วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2542

2542-03-27 พุทธสถานฉือฮุ่ย ต.จันดี จ.นครศรีฯ


PDF 2542-03-27-ฉือฮุ่ย #2.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ พุทธสถานฉือฮุ่ย ต.จันดี จ.นครศรีฯ

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ



ชีวิตหนึ่งเพียงความฝันไม่ยืนยง จงมั่นคงบำเพ็ญธรรมเป็นทางแท้

สิ่งที่ผิดใดใดเข้าเร่งแก้ ไม่เปลี่ยนแปรใจพุทธะญาณดวงเดิม

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบฟังคำเรา ฮวา ฮวา



คืนบ้านเดิมได้หรือไม่อยู่ที่ตน ตั้งใจทนตั้งใจเดินมากเพียงไหน

ระยะทางวัดค่าคนแท้ที่ใจ เป็นคนใหม่ผู้ทำจริงเพราะรู้จริง

ชีวิตหนึ่งไม่ยาวนานต้องดับสูญ มัวหมกมุ่นมวลกิเลสยากก้าวสูง

ขอให้ใช้ธรรมะเข้าชักจูง ปมที่ยุ่งต้องคลายออกทีละหนึ่ง

อย่าใจร้อนจะผ่อนหนักให้เป็นเบา สู่ยุคขาวใจต้องขาวบริสุทธิ์

เป็นพุทธะกลางพิภพ[๑]ใจวิมุตติ[๒] อย่าได้ขุดเรื่องผู้อื่นมานินทา



อันรักโลภพาชีวิตให้ตกต่ำ ยั้งสติด้วยการนำเมตตาสู่

โกรธหลงมียากมีหนึ่งใครชื่นชู ขอย้อนดูตนเองทุกเช้าค่ำ

เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐนัก ขอให้รักษ์โอกาสตนบำเพ็ญเถิด

พุทธะล้วนมาจากคนผู้งามเลิศ น้องเพียรเถิดไม่เกินความพยายาม

เคยเวียนว่ายตายเกิดมาก็นานนัก ทุกข์ที่หนักนั้นไม่ใช่เป็นครั้งแรก

ดีท่ามกลางคนชั่วนั้นใช่สิ่งแปลก ขอเร่งแบกภาระหนักเดินตามฟ้า

ในสองวันคราวนี้ให้ศึกษา เมื่อได้มาค้นคว้าลึกถึงแก่นสาร

เพื่อหลุดพ้นการเวียนว่ายทรมาน แม้ทุกข์นานสุขสั้นสั้นไม่ท้อใจ

เกิดเป็นชายควบคุมกายควบคุมใจ เกิดเป็นหญิงเดินตรงได้งามสง่า

ใจดวงนี้ไม่ติดยึดคำวาจา อันเวลาไม่เคยที่จะคอยใคร

จงศึกษาอย่างตั้งใจใจเปิดออก เรื่องภายนอกหยุดชั่วครู่สำรวมจิต

ทั้งสองวันอยู่ครบเลิศนิมิต ไม่ทำผิดอย่างจงใจต่อพุทธระเบียบ

สองวันนี้พี่ยืนคุมข้างสถาน ทำจิตใจให้ชื่นบานมีกุศล

ไม่ถูกใจเรื่องใดใดให้อดทน ไม่อับจนทางพุทธะจึงเป็นพุทธา

ขอจงรู้เวลาสั้นควรศึกษา กลับออกไปปฏิปทา[๓]โพธิสัตว์

ในบัดนี้ฟ้าดินโปรดซึ่งทางลัด ขอให้หัดทั้งยากง่ายไม่เกี่ยงงอน

จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน

ฮวา ฮวา หยุด








วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลี



อ่อนมีแข็งจึงเห็นเป็นสิ่งอ่อน เพราะมีก่อนจึงมีหลังอย่าสงสัย

เพราะมีหลังจึงมีก่อนพากันไป ใจกว้างใหญ่รู้เขารู้เราไม่อับจน

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายประณตน้อม

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ



กฎธรรมชาติปรับทุกสิ่งให้สมดุล ขาดก็พูนเกินก็ลดฉะนี้

ต่างจากคนรู้จักแต่ความมี ทั้งชีวีจึงระส่ำอยู่เรื่อยไป

มีจุดหมายจึงบำเพ็ญได้ถึงฝั่ง ธาราหลั่งน้ำมีทิศระรินไหล

ชนะหลงเพียงแต่ตื่นยืนสบาย ลืมคล้ายไร้ทิศในดวงชีวา

พาจิตตามครรลองแฝงกำเนิดฐาน แม้สร้างสรรค์มีไม่ขาดทิศา

ฝนก่อตัวพลิกแพลงแห่งเวลา ขจัดบ่วงปัญญามามีในตน

ชีพดุจแสงจิตสำนึกดุจรัศมี ดวงรพี[๔]ตามลงขึ้นไม่สับสน

ชีวิตหนึ่งเวลาหนึ่งเย็นใจทน สงบกลางวุ่นวายดลใจหมองคลาย



เมื่อขัดฝืนไม่สงบขัดธรรมชาติ ใช้ธรรมชาติสอนชีพคนงามได้

บำเพ็ญยาวอย่าบำเพ็ญสูงต้องพ่าย พินิจได้หมายยิ่งค่าเร่งเดิน

บรรลุแท้เหนือวาจาเที่ยงซึ่งใจ สงบในหนึ่งถึงกล่าวความผิวเผิน

ธรรมซึ้งไป่ต่างมานัยนาเมิน ธรรมเจริญกลมกลืนสอดคล้องธรรมชาติ

อย่าได้คิดว่าตนดีเสมอ เป็นการเผลอเป็นวินิจฉัยคนประมาท

ใช้ธรรมชาติพินิจสรรพสิ่งไม่ผิดพลาด อีกเลิกสาดวาจาทำระกำใจ

ฮา ฮา หยุด





พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียน ฮั่นจงหลี



ใครๆ ก็อยากเป็นคนฉลาด แต่โง่ก่อนแล้วค่อยฉลาดดีกว่าฉลาดแล้วค่อยมาโง่ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากเลือกเป็นอย่างไหน (โง่ก่อนฉลาด) แต่เวลาเราดำเนินชีวิตเรามักจะไม่ยอมโง่ง่ายๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ในโลกนี้มีคนรู้ก่อนกับคนรู้หลัง คนรู้ก่อนจะเอาแต่ปิดบังความรู้ไม่ถ่ายทอดความรู้ให้คนเบื้องหลังได้หรือไม่ (ไม่ได้) ถ้าคนรุ่นก่อนๆ ปิดบังความรู้ไม่ถ่ายทอดความรู้ คนรุ่นต่อมาก็ยากจะเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงกว่าลูกเก่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นคนที่รู้ก่อน มีโอกาสต้องถ่ายทอดความรู้หรือสิ่งที่เรารับรู้ให้คนอื่น ในการถ่ายทอดความรู้ของตนที่มีอยู่ให้ผู้อื่น เป็นการช่วยตรวจสอบความรู้ในตัวเองว่าถูกต้องเท็จจริงเพียงใดด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เคยไหมที่เราพูดว่าเรารู้แล้วแต่เวลาเราไปสอนเขา กลายเป็นสอนสังฆราชไป ฉะนั้นการรู้ก่อนหรือรู้หลังก็มีส่วนสำคัญ แต่รู้แล้วไม่สอนนั้นยิ่งมีส่วนสำคัญยิ่งขึ้นไปใหญ่ ฉะนั้นเรารู้ก่อนแล้วเราต้องให้ความสำคัญในความรู้ของเรา รีบสอนเขารีบบอกเขา ถ่ายทอดความรู้ที่เรามีอยู่ ตรวจสอบความรู้ที่เรามีอยู่ว่าถูกต้องเพียงใด การเรียนจึงทำให้เรารู้ตนเองว่าด้อยความรู้ การสอนจึงทำให้เรารู้ความยากลำบากของการสอน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่เรารู้ว่าเราด้อยความรู้เราจึงจะได้รู้จักเตือนตนเองเป็น และเมื่อไรที่เรารู้ว่าตัวเราเองพบความยากลำบากเราจึงจะแข็งแรงเป็น นี่เป็นสำนวนปราชญ์ของคนโบราณที่บอกเล่าต่อกันมา แต่บ่อยครั้งเรื่องราวที่บอกต่อกันมา ความรู้ที่สืบต่อกันมามักจะไม่ประจักษ์ได้แค่เพียงเราอ่าน แต่จะประจักษ์ได้เมื่อเราใช้ประสบการณ์ของชีวิตมาพินิจพิจารณาเรื่องที่เรารู้

เคยได้ยินสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ไหมว่า “รบร้อยครั้งก็สามารถชนะร้อยครั้งได้” (เคย) แล้วเราจะชนะร้อยครั้งได้เมื่อเราเป็นอย่างไร (รู้เขารู้เรา) ในโลกนี้เหมือนสนามรบสนามหนึ่ง บางคนมีศัสตราวุธมากมาย บางคนไร้ศัสตราวุธ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีชีวิตเราต้องการจะประหัตประหารใครไหม (ไม่) เราต้องการจะก่อสงครามหรือเปล่า (ไม่ต้องการ) อยู่ในโลกทุกคนต่างหวังความสงบ สันติสุขและความร่มเย็น แล้วทำไมจิตใจเรายากที่จะสงบได้ท่ามกลางภูมิอากาศร่มรื่นสภาพแวดล้อมที่ร่มเย็น ทำไมจิตใจเรายังวุ่นวายเหมือนสนามรบ สนามหนึ่งกันล่ะ เคยถามตนเองไหม เคยออกรบกันบ้างหรือเปล่า ถ้ามีศัตรูก็แปลว่าต้องออกรบใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าบอกว่าไม่เคยออกรบก็แสดงว่าอยู่บนโลกเราไม่มีศัตรูหรือคู่อริเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เราอยู่ในโลกนี้ใครตอบได้ว่าเราไม่มีศัตรูเลยแม้สักคนเดียว ไม่มีคู่อริเลย บางครั้งเราบอกว่ามือเราไม่ได้ถืออาวุธ แต่อะไรสามารถเป็นอาวุธได้ (ปาก) มีปากเป็นอาวุธมีร่างกายเป็นเกราะกำบัง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วตามหลักพุทธศาสนาสอนให้เราใช้คุณธรรมเป็นเกราะกำบัง ใช้ความดีเป็นอาวุธป้องกันกายใช่หรือเปล่า (ใช่) ทุกท่านก็นับถือพุทธศาสนาแต่ไม่ได้เอาหลักธรรมไปใช้ให้ถูกต้อง บ่อยครั้งที่เรารู้อย่างหนึ่งแต่เราทำอีกอย่างหนึ่งซ้ำๆ เรื่อยๆ ไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)

เรื่องสงครามดูแล้วเหมือนไม่เกี่ยวกับชีวิต แต่ชีวิตเราก็สร้างสงครามให้กับชีวิตได้เหมือนกัน ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ เวลาเรามีสงครามภายนอก จิตใจเราทุกคนก็อยู่ที่ศัตรูที่มารบราฆ่าฟันเรา แต่เวลาที่ไม่มีสงคราม บ้านเมืองสงบสุข ทำไมเรายังเห็นการเข่นฆ่าประหัตประหารไม่เคยหยุดนิ่ง ก็แปลว่าต้องมีสงครามในเมือง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสงครามในเมืองเกิดจากอะไร (จิตใจ, เกิดจากตัวเราเอง) ท่านลองคิดดูว่าคนคนหนึ่งสามารถก่อสงครามให้กับบ้านเมืองให้กับครอบครัว เพราะเขาขาดคุณธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วที่ทำให้เกิดการขาดคุณธรรมคืออะไร เราลืมความละอายเกรงกลัวต่อบาปไป ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเพราะอะไรเราจึงลืมความละอายเกรงกลัวต่อบาป เพราะความโลภ โกรธ หลงนั่นเอง ทำให้มนุษย์พร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองปรารถนาและต้องการ พร้อมจะเข่นฆ่าคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่ได้ถือมีดถืออาวุธอะไรก็ตาม เป็นเพราะว่าเราลืมและทอดทิ้งคุณธรรมไป มัวสนใจกับอารมณ์ที่เกิดอยู่ในใจ ความต้องการที่เราต้องการสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อมีชีวิตเราอย่าได้ปล่อยไปตามอารมณ์และทอดทิ้งคุณธรรม ไม่เช่นนั้นเรานั่นแหละจะเป็นผู้สร้างสงครามให้กับตัวเอง สร้างสงครามให้กับครอบครัว สร้างสงครามให้กับบ้านเมือง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าเราต้องประสบพบเจอกับคนที่ชอบก่อสงครามเป็นนิจ เราจะทำเช่นไร คนที่ก่อสงครามให้กับตัวเราอย่างแรกก็คือชอบทำให้เราโมโหใช่หรือไม่ หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นคนโลภโมโทสัน หรือไม่ก็เป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ คดโกงใช่หรือไม่ (ใช่) คนประเภทนี้ถ้าเราพบเจอเราจะทำเช่นไร (ให้ธรรมทาน, หลีกเลี่ยง, ให้ความเมตตา) ถ้าเกิดว่าท่านต้องอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แล้วท่านเป็นผู้หนึ่งที่เห็นเขากระทำผิด กระทำไม่ชอบ ถ้าท่านใช้ความเมตตากับเขา ความเมตตานั้นจะสามารถยับยั้งจิตใจเขาได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการจะใช้คุณธรรมใดไปช่วยขัดเกลาขัดล้าง หรือช่วยยับยั้งความชั่วร้ายในสังคม เราต้องรู้จักนำไปใช้ให้เหมาะสม หากเขาโกรธมาท่านใช้คุณธรรมในด้านความเมตตาความกรุณา ก็ถือว่าเหมาะสมใช่หรือไม่ (ใช่) ความเมตตาก็คือเราไม่โกรธตอบ เรากรุณา เราเสียสละ ไม่โกรธแค้น ไม่เจ็บแค้นแม้ว่าสิ่งที่เขาจะทำกับเราไม่มีเหตุผลก็ตาม แต่ในสังคมนี้ไม่ใช่มีคนประเภทนี้ประเภทเดียว ยังมีทั้งคนไม่ซื่อสัตย์ คนที่เอาแต่ได้ คนที่ไม่ยอมทำงานด้วยตัวเอง ให้คนอื่นทำแล้วตัวเองรับผล ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราก็เรียนรู้มาว่าต้นไม้นั้นถ้าขึ้นมาต้นหนึ่ง ไม่ให้ดอกไม่ให้ผล แถมชอบทำร้ายผู้อื่น เรามักจะถอนทิ้งกันใช่หรือไม่ (ใช่)

เราก็เรียนรู้เพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งว่าหากเราฆ่าคนไม่ดีคนหนึ่ง ก็ช่วยลดคนไม่ดีในสังคมได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าในทางกลับกัน เราสามารถทำคนไม่ดีคนหนึ่งให้เปลี่ยนแปลงเป็นคนดีได้ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มคนดีในสังคม แต่กว่าเราจะเพิ่มคนดีในสังคม ไม่รู้ว่าคนนั้นไปทำร้ายคนมากี่คนแล้ว ไม่รู้ว่าคนที่ไม่ซื่อสัตย์ที่เรามองเห็นนั้นจะกลับมาทำร้ายเราหรือเปล่า แปลว่าจิตมนุษย์น่ากลัวเช่นนี้ เรายากจะหยั่งรู้ได้ แต่ทุกวันนี้เราต้องเจอคนเช่นนี้ วันนี้แม้ท่านจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่ถ้าวันหนึ่งท่านรับรู้ ท่านต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการรับรู้นี้ท่านจะทำอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวในสังคมปัจจุบันที่ทุกคนจะต้องเจอ เรายากจะทำอะไรกับคนเลวร้าย เรายากจะแก้ไขกับคนที่เต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลงในสังคมใบนี้ เราไม่รู้จะทำเช่นไร แต่ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่าหากคุณธรรมสามารถพลิกฟื้นกลับมาสู่จิตใจใครได้ คนๆ นั้นย่อมมีมโนธรรมสำนึก มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่กล้าที่จะทำผิด แล้วเราก็สามารถจะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่สงบสุข คนที่อยู่รอบข้างก็เป็นสุข ปลอดภัย โล่งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้เรากลับทำอะไรไม่ได้ มีคุณธรรมแต่กลับไปช่วยเขาไม่ได้ ไปแก้ไขอะไรเขาไม่ได้ เพราะทุกคนคิดว่าเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ภัยยังอยู่นอกบ้าน เราอยู่ในบ้าน ไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่พอภัยมาหาเรามีไหมจะมาเคาะประตูบอกว่าภัยมาแล้วนะ (ไม่มี) ฉะนั้นตอนนี้เรายังนิ่งนอนใจไม่ได้ เมื่อมีโอกาสรีบเอาธรรมไปส่งเสริม เมื่อมีโอกาสรีบนำธรรมนี้ไปให้เขารับรู้

การพูดด้วยธรรมไม่เท่ากับปฏิบัติด้วยธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรที่เราพูดด้วยธรรม เมื่อนั้นย่อมมีการโต้เถียง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราปฏิบัติด้วยธรรม เมื่อนั้นยากที่จะมีใครโต้เถียงได้ เพราะเราทำเราก็ได้ แล้วเราก็เป็นส่วนที่ช่วยประจักษ์ผลให้เขารับรู้ ฉะนั้นตอนนี้เราอย่านิ่งดูดายในการปฏิบัติธรรม แม้ธรรมเล็กๆ น้อยๆ ทำได้ก็จงรีบทำ ดีหรือไม่ (ดี) แม้ความผิดชั่วร้ายที่ดูเป็นเพียงรูเล็กๆ แต่รูเล็กๆ ก็สามารถล่มเรือที่ยิ่งใหญ่ให้จมลงได้ ความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในใจเราแม้จะไม่มีใครรับรู้ แต่ทุกวันก็ทำให้เราเจ็บปวดได้ ถ้ามีใครพูดถึง แตะถึง แม้เขาจะไม่รู้ว่าเราทำ แต่พอใครมาพูดถึงว่าเราเคยโกหก แม้เขาจะพูดโกหก เราก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าได้ละเลยไม่ว่าจะทำดี หรือว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ในการสร้างคุณธรรม จิตใจที่ใฝ่ดีขอให้รักษาไว้ให้ดี อย่าใฝ่ดีเพียงแค่วันเดียว หรือเพียงครั้งเดียวในชีวิต ไม่คุ้มค่าเลย จะใฝ่ดีทั้งทีต้องใฝ่ดีให้ตลอดรอดฝั่ง อย่าเป็นต้นตรงแต่ปลายคด อย่างนั้นไม่น่าสนใจเลยใช่หรือไม่

ถ้าเจอคนที่ไม่ซื่อสัตย์คดโกง เราจะกระทำเช่นไรดี แล้วถ้าเกิดว่าคนไม่ซื่อสัตย์คดโกง ชอบลักเล็กขโมยน้อยนี้ เป็นประเภทชอบผัดวันประกันพรุ่งด้วย เราจะทำอย่างไรดี พอบอกว่าให้แก้ เราจับได้แล้ว เขาก็บอกว่าวันนี้ขอทำอีกวันหนึ่ง เดือนหนึ่งทำสักครั้งหนึ่งไม่เป็นไรหรอก ได้ไหม (ไม่ได้) หรือไม่ก็บอกว่าปีหนึ่งของแค่ครั้งหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้) ให้อภัยหรือเปล่า (อภัย) แล้วถ้าเกิดว่ามารู้ทีหลังว่าคนที่เป็นเจ้าทุกข์คือตัวท่านเอง จะให้อภัยเขาอีกไหม บ่อยครั้งที่เวลาคนเราทำผิด เรามักจะผัดวันประกันพรุ่งในการที่จะเลิกทำความผิดนั้น พอเราโกหก เราก็บอกว่ายังโกหกไม่เสร็จเลย ขอไปโกหกอีกคนหนึ่งก็พอใจแล้ว ใช่หรือเปล่า หรือไม่ก็บอกว่าเพิ่งขโมยมา เพิ่งหมดไปเอง ขออีกครั้งหนึ่งแล้วจะไม่ขโมยอีกต่อไปแล้ว แล้วถ้าเราให้อภัยเขา เราปล่อยให้เขาแก้ตัวอย่างนี้ แล้วก็ทำเหมือนเดิม แต่คนที่เป็นเจ้าทุกข์คือบ้านเราเอง ตอนนั้นเราคงอยากจะฆ่าเขาทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราเจอคนแบบนี้ เราต้องใช้ความเที่ยงตรงตอบ ถ้าเกิดว่าเขายังทำผิดอีก ก็ต้องมีการขู่สักเล็กน้อย เมื่อถึงคราวขู่แล้วเขาทำผิด ต้องลงโทษให้จริงจัง เพราะถ้าเราแค่ขู่แต่เราไม่ลงโทษจริงจัง ต่อไปเขาก็กล้าทำผิดอีกใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเวลาท่านมีกิเลส มีสิ่งผิด มีความผิดในตัวตนไม่ว่าจะเป็นโลภโกรธหลง โกรธทีก็ให้ฟ้าผ่าสักเปรี้ยงหนึ่งดีหรือเปล่า (ไม่ดี) เวลาหลงทีหนึ่ง เราก็ให้น้ำท่วมท่านเลย ดีไหม (ไม่ดี) ความหลงทำให้เป็นอย่างไร หน้ามืดตามัวแยกไม่ออกแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเวลาเราเจอคนผิด เราอย่ามองแค่คนอื่น แต่เราต้องมองตัวเราเองด้วย เราตรวจสอบคนอื่นได้ เราก็ต้องตรวจสอบตัวเราเองเป็นด้วยว่าเรามีสิ่งผิดพร้อมจะแก้ไข เรามีสิ่งดีมากน้อยเท่าไหร่ อย่าถนัดในการมองออกแต่ไม่ถนัดในการมองเข้า อย่าเป็นผู้ที่ให้อภัยตนเองได้แต่ให้อภัยคนอื่นไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนมีความยุติธรรมได้หรือเปล่า (ไม่ได้)

คุณธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นมีกล่าวไว้ว่า ๑.ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน ๒.ต้องยุติธรรมต่อกัน ๓.ต้องเห็นอกเห็นใจกัน ๔.ต้องคำนึงถึงส่วนรวมเป็นใหญ่ ส่วนตัวเป็นย่อย หากทุกคนกระทำเช่นนี้ สังคมย่อมสันติสุข แต่หากใครคนใดคนหนึ่งละเมิดสิ่งที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้ความวุ่นวายย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ว่าในใจหรือในสังคมที่เขาไปอยู่

มนุษย์เรานั้นมีชีวิตอยู่ไม่ใช่นึกจะเดินก็เดิน นึกจะหยุดก็หยุด นึกจะเลี้ยวก็เลี้ยว นึกจะลดก็ลด มันไม่ใช่แบบนี้ คนทุกคนเวลามีชีวิตก็ย่อมมีจุดหมายของชีวิต จุดหมายของบางคนสูง แต่บางคนราบต่ำ บางคนดูผิวเผิน จุดหมายบางครั้งวัดคนได้ คนที่ไม่มีจุดหมายก็เหมือนเป็นคนที่ไม่มีค่าอะไรเลย ฉะนั้นเป็นคนหนึ่งมีชีวิตหนึ่งชีวิต แม้จะยาวไกลหรือสั้น แต่ค่าอยู่ที่ไหน เคยถามไหม (คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่จิตใจและการกระทำ) คุณค่าอะไรของท่านที่ทำให้ท่านคิดว่ามีคุณค่า (คุณธรรมอันเยอะแยะ ไม่เสียชาติที่เกิดเป็นคนรักชาติ รักบิดามารดา รักลูกรักเมีย เข้าวัดเข้าวา ฟังแสดงธรรม ทำสิ่งที่ดีทุกๆ อย่าง,พฤติกรรมที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม) คุณธรรมนั้นบางครั้งดูเหมือนอาจจะไม่มีในการดำรงชีวิตแต่ถ้าเราไม่เห็นแก่ตน เราก็สามารถสร้างคุณค่าในสังคมได้ ชีวิตของมนุษย์นั้น หากเพิกเฉยคุณธรรมสักนิดหนึ่งเราก็สามารถจะไปจับความชั่วร้ายได้ทันที เราขยับตัวนิดหนึ่งหากเราคิดไตร่ตรองพิจารณาว่าถูกต้องไหมว่า นั่นคือการประกอบคุณธรรม ตลอดชีวิตที่ผ่านมาแม้จะมีเพียงเพื่อตนเอง แม้จะทำเพื่อบำรุงร่างกายครอบครัวตนเอง แต่ถ้าหากการบำรุงเลี้ยงชีวิตครอบครัวไม่ได้ไปมุ่งทำร้ายใครก็เป็นการสร้างคุณค่าที่ดีได้เหมือนกัน

คุณค่าของมนุษย์นั้นโดยปกติมีได้หลายระดับ ระดับหนึ่งอาจจะเพื่อตนเอง ระดับหนึ่งอาจจะเพื่อญาติพี่น้องด้วย แต่ระดับที่สูงส่งยิ่งใหญ่นั่นก็คือไม่เลือกนับพี่น้องหรือคนในครอบครัวเลือกได้ทุกๆ คน พร้อมจะกระทำให้ทุกๆ คนไม่เรียกน้องแล้วเราจะเกลียด เรียกน้องเราจะรัก ทำเท่าเทียมกันหมดคือคุณค่าที่สูงส่งของการเป็นคนเมื่อมีชีวิตอยู่ แต่อย่างน้อยก่อนที่เราจะทำให้คนอื่นได้ เราต้องทำให้คนที่เราควรจะทำก่อนเป็นอันดับแรกและไม่ควรทอดทิ้งคือพ่อแม่ บ่อยครั้งที่เราคิดว่าการกระทำของเรานั้นคือความสุขความพอดี แต่บางครั้งเราต้องคิดต้องทบทวนว่าความสุขที่เราได้มา ความสนุกสนานที่เราได้มา จากที่เราไปเที่ยวมานั้นคำนึงถึงคนรอบข้างหรือเปล่า เราเคยลืมคนที่เคยดูแลเอาใจใส่หรือไม่ ครั้งที่เรามีความสุขแต่อยู่บนความทุกข์กังวลของคนชิดใกล้อย่างนั้นเป็นการกระทำไม่ถูกต้อง เป็นการแสดงคุณค่าที่ลืมคุณค่าของคนชิดใกล้ไป

ฉะนั้นเวลาที่เราจะทำอะไรหรือแม้จะไปฉุดช่วยผู้อื่นอย่างไร ก็อย่าได้ลืมคนที่ชิดใกล้ให้ความสำคัญกับเขาก่อน แล้วค่อยออกไปให้ความสำคัญกับคนไกล ไม่เช่นนั้นอยู่กับคนอื่นเป็นคนดีได้ แต่อยู่บ้านตัวเองกลับหาซึ่งความดีความยุติธรรมไม่ได้ อย่าได้ทำเช่นนั้น อย่าได้รักผู้อื่นมากกว่ารักพ่อแม่ของตนเอง อย่าได้มัวเป็นห่วงผู้อื่นจนลืมห่วงพ่อแม่ของตน บ่อยครั้งที่เรามัวแต่หวังผลประโยชน์ข้างหน้าจนลืมคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ บ่อยครั้งไปที่เรามัวแต่มองประโยชน์เฉพาะหน้าจนลืมผลประโยชน์ที่เราจะหาได้ในระยะใกล้ๆ แล้วเราก็มักจะพบกับคำว่าเสียใจภายหลังเป็นนิจศีลใช่ไหม (ใช่) แล้วเราก็มักจะลืมไปว่าคนที่รักเราแท้ๆ จริงๆ แล้วไม่ห่างไปจากสายตาเลย เรามักไปรักคนอื่นคนไกลกว่า ฉะนั้นไม่ว่าเราจะดำรงดีงามเช่นไร เราต้องไม่ลืมคนใกล้เราด้วย (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชี้แนะเรื่องความกตัญญู)

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)

อยากได้กันบ้างหรือเปล่า หรือว่าไปซื้อข้างนอกก็ได้ แต่แอปเปิ้ลเราไม่เหมือนแอปเปิ้ลข้างนอก เป็นแอปเปิ้ลที่แลกมาด้วยภูมิปัญญาและความรู้ในคุณธรรม ท่านตอบออกมาได้ครั้งหนึ่งก็แปลว่าท่านคิดได้ในเรื่องปัญญาหรือคุณธรรมที่มีอยู่ในตัว ทำไมบ้างครั้งคำถามที่ดูเหมือนยาก แต่ตอบดูแล้วเหมือนง่ายใช่ไหม (ใช่) แล้วทำไมเขาถึงสามารถหยิบออกมาพูดได้ง่ายๆ แต่ทำไมเราถึงไม่กล้าเอาออกมาพูดได้ง่ายๆ บ้าง เคยถามไหม ผู้บำเพ็ญธรรมเคยรู้สึกไหม บางคนตั้งแต่ประชุมธรรมมา เป็นผู้ปฏิบัติธรรมก็แล้วไม่เคยได้รับผลไม้จากการตอบคำถามเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำไมเขาถึงสามารถพูดได้ เป็นเพราะเขาพูดเก่งและมีความกล้าใช่หรือเปล่า (ใช่) แม้ตอบถูกตอบผิดก็ไม่เป็นไร บางครั้งเรากล้าทำในสิ่งที่ควรกล้า ต้องควรกล้าด้วยใช่ไหม แม้จะทำผิดไปบ้างถูกไปบ้างคนเขาก็ให้อภัย เพราะการแสดงออกที่ผิดบ้างถูกบ้างเราจะมองเห็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าประเภทกล้าแล้วบ้าบิ่นอย่างนี้อันตรายใช่หรือเปล่า (ใช่) กล้าโดยที่ไม่ดูเลยใช่ไหม ตอนนี้อยู่กับเราลองกล้าขึ้นหน่อยดีหรือไม่ เราถามอะไรก็ตอบดีไหม (ดี) แปลว่านับจากนี้ไปเราถามอะไรก็ตอบให้ได้

วันนี้มาฟังการบำเพ็ญธรรมมีข้อดีเช่นไร การบำเพ็ญธรรมก็คือการขัดเกลาตนเองแล้วพยายามประกอบแต่สิ่งที่ดี สิ่งใดที่เป็นข้อผิดพลาดในตัวเราต้องแก้ใช่หรือเปล่า แล้วการบำเพ็ญธรรมดีอย่างไรต่อชีวิตบ้าง บำเพ็ญแล้วเป็นอย่างไร ถึงแม้จะยังไม่ไปลองบำเพ็ญมา แต่ถ้าบำเพ็ญแล้วจะเป็นเช่นไร (เราจะได้ความสบายใจ, สามารถดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง) แปลว่าทุกคนคาดหวังว่าเมื่อบำเพ็ญธรรมแล้วผลที่ได้ย่อมดี แต่มีหลายครั้งที่เราทำดี แม้จะยังไม่เรียกว่าบำเพ็ญธรรมแต่เรามักจะได้ยินอะไรกลับมาบ้าง มักจะได้ยินทั้งดีและไม่ดีตามมาด้วย หรือไม่ก็นินทาเรา แล้วถ้าเกิดเขานินทา เขาว่าเราแล้ว หรือผลกลับมาไม่ดีอย่างที่คาดคิดแล้ว ท่านจะเลิกบำเพ็ญดีไหม (ไม่ดี)

เราจะพูดธรรมะข้อหนึ่งให้ท่านคิด ถ้ามีคนๆ หนึ่งบ่นว่าเขาจะทำดีก็ต่อเมื่อคนให้โอกาส ให้เวลา คนเห็นคุณค่า เขาถึงจะทำดี เขาจึงจะมีใจคิดทำดี แล้วอีกคนหนึ่งก็บ่นอีกว่าเขาจะมีคุณค่าหรือเขาจะเห็นคุณค่าของการทำดีนั้นก็ต่อเมื่อการทำดีนั้นต้องมีสิ่งที่ดีให้เขาเห็น ไม่อย่างนั้นเขาไม่ทำ แปลว่าเขาเอาความดีที่เขารับรู้หรือเอาคุณค่าของความดีของเขาที่สามารถแสดงออกได้ ไปวัดไปผูกไปยึดกับวาจาคน ไปยึดกับโอกาสที่คนอื่นสร้างให้ เช่นนั้นเป็นการกระทำที่ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก) แปลว่าเราจะทำดีปฏิบัติดีก็ต่อเมื่อใจเราคิดสร้างดีเอง ไม่ใช่เพราะวาจาใคร ไม่ใช่เพราะความคิดใคร แต่เพราะกลั่นกรองออกมาจากปัญญาความรู้ความสามารถที่เราได้ฝึกฝนที่เราได้เรียนรู้ และถึงโอกาสเหมาะสมที่เราพร้อมจะกระทำ ฉะนั้นเวลาเราทำดีแล้วไม่ได้ดีเราอย่าได้กังวล เพราะการกระทำดีของเรานั้นไม่ได้ไปผูก ไปแขวนกับวาจาใคร

พระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าเวลาทำดีก็มีทั้งฝ่ายหนึ่งที่เห็นด้วยและอีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วย ถึงขนาดลอบฆ่าท่าน แปลว่าการกระทำดีของคนเราก็เหมือนการสร้างงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ย่อมเป็นธรรมดาที่มีคนบอกว่าชอบและชัง แต่ขอให้คนที่บอกว่าชอบคือคนดี และคนที่บอกว่าชังคือคนไม่ดี อย่าให้คนที่บอกว่าชอบในการกระทำของเราเป็นคนไม่ดีของสังคม อย่างนั้นแปลว่าการกระทำของเราไม่ค่อยถูกต้อง บ่อยครั้งในสังคมเราจะประกอบไปด้วยคนสองประเภท ประเภทหนึ่งคือ อดริษยาไม่ได้ ตามธรรมดาของมนุษย์เวลาเห็นใครดีแล้วอดอิจฉาไม่ได้ ถ้าคนอิจฉาตัดสินว่าเราไม่ดี ไม่เป็นไร เราไม่ต้องย่อท้อ แต่ว่าถ้าคนที่ไม่อิจฉา เป็นคนมีเมตตาเหมือนกับเรา แต่เขาว่าเราทำไม่ดีทำไม่ถูก เราก็ต้องตรวจสอบและแก้ไข ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้เวลาเราจะตัดสินใจทำอะไรอย่าได้มองแต่ผลด้านเดียว แต่ต้องมองผลให้รอบๆ ด้าน แล้วเราจึงจะสามารถดำเนินรอยทางในการบำเพ็ญไปได้ตลอดรอดฝั่ง ขอเพียงมีจุดหมายแม้ฟ้ายังยอมแพ้ แต่ถ้าคนนั้นบำเพ็ญอย่างไร้จุดหมายไม่มีแม้แต่ปณิธาน ท่านก็ต้องพ่ายแพ้ต่อฟ้า คนอื่นท่านก็ยากจะเอาชนะได้ คนที่มีจุดหมายในการดำเนินชีวิต มีความกล้าหาญในการตัดสินใจ มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แม้ฟ้ายังต้องยอมแพ้เลย แต่ถ้าคนนั้นเป็นคนหวาดกลัว จะทำอะไรก็ไม่กล้า แม้ฟ้าเขาก็ยากที่จะเอาชนะได้ แม้คนด้วยกันเองเขาก็ยากที่จะสู้ได้

เราบอกวิธีการสู้รบทั้งต่อคุณธรรมในตัวเอง และคุณธรรมที่จะเอาออกไปข้างนอก คงสามารถมีชีวิตและบำเพ็ญธรรมได้อย่างมีความสุข แต่บ่อยครั้งกลับมีน้ำตามาหาเราเพราะอะไรกัน บ่อยครั้งที่ท่านมาคุกเข่าภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บอกว่าขอสุขเยอะหน่อยทุกข์น้อยหน่อย บางครั้งหวังดีหน่อยบอกว่าฉันไม่เอาก็ได้แต่ให้ลูกหลานฉัน อย่างนี้ไม่เรียกเป็นการฝืนธรรมชาติหรือ ทำไมเราจึงเรียกว่าเป็นการฝืนธรรมชาติ ในการขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าขอสุขเยอะหน่อยขอทุกข์น้อยหน่อย แต่ผลที่ได้เวลาเราขอกลับมาได้สุขไหม (ไม่ได้) เวลาอยู่ในวัดก็ยังรู้สึกสุขใจ แต่พอออกไปก็เริ่มตุ๊มๆ ต่อมๆ แล้วผลกลับเป็นอย่างไร ทุกข์กว่าอีกใช่หรือไม่ (ใช่) แถมเพิ่มกิเลสมาอีกอย่างหนึ่งคือต่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่เห็นได้อะไรเลย บนก็แล้วถวายโน่นก็แล้วถวายนี่ก็แล้ว เราขอความสุขต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ไปเอาความทุกข์ยากของคนอื่นมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเอาคราบน้ำตาขอคนอื่นมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นอย่าเอาหมูเห็ดเป็ดไก่มาไหว้อีกดีหรือเปล่า (ดี) จะขอสุขจากคนอื่นแต่ไปเบียดเบียนทุกข์เขาเมื่อกี้นี้เองจะได้สุขไหม (ไม่ได้) แล้วจะขอสุขให้ตัวเองแต่ตัวเองยังไม่รู้จักคำว่าสุขเลย ตัวเองยังลืมทุกข์ไม่ลงเลยแล้วจะสุขได้ไหม แล้วอย่างนี้ไม่เท่ากับฝืนความรู้สึกตนเองหรือ แล้วตอนนี้ท่านจะบอกว่ามีทุกข์มากเหลือเกิน ต่อไปขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้มีสุขเยอะๆ แต่ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่า เสกมาให้แล้วเป็นสิบรอบยี่สิบรอบแล้ว ท่านก็ยังร้องไห้เหมือนเดิม อย่างนี้จะโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะตอนเสกให้ก็ไม่รู้ว่าเสกให้ มัวคิดถึงคำว่าทุกข์ไม่ยอมเปิดใจรองรับความสุขสักทีใช่ไหม (ใช่)

ในโลกนี้ธรรมชาติที่เรารู้กันมีขึ้นก็มีลง มีสูงก็มีต่ำ มีได้ก็มีเสีย มีทุกข์ก็มีสุข แล้วอย่างนี้เข้าใจหรือยังว่าฝืนธรรมชาติเป็นอย่างไร จะหวังด้านหนึ่งแต่ไม่รับอีกด้านหนึ่งได้หรือไม่ จะหวังแต่สว่างไม่พบความมืดได้หรือเปล่า (ไม่ได้) คำว่าฝืนธรรมชาติก็คือเราเลือกที่จะรับอย่างเดียว แต่อีกด้านหนึ่งเราไม่ยอมรับ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นไปไม่ได้ แล้วตัวเราเองบ่อยครั้งไปที่วันนี้ดี พรุ่งนี้ไม่ดีใช่ไหม (ใช่) แล้วใครล่ะที่ทำให้เราดีและสุขได้ (ตัวเราเอง) ถ้าตอนนี้ใจท่านไม่ยินดีปรีดา แม้เขาจะร้องเพลงเต้นรำให้ท่านเห็น ท่านจะยิ้มออกไหม (ไม่ออก) ฉะนั้นความทุกข์แม้เราจะรู้วิธีแก้ แต่ถ้าตัวเราไม่เป็นคนแก้ออกจากใจ ใครจะช่วยให้เราคลายทุกข์ได้ จะทุกข์หรือจะสุขขึ้นอยู่ที่ตัวเรา หยิบขึ้นมาได้ทำไมปล่อยกันไม่ลง ใช่หรือเปล่า (ใช่) ความทุกข์ก็เหมือนกับการกำมือและแบมือ ตอนนี้ทุกข์ก็เหมือนกำมือไว้แน่นๆ ค่อยๆ ปล่อยออกมาทีละนิ้วๆ ก็ได้นี่ หรือถ้าตัดใจได้ทีเดียวก็ปล่อยทันทีก็ได้นี่ ต้องรู้จักปลงเป็นวางเป็น อยู่ในโลกนี้อย่ารู้จักคำว่า “ได้” เป็นเพียงอย่างเดียว ต้องรู้จักคำว่า “เสีย” เป็นด้วยถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่อยู่บนโลกนี้เป็น แล้วอย่าเป็นผู้ที่รับได้ด้านเดียว อีกด้านรับไม่ได้ไม่อย่างนั้นท่านก็เป็นผู้สร้างความทุกข์ให้ตนเองเปล่าๆ ต่อไปคงไม่เห็นใครทุกข์อีกแล้วนะ คงเริ่มที่จะปล่อยเป็นแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)

เรารู้ว่าโลกนี้เมื่อขึ้นชื่อว่าคนหรือมนุษย์ต้องมีคำว่าทุกข์ตามมาทุกผู้ทุกคน ใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วคำว่าสุขนั้นไม่มีในโลกนี้หรอก มีแค่เพียงทุกข์มากทุกข์น้อยเท่านั้นเอง สุขที่เราพบนั้นก็คือความทุกข์ที่มีน้อยต่างหาก แต่เราจะทำอย่างไรให้เราพบคำว่าสุขได้หลังจากมีทุกข์ หากเราฝึกได้เมื่อไรเราก็เป็นสุขได้ก่อนคนแรก แล้วคราวนี้ก็คงไม่ต้องมาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก็ยังเห็นอยู่ร่ำไป ถ้าอย่างนั้นจะขอเราช่วยแนะให้ว่าจะขออะไรดีไหม (ศีล สมาธิ ปัญญา, ขออธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอให้มีสติและมีสมาธิและมีปัญญาสามารถพาตนให้พ้นจากทุกข์ถึงพระนิพพานโดยเร็ว) หากเราจะแนะให้ทุกท่านในการดำเนินชีวิต ขอให้มีอดทนความกล้าหาญในการที่จะต่อสู้ความทุกข์ยาก เป็นการขอที่ดีไหม เพราะโลกใบนี้บ่อยครั้งเรามีสติมีปัญญาแต่ขาดซึ่งความอดทนกล้าหาญ เราเจอทุกข์ทนไม่ได้รับไม่ไหว ฉะนั้นต่อไปหากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ตนเองมีความอดทนกล้าหาญและพร้อมที่จะรับได้ทุกสภาพของชีวิตย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ พร้อมแล้วต้องรับให้ทัน เพราะบ่อยครั้งทุกข์มาโดยไม่รู้ตัวเลย สุขไปไม่เคยรู้เวลา ฉะนั้นต้องรับให้ดี

“ใช้ธรรมชาติสอนชีวิตคนงามได้” มีใครเข้าใจความหมายนี้ไหม เราชอบวรรคนี้มากที่สุด และเราอยากให้ท่านเข้าใจวรรคนี้ คำว่าใช้ธรรมชาติสอนชีวิตแล้วทำให้คนงามได้ หากเราพาเด็กมาคนหนึ่งหรือตัวเราเองก็ได้ไปอยู่ในธรรมชาติเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าสงบร่มเย็นใช่หรือไม่ แต่ถ้าไปอยู่ในสังคมในเวลาเดียวกันรู้สึกเป็นอย่างไร วุ่นวายแก่งแย่งแข่งขันชิงดีกันใช่หรือไม่ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะสามารถย้ายธรรมชาติมาอยู่ในสังคมนี้ได้ (เอาความเมตตามาใส่ใจซึ่งกันและกัน, ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เบื้องบนได้สร้างสรรค์ไว้และเป็นสัจธรรมที่ทุกคนนำมาปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดความสุขในสังคม) เรายังถามต่อไปว่าเราจะทำอย่างไรให้ธรรมชาติอยู่ในสังคม ปัจจุบันนี้เรายากจะมีชีวิตอยู่แต่ในธรรมชาติ อยู่ในภูเขา อยู่ในลำธารใสได้ใช่ไหม เราต้องมีชีวิตค่อนชีวิตที่อยู่กับสังคมและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เราจะทำอย่างไรถึงจะเอาความสงบนี้ย้ายเข้าไปอยู่ในสังคม (เราต้องทำจิตใจของเราให้สบาย, เราจะได้ธรรมชาติที่ดีเราต้องปฏิบัติบำเพ็ญ ขัดเกลาจิตตัวเองให้มีคุณธรรมและก็มีเมตตาซึ่งกันและกัน, ทำจิตใจให้สว่างและสงบ ละกิเลส ละโลภโกรธหลง, เราต้องเปิดใจรับธรรมชาติ) เปิดใจรับธรรมชาติเข้ามาสู่จิตตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราอยากได้ความสงบแต่กลับมาจากธรรมชาติแล้วไม่มีความสงบติดมาด้วย พอมาอยู่ในสังคมความสงบหายไปหมดแล้ว จึงต้องเปิดรับและเอาไปให้ได้ (ถ้ามีจิตใจที่บริสุทธิ์เราก็จะสามารถยอมรับความเป็นธรรมชาติได้) แต่ธรรมธรรมชาตินั้นมีนัยหนึ่งทำให้เราได้รู้ ถึงธรรมชาตินั้นเป็นกลางแล้วท่านอื่นละ (รู้จักปล่อยวาง เพราะในธรรมชาติไม่มีอะไรให้เรายึดหนี่ยวรั้งว่าเป็นของเรา ถ้าเราปล่อยวางได้เราก็จะอยู่ได้เหมือนในธรรมชาติ) ในธรรมชาติมีจุดหลักหนึ่งที่เราสามารถจะปฏิบัติได้ นั่นก็คือในธรรมชาติไม่ว่าคนประเภทใดธรรมชาติก็รับได้ แต่ว่าการเป็นธรรมชาติหรือการที่จะมีจิตใจสงบและรองรับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างธรรมชาตินั้นก็คือจิตใจที่รับได้ทุกสภาวะ เพราะว่าธรรมชาตินั้นคนจะบ่นคนจะเหยียบคนจะด่าทอ ธรรมชาติก็ยังนิ่งเฉยไม่ว่าคนจะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ธรรมชาติก็ไม่เคยมานั่งบอกว่าอย่าเปลี่ยนนะถ้าเปลี่ยนแล้วจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่เคยพูดอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่) อีกอันหนึ่งธรรมชาติทำให้เรารู้ความไร้ซึ่งตัวตน เพราะธรรมชาติไม่มีตัวตนจึงไม่ต้องกังวลว่าผลจะเป็นอย่างไร แล้วจะทำอย่างไร เขาจะทำอย่างไร การที่ไม่มีตัวตนทำให้เราไม่มีที่ให้ทุกข์จับ ไม่มีที่ให้กิเลสเกาะ ไม่มีที่ให้คนว่าใช่หรือไม่ ถ้าเราสามารถเอาจิตใจของธรรมชาติมาได้สักส่วนหนึ่ง เราก็สามารถเป็นสุขหรือหาความสงบได้ในตัวเอง

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลงสายธารแห่งชีวิต) ได้อะไรในเพลงกันบ้างหรือไม่ หยกฤๅหินอยู่ที่เราเลือกเดิน เข้าใจความหมายโดยนัยในประโยคนี้ไหม (คือเลือกเดินในทางที่ไม่ดีหรือทางที่ดี, เลือกเดินในทางที่มีค่าหรือไม่มีค่าก็แล้วแต่ตัวเอง) แล้วทางไหนมีค่า ทางไหนที่ดี ทางหยกหรือทางหิน หยกจะมีค่าและค่าสูงยิ่งนั้นต้องเป็นอย่างไร (ต้องไปในทางที่ถูกต้อง, ต้องขัดเกลา, หยกจะมีค่าก็ต่อเมื่อคนที่รู้ค่าของมันนำไปใช้) หยกจะมีค่าก็ต่อเมื่อคนนั้นเห็นค่าด้วยใช่หรือไม่ หยกก็คือหิน หินก็คือหยก แล้วหยกมีสีต่างจากหิน กว่าจะเป็นหยกที่มีคุณค่าสูงต้องถูกเจียระไน แปลว่าคนเราเลือกทางถูกแล้วจะไปได้สูงยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อยอมผ่านร้อนผ่านหนาวได้ ค่าถึงจะประจักษ์ชัดยิ่งขึ้น

ทำไมเราถึงบอกว่า “บำเพ็ญยาวอย่าบำเพ็ญสูงต้องพ่าย” โดยปกติคนยิ่งมีค่าสูงยิ่งมีคุณค่า เคยได้ยินไหมว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งสูงก็ยิ่งโดดเดี่ยว แล้วสูงมากเท่าไหร่คนก็ยิ่งอิจฉาแล้วก็ตกต่ำได้ไวมาก หากเดินทางเรียบกับเดินทางสูง หากมีปณิธานที่เรียบง่ายกับมีปณิธานที่สูง เราก็ต้องเลือกปณิธานที่สูง แต่ถ้าเกิดบำเพ็ญยาวกับบำเพ็ญสูง เราขอเลือกให้ท่านบำเพ็ญยาวดีกว่า ฉะนั้นตรงนี้คงเข้าใจความหมายของคำว่าสูงนะ

บ่อยครั้งมนุษย์เรามักจะฆ่าธรรมชาติของตัวเองเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภยศและเงินทอง ทำไมเราถึงบอกว่าฆ่าธรรมชาติของตนเอง บางครั้งเราต้องการให้คนๆ หนึ่งรักเรา เราต้องการให้ของสิ่งหนึ่งเป็นของเรา เรายอมทำร้ายร่างกายตนเอง ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งคนที่เรารัก แต่เงินทองและสิ่งที่เขารัก เขารักที่ตัวเรา รักที่ธรรมชาติของเรา หรือรักที่เราตกแต่งแล้วกันล่ะ ก็กลายเป็นรักที่ตกแต่งใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาเราอยู่ในโลกนี้ เราจะกระทำสิ่งใดก็ตามต้องไม่ลืมความเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของตนเอง อย่าปล่อยให้ชีวิตเรามีลาภยศชื่อเสียงแต่ยอมทำร้ายดวงจิตดวงใจของตนเอง ยอมทำร้ายความบริสุทธิ์งดงามของตนเอง เช่นนี้เป็นการทำที่ไม่ถูกต้อง หากต้นไม้ต้นหนึ่งอยากให้คนอื่นเห็นคุณค่า อยากมีราคาสูงส่ง ยอมตัดชีวิตของตนเองจากรากที่ฝังอยู่บนดิน เป็นต้นไม้ที่แกะสลักแล้วฝังมุกฝังเพชร ถ้าให้เลือกสองอย่างนี้ท่านอยากเลือกต้นไม้หรือเก้าอี้ที่ฝังมุกฝังเพชรอยู่กันล่ะ (ต้นไม้) คงต้องเลือกต้นไม้ที่มีชีวิตอิสระ ท่านเคยอ่านนิทานโบราณเรื่องหนึ่งไหม ว่าระหว่างเป็นเต่าให้คนกราบไหว้กับเป็นเต่าที่ว่ายอยู่ในแม่น้ำโคลนตม เราอยากเป็นเต่าแบบไหนกัน (เป็นเต่าที่อยู่ในโคลนตม) ถ้าเรามองในทางธรรมะการเป็นเต่าให้คนกราบไหว้กับการเป็นเต่าในโคลนตม เรายอมเป็นเต่าในโคลนตมกันหรือ ถ้าคิดในทางธรรมะเราย่อมอยากเป็นเต่าให้คนกราบไหว้ คือยอมสละชีวิตตนเองเพื่อรักษาซึ่งคุณธรรม แต่ถ้าเรามองทางโลกเราต้องอย่าทำเช่นนี้ นั่นก็คืออย่ายอมสูญเสียชีวิตตนเองเพียงเพื่อลาภยศสักการะ นี่คือการตีความหมายให้ถูก มองให้ออกในแง่ทางโลก และมองให้ออกในแง่ทางธรรม ไม่ใช่เราบอกว่ายอมตัดต้นไม้ เรายอมเป็นเต่าเวียนว่ายอยู่ในโคลนตม อย่างนั้นก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) หากคิดจะบำเพ็ญธรรม แม้จะเสียชีวิตแต่รักษาได้ซึ่งคุณธรรมความดี ทำไมไม่เอากันล่ะ ทำไมอยากเป็นเต่าในโคลนตมกันอีก ขอให้คิดให้ดี แม้จะมีอิสระแต่ถูกเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น กับการทิ้งชื่อไว้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้จะสูญเสียชีวิตๆ หนึ่งก็กลับไปมีความสุขได้โดยไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ใครอยากมีชีวิตต่อไปอย่างที่เวียนไม่รู้จบบ้าง แค่นี้สุขพอหรือยัง ถ้ายังไม่พอรับรองต้องเวียนต่อ

คนที่ยังมีอายุน้อย เวลากระทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ อย่าได้ก้าวทางผิด คนอายุน้อยตอนนี้เขายังมีโอกาสก้าวเดิน แต่เราก็อย่าลืมว่าการก้าวเดินแต่ละก้าวนั้นต้องมีค่ามีความหมาย แม้วันนี้จะไม่มีลมหายใจเราก็หลับสบายใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนคนอายุมากแล้ว ก้าวต่อไปคงไม่ไหวแล้ว แม้จะไม่ไหวแต่ถ้านับจากนี้ไปรู้จักคิดในสิ่งที่ดี รู้จักสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดี ลมหายใจนี้ก็ยังมีค่า ดับไปก็ปลอดภัยแล้วก็สบายใจ อย่าได้ดูเบาตนเองว่าอายุมากแล้วสร้างคุณค่าไม่ได้ หากอายุมากแล้วรู้จักพูดดี คิดดี แล้วก็ไปทำแต่สิ่งที่ดี เขาก็หลับได้อย่างสงบ ใครๆ ก็หวังให้บั้นปลายชีวิตคือความสงบและคือการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีใครรู้ได้ว่าเวียนไปแล้วจะได้เกิดมาเป็นคนหรือเปล่า เวียนไปแล้วเราจะไปรับผลในนรกหรือไม่ ฉะนั้นตอนนี้มีลมหายใจอยู่ มีคุณค่าได้ก็รีบสร้างคุณค่าที่ดี หมดลมหายใจจะได้เบาจะได้สบาย หากเราเป็นแบบอย่างที่ดีเขาย่อมทำตาม แต่หากเราเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี เขาย่อมไม่คิดจะเดินตาม ขอให้มีเวลาให้โอกาสตนเองในการสร้างสิ่งที่ดี มีโอกาสขอให้หมั่นขัดเกลาแก้ไขตนเอง ยอมรับตนเองบ้างว่าบางครั้งตนเองก็เป็นทั้งดีและไม่ดีได้

วันนี้เรามาเป็นเรื่องธรรมดาของโลกมนุษย์ที่มีพบก็ต้องมีการจากกัน เราหลีกหนีกันไม่ได้ แต่ตอนพบกัน ขอให้พบกันและพูดกัน และผูกสัมพันธ์กันแต่สิ่งที่ดี เวลาจากกันก็ไม่ต้องเหลืออะไรให้เป็นห่วงอีก ฉะนั้นขอให้สร้างแต่สิ่งที่ดี เวลาเราจากโลกใบนี้ไป เราจะได้ไม่ต้องกังวล เราไม่ต้องกลัวว่าเราจะไปยืนอยู่บนหุบเหวแห่งนรกหรือเปล่า เราดีใจด้วยที่คนทางใต้นี้เป็นคนที่ใฝ่คุณธรรม ขอให้รักษาจิตใจในการใฝ่คุณธรรมนี้ไปตลอด แล้วเราก็จะได้ไปเจอกันข้างบน อย่าเจอกันบนโลกนี้เลย เจอกันบนโลกนี้ก็มีแต่ทุกข์แล้วก็ทุกข์ เจอบนสวรรค์เจอบนแดนนิพพานที่เป็นแดนที่สงบที่สุด ทุกคนเคยไปมาแล้ว แต่ไปแล้วก็ลืมแล้ว มัวแต่หลงอยู่กับความสุขที่อยู่บนคิ้ว นั่นก็คือความสุขที่ลวงหลอกตาเท่านั้นเอง ตั้งใจอะไรไว้อย่าได้ยอมแพ้ หากเราไม่ยอมแพ้ในจุดมุ่งหมายในการกระทำ เรานั่นแหละจะเป็นผู้ที่เอาชนะฟ้าได้ แต่ถ้าเรายอมแพ้ไม่มีความตั้งใจ ฟ้านั่นแหละจะเอาชนะเราได้ อยากเป็นผู้ชนะฟ้าได้ต้องเป็นคนที่ตั้งใจแล้วเด็ดเดี่ยว และมั่นใจในสิ่งที่ตนเองกระทำ แล้วการกระทำนั้นก็จะสามารถสะเทือนได้ทั้งฟ้าและสะเทือนได้ทั้งจิตใจของคน วันนี้คงต้องไปแล้วล่ะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ลมกระพือมาก่อนสายฝนหลั่ง ศิษย์ข้าฟังธรรมะแล้วตั้งใจไหม

วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ฝ่าไป ทางกว้างใหญ่แม้อุปสรรคมากอย่าท้อเลย

เราคือ

จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายกราบ

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

ใจงดงามตามวิสัยแห่งพุทธะ ผู้ลดละเลิกเด็ดขาดไม่ถวิลหา

แม้ว่ายากเพียงศิษย์เราสู้ยิบตา ไม่กล้วว่าจะพ่ายถ้ายังไม่เริ่ม

ไม่เปรียบเทียบเขาหรือเราให้ยุ่งจิต ไม่คอยคิดแบ่งแยกกันอย่างฮึกเหิม

เอาเมตตาชโลมจิตญาณดวงเดิม ปัญญาเพิ่มฝ่าพ้นภัยที่รอบกาย

ความอดทนคนรู้ใช้ได้ประโยชน์ มิควรโทษผู้อื่นจนชีพสลาย

ย้อนมองตนในลำบากพบสบาย สู้ยุคปลายใจต้องเริ่มเพิ่มความดี

อาจารย์นี้ห่วงใยในศิษย์รัก จงรู้จักตนเองให้ถ้วนถี่

วันเวลาไม่เคยจะรอรี ให้ศิษย์มีความพร้อมจึงจากจร

ทองคำผ่านการหล่อหลอมนับนานปี ขอศิษย์นี้เอาความผิดเป็นครูสอน

ไม่ท้อถอยแม้น้ำตามาตัดทอน ทุกขั้นตอนเป็นพุทธาต้องระวัง

สุดท้ายนี้มีคำฝากถึงศิษย์รัก รู้ผ่อนหนักให้เป็นเบาเปิดใจกว้าง

ธรรมชาติคือธรรมะคือหนทาง มาว่างว่างไปว่างว่างดีไหมเอย

ฮา ฮา หยุด



หมื่นพันคำเตือนใจไร้ความหมายใดใด ถ้าหากใจยังคงไม่ฟังเหมือนดังเดิม อาจมีทุกข์นับไม่ถ้วน คอยเติมจิตดวงเดิมหม่นหมองหมองหม่น รับน้ำใจแลรับฟัง

หนึ่งราตรีมีเพียงมืดมนไม่เรืองรอง หากลำพองเพราะเจนหนทางย่อมมีภัย อาจมีเท็จแท้ยากแยกมาลวงใจ อยู่ที่ใครจะมิประมาท หลอมแล้วใจจึงมีความตรง

* ถูกหล่อหลอม น้อมใจไม่เคยขื่นขมใจยังเป็นกลาง ถูกหล่อหลอมน้อมใจไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นความทุกข์ใจ ไม่อ่อนล้าเพราะรู้แล้วว่า วันพรุ่งนี้ช่างมีคุณค่า ถึงเจออุปสรรคไม่ยอมท้อและจากลา

ถูกเวลาถอยลงทุกวันไม่คอยคน ใช่ว่าตนทุกข์ทนมากมายและลำพัง โปรดได้มองวันนี้ทุกคนกลืนกล้ำ ฉุดให้ใจตนนี้ถึงฝั่ง และไม่ลืมช่วยผองเวไนย (ซ้ำ *)

เพลง : หล่อหลอมน้อมใจให้เป็นกลาง

ทำนองเพลง : สุดท้ายด้วยรัก






พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



(พระอาจารย์เมตตากับแม่ครัว)

คนเรามีทุกข์ มีใครพยายามจะดับทุกข์บ้าง ตอนนี้บำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะ แล้วบำเพ็ญเสียเวลาหรือเปล่า เพราะว่ายังไม่ได้ทำคุณค่าที่แท้จริง เวลาไม่เคยคอยใคร มีความผิดก็ควรแก้ ถ้ามีถูกก็ควรดีใจ อาจารย์มาถึงห้องครัว ขอข้าวสารสักสองถ้วยซิ

การจะทำอะไรต้องเข้าไปทำจริงๆ ต้องรู้จริงๆ อาจารย์เคยพูดไว้อาทิตย์ก่อน เวลาข้าวในถ้วยพูนเป็นของเกิน อีกถ้วยเป็นของขาด ทุกวันลงแรงแต่เหมือนขาดๆ เกินๆ ที่ขาดนั้นขาดเมตตา เวลาช่วยคนอื่นเต็มใจจริงใจหรือเปล่า บางทีคิดดีบางทีคิดไม่ดี แล้วพุทธะเอาคนที่ดีบ้างไม่ดีบ้างอย่างนี้ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม แล้วบางคนเกิน เกินอะไร เกินอารมณ์ บางทีร้ายบางทีดี คนทำไม่ถูกใจไม่ได้ ฉะนั้นควรทำอย่างไร ควรทำให้เรียบใช่หรือเปล่า ทำใจให้เรียบต้องลงแรงที่ใจ บำเพ็ญใจเราให้ราบเรียบ ที่ยังไม่เต็มก็หากุศลมาเติมด้วย ทุกวันทำกุศล แต่ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงใจหรือเปล่า การเกลี่ยไมใช่ใช้เวลาน้อยๆ อาจารย์หวังให้ศิษย์เป็นเหมือนข้าวที่ทั้งเรียบทั้งขาว อายุเยอะแล้วตอนนี้สนใจอะไร อาจารย์ให้สนใจแค่สัจธรรม สนแต่ตัวเองหรือเปล่า แล้วสนใจคนอื่น สนไปสนมากลายเป็นอะไร (นินทา) มองคนนี้ก็ไม่ดี คนนั้นก็ไม่ดี ศิษย์อาจารย์ไม่ดีเลยสักคนใช่ไหม ที่จริงแล้วศิษย์อาจารย์ดีไหม ศิษย์อาจารย์ก็ดีทุกคน อยู่ด้วยกันอย่างดีไม่มีแยกชัดเจน เพราะเราแยกเราก็จะไม่ดีเอง อยู่สถานธรรมทำตัวให้เป็นพุทธะ กลับไปบ้านเป็นอะไร ก็ยังต้องเป็นพุทธะ ไม่ใช่กลับไปเขางอกสองข้าง เขี้ยวงอกสองข้าง ตอนนี้ปาดใจตนเองให้เรียบดีไหม กินเจคือกินให้บริสุทธิ์สะอาด เวลากินไม่สะอาดก็รู้สึกผิดใช่หรือไม่ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมก็ต้องบำเพ็ญให้ดี ไม่ให้เปล่าประโยชน์ ศิษย์ทำไม่ทำศิษย์รู้ดี

คนที่ใจไม่ดีผ่านเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันได้ไหม (ไม่ได้) แล้วกลับมาเวียนว่ายตายเกิดทุกข์แล้วทุกข์อีกหรือเปล่า ฉะนั้นทำอะไรให้จริงจัง ทำให้ดีที่สุด แล้วอย่าเห็นว่าข้าวสองชามนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ ที่จริงใจเราศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ตัวเราเตือนตัวเองดีที่สุด แล้วคนอื่นเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ถ้าเตือนเรา เราฟังไหม น่าฟังไหม ถ้าคนอื่นไม่ศักดิ์สิทธิ์ เราก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ฟังธรรมแล้ว ปฏิบัติด้วย ไม่อย่างนั้นก็เสียแรงเปล่าที่ฟัง

(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนในชั้น)

ตอนนี้ศึกษามาเป็นวันที่สองแล้วเข้าใจมากขึ้นหรือน้อยลง (มากขึ้น) แล้วจะให้เวลากับการปฏิบัติมากขึ้นหรือน้อยลง (มากขึ้น) เวลาแห่งการปฏิบัติมีมากมายเท่าไร (น้อย) เวลาของการศึกษามีกี่วัน (สองวัน) เวลาของการปฏิบัติมีกี่วัน (ชั่วชีวิต) เรานั้นมีเวลาปฏิบัติได้ตลอดชีวิตใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาปฏิบัติของเรายาวไหม (ยาว) เมื่อเวลาปฏิบัติของเรายาวเราจะเผลอไหม (ไม่เผลอ) เป็นธรรมดาที่เวลาทำอะไรนานๆ ก็จะขี้เกียจ แต่ถามเวลาเราขี้เกียจบ่อยไหม (ไม่บ่อย) ถ้าขี้เกียจบ่อยๆ ก็กลายเป็นคนขี้เกียจ ถ้าขยันบ่อยๆ ก็กลายเป็นคนขยัน แล้วเราจะขยันทำอะไรล่ะ (บำเพ็ญธรรม, ทำตัวเป็นคนดี, ปฏิบัติ)

ก้าวสูงกับก้าวนานต่างกันอย่างไร เวลาที่เราทำความดีหมายถึงเราก้าวธรรมดา ส่วนคนที่ไม่ทำความดีเลยเปรียบเสมือนคนไม่ก้าว เวลาที่เราทำความดีแล้วรู้จักบำเพ็ญเปรียบเสมือนคนก้าวสูงเพราะอะไร เพราะเราคิดแต่ว่าเราบำเพ็ญ แต่ในที่สุดแล้วคำว่าบำเพ็ญเป็นอุปสรรคทำให้เราบำเพ็ญไม่ยอมดี กลายเป็นคนที่ยิ่งบำเพ็ญยิ่งเลอะเทอะ เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าก้าวนานดีกว่าก้าวสูง เพราะการที่เราก้าวนานๆ เปรียบเสมือนเรามุ่งหน้าว่าเราปฏิบัติ เราไม่มีอัตตากับคำว่าบำเพ็ญอยู่ จึงจะสามารถก้าวได้นานตลอดไป ฉะนั้นคนที่ก้าวสูงอยู่ตอนนี้ก็ต้องรู้จักระวังตน เปลี่ยนจากก้าวสูงมาเป็นก้าวนาน ดีหรือเปล่า (ดี) แต่การที่เราต้องเริ่มจากการก้าวธรรมดาเป็นก้าวสูงเพื่ออะไร (เพื่อฝึกตน) อันว่าคนต้องมีความทะเยอทะยาน เมื่อไม่มีความทะเยอทะยานแล้วก็ไม่มีความก้าวหน้าเกิดขึ้น แต่ว่าในวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ส่วนมากใช้ความทะเยอทะยานไปในทางไหน ทะเยอทะยานอยากได้เงินเยอะ อยากได้หน้าที่สูง อยากได้บ้านสักหลัง รถสักคัน บ้านหลังเล็กมีอยู่แล้วก็จะเอาหลังใหญ่กว่านี้ รถมอเตอร์ไซด์ไม่เอาจะเอารถยนต์ รถยนต์ไม่เอาจะเอารถเก๋ง ใช่หรือเปล่า (ใช่) เรามีความทะเยอทะยานไว้เหลือเฟือสำหรับการเป็นปุถุชนผู้ยิ่งใหญ่ แล้วมีใครบ้างคิดว่าจะมีความทะเยอทะยานเพื่อเป็นพุทธะที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อมีความทะเยอทะยานอยู่ช่วงหนึ่งก็ต้องรู้จักวางลงได้คืออะไร เวลาที่เราใช้ความทะเยอทะยานเปรียบเสมือนเรือ เราพายเรือไปถึงฝั่งแล้วยังต้องแบกเรือขึ้นบ่าหรือไม่ (ไม่) ฉะนั้นผู้บำเพ็ญเวลามีคนมาดูถูกดูแคลน ลบหลู่ดูหมิ่นทำอย่างไร (อยู่เฉยๆ, หลีกเลี่ยง, ไม่โต้ตอบ) จริงๆ แล้วเวลามีคนว่า มีคนไม่พอใจในตัวเรา เราต้องเฝ้าย้อนมองตน ยิ่งมองตนเท่าไหร่ยิ่งไม่มีเวลาไปโต้ตอบกับเขาใช่หรือเปล่า (ใช่) สิ่งนี้ไม่ใช่สำหรับคนที่บำเพ็ญจะนำไปใช้เท่านั้น คนที่อยู่ข้างนอกก็นำไปใช้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)

ในวันนี้หลายๆ คนบอกว่าถ้าเราไม่ได้รับธรรมะ ถ้าเราไม่ได้กินเจ เราก็ไม่ได้ลำบากอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องเจอกรรมหนักขนาดนี้ แต่จริงๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่) ถ้าหากว่าเราไม่บำเพ็ญธรรม เราไม่ตั้งหน้าล้างกรรมเข้าไป ในที่สุดกรรมนี้ก็โหมทวีเหมือนคลื่นที่ซัดเราให้ล้มลง เพราะฉะนั้นในวันนี้เราบำเพ็ญธรรมแล้ว แม้เราจะเจอความลำบากในตอนแรกก็จะสบายในตอนหลัง ดีกว่าคนลำบากในตอนหลังแต่สบายในตอนแรกหรือเปล่า (ดีกว่า) ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์มองแค่ความสุขสบายเบื้องหน้า อะไรสบายก็เอาไว้ก่อน ในที่สุดความสบายกอบโกยมาหมดแล้วความลำบากก็อยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นจงใช้ปัญญามองให้ถ่องแท้ ในวันนี้เราบำเพ็ญธรรม แล้วผจญกรรมมากมาย ผจญคลื่นผจญฝนมากมาย แต่ว่าเป็นการผจญเพื่อล้าง เวลาศิษย์จะล้างชามต้องออกแรงขัดไหม ยิ่งเลอะมากยิ่งต้องขัดมาก ถ้าไม่เลอะก็ไม่ต้องขัดใช่ไหม (ใช่) แต่ถามว่าชีวิตหนึ่งของเราแค่ชาตินี้ชาติเดียวสร้างกรรมเยอะหรือเปล่า (เยอะ) ชาตินี้สร้างกรรมเยอะก็เหมือนชามข้าวที่เพิ่งกินข้าวไปหมาดๆ สามารถล้างออกได้ง่ายๆ แล้วชาติก่อนๆ นี้ก็เปรียบเสมือนชามที่ทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน เวลาขัดยากไหม (ยาก) ใช้น้ำยาแรงหรือเปล่า สมมติว่าชามเป็นตัวเราจะเจ็บไหม (เจ็บ) น้ำยาก็แรง น้ำก็แรง คราบก็เยอะ ยิ่งกินอาหารเลอะเทอะมากเท่าไรก็ยิ่งยากมากเท่านั้น การบำเพ็ญธรรมขึ้นอยู่กับศิษย์ของอาจารย์ว่าชาติก่อนเคยทำอะไรมาเท่าไร ถ้าชาตินี้ไม่พยายามจะล้าง ชาติที่แล้วก็ยิ่งไม่พยายามล้าง ในที่สุดชามเป็นชามบ้านใคร (บ้านเรา) เวลาบ้านเราไม่สะอาดก็มีทั้งหนูทั้งแมลงใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนบอกว่ามดมาเราต้องฆ่าให้ตาย หนูมาต้องจับให้หมด หนูมาเพราะบ้านเราสกปรก น้อยคนมากที่จะเจอนอกบ้านสกปรกส่วนใหญ่จะในบ้านสกปรก เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไร (ต้องกำจัดในบ้านก่อน)

อยากนั่งไหม เป็นมนุษย์มีร่างกายมีแขนมีขา ปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดหัว ปวดท้องใช่ไหม (ใช่) ทำอย่างไรดีมันเป็นความทุกข์ ตอนนี้เราไม่ตายได้ไหม (ไม่ได้) ไม่มียาชนิดไหนในโลกสร้างขึ้นมาแล้วทำให้ไม่ตาย ถ้าเราไม่ตายไม่แก่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นจะอยู่เป็นร้อยปีแล้วสังขารเหี่ยวย่น บ้างกระโพกกระเพกไม่ไหว บ้างฟันร่วงเอาไหม (ไม่เอา) เพราะฉะนั้นไม่ตายทำไม่ได้ ไม่เกิดทำได้ไหม (ได้)

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่ง) นั่งให้สบายทำอย่างไร นั่งให้สบายต้องนั่งให้เหมือนพุทธะ พุทธะนั้นนั่งสัปหงกหรือเปล่า พุทธะนั่งหลังงอหรือเปล่า (ไม่) พุทธะนั่งเอามือกอดอกไหม (ไม่) นั่งแบบพุทธะนั้นนั่งให้สง่างาม เมื่อเราสง่างามก็จะมีสมาธิในการฟังดีหรือเปล่า (ดี)

ที่นี่สถานธรรม “ฉือฮุ่ย” “ฉือ” หมายถึงความเมตตาใช่หรือเปล่าเพราะฉะนั้นเมื่อเรามาสถานธรรมนี้ต้องฝึกให้มีใจเมตตา ใจเมตตาทำด้วยอะไรบ้าง (มีจิตใจที่ดีงาม, ปรารถนาให้เขามีความสุข, ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น, รักเขาให้เหมือนรักเรา, ทำให้จิตใจสงบ, ให้อภัยเขา, ไม่ฟุ้งเฟ้อรู้จักพอ, ช่วยเหลือสรรพสัตว์, ไม่โกรธและไม่เกลียดผู้อื่น) มรรคผลจริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ที่เล็กที่ใหญ่ หัวใจที่อยู่ในร่างกายของเรานั้นก็แค่กำปั้นเดียว แต่ถ้าหัวใจหยุดเต้นเป็นอย่างไร (ตาย) สมมติว่าแอปเปิ้ลผลนี้เปรียบเสมือนมรรคผล กว่าที่ผลไม้ลูกนี้จะโตเราต้องทำอะไรบ้าง (ต้องใช้ความพยายามอดทนในการรดน้ำพรวนดิน) กว่าที่ต้นไม้จะงอกต้องใส่อะไรลงไปก่อน (ใส่เมล็ด) ต่อไปทำอย่างไร (รดน้ำพรวนดิน) แล้วทำอย่างไรต่อ (ใส่ปุ๋ย) ถ้าหากว่าให้ปุ๋ยเร็วเกินไปต้นไม้ตายหรือเปล่า (ตาย) ตอนนี้ต้นไม้ยังไม่งอกยังรอเวลางอกอยู่ เพราะฉะนั้นรออาจารย์พูดไปก่อนดีไหม อันว่าเมล็ดพันธุ์นั้นใส่ลงไปเปรียบเสมือนศิษย์ของอาจารย์นั้น ในวันแรกที่มาสถานธรรมแล้วได้รับธรรมะ อาจารย์ชี้หนึ่งจุดให้ก็คือการเอาเมล็ดใส่ลงไป ทีนี้อาจารย์ใส่ลงไปแล้ว กลบดินเรียบร้อย ต้นไม้จะขึ้นดีไม่ดีอยู่ที่ดินก็คือตัวของศิษย์เอง ว่าเรานั้นเป็นคนดีมากเท่าไหร่ จะทำให้ตนเองนั้นมีบุญมากหรือกลายเป็นคนมีบุญน้อย เพราะฉะนั้นอาจารย์ให้ใส่เมล็ดลงไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็คือตัวของศิษย์เองนั่นแหละที่เป็นคนกลบเมล็ด รดน้ำ พรวนดิน เอาใจใส่ใช่ไหม (ใช่) เราก็ต้องรู้จักรอเวลาเป็น ไม่ใช่ผลุนผลันแล้วก็ใส่ปุ๋ย จะบำรุงท่าเดียวก็เปรียบเสมือนคนที่ก้าวไวใจร้อน พอก้าวไปยังไม่รู้ว่าทางนี้เป็นทางอะไรเลย เพราะฉะนั้นก็คือมาศึกษาสองวันนี้ ทีนี้ต้นไม้จะงอกแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง (หมั่นดูแลรักษา)

หวังว่าเมื่อเราฟังธรรมะไปสองวันนี้เราต้องรักษาจิตใจของเราให้เป็นอย่างไร (ใสสะอาดเที่ยงตรง) ทำได้ไหม ตอนนี้จิตใจของเราหลังจากที่ใกล้จะจบสองวันนี้แล้ว กลับไปจะยิ่งสงสัยยิ่งลังเลไหม ต้องตอบตนเองว่าเราแน่วแน่มั่นคง เมื่อเรารักษาจิตใจของเราอันนี้ไว้ได้ ถือว่าเป็นเรื่องประเสริฐหรือเปล่า เมื่อต้นไม้ขึ้นมาแล้วดูแลเอาใจใส่อย่างไรบ้าง (รดน้ำ,ใส่ปุ๋ย) เรารดน้ำพรวนดินเปรียบเสมือนอะไร เวลาที่นี่มีชั้นเรียนบ่อยๆ ใครที่มาได้รู้จักมา ถ้าหากว่าถ่วงเวลาพรวนดินช้าเป็นยังไง เวลาที่ควรจะมาสถานธรรมเดี๋ยวค่อยมาเป็นอย่างไร ต้นไม้ถ้าใส่ปุ๋ยช้าเป็นอย่างไร เจริญเติบโตช้า ต้นไม้มีใบมีลูก ต้องทำยังไง (พยายามหมั่นดูแล) วิธีการที่จะให้ศิษย์ของอาจารย์ทำก็คือเวียนไป เวียนมาคือดูแลเอาใจใส่ ใครดูแลเอาใจใส่ (ตนเอง) ให้ผู้อื่นบำเพ็ญแทนได้ไหม (ไม่ได้) ธรรมะที่ดีให้คนอื่นมาบอกแทนได้ไหม เราต้องทำเอง แล้วพอลูกออกมาเราควรจะทำอย่างไร (แบ่งให้เพื่อน) อย่างนั้นลูกนี้อาจารย์เอาไว้ก่อน (เอาเมล็ดไปเพาะอีกก็ได้หลายๆ ต้นอีก) การจะเป็นพุทธะไม่ได้อยู่ที่โง่หรือฉลาดหรือรวย แต่อยู่ที่คิดได้หรือเปล่า ทำได้หรือเปล่า หลายๆ คนบอกว่าเอาลูกของฉันไปแบ่งให้คนอื่นมี แต่มีใครคิดได้ว่าเอาเมล็ดไปเพาะอีก เพาะเพื่อขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์พุทธะไม่ใช่ขยายผลไม้ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักชวนคนมารับธรรมะ เรามีกุศลเราควรจะยึดติดในกุศลนั้นไหม ถ้าเรายึดติดในกุศล กุศลจะมีหรือเปล่า ถ้าเรามีกุศลมีบุญแต่ยึดติดในบุญกุศลนั้น กุศลนั้นก็จะไม่อยู่กับเรา กลายเป็นความยึดติดของเราเสียสิ้น เหมือนกับเราให้เงินกับขอทานไป ๕ บาท เราจำได้ไหมว่าเราให้ไป ๕ บาท (จำได้,จำไม่ได้) บางคนจำได้ บางคนจำไม่ได้ เสร็จแล้วเลยไม่มีบุญเพราะว่าใจมันไปอยู่ที่เงิน ๕ บาท เหมือนกับเวลาที่เราไปทำบุญที่วัดเสร็จแล้วต้องเขียนชื่อสลักไว้ที่กำแพง แล้วบุญของเราอยู่ที่ไหน (กำแพง) บุญก็อยู่ที่กำแพง มีประโยชน์ไหม เพราะฉะนั้นจึงต้องพิจารณาให้ดีๆ เวลาทำบุญอย่ายึดติดในบุญกุศล มีบุญกุศลเท่าไหร่รีบอุทิศชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ใช่ว่ามีบุญแล้วมากักตุนไว้หมด มีเท่าไหร่ฉันก็กักเก็บไว้ ไปๆมาๆ บุญทับตาย เวลาสุขสบายมากเกินไป มีบุญมากเราก็หลงมาก บุญนั้นตอบแทนในรูปของอะไรบ้าง (ลูกหลานดี,มีเงินมีทอง, มีลาภมียศ) ในทางกลับกันมีการตอบแทนของกรรมคืออะไรบ้าง (มีการเจ็บไข้) ทุกๆ วันนี้เวลาเราเจ็บป่วยเรารู้ไหมว่ากรรมตามมาแล้ว เราไม่รู้ แต่เราคิดได้ไหม เพราะฉะนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็เป็นผลตอบแทนของกรรม ถ้าหากเป็นผู้ชายชอบสูบบุหรี่มากจะเป็นโรคปอดดำปอดแดงเป็นกรรมหรือเปล่า (กรรม) อันนั้นเป็นกรรมที่เราทำใช่ไหม เพราะว่ากรรมเป็นการกระทำ หรือกรรมเป็นสิ่งที่เป็นผลสนองของสิ่งที่มองไม่เห็นแต่เป็นผลสนองของอะไรโดยตรงเป็นผลของบุหรี่โดยตรง เป็นผู้หญิงชอบเล่นหวยแล้วไม่มีเงินใช้เป็นผลของกรรมไหม เล่นเมือไหร่แล้วเราจะรวย รวยหรือไม่รวย พระอาจารย์ได้ยินว่าไม่รวยใครเล่นบ้างยอมรับไหม คนไม่ยกอยู่ด้านหน้า ดูๆ ไว้เล่นหวยไม่มีทางรวยจะไปขูดให้มันออกเลขหรือจะไปกราบขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าอาจารย์จี้กงออกมาเป็นเลขอะไร มีทางออกไหม ที่ออกมาคือความเพ้อฝันของเราเท่านั้น เพราะฉะนั้นเขาบอกว่าเราจะรวยก็รวยถึงเวลาจะจนก็จนเองใช่ไหม ขอแต่เพียงเราไม่เกียจคร้านการงาน เราจะจนก็จนอย่างภูมิใจ จะรวยก็รวยอย่างภาคภูมิ เอาไม่เอาภาคภูมิ ภูมิใจ หรือจะหลับหูหลับตารวยหลับหูหลับตาจน เอาอันไหน ต้องภาคภูมิ ภูมิใจ เพราะฉะนั้นดีไม่ดี มีวิธีการเล่นหวยอยู่แบบหนึ่งเล่นแล้วรวยเอาไม่เอา (เอา) ช่างเป็นคนที่ใจแข็ง

อาจารย์บอกว่าเอาท๊อฟฟี่นับแล้วจะออกมาเป็นเบอร์หวยเชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ) เวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทดสอบทีหนึ่งก็ตกกันไปเป็นทีละแถว เหมือนกับปลาร้อยพวงเชือกเป็นตับเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนที่เล่นหวยเป็นพุทธะไม่ได้ วันนี้เราอยากซื้อหวยหรือเปล่า ซื้อไม่ซื้อ ไม่ซื้อไม่สอนนะ (ไม่ซื้อ) เสียดายหรือเปล่า อาจารย์จะให้วิธีซื้อหวย งวดนี้อยากซื้อเท่าไหร่ ๕๐๐ ๕๐๐X๓๐ ได้เท่าไหร่ งวดนี้อยากซื้อ ๒๐ ต้องการเท่าไหร่ก็เอาเงิน ๒๐ ม้วนใส่ในกระปุกไว้ พอหวยออกเราถูกไหม คนอื่นถูกอะไร (ถูกกิน) อยากได้ถูกเยอะๆ หน่อย งวดนี้ซื้อ ๒๐ บาท ใส่เข้าไป ๒๐ บาท งวดนี้ยังไม่ถูกงวดหน้าใส่เข้าไปใหม่สักสิบหนได้เท่าไหร่ ๒๐๐ เยอะหรือเปล่า ทีนี้ถูกหวยหรือยัง กลับไปทำแล้วดีหรือเปล่า วันนี้เราจะเอาเงินไปส่งให้เจ้ามือเราก็ไปส่งที่ กระปุกออมสิน วันนี้เราจะเดินออกไปก็ไม่ไหวแล้วเลี้ยวกลับเข้ามาใส่ที่ไหน อย่างนี้ก็จะถูกทุกงวด ไม่มีพลาดร้อยเปอร์เซ็นต์ดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นใครเล่นหวยอาจารย์บอกให้ไปคำนวณดูที่เสียไปไม่เท่ากับที่ได้มา ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะจนลงทุกวันๆ ว่าอะไร ไม่เหล้าก็หวยและบุหรี่ ทุกๆ วันนี้มีแต่จนลงอยากจะรวยก็ต้องทำ

ในยุคนี้เป็นยุคสามวาระปลายที่มีภัยพิบัติลงทั่วโลก ศิษย์ของอาจารย์อยู่เมืองไทยเป็นเมืองสงบสุข ทุกๆ วันนี้ภัยพิบัติที่เราเห็นอยู่ต่างประเทศน่ากลัวไหม (น่ากลัว) เรานั้นจะทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วก็ปล่อยชีวิตปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ โดยไม่รู้ความทุกข์ร้อนของเราได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วเราควรจะทำอย่างไร เราควรที่จะเอาบทเรียนต่างๆ ที่เราได้ดูมาเป็นบทเรียนสอนใจ ที่เขาเดินทางไปถึงจุดนั้นเพราะจิตใจของมนุษย์ไม่ดีใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นเราควรที่จะเริ่มที่จะทำจิตใจของเราให้ดีใช่หรือไม่ (ใช่) หลายๆ คนบอกว่าตนเองเป็นคนดี ศิษย์ของอาจารย์เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นคนดีทั้งนั้น แต่ทว่าเป็นคนดีที่ไม่รู้จักทำให้ผู้อื่นดีตามหรือดีด้วย ดีแค่ตนเองคนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) เราดีเราก็ดีแค่ตัวเราดีกับคนใกล้ๆ เรา แล้วก็ดีกับคนในครอบครัวเรา แล้วเราดีกับคนอื่นที่ไม่รู้จักเราหรือเปล่า ก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะฉะนั้นดีอย่างนี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เราต้องเป็นคนดีที่รู้จักที่จะทำให้ผู้อื่นนั้นทำดีตามเรา หรืออย่างน้อยเราก็ทำดีที่ให้คนอื่นนั้นเขารู้สึกอยากจะทำดี เพราะฉะนั้นเราจะแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ ศิษย์ของอาจารย์ต้องแก้ไขเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิด ในสังคมของเรารอบๆ บ้านเรา พี่น้องของเรา ดูดูไปสักวันหนึ่งอาจจะไม่ดีก็ได้ เราก็ควรที่จะทำตัวเราให้ดี แล้วทำเขาให้เขาดีตามเราได้ อย่ามัวดีกับตนเองกับคนในบ้านเท่านั้น เพราะว่าคนที่รู้จักคิดถึงแต่ตนเองคนเดียวนั้นไม่สามารถเป็นพุทธะได้

ในสองวันนี้ได้ยินคำว่าพุทธะและการบำเพ็ญกี่ครั้ง หลายครั้งใช่ไหม (ใช่) ถามว่าอยากจะเป็นพุทธะไหม (อยาก) แล้วต้องทำอะไร (ปฏิบัติ) อยากเป็นพุทธะก็ต้องบำเพ็ญใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่จะบำเพ็ญด้วยการบอกตัวเองว่าบำเพ็ญๆ โดยที่ตัวเองยังไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลยก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงต้องออกไปปฏิบัติใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาที่เราปฏิบัติเรื่องราวมีทั้งยากทั้งง่าย ศิษย์ของอาจารย์จะเลือกทำแต่เรื่องง่ายๆ เรื่องยากๆ ไม่อยากทำได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องทำทั้งเรื่องยากและง่ายสลับกันไปใช่หรือไม่ (ใช่) เราเลือกงานได้ไหม (ไม่ได้) เพราะถ้าเราเลือกแล้วคนอื่นก็เลือกด้วย

มาที่นี่อย่าแบ่งชนชั้นวรรณะ ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครชั่วกว่าใคร ทุกๆ คนก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น จะผิวสีอะไร จะเป็นคนรวยหรือคนจนก็เป็นคนเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ตาของเราก็จะเป็นตาอะไรขึ้น (ตาสว่าง) ตาของเราก็จะเป็นตาเนื้อของพุทธะ ปกตินั้นจะบอกว่าเป็นตาทิพย์ แต่อาจารย์บอกว่าเป็นตาเนื้อของพุทธะ หมายความว่าพุทธะนั้นมองใครก็มองให้เหมือนๆ กัน เมื่อศิษย์อยากเป็นพุทธะก็ต้องเป็นพุทธะตั้งแต่อยู่ที่ไหน ตายไปแล้วเป็นพุทธะใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) จะเป็นเทวดายังต้องทำบุญทำทานตั้งแต่อยู่ในโลกใช่หรือไม่ (ใช่) อยากเป็นพุทธะก็ต้องทำกิจของพุทธะตั้งแต่อยู่ในโลก ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วฉันจะเป็นพุทธะ แต่ตอนอยู่บนโลกฉันยังทำตัวเหมือนปุถุชนเลย การเป็นพุทธะนั้นยากแต่ทำได้ไหม (ได้) เมื่อก่อนนี้พระพุทธองค์มีร่างกายเป็นคนหรือเปล่า (มี) แล้วพระพุทธองค์ได้รับความยากลำบากต่างๆ นานา ศิษย์ทนได้สักเสี้ยวหนึ่งไหม

ปัญญานั้นมีความสำคัญตรงไหน แม้ว่าเราทุกๆ คนนั้นจะมีความฉลาดและไม่ฉลาดต่างกันก็แล้วแต่ แต่ปัญญาหาใช่ความฉลาดและโง่ ความมีปัญญานั้นอยู่ที่ไหน ความมีปัญญาเริ่มด้วยการรู้จักมีสติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์ทำผิดแล้วยั้งมือไว้ทันก็เรียกว่าเป็นผู้มีปัญญา การที่ศิษย์ทำผิดแล้วเรายั้งมืออันนี้เรียกว่าสติ แต่หากว่ายั้งมือแล้ว อดรนทนไม่ไหวต่อกิเลสที่มาต่อกร ศิษย์ก็พลั้งมือทำลงไป เหมือนกับคนที่โมโหโกรธาแล้วบอกว่า เราจะไปว่าเขาแล้วเราก็ยั้งปากของเราไว้ได้เราก็ไม่ว่าเขา อันนี้เรียกว่าการมีสติ แต่เสร็จแล้วถ้ามันรู้สึกว่าอดรนทนไม่ไหว ข้างในมันร้อนเหลือเกิน ร้อนไปด้วยไฟของอารมณ์ แล้วเราก็เดินออกไปว่าเขาทั้งๆ ที่เราบอกว่าเราจะไม่ว่า จะว่าผู้นี้มีปัญญาไหม (ไม่มี) เหมือนคนเขามาตบตีเราถ้าเรารู้จักที่จะอภัย เราก็เป็นผู้มีปัญญาเช่นเดียวกัน เพราะเราไม่รู้จักตีตอบ คนไม่รู้จักตีตอบคนเป็นคนโง่หรือเปล่า (ไม่โง่)

ตอนนี้มาพูดเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น เวลาที่เราอยากที่จะบำเพ็ญธรรม มีคนมากล่าวว่าเราทั้งๆ ที่เราไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เราจะทนได้ไหม (ได้) หรือว่าขี้เกียจทนก็เลิกบำเพ็ญ เสร็จแล้วใครกันที่ไม่ได้เป็นพุทธะ (ตัวเราเอง) เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า เมื่อสักครู่อาจารย์บอกไว้ว่าเรานั้นสามารถหยุดการตายไม่ได้ แต่เราสามารถหยุดการเกิดได้ ศิษย์ของอาจารย์คิดจะหยุดการเกิดไหม หยุดการเกิดด้วยการหยุดอะไรก่อน (หยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลง) หยุดอะไรดี (กิเลส) ถ้าศิษย์สามารถหยุดกิเลสได้ก็เป็นพุทธะแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลงอะไรหยุดง่ายที่สุด (ความโกรธ) ความโกรธหยุดง่ายที่สุดแล้วความโกรธก็เป็นกิเลสที่รุนแรงที่สุดด้วย ดีใจไหมที่ของยากที่สุด ของแรงที่สุด แต่เป็นของที่ง่ายที่สุด ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะหยุดใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วจะหยุดไหม (หยุด) มีคนเขาเดินมาตบหน้าเราโดยไม่บอกสาเหตุ โกรธไม่โกรธ (โกรธ, ไม่โกรธ) คนที่ไม่โกรธได้ก็เป็นอนาคตพุทธะ แต่ว่าในอนาคตยังต้องมี มีความโลภอีกใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเอาโลภมาผสมกับโกรธ มีคนเขาขโมยเงินเราไป โกรธไม่โกรธ (โกรธ) แตะตัวเราไม่ว่า แตะเงินไม่ได้ใช่ไหม มนุษย์ไม่กลัวตายแต่กลัวจนใช่ไหม แต่ทุกวันนี้ก็อยู่กับความจนใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นกลัวมันทำไม เงินทองของนอกกาย เมื่อหายไปแล้วก็หาใหม่ได้ แล้วคนขโมยเงินเราไปโกรธไม่โกรธ (ไม่โกรธ) ถ้าหากว่าใครโดนขโมยเงินไปต้องจำไว้ว่าชาติที่แล้วเราไปเอาเงินเขามา เขาถึงได้มาเอาเงินเราคืน เพราะฉะนั้นเป็นคนขี้เหนียวดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนอย่างไรดี เป็นคนรู้จักพอดีหรือเปล่า (ดี) มีร้อยจะเอาพัน มีพันเอาหมื่น มีหมื่นเอาแสน มีแสนเอาล้านไหม (ไม่เอา) ต้องรู้ว่าเรานั้นถ้าหากว่ามีความสุขสบายมากเกินไปก็ไม่ใช่พุทธะ มีความสุขสบายมากเกินไปก็ไม่รู้จักพุทธะที่แท้จริงเป็นอย่างไร

(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงพายเรือและทำท่าประกอบเพลง) พายไปถึงไหนแล้ว พายไปวนอยู่กับที่แสดงว่าไม้พายของเรานั้นมาชนกันใช่ไหม ก็จะเป็นการพายอยู่กับที่ เปรียบไปเหมือนกับคนที่อยู่สถานธรรมเดียวกัน อยู่ร่วมเรือลำเดียวกันก็ชอบขัดแย้งกันบ่อยๆ เวลาขัดแย้งกันไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญธรรม ถามว่าก้าวหน้าไหม (ไม่ก้าวหน้า) เพราะฉะนั้นขัดแย้งกันดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ถ้าหากว่าขัดแย้งกันหนึ่งครั้งก็เสียประโยชน์ส่วนรวมหนึ่งครั้งใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าเรายอมได้ ถอยได้ ถอยหนึ่งก้าวดีไหม (ดี) เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าเรานั้นอยากจะได้รับความก้าวหน้า ไม่ว่าจะสิ่งใดก็แล้วแต่ควรที่จะเปิดใจให้กว้างๆ ดีหรือไม่ (ดี) มนุษย์จำนวนมากมักเป็นคนใจแคบ เวลาที่เราใจแคบนั้นถามว่าเราเสียผลประโยชน์ด้วยหรือเปล่า (เสีย) แม้ว่าการงานสิ่งที่เราตกลงกันไว้จะไม่เป็นไปดังที่เราปรารถนา แต่ทว่างานได้รับการเดินหน้า เราก็ควรที่จะยอมใช่หรือไม่ ในตอนนี้บางคนก็คิดว่าแล้วถ้าเขาไม่ยอมล่ะ เขาเดินหน้าท่าเดียว เราก็ถอยหลังลูกเดียวหรือ ใช่ไหม เพราะถ้าหากว่าหน้าที่การงานที่เขาไม่ยอมถอยให้เรา แต่ถ้าหน้าที่การงานสิ่งต่างๆ เสียหายไปใครรับผิดชอบ เขาต้องเป็นคนรับผิดชอบ ไม่ใช่เราใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นควรที่จะให้เขาเกิดความสำนึกและละอายใจเอง คนบำเพ็ญธรรมควรที่จะมีความอดทนถึงระดับนั้น หลายๆ คนนั้นทนไม่ได้ ครั้งแรกทนไม่ได้ ครั้งที่สองทนไม่ได้ แล้วถามว่าครั้งที่สามที่สี่จะทนได้หรือ แล้วถ้าก้าวไปก้าวที่สูงกว่านี้แล้วศิษย์จะทนได้หรือ ตอนนี้อยู่ด้วยกันก็มีปัญหา ต่อไปศิษย์ของอาจารย์จะออกไปนำคนข้างนอกไม่ยิ่งมีปัญหาหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสิ่งใดที่ไม่ได้ผิดไปจากทำนองคลองธรรมควรหรือไม่ที่จะยอมกัน (ควร) หรือไม่ก็อย่าใช้วาจาห่ำหั่น ควรใช้ความนิ่งความสงบเข้าหากันบ้าง อาจารย์เคยให้โอวาทไว้ที่นี่บอกว่า “เจริญรุ่งเรือง” ภายหลังคำว่าเจริญรุ่งเรืองต้องมีสิ่งใด ต้องมีความสามัคคี ความสามัคคีมาก่อนความเจริญรุ่งเรืองใช่หรือเปล่า ถ้าหากว่าวันนี้ไม่มีความสามัคคีจะรุ่งเรืองได้ไหม ถึงแม้จะเจริญรุ่งเรืองมาแล้วแต่ถ้าว่ากลับไปแตกร้าวอีก ก็ไปสู่ความตกอับอีกครั้งหนึ่งได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดต้องเป็นใจของเราเอง สิ่งใดกว้างไม่เท่าใจกว้าง สิ่งใดสูงไม่เท่าใจสูง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าศิษย์จะคิดว่าใครที่มีจิตใจต่ำก็แล้วแต่ เราต้องอยู่กับเขาให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ต่ำไว้เปรียบเสมือนผืนดินที่หนักข้นแต่ว่าสามารถปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้น ใสกว้างเหมือนดังฟ้าก็ทำให้มีเมฆฝนชุ่มฉ่ำๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางคนก็หนักเหมือนแผ่นดิน บางคนก็ใสโปร่งเหมือนฟ้า เราก็ทำตัวเป็นมนุษย์ที่อยู่ตรงกลางได้ทั้งฟ้าและดินดีหรือไม่ (ดี) ทำได้ไหม (ได้) ความ อดทนต้องใช้มาก ยิ่งอยากเป็นพุทธะยิ่งต้องมีความอดทนให้มากกว่าปกติ เราควรที่จะเริ่มอดทนตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ได้แล้ว ถ้าเรื่องเล็กๆ ทนไม่ได้ เรื่องใหญ่ๆ ก็ทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นลองถอยหนึ่งก้าว ถอยก้าวสั้นๆ แล้วก็พายเรือดีไหม หมายความว่าเราจะถอยหนึ่งก้าวให้กับตัวเราเอง เพื่อที่จะรู้จักยอมคนอื่น แล้วเราจะพายเรือไปข้างหน้าดีไหม (ดี)

(พระอาจารย์เมตตาให้ทำท่าประกอบเพลงพายเรือ) พายถึงไหนแล้ว พายถึงฝั่งหรือยัง อันว่าคนที่ถึงฝั่งแล้วจึงจะรู้ว่าฝั่งเป็นอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับว่าเรานั้นถึงฝั่งแล้วก็ควรที่จะรู้ว่าบนฝั่งนั้นมีอะไรบ้าง ถ้าไม่ถึงก็ไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ถึงฝั่งแล้วหรือยัง ยังไม่ถึงเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงควรที่จะรู้แต่ว่าตนเองนั้นมีอะไรบ้าง มีอะไรต้องแก้ไข มีอะไรต้องปรับปรุง มีอะไรต้องเพิ่มเติม มีอะไรต้องลดลง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่ารู้จักคนอื่นดีกว่ารู้จักตนเอง กระจกส่องหน้าเห็นใคร (เห็นตัวเราเอง) แล้วดูแต่ว่าเรานั้นเป็นคนหน้าตาประเภทไหนหรือเปล่า จริงๆ แล้วต้องดูให้ลึกถึงจิตใจว่าเรานั้นเป็นคนที่มีจิตใจประเภทไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)

นั่งนานๆ เมื่อยไหม มีร่างกายเป็นคนนั้นย่อมปวดเมื่อยเป็นธรรมดา เวลาที่เราอยู่ที่บ้านต้องรู้จักออกกำลังกายบ้าง ถ้าหากไม่ออกกำลังกายบ้าง ร่างกายก็จะฝืดๆ เคืองๆ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมแล้วต้องมีร่างกายแข็งแรงต้องมีการบริโภคที่สะอาด ต้องมีจิตใจที่ดีงาม ต้องมีวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ คือวาจาที่พูดแต่สิ่งที่ดีถือเป็นวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เวลามาสถานธรรมมีผู้น้อยและมีผู้อาวุโส อาจารย์อยากจะถามว่า ใครกันเรียกว่าผู้น้อย ใครกันเรียกว่าผู้อาวุโส คนที่มาก่อนและรับธรรมะก่อนเป็นอิ่นซือ เจี่ยงซือ ถือเป็นผู้อาวุโสใช่หรือเปล่า ถ้าหากมองแต่ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น แต่ผู้อาวุโสที่แท้จริงแล้วต้องพาผู้น้อยขึ้นถึงฝั่งนิพพานได้ แสดงว่าจิตใจของเราต้องประเสริฐจึงจะเป็นผู้อาวุโสที่สมบูรณ์ได้ การที่จะเป็นผู้อาวุโสที่สมบูรณ์จิตใจต้องเที่ยงตรง ทุกอย่างได้เที่ยงแท้ เที่ยงตรงแน่วแน่ การที่มาบำเพ็ญธรรมอย่างนี้แล้วใครกันเรียกว่าผู้น้อย เป็นคนที่มาทีหลังอย่างนั้นหรือ (ไม่ใช่) คำว่าผู้น้อยนั้นมองกันภายนอก ผู้น้อยก็คือผู้ที่มาทีหลังแต่ถ้ามองกันโดยนัยแล้วผู้น้อยหมายถึงใคร หมายถึงคนที่ต้องการการนำพา แล้วเราผู้ไปนำพาเขาถือเป็นผู้อาวุโสได้ ถ้าหากว่าเรานั้นเป็นผู้ไม่สนใจไม่ดูแลแล้วจะเรียกว่าผู้อาวุโสได้อย่างไร คุณธรรมเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังต้องดูแลให้มีให้เป็น หากว่าเราไม่มีคุณธรรมแล้วคนอื่นมาเรียกเราว่าผู้อาวุโสเราไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ เราจะต้องดูแลจิตใจของเราให้งาม หากไม่มีคุณธรรมแล้ว ต่อให้เป็นผู้อาวุโสต่อเขาก็ไม่สามารถจะขึ้นสู่ฝั่งนิพพานได้เข้าใจไหม อาจารย์พูดอย่างนี้เพื่ออยากให้ศิษย์มีความกลมเกลียวกันว่าการบำเพ็ญมีความยากลำบากเพียงใด เป็นเรื่องของคนกับคน ไม่ใช่คนกับฟ้า ในเวลาที่ศิษย์ทะเลาะกันเป็นเรื่องของคนกับคน เพราะฉะนั้นเอาอะไรล่ะมาเชื่อมตรงกลางให้เกิดความสามัคคีต่อกันได้ เวลาเราจะดูอะไร ฟังอะไร ต้องมีที่มาที่ไป รู้และเข้าใจในสิ่งที่เห็น ต้องทำความเข้าใจได้ ต้องเอาไปปฏิบัติได้ จึงจะเรียกว่าเป็นหลักธรรมที่ดี ถ้าหากว่าได้รับการฝืนเกินไป ได้รับการโอนอ่อนตามมากเกินไป ไม่เรียกว่าธรรมะ เพราะว่าธรรมะนั้นเป็นธรรมชาติ

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นวงพระโอวาท)

“แต่” ศรัทธาแต่มีสิ่งต่างๆ เยอะแยะไปหมด ในที่สุดสิ่งที่อาจารย์พูดก็แค่พูด อาจารย์มาก็แค่มา อาจารย์ไปก็กลับแล้ว สิ่งที่มุ่งหวังอยากให้ศิษย์ของอาจารย์ที่นี่ทุกคนบำเพ็ญ ถ้าเรามีคำว่า “แต่” คนที่ไม่สำเร็จเป็นพุทธะ ก็มีแต่เราคนเดียวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นดูไว้ มองดูและพิจารณา อย่ามองดูแล้วก็ผ่านเลยไป อันว่าหลักธรรมศึกษากว่าจะเข้าใจไม่ใช่ศึกษาแค่สองวัน ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่ทำให้ “แต่” อันนี้มาขัดขวางใจของเรา ไม่ใช่เพียงแต่ว่าศิษย์ตั้งใจศรัทธามาก็จะมีผลต่อการบำเพ็ญ ยังมีอีกว่าศิษย์จะคว้าธรรมะนี้ได้อยู่มือหรือไม่ด้วย เพราะฉะนั้นรีบๆ ที่จะชนะอุปสรรคที่อยู่ในตัวของเราเร็วๆ เข้า

“ตื่น” ตื่นหรือยัง ตื่นแต่ตา ตื่นใจด้วยไหม (ใจกำลังจะตื่น) แล้วกลับไปใจก็กำลังจะหลับด้วยหรือเปล่า ตื่นแล้วต้องตื่นให้ตลอดดีไหม (ดีครับ) การบำเพ็ญต้องการความเสมอต้นเสมอปลาย ตื่นวันนี้ก็ต้องตื่นวันหน้าตื่นวันพรุ่งตื่นวันรุ่ง

(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรม : เพราะว่าทุกครั้งเรามีใจมากกว่าคนอื่น เลยไม่สนใจคนอื่นว่าจะทำอะไร ถึงได้โดนคนอื่นเขม่นเข่นเคี้ยว เพราะว่าเราเด่นกว่าเขา เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไร เราต้องถอยหนึ่งก้าวฟ้ากว้างทะเลไกล ถ้าเราทำได้อย่างนี้ก็มีความสุขกันทุกคน)

“รพี” รพีแปลว่าดวงตะวัน คนหนึ่งคนจะเปรียบเป็นได้ดั่งดวงตะวันเพราะอะไร คนหนึ่งคนจะเป็นตะวันได้ต้องรู้จักมองคนอื่นและเสียสละเพื่อคนอื่นจึงจะเป็นดวงตะวันได้ จริงๆ แล้วดวงตะวันเป็นสัญลักษณ์ของอาจารย์ แสดงว่าเราต้องเจริญรอยตามอย่างพุทธะอริยะ

พุทธะนั่งสูบหรี่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) แล้วจะเอาบุหรี่หรือเอาพุทธะ ดูว่าตัวเองจะเลิกได้หรือเปล่า

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมตั้งชื่อเพลงพระโอวาท)

(ผู้ปฏิบัติงานธรรม : ตั้งชื่อเพลงว่า “หล่อหลอมน้อมใจให้เป็นกลาง”)

ชื่อนี้อาจารย์ชอบนะ แสดงว่าเราจะต้องหล่อหลอมด้วยทำใจให้เป็นกลางด้วย เวลาที่เรานำคนก็มีความลำบากมากมายแต่ว่าคนอื่นก็เหมือนกันเราก็เห็นใจกันไปเห็นใจกันมาเราก็รักกันเอง เวลาเรารักคนอื่น คนอื่นก็รักเรา ตอนนี้เราอาจจะรักเขาไม่ลง ไม่เป็นไรอีกหน่อยก็รักลงเอง ทุกคนก็เหมือนพี่น้องกัน ไตรรัตน์จำไม่ได้แล้วจะขึ้นไปได้อย่างไรนะ จะเอาอะไรนะ การที่เรานั้นได้อะไรมาฟรีๆ ได้หรือเปล่า เงินทองได้มาฟรีๆ ได้หรือเปล่า แสดงว่าต้องมีเบื้องหลัง รู้ไหมว่าอาจารย์อยากได้อะไร ก็อยากจะทดสอบว่ากิเลสของเรามีเยอะหรือเปล่า ได้ลูกที่หนึ่งอยากได้ลูกที่สองหมายความว่าอย่างไร หมายความว่ามีกิเลส

(พระอาจารย์เมตตาสอนร้องเพลงพระโอวาท) ชอบร้องเพลงหรือเปล่าแต่เพลงนี้ยากไปหน่อยใช่ไหม ให้เรียกคนที่อยู่นครฯขึ้นมาด้วย ตอนนี้เพลงพระโอวาทก็ร้องเป็นแล้ว มีคำกล่าวไว้ว่า

“ธรรมะก็คือธรรมชาติ” ในวันนี้อาจารย์ก็พูดแบบนี้ เพราะว่าอะไรทุกๆ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่ที่บ้านแล้วบำเพ็ญธรรมได้ไหม ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติจริงๆ ศิษย์ก็คงจะสามารถเอาไปบำเพ็ญที่บ้านได้ใช่หรือไม่ อาจารย์อยากจะให้ศิษย์นั้นเป็นคนที่อยู่ที่บ้านแต่ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้ดีที่สุด เมื่อมาสถานธรรมก็ให้รู้จักจะศึกษาหาความรู้ฝึกฝนเป็นพุทธะให้ดีที่สุด อันว่าชีวิตของเรานี้ไม่ยืนยาวแต่ก็ไม่สั้น ทุกๆ วันทำอะไรไปก็ต้องรู้จักระมัดระวัง ธรรมะคือธรรมชาติก็ขอให้ศิษย์นำไปปฏิบัติที่บ้านทุกๆ วัน และระวังตนเองให้ดีๆ มีโอกาสก็ต้องรู้จักบำเพ็ญธรรมดีไหม ไม่ใช่ว่ามีโอกาสแล้วฉันจะไปโมโหคนนี้ จะไปนินทาคนนี้ หรือจะไปว่าคนนี้ วันนี้ฉันจะไปทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่เคยคิดถึงว่าพุทธะต้องทำอะไรบ้าง ถ้าทำเช่นนี้แล้วชีวิตนี้จะเป็นพุทธะได้ไหม อยากเป็นพุทธะหรือไม่ อยากเป็นต้องบำเพ็ญต้องปฏิบัติใช่หรือไม่ อย่าบำเพ็ญแต่คำพูด ต้องรู้จักบำเพ็ญด้วยการปฏิบัติ พูดเก่งมากๆ แต่บำเพ็ญไม่ได้เลย ทุกๆ วันนี้ธรรมะอยู่กับเรา ไม่ต้องไปหาที่อื่น พระศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งที่อยู่กับศิษย์ตลอดเวลาก็คือตัวศิษย์ อยากได้เงิน ศิษย์ก็ไปหาเงินมา อยากได้ทอง ก็ไปหามา อยากกินอาหารอร่อยพระองค์นี้ก็เสกให้ได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นพระศักดิ์สิทธิ์หรือเราศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ แล้วเมื่ออยากได้สิ่งใดที่ถูกทำนองคลองธรรมก็จงทำไป พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์คือพระในตัวของศิษย์เอง บางทีเราขอพระไปสิบครั้ง เราอาจจะไม่ได้สักครั้งหนึ่ง แต่ว่าใครให้เราได้ (ตัวเราเอง)

“มาว่างว่างไปว่างว่างดีไหมเอย” ไม่ใช่มาว่างๆ แต่ไปเอากิเลส เอาลูกเอาหลานไปด้วย เอาไปได้ไหม (ไม่ได้) ขอให้รู้ว่าการบำเพ็ญนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยาก พุทธะนั้นไม่ใช่ว่าตายไปถึงเป็นพุทธะ แต่ต้องเป็นพุทธะตั้งแต่ในโลก หากว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่รู้จักลงแรง ไม่รู้จักลงพลังอะไรแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดที่งอกเงยออกมา การบำเพ็ญธรรมะก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้องการให้ศิษย์นั้นเอาใจใส่ดูแลให้ดี ถ้าหากไม่รู้จักเอาใจใส่ดูแลให้ดี ก็ไม่มีผลสำเร็จใช่หรือเปล่า (ใช่) ชาตินี้แม้ว่าเรื่องเล็กๆ การงานหน้าที่ อะไรทำไม่สำเร็จ ไม่เป็นไร ลองลงแรงสักครั้งหนึ่ง เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คือสำเร็จเป็นพุทธะสักครั้งหนึ่งดีไหม (ดี)

วันหน้าถ้าอาจารย์มาอีกครั้งได้เจอศิษย์ไหม (เจอ) ส่วนใหญ่ก็รับปากแบบนี้ พอถึงเวลาจริงๆ แล้วมาบ้าง ไม่มาบ้าง ใครเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ก็ล้วนแต่อยู่ที่ตนเองทั้งนั้น อาจารย์มีคำนิดหน่อยจะพูดก่อนที่อาจารย์จะไป ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่เข้าใจว่าชีวิตคนนั้นทุกข์ยากลำบากเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นระหว่างคนกับคนด้วยกัน มีความทุกข์ยากลำบากเท่าไหร่ แต่เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้ศิษย์ของอาจารย์มีความอดทนเหมือนอริยะ มีรอยเท้าก้าวไปเหมือนกับอริยะ เพราะฉะนั้นความเป็นธรรมชาติอย่าแยกตัวออกจากสิ่งที่ไร้ค่า เพราะถ้าเราแยกตัวออกมาจากสิ่งที่ไร้ค่า เราจะเป็นสิ่งที่ไร้ค่าเอง อย่าแยกตัวออกมาจากสิ่งที่ดีเลิศ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยหนุนนำเราไป ไม่ว่าจะเจอความทุกข์ยากลำบากเท่าไหร่ ขอให้ศิษย์ของอาจารย์สู้ได้ไหม (ได้) มีอะไรก็คุยกัน หันหน้าเข้าหากัน ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ขอให้ศิษย์ของอาจารย์จำไว้ เป็นคนทุกข์ยากมากเท่าไหร่ เป็นพุทธะได้ยิ่งสูงยิ่งส่งมากเท่านั้น ขอให้รักษาตัวให้ดีๆ เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์นะศิษย์นะ








[๑] พิภพ โลก


[๒] วิมุตติ ความหลุดพ้น พระนิพพาน


[๓] ปฏิปทา ทางดำเนิน ความประพฤติ


[๔] รพี ดวงอาทิตย์




พระอาจารย์เมตตาประทาน

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมชาติ” 


น้ำหลั่งลงคล้ายไร้ทิศแต่มีทิศ ตื่นในจิตสร้างสรรค์มีครรลองแฝง

ไม่ก่อบ่วงปัญญามาพลิกแพลง มีขึ้นลงรพีแสงตามเวลา

กลางวุ่นวายดลใจสงบไม่ฝืนขัด ธรรมชาติสอนชีพคนงามสูงค่า

ยิ่งหมายได้ถึงหนึ่งแท้เหนือวาจา ที่กล่าวมาต่างไปซึ้งซึ่งความนัย

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2542

2542-03-20 พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ


PDF 2542-03-20-ฉงเต๋อ #1.pdf
                
 
วันเสาร์ที่ ๒๐  มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒     พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

                รวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวจึงเกลียวกลม น่าชื่นชมพุทธะน้อยแห่งยุคขาว
สามัคคีเร่งลงแรงขยันก้าว   จะร้อนหนาวเป็นกำลังใจให้แก่กัน
                                เราคือ
                องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา                      ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
                                                ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา
                ในวันนี้มีบุญอยู่ร่วมสถาน    ดำเนินงานประชุมธรรมแจ้งจิตใส
ฟ้ามนุษย์ร่วมมือธรรมสู่ใจ   ความเข้าใจด้วยศึกษาอย่างจริงจัง
จงมีจิตที่เบิกบานเพื่อฟังเถิด            ดั่งบัวเกิดต้อนรับแสงอาทิตย์ส่อง
แม้จะงอกจากโคลนตมตามครรลอง   แต่ไม่ยอมเป็นผู้หลงเวียนว่ายไป
ชีวิตนี้มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด        จงตั้งใจเร่งบำเพ็ญแต่เนิ่นเนิ่น
อย่าได้ตื่นเมื่อตอนที่สายเกิน           น้องจะเดินทางตันหรือทางกว้างไกล
อันเวลาไม่คอยคนไม่คอยท่า           น้องจะมีเงินทองมาซื้อไม่ได้
ลาภยศฐาดั่งบุปผาร่วงโรยง่าย          น้องจงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
ด้วยบัดนี้เกณฑ์กำหนดสู่ยุคขาว       อย่ามัวเขลานั่งนอนเฉยมิใส่ใจ
ทุกคนนั้นต่างเป็นพุทธะและมารได้    อยู่ที่ใครใช้ปัญญาสว่างโพลง
สองวันนี้โอกาสดีได้เริ่มต้น  ย้อนมองตนเป็นอย่างไรรู้จักไหม
ชนะตนได้สักครั้งเคยหรือไม่           อย่าจนใจใฝ่บำเพ็ญไม่จนทาง
พิจารณาให้ถ้วนถี่ปวงปัญหา            ดั่งไฟมาไหม้ฟางพริบตาสูญ
เมื่อได้รู้ทางคืนกลับเร่งจรูญ พายเรือหนุนทวนกระแสแห่งโลกีย์
กฎระเบียบพุทธสถานต้องเข้มงวด     มิต้องกวดขันผู้อื่นมองตนเถิด
ขอให้ทุกทุกวันพุทธะเกิด    จิตบรรเจิดจากภายในสู่กระทำ
ขอให้อยู่ครบสองวันด้วยใจจริง        จิตต้องนิ่งอย่าลิงโลดปลาขาดน้ำ
มีโอกาสห่างโลกีย์ย้อนตนทำ           ใส่ใจจำต้นไม้ยากโตในสองวัน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป        ยืนคุมชั้นบันทึกคะแนน
จรดวางพู่กันลง
                                                ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒      พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
                ยั้งเวียนว่ายแปรปรวนกระแสโศก      เพราะรู้โลกอนิจจังฝั่งเหลียวหา
เมื่อได้รู้ความเป็นไปความเป็นมา       ไม่รอช้าจะบำเพ็ญตราบสิ้นลม
                                เราคือ
                หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดา                                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
                การหมุนเปลี่ยนเวียนวนแห่งวัฏจักร   เป็นประจักษ์บานบุปผาร่วงโรยผลัด
แม้สีสวยจางไปไม่ประหลาด            แจ้งถนัดตาอริยากลัวเวียนว่าย
ก่อเหตุต้นพันธนาการ ผลปลายสู่      พุทธะจึงเข้มงวดรู้ผิดแล้วแก้ไข
สำนึกจะเพียงพอให้ผิดมลาย           สุดท้ายสุขเหลือล้นพ้นแรงกรรม
กลางลำบากได้ฝึกใจกายตน            ใครงดจะอดทนร้อนใจร่ำ
ระฆังดังงามเกิดเสียงแห่งธรรม         ท่านเมธีหนึ่งชีพทำดีปรีดา
คิดจะพักจัดการง่ายสุดท้ายยาก        บ้างยากแล้วมาง่ายปวงปัญหา
หรือบ้างยากแลบ้างง่ายธรรมดา        คนสู้ปัญหาไม่หมดเวลาใจ

ลองถ้าแม้เหนื่อยยากเพราะไขว่คว้า  ไม่ควรลืมสร้างคุณค่าตามอดิศัย
เวลาไม่เคยจะคอยผู้ใด       ใจไม่เคยเที่ยงใครมีระวัง
เมธีสิ่งสำคัญต้องเป็นคนดี   ใจดุจเที่ยงใจดุจรพี สว่าง
ไม่ลำเอียงไม่ชั่งข้างรักชัง   ทุกสิ่งสร้างตรวจตราหนึ่งต้นปลาย
                                                ฮา  ฮา  หยุด


                ชีวิตเปรียบเช่นความฝัน  ร้อยรสกล่าวขาน  ยึดพลันมีแต่ร้อนใจ  เพียงหลงอัตตา  ย่อยยับด้วยความร้อนใจ  กิเลสปิดใจ  เริงความสุขจะลุ่มหลง
                น้อยครั้งจะฟื้นตื่นพ้น  ขับเคี่ยวใจตน  วกวนเฝ้ายอมแพ้ใจ  เปี่ยมล้นศรัทธา  จะทดแทนกันอย่างไร  ลองถ้าคงไว้ผ่อนในผิดมิทบทวน
*             ยับยั้งใจกันก่อนจะสาย  รุดบำเพ็ญจิตสูงล้ำ  ความจริงยิ่งศักดา  ในหนึ่งชีวาพากเพียรให้เห็นจริง
**           ต้อนรับเหล่าความดีนั้น  อ่อนน้อมเป็นฐาน  ยากลำเค็ญมาสอนใจ  จิตแท้กลับมาเป็นเช่นแสง  บนฟ้าไกล  ที่อาจว่าไกล  แต่เยือนทั่วเสมอกัน
(ซ้ำ *,**)
                                                                                เพลง : รอคอยจิตแท้กลับมา
                                                                                ทำนองเพลง : น้ำเซาะทราย


พระโอวาทท่านแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ธรรมะที่แท้จริงขึ้นอยู่กับว่าได้มาโดยง่ายหรือยากหรือเปล่า แล้วทำไมพอพบธรรมะง่ายๆ จึงบอกว่าไม่จริงแน่ของปลอมแน่ มีใครสักกี่คนพอพบธรรมะโดยง่ายหรือพบธรรมะโดยยาก จะลองใช้ปัญญา ใช้จิตใจหรือให้เวลาตรวจสอบธรรมะที่ตนเองค้นพบแล้วหยั่งลงด้วยจิตใจอันเที่ยงธรรมดูว่า ธรรมะที่ตนเองค้นพบจริงหรือเท็จกันแน่ ไม่ใช่ใช้แค่ตา หู หรืออะไรที่เราได้ยินได้ฟังเท่านั้นใช่หรือไม่ แต่ยังต้องใช้จิตใจของเราและปัญญาของเราตรวจสอบและวัดดู คนเรายังไม่ชอบให้ใครใช้แค่ตาตัดสิน แล้วธรรมะจะชอบหรือ ถ้าธรรมะเป็นเหมือนคนๆ หนึ่งจะชอบหรือเปล่า ก็ต้องไม่ชอบใช่หรือไม่ เราก็เป็นคนๆหนึ่ง เป็นคนที่มีปัญญาด้วย เป็นคนที่มีความรู้ด้วย ฉะนั้นจะตัดสินจะวัดค่าอะไร ใช้ปัญญาเราตัดสินได้ อย่าใช้แค่ตาดูหูฟังเท่านั้นย่อมไม่เกิดประโยชน์ อย่างนั้นไม่อาจเรียกว่าผู้มีปัญญาใช่หรือไม่ ฉะนั้นการจะวัดธรรมะสักธรรมะหนึ่งหรือการจะวัดสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง อย่าใช้แค่ตาดูหูฟัง แต่ต้องใช้ใจและปัญญาความรู้ที่สั่งสมมาช่วยตัดสิน จึงจะเป็นผู้ที่รู้จักใช้ชีวิต ใช้ความรู้และใช้ตัวตนเองที่แท้จริงเป็น ถ้าเกิดว่ามีปากแล้วคิดอย่างไรก็ใช้ปากพูดอย่างนั้น เสรีอิสระสบายใจใช่หรือเปล่า แต่เสรีอิสระสบายใจตอนต้นแต่มาอึดอัดตอนปลายเพราะว่าอะไร (ไม่ได้คิดก่อนพูด) นั่นก็แปลว่าถึงแม้จะมีปากมีความคิดและเป็นไปตามอิสระของตน แต่ก็ต้องรู้จักยับยั้งและสกัดกั้นบ้างใช่หรือไม่ ถ้าปล่อยให้เตลิดเปิดเปิงไปก็มีแต่จะเป็นอันตรายต่อตัวตนเองใช่หรือเปล่า ท่านก็คงไม่ชอบคนที่มีปากแล้วก็พูดอยู่นั่นแหละ เจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทอง ท่านก็คงไม่ชอบใช่หรือไม่ บางครั้งก็อยากจะให้เขารู้จักหยุดบ้าง รู้จักผ่อนบ้างใช่หรือเปล่า แล้วก็ต้องรู้จักว่าตอนไหนควรพูดตอนไหนไม่ควรพูด นั่นถึงจะเรียกว่ามีปากแล้วใช้ปากเป็นใช่ไหม แล้วตอนนี้ท่านรู้ไหมว่าท่านควรใช้อย่างไร
อยู่บนโลกนี้เราต้องการความสุขกันทุกๆ คนใช่หรือไม่ เราเกลียดความทุกข์ ไม่อยากพบหน้าความทุกข์ แต่ส่องกระจกทีไร เราก็พบทุกข์บนริ้วรอยทุกวันเลยใช่ไหม แล้วการบำเพ็ญธรรมเกี่ยวอะไรกับทุกข์สุขในชีวิตของเรา การบำเพ็ญธรรมก็คือการขัดเกลาตนเองให้เป็นคนดี แต่บางคนบอกว่าเป็นคนดีพอแล้ว ทำไมยังต้องบำเพ็ญอีก สิ่งใดที่จะรับรองว่าคนๆ นั้นเป็นคนดีได้ใช่ตัวเราเองกำหนดตัวเราเองว่าเป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าเราบอกว่าเราเป็นคนดีแล้ว ทุกคนจะคิดว่าเราเป็นคนดีได้ไหม เขาต้องว่าเราว่าคนนี้หลงตนเองเหลือเกินใช่หรือเปล่า อย่างนั้นมาวันนี้ใครคิดว่าตนเองเป็นคนดีแล้วไม่เห็นจำเป็นจะต้องบำเพ็ญตน ขัดเกลาตนให้ยิ่งดีขึ้นไปอีก ทุกคนที่ไม่ตอบก็แปลว่าเริ่มรู้ว่าตนเองมีข้อบกพร่องมีข้อไม่ดีเยอะกว่าข้อดีจึงไม่กล้าบัญญัติตนเองว่าเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรบมือให้ตนเองหน่อย เพราะอะไรเราถึงให้ปรบมือให้กับตนเอง (เพราะใจกล้า)  เพราะใจกล้าและยอมรับใช่หรือไม่ (ใช่)  สังคมปัจจุบันนี้ขาดคนกล้า กล้ายอมรับว่าตนเองเป็นคนไม่ดี และกล้าที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อกลับกลายเป็นคนดีใช่ไหม เรามักจะกล้าสิ่งแรกแต่เรามักจะไม่กล้าสิ่งหลัง เพราะเรารู้สึกว่าการเป็นคนดีถึงแม้จะดีไปแต่สังคมเลวร้ายก็ไม่มีประโยชน์เลยใช่หรือไม่ (ใช่,ไม่ใช่)  ถ้าเราเป็นคนดีแล้วคนอื่นในสังคมไม่ดีกับเราด้วยมีประโยชน์หรือเปล่า ก็มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหลายคนคิดแบบนี้ แต่ไม่ทำเลย อย่างนี้จะเรียกว่ารักการเป็นคนดีที่แท้จริงได้ไหม (ไม่ได้)  แค่เก็บไว้ในความคิดแต่ไม่ลงมือปฎิบัติธรรมใช่หรือไม่ ฉะนั้นตอนนี้ทุกๆ คนก็พูดกับเราแล้วว่า อยากเป็นคนดีแล้วก็อยากทำให้ถึงซึ่งความดีใช่ไหม ฉะนั้นอะไรที่ยากลำบากต้องไม่ย่อท้อ อะไรที่ส่งเสริมให้เรายิ่งเป็นคนดี เราก็ต้องเร่งรีบทำ แม้จะเล็กน้อย แม้จะไม่มีใครเห็น แม้จะปิดทองหลังพระ เราก็ต้องพร้อมที่จะทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพราะอะไรเราถึงอยากเป็นคนดี นอกจากจะช่วยให้ตนเองมีความสุขในการทำดีแล้ว ยังไม่หวาดกลัวอันตรายและยังได้ความร่มเย็นแห่งจิตใจอีกใช่หรือเปล่า ผลของการกระทำยังสามารถสะท้อนหรือสะเทือนใจให้ผู้อื่นเห็นแล้ว อยากปฏิบัติตามด้วย แต่ต้องทำดีอย่างไร เราถึงจะสามารถรับรอง ยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นให้คนรอบข้างปฏิบัติตามได้ ทำแค่หนึ่งวัน ตลอดชีวิต หรือทำแค่หนึ่งชั่วโมง (ทำตลอดชีวิต)  ทำตลอดชีวิตและหาโอกาสทำทุกๆ ช่วงเวลาใช่หรือไม่ ความดีนั้นถึงจะรับรองเราได้ว่าเราเป็นคนดีที่แท้จริง คนที่รู้จักขัดเกลาตนเองอยู่เสมอ นั่นแหละเรียกว่าผู้บำเพ็ญ อย่างนั้นการบำเพ็ญก็คงไม่ยากสำหรับทุกคนที่นั่งที่นี้ใช่หรือไม่ ความชั่วร้ายยากจะทำร้ายคนดีได้ เพราะว่า ถ้าการทำความดีของเรามีพลังรองรับอันหนักแน่นและมั่นคง เป็นการกระทำที่ทุกๆ วันแม้จะพลาดไปเพียงนิด คนทั่วโลกก็ให้อภัย แต่ถ้าทุกวันไม่เคยทำความดีพลาดเพียงนิดก็ง่ายที่จะเป็นคนไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีคนมาตราหน้าเราว่า คนนี้เป็นคนไม่ดี เป็นคนโกหก ไม่รักษาสัจจะวาจา เป็นคนเบียดเบียนคนอื่น แปลว่าทุกวันเราจะต้องทำคุณธรรมทุกๆ อย่างให้เต็มเปี่ยม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฟังดูแล้วหนักไหม เอาแค่รักษาสัจจะให้ได้
บางครั้งรู้สึกเป็นอย่างไร อึดอัดใช่หรือไม่ ยิ่งมีกรอบยิ่งอึดอัด ยิ่งตีกรอบยิ่งรู้สึกอยากจะดิ้นออกจากกรอบให้ได้ นั่นก็แปลว่าสิ่งนั้นเราสร้างกรงขังให้แก่ตัวเอง แปลว่าความดีไม่มีอยู่ในพื้นฐานจิตใจเราหรือ นั่นก็ไม่ใช่  แต่เมื่อเราคิดจะทำดีเราอย่าตีกรอบในจิตใจ มีโอกาสก็สร้าง เข้าใจความหมายตรงนี้ไหม  บ่อยครั้งเรายึดมั่นกับความดี ยึดมั่นกับคำว่ารักษาสัตย์ เราก็เลยเหมือนสร้างกรอบให้กับตนเอง แต่การทำความดีการรักษาสัตย์ต้องปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ เราก็จะไม่รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ที่ใด หรือเมื่อแสดงตนกระทำสิ่งใด  นั่นก็คือการรู้จักนำธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่นำธรรมมาสร้างความอึดอัดให้กับชีวิต ฉะนั้นแปลว่าธรรมมีอยู่แล้ว อยู่ที่เราจะเลือกสร้างหรือเลือกทำให้กับชีวิตเช่นไร เราเลือกสร้างดีก็ยกให้เราสูงขึ้นได้ เราไม่สนใจเราปล่อยปละละเลยก็เท่ากับเราทิ้งฐานแห่งความดี ปล่อยให้ตนเองร่วงหล่นลงสู่พื้นใช่หรือไม่  ฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามจะดีหรือไม่ดีไม่ใช่อยู่ที่เราพูด ไม่ใช่อยู่ที่ท่านสร้างก่อน แต่อยู่ที่ว่าตัวท่านเองดำเนินได้อย่างอิสระ ดำเนินได้อย่างธรรมชาติหรือเปล่า
การบำเพ็ญธรรมพูดง่ายๆ  แบบนี้ฟังแล้วยากเกินไปหรือเปล่า การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ยากเกินไปสำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราถามหน่อยว่าการบำเพ็ญธรรมดีกับตนเอง ดีกับสังคม แล้วอะไรเป็นสิ่งจูงใจที่ทำให้เราต้องเป็นคนบำเพ็ญธรรม เป็นคนดีในสังคม เหตุจูงใจอย่างหนึ่งในการที่เราจะทำดีไปเรื่อยๆ  นั่นก็คือทำแล้วสบายใจ ทำแล้วสักวันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนเป็นไม่อยากได้  จึงต้องมีเหตุจูงใจอะไรที่จะทำให้เราสามารถเดินไปได้ตลอดรอดฝั่ง และไม่มีการเปลี่ยนแปลง บ่อยครั้งที่เราคิดว่าอยากจะทำดีแต่ก็เลิกล้มกลางคัน ไปไม่ถึงจุดหมาย หรือบำเพ็ญไปไม่ตลอดรอดฝั่ง
การดำเนินชีวิตมีหลายทางเราก็ต้องเลือกทางที่ดีและประเสริฐที่สุด ชีวิตของมนุษย์ประเสริฐสุดคือการได้อะไร (รับธรรมะแล้วหลุดพ้น)  แปลว่าอย่าช้าในการหาโอกาสให้กับตน ไม่อย่างนั้นของดีๆ  ก็ตกไปอยู่กับคนอื่นหมดใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดและหนทางที่ประเสริฐสุดของการเป็นมนุษย์นั้นก็คือ การหลุดพ้น แล้วเราอยากไปทางนั้นกันหรือไม่ (อยาก)  แต่การจะประเสริฐหรือหลุดพ้นได้นั้นเริ่มแรกในการดำรงชีวิตก็คือ ต้องมีพื้นฐานแห่งการเป็นคนดีก่อนใช่หรือเปล่า และต้องมีจิตใจมุ่งมั่น  การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวและการมีปณิธานที่มุ่งมั่น ย่อมบังเกิดพลังอันแรงกล้าที่จะทะยานไปให้ถึงซึ่งจุดหมาย แต่หากขาดการตัดสินใจหรือตัดสินใจแต่ไม่มีปณิธานก็มุ่งไปไม่ถึงใช่หรือไม่  ฉะนั้นเราจะทำความดีแล้วมุ่งไปให้ถึงจุดสุดท้ายของการทำความดีนั่นก็คือ การหลุดพ้น หรือความประเสริฐแห่งตน ต้องมีปณิธานอันเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น มั่นคง อดทนจะไปให้ถึง  นี่แหละจะเป็นเหตุให้มนุษย์ต่างจากพุทธะก็ตรงที่ว่ามนุษย์มักจะไม่ค่อยมีปณิธานความมุ่งมั่น แต่พุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะมีปณิธานความมุ่งมั่น  หรือพูดง่ายๆ  พอคนเรามีความตั้งใจ ความตั้งใจย่อมทำให้เรามีจุดหมายในการเดินและการดำรงชีวิต เหมือนเรามีชีวิตหากไม่มีจุดหมายก็เคว้งไปได้ทั้งซ้ายและขวา หรือหาอะไรที่เป็นหลักแน่แท้ของชีวิตได้ไม่เจอสักทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้เรารู้ว่านอกจากการมีชีวิตหาชื่อเสียง หาทรัพย์สมบัติ หาเกียรติยศเงินทอง  อีกอย่างหนึ่งที่เราจะหาได้แล้วทำให้เรามีความสุขด้วย นั่นก็คือ หาความเป็นสุขอันนิรันดร์ให้กับชีวิต จะหาทั้งทีต้องหาของจริง ของปลอมอย่าไปเอาเลยใช่หรือไม่  จะเป็นเพชรทั้งทีก็ต้องเป็นเพชรที่ถูกเจียระไนแล้ว ถูกชูอย่างมีคุณค่า จะเป็นเหล็กทั้งทีก็ต้องเป็นเหล็กแท้ หรือถ้าจะเป็นดอกไม้ทั้งทีอยากจะหอมก็ต้องยอมถูกไฟลนเหมือนกระดังงาใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เฉกเช่นเดียวกัน มนุษย์เราจะเป็นคนประเสริฐได้จะเป็นคนที่แท้จริงได้เมื่อเจอความยากลำบากต้องสู้ใช่หรือไม่ เมื่อเจอความท้อแท้ก็ต้องอดทนแล้วลุกขึ้นใหม่ ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่ผ่านการทดสอบ เป็นคนดีอย่างแท้จริง
โดยปกติแล้วเราอยู่ร่วมกับคนในสังคมเราอยากให้ใครๆ ก็รักเรา ไม่อยากให้ใครเกลียดเรา  เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่เราก็อยากให้ใครๆ  เคารพเรา นับถือเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วการจะทำให้คนอื่นรัก เคารพตัวเราต้องทำอย่างไรก่อน  (ต้องทำความดีก่อน)  โดยเริ่มจากเรียกร้องคนอื่นหรือเรียกร้องตนเอง (ตัวเอง)  บ่อยครั้งที่เราถามว่าทำไมเขาไม่รักเรา ทั้งที่เรารักเขาแล้ว ทำไมเขาไม่เคารพเรา ทั้งที่เราก็ให้เกียรติเขาใช่หรือเปล่า  แต่คนๆ หนึ่งจะรักคนอีกคนหนึ่งได้คนนั้นต้องทำตัวเป็นอย่างไร (น่ารัก)  พูดถึงเด็กๆ จะให้ผู้ใหญ่รักก็ต้องทำตัวให้น่ารัก  ผู้ใหญ่จะทำให้เด็กเคารพ ผู้ใหญ่ต้องเป็นอย่างไร น่าเคารพ น่านับถือ และก็เป็นที่พึ่งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเอาแต่เรียกร้องโดยที่ตนเองไม่เคยสร้างไม่เคยมีแบบอย่างให้เขาเคารพ ให้เขานับถือเลยก็ไม่ได้ บ่อยครั้งที่เราอยู่ในสังคมเรามักจะพูดว่าเขาไม่เห็นรักเรา เขาไม่เห็นเคารพเรา คราวนี้คงให้เหตุผลตอบได้แล้วใช่ไหม ว่าเพราะอะไรเขาไม่เคารพเรา หรือไม่ถ้าเราให้ความรักแล้ว ให้สิ่งที่น่านับถือกับเขาแล้ว แต่เขายังไม่เคารพไม่รัก ก็แปลว่าการให้ของเรานั้นยังไม่ดีพอ แล้วอย่างนี้เราล้มเลิกการให้เขาเลยดีไหม แต่บ่อยครั้งเรามักจะเห็นทุกท่านในที่นี้ยอมล้มเลิกง่ายๆ แล้วก็ทำในด้านตรงข้าม ในเมื่อไม่รักแล้ว ในเมื่อสร้างความดีให้เขาเห็นแล้ว ก็กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำชั่วเสียเลย ดีไหม (ไม่ดี)  ทำให้เขาเกลียดไปเลยในเมื่อไม่รักแล้วดีหรือเปล่า พอไม่รักก็ด่าเขาว่าเขา พอไม่เคารพก็นินทาเขา ยุยงใส่ร้ายป้ายสีเขา อย่างนี้คงไม่ปรากฏกับทุกท่านในที่นี้นะ
เมื่อสักครู่เราได้ฟังหัวข้อสัจธรรมชีวิต วัฏจักรชีวิตคืออะไรบ้าง (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) แล้วภายในเกิดแก่เจ็บตาย ก็ยังมีวัฏจักรซ้อนอยู่อีก เข้าใจตรงนี้ไหม ท่ามกลางความเกิดก็คือการมีชีวิต  ชีวิตเราก็ยังพบการเกิดแก่เจ็บตาย ในเรื่องราวแต่ละเรื่องแต่ละวันไม่ซ้ำกันเลยใช่หรือเปล่า  วันนี้เกิดอยากได้ พอได้แล้วก็สมอยาก สมอยากแล้วก็หมดอยาก แล้วก็เกิดอยากขึ้นมาใหม่วนไปภายใน
วัฏจักรของชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าวัฏจักรนี้ นอกจากมีวัฏจักรของเวลาของร่างกายแล้ว เรายังมีวัฏจักรของการดำรงชีวิตอยู่ เกิดๆ ดับๆ ซ้อนกันอยู่ในเกิดดับอีกซ้อนหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)
การเกิดนำมาซึ่งอะไร (ความทุกข์, เกิดมาเพื่อทำหน้าที่)  ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ แต่เราเคยถามไหมว่าหน้าที่ของเราคือการหาเงินหรือการมีชื่อเสียงเท่านั้นหรือ เคยถามหรือเปล่า แท้ที่จริงแล้วหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์คืออะไร บางครั้งเรามักจะถามตนเองใช่หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วมนุษย์เรามีหน้าที่อะไร หน้าที่ของเรามีเพียงแค่ว่าหาเงินให้ครบมีให้ครบปัจจัยสี่ จริงๆ ก็พอแล้ว ต่อไปก็มีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศลช่วยเหลือคนอื่น อย่างนี้ก็ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางคนปัจจัยสี่ครบแล้วไม่พอต้องได้มากกว่านี้อีก ต้องมีเผื่อลูกหลาน  เมื่อปัจจัยสี่มากพอแล้ว แต่บางทีก็ไม่มีคำว่าพอเสียที จนกระทั่งหมดลมหายใจก็ยังไม่รู้สึกว่าพอใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าคุณค่าหรือหน้าที่ของการมีชีวิตของเขา ปรากฏเพียงแค่เงินทอง คุ้มไหมกับหนึ่งชีวิตที่มีหน้าที่มาเกิดเพื่อสร้างเงินทองให้ลูกหลาน ให้กับตัวเอง ดูก็เหมือนคุ้มแต่แท้ที่จริงแล้วชีวิตเราเป็นแค่เพียงเศษกระดาษใบหนึ่ง เหรียญอันหนึ่ง ดูแล้วไม่คุ้มเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  น่าจะมีค่ามากกว่านี้ น่าจะมีค่าที่ดีกว่านี้ได้
ไม่มีใครอยากเกิดมาแล้วต้องทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ตามที่เราศึกษามา หลักธรรมที่ท่านเรียนรู้ พุทธศาสนาที่ท่านศึกษามา คนเราเกิดมาต้องทุกข์ ทุกข์ที่ต้องหาเลี้ยงชีพไม่หาไม่ได้ ทุกข์ที่ต้องหาอะไรใส่ปากใส่ท้อง  แต่ถ้าหากว่าเราหาได้พอดีรู้จักพอ เราก็มีความสุขในการหาได้ เราก็มีความสุขบนความทุกข์ได้  ฉะนั้นการเกิดมาแม้เราจะรู้ว่าคือความทุกข์ แล้วการดับไปคือความทุกข์ด้วยหรือไม่ บางทีอาจจะไม่ใช่  ชีวิตนี้เราหลีกหนีไม่พ้นการเกิดแก่เจ็บตายหรือพูดให้สั้นขึ้นมาอีกก็คือการเกิดและการดับ  ทุกคนอยากเจอการเกิดแต่ไม่อยากเจอการดับ แต่ในพุทธศาสนาสอนให้เรารู้ว่า การเกิดคือความทุกข์ การดับคือความสงบสุข อยู่ระหว่างฟ้าและดิน แต่ทุกคนกลับรักที่จะเกิดมากกว่ารักที่จะดับ  การเกิดดับในที่นี้เราไม่ได้หมายความแค่เพียงการมีชีวิตอยู่ แต่การเกิดดับในที่นี้ยังหมายถึง เกิดอยากได้เกิดอยากมี การสมหวังการไม่สมหวังก็เป็นการเกิดได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราเกิดอยากสมหวังขึ้นมาเราก็ต้องรู้จักคำว่าไม่สมหวังเป็น  เมื่อเราเกิดอยากมีขึ้นมาเราก็ต้องรู้จักคำว่าไม่มีให้เป็นด้วย ฉะนั้นหากเราไม่อยากรับอีกด้านหนึ่งของความรู้สึกเราก็ต้องรู้จักตัดเสียตั้งแต่ต้น ไม่มีเลย ก็คงยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทั้งที่เรารู้ว่าปมแห่งทุกข์นั้นก็คือการเกิด  แต่หลายคนกลับดับการเกิดไม่ได้แล้วไม่สามารถมีความสุขกับการดับได้  แต่ถ้าเมื่อไรเรามีความสุขกับการดับได้ ดับสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ดับสิ้นแม้กระทั่งความอยากในใจตน เราก็คงมีความสุขท่ามกลางฟ้าและดินผืนนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ไม่ต้องกลัวปมปัญหาหรือความทุกข์อีกต่อไป เพราะเราเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวบนโลกนี้จะหยุดได้ที่ใครถ้าไม่ใช่ตัวเราเอง  ในเมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีชีวิตที่ต้องเจออยู่ เราหนีไม่พ้นก็คือการเกิดแก่เจ็บตาย ทำไมเราจะต้องสร้างวัฏฏะซ้อนในการเกิดแก่เจ็บตายให้ยิ่งทุกข์มากขึ้นไปอีก เกิดแก่เจ็บตายช่วงเดียวก็พอแล้วใช่ไหม (ใช่)  ทำไมยังต้องสร้างสองสามช่วงซ้อนเข้าไปในการเกิดแก่เจ็บตายอีก ในเมื่อเราไม่อยากเสื่อม เรามียศเราไม่อยากเสื่อมยศ เราทำอย่างไรดีจึงจะไม่ต้องรู้สึกว่าเสื่อม หรือสูญเสีย ก็หยุดคำว่าอยากซะ หยุดคำว่าอยากมี แล้วพึงพอใจกับตัวตนเอง หน้าที่ตนเองเท่านี้ก็พอแล้ว เราก็คงมีความสุช ใช่หรือไม่ (ใช่)   เราก็คงเป็นสุขในโลกใบนี้ ไม่ต้องถูกกระแสแห่งโลกพัดพาไปให้ต้องเวียนเกิดแก่เจ็บตาย ให้ต้องเวียนเกิดๆ ดับๆ ไม่รู้จักจบสิ้นสักที ใครๆ ก็รู้ว่าการเกิดนั้นแม้จะมีความสุขแต่ต้องรับทุกข์ขมตามมา เราก็คงไม่อยากได้  หรือว่าอยากมีชีวิตเท่านี้พอแล้ว ไม่อยากมีอีกต่อไป
ตอนนี้ยังมีลมหายใจอย่ากังวลเรื่องการเกิดดับ หากเราเข้าใจแล้วว่าเกิดดับนั้นนับต่อนี้ไปมีความหมาย และเราไม่มีทุกข์สุขมาร้อยรัด เราก็คงเป็นสุขในการเกิดดับของช่วงชีวิต อายุขัย ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่เมื่อไรเราทำใจกับการเกิดดับของช่วงชีวิตช่วงอายุขัยไม่ได้ เราก็ต้องเวียนว่ายต่อไปในการเกิดดับไม่รู้จักจบสิ้น ทำใจเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เวลาเกิดอะไรขึ้นมา เวลาอะไรดับขึ้นมาเราก็รับได้ทัน   จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า "เตรียมพร้อมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ" ภัยมาก็ไม่ต้องกลัว ฝนมาก็ตั้งรับได้ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เตรียมใจที่รับทุกข์เสียตั้งแต่เนิ่นๆ เราก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าต่อไปแม้จะไม่มีอะไรเลยก็ยืนอยู่ได้ อย่าลืมว่าชีวิตของเราแม้ไม่มีอะไรเลย เราก็นับหนึ่งใหม่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   หนึ่งเกิดจากศูนย์ แล้วคำว่าหนึ่งจะกลับไปศูนย์ไม่ได้หรือ ฉะนั้นเราต้องเข้าใจอย่าเลือกที่รักมักที่ชัง โลกนี้ถ้าขึ้นชื่อว่ามีก็ต้องมีคำว่าไร้อยู่ด้วย รับได้กับคำว่ามีก็ต้องรับได้กับคำว่าไม่มีเรารับได้กับการพบ กับการเจอเขาต้องรับได้กับการไม่พบไม่เจอเขาได้ด้วย เรารับได้กับการเป็นคนมีทรัพย์สิน ชื่อเสียง เราก็ต้องรับได้กับการที่เป็นคนไม่มีทรัพย์สิน ชื่อเสียง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ชีวิตขึ้นอยู่ที่ตัวเราสร้าง ขึ้นอยู่กับตัวเราเลือกเดิน  ทำไมจะต้องเอาชีวิตจิตใจไปเทียบกับคุณค่าเพียงแค่เงินทองและเกียรติยศ  อย่างนั้นช่างไร้คุณค่า ช่างเป็นคนที่เปรียบตัวเองได้ต่ำ  เปรียบตัวเองเป็นแค่กระดาษ พอไม่มีกระดาษก็หมายปลิดชีวิตอย่างนั้นน่าเสียใจ  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องสร้างคุณค่าตนเองให้ดีให้ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
บางครั้งมีหน้าที่ที่ต้องทำมากมายคิดจะพักก็รู้สึกว่าพักยากเหลือเกิน  เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่แต่หากเราไม่รู้จักแบ่งสรรเวลาตัวเองให้ดี การจะพักง่ายๆ  ก็กลับกลายเป็นยาก เดี๋ยวนี้บางคนมีหน้าที่ล้นมือ บางคนไม่มีหน้าที่อะไรในมือเลย คนที่มีหน้าที่ล้นมือกลับคิดว่าตนเองวุ่นวาย แต่คนที่ไม่มีหน้าที่อะไรในมือกลับคิดอิจฉาคนมีหน้าที่ในมือ อย่างนั้นเป็นการคิดที่ถูกหรือไม่ โลกจึงไม่ยุติธรรมเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  ที่จริงโลกยุติธรรมแต่ใจเราวัดไม่ยุติธรรม  เวลาเห็นเขาสูงเราก็ชอบมองสูง  แต่เวลาเราตกลงที่ต่ำกลับคิดว่าทำไมถึงต่ำอย่างนี้  ไม่เห็นมีใครดูตัวอย่างว่าเราต้องสูงให้ได้อย่างเขา พอเวลาจิตใจเราตกต่ำเรากลับมองคนยิ่งต่ำไปอีก  แล้วก็บอกว่าเขายังเป็นอย่างนี้ทำไมฉันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ คิดอย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)  พอตัวเองเป็นแบบนี้ก็ไปโทษฟ้าโทษดินลำเอียงอย่างนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  ใจตนเองต่างหากที่ไม่เที่ยงธรรม
มนุษย์เราอยู่ร่วมกันใครๆ  ก็มักอยากจะได้ประโยชน์  อยู่บนโลกนี้เราก็อยากสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองมากที่สุด  แต่ถ้าคนในโลกทุกคนคำนึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนไม่เคยคิดสร้างผลประโยชน์เพื่อส่วนรวมคนนั้นเป็นคนอย่างไร (เห็นแก่ตัว , คนไม่ดี)  นับจากนี้ไปทุกคนก็คงไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัวใช่หรือเปล่า มีเวลามาห้องพระบ่อยๆ  มาทำงานอย่างผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกๆ วันได้ไหม เห็นแก่ตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ต้องคำนึงถึงส่วนรวมด้วย  มีเวลาต้องหาเวลาช่วยส่วนรวมด้วย แต่การบำเพ็ญธรรมวันนี้ที่ท่านมานั่งฟังไม่ใช่ให้ทั้งชีวิตคิดแต่ส่วนรวม  แต่ให้รู้จักทำอะไรนึกถึงส่วนรวม นี่ต่างหากที่สำคัญ บ่อยครั้งที่เราดำเนินชีวิตเรามักจะคิดถึงแต่ตนเองมองอยู่แค่รอบตัวเองรอบเดียว  ต่อไปนี้เป็นผู้ที่รู้จักบำเพ็ญตนรู้จักศึกษาหลักธรรมน้อมนำใส่ตนแล้วต้องรู้จักตีกรอบกว้างขึ้นไปอีก มองหลายๆ  คน ก่อนจะพูดคิดก่อน  พูดไปแล้วทำร้ายใครหรือเปล่า ทำแล้วผู้อื่นไม่ได้มีหรือเปล่า  อย่างนี้เป็นการคิดเพื่อส่วนรวม  การเสียสละแค่นี้คงทำได้ใช่หรือไม่  ถ้ามีคนสักคนหนึ่งยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมไม่เคยคำนึงถึงส่วนตนคน คนนั้นเรียกว่าคนประเสริฐ  เรียกว่าผู้บำเพ็ญหรือผู้ก้าวย่างอย่างอริยะเมธี เป็นอริยะเมธีก็ดีไม่น้อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมไม่เห็นมีใครเดินตาม เพราะตาชั่งส่วนตัวกับส่วนรวมมักจะให้น้ำหนักส่วนตัวมากกว่า จึงไม่ได้เป็นอริยะ ไม่เป็นพุทธะสักทีหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอย่างนี้โลกจะยุติ  จะหายวุ่นวายได้หรือเปล่า หากทุกคนยังคิดถึงส่วนตัวเป็นหลักใหญ่ส่วนรวมเป็นหลักย่อยก็คงยาก
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ตนเองดีแต่ดีแล้วคนอื่นต้องดีและต้องยืนบนรอยดีของเราต่อไปได้อีกด้วย อย่างเช่น ไม้ท่อนหนึ่งหากคิดว่าเราเป็นคนดีเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นเลยก็เป็นไม้ที่รอวันผุพัง  กับไม้ขีดก้านหนึ่งขอยอมเป็นไม้ขีดที่เหลาตนเอง มีดวงไฟดวงหนึ่งที่จุดส่องสว่างแม้จะเพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งก็ดีกว่าตนเองผุสลายอย่างไม่มีคุณค่า แม้จะเป็นไม้ขีดก้านเล็กๆ  ก็เป็นไม้ขีดที่ทรงคุณค่าไม่เหมือนท่อนไม้ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่เฉพาะตนใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่เพื่อตนเองเท่านั้น แต่เพื่อให้สังคมเจริญงอกงามเป็นสังคมที่สงบสุขได้ด้วย  นี่คือจุดประสงค์อีกจุดประสงค์หนึ่งของการบำเพ็ญ
รักความยุติธรรมไหม (รัก)  และอยากให้สังคมเป็นสังคมที่ยุติธรรมเที่ยงธรรมไหม (อยาก)  แล้วทำอย่างไรถึงจะสมอยากได้ การกระทำของเราต้องสะเทือนใจเขาได้  ถ้าการกระทำของคนคนหนึ่งสะเทือนใจให้อีกคนหนึ่งทำตาม แล้วไปสะเทือนใจอีกต่อๆ  กันไปสังคมย่อมเกิดความยุติธรรมได้  แต่ตอนนี้ขาดแบบอย่างที่ดีหรือมีแบบอย่างก็แค่เพียงในกระดาษเท่านั้น  คนจึงคิดว่าความยุติธรรมเป็นความยุติธรรมเพียงในกระดาษไม่เคยปรากฏเป็นจริง แล้วถ้าเรายอมให้ตนเองเป็นผู้ริเริ่มทำได้ไหม  ยากตรงที่ไม่มีใครยอมง่ายๆ    เพราะอะไร ในเมื่ออยากให้สังคมดี อยากให้คนรอบข้างมีความยุติธรรม รักก็รักให้เท่ากัน แบ่งก็แบ่งให้ถูกหน่อย ตัดสินใจก็ตัดสินใจให้เที่ยงตรง ทุกวันนี้จึงเป็นแค่เพียงอยากให้บ้านเมืองสะอาด แต่ปัดขยะออกนอกบ้าน ปัดหน้าที่ให้กับคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แม้ทุกคนจะไม่ทำจนเด่น แต่ถ้าทุกคนทำคนละน้อยก็ยิ่งใหญ่ได้  ฉะนั้นมีโอกาสก็ต้องทำดีหรือไม่ (ดี)  ปกติเราก็สร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดี คิดดีทำดีแล้ว  ขอเพียงลงแรงหรือเพิ่มความสม่ำเสมอให้กับการทำดีและเพิ่มความสม่ำเสมอในการตัดสินใจก็สามารถสร้างความดีความยุติธรรมให้บังเกิดในสังคมได้ แล้วความดีความยุติธรรมนั้นมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเราไหม ตอนนี้อาจจะไม่มีแต่ต่อไปเมื่อท่านได้รับความไม่ยุติธรรมท่านต้องเรียกร้องใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ภัยแห่งการไม่ทำดี อาจจะไม่โดนกับท่าน ท่านก็เลยนิ่งเฉยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกร้องเลย ทำดีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมื่อไหร่เราโดนคนอื่นทำไม่ดีกับเรา ตอนนั้นเราจะเป็นอย่างไร เราก็จะเรียกร้องให้สังคมจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนที่ทำผิด จึงมีคนเรียกร้องแค่เพียงคนที่โดน ส่วนคนที่ไม่โดนก็เอาแต่นิ่งนอนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  สังคมจึงเป็นแบบนี้ไม่เคยดีขึ้นสักวันหนึ่ง เพราะทุกคนคิดว่าภัยยังไม่มาหาตัว ทุกข์ยังไม่มาหาเรา เรื่องอะไรเราจะต้องบำเพ็ญดี เรื่องอะไรเราจะต้องเป็นคนดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่แหละที่น่าเศร้าที่สุดของการเป็นคน คนเราไม่ถูกตีก็ไม่รู้จักเคลื่อนไหว เอาแต่นอนนิ่ง ชีวิตไม่ทุกข์ไม่ร้อนก็ไม่คิดจะใฝ่หาธรรม ความเกลียดคร้านความนิ่งเฉยต่อการที่สังคมเป็นอย่างนี้ โลกจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงให้สงบสุขได้สักที จิตใจของมนุษย์จึงเป็นคนดีได้ไม่เต็มที่ คิดว่าภัยของการเป็นคนไม่ดี ภัยของคนไม่ดียังไม่มาโดนตนเอง จึงไม่คิดที่จะกระทำดี ในการมุ่งมั่นปฏิบัติตนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนั้นท่านจะมาเรียกร้องความยุติธรรมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ เพราะตอนให้เวลาท่านไม่รู้จักทำ ไม่รู้จักดีดตนเองให้พ้นจากกรอบอันเลวร้าย พอภัยเข้าหาตัวแล้ว รอบตัวมีแต่คนเลวร้าย จะมาเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยากที่จะช่วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้ตนเองจะมีคัมภีร์สูงหนาเป็นฟุต ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะแต่ละวันไม่เคยหยิบความดีในคีมภีร์ออกมาใช้ แม้จะเป็นผู้ที่เคยฝึกเรียนรู้การบำเพ็ญตนเป็นคนดีมาแล้ว แต่กลับไปก็ยังดำรงชีวิตเหมือนเดิม ตอนนั้นแม้จะฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญก็ใช้ไม่ทันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมเราถึงต้องเรียกร้องให้ท่านเป็นคนดี แล้วสำแดงความดีของตนเองให้ปรากฎก็เพราะเหตุนี้ อย่าปล่อยให้ตนเองไม่มีเรี่ยวแรง อย่าปล่อยให้ตนเองไม่มีลมหายใจแล้วค่อยมาเรียกร้องความยุติธรรม ตอนนั้นก็สายเกินแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ยังมีลมหายใจยังมีชีวิตที่จะสร้างขอให้รีบฉวยโอกาสอย่าได้รอโอกาส อย่าคิดว่าโอกาสมาถึงทำดี แต่ตัวเราเองต้องเป็นผู้พร้อมจะสร้างโอกาสในการทำดีทุกขณะลมหายใจใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้เรายังเป็นห่วงท่าน ท่านต้องดูแลตนเอง ทุกข์มาก็หลายรอบแล้ว หรือบางคนยังไม่รู้จักคำว่าทุกข์เลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า วัยคนที่นี่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคนยังไม่เคยเผชิญชีวิต ยังไม่เคยเผชิญความเป็นจริง ก็เลยยังไม่เข้าใจ แต่บางคนผ่านมาแล้วซึ่งร้อยแปดพันหนาว รู้แล้วว่าสังคมบนโลกใบนี้ คนปฏิบัติต่อคนเป็นอย่างไรเคยโดนมาแล้วทั้งหลอกลวงทั้งโกหกทั้งโป้ปดทั้งหาความจริงไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เคยโดนมาแล้วย่ำยีทั้งจิตใจ เสียดแทงแม้แต่คำพูด มีโอกาสแกล้งได้ก็แกล้งเอา ไม่เคยหยุดหย่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเรามีทุกข์เป็นของตน ทุกข์นั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง
๑.เกิดจากกรรมเวรของตนเองที่เคยสร้างมาแต่อดีต
๒.เกิดจากตนเองที่ต่อไปนี้จะสร้างขึ้นหรือว่าจะลดลง
ในส่วนที่เราแก้ไขได้เราก็ต้องรู้จักแก้ไขและทำให้ดีที่สุด ไม่เป็นคนสร้างต่อ แต่จะเป็นคนหยุดการก่อใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตนับจากนี้ไปเวลาก้าวเดินไม่ว่าจะคิด พูด ทำ ขอให้ตรวจสอบให้รอบคอบ แล้วเราจะเป็นคนที่มีความสุขในการดำรงชีวิตดีหรือไม่ (ดี)  ขอให้เป็นสุขให้ได้ใต้ฟ้าสีครามอันนี้ อย่าเป็นทุกข์หม่นหมองไปเลย เรื่องราวบนโลกนี้ บางครั้งทำไมไม่เป็นดั่งใจ ทำไมไม่ได้ดั่งที่เราคิด หากพยายามแล้วไม่ได้ต้องปล่อยบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายเรื่องราวในโลกนี้บางครั้งก็เป็นดั่งใจ บางครั้งก็ไม่เป็นดั่งใจ อันใดพยายามสู้แล้วดิ้นรนแล้วไม่ได้ก็ปล่อย ตัดใจ ปลง ง่ายดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไปทุกข์อย่าไปหน่วงเหนี่ยว อย่าไปดึงเลย อันไหนถ้าไม่ใช่ของเรา แม้เราจะเปลี่ยนแปลงพันรูปพันแบบ เขาก็ไม่อยู่กับเรา อันใดคือของเราแม้จะรังเกียจอย่างไรๆ ก็ต้องเป็นของเราใช่หรือเปล่า (ใช่)  โลกใบนี้จึงต้องยิ้มให้กับทุกข์บ้าง เศร้าให้กับความสุขบ้างก็คงดีไม่น้อย อย่ายิ้มเมื่อมีความสุขเสมอไป อย่าเศร้าเมื่อต้องเศร้าเสมอไป แต่ต้องรู้จักทวนกระแสแห่งอารมณ์ ทวนกระแสแห่งโลกใบนี้บ้าง เราก็จะหาความสุขบนพื้นฐานแห่งความทุกข์บนโลกใบนี้ได้จริงไหม (จริง)  ขอให้กลับไปแล้วทำให้ได้นะ อย่ากลับไปแล้วมาพบเราด้วยคราบน้ำตาเลย น่าเสียใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่สามารถปราดน้ำตาแล้วสร้างกำลังใจให้กับตนเองได้ ก็คือตัวเราเท่านั้นเอง คนที่จะปูแนวทางให้กับชีวิตราบรื่นหรือว่าขรุขระได้ก็อยู่ที่น้ำมือเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ตรวจตราหนึ่งต้นปลาย แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งจึงสามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะสะอาดหรือสกปรก ไม่ว่าจะทุกข์หรือจะสุข จึงรองรับทุกสภาวะ จิตใจหากแตกแยกไม่เป็นหนึ่งก็ยากที่จะรับอะไรได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นไหมพอแผ่นดินแตกเป็นเล็กเป็นน้อยเป็นเศษเป็นส่วนรับอะไรก็รับไม่ได้เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีแต่แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งจึงสามารถรองรับทุกอย่างได้โดยไม่รังเกียจใช่ไหม (ใช่)  น้ำก็เฉกเช่นเดียวกัน พอรวมเป็นหนึ่งจึงทะลุได้ แม้สิ่งที่แข็งที่สุด จิตใจเราก็เหมือนกัน หากเรารวมเป็นหนึ่งในการทำอะไร ก็สามารถไปได้ถึงเป้าหมาย ถึงจุดหมายใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรเสียไปแล้วก็ไม่ต้องเศร้าใช่หรือไม่
วันนี้เราก็คงมาเท่านี้ เวลานับจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้วนะ ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมาอย่างหนึ่งจะกลับไปเหมือนเดิมก็แล้วแต่ท่านแล้วนะ หรือว่าจะสร้างสรรค์ชีวิตตนเองให้ดีขึ้นกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับนาทีนี้ไปแล้วใช่หรือเปล่า บำเพ็ญหรือไม่บำเพ็ญ เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่มีใครสามารถจะลบล้างออกไปจากใจท่านได้นอกจากตัวท่านเอง หรือไม่มีใครสร้างให้ตัวท่านได้นอกจากตัวท่านเอง
วันนี้เราก็มาบอกให้ท่านรู้ว่าบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญไปเพื่ออะไร และบำเพ็ญมีคุณค่าเพียงไหนเท่านั้นเอง นอกจากบำเพ็ญแล้วอะไรอีกละที่มีคุณค่า ก็ชีวิตที่ขึ้นกับลมหายใจ ต่อไปนี้ลมหายใจของเราจะเปี่ยมไปด้วยคุณค่า จะเปี่ยมไปด้วยความหมายขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเราใช่หรือไม่
ทำความดีมาใช้คู่กับชีวิต ก็เป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อสังคม แต่ถ้าไม่นำความดีมาใช้มีชีวิตอยู่ตามอารมณ์ตามตัณหาความอยาก ก็ยากที่จะเป็นคนที่ดี ที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ ต่อไปนี้เพิ่มคุณธรรมให้กับตนเองอีกสักนิด จะทำอะไรไตร่ตรองก่อนว่ามีคุณธรรมไหม หากทุกครั้งเวลาทำ เวลาคิด เวลาพูด คิดเสียว่าถ้าไม่ดีไม่มีมโนธรรมไม่ทำ หากทุกขณะคิดอย่างนี้ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูดก็ยากที่จะตกห้วงแห่งความเลวร้าย ยากที่จะก้าวดำเนินผิด มีคนเคยกล่าวกับท่านขงจื้อว่า ทำไมในเมื่อสังคมเลวร้ายขนาดนี้ไม่เห็นจำเป็นที่จะสร้างความดีเลย ไม่เห็นจำเป็นที่จะฟื้นฟูความดี แต่ท่านก็ยังคงทำ ทำแม้รู้ว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ แต่ชื่อของท่านก็ยังปรากฏตราบเท่าอายุของคนที่มีอยู่ในตอนนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าจะทำไม่ได้แต่ก็ยังทำ แปลว่ายังคงสร้างความดี สร้างแนวทางสว่างให้กับคนรุ่นต่อๆ ไปได้คิดดำเนินตามใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนที่ไม่เคยคิดจะทำเลยตอนนี้แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน แนวทางแม้มีปรากฏแต่ก็ไม่น่าเอาเยี่ยงอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกครั้งก่อนที่จะดำเนินชีวิตขอย้ำอยู่อย่างเดียว หากอันใดมิใช่สิ่งที่ดี อันใดที่ทำแล้วทำให้รู้สึกว่าไม่แน่ใจ ลองคิดหลายๆ รอบ แล้วค่อยทำดีหรือไม่ ลองคิดไตร่ตรองก่อนแล้วท่านก็จะเป็นผู้ที่ยากจะถลำลึกในการกระทำผิดได้ บ่อยครั้งที่เราอยู่บนโลกนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะทำอะไรแล้วถูกใจใครไปเสียหมดทุกคน แต่ถ้าเรามั่นใจแล้วว่าเราไตร่ตรองดูแล้วว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่กลั่นออกมาจากใจของเรา เราจะไปกลัวอะไรกับคำพูดคนใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะไปท้อแท้อะไรกับการทำดี เป็นคนดี เป็นคนบำเพ็ญตน จริงหรือไม่ (จริง) กลัวแต่ว่าจะไม่บำเพ็ญตน รู้ก็เก็บไว้ข้างๆ เท่านั้นเอง น่าเสียดายเปล่าๆ
บวชทั้งทีก็ควรบวชให้ถึงใจ อย่าบวชเพียงภายนอก การบำเพ็ญยุคนี้เป็นการบวชจิตใจ เป็นการบริสุทธิ์ทั้งนอกและใน น้ำพระธรรมจะช่วยชำระล้างจิตใจให้เราได้ และน้ำพระธรรมจะช่วยให้เราพบกับความร่มเย็น ความสงบสุข
ใครที่เริ่มบำเพ็ญแล้วรู้สึกท้อแท้ ต่อไปนี้ขอให้สร้างกำลังใจให้มากๆ อย่าได้เหนื่อยล้า อย่าได้ยอมแพ้ เมื่อบำเพ็ญแล้วอย่าเผลอทำผิดอีก เมื่อบำเพ็ญแล้วระวังปากสักนิดหนึ่งดีไหม นอกจากระวังปากแล้วการกระทำก็ต้องตรวจสอบให้รอบคอบ เราจะได้เป็นผู้บำเพ็ญดีไปได้ตลอดรอดฝั่ง อยากชวนทุกๆ ท่านกลับคืนเบื้องบน แต่วันนี้คงชวนได้เท่านี้ จะไปพบกันหรือเปล่าอยู่ที่ตัวเราแล้วนะ เราคงต้องไปแล้วล่ะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๒            พุทธสถานฉงเต๋อ อ.ทองผาภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา
                หลงเวียนว่ายวัฏสงสารมิยอมตื่น       ลองฝืนฝืนกระแสโลกีย์ที่เชี่ยวไหล
หนึ่งวันมีหนึ่งวันเพียรให้รู้ไป            สุดท้ายใครจะชนะตัวเราเอง
                                เราทั้งสอง
                จี้กงอาจารย์เจ้านำพานาจาน้อย        ร่วมรับบัญชา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานฉงเต๋อ   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว     ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า
                บำเพ็ญได้เมื่อฤทัยไม่เพียงนึก         จิตจะเอียงไม่ฝึกไกลอนุสัย
ถ้าประสงค์ไร้กิเลสจิตเป็นไท           ยุคสามวาระภัยเพียรอย่างหนัก
เวลานี้เวลาทิ้งใจเคืองคน     มากน้อยคนจะสามัคคีให้ประจักษ์
ผู้มีใจอันประเสริฐเทพพิทักษ์           ฝึกให้เที่ยงตระหนักไม่กลัวนาน
บริสุทธิ์รักษ์ทุกสิ่งใจเป็นกลาง          เหมือนยามเที่ยงผู้สว่างปราศจากกั้น
อคติหนักทุกข์บังเกิดช่างต่างกัน       อาตมัน บ้างใจคดเปรียบฟ้ามัว
ยื้อแย่งชิงเมื่อใดใจลำเค็ญ  ได้ยากเย็นเสียง่ายดายวุ่นวายทั่ว
ยิ่งก้าวยิ่งบำเพ็ญไม่เพื่อตัว  สิ่งนี้คือหัวใจแห่งพระพุทธา
                                                ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา
พระนาจา : เวลาสงสัยทำไมไม่มีใครถาม มีแต่เก็บเอาไว้ในใจ เก็บไหม (ไม่เก็บ)  ไม่เก็บงั้นต้องถาม ถามดีไหม (ดี)  แต่เห็นออกไปทีไรไม่เห็นมีใครอยากจะถามเลย เห็นตั้งคำถามไว้ในใจกันตั้งหลายคน แต่พอออกไปก็กินข้าวก่อน ออกไปฉันต้องตักก่อน เดี๋ยวอยู่ข้างหลังแล้วอดกินใช่หรือเปล่า (ใช่)  สงสัยจะถามว่าเขามาอย่างไร แล้วเขาไปอย่างไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ทำไมเราไม่ถามตัวเราเองว่าเรานั่นแหละมาอย่างไรแล้วจะกลับอย่างไรใช่ไหม (ใช่)  หรือรู้แค่เพียงว่ามาจากจังหวัดโน้น มาจากจังหวัดนี้ มาจากบ้านใกล้ๆ โน้น แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วว่าตัวเองมาได้อย่างไร แล้วจะกลับไปไหนใช่ไหม (ใช่)  รู้ถึงแต่กายเนื้อนี้ แต่ไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงและทำท่าพายเรือ)
พระอาจารย์ : ใครไม่ยอมออกกำลังกายเมื่อกี้อาหารไม่ย่อย เดี๋ยวคราวหน้ากลับไปนั่งไปก็นั่งหลับใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นเอาเปรียบคนอื่น ไม่พายดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ธรรมะเรามาศึกษาเอง เวลาปฏิบัติเราก็ต้องทำเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเดินหนึ่งก้าวเหมือนคนอื่นเดินหนึ่งก้าวหรือเปล่า  คนอื่นเดินหนึ่งก้าวเหมือนเราเดินหนึ่งก้าวหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือว่าไม่ดีล้วนขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองไม่ใช่ผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นธรรมะเมื่อศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว การปฏิบัติให้ใครปฏิบัติ (ตัวเราเอง)  แล้วเราจะบอกว่าคนอื่นปฏิบัติอยู่ ทุกๆ วันทุกๆ ครั้งก็ต้องให้ผู้อื่นมาเรียกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกๆ ครั้งเมื่อเรารู้ว่าเราควรจะทำอย่างไร อย่างเช่น เราบอกว่าน้ำหม้อนี้ร้อนมาก เราจะจับหรือเปล่า แล้วกิเลสที่เราเจออยู่ทุกวันนี้ เราจับหรือไม่จับ จับหรือเปล่า (จับ)  กิเลสเปรียบไปเหมือนของร้อนไหม (เหมือน)  แล้วถามว่าทำไมเราถึงจับ ไหนใครว่าตัวเองไม่รู้ยกมือขึ้น ยกค้างไว้ด้วย มีคนไม่รู้อยู่กี่คน ไหนอาจารย์ดู มี๒๓คนที่ไม่รู้ว่ากิเลสร้อน ไหนใครคิดว่าตัวเองรู้ว่ากิเลสร้อน แต่หักห้ามใจไม่ได้ ยกมือขึ้น หลายคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่าเราทุกๆ คนเป็นเหมือนกันหมดใช่ไหม (ใช่)  มีโรคๆ เดียวกัน มีโรคาเป็นโรคเดียวกันคือโรคอะไร
ไหนหัวหน้าชั้นลองบอกอีกทีว่ามนุษย์ทุกคนเป็นโรคเดียวกันคือโรคอะไร เป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคอะไรโรคตัวนี้ (พระอาจารย์ให้นักเรียนเอามือลง)  อาจารย์จะบอกให้ เขาเรียกว่าโรคทางใจ โรคอันนี้ไม่มีปรากฎทางกายใช่ไหม (ใช่)  จะปรากฎชัดต่อเมื่อเราโกรธ จะปรากฎชัดต่อเมื่อเห็นเงินแล้วตาวาวคือความโลภใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเกิดความรักในตัวผู้อื่นแล้วก็เสียสละไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ เรียกว่าความรักจนหลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทุกคนเป็นโรคนี้ คือโรคทางใจอันนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกให้คนที่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีกิเลสที่มันร้อนแล้วยังไปเล่นกับกิเลส ไปเล่นกับไฟ คนผู้นี้ยังต้องยากที่จะเป็นพุทธะ แต่คนส่วนใหญ่ที่เป็นศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นอย่างไร รู้เข้าใจว่ากิเลสร้อนแต่หักห้ามใจไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ว่าร้อนแต่อยากจับใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นขั้นตอนการบำเพ็ญของเราจะง่ายและรวบรัดยิ่งขึ้นคืออะไร ขาดอย่างเดียว ก็คือการลงมือปัดใช่หรือไม่ (ใช่)
เรารู้ว่ามีด้ายเส้นหนึ่ง กั้นเราไว้ระหว่างปุถุชนและพุทธะถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่ว่าเราก็ยังไม่ใช้กรรไกรแห่งปัญญาของเราไปตัด เพราะว่าเราชอบกิเลสหรือเปล่า จริงๆ แล้วศิษย์ของอาจารย์ชอบความทุกข์ไหม (ไม่ชอบ)  แสดงว่าศิษย์ของอาจารย์ก็ไม่ได้ชอบกิเลส เพราะว่าความทุกข์เกิดมาจากกิเลสของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีความอยากไม่มีกิเลส ไม่มีความรัก ไม่มีความโลภไหนเลยจะมีความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ไม่ชอบทุกข์ก็ต้องไม่ชอบกิเลสด้วย รู้สึกว่าเป็นการขัดกันเองไหม  เพราะฉะนั้นทุกวันๆ จึงวุ่นวายสับสน ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่จะเริ่มต้นการบำเพ็ญที่ดีที่สุดก็คือการมองตนเอง มองเห็นคนที่อยู่ในกระจกต่อหน้าเราคนนี้ผิวดำไปนิดต้องไปหายามาทาให้ขาวหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ที่เราควรจะมองเห็นตนเองนั้น ไม่ใช่มองเห็นตนเองในกระจกที่อยู่เปลือกนอกนี้ แต่ต้องมองเห็นถึงจิตใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเขาบอกว่าเราตัวดำแต่เราใจขาวเราเห็นไหม (ไม่เห็น)  ตัวเราเองยังไม่เห็นตัวเราเองแล้วใครจะเห็น อย่างน้อยที่สุดศิษย์ต้องรู้ตัวเองว่าเราตัวขาวใจดำหรือเปล่า
ถ้าหากว่าทุกๆ วันเราได้พยายาม ศิษย์ว่าตัวศิษย์เองนั้นสามารถทำสิ่งใดได้สำเร็จไหม (สำเร็จ)  สำเร็จทุกสิ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้เรานั้นมีความพยายามจริงๆ  ทุกๆ วันนี้ที่ไม่สำเร็จเพราะไม่พยายามจริงๆ ใช่หรือเปล่า พยายามด้วยขี้เกียจด้วย พยายามด้วยเบื่อด้วย เรียกว่าไม่มีความสุขกับการบำเพ็ญ  ไม่มีความสุขกับการทำงาน และไม่มีความสุขกับชีวิตใช่ไหม เพราะฉะนั้นทำสิ่งใดก็ยากที่จะสำเร็จได้ถูกหรือเปล่า (ถูก)  หากว่าวันนี้ทำการงานในโลกได้สำเร็จลุล่วง เราก็รู้จักความสำเร็จแล้วหนึ่งชิ้น แต่ความสำเร็จสิ่งใดที่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (ความสำเร็จที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้)  ความสำเร็จแห่งการเอาชนะใจตนเองยิ่งใหญ่ แต่ความสำเร็จแห่งการเอาชนะใจผู้อื่นยิ่งใหญ่กว่าใช่ไหม เพราะว่าทุกๆ วันนี้เราชนะผู้อื่นด้วยเงินทองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แขวนทองอยู่กี่เส้นใครรวยกว่ากัน ใครที่มีน้อยหน่อยก็ต้องฟังคนที่มีมากหน่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ายิ่งใครเป็นลูกจ้างเป็นคนที่ต้องทำงานให้เขายิ่งต้องฟังเขาใหญ่เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใจเราจริงๆ เคารพเขาไหม เพราะฉะนั้นการที่จะเอาชนะใจตนเองก็ยิ่งใหญ่ แต่การเอาชนะผู้อื่นได้ด้วยความดีของเรานั้นยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า
 
ตอนนี้อาจาย์มาถึงที่นี่แล้ว ขอให้ศิษย์ทุกๆ คนไม่ว่าจะมีความสงสัยมากน้อยเท่าไหร่ ไม่ว่าจะมีความศรัทธามากน้อยเท่าไหร่ ขอให้รวมใจนี้มาอยู่ตรงกลาง ขอให้เรานั้นมีจิตใจดวงเดียวกันดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อมีจิตใจดวงเดียวกันจึงจะสามารถฟังกันเข้าใจเหมือนคนพูดภาษาเดียวกันดีหรือเปล่า (ดี) หลายๆ คนนั้นออกไปเผชิญโลกกว้าง ทำไมคนพูดภาษาเดียวกันถึงฟังกันไม่รู้เรื่อง เป็นเพราะว่าไม่มีจิตใจที่ตรงกันใช่หรือไม่ (ใช่)  คนนี้อยากจะได้สีขาว แต่อีกคนอยากจะได้สีดำ เมื่อคุยกันแล้วคุยกันไปคุยกันมาสุดท้ายไม่รู้เรื่อง เพราะว่าสองคนนั้นมีใจคนละสี เพราะฉะนั้นในตอนนี้จึงอยากให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนควบคุมใจของตนเองดีหรือไม่ (ดี)  การมาถึงสถานธรรมนั้นเปรียบไปแล้วเหมือนอยู่บนสวรรค์เพราะว่าอะไร (เพราะความสุขทางใจ)  แล้วความสุขทางใจมีมากไหม (มาก)  ความสุขทางใจมีมากเกินไปไม่เหมือนสวรรค์
พระนาจา : อยากคว้าโอกาสใช่หรือเปล่า โอกาสที่จะได้หยิบผลไม้งามๆ  สีแดงๆ  แต่จะเอาตอนหิวหรือจะเอาก่อนหิวดี (ก่อนหิว)  ต้องเอาก่อนหิวใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไปเอาตอนหิวบางทีอาจจะหิวจนเป็นลมตาย  ก่อนจะไปถึงใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราต้องการจะได้หรือไขว่คว้าสิ่งใดนั้นเราต้องอย่าปล่อยให้ตัวเราหิว  แต่ต้องรู้จักเตรียมพร้อมใช่ไหม (ใช่)
พระอาจารย์ : เวลาเรามาเราต้องพยายามที่จะมา  เวลาเราจะกลับเราต้องรีบใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเวลาเรามานั้นเรามีความตั้งใจ เวลาเรากลับออกจากที่ทำงาน ที่ที่เราออกไปเที่ยว หรือสถานธรรมก็ได้ กลับออกจากทุกที่ มีอะไรวิ่งตามเราไป (มีเงา)  มีสิ่งหนึ่งวิ่งตามเราไปคือกิเลสใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาสถานธรรมคนนี้ไม่ดีเลยนะ ไปที่ทำงานคนนี้ก็ไม่ดีเลย อยู่ที่บ้านคนนี้ก็ไม่ดีเลย แล้วเวลาเขาไม่ดีนั้นอะไรที่อยู่กับเรา (กิเลส)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่วิ่งตามเราก็คือกิเลส  คนที่บำเพ็ญธรรมจึงต้องรู้จักว่องไว  เดินมาเอาผลไม้ เดินมาบำเพ็ญต้องมาด้วยความเต็มใจ  อาจหาญ กล้าหาญ เปี่ยมไปด้วยปัญญา เวลาจะกลับไปต้องเป็นคนว่องไวหนีให้พ้นกิเลสในใจตนเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
เมื่อครู่มีคนบอกว่าสิ่งที่ตามเราก็คือเงา เงาศิษย์เป็นสีดำ เพราะฉะนั้นเงากิเลสที่อยู่กับเราก็เป็นสีดำ  ยิ่งแสงแรงเท่าไหร่เงาของเรายิ่งชัด ยิ่งเราออกไปบำเพ็ญ ยิ่งเราออกไปฉุดโปรดผู้คนแสงยิ่งแรง เงายิ่งดำใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นหนีให้พ้นกิเลสในใจตน กิเลสต้องมาพร้อมกับการเป็นพุทธะแน่ เมื่อไม่มีกิเลสย่อมไม่มีพุทธะ  ในความทุกข์ย่อมมีความสุขเพราะฉะนั้นกิเลสนี้มา
ขัดเกลาพุทธะ หากว่าเรานั้นอยากจะไม่มีกิเลสแสดงว่าเราก็ไม่อยากจะเป็นพุทธะใช่ไหม  แต่ถามว่าเมื่อเรามีกิเลสแล้วเราจะต้องจัดการกับกิเลสของเราได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะกิเลสอยู่ข้างใน  สมมติว่า  หาคนหล่อๆ  หน่อยผู้หญิงจะได้มอง หาคนสวยๆ ผู้ชายจะได้ชม ถามว่ากิเลสอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา)  เพราะว่าเรามองเห็นเขาสวย มองเห็นเขาหล่อ มองเห็นเงินกองโต  แต่ว่าเงินอยู่ข้างนอก เงินใช่กิเลสไหม (ใช่)  นี่คือห่ออะไรก็ไม่รู้เป็นแท่งๆ  ในห่อนี้ถ้าข้างหนึ่งเป็นเงิน ห่อนี้ข้างหนึ่งเป็นทองใช่หรือเปล่า (ใช่)  สมมติว่าเป็นเงินหนึ่งแท่ง เป็นทองหนึ่งแท่ง อยากได้ไหม (อยาก)  ถามว่ากิเลสอยู่กับเงินและทองแท่งนี้ไหม (ไม่ใช่)  กิเลสอยู่ที่ในใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเห็นของคนอื่น เราเห็นเงินทองของผู้อื่นไม่อยากได้ก็ทำได้  แต่จนแล้วจนรอดก็อยากจะได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะไปคุมเงินทองข้างนอกหรือว่าคุมใจตัวเอง ต้องคุมใจตัวเราเอง เอาให้ทองอันนี้กลายเป็นอะไร (ให้เป็นความว่าง)
เราได้แค่หนึ่ง แม้ว่าเราจะตอบได้เรากลัวคนข้างหลังไม่ได้ เราจึงไม่เอาอันนี้เป็นการควบคุมใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราต้องควบคุมให้ได้หรือเปล่า (ให้ได้)  ถ้าเรามีสิทธิ์ได้สองก็ควรจะเอาสอง  เหมือนกับแขนข้างซ้ายแขนข้างขวามีสิทธิ์เอากี่ข้าง ควรมีสิทธิ์เอาสองข้างไหม (ควร)  บางคนบอกว่าสองนั้นไม่ถูกเสมอไป แต่ก็ไม่เสมอไป อันนี้จึงเรียกว่าการรู้จักใช้ปัญญาในการมอง ตอนนี้จึงต้องมองทองให้เป็นทอง มองเงินให้เป็นเงินแล้วก็เป็นของคนอื่นเขา ไม่ใช่ของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นกิเลสนั้นอยู่ในใจเรา เมื่อครู่ตอนที่อาจารย์มาบอกศิษย์ว่าเรานั้นมีโรคชนิดหนึ่งคือ  โรคทางใจ แล้วมีต้นเหตุมาจากกิเลส เพราะฉะนั้นจึงต้องไประงับที่ใจของเราไม่ให้เกิดควมพิศมัยในกิเลสตัณหา  ทำได้ไหม (ทำได้)  มีโรคทางใจชนิดหนึ่งเมื่อเป็นแล้วคนภายนอกมองเห็นได้คือโรคอาการประสาททางสมองนี่เป็นโรคทางใจภายนอก  แต่มีโรคทางใจภายในที่ทุกๆ  คนเป็นอยู่และปรากฎชั่วครู่ เป็นกันทุกคนเลยใครที่มีโรคนี้จึงไม่สามารถเป็นพุทธะได้ โรคนี้เป็นโรคทางใจที่มีสาเหตุมาจากกิเลส เพราะฉะนั้นระงับที่ใด ให้ยาหรือฉีดยาที่ไหน  ให้ยาที่ใจของเรา ยาอะไรแก้ได้ ต้องตั้งใจฟังนะ  คนโง่ก็จะกลายเป็นคนฉลาด คนฉลาดก็จะกลายเป็นคนโง่ถึงจะสมดุลใช่หรือเปล่า  เวลาฉลาดก็ฉลาดทุกวัน เวลาเราโง่ก็โง่ทุกวันใช่ไหม (ใช่)  โลกนี้จึงไม่สมดุลใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นคนโง่และฉลาดในคราวเดียวกัน  ว่าอย่างไร (ธรรมะ)  แน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจ)  เอาอีกคนหนึ่งดีหรือเปล่า (ธรรมะในใจเราและทำให้เรารู้ที่มาที่ไปของเรา)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบ) เอาหรือเปล่า (เอาคะ)  อันนี้คือการควบคุมตนเอง ควบคุมไม่ได้ก็เป็นกิเลส อาจารย์ถามบ่อยครั้งบอกว่าแน่ใจไหมๆ ว่าสิ่งที่รักษาโรคของเราได้ก็คือธรรมะแน่ใจไหม (แน่ใจ)  ถ้าแน่ใจต้องตอบให้หนักแน่นใช่ไหม (ใช่)  เวลาคนเขาบอกว่าไปที่สถานธรรมมีอะไรล่ะ แน่ใจหรือ พอเขาถามครั้งที่หนึ่ง ตอบแน่ใจ พอเวลาผ่านไปสามวันแน่ใจหรือเปล่า (แน่ใจ)  เราก็บอกว่าแน่ใจ แต่เสียงเบานิดนึง พอผ่านไปนานๆ เข้าและเขาถามบ่อยครั้งเราก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์ของอาจารย์เป็นแบบนี้ แม้กระทั่งคนที่บอกว่าอยู่สถานธรรมนานๆ บำเพ็ญนานๆ ก็ยังเป็นใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นคำว่า "แน่ใจไหม" ไม่ใช่ให้คนอื่นถาม แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องถามตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราแน่ใจได้ด้วยอะไร แน่ใจได้ด้วยการศึกษาให้เข้าใจเอาไปปฏิบัติ เอาไปบำเพ็ญใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระนาจาออกไปเมตตากับแม่ครัวและผู้ปฏิบัติงานธรรมที่อยู่ข้างนอก)
พระนาจา : อยากรู้ไหมเราไปไหนมา ไปพูดกับแม่ครัวมา ไปถามว่าทำอย่างไรกับข้าวถึงอร่อย ท่านว่าอร่อยไหม (อร่อย)  การรับประทานอาหารหรือการกินอาหารนั้น ทำให้เรารู้อย่างหนึ่งว่าเราเป็นคนรู้จักมีความโลภหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเรารู้จักคิดถึงคนอื่นหรือเปล่า ใครออกไปก่อนตักเยอะหน่อย ใครออกไปหลังทำไมไม่เหลือให้บ้างเลยใช่ไหม (ใช่)  แปลว่าเราอยู่ร่วมกันคนข้างหน้าก็เอาแต่ตักตวงผลประโยชน์ คนข้างหลังก็ได้แต่เก็บที่เหลือ อย่างนี้เป็นการเอารัดเอาเปรียบไหม (เป็น)  แล้ววันนี้มาฟังธรรมะกันแล้วทำไมยังทำนิสัยกันอย่างนี้อีก แปลว่าธรรมนั้นไม่ได้เข้าไปในจิตใจ ท่านชอบและอยากพบคนแบบนี้ไหม (ไม่อยาก)  แล้วถ้าเป็นเพื่อนท่านๆ อยากพบไหม (ไม่อยากพบ)  งั้นศิษย์พี่ตัดจากท่านแล้วนะ เราไม่รู้จักกันดีไหม (ไม่ดี)  คนที่เขารักเราจริงนั่นก็คือว่าถึงแม้เขาจะรู้เราดีไม่ดีอย่างไร ก็ยังมีใจรักเราอยู่แล้วก็ยังเป็นห่วงเราอยู่ ยังคอย
อบรมพร่ำสอนเราอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเรามักจะเห็นประโยชน์หรือเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นตอนที่สูญเสียไปแล้วใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเรามีอะไรอยู่กับตัว มีอะไรที่คอยเป็นห่วงอบรมพร่ำสอนเราตอนนั้น เราต้องรู้จักฉวยโอกาสศึกษาคุณค่าของเขาให้มากที่สุดใช่ไหม (ใช่)  อย่าปล่อยให้โอกาสหายไปแล้วค่อยมารู้จักคุณค่าอย่างนั้นก็น่าเสียดายใช่หรือเปล่า (ใช่)
เรามาพูดอีกประเด็นหนึ่ง เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกว่าท่านไม่ชอบให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงใช่ไหม (ใช่)  อยู่ๆ ถ้าเกิดเรามาตีท่านท่านชอบไหม (ไม่ชอบ)  อย่างน้อยจะตีเราก็บอกสักหน่อยหนึ่งก็ยังดีใช่ไหม  หรือไม่จะมาตีเราอย่างน้อยก็ต้องรู้จักกัน ไม่ใช่ยังไม่ทันรู้จักกันเลยก็ตี ท่านก็ไม่ชอบใช่หรือเปล่า
ศิษย์พี่มักพูดบ่อยๆ พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนเวลาท่านกินเนื้อสัตว์ ถ้าเราบอกว่าคนใหญ่มีหน้าที่มีอำนาจมีความยิ่งใหญ่ สามารถที่จะสั่งคนเล็กได้โลกนี้ ก็ไม่ค่อยยุติธรรมใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าคนมีพละกำลังเหนือกว่าสามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ โดยที่คนเล็กไม่มีโอกาสปริปากพูดอย่างนั้นก็ไม่ใช่กฏของธรรมชาติที่ถูกต้องใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราจะบอกว่าสัตว์เล็กเกิดมาเพื่อสัตว์ใหญ่ได้หรือเปล่า ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ เราอยู่ร่วมกันเวลาจะทำอะไรก็ต้องเห็นอกเห็นใจกัน เข้าใจกันบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่จะเอาของเราไปก็ต้องขอเราสักหน่อยหนึ่งใช่ไหม แล้วตอนนี้เราทำกับใครบ้างทำกับสัตว์ทั้งหลายที่เป็นอาหารใช่ไหม ยังไม่ทันขอเขาเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ทันขอด้วยแถมยังสั่งฆ่าเลยทันที เด็ดขาดไหม มีเหตุผลหรือเปล่า (ไม่มี)  มนุษย์ชอบเป็นคนที่มีเหตุผลใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างน้อยเธอต้องพูดมาก่อนสิ อยู่ๆ เธอจะมาฆ่าฉันได้อย่างไร เธอยังไม่มีเหตุผลเธอยังไม่ชอบเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องก็ไม่ชอบที่อยู่ๆ จะมีใครมาสั่งลงโทษศิษย์น้องโดยไม่มีเหตุผล แล้วสัตว์ล่ะ หรือว่าศิษย์พี่กำลังพูดว่าสัตว์เป็นคนที่พูดได้มีความรู้สึก มีเหตุผล เป็นอย่างนั้นไหมหรือว่าไม่จำเป็นที่ต้องแคร์ความรู้สึก จำเป็นไหม (จำเป็น)  ศิษย์น้องคิดไหมว่าทำไมสัตว์ก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ทำไมศิษย์พี่ถึงพูดว่าสัตว์ก็มีความรู้สึก และอะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่า สัตว์ก็มีความรู้สึกมีความผูกพันธ์กัน นั่นก็คือเวลาสัตว์มีลูกขึ้นมาก็ปกป้องลูก หาอาหารให้ลูกกินใช่หรือเปล่า (ใช่)  สิ่งนี้วัดได้ว่าสัตว์ก็มีความรู้สึกรักและหวงแหนลูกของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาใครมาทำร้ายพี่น้องของเราเรายังรู้สึกโกรธใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาใครมาฆ่าพ่อแม่เรา เรายังรู้สึกว่าแค้นนี้ต้องชำระ จำไว้นะว่ากินเข้าไปเท่าไหร่แล้ว
พระอาจารย์ : อยู่กับศิษย์พี่มีความสุขไหม (มี)  เพราะฉะนั้นสวรรค์อยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่อกนรกอยู่ที่ใจ สวรรค์เราสร้างได้สวรรค์เราทำลายได้ อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  อันนี้ไม่ได้อยู่ที่ใจแล้ว อยู่ที่เรานั้นพูดสิ่งใดออกไป ถ้าเราพูดไม่ดีก็เหมือนผีนรกมาพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราพูดดีก็เป็นเซียนมาพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  อันนี้เราทำได้ไหม แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้เป็นเซียน ยังไม่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ก็สามารถพาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นลงมาอยู่กับเราได้ด้วยการพูดสิ่งที่ดี และทำสิ่งที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ วันนี้สิ่งที่เราทำทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ดีหรือยัง (ยัง)  เราทำทุกสิ่งก็ยังไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีทั้งหมดใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเราโมโหขึ้นมาก็อาจจะทำสิ่งที่ดีให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนอื่นสิ่งที่ต้องดีที่สุดคืออยู่ที่ความคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องเป็นคนที่คิดดี ถึงจะพูดดีและทำดีได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราเป็นคนที่คิดไม่ดี เราจะพูดดีและจะทำดีได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าคิดไม่ดี แต่พูดดี ทำดี เขาเรียกว่าเสแสร้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เสแสร้งแกล้งทำ ถามว่าใครเป็นทุกข์ กระจกบานนั้นส่องไม่ออกว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่ว่าใครรู้ (ตัวเราเอง)  เมื่อตัวเรารู้ ฟ้าก็รู้ ดินก็รู้ ในที่สุดแล้วความลับไม่มีในโลก เมื่อผู้อื่นรู้แล้วถามว่าเราจะเป็นเช่นไร เราก็จะเป็นคนที่ไม่มีคุณค่า ชาตินี้เกิดมามีร่างกายเป็นคนใครว่าง่าย ศิษย์ของอาจารย์นั้นอยู่ในโลกมนุษย์นี้อาจจะไม่เห็นว่าการเกิดเป็นคนนั้นยากอย่างไร แต่หากว่าศิษย์ลองคิดดูถ้าตัวเองนั้นต้องตายไป แล้วถามว่าจะกลับมาเกิดเป็นคนอีกชาติหนึ่ง ยากหรือง่าย (ยาก)  พ่อแม่คนไหนที่มีบุญสัมพันธ์กับเรา แล้วเราเกิดมาเราจะต้องมีฐานะเป็นอย่างไร เราเกิดมาจะพิกลพิการหรือเปล่า เกิดพ่อแม่กินผิดเข้าไปนิดหนึ่ง เราก็พิการใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่างนี้เกิดเป็นคนยากหรือไม่ยาก (ยาก)  มีร่างกายครบบริบรูณ์ยากหรือเปล่า (ยาก)  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ต้องสร้างชีวิตตนเองให้มีคุณค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกๆ วันนี้เราที่อายุ ๒๐-๗๐ ปี เป็นชีวิตที่มีคุณค่าแล้วหรือยัง (ยัง)
ฟ้าดินให้กำเนิดมนุษย์เปรียบเสมือนเทียนไขหนึ่งเล่ม เริ่มเกิดก็จุดแสงสว่างขึ้น ถ้าหากว่าศิษย์รู้จักแต่ส่องแสงสว่างนี้ให้กับตนเอง และให้กับครอบครัว ก็เป็นเทียนที่เล่มเล็ก และแสงสว่างน้อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หากว่ารู้จักส่องให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา รู้จักส่องให้เวไนยสัตว์ทั่วหล้า ศิษย์ก็เป็นเทียนเล่มใหญ่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าเรานั้นจะต้องเป็นเทียนเล่มเล็กหรือเล่มใหญ่ (เล่มใหญ่)  แล้วคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่นี้ ทุกข์ยากลำบากไหม (ทุกข์)  คนที่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ มีปณิธานความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็จะยิ่งพบเจอความลำบากและอุปสรรคมากเท่านั้น ทุกๆ วันนี้เคยปวดท้องและเคยปวดหัวไหม (เคย)  เคยหิวหรือเปล่า เคยเจ็บป่วยได้ไข้ไหม (เคย)  ชีวิตนี้เจ็บป่วยได้ไข้ได้ ปวดหัว ปวดท้อง มีโรคภัยไข้เจ็บความไม่เป็นสุข มนุษย์ทุกคนต้องเจอเหมือนกัน ถามว่าผู้ยิ่งใหญ่ต้องเจอไหม (เจอ)  ถ้าหากว่าศิษย์ปวดท้อง ปวดหัว และรู้สึกว่าไม่อยากจะไปหาใครเลย อยากจะอยู่คนเดียว จะเป็นคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นความลำบากที่ทวีเป็นเท่าตัวนี้ใครต้องแบก (ตัวเราเอง)  ต้องเต็มใจแบกไหม (เต็มใจ)  ทั้งนี้เกิดจากจิตเมตตาทั้งสิ้น คนที่มีจิตเมตตาย่อมทำได้ เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ค่อยๆ ไปทำดีไหม (ดี)
“หนึ่งวันมีหนึ่งวันเพียรให้รู้ไป” หนึ่งวันที่มีก็คือหนึ่งวันที่ต้องเพียรพยายามใช่ไหม  เมื่อวานนี้เลยไปแล้วคิดถึงดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เมื่อวานนี้เลยผ่านไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึง พรุ่งนี้ยังไม่มาถึงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใช่ไหม (ใช่)  แต่ทุกๆ วันนี้ เรื่องเมื่อวานนี้ผ่านไปเราก็ยังกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่ พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึงไม่รู้ก็ไปดูหมอใช่ไหม (ใช่)  บางคนบอกว่าไม่ใช่ แต่มีคนอื่นดูมาให้เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงเวลาหรือไม่ที่เราควรจะมองเห็นตนเองแล้ว ถึงเวลาหรือยัง (ถึงแล้ว)
เกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์หรือเปล่า (เป็น)  อยากพ้นทุกข์ไหม(อยาก)  เพราะฉะนั้นอาจารย์ถามว่าบำเพ็ญคืออะไร นั่งฟังสองวันแล้วบำเพ็ญคืออะไร (การตั้งใจมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีที่งาม ถูกต้องเหมาะสมด้วยแรงศรัทธาและความตั้งใจของเราอย่างต่อเนื่อง)  แน่ใจไหม (แน่ใจผมสละสิทธิ์ให้เพื่อนคนหลัง)  เมื่อสละก็ได้รับ น้อยครั้งที่มนุษย์จะคิดสละได้ และคิดว่าเมื่อเราสละแล้วจะได้ในสิ่งที่ดีกว่า กลัวว่าโอกาสไปแล้วไปเลย จึงไม่รู้จักที่จะเสียสละผู้อื่น เมื่อเราไม่เคยให้ผู้อื่นแล้วเราจะรับได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักการให้ จึงรู้จักการรับ (นักเรียนชายว่าหน้าที่)  แล้วหน้าที่ของศิษย์คืออะไร (บำเพ็ญความดี)  แล้วทำไมต้องบำเพ็ญความดี (เป็นหน้าที่ของคนที่เกิดมาบนโลก)  น่าจะเป็นหน้าที่ของคนที่เกิดมาบนโลก คนนี้ตอบดีไหม (ดี)  ศิษย์คิดว่าที่เขาบอกว่าบำเพ็ญเป็นหน้าที่ถูกต้องไหม (ถูกต้อง)  จะบอกให้ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ ดีใจไหมที่ตนเองคิดได้ถูกต้องที่สุด (ดีใจ)  ถามว่าทำไมบำเพ็ญถึงเป็นหน้าที่ ทุกๆ วันนี้ศิษย์ของอาจารย์รู้จักหน้าที่อะไรบ้าง รู้จักหน้าที่ที่จะทำให้ตนนั้นอยู่รอดได้ รู้จักที่จะทำหน้าที่ในการเป็นลูกที่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่หน้าที่การบำเพ็ญเพื่อการเป็นพุทธะนั้น ยังไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น อาจารย์จะบอกให้ ถ้าศิษย์ถือว่าการบำเพ็ญเป็นหน้าที่ ศิษย์ก็จะเป็นพุทธะได้ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าการบำเพ็ญเป็นงานอดิเรกใช่ไหม (ใช่)  หน้าที่นี้ก็หนักหน่วง วันใดที่ไม่ยอมบำเพ็ญก็คือวันนั้นได้คัดตัวเองออกจากการเป็นพุทธะ หน้าที่ของพุทธะก็หนักหน่วง ทำอะไรบ้างรู้ไหม (ทำแต่ความดี)  ทำแต่ความดีให้ผู้อื่นหรือให้ตัวเอง (ให้ทุกคน)  การที่จะทำความดีเพื่อทุกคนได้นั้น ต้องทำอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น (ทำให้คนอื่นมีความสุข)  การทำให้คนอื่นมีความสุขนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ทำให้ผู้อื่นหลุดพ้นตามเราได้เป็นสิ่งที่ดีกว่า หน้าที่ของพุทธะนั้นไม่ได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข แต่หน้าที่ของพุทธะก็คือทำให้ทุกๆ คนนั้นสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ นี่เป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดของพุทธะ เพราะฉะนั้นศิษย์ต้องไปทำ ต้องทำอย่างที่อาจารย์ว่าก็คือหนึ่งวันมีหนึ่งวันเพียร ทำได้ไหม เพราะฉะนั้นมีหน้าที่เป็นพุทธะก็อย่าห่างจากพุทธสถานคือสถานที่ที่พุทธะอยู่ ได้หรือเปล่า (ได้)
มีหลายคนบนโลก บนหลายสถานที่ หลายมุม หลายที่ในบ้านของคนยากจน คือพุทธะลงมาเกิด แต่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีหน้าที่มาทำอะไร ทุกๆ วันก็ออกไปทำมาหาเงิน กิเลสเพิ่มพูน แม้เป็นพุทธะกลับชาติมาเกิดก็ไม่สามารถจะกลับไปเป็นพุทธะได้อีก เพราะไม่ถือว่าการบำเพ็ญตนและการปฏิบัติธรรมเป็นหน้าที่ อาจารย์พูดผิดหรือเปล่า ทุกๆ วันนี้เห็นการบำเพ็ญธรรมเป็นงานอดิเรก ว่างก็มาไม่ฝืนตนเอง กิเลสมีก็ตะครุบไว้ ในที่สุดแล้วก็กลายเป็นปุถุชนในคราบของคนบำเพ็ญ ถ้าเป็นเช่นนั้นเมื่อเจอกระจกที่สามารถส่องทะลุถึงจิตใจแล้วศิษย์จะผ่านได้อย่างไร ทุกๆ วันนี้ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นที่บำเพ็ญอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นนิดหนึ่งคือความเมตตา ความศรัทธา ความมีปัญญา การรู้จักเสียสละ เพิ่มขึ้นมาให้เต็ม ให้เต็มพุทธญาณดวงนี้ น้อยลงไปอีกนิดหนึ่ง คือน้อยอัตตา น้อยอารมณ์ น้อยกิเลส ให้ทั้งสองข้างนั้นสมบูรณ์คือตัดทิ้งโดยสมบูรณ์และการเพิ่มพูนโดยสมบูรณ์ ตอนนี้หลายๆ คนนั้นก็ขาดไปนิดหนึ่ง เกินไปหน่อยหนึ่ง สมมติว่าเปรียบธรรมญาณเป็นวงกลมๆ จิตของศิษย์นั้นก็เว้าๆ แหว่งๆ ไม่เต็มไม่สมบูรณ์ ถามว่าเรานั้นจะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  เสียเวลาไหมที่เราบำเพ็ญมาตั้งนาน เราก็เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แค่เรานั้นขาดไปนิดเกินไปหน่อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเมื่อลงแรงเรื่องอารมณ์ก็ลงให้เต็มที่ว่าเราจะตัดแล้ว เมื่อเพิ่มใจเมตตาก็กล้าที่จะเปิดออกแผ่กว้างเหมือนแสงสว่างที่ไปไกลไม่สิ้นสุด เมื่อศิษย์เป็นพุทธะแล้วจึงจะสามารถกลับไปเป็นพุทธะบนแดนนิพพานได้
ตอนนี้อาจารย์ถามคำถามเดิมนะการชนะสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ชนะใจตนเองและชนะใจผู้อื่นมันยังเล็กมากเลย  ถ้าชนะสิ่งนี้ได้จะกลายเป็นพุทธะ  ชนะวัฎสงสารและศิษย์จะอยู่เหนือวัฎฎะสงสาร  การชนะการเกิดและการตายใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาหรือตายไปเราบังคับได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเราต้องชนะอะไร ตอนนี้เราเกิดมาแล้วเราต้องชนะอะไรได้ เมื่อศิษย์ของอาจารย์นั้นเกิดมาแล้วชนะไม่ได้ตอนนี้ก็คือความตาย  ดีไม่ดีจะตายวันไหนก็ยังไม่รู้  เพราะฉะนั้นชนะการตายชนะไม่ได้ แม้แต่พระพุทธองค์ก็ชนะไม่ได้ ไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาแล้วชนะความตายได้ แต่ศิษย์สามารถชนะได้ก็คือชนะการเกิด เมื่อเราตายไปเราจะไม่ไปเกิดใหม่เราจะสำเร็จเป็นพุทธะ  เพราะฉะนั้นจึงต้องชนะการเกิดอีกรอบหนึ่งของเราเอง  ต้องเตรียมการอย่างไรบ้าง เมื่อครู่อาจารย์ถามว่าบำเพ็ญคืออะไร เพราะว่าการบำเพ็ญนั้นสามารถทำให้เรานั้นหลุดพ้นจากวัฎสงสารได้เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์มานั่งฟังสองวันจึงต้องรู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร ไม่ใช่ฟังคนอื่นพูดว่าบำเพ็ญๆ  พอกลับไปบ้านฉันไม่รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร ฉันก็ไม่บำเพ็ญดีกว่า ในที่สุดแล้วพอถึงอายุไขก็ตายใหม่ไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นอย่างไรดี เพราะไม่รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร เพราะฉะนั้นบำเพ็ญคืออะไร
พระนาจา : ทำไมมนุษย์ถึงเรื่องมากก็ไม่รู้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีให้เลือกก็ต้องเลือกเอาที่ดีที่สุดใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าไม่มีให้เลือกจะเอาไหม ถ้าศิษย์พี่ไม่เมตตาและศิษย์พี่ใจร้ายขึ้นมาจะทำอย่างไรดี ความคิดอยู่ในใจของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  อารมณ์ที่จะปรุงแต่งความคิดขึ้นมาก็อยู่ในใจของศิษย์น้อง ถ้าศิษย์พี่บอกว่ากินลูกอมแล้วหยุดความคิด แล้วศิษย์น้องจะกินไหม (กิน)  แน่ใจถ้าคิดหนึ่งครั้งต้องอมลูกอมหนึ่งเม็ดดีไหม อมแล้วจะได้ไม่คิดมากเกินไป หากไม่สบายใจมากหรือว่ามีเรื่องอัดอั้นไม่รู้จะหาใครพูดได้ เราก็กินมะนาวให้เปรี้ยว แล้วก็หันไปที่โต๊ะ แล้วเราลองมองหน้าพระศรีอาริย์หรือมองหน้าพระอาจารย์ก็ได้ คงไม่มีคนไหนทำอย่างนั้นได้ ถึงแม้ตอนนี้ศิษย์พี่หาวิธีได้วิธีหนึ่ง แต่ไม่แน่ว่าปัญญาและอารมณ์ของศิษย์น้องจะเอาชนะความคิดนี้ได้ ไม่มีใครชนะตัวเราเองได้นอกจากศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องรู้หรือเปล่า ทุกข์ทรมานตอนนี้ยังมีกาย ยังมีคนช่วยเหลือ ยังดีกว่าไปทรมานอยู่ในคุกสวรรค์ ศิษย์น้องต้องคุมตัวเองให้ได้ ไม่ใช่เราทุกข์คนเดียว เราทุกคนต้องทุกข์ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนรอบข้างเรารู้ว่าศิษย์น้องห่วงเขา แต่ว่าตอนนี้เขากำลังไม่ห่วงไม่รักตัวเอง ฟังธรรมอิ่มหรือยัง (ยัง)  เบื่อหรือยัง (ยัง)  การร้องเพลงทำไมถึงเป็นการร้องเพลง เมื่อก่อนนั้นจะมีการสวดมนต์หรือท่องมนต์ การสวดมนต์การท่องมนต์ในสมัยก่อนเขาจะพยายามให้มีสัมผัสคล้องจองกันเป็นจังหวะๆ  เพื่อเป็นการง่ายแก่การจำ  การท่องมนต์ก็คือให้เป็นจังหวะๆ เพื่อเป็นการง่ายในการท่องจำ แต่บทเพลงนี้คือเมื่อเราได้ยินทำนองเพลงทางโลก เราก็สามารถนึกเนื้อทางธรรมได้  นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงเอาธรรมะสอดใส่ลงไปในทำนองเพลง ก็เพื่อให้ศิษย์น้องทุกคนเมื่อได้ยินทำนองเพลงนี้ก็ทำให้หวนนึกถึงเพลงธรรมะ นึกถึงหลักธรรมะ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงลงมาประทานให้เพลง ส่วนการให้ท่าประกอบนั้นเพื่อให้เราผ่อนคลายจากการนั่งเฉยๆ  ในการฟัง นั่งมากๆ  ก็เมื่อย ยืนมากๆ  ก็บ่น ก็ลองขยับเนื้อขยับตัวดูบ้างจะได้ไม่บ่นเมื่อย ไม่บ่นเบื่อใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมจะต้องมีท่าทางใส่ลงไปเพื่อเป็นการขจัดความเบื่อ ขจัดความเกียจคร้านในตัวของเราเอง คนข้างนอกเหมือนกระจกใช่หรือเปล่า (ใช่)  (ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง)
พระอาจารย์ : บางทีเสียงหัวเราะก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาที่คนอื่นเขาทำอะไรประหลาดๆ  เขาก็บอกว่าเราหัวเราะเยาะ  แต่ถ้าหากมีงานมงคลเราหัวเราะ เขาก็บอกว่าเราหัวเราะยินดี เพราะฉะนั้นการหัวเราะต้องเลือกหัวเราะ  การมองเลือกมอง การฟังเลือกฟังดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้เรามาทำให้เป็นสวรรค์ให้ได้
พระนาจา : ถ้าคำสั่งสั่งออกไปแล้วคนไม่ทำตามในครั้งแรกแปลว่าคนสั่งสั่งไม่ดี  แต่ถ้าบอกไปสามครั้งแล้วคนนั้นทำไม่ได้  คนนั้นต้องโดนลงโทษ  นี่คือข้อปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือข้อปฏิบัติของการรบ รู้หรือเปล่า
จะบินทั้งทีต้องบินให้สูงใช่หรือไม่ (ใช่)  นกเวลาบินต้องบินให้สูงเพื่อให้รอดพ้นจากอันตรายจากนายพรานหรือจากสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่กว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาเป็นคนทั้งทีต้องมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ให้จงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเจอความยากลำบาก เราอยู่ในสังคมมักจะเจอความกดดันกันคนละแบบใช่ไหม  บางทีเจอคนพูด คิดมากอึดอัดใจ ทำงานร่วมกับคนอื่น คนอื่นมากดเราไม่อยากให้เราอยู่ตรงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเรามานั่งฟังตรงนี้อากาศร้อนก็รู้สึกกดดันใจใช่ไหม เวลาเราเจอความกดดันเรารู้สึกอึดอัด เราอยากจะออกไปให้พ้นจากความกดดันนี้ แต่นิทานที่ศิษย์พี่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นความกดดันที่มีประโยชน์ มีชาย ๒ คน เขาคิดจะแข่งกัน บอกว่าให้ถือฟางข้าว คนหนึ่งถือหาบหนึ่ง แต่อีกคนให้ถือเพียงต้นเดียว แล้วแข่งกันว่าใครจะไปได้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วต้องถือฟางข้างนั้นไปด้วย แปลงคนที่มีมากต้องถูกกดดันมากกว่าใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าฟางเมื่อรวมกันแน่นๆ ก็เกิดความหนักได้ ไม่เหมือนฟางต้นเดียว แต่ว่าจิตใจเราถ้ารวมกันเป็นพลังหนึ่งเดียวก้เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ได้ใช่ไหม ความสามัคคีในหมู่ชน หากทุกคนประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ทำอะไรนึกถึงส่วนรวมเป็นใหญ่ก็ต้องเกิดความเป็นปึกแผ่นและสงบร่มเย็น แต่สังคมต่างคนต่างอยู่กันอย่างเห็นแก่ตน สังคมจึงวุ่นวาย สรุปแล้วคนที่หาบเยอะถึงก่อน แต่คนที่ถือแค่ต้นเดียวไปถึงแล้ว แต่ลืมไปว่าต้นเดียวของเราเอาไปวางไว้ที่ไหน จริงไหม มักจะเป็นกันอย่างนี้ใช่หรือเปล่า เพราะเรามีความกดดันมากๆ แต่คนเราในโลกนี้มักจะมีสองประเภท พอกดดันมากๆ  ก็ทิ้งกลางคัน กับอีกประเภทหนึ่งก็คือ คนไม่ยอมแพ้ชีวิตไม่ยอมแพ้อุปสรรค  คนประเภทนี้ถึงจะสามารถมีความสำเร็จได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่เหมือนคนประเภทแรกที่เจอปุ๊บก็ยอมแพ้  ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต  แต่อีกประเภทหนึ่งที่ถือต้นเดียวถ้าเขาประมาทตัวเองเกินไป เขาก็อาจจะพ่ายแพ้กับชีวิตในเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเขาไม่ประมาทเขาก็สามารถเป็นคนที่เอาชนะชีวิตของตนเองได้  เรื่องราวในโลกนี้ก็เหมือนกันมีอยู่สองแบบ แบบหนึ่งคือเราสามารถเอาชนะได้  กับอีกแบบหนึ่งทำอย่างไรเราก็เอาชนะไม่ได้  แต่มนุษย์เรามักจะปล่อยไปตามกระแสไม่ค่อยยอมแย้งกับอารมณ์กับความรู้สึกเท่าไหร่ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเลือกสับปะรดเพื่อนำไปให้แม่ครัว)  สับปะรดลูกไหนหวาน อาจารย์จะเลือกสับปะรดลูกหนึ่งให้แม่ครัวกิน ฉะนั้นก็จะให้ศิษย์ของอาจารย์ทั้งหมดนี้เลือก  เลือกลูกใดก็ได้ลูกหนึ่ง ถ้าลูกนั้นเปรี้ยว ใจเรายังเปรี้ยวอยู่ ถ้าสับปะรดหวาน ก็แสดงว่าเรานั้นรักแม่ครัวดีหรือไม่ (หัวหน้าชั้นได้ยกสับปะรดขึ้นมาลูกหนึ่งและบอกว่าลูกนี้หวาน)  มั่นใจว่าลูกนี้หรือเปล่า (มั่นใจว่าต้องเป็นลูกที่ดีสุด หวานที่สุด ทุกคนก็มั่นใจ)  เราไม่ลองดูก็ไม่รู้ บางทีมีความมั่นใจในตัวเรามากกว่า เรานั้นเอาลูกนี้ เสียงดังที่สุด ไม่แน่ว่าเรายกลูกที่ ๒ ขึ้นมา อาจจะมีดังกว่านี้ แต่ว่าก็เป็นจริงอย่างที่ศิษย์พูด แม้ว่าทุกๆ คนจะออกเสียงพร้อมกัน ปรบมือพร้อมกันให้ดัง แต่การนำพาคนก็ลำบากเช่นนี้ ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าชั้น ลองคิดดูว่าผู้อาวุโสเบื้องหน้าต้องการจะนำพาเรา ก็เป็นความลำบากเช่นนี้ใช่ไหม (ใช่)  ต่างคนต่างใจ ต่างคนต่างคิด มีปัญหาอีกหลายอย่างที่ยากยิ่งกว่าการบอกว่าจะเอาสับปะรดลูกไหนดี  เพราะฉะนั้นถามว่าเราที่เป็นผู้น้อย เราควรหรือไม่ควรที่จะมีจิตหนึ่งใจเดียวกัน (ควร)  ศิษย์ของอาจารย์หัวหน้าชั้นจะพูดไม่ผิดเลย ถ้าไม่บอกว่าใจของผมเอง ก็คิดว่าลูกนี้อร่อยที่สุด  ที่อาจารย์บอกว่าเอาความเชื่อมั่นของตนเองออกมาแล้วผิดรู้ไหม เพราะว่าเราต้องการทำงานกับคนจำนวนมาก จึงต้องเก็บความรู้สึกลึกๆ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ไว้ภายใน อยากให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเก็บเอาไปคิดเก็บไปพิจารณา  เรานั้นอาจจะเป็นคนที่อยู่ใกล้การนำพาของคนเบื้องหน้า  แต่เราก็อาจจะเป็นคนนำพาผู้อื่นอยู่อย่างน้อยที่สุดก็นำพาครอบครัวของเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เรารู้จักทุกๆ คนจะทำอย่างไรให้เรานั้นสามัคคีกันได้มากที่สุด
"เวลานี้เวลาทิ้งใจเคืองคน" ใจที่เคืองคนควรเอาทิ้งไปได้แล้วใช่หรือเปล่า  มัวแต่เคืองคนนี้ แล้วก็เคืองคนนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นคนบำเพ็ญธรรมหรือไม่บำเพ็ญธรรม เราก็ได้ผลกระทบที่จิตใจของเราเองใช่หรือไม่
"มากน้อยคนจะสามัคคีให้ประจักษ์"  ไม่ว่าเรานั้นจะมีมากคนจะมีน้อยคน หนึ่งคนก็ดีสองคนก็ดี ร้อยคนพันคนหรือคนทั้งโลกเราก็ต้องมีจิตใจอันเดียวกันให้ได้  ใจอันนี้เรียกว่าใจแห่งพุทธะ เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นต้องการจะเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  หากไม่ต้องการเป็นพุทธะก็ไม่ต้องศึกษาธรรม ก็ไม่ต้องลำบากบำเพ็ญ แต่เมื่อมาถึงสถานธรรมควรจะรู้ว่าจิตใจของเรานั้นมีจิตใจเดียวกันคือจิตใจการเป็นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจการเป็นพุทธะนั้นแสดงออกด้วยจิตใจ วาจา และการกระทำอันสะอาดบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปว่าใคร ต่างคนต่างย้อนมองตนเอง ทุกๆ วันวันละกี่หนดี เวลาเราอาบน้ำวันหนึ่งกี่หน แปรงฟันวันหนึ่งกี่หน (สองหน) เพราะฉะนั้นการขัดเกลาจิตใจก็เป็นไปพร้อมการขัดร่างกาย วันหนึ่งกี่หนดี (สองหน)  ทำได้ไหม
พระนาจา :  ศิษย์น้องได้มาฟังวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วใช่ไหม ต่างคนก็จะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองเหมือนเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่) หลักธรรมในการดำรงชีวิตในโลกนี้หากทุกคนทำหน้าที่ของตนเองเต็มหน้าที่ สมมติว่าใครมีหน้าที่เป็นพ่อ ลูก อาจารย์ นักเรียน ทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ที่สุด นี่แหละก็คือการปฏิบัติธรรมง่ายๆ ข้อหนึ่งในการบำเพ็ญตนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้สังคมและมนุษย์กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนเป็นพ่อไม่รู้จักหน้าที่ของความเป็นพ่อใช่ไหม (ใช่)  คนๆ หนึ่งไม่ใช่มีหน้าที่เดียวตลอดชีวิต แต่มีหลายหน้าที่ บางทีเป็นทั้งพ่อเป็นทั้งพี่เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งน้องใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคนๆ หนึ่งทำหน้าที่ของตนเองได้ครบบริบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่องในเรื่องความซื่อสัตย์ ความกตัญญู มโนธรรม และจริยธรรม คนๆ นั้นก็สามารถเป็นผู้ที่บำเพ็ญได้อย่างถูกต้องและดีงาม และเป็นหนึ่งเมล็ดพันธุ์ที่ออกไปสู่สังคมได้ดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อทำหน้าที่ของตนเองได้สมบูรณ์ ต้องไม่ลืมคุณธรรมง่ายๆ หนึ่งก็คือกตัญญู ความกตัญญูไม่ใช่เฉพาะแค่ตอบแทนคุณพ่อแม่ แต่กตัญญูนี้ยังหมายถึงว่ารู้จักตอบแทนคุณผู้มีพระคุณใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศิษย์พี่เคยกล่าวไว้ว่าโลกนี้อยู่ได้ด้วยคนสองประเภท ประเภทหนึ่งคือรู้จักให้ อีกประเภทหนึ่งคือรู้จักตอบแทน ใช่หรือไม่  สังคมนี้ยังเป็นสังคมที่น่าอยู่ได้ก็เพราะว่ามีคนรู้จักให้และมีคนไม่ลืมบุญคุณคนในการให้ใช่ไหม (ใช่)  นั่นก็คือการปฏิบัติกตัญญู
สองก็คือ ความซื่อสัตย์  เราอยู่กับเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง เราอย่าโกหกเขา ถ้าเราไม่โกหกเขาเราก็จะเป็นคนที่ปากศักดิ์สิทธิ์ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะพูดอะไรก็ทำอย่างนั้น คนๆ นั้นก็เป็นคนที่น่าไว้ใจใช่ไหม  แล้วเวลาเราไปไหนพ่อแม่ก็วางใจ เพื่อนก็อยากทำงานร่วมกับเรา ส่วนมโนธรรม กับจริยธรรม  จริยธรรมก็คือคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคม เราควรปฏิบัติอย่างไรกับเขา เวลาเราทำงาน เวลาเรียนหนังสือ ส่วนมโนธรรมเป็นคุณธรรมที่อยู่ภายใน หากศิษย์น้องทำหน้าที่ตนเองได้สมบูรณ์และมีคุณธรรมสี่ประการที่ศิษย์พี่พูด ศิษย์น้องก็พร้อมที่จะออกไปบำเพ็ญธรรมอยู่ข้างนอกได้ แต่เมื่อไรยังมีไม่พร้อม ยังรู้สึกว่าบำเพ็ญแล้วยังไม่เข้าใจ ไปเผชิญโลก ไปเผชิญปัญหา ยังมีปัญหาที่รู้สึกว่าค้างคาใจ ก็กลับมาศึกษาที่นี่ได้ หรือกลับไปศึกษาที่สถานธรรมใกล้ๆ ได้ หรือกลับไปค้นหาในคัมภีร์หรือหลักพุทธศาสนาที่ศิษย์น้องนับถือได้ การบำเพ็ญนับจากนี้ไป ศิษย์น้องคงมีแนวทางแล้วใช่ไหม (ใช่)  คงรู้แล้วใช่หรือเปล่าว่าจะบำเพ็ญต่อไปอย่างไร แต่ถ้าสังคมหรือคนๆ หนึ่งเอาตัวรอดแต่ไม่คิดถึงคนอื่นเราชอบไหม เราก็ไม่ชอบเราก็ไม่รักใช่หรือเปล่า (ใช่)
หน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งที่ศิษย์พี่อยากขอร้องให้ศิษย์น้องทำได้นั่นก็คือเห็นใครไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ เห็นใครไม่สามารถมีชีวิตแล้วนำชีวิตตนเองได้ ศิษย์น้องดึงเขามาให้รู้จักนำพาชีวิตตนถือว่าเป็นการให้ที่ประเสริฐยิ่งกว่าให้ทรัพย์ ให้ความรู้ใดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การให้เขามีชีวิต มีแสงสว่างให้กับตนเองก็คือการชวนเขามารับธรรมะอันวิเศษสุดที่อยู่ในตัวเขาเองใช่หรือเปล่า (ใช่)
แล้วหลังจากนี้ไปพอเข้าใจไหมว่าบำเพ็ญธรรมต่อไปจะทำอย่างไร บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญไปเพื่ออะไรคือ หนึ่งก็คือเพื่อตนเอง สองเพื่อช่วยผู้อื่น สามก็คือช่วยนำสังคมให้สันติสุขใช่ไหม (ใช่)  แล้วการบำเพ็ญธรรมใช่บอกว่าให้ศิษย์น้องนับถือศาสนาใหม่ เป็นลัทธิใหม่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ศิษย์น้องนับถือพุทธก็ยังเป็นพุทธต่อไป นับถือคริสต์ก็ยังเป็นคริสต์ต่อไป บวชเป็นพระก็ยังต้องบวชเป็นพระต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันนี้จะมาบวชจิตก็ต้องบวชจิตต่อไป แต่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ไม่ลืมหน้าที่ว่าตนเองกำลังยืนอยู่ตำแหน่งใด ถ้ายืนอยู่ในตำแหน่งของการเป็นพระก็ต้องบวชให้ถึงที่สุด ตั้งใจบำเพ็ญตนให้ถึงที่สุด แล้วท่านก็จะไม่หลงแนวทางของตนเองใช่ไหม (ใช่)  อย่าติดว่าศิษย์พี่เป็นผู้หญิง จริงๆ ศิษย์พี่เป็นผู้ชาย แต่แท้ที่จริงแล้วพุทธจิตธรรมญาณไม่มีแบ่งแยกหญิงชายใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อออกจากกายนี้ไปพุทธจิตก็เป็นสิ่งกลมๆ อันหนึ่งก็ได้ใช่หรือเปล่า แต่เราต้องคำนึงด้วยว่าสิ่งกลมๆ อันนี้ถ้าออกไปจากร่างกายแล้วจะต้องไปทรมานหรือเปล่า ใครรู้ไหมว่าต่อไปเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้ทำดีที่สุดเรารู้ไหมว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็รู้ได้ คือต้องไปที่ดีสักแห่งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  คนรักดีออกไปยังไงก็ต้องไปทางที่ดี คนไม่เคยรักดีดูง่ายๆ ถ้ารอบตัวเขามีแต่คนไม่ดีก็แปลว่าตนเองนั่นแหละไม่รักดีเหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเพื่อนและสิ่งแวดล้อมเราล้วนเป็นสิ่งที่ดีแปลว่าเรารักสิ่งทีดี สิ่งที่ดีถึงอยู่ใกล้เรา แต่ถ้ารอบตัวเรามีแต่สิ่งที่ไม่ดี เราก็ต้องถามตัวเราเองก่อนว่าเรานั่นแหละเป็นคนเดินไปหาใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้ตัวเองหอมไหม (อยาก) หอมกลิ่นอะไรดี หอมกลิ่นในการเป็นคนดีมีชีวิตที่ดีหรือเหม็นกลิ่นเหม็นๆ ของคนที่ไม่ดี  ก็ต้องหอมกลิ่นที่ดี  ไม่ใช่มาวันนี้แต่มีจิตใจคิดอีกอย่างหนึ่งไม่เอา รู้หรือเปล่า มาวันนี้ต้องมีจิตใจที่ใฝ่ดีด้วย อย่ามาเพราะว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง อย่างนั้นไม่ใช่คนที่ตั้งใจจะมาบำเพ็ญดีใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์ถามนักเรียนว่าอะไรที่ได้ยากเย็นแต่เสียง่ายดาย มีนักเรียนตอบว่าธรรมะ)
พระนาจา : ได้ยากไหม เรามักจะได้แค่เปลือกง่ายๆ แต่ได้แก่นยากใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีพอได้แก่นแล้วหลงแก่นเลยใช่หรือเปล่า มนุษย์มักจะติดแต่คำพูด บางทีเราอ่านธรรมะทำไมเราไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ ก็เพราะเราติดในตัวอักษรจนเกินไปจึงเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของธรรมะใช่ไหม เดี๋ยวศิษย์พี่กลับก่อนศิษย์น้องอยู่กับพระอาจารย์ ตั้งใจศึกษาให้ดีอย่าเห็นว่าอาจารย์มานานๆ แล้วยังไม่เข้าใจนะ ศิษย์พี่ไปก่อน
พระอาจารย์ : สิ่งใดที่ได้มายากแล้วเสียไปง่าย (ธรรมะ)  ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้มายากแล้วเสียไปง่าย คือทรัพย์สินเงินทองใช่ไหม  ถ้าดูกลอนประโยคหน้าก็รู้ว่าอาจารย์พูดถึงอะไร “ยื้อแย่งชิงมาเมื่อใดใจลำเค็ญ”  ธรรมะยื้อแย่งชิงหรือเปล่า (ไม่)  โดนศิษย์พี่หลอกแล้ว ที่นี้พอเขาบอกว่าอะไรก็ว่าตามนั้น  สิ่งใดที่ยื้อแย่งชิงแล้วใจลำเค็ญ ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นได้มายากเย็นแต่ว่าเสียไปง่ายดายถูกหรือเปล่า (ถูก)
“ยิ่งก้าวยิ่งบำเพ็ญไม่เพื่อตัว”  เพราะฉะนั้นจากประโยคนี้อาจารย์ก็บอกแล้วว่ามันได้มายากแต่เสียไปง่าย เวลาที่อาจารย์พูดเช่นนี้ศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้ว่า อาจารย์ต้องการให้ศิษย์นั้นตื่น ตื่นจากความฝันแค่หนึ่งคืนนี้ ตื่นจากทรัพย์สินเงินทอง ให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ได้มายากไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะหา แต่สิ่งที่ควรจะหาคือสัจธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ในทางตรงข้ามอาจารย์พูดถึงการบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าจะได้มายากเย็น การบำเพ็ญธรรมได้มาง่าย เพียงแค่ศิษย์นั้นลงแรงเปิดใจศึกษาปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นยากไม่ยาก เดินเข้ามาสถานธรรมก็มีหนังสือธรรมะอ่าน มีคนพูดธรรมะให้ฟัง ยากไม่ยาก (ไม่ยาก)  ต้องเสียสละเวลาเท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้ามมีสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากจะสอนไว้ ก็คือยิ่งก้าวยิ่งบำเพ็ญไม่เพื่อตัว เมื่อสักครู่อาจารย์พูดไว้ว่าเทียนเล่มหนึ่งถ้าส่องแค่ตัวเอง ส่องแค่คนที่เราชิดใกล้ก็เป็นเทียนเล่มเล็กใช่หรือไม่ ทำแต่เพื่อตัวเองก็ไม่เป็นพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์สามารถยิ่งก้าวยิ่งบำเพ็ญไม่ทำเพื่อตนเองนั่นก็เป็นหัวใจแห่งพระพุทธะดีหรือเปล่า (ดี)
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าบำเพ็ญธรรมะคืออะไร บำเพ็ญไปทำไม แล้วบำเพ็ญอย่างไร  อันนี้เป็นการบ้านดีไหม หากว่าศิษย์ไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร บำเพ็ญอย่างไร และทำไมต้องบำเพ็ญ แล้วศิษย์จะบำเพ็ญได้อย่างไรจริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นขอให้เก็บไปใส่ใจคิดว่าการบำเพ็ญของเรานั้นคืออะไร (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร่วมร้องเพลงพระโอวาท ทำนองเพลงน้ำเซาะทราย)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาท และมีนักเรียนคนหนึ่งวงคำว่า “เวลา”  พระอาจารย์ก็ได้เมตตาว่า)  เวลาของเรามีน้อย แต่เราต้องสละได้เพราะว่าคนทุกคนก็มีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน คนที่ทำงานธรรมะแล้วบำเพ็ญก็มีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากันใช่หรือเปล่า แล้วเวลาผ่านไปๆ รอคนอื่นไหม เวลาผ่านไปรอเราหรือเปล่า (ไม่รอ)  เวลาไม่เคยรอใคร ไม่ไว้หน้าใครแม้ว่าคนนั้นจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าหากไม่รู้จักฉกฉวยโอกาสที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เท่ากับว่าเรานั้นใช้เวลาได้ไม่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นก็จงใช้เวลาให้คุ้มค่ากันทุกคน ในเมื่อรู้ว่าธรรมะมีค่าก็บำเพ็ญธรรม เวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากันแบ่งให้ถูก แบ่งให้ดี ดีไหม
บางคนอยากจะบำเพ็ญธรรมแต่ก็ได้แต่นั่งคิดว่าถ้าฉันมีอารมณ์น้อยกว่านี้อีกนิด ถ้าฉันมีกิเลสน้อยกว่านี้อีกนิดจะเป็นอย่างไร ฉันคงเป็นคนที่บำเพ็ญดี แต่ฉันก็ไม่เคยทำ ในที่สุดแล้วการบำเพ็ญอยู่แค่ในความคิดไม่ออกมาเป็นรูปธรรม ไม่มีประโยชน์
"สิ่งสำคัญต้องเป็นคนมีใจเที่ยง"  ความเที่ยงนั้นสำคัญหรือไม่ จำเป็นไหมที่จะต้องเป็นคนยิ่งใหญ่ถึงจะมีใจเที่ยง เราเป็นนักศึกษาเราต้องมีใจที่เที่ยงตรงไหม เราเป็นคนทำการค้าต้องมีใจที่เที่ยงตรงหรือเปล่า ไม่ว่าเราจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่จำเป็นจะต้องมีใจเที่ยงตรงไหม (จำเป็น)  ใจที่เที่ยงตรงนั้นทำอย่างไรจึงจะเกิดขึ้นได้ ใจที่เที่ยงตรงนั้นเราต้องมีเครื่องวัดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เครื่องวัดอย่างไร อย่างเช่น แก้วน้ำใบนี้การตั้งของเขาก็เป็นการตั้งที่ลำบากเพราะว่าฐานนั้นไม่ตรง ลงมาเป็นสี่เหลี่ยม มีการคดงอ เพราะฉะนั้นการที่เราจะมองสิ่งนี้เราก็มองให้เป็นตัวอย่างว่าใจของเราไม่ตรงแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าแก้วน้ำวางน้ำไม่ได้เอียงหน่อยก็จะล้ม ยิ่งเราเอียงมากเท่าไรไม่ว่าจะเป็นกุศลของเราและความเป็นตัวของเราเองก็จะสูญเสียไป เช่นแก้วน้ำเมื่อตั้งตรงไม่ได้หมิ่นเหม่เต็มที่นี่คือใจเรา ทุกวันนี้เราทำให้ใจเราเที่ยงได้เหมือนกันแต่เที่ยงได้ประเดี๋ยวประด๋าว ส่วนใหญ่จะเอียงๆ จนน้ำหกใช่ไหม (ใช่)  ในที่สุดแล้วน้ำหกแล้วใครเสีย (ตัวเราเอง)  เราเป็นผู้เสีย เพราะฉะนั้นเราจะต้องประครองใจของเรานั้นให้เที่ยงตรงใช่หรือไม่ (ใช่)  การเที่ยงนั้นต้องเที่ยงตลอดวันหรือเปล่า บำเพ็ญตลอดวันไหมแล้ว เวลาเรานอนต้องเที่ยงไหม (เที่ยง)
พระอาจารย์ : วันนี้ก็จะได้กลับบ้านแล้ว จากสวรรค์ก็จะกลับไปสู่โลกที่วุ่นวายใช่ไหม เขาบอกว่าอยู่สวรรค์สบายอยากกินก็ได้กิน อยากจะได้ผ้าเย็นๆ  ก็มีคนมาส่งให้อีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้เหมือนอยู่สวรรค์หรือยัง (เหมือน)  วันหลังอยากกลับมาอยู่สวรรค์อีกไหม (อยาก)  ถ้าอยากกลับไปอยู่สวรรค์จะต้องทำอย่างไร อยากจะถามว่าคนที่เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นตายไปถึงเป็นพุทธะหรือว่าเขานั้นอยู่ในโลกก็เป็นพุทธะแล้ว (อยู่ในโลก)  ถ้าวันนี้เราเป็นคนแต่เราทำตัวเหมือนภูติผีปีศาจเที่ยวเบียดเบียนและเที่ยวรังควานคนอื่น เราตายไปเราจะเป็นพุทธะหรือเป็นภูติผี (ภูติผี)  ถ้าวันนี้เราอยู่ในโลกเราทำตัวเหมือนพุทธะแล้วตายไปเราเป็นอะไร (เป็นพุทธะ) ถามว่าพุทธะอยู่บนโลกหรืออยู่บนนิพพาน  พุทธะต้องอยู่บนโลกก่อน คนทำดีถึงได้ไปสวรรค์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าศิษย์อยากเป็นพุทธะต้องทำอะไร (ทำดี)  ทำดีก็ได้ไปสวรรค์เฉยๆ  ใช่หรือเปล่า แล้วอยากไปสวรรค์หรืออยากไปนิพพาน ถ้าอยู่บนสวรรค์แล้วต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่ อยากไปไหน (นิพพาน)  แล้วทำอย่างไรถึงได้ไปนิพพาน อยากไปนิพพานทำเท่าคนที่ไปสวรรค์ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  แสดงว่าไปนิพพานนั้นยากไหม (ยาก)  แต่ว่าเราทำได้หรือเปล่า (ได้)  บางคนเขาบอกว่านิพพานไกลเราไปไม่ถึงหรอก แต่ถามว่าศิษย์เคยลองหรือเปล่า ประการแรกต้องเป็นคนที่ทำดีก่อนใช่หรือเปล่า เราต้องไปสวรรค์ก่อน แล้วเราจะไปนิพพานเราต้องทำถึงขั้นไหน ทำดีธรรมดาได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องการนิพพานที่เหนือสวรรค์เพราะฉะนั้นต้องทำความดีที่เหนือความดีขึ้นไปอีก ทำความดีที่เหนือความดีเป็นอย่างไร บางคนอยากทำดีพอทำดีขึ้นมาแล้วแต่ใจไม่บริสุทธิ์ ถามว่าความดีนี้มีผลไหม (ไม่มี)  ความดีนี้มีผลไม่ใช่ไม่มี คนตักข้าวใส่บาตรพระแต่ว่าไม่เต็มใจให้ได้บุญหรือเปล่า (ไม่ได้)  แน่นอนชาติหน้าเกิดมาประการแรกเกิดมาต้องมีข้าวกิน แต่ถามว่าข้าวที่กินนี้อร่อยไหม (ไม่อร่อย)  คนทำดีทุกคนได้ดี ทุกคนได้ดีแค่ไหนอยู่ที่ใจเราเวลาสร้างใช่หรือไม่ ถ้าเราจะทำดีที่เหนือดีเราก็ต้องทำดีที่ใจ อย่าลืมมาลงแรงที่ใจของเราก่อน ใจที่บริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะได้บุญกุศลที่แท้จริง
อาจารย์อยากให้ศิษย์กลับบ้านเร็วๆ  กลับไปเพื่อทำบ้านของเราให้เป็นสวรรค์ดีหรือเปล่า (ดี)  ในสมัยก่อนนั้นการบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญเพื่อกลับไปเป็นพระอริยะนั้นยากแสนยาก โดยการออกไปอยู่ป่าอยู่เขาลำเนาไพร แสวงหาความสงบวิเวกเพื่อให้จิตของตนเองนั้นได้ใสสะอาด แต่ในตอนนี้ถ้าหากว่าเรียกศิษย์ของอาจารย์ออกไปป่าดงพงไพรได้หรือไม่ ก็ไม่อยากไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าให้ศิษย์นั้นเอาธรรมะกลับเข้าไปในบ้าน ทำตัวเราให้ดีให้เป็นเทพเหมือนกับเมื่อตอนที่ศิษย์พี่มาแล้วทำให้เรามีความสุขได้ เรากลับไปบ้านก็ทำให้คนในบ้านเรามีความสุขอย่างนี้ที่บ้านเราดีหรือเปล่า (ดี)  บ้านเราก็เป็นบ้านที่ดี หนึ่งคนกลับไปบ้านเราดี สองคนกลับไปบ้านเราดี ทุกๆ  คนกลับไปบ้านเราดีหรือเปล่า (ดี)  ทุกคนกลับไปบ้านเรา บ้านเราเป็นสวรรค์กันแล้ว เราก็รู้สึกว่าเรานั้นทำดีแล้วอย่างนี้เป็นหน้าที่ของคนที่จำเป็นไหม (จำเป็น)
อย่างเช่นวันนี้ตอนเช้าฟังหัวข้อธรรมะอะไรไปบ้าง ความกตัญญูใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฟังเรื่องพระคุณแห่งฟ้า ผู้อาวุโสทั้งหลาย หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าชีวิตของเรานี้เกิดมาในปฐพีนานาสรรพสิ่งโอบอุ้มเราไว้ ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่มาโอบอุ้มเรา ไม่ใช่มีแค่พ่อแม่ของเรา ไม่ใช่มีแค่ครูบาอาจารย์ของเรา มีอีกมากมายที่เราติดหนี้บุญคุณ เราจึงต้องกลับไปตอบแทนคุณสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าเราทำดีออกไปไม่มีคนรัก ไม่มีคนชอบแล้วก็ไม่มีคนที่ดีใจในความดีของเรา เรายังต้องทำไหม เราก็ยังต้องทำความดีนั้นต่อไป เพื่อเปลี่ยนบ้านเราให้เป็นสวรรค์ เปลี่ยนสังคมและเปลี่ยนโลกนี้เป็นสวรรค์ด้วยตัวของเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะเรียกร้องให้ผู้อื่นทำดีก่อนแล้วเราค่อยทำได้ไหม (ไม่ได้)  เราเห็นเขาทำชั่วเราก็บอกว่าเขาทำชั่วยังได้ดี เราก็ไปทำชั่วด้วย ในที่สุดแล้วโลกนี้ก็จะมีแต่คนชั่ว เพราะว่าตัวเราซึ่งเป็นคนดีนั้นอยากจะเลียนแบบคนชั่วใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราต้องทำดีให้เป็นสิ่งที่ดี และให้คนอื่นมาเลียนแบบเราถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะฉะนั้นเราลำบากกว่าคนอื่นทนได้ไหม (ได้)  ความลำบากนั้นมีขึ้นบ้างเป็นธรรมดาเหมือนกับความสุข คนมีความสุขก็ไม่ใช่ว่ามีทุกวันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความลำบากในการบำเพ็ญก็ไม่ได้มีทุกวัน เพียงแต่ว่าเมื่อยามที่มีแล้วไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ให้มีสติที่ตามทัน ให้เอาบทเรียนต่างๆ  มาสอนใจ เมื่อพลาดแล้วไม่ยอมพลาดอีกใช่หรือเปล่า (ใช่)
หลายๆ คนเป็นคนคิดมาก ศิษย์อาจารย์เป็นคนคิดมาก เวลาเราคิดมากจิตใจของเรานั้นก็จะไม่เที่ยง ไม่สามารถตั้งอยู่ตรงกลางได้ เพราะฉะนั้นควรที่จะปรับจิตใจของเราและทุกๆ  สิ่งทุกๆ  อย่างให้มาอยู่ตรงกลาง ทั้งจิตใจของเราเองทั้งการกินอาหาร ทั้งสภาพแวดล้อมและชีวิตประจำวันจะต้องปรับมาให้พอดี บางคนชอบทำเรื่องง่ายแต่ว่าไม่ชอบอยู่ง่ายๆ  ไม่ชอบกินง่ายๆ  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่าขัดกันเองไหม ขัดกันเอง เพราะฉะนั้นจงอยู่ง่ายๆ  กินง่ายๆ  แล้วความสุขก็จะมีง่ายๆ  ถ้าหากว่ากินอยู่ยากชีวิตนี้ก็ยากไปหมด แล้วความสุขจะมาง่ายหรือเปล่า (ไม่ง่าย)  รู้ว่าชีวิตนี้คือทะเลทุกข์ ชีวิตนี้เกิดมาแล้วมีความทุกข์ก็จงมอบความสุขให้กับผู้อื่น เมื่อรู้ว่าชีวิตนี้เกิดมามีความทุกข์ ศิษย์ก็จงรู้ว่าเราจะทำอย่างไรให้พ้นทุกข์ อาจารย์ถามว่าบำเพ็ญอย่างไร บำเพ็ญคืออะไร แล้วบำเพ็ญ บำเพ็ญอย่างไร สามอย่างนี้อาจารย์ให้การบ้านไปก็กลัวว่าจะไม่ยอมทำการบ้าน เดี๋ยวกลับไปแล้วก็กลับไปเลย เพราะฉะนั้นการการบำเพ็ญคืออะไร (การบำเพ็ญคือการเสียสละ,ศึกษาและลงแรงปฏิบัติ)  การบำเพ็ญก็คือการขัดเกลาจิตใจของเรา จำเป็นไหมที่ต้องไปขัดเกลาจิตใจผู้อื่น (ไม่จำเป็น)  การบำเพ็ญก็คือการซ่อมแซมและขัดเกลาจิตใจของตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วบำเพ็ญทำไม (บำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้น)  การบำเพ็ญก็เพื่อให้เราหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่ไม่บำเพ็ญประเภทเดียวก็คือคนที่ไม่อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดถึงไม่ต้องบำเพ็ญ เพราะฉะนั้นบำเพ็ญนั้นศิษย์ทุกคนควรจะทำไหม (ควร)  ถามว่าบำเพ็ญอย่างไร  จริงๆ  แล้วการบำเพ็ญธรรมนั้นพุทธะแต่ละองค์มีสิ่งที่โดดเด่นอยู่ของตนเอง บางองค์เลื่องชื่อในด้านการเสียสละ ศิษย์ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น บางองค์เลื่องชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์ ศิษย์ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ถามว่าใช่ไม่ใช่ว่าท่านเหล่านั้นไม่มีคุณธรรมข้ออื่น (ไม่ใช่)  เพราะฉะนั้นไม่ว่าทำสิ่งใดก็แล้วแต่ กระดาษหนึ่งแผ่นก็ย่อมจะต้องหนึ่งแผ่น ถ้าหากว่าเราทำแค่ครึ่งแผ่นม้วนไปคนกางออกมาก็ปรากฎความจริงออกมาอยู่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่เป็นคนใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นประการแรกของผู้บำเพ็ญธรรมก็คือทำหน้าที่ของคนให้ดีที่สุด หน้าที่ของคนเป็นอย่างไร เราเป็นลูกเราต้องทำอย่างไรกับพ่อแม่ (กตัญญู)  เราเป็นพ่อแม่ต้องทำอย่างไรกับลูก (เลี้ยงดู)  เราเป็นประชาชนต้องทำอย่างไรต่อองค์พระมหากษัตริย์ (จงรักภักดี)  เรามีชาติอยู่เราต้องทำอย่างไร (รักชาติ)  เรามีหน้าที่เป็นคนที่ทำงานหาเงินต้องทำอย่างไรกับเจ้านาย (ซื่อสัตย์)  แล้วเจ้านายต้องทำอย่างไรกับลูกน้อง (เมตตา)  สิ่งเหล่านี้ศิษย์ของอาจารย์รู้ทุกคน หน้าที่ของมนุษย์ทำให้สิ้น จึงจะไปเริ่มหน้าที่แห่งพุทธะใช่หรือเปล่า (ใช่)  หน้าที่แห่งพุทธะก็คือศึกษาธรรมะให้เข้าใจ เข้าใจแล้วต้องปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วต้องให้เกิดผล บางคนนั้นบำเพ็ญธรรมมาหลายปี แต่ไม่เป็นผลอะไรเลย เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรานั้นยังไม่รู้จักการปฏิบัติที่สมบูรณ์ ขาดนิดขาดหน่อยก้าวไม่ถึงสักที แต่ดูๆ ภายนอกก็เหมือนถึงแล้ว  อันได้แก่การที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้ชื่อว่าคนบำเพ็ญธรรม แต่จิตใจของเรายังสะอาดไม่พอ สิ่งต่างๆ ที่อาจารย์สอนไป ละอารมณ์ก็ละแล้ว แต่ถ้าใครมาแหย่เข้าสุดๆ ก็เป็นอันระเบิด อย่างนี้จะถือว่าเป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีกิเลสได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นถามว่าอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน พระองค์อนุตตรธรรมมารดาจะกล้าให้มรรคผลไหม (ไม่กล้า)  เกิดมีเวไนยคนไหนทำให้ศิษย์ตะบะแตกแล้วจะทำอย่างไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นเข้าไปสู่การเป็นที่สุดของคน คือเป็นคนที่ดีที่สุดจึงจะสามารถเป็นพุทธะที่ดีที่สุดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พุทธะ                คน                    มาร
เราเป็นคนที่อยู่ตรงกลางพุทธะและมารใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนที่อยู่ตรงกลางพุทธะและมาร เพราะฉะนั้นคนนี้จะกลายไปเป็นพุทธะได้ไหม และคนนี้จะโน้มเอียงไปทางเป็นมารได้ไหม (ได้)  เพราะฉะนั้นศิษย์จะเลือกอะไร (พุทธะ)  พุทธะและมารที่แท้จริงปรากฎออกเมื่อเรานั้นสิ้นชีวิตแล้วจริงๆ สิ้นชีวิตแล้วพุทธะและมารจะปรากฎเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ตอนนี้พุทธะและมารทั้งสอง สวรรค์และนรกทั้งสองยังอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน ตราบจนถึงเวลาที่เราตายไปจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ตอนนั้นก็ค่อยรู้กันใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตราบเมื่อตายไปพุทธะและมารก็ปรากฎโฉมที่แท้จริง ถามว่าที่เรารู้สึกว่าเรานั้นมีความไม่ดี บางทีก็คิดออกมาไม่ดี บางทีก็คิดออกมาดี ควรไม่ควรที่จริงจังกับเขาได้แล้ว ควรที่จะขจัดเขาอย่างจริงจังหรือว่ารักษาเขาไว้ ได้หรือยัง (ได้แล้ว)  บางคนนั้นคิดดี บางครั้งก็ต้องระวังไว้หน่อย ถ้าคิดชั่วบางครั้งก็ยังพอมีโอกาสใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นสามอย่างนี้เราเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง จึงต้องเป็นผู้เลือกใช่หรือเปล่า (ใช่)  แน่นอนทุกคนมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง ชะตาขึ้นหรือชะตาลงก็ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม ขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่เคยทำมา ความดีที่เคยทำมา ความดีความชั่วที่เคยทำมาเปลี่ยนไม่ได้ แต่วันนี้เราจะเป็นคนชั่วหรือคนดีเปลี่ยนได้ไหม (ได้)  ถามว่าศิษย์นั้นก้าวผิดมาตลอดเลยสิบก้าว  แต่ก้าวที่สิบเอ็ดนี้จะก้าวดีไม่ดีอยู่ที่ใคร อยู่ที่ตัวเราเอง  ถ้าเราได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไม่ดี แต่เราเพิ่งจะเริ่มก้าวขึ้นมาเป็นคนดีต้องอาศัยเวลาไหม (อาศัย)  ถ้าเราเป็นคนดีอยู่แล้ว เราก็ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปดีหรือไม่ (ดี)  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่กับศิษย์เอง แม้อาจารย์จะช่วยในการที่ถอนชื่อศิษย์ออกจากนรกหมดสิ้น แต่หากศิษย์บรรจงมือเขียนลงไปอีกรอบหนึ่ง จะมีใครถอนออกได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่อยู่ที่ผู้อื่น อย่าโทษผู้อื่นเวลาที่เราทำไม่ดี อย่าโทษตัวเราเองว่าเรานั้นโง่แล้วก็ไม่มีสติปัญญา ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้นเป็นคนที่มีโอกาสทั้งสิ้น เหมือนกับคำสุภาษิตของจีนบทหนึ่งที่พูดไว้ว่า “คนโง่คิดสิบครั้ง อาจจะเกิดความถูกต้องขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แต่คนฉลาดคิดสิบครั้ง อาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเป็นมนุษย์แล้วต้องอย่ามีความเชื่อมั่นมากจนกระทั่งมองไม่เห็นผู้อื่น เพราะว่าสิ่งนี้เรียกว่าอัตตา มันหนักยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่หนัก เราสามารถอุ้มก้อนหินที่หนักที่สุดก้อนหนึ่งขึ้นมาได้ แต่ไม่สามารถยกตัวเราขึ้นให้ลอยขึ้นมาได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   เพราะว่าตัวเรานั้นมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เรียกว่าอัตตานั้นเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  อยากเป็นพุทธะต้องระวางอัตตาก่อน
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ประคองใจไว้ให้เที่ยงตรง)  คนฉลาดคิดสิบครั้งมีพลาดครั้งหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าไม่มีข้อผิดพลาดไหนเลยจะรู้ถึงว่ามันถูกเป็นอย่างไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่สอนใจเรา ทำไมถึงต้องประคองใจไว้ให้เที่ยงตรง อาจารย์บอกแล้วว่าการที่ใจของเรานั้นเที่ยงสำคัญต่อศิษย์ทุกคน ทุกนิสัยทุกคนทุกวัยอาชีพ  ไม่ว่าศิษย์นั้นจะเป็นคนที่บำเพ็ญเป็นคนที่ไม่บำเพ็ญก็ล้วนสำคัญทั้งสิ้น คนที่จิตใจไม่เที่ยงตรงมากๆ มากไปทางด้านแย่ ก็ออกมาเป็นคนที่เห็นแก่ตน มากไปทางด้านดี เป็นคนที่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นใจของเราต้องเที่ยงไว้เสอดๆ เพื่อให้เรานั้นมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างเที่ยงตรง ความเที่ยงตรงไม่มีความรักไม่มีความชัง เราไม่เคยชังใครเพราะฉะนั้นเราก็จะไม่รักใครให้เกินไป
อาจารย์หวังว่าหลังจากจบสองวันนี้ ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้น จะตั้งใจศึกษาบำเพ็ญธรรมดีหรือไม่ (ดี)  ตอนนี้รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไรแล้ว เพราะฉะนั้นคงจะไม่งงถ้ามีคนเขาบอกว่ามาบำเพ็ญธรรมกัน งงไหมทีนี้ (ไม่งง)  เวลานั้นเป็นสิ่งที่ล่วงเลยแล้วไม่มีสิ่งใดยั้งไว้ได้ เสมือนตอนนี้อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นคงจะมีความเข้มแข็งที่จะต่อสู้ทั้งปัญหาชีวิต ปัญหาอุปสรรค หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะมีอนาคตที่แจ่มใส เพราะว่าเรานั้นปูอนาคตของเราไว้ดี วันหน้ามาสถานธรรมอีกไหม (มา)  ต้องให้คนอื่นไปเรียกรบเร้าไหม (ไม่ต้อง)  ธรรมะจะมีค่าถ้าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนได้เอาธรรมะต่างๆ มาทำ ธรรมะจะไม่มีค่าก็เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่เห็นค่าและไม่เคยทำ
ตอนนี้เภทภัยมาเยอะ เราอย่าตื่นเต้น คนดีแม้แต่ผียังคุ้มครอง กลัวอะไรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่คุ้มครองใช่ไหม (ใช่)  นอกจากว่าศิษย์ของอาจารย์จะไม่ใช่คนดีเท่านั้นถึงจะกลัวภัยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แม้ไม่เจอภัยภายนอก ก็เจอภัยใจตนเอง แม้ไม่เจอภัยใจตนเองก็ยังต้องเจอการเกิดและการตาย อันเป็นภัยใหญ่ที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตอนนี้ขาเราเริ่มเจ็บแล้ว หัวเริ่มปวดแล้ว หลังเริ่มเจ็บแล้ว ก็ควรจะรู้ว่าร่างกายบอกว่าเราแก่แล้ว เราก็ควรจะทำอะไรให้มีคุณค่ากับชีวิต ขาเราเริ่มไม่ดีแล้ว แสดงว่ามีสิ่งที่เตือนเราว่าเราควรที่จะรีบเร่งได้แล้ว ก่อนที่ขาเราจะไม่มีแรงเดินใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้คิดได้อย่างนี้เสมอๆ
หมดเวลาที่อาจารย์นั้นจะดึงดันอยู่ต่อไป ศิษย์ทุกๆ คนนั้นเป็นผู้มีบุญ เปรียบไปแล้วก็เป็นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเป็นพุทธะแล้วรู้จักตนเองให้มากหน่อยดีไหม ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้ดูแปลกหน้าหวังว่าวันหน้าคงจะไม่เป็นเช่นนี้ เราจะเป็นคนกันเองที่สนิทสนม อาจารย์เป็นพุทธะ ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นพุทธะ ก้าวตามอาจารย์มาดีหรือเปล่า (ดี)  ทุกคนต่อให้มีเพชรอยู่ในมือ แต่ไม่รู้ค่าของเพชรก็เท่านั้น ธรรมะดีอยู่ในใจไม่นำออกมาปฏิบัติก็เท่านั้น  หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนจะเข้าใจความหมาย  รักษาโอกาสของตนเองให้ดี และรักษาตนเองนั้นให้อยู่รอดปลอดภัย สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายจะไม่มากล้ำกลาย ถ้าศิษย์ของอาจารย์ไม่ไปโอบรับเข้ามา ขออวยพรให้ศิษย์ทุกคนนั้นจงเป็นคนใหม่ จงเป็นคนที่ประเสริฐ จงเป็นที่รักของฟ้าและดิน วันหน้าเจอกันใหม่ อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ประคองใจไว้ให้เที่ยงตรง”
                บุปผาบานประจักษ์สีถนัดตา            อริยากลัวเหตุจึงเข้มงวดตน
การรู้พอจะได้สุขเหลือล้น   ฝึกอดทนจะงดงามดังเมธี
หนึ่งชีพเกิดมาแล้วยากจะพัก           บ้างยากแลบ้างง่ายปวงปัญหา
ถ้าแม้เหนื่อยไม่ควรลืมสร้างคุณค่า    เพราะเวลาไม่เคยที่จะคอยใคร
สิ่งสำคัญต้องเป็นคนมีใจเที่ยง          ดุจตาชั่งไม่ลำเอียงข้างหนึ่งได้
เมื่อฤทัยไม่เอียงจะไร้ภัย    วาระสามฝึกจิตเพียรอย่าทิ้ง
เวลานี้น้อยคนจะตระหนัก    ที่ให้มีใจเที่ยงรักษ์ทุกสิ่ง
ผู้บังเกิดทุกข์หนักบ้างแย่งชิง           ใจคดเมื่อบำเพ็ญยิ่งก้าวยากเย็น

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา