปลงชื่อบอกเขาไหมว่า  ผมมาทานข้าว คุณทำให้ผมทานหน่อย (ไม่ต้อง)  เพราะฉะนั้นคนบำเพ็ญอนุตตรธรรมสำเร็จ ก็คือคนที่ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญตัวเอง  ตั้งหน้าตั้งตาช่วยเหลือผู้อื่น  โดยไม่สนใจใคร  โดยไม่ต้องสงสัยอะไรมาก  ทำใจให้ว่างๆ ใสๆ เหมือนกับเด็กทารก  ถามตัวเองว่าวันหนึ่งทำได้กี่นาที  ทำใจตัวเองให้ว่าง  ให้โล่ง  ให้แสงสว่างคนอื่นได้เหมือนฟ้า  นั่นคือจิตของพุทธะ
อยากรู้อีกไหมว่า  หลักของอนุตตรธรรมนั้นให้บำเพ็ญอย่างไร  ศิษย์ก็เอาหนังสือไปอ่าน  ในประวัติของพุทธะทุกพระองค์นั้น  แต่ละประวัติจะมีทางหนึ่งเส้นให้กับศิษย์  บำเพ็ญตามใครก็ได้คนหนึ่ง  หรือถ้าอยากได้ทางจริงๆ อยากจะบีบบังคับให้อาจารย์จะบอกว่า ให้อภัยผู้อื่น
อาจารย์จะไปแล้ว  หวังว่าศิษย์ทุกคนนั้น รักษาสุขภาพกายให้ดี รักษาสุขภาพใจให้แข็งแรง  อย่าให้กิเลสอะไรเข้าไปทำลายจิตใจของเรา  หลังจากกลับไปวันนี้  หวังว่ายังจำสถานธรรมได้  หวังว่าวันหน้า ศิษย์ของอาจารย์จะร่วมศึกษาอีก  ความหวังสุดท้ายของอาจารย์ คือ หวังว่าศิษย์ทุกคนนื้จะบำเพ็ญได้ดีๆ  เพราะมีแต่คำพูดนี้ คำเดียวเท่านั้น  ที่จะพาศิษย์ให้สูงขึ้น  ไม่ให้จิตใจของศิษย์นั้นตกต่ำไปเรื่อยๆ  เดิมทีชีวิตของศิษย์ทุกคน  อยู่ในมือพญายม  อยู่ในมือยมบาล  ตอนนี้อาจารย์เอาชีวิตศิษย์คืนมา  ชีวิตของศิษย์ทุกคนอยู่กับฟ้า  แต่การกำหนดนั้นอยู่ที่ตัวเอง  ขอให้กำหนดชีวิตของตัวเอง  ไปในทางสว่างไสว  อย่าให้ความคิดชั่ววูบ อารมณ์ชั่วแล่น  เข้ามาทำลายพุทธะองค์น้อยๆ ของอาจารย์เลย รู้ไหม (รู้) อันใดที่เป็นปัญหาของเรา  กลับไปแก้ที่ต้นเหตุ  ไม่ใช่มาแก้ที่ปลายเหตุ  ความล้มเหลวหรือสำเร็จในชีวิตนี้  ย่อมขึ้นอยู่กับตัวเอง  ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น  ไม่ผิดไปจำคำนี้ไว้ด้วย  วันหน้าอาจารย์มาหวังว่าเจอศิษย์ทุกคนนะ  กลับมาตั้งใจศึกษา  อย่าตัดสินใจอะไรเพียงครั้งเดียว  ขอให้มองนานๆ  อาจารย์ไปก่อนนะ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา