วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2541

2541-08-28 พุทธสถานสิงเต๋อ จ.พะเยา



PDF 2541-08-28-สิงเต๋อ #14.pdf


      วันศุกร์ที่  ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๑               พุทธสถานสิงเต๋อ จ.พะเยา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

                  ชีวิตหนึ่งอนิจจังดั่งความฝัน     ร้อยปีผ่านไร้คุณงามน่าใจหาย
เป็นภมรเริงร่าอยู่สู่ที่ใด                  ไร้จุดหมายชีวิตนี้ค่าน้อยลง
                        เราคือ
      องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ             รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา               ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ   เคียมคัล
องค์มารดา                                            ถามเมธีน้องชายหญิงสราญฤๅ
                                                            ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา   ฮวา
                   ฟ้ามนุษย์รวมใจให้เป็นหนึ่ง    น้องจักซึ้งวาระสามสายทองส่ง
            ในครานี้วิสุทธิอาจารย์ชี้ทางตรง      จงมั่นคงจากจิตสู่การกระทำ
            ด้วยเวลาสั้นนักเพียงสามวัน           ขอน้องท่านตั้งใจให้เป็นผล
            อริยาต่างมีซึ่งกายคน                    บำเพ็ญตนอย่างเงียบเงียบสู่นิพพาน
            จิตใจคนแยบยลซ่อนในกายปลอม  อารมณ์หลอมในเตาร้อนให้สุขุม
            เกิดเป็นคนตรองให้ดีอย่าบ่ามบุ่ม    ให้ควบคุมชีวิตเดินให้ถูกทาง
            หากยังมีอวิชชาเต็มดวงจิต                        หากจะคิดทำความดีกำแพงขวาง
            ขอตัดใจจากกิเลสมิลุกลาม            และทุกยามมิประมาทเผลอไผลบ่อย
            การเวียนว่ายเกิดตายทางทั้งหก      น้องต่างเคยผ่านนรกสวรรค์มา
            ขอให้รู้บำเพ็ญพ้นให้คืนฟ้า                        อย่าปล่อยให้ไปตามหนายถากรรม
ด้วยวันนี้โอกาสดีให้เริ่มเถิด            ขมเป็นเลิศของยาแท้เร่งขยัน
ขี้เกียจฟื้นจิตใจตนยิ่งนานวัน         เคยชินนั้นเป็นกิเลสเกาะรากญาณ
             ทะเลทุกข์เวียนว่ายไร้ความสุข                ขออย่าได้นึกสนุกทดลองหนา
อย่าใฝ่ฝันลาภยศอันลวงตา               เงินทองหนาใช่ของเราแต่ผู้เดียว
สมัครสมานจิตใจบำเพ็ญดี                ขอจงมีต้นปลายอันคงเส้น
มรสุมมายากห้ามแต่อย่าโอนเอน        อย่าทำเล่นกับกิเลสที่เหนือตัว
ในวันนี้วันแรกการประชุม                  ขอน้องอย่าลุ่มหลงคิดสงสัย
มองไม่เห็นอย่าเหยียดหยามระอาใจ     ทางยิ่งไกลยิ่งเห็นพุทธะจริง
จงรักษาพุทธระเบียบให้เคร่งครัด         ขออย่าวัดกันที่ภายนอกนั้น
เพราะพุทธจิตเป็นเสมอดวงเดียวกัน     ขอบากบั่นอดทนจนสุดทาง
ขอตั้งใจให้จงดี                                แล้วศิษย์พี่ยืนคุมข้างบันทึกคะแนน        
   จรดวางพู่กันลงเข้มงวดเทอญ

                           ฮวา   ฮวา   หยุด










       
           
        วันศุกร์ที่ ๒๘ สิงหาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๑
       พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์   
        
            เวียนเกิดดับด้วยทุกข์ง่ายอีกสุขยาก                                             จนกระดูกกองสูงมากกว่าภูผา
               ปลงไม่ตกทะเลโศกภาพลวงตา                                                                            ประภัสสราจิตเดิมมีจึงขุ่นมัว
                        มหาธรรมลงมาพร้อมภัยหนัก                                                                    เหนื่อยนักพักยืดเยื้อยิ่งสลัว
                        มากทดสอบให้สลัดกรรมได้พ้นตัว                                                              อย่ามันมัวโทษฟากฟ้าว่าคนใคร
                                    เราคือ
        เจี้ยวฮว่าผูซ่า                            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา             แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา                                      ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
                        สิ่งดีดีที่มีให้กัน  เหมือนถ่านแดงเมื่อยามหนาวเยือน เมื่อมีคนต้องการ   มิเชือน  ถึงวาระรู้พลีไม่สาย  หากเวลาล่วงเลยสิ้นลง  ถึงให้คงไร้คนสนใจ  ให้ดีเป็นเลิศเกินของใคร  ร้อนเจียนไหม้ถ่านแดง  ใครหรือปอง
                        *   ถ้าหากหมายมุ่งทำดีใกล้ไกล  มิเว้นใครฤทัยเดียวไม่สอง มิติดใจที่ใครเมินไม่มอง  ไม่นำผลมาตัดสิน 
** หากเกิดทุกข์มิยอมให้ใจขม  หากใครล้มปราชญ์มิข้ามกันกิน  อย่าปะทุน้ำคำที่ติฉิน   โลกแตกร้าวจากลมลิ้นอย่าโทษผู้ใด 
โลกวันนี้ วุ่นวายน่ากลัว  ฟ้าหม่นมัวเหมือนคนไร้ใจ  เรื่องราวเป็นล้านซ่อนข้างใน  เพราะอัดอั้น  ใจคนจึงถึงพัง   (*,**)
                        ผู้บำเพ็ญจิตตนเองยามนี้  เมื่อใจมีไขว้เขวจะอับปาง  โลกไกลแดนนิพพานเพราะบาปกรรมขวาง  ถึงลำเค็ญทุกย่างไม่เปลี่ยนใจ   (**)
                                                                                
เพลง : มอบแต่สิ่งดีให้กัน

                                                                                      ทำนองเพลง : เปล่าหรอกนะ


๑   ประภัสสรา          แปลว่า     บริสุทธิ์

    พระโอวาทท่านไคซินถงจื่อ       
   
       อารมณ์ดีเหมือนอากาศตอนรุ่งสาง        กิเลสจางหมอกบางบางอาทิตย์ส่อง
            หมอกพลันหายปรากฏตัวในธรรมครรลอง   จิตมิปองอัตตาล้นในใจ
                        เราคือ
                        (ไคซินถงจื่อ)                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามเมธีทุกท่านมีเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตหรือยัง
                 ยามทุกข์มากก็ยิ้มยากเป็นปกติ     ถูกตำหนิก็แก้ไขอย่าถอยหลัง
            เคล็ดลับชีวิตอยู่ที่การยอมรับฟัง         บำเพ็ญตั้งมิพักดุจนที
            จิตกระจ่างดุจวันเพ็ญทอแสงนวล       มิเรรวนมิเรื่อยเอื่อยมิหน่ายหนี
            มิท้อแท้กระทำตนเป็นคนดี                           เสียงดนตรีมีจังหวะบำเพ็ญเช่นกัน
            บำเพ็ญจิตให้เหมือนกับทารกน้อย     แล้วค่อยค่อยเจริญโดยไม่ใฝ่ฝัน
            สิ่งเกินตัวเช่นลาภยศสารพัน              กิเลสอันดุจอาวุธที่มีคม
            ขยันมาสถานธรรมบ่อยบ่อยหน่อย     ดาวดวงน้อยเหน็บหนาวผ้าห่มห่ม
            ขยันหัดว่ายน้ำให้เป็นมิผุดจม           ทะเลขมชาตินี้นะมาคืนบ้านกันดีกว่า

ฮา  ฮา  หยุด





พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์พร้อมด้วยท่านไคซินถงจื่อ

ท่านไคซินถงจื่อ  : ในเรือมีอะไรบ้าง (ไม้พาย, คนพาย) ใครเป็นคนพาย (ตัวเองคนไม่พายกินแรงคนอื่นต้องจับโยนลงจากเรือดีไหม ถ้าใครพายเรือจะให้ใส่ชุดเซียน ใส่แล้วเป็นเซียน เชื่อไหม   ท่านนั่งเก้าอี้เซียน แล้วท่านจะใส่ชุดนี้ไหม  ถ้าหากว่าไม่ยอมบำเพ็ญธรรมจะใส่ไม่อยู่ เชื่อหรือเปล่า (เชื่อ) เวลาเชื่อต้องมีเหตุ    มีผล  เพราะฉะนั้นก็เลยมานั่งฟังสามวันนี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ผลไม้เยอะอยากได้ไหม (อยากอยากได้ก็มีกิเลส  บำเพ็ญต้องไม่มีกิเลส  คนมีกิเลสมากต้องทำอย่างไร 
อารมณ์ดีเหมือนอากาศตอนรุ่งสาง
อากาศตอนรุ่งสางเย็นสบายไหม (เย็นสบายหนาวหรือเปล่า (ไม่หนาว)
จิตมิปองอัตตาล้นในใจ
มีอัตตาหรือเปล่า (มี) ถ้ามีก็ไม่เหมือนพุทธะ     แล้วจะเป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้อย่างไร
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : มีใจเดียวก็ยากจะควบคุมแล้ว คราวนี้จะแบ่งใจให้เป็นสองแล้วฟังได้รู้เรื่องทั้งสอง ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ แต่ท่านก็มักจะเป็นเช่นนี้อยู่    บ่อย ๆ มิใช่หรือ  ใจดวงเดียวแต่ชอบแบ่งให้เป็นสองเรื่องบ้าง  คิดสองอย่างบ้างแล้วก็ตัดสินใจไม่ถูก   จะเลือกที่รักมักที่ชังหรือว่าเลือกตามทำนองคลองธรรมดี   ใช่หรือไม่ (ใช่
ท่านไคซินถงจื่อ : การที่จะปกครองคนอื่นเป็นเรื่องยาก  แต่ว่าชีวิตนี้เราก็ต้องปกครองคนมากมาย เช่น สามีต้องปกครองบุตรและภรรยา   หัวหน้าต้องปกครองคนที่ทำงาน   คนในบ้านเขายังฟังเราใช่ไหม (ใช่แต่ถ้าเป็นหัวหน้าแล้วคนที่ทำงานเขาไม่ยอมฟังเรา  จะทำอย่างไรดี 
ใครรู้บ้างว่าเคล็ดลับของความเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่ไหน  เราไม่ได้หมายถึงกิจการร้านค้า เงินทอง  จะใช้ชีวิตได้ก็ต้องมีเคล็ดลับ ถ้าหากไม่มีเคล็ดลับก็ผัดกับข้าวไม่อร่อย  มีชีวิตอยู่ก็ง่าย  ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่เวลาโดนลมพายุพัดก็จะเอียง แล้วลุกไหวไหม (ไม่ไหว) ต้องบอกว่าลุกไหวใช่หรือเปล่า 
เอาแอปเปิ้ลลูกไหน  (ท่านไคซินถงจื่อเมตตาให้นักเรียนในชั้นเลือกแอปเปิ้ล  นักเรียนเลือกลูกที่ท่านกัด
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : ปริศนาตรงนี้จะคิดได้ว่า แหว่งแล้วจึงสมบูรณ์ดีกว่าสมบูรณ์แล้วค่อยแหว่ง  ยอมที่จะไม่มีก่อนจึงได้พบกับคำว่ามี  หลายคนที่ชอบมีแล้วก็กลายเป็นไม่มีอยู่ร่ำไป เพราะแต่ก่อนเราเป็นคนที่ไม่มี แล้วตอนนี้เราเป็นคนที่มี นั่นคือ เราไม่มีจึงได้มี   เราเคยเว้าแหว่ง เคยไม่สมบูรณ์มาก่อน  จึงกลับกลายมาเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่ดีกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แล้วกลับกลายมาเป็นคนที่เว้าแหว่ง
เรื่องราวในโลกก็เช่นเดียวกัน  ถ้าคิดว่ามีก็มีมากมาย  แต่ถ้าคิดว่าไม่มีก็ไม่มีเลย  จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า  จิตเกิดสรรพสิ่งก็เกิด จิตดับสรรพสิ่งก็ดับ”     สรรพสิ่งจะเกิดหรือดับ  มีหรือไร้  ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาใจไปสัมผัส ไปรู้สึกกับ      สิ่งนั้นหรือเปล่า   คนเราหลีกไม่พ้นที่จะต้องมองเห็น ได้ยิน ได้สัมผัส  หากเรารู้สึกติดข้องใจ รู้สึกพอใจสิ่งนั้นก็เริ่มมาปรากฏอยู่ในใจเรา  แต่หากเราไม่รู้สึกอะไร ไม่ติดข้องใจ  สิ่งนั้นจะมาปรากฏอยู่ในใจเราได้หรือไม่ (ไม่ได้
สภาวะไร้เกิดขึ้นได้ท่ามกลางสภาวะมี สภาวะว่างเกิดขึ้นได้ท่ามกลางสภาวะที่ปรากฏ  ยกตัวอย่างเช่น  เรารู้สึกหิวเพราะท้องเราว่าง  รู้สึกอิ่มเพราะข้างในเต็ม  ความรู้สึกว่างเกิดขึ้นเพราะเราจำความรู้สึกที่มีได้  ความรู้สึกมีเกิดขึ้นเพราะเราเคยว่างมาก่อน  ความว่างเปล่ายากที่จะเกิดท่ามกลางความว่างเปล่า  เหมือนเรายากที่จะรู้สึกสงบท่ามกลางความสงบ แต่เราจะรู้สึกสงบได้ท่ามกลางความวุ่นวาย เหมือนกระดานดำที่สกปรก เราจะนึกถึงความสะอาดโดยการทำความสะอาด  สิ่งที่เคยนิ่ง พอมีสิ่งใดแทรกแซงเข้ามาเราจึงรู้ว่ามีขึ้นมา สกปรกขึ้นมา  เหมือนจิตของท่านในที่นี้ ทำไมจึงบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี  ขี้โมโห ขี้เหล้าเมายา  นินทาว่าร้าย   เพราะแต่ก่อนตัวเองไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้  ไม่ใช่คนแบบนี้  ตอนเด็ก ๆ เป็นคนใส ๆ ไม่มีความรู้สึกอะไร  ไม่โกรธง่าย ไม่ติดเหล้า ไม่ติดยา  เพราะว่าเราเคยมีสิ่งดีมาก่อน เมื่อเวลามีสิ่งไม่ดีเข้ามา  เราจึงสามารถรู้ได้ว่าไม่ดี
ท่านไคซินถงจื่อ : ธรรมะบำเพ็ญง่าย ท่านก็เลยเห็นไม่มีค่า   ตอนที่เขามาชวนเรารับธรรมะ  เราไม่ค่อยเชื่อใช่ไหม  ในโลกมนุษย์นี้ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ  แต่พ่อแม่ก็หาเงินมาให้ลูกใช้ โดยที่ไม่ได้คิดดอกเบี้ยสักสตางค์เดียว  ลูก ๆ รับไปได้ง่ายก็ใช้ง่าย  จริง ๆ แล้วควรใช้ฟุ่มเฟือยไหม (ไม่ควรธรรมะรับง่าย บำเพ็ญง่ายแต่หลุดพ้นยาก  เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนให้สตางค์ท่านไว้ใช้แล้วท่านจะต้องรู้จักบำเพ็ญอย่างประหยัด คือประหยัดคำพูด  การกระทำ  ความคิด  การฟังในสิ่งที่ไม่ดี  แล้วก็เอาสิ่งที่ดี ๆ ออกจากตัวไปให้คนอื่นดีไหม (ดี)  
ถ้าใครไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะ ไม่เคยลองไปช่วยคนอื่น ก็ต้องลองทำ  ถ้าหากเรานั่งเฉย ๆ  ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นยืน ก็จะไม่รู้ว่าการยืนเป็นอย่างไร  แต่ถ้าเราลองยืนสักพักเราก็จะรู้  ถ้าหากว่าเรามีลูก  เมื่อเกิดมาก็คลาน ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นยืน  เดินไม่ได้  เรากลุ้มใจไหม จิตใจเด็ก ๆ ไม่แฝงอะไรเลย  เวลาที่จะยืนก็ลุกขึ้นยืน  อยากร้องไห้ก็ร้องไห้  อยากหัวเราะก็หัวเราะ  เพราะฉะนั้นการที่ท่านจะเริ่มต้นปฏิบัติอะไร  ถ้าหากมีความกล้าก็เอาจิตใจเด็ก ๆ นี้เข้าไปช้อนตัวเองให้ลุกขึ้นยืน  แต่ตอนนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว  การเป็นผู้ใหญ่ก็สอนให้ท่านรู้จักที่จะรอบคอบและระมัดระวัง ไม่ไปทำร้ายจิตใจผู้อื่นใช่ไหม  ทำได้หรือเปล่า  เราต้องเริ่มต้นปฏิบัติ  ถ้าหากเราไม่นับหนึ่ง ก็จะไม่มีสอง สาม สี่ ห้าตามมา
เวลาที่ท่านมีอายุมากขึ้น ความคิดความอ่านก็มากขึ้น  แต่มีแต่สิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม  ในความคิดสิบอย่างมีดีอยู่หนึ่งก็ถือว่าเยอะแล้ว   เวลาท่านโตขึ้น อายุมากขึ้น  เริ่มที่จะนับ  หนึ่ง  สอง  สาม  กิเลสก็มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เวลาจะทำ       สิ่งดี  ๆ  ท่านรู้สึกไม่กล้านับสี่ สาม สอง หนึ่งแล้วก็ศูนย์  ศูนย์ก็คือว่าง ว่างก็คือเป็นพุทธะ       ใช่หรือเปล่า (ใช่)
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : มีโอกาสก็ยึดโอกาสให้ดี  ถ้าโอกาสหายไปแล้วจะมาเสียใจภายหลังก็ไม่ได้   เวลาล่วงเลยไปไม่เคยหยุดนิ่ง  ฉะนั้น เมื่อฟ้าประทานโอกาสให้เราได้รู้จักวิถีแห่งชีวิต  วิถีทางแห่งพุทธจิต  ไยไม่เร่งรีบศึกษาให้เข้าใจ 
อยากกลับคืนบ้านเดิมกันหรือเปล่า  เรามักได้ยินคำกล่าวว่า  เมื่อเราพลัดถิ่นมาจากที่ไกล  พอเจอคนถิ่นเดียวกันเราก็รู้สึกดีใจที่ได้พบเขา วันนี้ศิษย์พี่ก็เหมือนพลัดถิ่นมาเจอศิษย์น้องที่เคยอยู่บ้านเดียวกันมาก่อน  แต่จะมีศิษย์น้องกี่คนที่จำได้ว่าเราพี่น้องนี้เคยอยู่บ้านเดียวกันมา  เวลาเราเจอคนพื้นบ้านเดียวกัน  ที่พลัดกันมานาน  เราก็อดไถ่ถามเขาไม่ได้ว่าบ้านเป็นอย่างไร  คนที่บ้านเป็น   อย่างไร  แต่เราลืมไปเพราะจากมานาน ถูกกิเลส  ความอยาก ความไม่รู้จัก      ตัวเองบดบัง  จึงทำให้เราหลงลืมแม้กระทั่งตัวตนเอง   อย่าว่าแต่บ้านเดิมเลย  หากถามว่าตัวเองเป็นคนเช่นไร  บางครั้งยังตอบไม่ได้   เมื่อตนเองไม่รู้ อยู่บนโลกนี้ก็มีแต่ชีวิตที่ไม่รู้ อันตรายหรือเปล่า  ตัวเองก็ยังไม่รู้จักตัวเองดี  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ออกไปจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลย  ทุกฝีก้าวเมื่อเรามีชีวิตล้วนอันตราย   ทั้งนั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่
เราจะทำตนอย่างไรถึงจะรอดปลอดภัย  มีอายุต่อไปได้อีก  สามารถมีชีวิตที่จะดำรงคุณงามความดี ไม่ต้องหวาดกลัว  ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว     ไม่ว่าภัยภายนอกหรือภายในตนเอง  ภัยภายนอกสามารถหลีกหนีได้  แต่ภัยที่เกิดจากตนเอง  แม้ในชาตินี้จะหลีกหนีได้แต่ชาติต่อไปไม่มีวันหลีกพ้น  ใครทำเช่นไรย่อมได้เช่นนั้น  ศิษย์น้องทุกคนล้วนรู้ประโยคนี้  แต่จะมีสักกี่คนที่รู้แล้วเข้าใจและปฏิบัติให้ตนเองหลุดพ้นจากการต้องทุกข์ทรมาน  การต้องเวียนว่ายได้จริง  จึงมีคำกล่าวว่า  หากเราดำเนินชีวิตรู้จักสุขุม  ย่อมพ้นภยันตรายทั้งปวง  หากมีชีวิตรู้จักนอบน้อม  ไม่แข็งกร้าว ไม่อวดเบ่ง  ย่อมยากจะมีภัยมาหาตัว  ยากจะมีศัตรูเกิดขึ้น  ดังนั้น การดำรงชีวิตของเราจึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เราเป็นคนโชคดีหรือเป็นคนโชคร้าย  เป็นคนที่สามารถกลับคืนเป็นพุทธะหรือเป็นคนที่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด 
อย่ามองว่าชีวิตผ่านไปวันหนึ่ง ๆ  อย่างไร้ค่า  ทุกขณะเราได้ใช้พลังชีวิต  พลังแห่งลมหายใจ  พลังแห่งกำลังใจสร้างสรรค์สิ่งที่ดี  มีหน้าที่ มีการวางตนให้เหมาะสม  ทำสิ่งใดก็ลงแรงอย่างจริงจัง  แม้พรุ่งนี้หรือมะรืนเราจะพ้นไปจากโลกนี้ เราก็ไม่หวาดกลัว    แต่ศิษย์น้องหาเป็นเช่นนั้นไม่  ทุกวันอยู่ด้วยความหวาดกลัวว่าวันใดเราจะไป วันใดเราจะมีภัยมาหา  แต่ถ้าทุกวันเราได้ปฏิบัติดี  แก้ไขสิ่งที่ไม่ดี  แม้ว่าพรุ่งนี้เราต้องดับสิ้นไป  เราก็ไม่กลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อการประพฤติดีมีความสำคัญเช่นนี้  เราควรจะละเลยนิ่งเฉย  ปล่อยให้คนอื่นทำโดยที่ตนเองไม่ดี ได้หรือไม่ (ไม่ได้ทำไมเวลาเห็นคนอื่นทำดี  ก็บอกว่าช่างเขา ปล่อยให้เขาทำเถอะ เรายังไม่อยากทำ  เอาไว้ทำทีหลัง
ศิษย์น้องชอบการทำความดี ชอบที่ได้อยู่ใกล้คนที่เป็นคนดี ชอบอยู่ในสังคมที่มีแต่หมู่ชนที่เป็นคนดีไหม (ชอบ) อย่าชอบแค่เพียงคำพูด  การชอบที่แท้จริงก็คือไม่ว่าการพูดหรือการปฏิบัติล้วนเป็นสิ่งที่ชอบที่ถูกที่ควร  จึงจะเรียกว่าชอบจากใจจริง และจะต้องพยายามขวนขวายหามาอยู่กับตัวให้ได้  จะมีใครบ้างไหมที่ชอบความดีเหมือนชอบทรัพย์สิน  รักคุณธรรมความซื่อสัตย์ ความเป็นคนดีเหมือนกับการรักเกียรติยศ  รักใบหน้าตนเอง
พระพุทธะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธะ  ล้วนต้องฝ่าความยากลำบากมาก่อน  ท่านปฏิบัติเช่นไร ถึงยังมุ่งมั่นไม่ไขว้เขว ไม่ถอยหลังในการประพฤติเป็นคนดี  นั่นก็คือ  ระหว่างชื่อเสียงกับชีวิตท่านเลือกชีวิต ถ้าชีวิตกับคุณธรรมท่านเลือกสิ่งใด (คุณธรรมแต่ความเป็นจริงศิษย์น้องเลือกชีวิตใช่หรือไม่  จึงทำให้ชื่อหมดแล้วก็หมดไป  ไม่เคยได้คงอยู่ในใจใครสักคน  หากพูดถึงการกระทำดีกับผลประโยชน์  ศิษย์น้องเลือกอะไรก่อน (ความดีหากได้เงินหนึ่งล้าน  แต่ต้องโกหกคนอื่น  ก็ต้องบอกว่าโกหกเป็นความชั่วเล็กน้อยไม่เป็นไร  เอาหนึ่งล้านมาแล้วค่อยไปทำบุญสร้างวัดวาดีกว่า  แปลว่าเรารักเงินและรักใบหน้านี้มากกว่าตัวเอง  เป็นการกระทำที่ถูกหรือไม่ (ไม่ไม่ว่าทรัพย์สินเงินทอง  หากเราไม่รู้จักมีความรู้พอ  เราจะต้องเป็นทุกข์กับทรัพย์สิน  เงินทอง  เกียรติยศ  ชื่อเสียง   และใบหน้าอันนี้
หลายครั้งที่เราทุกข์  เราเจ็บปวด  น้ำตาไหล  เพราะว่า  เราติดในทรัพย์ ชื่อเสียง  เกียรติยศ  ใบหน้า  ความผูกพัน  จึงทำให้เรายอมทิ้งทุกอย่างได้  แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง  อย่างนี้เป็นเรื่องน่าเสียดาย ใช่หรือเปล่า 
ท่านไคซินถงจื่อ  : สิ่งที่ท่านจะเสียเวลาที่สุดก็คือ ชีวิตผ่านไปหนึ่งวันโดยที่ไม่มีอะไรงอกเงยขึ้นมาเลย  เหมือนต้นไม้ที่แคระแกร็น  ไม่สามารถปลูกให้เติบโตได้  ถ้าหากลงแรงปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่ง  ท่านอยากให้มันโตก็ต้องรดน้ำทุกวัน  แต่ว่าต้นไม้ของท่านไม่เจริญเติบโตท่านเสียเวลาไหม  ในวันนี้ที่ท่านได้รับธรรมะแล้ว  ถ้าท่านบำเพ็ญธรรมในชาตินี้  ไม่ว่าจะเริ่มต้นบำเพ็ญ หรือยังไม่บำเพ็ญ หรือบำเพ็ญถึงขั้นไหนก็แล้วแต่  แต่ไม่สามารถบำเพ็ญจนบรรลุเป็นพุทธะได้ทั้ง ๆ ที่ ชาตินี้พระอนุตตรธรรมมารดาให้ท่านบำเพ็ญเป็นพุทธะ  ถือว่าชีวิตนี้ก็เสียเวลาไปเปล่า ๆ  เลยใช่ไหม  การเสียเวลาของชีวิตทั้งชีวิตเป็นเรื่องที่เสียหายที่สุด  หากไม่รู้จักบำเพ็ญ  ไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะ
เราชื่อว่าไคซิน  แปลว่า  เบิกบาน  พวกท่านไม่ยอมยิ้มไม่ยอมเบิกบาน  ก็แสดงว่าเราไม่ได้มาที่นี่ 
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์  : หลายครั้งเราทำดีแล้ว  คนไม่อยากรับสิ่งที่เราให้  เราก็น้อยอกน้อยใจ  ประชดตัวเองโดยไม่ทำอีก  หรือโกรธเกรี้ยว  การกระทำเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่  (ไม่ถูกเวลาเราจะทำสิ่งใดก็ตาม  ต้องรู้วาระโอกาสด้วย  หากมีคนทำงานให้เรา  เมื่อถึงเวลาเราต้องรู้จักแสดงน้ำใจไมตรีต่อเขา  โดยการขอบคุณ  หรือถ้าหากเขาเป็นเพื่อนเรา  ก็ยิ้มให้  แต่ถ้าเวลาผ่านไปแล้วมาขอบคุณทีหลัง  ก็ช้าเกินไป  เมื่อเราพบเพื่อนเดือดร้อน  เราต้องยื่นน้ำใจไมตรีต่อเขา  แม้จะเล็กน้อยไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย  เขาก็อิ่มเอิบใจในการอุทิศให้ของเรา  แต่ถ้าเราเพิ่งมานึกเสียสละให้ได้ทีหลัง  แม้จะให้ไปแล้วก็เหมือนให้ถ่านแดงกับคนที่รู้สึกร้อนย่อมไม่มีประโยชน์  หากเราจะช่วยเหลือเขาก็ต้องให้ตอนที่เขารู้สึกหนาว รู้สึกต้องการ  แต่ถ้าผ่านความต้องการ ผ่านความรู้สึกหนาวไปแล้ว  แม้ให้สิ่งดีกว่าก็สายเกินไป ฉะนั้น เวลามีโอกาสทำดีต้องรีบทำ  อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป  ไม่อย่างนั้นเราอาจจะเป็นผู้ทำลายน้ำใจไมตรีต่อกันก็เป็นได้
อยู่ในโลกนี้เราไม่อาจทำทุกเรื่องราวให้ถูกใจคนรอบข้างหมด  แต่เราก็ต้องยึดมั่นในการเป็นคนดี  ในการประพฤติให้ถูกทำนองคลองธรรม หากเราเป็นคนบำเพ็ญดี ปฏิบัติดี  แต่ไม่มีใครเห็นคุณค่าของความดี  เราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้คนอื่นมองเราและเห็นว่าเราปฏิบัติดี  เราก็ไม่เปลี่ยนแปลง  ยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่หลงลำพอง  นั่นคือ  มุ่งมั่นกระทำสิ่งใด  และไตร่ตรองแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดี  ถูกครรลองคลองธรรม  ถูกต้องในการบำเพ็ญตน  ขอให้มุ่งมั่นปฏิบัติต่อไป  อย่าเปลี่ยนแปลงไม่ว่าคนอื่นจะมองหรือไม่
หลายครั้งที่เราอยู่ในโลกนี้  พอคนอื่นไม่มอง  เราก็พยายามเปลี่ยนแปลงตนเองให้เขาสนใจ  พอเขาสนใจ  เรากลับหลงลำพอง หลงลืมสิ่งที่ตนเองทำให้เขามอง ใช่หรือไม่  เหมือนเราอยากจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงยอมเสียเงินแต่งตัวสวย ๆ  ยอมเสียสัจจะเพื่อให้ตนเองเป็นคนเด่นคนดัง เพื่อให้คนอื่นมอง  แต่พอเขามอง  เรากลับยิ่งทำตัวแย่ลงไปอีก  อย่างนั้นเรียกว่า  ลืมแม้กระทั่งตนเอง  ทำร้ายแม้กระทั่งตนเองได้  อย่างนี้น่าสงสารไหม  แล้วจะยอมทำผิดอีกไหม  อย่าปล่อยให้ความไม่รู้  ความเผอเรอ  ให้อารมณ์มาครอบงำจิตใจจนทำให้เราลืมความเป็นตัวของตัวเอง  หรือลืมคุณธรรมความดีงาม ทำได้หรือไม่ 
ท่านไคซินถงจื่อ : เคล็ดลับความเจริญของเราก็ง่าย ๆ   คือการเอาหูไว้รับฟัง  ความคิดเห็นของผู้อื่น  ใช้ผู้อื่นมองตัวเอง  หากสามารถให้คนอื่นบอกได้ว่าท่านผิดอะไร  แล้วเอามาแก้สิ่งที่ไม่ดีให้ดี   สิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นอีก  ในที่สุดท่านก็ลอยขึ้นจากปุถุชนขึ้นมาเป็นพุทธะ  ถ้าท่านไม่ยอมแก้ สิ่งเสียที่อยู่ในร่างกายก็จะกลายเป็นน้ำมูก น้ำตา น้ำเหลืองที่หนัก  เพราะฉะนั้นต้องทำจิตใจของเราให้เบา  อย่าเอาจิตของเราไปรวมกับสิ่งเสียเหล่านี้ ดีหรือเปล่า (ดีร่างกายของเรามีสิ่งไม่ดีเยอะแยะ  สิ่งที่ดีก็มีอยู่ด้วย   ต้องทำดีให้เหนือชั่ว  แล้วทำความดีให้เหนือความดี
            (ท่านไคซินถงจื่อ เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียน ๒ คนแบ่งกัน)
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : หากท่านยอมเสียสละให้ใครสักคน  แล้วอีกคนหนึ่งก็มีใจแบ่งปันให้อีกครึ่งหนึ่ง   เขาเรียกว่าไม่สร้างศัตรูต่อกันแต่เป็นมิตรกันด้วยของเพียงสิ่งเดียว  เราเลือกทางเดินได้แต่เราจะเลือกทางไหนที่ดีที่สุด มนุษย์เป็นผู้มีปัญญา  แต่ต้องเปิดกว้าง  หากมัวแต่หวังประโยชน์  จะทำให้ความกว้างแห่งปัญญากลายเป็นคับแคบใช่หรือไม่ (ใช่) เรื่องราวทุกเรื่องไม่ใช่มีทางเดียว  จริง ๆ แล้วมีหลายทาง อยู่ที่ว่าปัญญาเราเปิด  ใจเรากว้างพอไหม  เวลามีปัญหาเกิดขึ้น คนที่อยู่ในปัญหา  มักจะมองปัญหาไม่เห็น  บางครั้งให้คนที่อยู่ข้างนอกมาช่วยมองปัญหากลับเห็นเด่นชัด  เห็นทางแก้มากกว่า  ฉะนั้น ถ้าเราทำตัวให้อยู่เหนือปัญหาแล้วเราจะแก้ปัญหานั้นได้  ไม่ใช่พอเกิดปัญหาก็มัวแต่จมในปัญหาแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้  เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์  : ไม่เจอกันตั้งนานศิษย์น้องทุกคนสบายดีใช่ไหม  แม้จะทุกข์บ้างสุขบ้าง  ก็ขอให้ยังมีใจในการประพฤติธรรม  ไม่ถดถอย  เพราะเราเข้าใจแล้วว่า  สิ่งที่เรากระทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและมีค่าต่อชีวิต  ขอให้เป็นคนที่มีจุดหมายแห่งชีวิต  เป็นคนที่รู้แนวทางแห่งชีวิตตน  ไม่ยอมแพ้แม้อุปสรรคขวากหนาม  ไม่ยอมแพ้แม้สิ่งที่ไม่ดีมาทำร้ายจิตใจ  หากทนได้  เราสามารถเป็นพุทธะ  เป็นคนที่ดีได้
ถ้าหากหมายมุ่งทำดีใกล้ไกล   มิเว้นใครฤทัยเดียวไม่สอง
  ไม่ติดใจที่ใครเมินไม่มอง      ไม่นำผลมาตัดสิน
หากเราทำดีไปแล้วต้องตั้งใจ  มีใจเดียวที่จะกระทำ  ถ้ามัวแต่ลังเลก็ยากที่จะกระทำได้  แต่ถ้าเรามองดูที่ผลแล้วไม่ทำดีเลย  แปลว่าเราไม่ยึดมั่นในสิ่งที่เราตั้งใจจะกระทำ  การกระทำของเราเปลี่ยนแปลงไปได้ตามคนรอบข้าง  เปลี่ยนแปลงตามผล  เราไม่สามารถกระทำดีด้วยความตั้งใจจริง  เมื่อจะกระทำสิ่งใดแล้วต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด ไม่ท้อถอย ไม่หวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองตัดสินใจและไตร่ตรองแล้ว
หลายครั้งเวลาเราทำดี  เราเกิดสองใจว่าจะทำหรือไม่ทำดี  บางครั้งจะทำดีก็คิดว่าทำแล้วไม่ได้ผลดี  อย่าทำเลยดีกว่า  เหมือนกำลังจะก้าวออกไปแต่ยังไม่ทันก้าวก็ลังเล  ผลสุดท้ายก็คือไม่ได้ก้าวเดินหรือไม่ได้ทำดีเลย  เพราะมัวคิดมากไป  การคิดมากเกินไปก็มีประโยชน์สำหรับคนที่คิดน้อยเกินไป  บางคนเวลาทำไม่คิด  นึกจะทำก็ทำ อย่างนี้ก็ไม่ถูก  เพราะอาจจะกลายเป็นว่าเอาความดีไปใส่ไว้บนความไม่ดีของคนอื่นก็เป็นได้ ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดเวลากระทำต้องคิดไตร่ตรองให้ดี  แล้วสำหรับคนที่คิดเกินไป ลังเลจนไม่กล้าก้าวก็ต้องคิดให้น้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่
หากเกิดทุกข์มิยอมให้ใจขม      หากใครล้มปราชญ์มิข้ามกันกิน” 
เวลาเกิดความทุกข์  หากใจเราไม่รู้สึกทุกข์ไปกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น  นั่นก็คือ เราอยู่เหนือสภาวะที่เกิด  สภาวะนั้นก็ยากที่จะมาเกาะกุมใจเราได้  ถ้าเรามีจิตใจอยู่เหนือความผิดหวัง ความเสียใจ  สิ่งเหล่านี้ก็ยากที่จะมาอยู่ในตัวเรา  จิตใจเรา ใช่หรือไม่ (ใช่ใจเราเหมือนภาวะที่เหนียวมาก  เกาะแล้วไม่ยอมปล่อย  ทุกข์แล้วไม่ยอมเลิกทุกข์เสียที  ทั้งที่เราไม่อยากเจอ 
ปราชญ์ในที่นี้หมายความว่า  ความสำเร็จหรือสิ่งที่เป็นผลสำเร็จ  เวลาเราได้ผลสำเร็จขึ้นมา  เราต้องคิดด้วยว่าเป็นผลสำเร็จที่เหยียบย่างอยู่บนความทุกข์ร้อนของคนอื่น หรือเกิดมาจากการโป้ปดมดเท็จหรือไม่  หากเป็นผลสำเร็จที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน  แต่ตนเองได้หน้าอย่างนั้นไม่ควรทำ  เหมือนคำพูดว่าคนล้มอย่าข้าม  เพราะเขาสามารถลุกขึ้นมายืนใหม่ได้เหมือนกัน  ฉะนั้น  เวลาเรากระทำสิ่งใดก็ตาม  หากเป็นผลสำเร็จเราก็อุทิศให้กับทุกคน  เพราะทุกคนช่วยเหลือ  เพราะฟ้าดินช่วยการุณย์ให้โอกาสเราได้ทำดี  ถ้าเรายกความดีให้ฟ้า  ความดีของเราก็ยิ่งใหญ่เฉกเช่นฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่หากเรายกความดีให้ตนเอง  ความดีก็อยู่ที่ตัวเองคนเดียว  ถ้าดีตอนต้นมาเสียตอนปลายเราก็รู้สึกว่าไม่น่ารับผลดีเลย    แต่ถ้าเรายกให้ฟ้าแล้ว  เราก็โล่งใจใช่หรือเปล่า (ใช่
เรื่องราวบางเรื่องอย่ายึดตัวตนมากนัก  เพราะมีตัวตนจึงเกิดทุกข์  ถ้าปล่อยตนได้  ละความยึดมั่นได้ เราก็เป็นสุข  อย่ายึดมั่นว่าสุขในโลกนี้จะต้องมีรถ  มีเงิน  มีความรัก   บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีอะไรเลยก็เป็นสุขได้  นั่นคือสุขที่ใจ  เป็นสุขที่ปราศจากตัวตน  เป็นสุขที่สงบ   เป็นสุขอันนิรันดร์  ทำได้ไหม (ได้
หากศิษย์น้องค่อย ๆ ศึกษา  นำไปพินิจพิเคราะห์แล้วกระทำตาม  ย่อมเป็นผลดีต่อศิษย์น้อง  อย่ามองเห็นว่าที่ศิษย์พี่มา  ที่เซียนเด็กมาเป็นการหลอกลวง  เป็นการโป้ปด  ถ้ามัวแต่คิดว่าหลอกลวงโป้ปดอย่างนี้  บางทีจะได้ฟังสิ่งที่ดีก็พลาดไปใช่หรือไม่ (ใช่โลกใบนี้จะสวยหรือไม่สวย  บางครั้งก็อยู่ที่ตาเรา  ตาเราเปิดกว้างหรือเปล่า  มีทัศนะในแง่คิดที่ดีหรือไม่ โลกนี้อาจจะเป็นโลกที่สวยและน่ากลัวได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา  ขึ้นอยู่กับน้ำมือเรา  และก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง  ความทุกข์ก็เหมือนกัน  อาจจะเอื้อให้ศิษย์น้องเป็นพุทธะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  ถ้าหากศิษย์น้องรู้จักเผชิญหน้ากับความทุกข์และรู้จักที่จะรับมือกับความทุกข์  อย่ามองแต่ความทุกข์ที่ทำให้เราทุกข์  บางครั้งความสุขก็สามารถทำให้เราหลงระเริงได้ 
เดี๋ยววันนี้ศิษย์พี่ขอไปก่อน  มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันใหม่
ท่านไคซินถงจื่อ : อย่าลืมว่าตอนนี้เราก้าวเข้าสู่ประตูพุทธะแล้ว  การบำเพ็ญก็จะเกิดขึ้น  ท่านอย่ามัวเล่นเพลินแล้วมาเพ้อกับความฝันอันลวงตา  ไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะเสียเวลาชีวิตนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์  เป็นการเสียเวลามากที่สุด  ขอให้ทุกท่านคิดถึงเราบ่อย ๆ  และขอให้บำเพ็ญทุก ๆ วันด้วย  การบำเพ็ญไม่ใช่มีแค่จิตกับกายเท่านั้นที่เรียกว่า บำเพ็ญ  มีอีกตั้งมากมายที่เรียกว่าการบำเพ็ญ  อีกสองวันท่านไปหาคำตอบว่า  การบำเพ็ญคืออะไรดีหรือเปล่า  ขอให้ทุกท่านร้องเพลง ปลุกจิตตน  และร้องด้วยความเบิกบาน เอาจิตใจของตนเองออกมาร้อง
เราต้องหัดช่วยคนข้างหลังเหมือนกับที่ช่วยตัวของเรา  อย่าคิดมาก  เวลาเริ่มทำก็มีผิดมีถูกบ้าง  แต่อย่าผิดบ่อยนัก  เพราะจะกลายเป็นทำผิดไม่ใช่ทำถูก  เอาไว้วันหลังมีโอกาสเราเจอกันใหม่















       วันเสาร์ที่  ๒๙  สิงหาคม  พุทธศํกราช  ๒๕๔๑
      พระโอวาทท่านแปดเซียนฮั่นจงหลี

        คนเก่งกาจใช่ว่าจะประสบ         ความสำเร็จอันครันครบน่านับถือ
คนเมตตาใช่ต้องเก่งเขาลงมือ            คนนับถือด้วยใจถึงจะจริง
              เราคือ
       ฮั่นจงหลีต้าเซียน                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถาน    แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                                           ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
                                 
                                     เมาลาภยศยกย่องของนอกกาย                    เฝ้าขวนขวายจนใจสิ้นความเสถียร
               ชีพมีย่อมลำบากสบายสลับเวียน                                                หยุดเบียดเบียนชีวันตนปล่อยพ้นพันธนาการ
บุญสิ้นสุดได้แต่ทนเวทนา                                                   วาสนาหมดได้อย่าไปโศกกำสรวล
หมดไปเสียก่อนเวลาอันสมควร                                          ต้องทบทวนอดทนชะตามาเป็นทุน
คนไม่กล้าตะวันร้อนกำบังตัว                                              คนพันพั วใจอาจย่ามซ่อนหมกมุ่น
อารมณ์รุมให้เผาใจเป็นจุณ                                            ตื่น ภายในอบอุ่นเป็นคนใหม่
ประคองไว้สุขุมนิ่งตรองเสียสาม                                         มีพยายามความสำเร็จไปไหนได้
ถูกรบเร้าลามเลียภัยไม่เว้นใคร                                          กระจ่างใสปัญญาเหตุฝนลาฟ้า
เริ่มฝึกหัดแก้กระทั่งจิตราเพ็ญ                                            ทั่งมาเป็นเข็มสมบูรณ์ต้องฟันฝ่า
หยิบใช้ได้ยังประโยชน์แด่ประชา                                        ผายความกล้าสู่นิรันดร์เมธีมี
ผู้ชอบให้สาธารณะจะศรัทธาคุณธรรม           สานกันต่อมั่นสัจธรรมเชื่อวิถี
พัฒนาใจกว้างใหญ่แคบอย่ามี                                          ชาวดรีไว้สายกลางควรคะนึง
สามัคคีมือจูงมือหมั่นอภัยจิต                                              พิสูจน์ก่อนประสานจิตหวั่นเลิกหนึ่ง
เมื่อสุดทางไม่หวั่นไหวกลางคืนบึ่ง                                     เพราะมาถึงบ้านเดิมคัคนานต์ทัน

เคยสำคัญนานสิ่งกลายค่าไร้                                               เสมือนวันมีใจกลายอดีตนั่น
ปัญญาอวิชชาประดุจมีดเล่มเดียวกัน   ตามให้ทันมายาตื่นให้จริง
                                                                                                            ฮา    ฮา    หยุด
 


๑  เสถียร         แปลว่า             มั่นคง, แข็งแรง
๒  พันธนาการ                       แปลว่า      การจองจำ
๓  กำสรวล      แปลว่า              โศกเศร้า, คร่ำครวญ, ร้องไห้
๔  จุณ                                      แปลว่า       ของที่ป่น, ของที่ละเอียด, ผง
๕  ดรี                                        แปลว่า       เรือ
๖  คัคนานต์           แปลว่า                                 ฟ้า















พระโอวาทท่านแปดเซียนฮั่นจงหลี

ชีวิตของเราจะมีแต่ความสุขสนุกสนานอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้       บางครั้งก็ต้องมีทุกข์บ้างสุขบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่แต่ถ้าอยู่ร่วมกันแล้วใช้แต่ความหยิ่งผยอง โอ้อวดว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่น  ใช้ความเก่งข่มผู้อื่น ก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกับผองชนได้อย่างปกติสุข มีแต่จะหลีกหนีไปทีละคน ใช่หรือเปล่า (ใช่) เวลาท่านมาถึงสถานธรรม อยากได้ความรู้ อยากได้ธรรมะ อยากได้สิ่งที่ดี  ไม่อยากให้ใครหลอกลวง ไม่อยากให้ใครมาแสดงตนโอ้อวดต่อหน้าท่าน  เมื่อเราไม่ต้องการสิ่งใด เราก็ต้องไม่ทำสิ่งนั้นต่อคนอื่น  นี่ก็เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง 
หากเรามาในลักษณะที่หน้าบึ้ง ในใจของท่านคงหวาดกลัว หรือไม่ก็   กล้า ๆ กลัว ๆ ใช่หรือเปล่า  ถ้าเราหน้าบึ้งคงไม่มีใครอยากจะสนทนาหรือเชื้อเชิญให้เรามาอยู่ในสถานธรรมแน่นอน  แต่ถ้าเราเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่เป็นยิ้มแย้ม ท่านคงอยากคุยกับเรา เพราะเราก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากท่านมากมาย จะต่างกันก็เพียงพฤติกรรมภายนอกเท่านั้น  แต่เรามีพุทธจิตธรรมญาณเหมือนกัน ความประพฤติและรูปลักษณ์ภายนอกทำให้คนแตกต่างกัน  ถ้าเราวางท่าทางเคร่งขรึมดุดัน ก็จะน่ากลัว  หรือไม่ก็ต้องคิดว่าเขาเป็นผู้ที่มีอำนาจ มียศศักดิ์  แต่ถ้าอีกท่านหนึ่ง วางตัวยิ้มแย้มด้วยไมตรี มีอัธยาศัยที่ดี จริงใจต่อท่าน พูดคุยกับท่าน ท่านจะรู้สึกว่าคนนี้เป็นมิตร แล้วก็อยากคุยกับเขา อยากสนทนากับเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่ฉะนั้น ตอนที่มาสถานธรรม เราควรปฏิบัติตัวเช่นไรต่อคนรอบข้างบ้าง  มีกี่คนที่จะยิ้มได้เต็มปาก  ส่วนใหญ่มาเหมือนโดนบีบบังคับ โดนข่มขู่ กลัวเขาจะเสียน้ำใจ กลัวเสียสัจจะวาจา หรือกลัวเสียเพื่อนที่หวังดี ใช่หรือไม่ (ใช่เมื่อไม่จริงใจต่อเขาแล้ว  คนที่ชวนมาก็รู้สึกลำบากใจ  การอยู่ร่วมกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ      อย่าทำให้เขาลำบากใจ  เพราะถ้าลำบากใจแล้วก็อยู่ร่วมกันได้ไม่ตลอด ใช่หรือเปล่า (ใช่
บางครั้งอำนาจวาสนาก็ไม่สามารถทำให้คนนับถือเราด้วยใจจริงได้ สิ่งใดที่ทำให้คนเรานับถือกันได้ด้วยใจจริง (ความดี , ความเสมอต้นเสมอปลายในความซื่อสัตย์ และการทำงานร่วมกันทำไมเรานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ทำไมเรานับถือบิดา มารดร  (เป็นผู้ให้กำเนิด ให้สิ่งที่ดีกับเราทำไมเรานับถือเพื่อนที่สนิทกับเรามาก แต่คนอื่นเราไม่นับถือ  (เพราะเป็นคนมีน้ำใจและจริงใจกับเรา       ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ (ใช่การที่เราจะสร้างความนับถือให้กับใคร สร้างความจริงใจให้กับใคร  ตัวเราต้องเป็นผู้รู้จักให้กับเขาก่อน  อยู่บนโลกนี้เราหวังจะรับฝ่ายเดียวเป็นไปไม่ได้
            การยอมมานั่งฟังสามวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  ทุกท่านในที่นี้ต่างก็มีบุญ    ไม่มากก็น้อย การที่เรายังมีบุญวาสนาอยู่ ได้กินได้ใช้ของบรรพชน ก็เพราะมีรากบุญที่บรรพชนได้สั่งสมไว้ ใช่หรือไม่  (ใช่
นอกจากเราจะนับถือบุคคลที่มีน้ำใจไมตรี  ที่มีความเมตตากรุณาแล้ว  เราอย่าลืมนับถือบุคคลที่อยู่ใกล้ตัวเราด้วย  เรามักจะเห็นคนอื่นมีความเก่งแล้วเราก็ยกย่องนับถือเขา  แต่เรามักมองข้ามและหลงลืมคนที่เก่งที่สุด ที่อยู่ใกล้ตัว   ที่สุด ที่มีบุญคุณและน่านับถือที่สุดคือใคร (บิดา มารดา) นอกจากบิดามารดาแล้วก็คือบรรพชนของเรา  แม้คุณความดีจะไม่แผ่กระจายไปทั่วผองชน แต่คุณความดีนั้นก็ส่งและตกทอดมาถึงเรา  และแม้คุณความดีนั้นจะไม่ยิ่งใหญ่และอาจจะมีร่องรอยของการทำผิดพลาดบ้าง แต่ความผิดนั้นก็สอนให้เราได้รู้ ฉะนั้น ไม่ว่าบรรพชนจะทำถูกหรือผิด ก็สอนให้เราได้รู้จักชีวิตไม่เดินซ้ำรอยเดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่ ) ดังนั้น นอกจากเราจะนับถือคนข้างนอกแล้วเราต้องนับถือคนในบ้านเราด้วย 
โลกใบนี้ยังเป็นโลกที่น่าอยู่ เป็นโลกที่ปกติสันติสุขได้ ก็เพราะมีผู้เสียสละ  มีผู้ยินยอมที่จะอุทิศชีวิตของตน โดยไม่สนใจโลกียสุข แต่มาสนใจศึกษาธรรมะ  พยายามที่จะกอบกู้ธรรมะให้ยังคงอยู่ไม่ว่าเวลาใด  บุคคลเช่นนี้น่าเคารพหรือไม่ (น่าเคารพถ้าไม่มีเขาแล้วจะมีเราที่ได้รู้จักธรรมะอยู่ตรงนี้หรือไม่ (ไม่มี) หากเราจะเป็นผู้รับอย่างเดียวโดยไม่มีความรู้สึกอยากจะให้ อยากจะเสียสละ  การให้นั้นก็ย่อมจะเริ่มหายไปจากเรา จิตใจของเราก็มีแต่อยากจะรับอย่างเดียว เท่ากับว่าสังคมก็เพิ่มแต่คนที่อยากจะรับ  ส่วนคนที่จะอุทิศให้ก็ค่อยๆ  น้อยลง    เมื่อคนให้มีน้อยลงแต่คนรับเพิ่มขึ้นจะเป็นเช่นไร  เมื่อคนหนึ่งได้แต่อีกคนหนึ่งไม่ได้ ก็ต้องเกิดการต่อสู้  แก่งแย่งแข่งขันกัน ความวุ่นวายก็ย่อมจะเกิด   โลกก็ย่อมยากที่จะสันติสุขได้   ฉะนั้น เราควรที่จะสืบต่อความคิดในการอุทิศเสียสละและกอบกู้ธรรมนี้ให้ดำรงคงอยู่ในโลกหรือไม่   (ควร)     แม้เราจะสละได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม  แล้วเราควรที่จะให้ความเคารพบุคคลที่มีใจใฝ่ศึกษาธรรม  อุทิศตนเพื่องานธรรมะ หรือไม่ (ควร)   แม้เขาจะอายุน้อยกว่าเราก็ตาม  ทำได้หรือไม่ (ได้)
การมองสิ่งใดก็ตาม อย่ายึดติดเพียงภายนอก เราจะต้องมองให้ถึง    แก่นแท้ของความเป็นจริง หากท่านมองเปลือกท่านก็ได้เปลือก แต่ถ้ามองให้ถึงแก่นแท้ภายในท่านย่อมได้แก่นแท้ภายใน
ถ้าพูดถึงบุญคุณที่ทำให้เรามีชีวิตจนถึงปัจจุบัน พูดทั้งวันก็คงไม่หมดสิ้น  ไม่ใช่แค่บุญคุณบิดามารดา บรรพชนหรือผู้ที่ยังสืบต่อในวงการธรรมะ แต่ยังมี บุญคุณแห่งฟ้าดิน บุญคุณแห่งบุคคลที่อยู่รอบข้างเราอีก  แม้คนที่ไม่รู้จัก เขาก็มีบุญคุณเหมือนกัน  บุญคุณที่อยู่ร่วมกับเรา  บุญคุณที่สร้างทำให้เราได้มีเสื้อผ้าใส่  ได้มีอาหาร  ได้มีเครื่องดื่ม  เพราะคน ๆ เดียวไม่สามารถจะทำงานทุกอย่างได้เพราะเรามีมือแค่สองมือ แม้เราจะมีความสามารถมากมาย  แต่ว่าเวลามีจำกัด เราจึงไม่สามารถทำทุกอย่างได้ เรามีชีวิตได้ก็ด้วยการลงแรง การอุทิศให้ของคนรอบข้าง ไม่มากก็น้อย   แม้ว่าเขาจะได้ประโยชน์  แต่เราก็ได้ประโยชน์เช่นกัน
ชีพมีย่อมลำบากสบายสลับเวียน       
          หยุดเบียดเบียนชีวันตนปล่อยพ้นพันธนาการ
ชีวิตเรามีพันธนาการผูกพันหรือไม่ (มี) มนุษย์นั้นตัวเปล่า  แต่ก็มักจะหาอะไรมาพันผูก คอว่างก็หาสร้อยมาใส่ แขนขาว่างก็หากำไลมาใส่ หูเบา  หัวเบา  ก็หาอะไรมาห้อย   พอห้อยแล้วรู้สึก อิสระเสรีหรือไม่ (ไม่)
ตัวเราเบา ๆ ก็ห้อยน้ำหนักเพิ่มให้มากขึ้น  ภาระน้อย ๆ ก็เพิ่มให้มากขึ้น  ทรัพย์สินมีเพียงเท่านี้ สามารถเบิกบาน พึงพอใจและมีความสุขได้ก็ไม่พอ  ต้องมีมากขึ้นอีกถึงจะสุขมากขึ้น  ความสุขจึงกลายเป็นอยู่ที่วัตถุแทนที่จะอยู่ที่จิตใจ  เมื่อขึ้นชื่อว่าวัตถุ ขึ้นชื่อว่ารูปนามแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่ง   ย่อมตกอยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดและการดับ วันนี้ทรัพย์สิน ลาภยศอยู่กับมือเรา  วันต่อไปมีไหมที่จะไม่เปลี่ยน ที่จะอยู่กับเราโดยไม่ดับหรือหายไป  แม้จะมีข้าวของเต็มตู้แต่ก็หยิบไปได้เพียงแค่สองกำมือ  แม้จะมีทรัพย์สินมากมายเต็มคลัง  แต่ก็หยิบได้ใช้เพียงวันละครั้งเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่วันละครั้งนั้นสำหรับคนที่รู้จักใช้  แต่ถ้าหยิบวันละหลาย ๆ ครั้ง  ต้องเรียกว่าคนฟุ่มเฟือย มนุษย์มักเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุ  ซึ่งย่อมมีขึ้นมีลง  มีได้มีเสีย  แล้วจิตใจจะเป็นสุขได้หรือไม่ (ไม่ได้) จึงมีสำนวนกล่าวไว้ว่า  ถ้าใจตั้งไว้ที่ผิด  ก็ยากที่จะบอกได้ว่า ความทุกข์ ความสุขนั้นจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ใช่ไหม (ใช่) เมื่อใจไปตั้งอยู่กับวัตถุ ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่จบ ไม่สิ้น
คนเราต้องแสวงหาต้องดิ้นรนเพราะอะไร สำหรับคนที่กำลังศึกษาทำไมถึงต้องศึกษาหาความรู้ สำหรับคนที่กำลังค้าขาย ทำไมต้องหาทรัพย์ สำหรับคนที่กำลังทำงานทำไมต้องแสวงลาภยศชื่อเสียง ใครจะเป็นตัวแทนตอบแทนคนสามประเภท (ตัวแทนคนทำงาน : เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต) แต่ความเจริญก้าวหน้ามักไม่มีที่สิ้นสุด จนเราลืมนึกไปว่าสูงสุดนั้นก็คือสามัญ เมื่อพอเราไต่ไปจนถึงที่สุดแล้ว  ผลสุดท้ายเราก็ต้องกลับมาอยู่ตำแหน่งที่เหมือนนับหนึ่งใหม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) (ตัวแทนคนค้าขาย : เพื่อให้ชีวิตเราไปสู่จุดมุ่งหมายที่เราตั้งไว้คือความสุขของครอบครัว) แต่ถ้าคิดให้ดี  ความสุขของครอบครัวแท้จริงได้มาจากการอยู่อย่างสมานปรองดองกันต่างหาก  ไม่ใช่การอยู่ร่วมกันอย่างมีทรัพย์สินมากมายแต่ทุกคนต่างกระจัดกระจายกันไปทำงาน ไม่มีเวลาแม้จะพบหน้ากัน   (ตัวแทนนักเรียน : การเรียนเพื่อศึกษาหาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า,มีวิชาชีพติดตัวไม่ว่าเราจะทำงานหรือศึกษาล้วนเพื่อให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป       ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ว่าเราจะเรียนหรือทำงาน เมื่อเรามุ่งมั่นจะทำสิ่งใดแล้ว  เราย่อมไปให้ถึงจุดหมาย  แต่ถ้าเกิดสิ่งที่เรามุ่งมั่น สิ่งที่เราตั้งเป้าจะไปให้ถึงจุดหมายนั้น  ทำให้เรากลายเป็นคนที่มีหูแต่ไม่สามารถได้ยินเรื่องราวได้ชัดเจน  มีตาแต่ไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างอิสระ  มีใจแต่ไม่สามารถที่จะปรารถนาสิ่งที่ตนเองต้องการได้อย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต่างจากคนที่ผูกพันธนาการ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยกตัวอย่างคนที่จะมุ่งมั่นไปให้ถึงแม้ตำแหน่ง ชื่อเสียง  โดยยอมทำทุกอย่างเพื่อจะได้ตำแหน่ง ชื่อเสียงมา ใช่หรือไม่ (ใช่จนบางครั้ง แม้เขามีหูแต่หูของเขาไม่ยอมรับฟังอะไร  เขามีตาแต่ไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริง  เขามีใจแต่ใจเขาก็ไม่มีอิสระเสรีที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ การค้ากับการศึกษาก็เช่นเดียวกัน  หากเราวุ่นกับการค้าจนแบ่งเวลาไม่ถูก  หูเราก็ย่อมยากที่จะได้ยินเสียงแห่งความเป็นจริงได้ เสียงที่ได้ยินจึงเป็นเสียงด่าทอกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) การศึกษาก็เหมือนกัน  ถ้าเราศึกษาจนไม่ยอมมองความเป็นจริง ไม่รับฟังความเป็นจริงของคนอื่น  ไม่รับฟังเรื่องที่เป็นสัจธรรม  จิตใจของเรา ตัวของเราก็เหมือนกับถูกพันธนาการด้วยการเรียน การค้าขาย การทำงาน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่เราพูดมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรเรียน ไม่ควรค้าขาย หรือไม่ควรมีอาชีพการงานเพื่อความก้าวหน้า  ชีวิตของเราจนเกินก็ไม่ดี รวยเกินก็ไม่ดี เราต้องรู้จักใช้เวลาให้เหมาะสม  เมื่อถึงคราวทำงานก็ต้องทำงาน  เมื่อถึงคราวพักก็ต้องพัก  แล้วก็มีสุขเท่าที่ตนเองพึงได้ พึงมี ตามที่กำลังตนขวนขวายมาได้      ใช่หรือไม่ (ใช่หากไม่ได้ก็ยอมรับรู้รับฟังความเป็นจริง  นั่นก็คือไม่ว่าเราจะเรียน  ค้าขาย ทำงานหรือมีอาชีพใด เราก็สามารถมีจิตใจที่เป็นอิสระ  มีหูมีตาที่เปิดกว้างรับฟังเรื่องราวต่างๆ ได้  มนุษย์รู้จักดำรงชีวิต แต่มักจะทำให้ชีวิตนั้นยากที่จะดำรง  เพราะว่าขาดความเข้าใจอย่างแจ่มชัดในชีวิตของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่
ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นคนร่ำรวยแต่เราก็เป็นสุขได้ ถึงแม้เราเป็นคนร่ำรวย แต่ต้องไม่หลงโลกียสุขจนเกินไป  นั่นก็คือรู้ในความสุขแห่งสิ่งที่ตนมีอยู่ รู้พึงพอใจในสิ่งที่ตนได้รับ ทำได้หรือเปล่า (ได้) แล้วเราก็ไม่เหนื่อยกับการอยากจนเกินไป  การดิ้นรนวุ่นวายจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่แต่จริงๆ ก็อดไม่ได้  เพราะตายังต้องมอง หูยังต้องฟัง มือยังต้องสัมผัส ใจยังต้องรู้สึก แล้วจะเอาอะไรมาควบคุม     ตนเอง ไม่ทำให้ตนเองต้องหลงเตลิดเปิดเปิงไปเพราะความอยาก เพราะอารมณ์ (ต้องพยายามตัดกิเลส ควบคุมตนเอง
 มนุษย์มีทุกข์ก็ตรงที่ว่าทุกมื้อจะต้องหาอะไรใส่ท้อง การสนองความอยากตรงนี้ก็ไม่ผิด สมมติว่าเรามีเงินสิบบาท เราสนองความอยากโดยการซื้อข้าวและกับข้าวเพียงอย่างเดียว เราก็อิ่มได้  แต่ถ้าเรามีความอยากมากกว่านั้น คือกินข้าวใส่จานธรรมดารู้สึกไม่ดีพอ กินข้าวอยู่ที่บ้านไม่มีความสุขพอ ต้องไปนั่งที่ร้านหรู ๆ  ต้องเป็นจานเคลือบทอง ช้อนทอง อาหารต้องเป็นกุ๊กทำ  ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คืออยากมากเกิน   อยากที่ไม่รู้จักพอ
แม้ชีวิตเราจะต้องหาอะไรใส่ท้อง แต่ถ้าเรารู้อยากอย่างพอเหมาะพอควรตามที่กำลังของตนเองสามารถสรรหาได้ เราก็จะไม่ถูกพันธนาการแห่งความอยากนั้นผูกเข้าไปอีก   ไม่เช่นนั้น นอกจากโซ่ที่ห้อยคอ ห้อยข้อมือข้อเท้าแล้ว  เรายังมีโซ่ที่ห้อยไปที่ท้องที่ปากอีกด้วย ใช่หรือไม่   บางคนยอมขับรถไปไกล ๆ ยอมเดินไปไกล ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองอยากทาน  อิ่มเหมือนกันแต่ต้องยอมไปไกล ๆ เช่นนั้น คุ้มหรือเปล่า (ไม่คุ้ม)   แต่บ่อยครั้งต้องถูกโซ่พันธนาการแห่งความอยากดึงตนเองไปถึงให้จงได้  แล้วก็บอกว่าเหนื่อยไม่เห็นคุ้มเลย    พอถึงบ้านก็เหมือนไม่ได้กินอะไร  แถมถ้าโลภมากกินมากก็อยากเอาออกเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)
            บุญสิ้นสุดได้แต่ทนเวทนา          วาสนาหมดได้อย่าไปโศกกำสรวล
หมดไปเสียก่อนเวลาอันสมควร    ต้องทบทวนอดทนชะตามาเป็นทุน
ในช่วงเวลานี้เราจะสังเกตเห็นได้ว่าถ้าใครยังมีบุญมีชะตาที่ดีอยู่  ฐานะเขาก็ยังคงไม่สั่นคลอน แต่ถ้าโชคไม่ดีก็เหมือนบุญหรือวาสนาที่เขาสร้างสมมาหมดไปแล้ว ทำให้สูญเสียยิ่งกว่าสูญเสีย  ทำให้ที่เคยมีกลายเป็นไม่มี ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราจะทำอย่างไรเมื่อชะตาของเราถูกกำหนดมาเช่นนี้ บุญของเราได้หมดไปแล้ว  บางครั้งเราพยายามดิ้นรน พยายามค้าขายใหม่  พยายามเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่  แต่นับเท่าไรก็ไม่เคยเป็นสองเป็นสามสักที เราคงเหยียบย่ำอยู่ที่หนึ่งอยู่ร่ำไป  สิ่งที่เราควรทำก็คือ เราต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงก่อน  ปรับใจตนเองว่าตนเองไม่ใช่สภาพเดิมแล้ว  เมื่อปรับใจได้ ยอมรับได้ ยอมมองให้เห็นว่าสภาพเช่นนี้เป็นเช่นไร  เมื่อมองเห็นแล้วเราต้องตีให้ออกว่าเราควรจะดำเนินอย่างไรต่อไป   ใช่ไหม (ใช่)      เมื่อบุญหมด   เราก็ต้องรู้จักสร้างบุญ   สร้างพละกำลังของตนเอง
 และสร้างอาชีพของตนเองให้ขึ้นมาใหม่ด้วย  
ชีวิตของคนเราต่างยังมีลมหายใจ  เรายังมีโอกาสสร้างบุญ  แม้บุญกุศลที่สร้างวันนี้หมดไปแล้ว แต่เราก็สามารถสร้างต่อไปได้ หากเรายอมรับสภาพเป็นจริง ต่อไปอาจจะพลิกผันเปลี่ยนแปลงจากร้ายมาเป็นดีก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   อย่าปล่อยให้ตนเองอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร เอาแต่รอคอยอย่างนี้ชะตาหรือบุญของเราจะเปลี่ยนแปลงได้หรือ  (ไม่ได้) อย่างที่เราเคยรู้มา เมื่อหมดบุญแล้วเราก็ต้องเร่งรีบสร้างบุญถ้าหากเรายังมีลมหายใจอยู่  แต่ถ้าหากเราเกิดหมดบุญพร้อมกับหมดลมหายใจ เราต้องลำบากแน่   เพราะเราก็ไม่อาจแก้อะไรได้
เมื่อไรที่บุญหมด  ชีวิตเราหมด  สิ่งที่เราเคยทำมาจะมาแก้ไขตอนนี้ก็แก้ไม่ได้แล้ว  สิ่งที่เรารู้สึกสำนึกผิด  จะมาขอขมาก็ไม่ทันแล้ว  จึงมีสำนวนว่า  อย่าให้ตนเองยืนอยู่บนขอบเหวนรกจึงนึกถึงสวรรค์หรือการกระทำความดี”  สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดกับคนที่หมั่นทำความดี  ถึงแม้ตนเองจะทำความดีแต่ถ้ายังยึดติดในบุญกุศล บุญกุศลนั้นก็ยากจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน เวลาทำอะไรก็อดหวังผลไม่ได้  เมื่อมีการหวังผล  การกระทำของเราจึงออกไปไม่เต็มที่ เหมือนเวลาเราให้สิ่งของคน ๆหนึ่ง แม้ตอนนั้นเรามีใจอยากให้จริง ๆ  แต่เรามีความรู้สึกแฝงในใจว่าอยากได้รับกลับ จึงทำให้สีหน้า คำพูด    การกระทำที่ออกไปมีความหมายแฝง เหมือนคำพูดคนเรา เราอยากจะพูดให้เขา รู้ว่าเรารู้สึกกับเขาเช่นไร   เราก็จะต้องพยายามขัดเกลาประโยคนั้นให้ดี ให้ไพเราะ ให้เขาไม่สามารถรู้ได้โดยเฉพาะถ้าเราต้องการจะว่าเขา  เพื่อไม่ให้เขาเสียหน้าเราก็ต้องเกลาประโยคให้สละสลวยโดยที่ไม่ให้เขารู้ตัวแต่ให้เขาเอาไปคิด  การแสดงหรือการกระทำที่มีความคิดแฝงเมื่อกระทำออกไปจึงไม่สมบูรณ์  ผลที่ได้รับก็ย่อมกลับมาไม่สมบูรณ์เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ผู้เป็นบัณฑิตเมื่อรู้จักฝึกฝนขัดเกลาตนให้มีคุณธรรม  จริยธรรมแล้ว     จะทำให้เขาเป็นคนที่รักและเมตตาต่อคนอื่นด้วยใจจริงไร้สิ่งเคลือบแฝง              หากประชาชนหมั่นฝึกฝนขัดเกลาตนในด้านคุณธรรม  จริยธรรมหรือศีลธรรมแล้ว  จะทำให้เขาเป็นคนไม่หยาบกระด้าง มีความสุภาพ  และความจริงใจต่อกัน    คุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมจึงมีส่วนขัดเกลาจิตใจของคนให้กระทำสิ่งใดแล้วอย่ามีสิ่งเคลือบแฝง  และไม่หวังผลตอบแทน  ผลนั้นจึงจะกลับมายิ่งใหญ่  สมกับสิ่งที่ตนเองได้ลงแรงไป และเป็นนิจนิรันดร์
ธรรมะดีเช่นนี้ แต่มีน้อยคนนักที่ศึกษาธรรมะตั้งแต่ต้นจนถึงปลายอย่างไม่มีวันขาดสาย  ส่วนใหญ่พอรู้แค่ งู ๆ  ปลา ๆ  ก็เอาไปใช้  ผลออกมาจึงเป็นแบบปลา ๆ และ งู  ๆ
คนไม่กล้าตะวันร้อนกำบังตัว
คนไม่กล้าเพราะว่าตะวันร้อน  ถ้ากล้าแล้วแม้ตะวันจะร้อนก็ไม่ต้องหลบไปกำบังตัว   นั่นก็คือ   หากเราไม่มีความกล้าที่จะกระทำสิ่งใด  ไม่กล้าที่จะเผชิญความยากลำบาก  วัน ๆ เอาแต่หลบตัวซ่อนอยู่แต่ในความเย็น  ก็ยากจะเผชิญความเป็นจริงแห่งชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาเรียกว่าเป็นคนที่กลัวความลำบาก  เมื่อกลัวแล้ว  การที่จะมีใจไปช่วยเหลือคนอื่นย่อมจะยากกว่าอะไรทั้งสิ้น  ถ้าต่างคนต่างกลัวความลำบาก  กลัวความเดือดร้อน ก็จะเป็นคนเห็นแก่ตน   ถ้าทุกคนเห็นแก่ตน   อย่างเช่นลูกเห็นแก่ตนไม่ช่วยเหลือพ่อแม่  พ่อแม่เห็นแก่ตนไม่เลี้ยงลูก   เราเห็นแก่บ้านเราเองและเห็นแก่ตนเองไม่ช่วยคนอื่น    ผู้นำประเทศหรือคนที่ปกครองสังคมเห็นแก่ตนไม่คิดถึงผองชน  ความน่ากลัวที่นึกไม่ถึงและคาดไม่ถึงก็ย่อมบังเกิดขึ้นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากฟ้าเห็นแก่ฟ้า ไม่เห็นแก่ผองชน โดยไม่ให้แสงแดดสักหนึ่งวัน  เราคงต้องเดือดร้อน  วุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
             ดังที่เรากล่าวไว้ตั้งแต่ต้น  เราจะรอรับฝ่ายเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้  บางครั้งเราต้องรู้จักให้  รู้จักเมตตา   แม้จะไม่ได้รับผลตอบแทนก็ตาม  อย่าได้กลัวความร้อน อย่าได้กลัวความลำบาก  ถ้าร้อนและลำบาก แล้วสามารถช่วยผองชนให้พ้นทุกข์ได้  ทำให้คนทุกข์กลายเป็นที่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้  เช่นนี้ไม่มีความสุขหรอกหรือ  
            คนพันพัวใจอาจย่ามซ่อนหมกมุ่น
            พันพัวในที่นี้ก็เหมือนการติดพัน  หรือการผูกพันสิ่งใดสิ่งหนึ่ง   เช่นทุกคืนเราผูกพันกับการดูละคร เป็นต้น  ถ้าเรายึดมั่นในตัวตนเอง ทะนงตนว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้องแล้ว เราก็จะต้องหมกมุ่นและพันพัวกับสิ่งนั้น  ไม่จบไม่สิ้น  แล้วก็ไม่ยอมเลิกง่ายๆ  ใช่หรือเปล่า      
             อารมณ์รุมให้เผาใจเป็นจุณ
            อารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ถ้ารุนแรงหรือโหมประดังขึ้นมาก็ย่อมสามารถเผาใจเราได้   เมื่อเผาแล้วเราต้องทุกข์ร้อน  เมื่อไม่ได้ดังที่ต้องการ เราก็ทนไม่ได้  เราจึงต้องไปทำในสิ่งที่ใจเราต้องการ  ฉะนั้นเวลามีอารมณ์หรือมีอะไรเกิดขึ้นภายในใจของเรา  เราจะต้องใช้สติให้ดี    อย่าปล่อยให้อารมณ์มาเผาจนจิตใจเราย่ำแย่ไปเสียก่อน แล้วค่อยคิดที่จะตัดทิ้ง  อย่างนั้นก็สายเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
            ตื่นภายในอบอุ่นเป็นคนใหม่
ความมั่นใจในตนเองนั้นบางครั้งก็ต้องประคองให้ดี  ถ้ามั่นใจแล้ว      หยิ่งผยอง  ยึดมั่นในตัวตนจนเกินไป  ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใครก็ย่อม
เป็นอันตราย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
            คนเราบางครั้งดูหน้าก็รู้ถึงใจ   เห็นทั้งวันนี้และวันต่อไปว่าตัวท่านจะเป็นเช่นไร  จะมีใครบ้างที่รู้ความรู้สึกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ที่มองหนึ่งแต่สามารถเห็นได้  ถึงสิบ มองข้างหน้าแต่สามารถทะลุถึงข้างหลัง  มองเห็นท่านอยู่ตรงนี้ แต่สามารถรู้ชะตาชีวิตว่าต่อไปท่านจะเป็นเช่นไร ถ้าหากท่านยืนอยู่ตรงที่เรายืนท่านก็คง      ไม่อยากให้ใครร่วงหล่นไปจากการศึกษาธรรม ไม่อยากให้ต้องเดินผิดไปแม้เราจะ  ไม่ใช่พี่น้องของท่าน  ไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายของท่าน  แต่ถ้าท่านมีจิตใจที่เมตตา  มีพื้นฐานแห่งความดีอยู่  หากเห็นคน ๆ หนึ่ง มีร่างกายสมประกอบ  มีจิตใจที่ดี  แล้ววันหนึ่งเขาต้องเดินไปผิดทาง ท่านรู้ว่าทางที่เขาเดินไปนั้นเป็นทาง   นำไปสู่ความเสื่อม  ความหายนะ  ท่านก็คงทนไม่ได้ ใช่หรือไม่  (ใช่)   เหมือนเราเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังจะตกลงไปในบ่อน้ำ เราทนนิ่งเฉยได้ไหม (ไม่ได้) ในจิตใจแห่งผู้มีเมตตา  จิตใจแห่งพุทธะทั้งหลาย ก็คงทนไม่ได้  จิตใจแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์  หรือจิตใจแห่งผู้ปฏิบัติงานธรรมที่เขาต้องการช่วยเหลือให้ท่านเข้าใจในหลักธรรม  ให้หันมาบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน  อย่าได้คิดว่าเขาหลอกลวง
          “เริ่มฝึกหัดแก้กระทั่งจิตราเพ็ญ
วันนี้ฟังธรรมะไป รู้สึกมีประโยชน์กับชีวิตอย่างไร (ควบคุมจิตตนเองเวลาโมโห) บ่อยครั้งเราจะเห็นตัวอย่างที่ดี  เวลาเราเห็นใครโมโห เราก็นึกในใจว่าเราจะไม่เป็นคนขี้โมโห  แต่เราก็พลาดอยู่เสมอ  คิดแล้วทำไม่ได้อย่างที่คิด   เพราะว่าเราไม่ได้ควบคุมชีวิตของเราเสียแต่เนิ่นๆ เราเพิ่งมารู้จักและใช้ธรรมะ  เราดำเนินชีวิตโดยติดกับความเคยชินมาหลายปี การจะควบคุมให้เป็นได้ดังใจ ให้มีธรรมะก็ย่อมยาก ฉะนั้น สิ่งแรกที่เราจะประพฤติตนไม่ให้ตนเองทำผิดพลาด ไม่ให้ตนเองตกไปในความผิดพลาดหรือสิ่งเลวร้าย เราต้องหมั่นเลือกที่ที่เราควรจะไป ควรจะมอง หรือควรจะฟังเสียก่อน  เมื่อใดที่ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เราก็อย่าฟัง    เมื่อใดที่เห็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็อย่ามอง เลิกมองเสีย เมื่อเราฝึกหัด ไม่มอง ไม่ฟัง ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดีจนเคยชิน  ต่อไปแม้จะเห็นสิ่งที่ไม่ดี  เราก็สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่เริ่มแรกในการบำเพ็ญตนก็คือ อะไรที่ไม่ดี เลิกมอง เลิกฟัง เลิกทำ  คงไม่ยากเกินไป  อะไรที่ตนเองรู้ว่าทำไปแล้วจะเกิดโทษก็เลิกทำ ดีหรือไม่ (ดีอย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบคลุมแล้วเพิ่งนึกได้เพิ่งคิดได้ก็สายไป 
ทั่งมาเป็นเข็มสมบูรณ์ต้องฟันฝ่า
การจะฝนทั่งให้เป็นเข็มได้นั้น เราต้องฝ่าความลำบาก  ฝ่าอารมณ์และ จิตใจของเรา ถ้าเราฝ่าพ้นความลำบากได้จนกระทั่งไปถึงความสำเร็จ          ความสำเร็จของเราย่อมสามารถเอื้อประโยชน์  ทั้งตัวเราเองและบุคคลรอบข้างได้ ใช่หรือไม่ (ใช่เหมือนกับความสำเร็จของพุทธอริยะ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถเอื้อประโยชน์ต่อท่านเองคนเดียวหรือไม่ (ไม่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการจะบำเพ็ญตน ฝึกฝนให้เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมลำบาก   แต่ที่ท่านฝ่าความลำบากจนมาถึงความสำเร็จนั้น ไม่ใช่เอื้อประโยชน์แต่ท่านเพียงผู้เดียว  แต่ยังเอื้อประโยชน์ต่อผองชน ไม่ว่ารุ่นนี้หรือรุ่นต่อๆ ไป  ไม่ว่ากาลนี้หรือกาลต่อๆ ไป ใช่หรือไม่ (ใช่) หากคิดว่าความลำบากของเราเมื่อไปถึงความสำเร็จจะมีประโยชน์เช่นนี้แล้วเราจะยังกลัวหรือเปล่า (ไม่กลัว) เราจะพูดว่า ไม่กล้าและกลัวความร้อนอีกไหม   เราจะยังยึดมั่นในสิ่งที่เราเป็นว่าฉันเป็นคนเคยชินอย่างนี้  เป็นคนไม่ดีอย่างนี้เลยไม่ยอมฝ่าความยากลำบากจนไปให้ถึงที่  ยังยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองถือผิด ๆ อีก       หรือเปล่า (ไม่เมื่อพูดแล้วต้องนึกถึงการกระทำแล้วเราจะไม่เป็นคนผิดสัจวาจา  ต้องจำคำนี้ไว้ด้วย
ประคองใจสุขุมนิ่งตรองเสียสาม
(นักเรียน :เราพยายามควบคุมสติของเราให้สุขุมและนิ่ง คิดเสียก่อน
เราจะเป็นผู้ที่เสียน้อยที่สุด)
ถ้าเกิดเราเป็นคนที่สุขุม  เราก็ยากที่จะเสียอะไรไปได้ง่ายๆ  เพราะว่าจะเป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ไปก่อนความคิด  คำว่าเสียสามก็คือ  ตรองให้ถึงสามครั้งสามคราด้วยกัน อย่ามากหรือน้อยกว่านี้  หากทุกขณะเราจะทำอะไรให้ตรองถึงสามครั้งสามครา ความผิดพลาดก็ยากจะเกิดขึ้นได้
มีพยายามความสำเร็จไปไหนได้ 
 (นักเรียน: ถ้าเราคิดที่จะทำอะไร สิ่งไหน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นเมื่อรู้จักทำแล้วต้องรู้จักคิด แล้วต้องรู้จักเพียรพยายามอดทนอย่างไม่ย่อท้อ ความสำเร็จก็ย่อมอยู่ในมือเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่
ถูกรบเร้าลามเลียภัยไม่เว้นใคร
(นักเรียน: มีคนรบเร้าให้เราทำใจให้สบายไม่ต้องกังวลอะไรมาก  ต้องทำใจให้สุขุมเยือกเย็น) แม้จะถูกรบเร้าด้วยภัยอันตรายหรือมีเภทภัยต่าง ๆ เราต้องมีความสุขุม  ไม่ใจร้อน ไม่วุ่นวายไปกับภัยที่เกิดขึ้น   แต่ปกติชีวิตของมนุษย์  ไม่มีใครที่จะหลีกหนีภัยได้ แต่อยู่ที่ว่าจะผ่านภัยนี้ไปได้อย่างไร  บางคนผ่านไปด้วย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม บางคนผ่านไปด้วยคราบน้ำตา  แต่ว่ารอยยิ้มกับคราบน้ำตา อาจจะไม่มีผลอะไรเลยถ้าคนนั้นไม่รู้จักสู้ ไม่พยายามไปให้ถึงและนำพาตนไปให้ถูก ถ้าผ่านไปด้วยรอยยิ้มแต่ทำผิดทำนองคลองธรรมก็ไม่ถูก แม้จะเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแต่ทำไปด้วยความถูกต้องและเหมาะสมตามทำนอง    คลองธรรม ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่าใช่ไหม (ใช่)

 บ่อยครั้งที่ท่านมานั่งศึกษาแล้วรู้สึกว่าธรรมะนี้ดีและเชื่อมั่นว่าเป็นธรรมะที่ไม่หลอกลวงไม่โกหก เริ่มที่จะมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแต่มักจะรักษาความมั่นใจได้ไม่ตลอด มีแค่เพียงต้นแต่พอถึงปลายก็ล้มหายไป หากเราเชื่อมั่นว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี นำพาชีวิตไปสู่ความสว่างโดยการบำเพ็ญตน ขัดเกลาตน แม้เจออุปสรรคความยากลำบากก็ไม่เคยย่อท้อ ไม่เคยทิ้งธรรมะ ยังมีใจที่มั่นในธรรมะและนำธรรมะไปถึงปลายฝั่งแห่งชีวิต
หยิบใช้ได้ยังประโยชน์แด่ประชา
ถ้าเรากระทำสิ่งใดที่มีคุณค่าจนสำเร็จ จะไม่เพียงเอื้อประโยชน์แก่เราผู้เดียวยังเอื้อประโยชน์ให้แก่ผองชนและคนรอบข้างได้อีก คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วนำความสำเร็จในชีวิตนี้เป็นบทเรียนให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ชื่อเขาย่อมไม่ลบหาย ยังคงอยู่นิจนิรันดร์ ไม่ว่ายุคสมัยใด  เราสามารถเป็นคนที่เกิดมาชาติหนึ่งมีคุณค่าไม่เสียเปล่าได้ไหม อย่ามองดูว่ายาก อย่าดูถูกดูเบาตนเอง ลองฝ่าความยากลำบากดู เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถกลับคืนเบื้องบนแล้วมีชื่อจารึกอยู่บนโลกนี้ก็เป็นได้
ผายความกล้าสู่นิรันดร์เมธีมี
            แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ ไม่หอมหวนเท่า แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ดีงามให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ ใช่หรือเปล่า
คนที่จะตัดสินใจทำสิ่งนั้นได้ต้องมีความเด็ดเดี่ยว หากเขาคิดจะทำแต่เขาไม่กล้าหาญ ไม่เด็ดเดี่ยวพอ ความพยายามเขาก็ย่อมถอยหลังเหมือนไม่ได้นับอะไรเลย
            ผู้ชอบให้สาธารณะจะศรัทธาคุณธรรม
การบำเพ็ญนั้นเราไม่ใช่หวังเพียงเพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เราหวังเพื่อช่วยผองชนด้วย การดำรงชีวิตของเราไม่ใช่มีคุณค่าเพื่อชีวิตของเราเอง แต่ยังสามารถอุทิศเผื่อแผ่เมตตาให้กับผู้อื่นได้ หากเราทำได้เช่นนี้ คนผู้นั้นก็จะสามารถสานต่อความดีงามให้ยังคงอยู่บนโลกนี้ได้ เปิดจิตใจที่เคยคับแคบให้กว้างใหญ่ได้ สามารถนำพาบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยากขึ้นฟากฝั่งกลับคืนสู่แดนนิพพานได้ ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่น่ายินดีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การที่จะตัดสินใจก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่งย่อมเป็นการยาก
            สามัคคีมือจูงมือหมั่นอภัยจิต    พิสูจน์ก่อนประสานจิตหวั่นเลิกหนึ่ง
เมื่อคน ๆ หนึ่งตัดสินใจที่จะฝ่าฟัน บำเพ็ญตนให้เป็นคนดีของสังคมและของบุคคลรอบข้างแล้ว หากเขาคิดจะกระทำคนเดียวย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้  ต้องเกิดจากการร่วมมือของคนหลาย ๆ คน  ผลจึงจะยิ่งใหญ่ตามขึ้นมาได้   การอยู่ร่วมกันต้องรู้จักสามัคคี  ปรองดองกัน  รู้จักให้อภัยกัน  แม้เขาจะทำผิด  แม้เขาจะล่วงละเมิดสิ่งที่เราไม่ถูกใจบ้างก็ตาม  เราต้องอดทนและยอมรับได้ เพราะว่าคน ๆ  เดียว  จะทำงานยิ่งใหญ่ให้สำเร็จย่อมยาก  ไม่เหมือนกับผองชนทำงานร่วมกัน  การทำงานร่วมกันก็เป็นการฝึกจิตใจให้รู้จักสามัคคี  ให้รู้จักให้อภัยกัน  หากทำได้เราก็จะสามารถกลับคืนเบื้องฟ้าไปพร้อม ๆ กัน  มือจูงมือกัน  และให้มีอีกมือหนึ่งที่สามารถส่งต่อแล้วฉุดช่วยคนขึ้นฟากฝั่งกลับคืนเบื้องฟ้าได้
            “พิสูจน์ก่อน หมายถึง ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นล้วนพิสูจน์จิตใจของเราว่า เราทนได้ไหม  ความลำบากสอนให้เรารู้จักเข้มแข็ง  อดทน  และวัดจิตใจว่าเป็นคนที่มั่นคงในสิ่งที่กระทำเพียงใด 
            เคยสำคัญนานสิ่งกลายค่าไร้      เสมือนวันมีใจกลายอดีตนั่น
            วันนี้เราเห็นว่าธรรมะมีความสำคัญ  มีค่ากับชีวิต  แต่ถ้าเราไม่รักษาให้ดี  แม้วันนี้จะมีค่า แต่ต่อ ๆ  ไปก็อาจจะไร้ค่า  แม้วันนี้มีใจแต่ต่อ ๆ ไปอาจจะไร้ใจ ต่อธรรมก็เป็นได้

ปัญญาอวิชชาประดุจมีดเล่มเดียวกัน
  จิตใจและปัญญาของเรา  จึงเปรียบเหมือนอวิชชาได้เหมือนกัน  เพราะว่าบางครั้งเราก็นำพาตนเองให้เป็นคนรู้  และบางครั้งก็นำพาตนเองให้เป็นคนไม่รู้ มืดบอด ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะว่าปิดหู ปิดตา  ปิดใจตนเอง  ฉะนั้น จิตใจของเราพร้อมที่จะเป็นพุทธะ  และพร้อมที่จะเป็นพญามารได้   อยู่ที่ว่าเราดำรงเช่นไร 
            วันนี้เรามาเป็นเพียงผู้ที่ชี้แนะแนวทางให้ท่านได้รู้การเดินทางแห่งชีวิตที่ถูกต้องแล้วมีจุดหมาย  เรือธรรมลำนี้พร้อมที่จะรอรับและต้อนรับ  แม้จะมีคนบางคนทำอะไรไม่ถูกใจบ้างก็อภัยให้เขา  ฝึกจิตใจให้อภัยดีหรือไม่ (ดีและก็ฝึกจิตใจให้อดทนนั่งอยู่ได้ในสามวันนี้   เพราะหลายคนเริ่มจะหงุดหงิดแล้ว
 ต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นกับตัวท่านแล้ว  วันนี้มีหนทางอีกหนทางหนึ่งที่สามารถนำพาท่านกลับคืนเบื้องฟ้า จะเดินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่าน จะปฏิบัติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่านเช่นเดียวกัน  หนทางมีให้เดินแต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกทางเดินใดให้กับชีวิตแล้วพาชีวิตไปในทางใด อยากเป็นพุทธะหรืออยากเป็นเวไนยชนก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านอีกเช่นกัน   วันนี้แม้เราจะมาพูดมากมาย  มันอาจจะไม่มีประโยชน์หรือไม่มีคุณค่าอะไรเลยก็ได้  ถ้าท่านฟังแล้วผ่านหูไป ไม่ได้นำไปคิดหรือไม่ได้นำไปปฏิบัติ  เงินนั้นแม้จะมีมากแต่สักวันก็หมด  ไม่เหมือนอุดมไปด้วยธรรม  แม้จะมีมากเท่าไร  ก็ไม่มีวันหมดไปจากใจเราได้  เมื่อไรที่เรารู้จักหมั่นสร้างคุณธรรมสร้างความดี  จิตใจเต็มไปด้วยคุณธรรมความดี  ค่าของชีวิตก็จะหอมหวนยิ่งกว่าค่าแห่งชีวิตที่อุดมไปด้วยทรัพย์  เกียรติยศ  และชื่อเสียงอีก



    
      วันอาทิตย์ที่ ๓๑  สิงหาคม พุทธศักราช  ๒๕๔๑
      พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
           
                            ศิษย์เอ๋ยศิษย์รู้ชีวิตมีแต่ทุกข์         ไยไม่ลุกใช้ชีวิตเป็นพุทธะ
ทั้งอดทนทั้งอ่อนน้อมยอมสละ          แม้ภาระเต็มไหล่บ่าปัญญาคม
           เราคือ
       จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                  ถามศิษย์รักทุกคนมีความทุกข์กันมากเท่าไหร่
   
      เมื่อพิษภัยหลายหลากเพิ่มทุกข์ศิษย์ ขอให้คิดอย่ากลัวอย่ารอดคนเดียว
ขอให้อยู่ด้วยสติอันปราดเปรียว        ให้เด็ดเดี่ยวหนักแน่นดังผาตระหง่าน
ศิษย์อาจารย์ฉลาดนักไม่หนักใจ       กลางวุ่นวายศิษย์ยังสู้ผันจนผ่าน
รู้ซึ้งการเกิดดับมากทรมาน               ข้าบริบาลศิษย์ผู้มั่นในศรัทธา
อย่าครึ่งหลับครึ่งตื่นผะอืดผะอม        หวานเป็นลมขมเป็นยาทางข้างหน้า
วิบากกรรมตนกำหนดแต่นานมา      มิฟันฝ่าชาตินี้ฤๅบรรลุคืน
ทางชันยากทางลาดง่ายตรองใส่จิต    ใครจะผิดใครจะถูกประดุจคลื่น
ศิษย์เอ๋ยศิษย์ประคองตนอย่าถูกกลืน       ขอให้หมื่นปัญญาชนเดินตามเรา
สะพานดีทอดยาวยุคขาวรุ่ง              ธรรมพวยพุ่งศิษย์ค้ำจุนเป็นเอกเสา
ความเมตตาค้ำจุนใจกายของเรา      มิเสียเปล่าชีพลาลับอย่างไร้ค่า
ในวิญญามีศิษย์ข้าอยู่ทุกเมื่อ           ศิษย์อย่าเบื่อการบำเพ็ญต้องรักษา
อาจารย์นี้จะคอยศิษย์ชั่วดินฟ้า         ศิษย์เอ๋ยอย่าแชเชือนคำของข้าเลย
                                                           
                                                                                                                                                   ฮา   ฮา   หยุด
เมื่อความทุกข์ร้อนลามไปทุกถิ่น  ถูกบีบคั้นอย่าเผลอใจ   หากผ่านภัย ยุคนี้ได้   แดนดินร่มดังสุทธา
ภัยคือฝีมือคนคิดหา  ตื่นมาวันนี้แพ้ไม่ได้  ครุ่นคิดฝันความรุ่งเรือง  สู้ด้วยหลงยากรอดกลับ  จักพอนับว่าโชคดี 
ใจดังเหมือนมีความทุกข์หลอน   หากมองย้อนคงเห็นตน   ความเมตตาห่างเท่าใด   โต้แรงกรรมไหลเวียนว่าย   ยุคสามนำจิตบำเพ็ญ
ประโยชน์มากมายท้ายยิ่งติดกิเลส   หลายคนมักเอาแต่ใจ  ฝึกบำเพ็ญ ใจเย็นรู้ให้   มั่นคงแสนไกลหนทางมิสูญ
                                                     
                                                                                                          เพลง : ถูกบีบคั้นอย่าเผลอใจ
                                            ทำนองเพลง  : ลมหายใจแห่งความคิดถึง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
จิตใจอาจารย์เป็นอย่างไร (มีความเมตตา,ใจดี,บริสุทธิ์ใจ,มีความรักศิษย์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย,พระอาจารย์คือผู้อนุเคราะห์ชาวโลกตอนนี้ศิษย์ทั้งหลายก็เป็นศิษย์ของอาจารย์  เป็นคนรู้ว่าใจอาจารย์เป็นอย่างไร  เราเป็นศิษย์อาจารย์กันก็ควรจะมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน  สิ่งที่ศิษย์ตอบออกมาก็คือสิ่งที่ศิษย์ที่ควรจะทำ  มิฉะนั้นก็ไม่เหมาะที่จะเป็นศิษย์อาจารย์กัน  เพราะฉะนั้นเป็นคนรู้ใจก็คือดูออกว่าอาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทำอะไร  ในบัดนี้ศิษย์ที่เป็นคนใหม่เพิ่งเริ่มรู้ใจอาจารย์ ก็กลับไปทำในสิ่งที่ตนเองพูดมา ดีหรือเปล่า (ดีส่วนศิษย์ที่เป็นคนเก่าก็ควรที่จะโอบอุ้มจิตใจประคองรักษาจิตใจอันนี้ให้ดีงามให้สมกับที่เป็นศิษย์อาจารย์ ดีไหม (ดี) อาจารย์ไม่สามารถอยู่ข้างๆ เราได้ตลอดเวลา ไม่สามารถจะตักเตือนทุกคนเป็นรายบุคคลได้เสมอไป แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นตัวแทนของอาจารย์ เมื่อคนเขามองเห็นศิษย์ให้เหมือนมองเห็นอาจารย์  เมื่อมองเห็นอาจารย์ก็ให้เขารู้สึกขอบคุณศิษย์ที่คอยเตือนเขาอย่างสม่ำเสมอ ดีไหม (ดี) ทำได้ไหม (ได้)
ชีวิตนี้มีความทุกข์หรือความสุขมากกว่า (มีความทุกข์มากกว่า) คนที่เคยลำบากมาสมัยตอนเด็กๆ ในตอนนี้ก็พอจะมีความสุขบ้าง  แต่คนที่เคยสบาย     ถ้าภายหลังได้รับความทุกข์ก็จะทนไม่ไหว  เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ควรดำเนินให้    เหมาะสม  ในคราวที่เราสบายมากๆ ก็อย่าได้หลงลืมตัว  ในคราวที่เราทุกข์มาก ๆ ก็ขอให้เราทำจิตใจปล่อยวางให้สบายๆ ดีหรือไม่ (ดี
ปัญญาของเราคมไหม  เราต้องไปพิจารณาย้อนดูเอง  บางคนคม บางคนทื่อ คนที่มีปัญญาคม บางครั้งกลับรู้สึกว่าตัวเองโง่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่น่าจะโง่เอาเลย เคยเป็นไหม (เคยเป็นเพราะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ได้  ชนะใครก็ชนะได้  แต่ชนะตัวเราเองไม่ได้  เพราะตัวเรามีอะไร (มีกิเลส) มีกิเลสมากหรือน้อย (มาก) เพราะเรารู้ว่ามาก เราจึงต้องขจัดทิ้ง  ถ้าเรามีมากแต่เราก็ไม่สามารถขจัดทิ้งไปได้  เพราะหลงเข้าใจผิด  สำคัญตนผิดว่าเรามีน้อย ใช่หรือเปล่า (ใช่เราเข้าใจว่าผู้อื่นมีมากกว่าเรา  เรานั้นมีน้อย  แต่จริงๆ แล้วเราก็มีมากเท่า ๆ กับเขา ศิษย์ทุกคนเป็นปุถุชนอยู่ในสังคมแห่งปุถุชน  และเวียนว่ายตายเกิดแบบปุถุชน  ทุกๆ คนเหมือนๆ กัน 
เรามีอะไรอีกที่ทำให้เราเอาชนะตนเองไม่ได้ (มีทิฐิมากเกินไปเราต้องสมมุติว่าเรามีกิเลสมากไว้ก่อน เราจะได้ลับปัญญาให้คมและตัดทีเดียวให้ขาดหมดทุกเรื่อง  เพราะชีวิตนี้ไม่ได้มีปัญหาแค่อย่างเดียว  มีทั้งปัญหาที่เกิดจากตัวเราก่อ  ผู้อื่นก่อ  ร่วมกันก่อ การที่ลับปัญญาก็ควรลับให้คม 
เรามีอะไรอีกที่ทำให้เราชนะตัวเองไม่ได้  (ตัณหาคำว่า ตัณหาหมายถึงสิ่งที่มากกว่ากิเลส  กิเลสคือความอยาก    มีมากกว่ากิเลสคือตัณหาอันเป็นสิ่งเฉพาะ  ดังเช่นผู้ชายหลงสุรา นารี  ผู้หญิงหลงความสวยงาม  หลงวัตถุนอกกาย  ส่วนใหญ่อาจารย์จะพูดว่าศิษย์ทุกคนมีกิเลส  แต่ตัณหานั้นต่างคนต่างมีคนละอย่างมากน้อยแตกต่างกัน  เพราะฉะนั้นเมื่อขจัดกิเลสได้ ตัณหาก็จะขจัดได้    เช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่
เรามีอะไรที่ทำให้เราชนะตนเองไม่ได้ (ความโลภความโลภเป็นอย่างไร (อยากได้ไม่รู้จักพอ) เมื่อมีความโลภอยากได้  เราก็ทำสิ่งที่ถูกให้กลายเป็นผิด  ทำให้สิ่งผิดกลายเป็นถูก  มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะกลับผิดเป็นถูก  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด  ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง  แต่ว่าเรายังทำเพราะเรามีโลภ หลง รัก  มีอารมณ์  เราจึงเอาสิ่งที่ผิดเหล่านี้กลับมาเป็นสิ่งถูกแล้วกระทำลงไป 
ธรรมดาของมนุษย์ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ผิดใจเกิดความรู้สึกละอายที่จะกระทำ  แต่ทำไมคนที่ทำความชั่วมาก ๆ ถึงทำสิ่งที่ผิดได้โดยไม่รู้จักละอาย  เพราะว่าเขาเปลี่ยนเอาจิตใจของตนเองจากสีขาวให้เป็นสีดำก่อน  แล้วจึงเอาสีดำแสดงออกมาจากจิตใจโดยไม่รู้สึกละอายอีกต่อไป  การที่เราเอาจิตใจของเรากลับผิดเป็นถูก  จึงเรียกว่ามนุษย์  มนุษย์คนนั้นทำชั่วได้  เราก็เป็นมนุษย์เราจึงทำชั่วบ้าง  ในที่สุดคนอื่นก็บอกว่าเราชั่วด้วย  ศิษย์กลายเป็นคนชั่ว  คนชั่วเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้ฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธองค์สอนมานาน  ศิษย์รู้มานานแต่ไม่อาจเจริญรอยตามได้แล้ว  เพราะเราไม่รู้จักพิจารณา  ไตร่ตรอง  ไม่รู้จักใช้ปัญญาของเรา 
อาจารย์มาวันนี้ไม่ได้เรียกร้องให้ศิษย์ทำสิ่งใด  แต่เรียกร้องให้ศิษย์ทำในสิ่งที่พุทธะทำ  พุทธะรู้ พุทธะปฏิบัติ  และอาจารย์เชื่อมั่นว่าแม้ว่าศิษย์มีปัญญา  และภูมิธรรมมากน้อยต่างกัน  ศิษย์ล้วนเป็นคนที่ได้รับวิถีธรรมแล้ว  มีบุญอย่างน้อยสามชาติ  ดังนั้นแม้จะมีปัญญามีภูมิธรรมมากหรือน้อยขอให้มาเพิ่มเอา   ชาตินี้ดีไหม  (ดี)
ความทุกข์ต่างๆ  มีเพิ่มขึ้นทุกวันดังนั้นให้ภูมิธรรมเพิ่มขึ้นทุกวัน  ปัญญาเฉียบคมมากขึ้นทุกวัน ดีหรือเปล่า (ดีปัญญาจะเฉียบคมได้ต้องบำเพ็ญ  หากว่าเราไม่บำเพ็ญ  ไม่ฝึกฝนตนเองก็ไม่สามารถขึ้นชื่อว่าเป็นพุทธะ
คนแก่เป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน  เราจะเป็นพุทธะก็เหมือนกับแก่ทางธรรม  ยิ่งรู้มาก  ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งดี  เพราะเราผ่านน้ำร้อนอันนี้ไปก่อน ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเราไม่เอาน้ำร้อนมาราดมือเราจะรู้ไหมว่าร้อน  (ไม่รู้) ถ้าหากว่ายิ่งเจอความทุกข์มากจะยิ่งประสบความสำเร็จได้สูง ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะว่าเราเป็นคนที่มีความระมัดระวังรอบคอบ  ไม่ไขว้เขว  มีความมั่นคงก้าวทุกก้าวด้วยความรู้และเข้าใจในหลักสัจธรรม
  การฟังต้องฟังอย่างมีสติ  เราฟังสิ่งไหนต้องเป็นสิ่งนั้น ฟังสีขาวเข้าไป  จะออกมาเป็นสีเทาไม่ได้  ฟังเป็นสีดำเข้าไปก็ต้องออกมาเป็นสีดำ  ไม่ใช่ฟังสีดำเข้าไปฟอกอยู่ในใจแต่กลายเป็นสีขาวออกมา  สีดำตกค้างอยู่ในใจเรา 
การฟังธรรมะต้องฟังด้วยความตั้งใจอย่าให้จิตใจเลื่อนลอย ไม่สามารถควบคุมอยู่แต่ละคนมีความทุกข์มากเป็นความทุกข์ตัวเราเองจัดหาเราจัดหามามาก เราก็มีทุกข์มาก  เราจัดหามาน้อย เราก็มีทุกข์น้อย เหมือนกับการเก็บหอมรอมริบเงินทองถ้ามีมากก็กลัวขโมย  ถ้ามีน้อยก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะจิตใจของเราผูกพันอยู่กับเรื่องเงินทองในยามนี้ที่เงินทองไม่คล่องมือเราก็เลยเป็นทุกข์หนักเพราะว่าเราจับจ่ายใช้สอยอย่างเพลิดเพลินมานาน เวลาจะไม่ได้เพลินกับเงินทอง  ก็เลยรู้สึกทุกข์ใจ ใช่ไหม (ใช่เพราะฉะนั้นทำอย่างไรดี
มีสองคำง่ายๆ คำแรกเรียกว่า ปล่อยคำที่สองเรียกว่า วางเคยรู้จักคำนี้ไหม (เคย) อาจารย์มีแอปเปิ้ลอยู่ในมือ ลูกแรกจะปล่อยอาจารย์ก็ปล่อย ไม่ต้องกลัวว่าแอปเปิ้ลจะเจ็บ ลูกที่สองทำอาจารย์ก็วางลงไป แล้วในมือก็ว่างเปล่า ใจที่ปล่อยลงไปพร้อมกับแอปเปิ้ลลูกแรก  ก็เอาความรู้สึกว่าตนเองจะต้องเป็นคนร่ำรวยปล่อยไปจากตัว  ลูกที่สองวางลงไปแล้ว  ก็เอาหน้าตา ชื่อเสียง ลาภยศ เงินทองวางลงไปด้วย  จากนั้น ชีวิตนี้ทั้งชีวิตของเราก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรมโดยจิตของตนอยู่กับจิตของตนเอง ว่าจิตของตนเองดีขึ้นเท่าไร  มื้อนี้มีกินหรือเปล่าไม่นำพามาใส่ใจ รู้แต่ว่าจิตใจของเราไม่ชั่วร้าย  ความรู้สึกว่าความจน อดอยาก ปากแห้งเป็นอย่างไร มีความสำคัญไหม (ไม่มีศิษย์ปล่อยแอปเปิ้ลลูกแรกออกมาหรือยัง  วางแอปเปิ้ลลูกที่สองหรือยัง  ถ้าเย็นนี้กลับไป มีเงินติดตัวอยู่บาทเดียวทำอย่างไรดี  เคยมีเงินติดกระเป๋าวันละร้อย วันละพัน วันละหมื่น กลายเป็นมีเงินติดกระเป๋าวันละบาทเดียว  ศิษย์จะนำพาไหม (ไม่นำพาอย่าโกหกตนเอง  จริงๆ แล้วเรานำพา ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะว่าเรามีลูก มีภรรยา มีแฟน และมีพ่อมีแม่อีก ใช่ไหม (ใช่การที่เรายากจนไม่เป็นไร  ของที่เราจะไปซื้อใช้ฟุ่มเฟือย ก็เก็บมาซื้อข้าว  ผักก็ปลูกเอง  มีข้าวกินผ่านไปหนึ่งมื้อ นานๆ ก็มีอาหารบำรุงครั้งหนึ่งพอไหม (พอแล้วเรายังมีเหลือเก็บอีก  เวลาป่วยไข้ก็เอามารักษาตัว ดีไหม (ดี)
เราจะบำเพ็ญอย่างไรดี  สมมติว่าเราอยู่ใกล้สถานธรรมก็เดินมาไหว้พระ ต้องเสียเงินไหม (ไม่เสียห้องพระสกปรกก็ช่วยกวาดเป็นกุศลหรือเปล่า (เป็นชีวิตนี้สมบูรณ์ไหม (สมบูรณ์ในยุคที่วิกฤติอย่างนี้ คนรวยพนมมือไหว้คนจน เพราะฉะนั้นศิษย์อยากจะรวยหรือจน (นักเรียนตอบว่ารวยสี่คน จนสองคน) คนที่ตอบว่าจนสองคน  เวลาที่ฟ้าดินคัดเลือก หกคนนี้เลยเหลืออยู่แค่สองคน ใช่หรือเปล่า (ใช่แต่จะทำได้หรือไม่  ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเราอีกทีหนึ่ง
เพราะฉะนั้นในสองคนนี้อาจจะเหลือแค่คนเดียวหรืออาจจะไม่เหลือเลย อาจารย์ไม่ได้บอกว่าฟ้าดินอยากได้คนจนไปเป็นพุทธะ  แต่อาจารย์อยากได้คนที่มีคำพูดและการกระทำที่เป็นพุทธะเพื่อไปสู่ดินแดนแห่งพุทธะ  และเสวยวิมุติสุขเป็นพุทธะแล้วมีเงินหรือเปล่า  อาจารย์ไม่มีสักบาทใช่หรือไม่ (ใช่อาจารย์อยากได้คนที่ ไม่ติดเรื่องเงิน  ไม่ติดเรื่องรูปลักษณ์อัตตากิเลสต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นการ  ดูหนังฟังเพลง  ถามว่า เบื้องบนสิ่งเหล่านี้มีไหม  เบื้องบนก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้  พอถึงเวลาแล้วสัญญาในจิตผูกแน่นเข้า  เวลาเราจะเดินขึ้นไปก็จะสะดุดขาตัวเอง 
เดิมทีผู้อื่นใช้วาจาทดสอบเรานั้นร้ายแรงมาก  แต่การทดสอบตนเองร้ายแรงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่ถ้าคนอื่นพูดจามาเข้าหูเราบอกว่าเรางมงาย  เราก็ต้องไปห้องพระน้อยลง  ต้องพูดธรรมะให้น้อยลง ใช่ไหม   เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นสมภาร เป็นแม่ชี  เพราะฉะนั้นต้องพูดธรรมะน้อยลงหน่อย  สิ่งที่เราพูดออกไปก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่สมควรพูด นินทาคนอื่น พูดในสิ่งที่ไม่มีสาระ หาสัจธรรมไม่ได้ หาหลักธรรมไม่ได้  ก็เลยไม่เหมือนผู้บำเพ็ญ ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้น     พอเขาพูดมาเข้าหูเรา เราก็เปลี่ยนแปลงตนเองตามเขา เราเลยไม่เหมือนผู้บำเพ็ญสักครั้งหนึ่ง  แล้วเราจะบำเพ็ญธรรมอย่างไร  ที่สำคัญที่สุดของการจะเป็นพุทธะคือความศรัทธาเชื่อมั่น  ถ้าไม่มีความเชื่อมั่น เท้าจะก้าวได้มั่นคง หรือหลักธรรมที่ได้ฟังจะเข้าไปในใจ  หรือไม่มีความเชื่อมั่นและจะเจริญธรรมได้ตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร  อาจารย์พูดตรงนี้หมายความว่า เมื่อผู้อื่นพูดสิ่งใดลอยลมมาไม่ทันตั้งใจ แต่ตัวเราตั้งใจมากที่จะทำตนให้เหมือนปุถุชนธรรมดา ไม่เหมือนพุทธะ  เมื่อคนทั้งสังคมเป็นปุถุชนแล้วเราเป็นพุทธะอยู่ผู้เดียว  ดูแล้วย่อมแปลกประหลาดเป็นธรรมดา  แต่อย่าแปลกประหลาดที่ความคิด ความรู้สึก  บางคนบำเพ็ญธรรมไปแต่ขี้น้อยใจ  คนเขาว่าเรานิดหน่อยไม่ได้  เขาบอกว่าให้เราบำเพ็ญตนเป็นคนดี  เราก็บอกว่าเขามองเห็นเราเป็นคนไม่ดี อย่างนี้เป็นใจของคน  เขาบอกให้เราบำเพ็ญดี ๆ  หมายความว่าเขาเห็นเราดีแล้ว  จึงอยากให้เราดียิ่งขึ้น  แต่เรากลับมองเห็นว่า  เขามองเราเป็นคนไม่ดี 
อาจารย์จะบอกว่า ธรรมะบำเพ็ญได้ในชีวิตประจำวันของศิษย์ อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์ลาออกจากงาน เลิกทำตัวเป็นคนมีเงินมีทอง  แต่หมายความว่า มีเงินทองแล้วต้องไม่ยึดติด  ถึงเวลาควรจะสละให้ผู้อื่นก็สละ  ถึงเวลาที่ควรจะเก็บก็เก็บ  ธรรมะคือธรรมชาติ  ถึงเวลาควรจะพูดก็พูด  ถึงเวลาควรจะเงียบก็เงียบ  ถึงเวลาควรที่จะบอกก็บอก  ไม่ควรบอกก็อย่าบอก  เราต้องมีสติ  หมายความว่า ศิษย์ของอาจารย์ควรจะมีจิตใจพลิกแพลงเท่าทันใจของเราเอง   เวลาเห็นผู้อื่นใส่เสื้อสีเหลืองสวย  เราก็จำไว้แล้ว  เราก็จะไปซื้อเสื้อสีเหลืองตามเขา  พอเห็นเขาใส่เสื้อสีอิฐสวยๆ เราก็อยากจะมีสิ่งนี้บ้าง  แต่การทำความดี  คนสักคนช่วยเหลือผู้อื่น เห็นคนจมน้ำรีบลงไปช่วยเห็นคนตกต้นไม้รีบโดดออกไปคว้า  คว้าเสร็จเขาก็บาดเจ็บด้วย  ว่าเราอยากทำตามเขาไหม (ไม่อยากเพราะว่าเรากลัวร่างกายของเราบาดเจ็บหรือเปล่า (ใช่
กิเลสนั้นเปรียบเสมือนทางลาดลงต่ำ  เวลาลงเขาสบายไหม (สบายเวลาปีนเขายากไหม (ยาก) อยากปีนเขาหรืออยากลงเขา ภูเขาสูงเป็นที่ที่ผู้บำเพ็ญอาศัย  เพราะว่าเย็นสบาย  มีความเงียบมีความสงัด เหมาะสำหรับจะทำการปฏิบัติธรรม  ที่ลาดล่างสุดนั้น  ถ้าหากว่ามองเบื้องบนคือสวรรค์เบื้องล่างก็คือนรก  ถ้ามองว่าภูเขานั้นผู้บำเพ็ญอาศัย  ทางลาดล่างจึงเป็นปุถุชนอาศัย  เพราะว่าเรานั้นชอบอาศัยที่ราบ ใช่หรือเปล่า (ใช่เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าที่ชันเดินยาก แต่ทิวทัศน์สวยงาม  ที่ลาดล่างหมู่คนเยอะแยะแต่คนเหล่านี้คือคนที่เป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นที่สูงชันเดินยากเหมือนกับการทำความดี  เหมือนกับที่ศิษย์นั้นกลัวเจ็บตัว  แต่ที่ลาดลงต่ำนั้นพาให้เท้าเราวิ่งเร็วขึ้น  เราจึงจมดิ่งอยู่ในกิเลสอย่าง  รวดเร็ว ใช่หรือไม่ (ใช่จิตใจของเราทุกวันนี้จมดิ่งลงในความไม่ดีนั้นอย่างรวดเร็วหรือเปล่า (เร็วจะเรียนรู้เป็นพุทธะจึงเรียนยาก  จะเรียนรู้เป็นปุถุชนเป็นคนไม่ดีนั้นเรียนรู้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อวางมีดไว้บนโต๊ะ บอกเด็กบอกว่าอย่าเล่น      เขาเชื่อไหม (ไม่เชื่อจนกระทั่งตนเองบาดเจ็บแล้วกล้าแตะมีดไหม (ไม่กล้าอาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนดี อย่าได้รอให้ตนเองเจ็บตัวก่อน  จึงจะไม่กล้าที่จะจับของมีคมสิ่งนี้  อาจารย์อยากให้ศิษย์มีความคม คือคมที่ปัญญา  ไม่ใช่คมคือคมที่กิเลส ดีหรือไม่ (ดี
วันนี้ฟังธรรมะเป็นวันที่สามแล้ว  วันแรกเข้ามารู้สึกมึน ๆ งง ๆ  วันที่สองเข้ามารู้สึกสบายขึ้น  แม้จะนั่งเก้าอี้เป็นวันที่สามก็รู้ว่าพอที่จะทนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์อย่านั่งโดยที่ไม่ได้อะไรเลย  ธรรมะต่างๆ ที่คนพูดให้ฟังล้วนต้องการให้เราเก็บกลับไปปฏิบัติ และอาจารย์ไม่ได้ต้องการเลือกปฏิบัติ วันไหนโดยเฉพาะ  แต่ต้องการให้ปฏิบัติทุกๆ วัน  วันละหลายๆ ครั้ง  กินข้าว     วันละสามครั้ง  ปฏิบัติธรรมก็ควรปฏิบัติอย่างน้อยวันละสามครั้งขึ้นไป  ข้าวสามมื้อช่วยให้ร่างกายอิ่ม การปฏิบัติธรรมสามครั้งก็ช่วยให้จิตญาณสงบแจ่มใสขึ้น  ใช่หรือไม่ (ใช่ทุกๆ วันนี้เราลองหลับตามองเข้าไปในตัวของเรา  เราลองดูซิว่าตัวเราสะอาดหรือสกปรก ตัวของเรามีสีดำไหม  ในใจมีสีดำๆ อยู่หรือเปล่า พอลืมตาขึ้น มองไปทางข้างหน้า     ทางข้างหน้าที่ศิษย์เห็นคือทางที่นำพาไปสู่พุทธะ ไม่กลับไปแปดเปื้อนสกปรกเหมือนที่เคยมา   ถามว่าทางนั้นเราต้องเดินไหม (เดินแล้วศิษย์จะเดินอยู่กี่วัน   ถึงจะไปสุดทางนี้ได้  หลายคนนึกว่าบำเพ็ญธรรมปฏิบัติอยู่ 3 ปี  แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่  ทางข้างหน้านี้เหมือนมีกำแพงกั้นแต่สุดทางที่ไหน ตลอดชีวิตของเราใช่หรือไม่ (ใช่เรามองไปอาจเหมือนมีกำแพงกั้น แต่จริง ๆ   ยืดยาว  เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ศิษย์รู้ว่าศิษย์จะต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเท่าชีวิตของเรามี  เพราะว่ากิเลสไม่ได้เกิดแค่สามวัน  ไม่ได้เกิดแค่สามปี ไม่ใช่ขจัดสามปีแล้วเราจะบรรลุเป็นพุทธะ กลายเป็นพุทธะเดินดิน  กิเลสเกิดขึ้นทุกวัน  เกิดขึ้นทุกวินาที  อาจารย์จึงต้องปฏิบัติธรรมทุก ๆ  วินาที
ชีวิตคนเรา  ชีวิตคืออะไร  (คือจิตญาณ ,ชีวิตเหนือคำบรรยาย )  
ถ้าหากว่าเราทำความดีเหมือนกับที่คนอื่นทำ  เขาล้างชามเราก็ล้างชาม เขากวาดบ้านเราก็กวาดบ้าน  เราทำความดีทั่ว ๆ ไปเหมือนกับที่คนอื่นทำ  ผลที่ได้รับเราก็ได้รับแบบธรรมดา ใช่หรือเปล่า (ใช่แต่ถ้าศิษย์ทำความดีที่ประเสริฐ  ย่อมจะได้รับมรรคผลที่ประเสริฐ เช่นเดียวกัน 
ภัยคือฝีมือคนคิดหา 
ทำไมถึงบอกว่า ภัยคือฝีมือคนคิดหา  ตอนนี้น้ำท่วมเพราะป่าหมด  ไฟไหม้เพราะคนวาง  ภัยอีกอย่างคือลมมรสุมต่าง ๆ  สิ่งเหล่านี้เป็นเภทภัยที่เกิดขึ้นทุกวัน ๆ  ศิษย์ของอาจารย์ยากที่จะหลบไหม  น้ำท่วม พายุลง  ไฟไหม้ น่ากลัวทั้งนั้น  แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เป็นผู้ทำลายสิ่งที่โลกให้  ทำลายสิ่งที่คู่กันให้ขาดคู่  จึงไม่สามารถยืนหยัดได้  เหมือนกับไปตัดขาคนข้างหนึ่งแล้วให้เขายืนข้างเดียว ศิษย์จึงต้องรับเคราะห์กรรมเหล่านี้  ศิษย์ของอาจารย์จะช่วยได้อย่างไร    เราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ก็ทำในสิ่งที่เล็กหน่อย  ไม้หมดป่าเพราะคนตัดทีละต้น  หากว่าศิษย์เป็นไม้ต้นหนึ่งในป่านี้ก็จงรักษาตนเองไว้ให้รอดดีหรือไม่ (ดีในวงสังคมยิ่งมีคนพาลคนชั่วมากเท่าไร เราจะเป็นคนดีได้หรือเปล่า  (ได้เราจะเป็นไม้อายุร้อยปีที่อยู่ต้นเดียวได้ไหม (ได้ถึงแม้ว่าเรายืนหยัดทำความดีอยู่คนเดียว  แต่ความดีนี้หาใช่เกิดจากเราไม่  ต้นไม้ได้ชีวิตจากผืนดิน  ได้การเจริญเติบโตจากน้ำ  และยังชีพยืนต้นขึ้นหยัดสูงท่ามกลางฟ้า  เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าเราทำดีเพียงผู้เดียว  เราทำดีได้ อยู่ด้วยฟ้าและดิน  ทุกๆ ขณะจิตจึงต้องมีการสำนึกคุณ  อย่าคิดว่าเรานั้นมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเองและอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเราเอง  จึงทำผิดศีลธรรมไปมากมายโดยไม่รู้ตัว  แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราทำอยู่ทุก ๆ วันคือทำตามทำนองคลองธรรม ทำตามที่ฟ้าและดินเป็น ศิษย์จึงมีชีวิตอยู่รอด  ใบหน้าจึงงดงามดังมนุษย์ผู้มีธรรม  ร่างกายจึงจะสามารถยืนหยัดโดยไร้โรคภัย   หากขาดสิ่งเหล่านี้แล้วร่างกายเสียสมดุลตามสภาพที่เราสร้าง  คนบางคนใบหน้าจึงชั่วร้าย  คนบางคนร่างกายจึงพิกลพิการ ศิษย์มักจะมองว่าเกิดจากกรรมเก่า  แต่จริง ๆ แล้วกรรมเก่าเกิดจากที่เราทำลายสภาพสมดุลตามฟ้าดิน ไม่ดำเนินตามทำนองคลองธรรมแห่งฟ้าดิน  จึงไม่สามารถยืนหยัดได้  และนี่เป็นความยิ่งใหญ่ของ    ฟ้าดินที่ศิษย์ไม่เคยมอง ใช่หรือไม่ (ใช่ผืนดินเหยียบอยู่ทุกวัน  แผ่นฟ้าเงยหน้าขึ้นเมื่อไรก็เห็น  แต่เรามักเงยหน้าขึ้นมองฟ้า  เมื่อเรากำลังเศร้าโศกใจ  ยามที่เราคิดถึงสิ่งไหนสักสิ่งหนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นสักครั้งหนึ่ง   นาน ๆ ทีจะก้มหน้าลงมองหญ้าที่งอกอยู่บนพื้น  แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรที่เป็นหลักธรรมขึ้นมาเลย
ตื่นมาวันนี้แพ้ไม่ได้     
มีหลายคนบอกว่าตื่นมาวันนี้เราจะไม่พ่ายแพ้ ทำการค้าก็บอกว่าต้อง   ร่ำรวย  ตื่นมาวันนี้เจอคนที่เราไม่ชอบหน้าเราก็ต้องทำอย่างไร  (ยิ้มให้เขาเวลาเจอหน้าคนไม่ชอบ  ก็ปั้นหน้าเป็นชามคว่ำ  เวลาเจอคนที่ชอบชามก็หงายขึ้น  โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ  แต่เป็นสิ่งที่มีจิตใจแบ่งแยก   แยกระหว่างตัวเราเองและผู้อื่นออกจากกัน  ไม่เคยมองผู้อื่นเป็นพี่น้องร่วมโลก 
หากมองย้อนคงเห็นตน
เราหลับตาแล้ว  เราก็เห็นตัวเราเอง  ถ้าเราลืมตาก็มองเห็นคนอื่น  แท้จริงแล้วศิษย์ เห็นตนเองวันละหลาย ๆ ครั้ง โดยเฉพาะคนที่รักสวยชอบส่องกระจก คนในกระจกนั้นเป็นมารหรือพุทธะ  ใครๆ  ก็ว่าตัวเราไม่ได้  แต่เราว่าตัวเราเองได้ใช่หรือเปล่า  แล้วเราจะยอมว่าตัวเราหรือเปล่า (ยอม ) ถ้าอีกสองวันคนนี้ว่าเรา แล้วเราก็ว่ากลับ  ตอนว่าเขากลับเรามีอารมณ์หรือเปล่า (มีถ้ามีอารมณ์ก็ยังเป็นมาร  พุทธะมีอารมณ์ที่เยือกเย็น  โปรดไปทางไหนก็เย็นใจผู้นั้น  อารมณ์ที่หวังจะให้เขาได้ดี  เมื่อเห็นเขาได้ดีเราก็ต้องยินดี  สมมุติว่าในที่นี้มีคนสอบสิบคน  ต้องมีหนึ่งคนได้ที่หนึ่ง  เราอยากได้ที่หนึ่งมากเลย แต่คนข้าง ๆ ของเราได้ที่หนึ่ง   เรายินดีไหมที่เขาได้ที่หนึ่ง (ยินดีเราต้องยินดี  และเวลาผู้อื่นไม่ได้ดี  เวลาผู้อื่นโศกเศร้าเสียใจด้วย  แต่เราเสียใจด้วยแค่ที่ปากเท่านั้น  เราไม่ได้เสียใจออกมาจากใจจริง ๆ  หมายความว่าเราเสียใจด้วยเราต้องเสียใจออกมาจากใจ  เมื่อศิษย์นั้นเอาตัวของเราเข้าไปยืนในจุดเดียวกับเขา เราจะเห็นทางออกสำหรับเขา        ใช่หรือไม่ (ใช่
อาจารย์เป็นพุทธะ  แต่วันนี้อาจารย์ต้องลงมาในโลก  เพื่อมายืนจุดยืนเดียวกับศิษย์ และบอกศิษย์ว่าจะออกไปจากความเป็นปุถุชนอย่างไร  ถ้าพุทธะ ไม่ลงมาช่วย  อาจารย์ไม่ลงมายังโลกตอนนี้  แล้วคอยตะโกนอยู่บนฟ้าบอกว่าศิษย์เอ๋ยไปอย่างนี้ ๆ  ไปทางนั้นไปทางนี้  ถามว่าศิษย์รู้ไหม (ไม่รู้และเมื่อศิษย์รู้แล้วศิษย์จะทำตามที่อาจารย์บอกไหม  (ทำถ้าหากว่าศิษย์ไม่ทำแม้อาจารย์จะเสียใจด้วยอย่างสุดซึ้ง  ยอมที่จะเวียนว่ายตายเกิดแทนแต่ก็สามารถเวียนว่ายตายเกิดเป็นเพื่อนด้วยเท่านั้น 
อาจารย์มีคำพูดอยู่คำหนึ่ง ถ้าหากว่าศิษย์เป็นเหมือนภูผา  มีความหนักแน่นประหนึ่งภูเขา  แม้อาจารย์ไม่ต้องรั้งศิษย์ก็จะอยู่ด้วย แม้อาจารย์ต้องการให้ภูเขาอยู่ตรงนี้ ต้องการให้ศิษย์อยู่ตรงนี้  แต่ศิษย์ไม่ใช่ภูเขา รั้งอย่างไรก็ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นภูเขาอันนี้เกิดได้ที่ไหน  ภูเขาอันนี้เกิดที่จิตใจอันหนักแน่นของเรา หนักแน่นจากน้ำฝน หนักแน่นจากน้ำท่วม หนักแน่นจากไฟไหม้ 
ถ้าศิษย์ฟังธรรมะแล้วง่วงนอน ให้เอาธรรมะมาเช็ดหน้า ธรรมะที่เราฟังอยู่  ถ้าเราตั้งใจฟัง  ธรรมะก็เหมือนกับผ้าเย็น ๆ  สักผืนหนึ่ง  ที่ยิ่งฟังจะยิ่งตื่น  ตื่นที่ใจ  แต่ว่าหลายๆ คนมักจะเป็นแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น  ขอให้เอาความเบิกบานแห่งธรรมะเข้าสู่ใจเรา  ฟังธรรมะให้ฟังเหมือนเสียงดนตรี  ความสามัคคีที่เราริเริ่มและร่วมบรรเลงร่วมกันนั้น  เปรียบไปแล้วเป็นบทเพลงสวรรค์  ในคัมภีร์ ซือจิง”  ได้กล่าวไว้ว่า  การที่เราบรรเลงเพลงร่วมกัน  จะไม่มีการถกเถียงว่ากล่าว  หรือแม้แต่กระแอมไอ  จนกว่าเพลงนั้นจะบรรเลงจบ  ไม่พูดให้เสียงเล็ดรอดออกมาจนกว่าดนตรีจะจบลง  ไม่เช่นนั้นจะเป็นบทเพลงที่ไม่ไพเราะ ใช่หรือเปล่า (ใช่เวลาที่เราทำงานร่วมกัน  ถ้าหากว่ามีความผิดพลาด  ไม่ว่าสิ่งใดก็แล้วแต่  จะต้องให้เลิกจากงานเสียก่อนจึงจะสามารถตักเตือนบอกกล่าว  ชี้แนะและติติงได้   เพราะว่าเราเอาแต่อารมณ์เอาแต่ใจตนเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ถูกบีบคั้นอย่าเผลอใจ”)
หลายๆ คนเวลาถูกเหตุการณ์ทุกอย่างบีบคั้น  เผลอใจไปตัดพ้อต่อว่าฟ้าดิน  ต่อว่าผู้อื่น  เผลอใจไปท้อถอย  ร้องไห้  เผลอใจที่จะไม่อดทน  เอาสติของเราเลื่อนลอยไปตามกระแสของความทุกข์ยาก  เมื่อเราไม่ประสงค์ให้ตัวเราเจ็บก็จงอย่าให้ผู้อื่นเจ็บไม่ว่าจะเป็นน้ำคำหรือการกระทำ  เมื่อเราเคยทุกข์ยากลำบากก็อย่าส่งความลำบากนี้ต่อไปให้ใคร ขอให้จบที่เรา
ฟังชั้นนี้จบแล้วจะเป็นพุทธะหรือจะเป็นคนในชาติต่อไป  (แล้วแต่วาสนา

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาวงครอบพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ศรัทธาอาจารย์ไม่ได้หวังให้ศิษย์มีความศรัทธามากแต่ขอให้เสมอต้นเสมอปลาย  จนกระทั่งถึงดินแดนพุทธะ 
เชื่อ  ความเชื่อที่สำคัญที่สุดคือเชื่อมั่นในตนเอง  เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองบำเพ็ญอยู่  นอกจากเชื่อมั่นในหลักสัจธรรมแล้ว  ถ้าเอาหลักสัจธรรมไปใช้  ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ถูกคนพูดทีก็ไปที  เพราะฉะนั้นเชื่ออันนี้คือเชื่อมั่นในตนเอง  เชื่อมั่นในหลักสัจธรรมแล้วเอาสองอย่างนี้มารวมกันให้ได้ ดีไหม (ดี)
มั่น มั่นอันนี้คือมั่นคง  คือไม่มีจิตใจเคลือบแฝงใด ๆ  ทั้งสิ้น  และมั่นนี้ก็คือมั่นคงในความดี  ต้องทำให้ได้สองอย่างนี้  ก็สามารถจะสำเร็จเป็นพุทธะได้เช่นเดียวกัน 
ต่อ”  ต่อนี้คืออะไร  การที่เรามีชีวิตอยู่ในสังคม เรามีการคบหาสมาคม  มีทั้งลูกมีทั้งภรรยา มีทั้งครอบครัว  มีทั้งต่อผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)    และต่อนี้ก็คือต่อใจของเราให้เป็นต่อ เรายอมเขาก่อนเพื่อให้เขาสามารถที่จะเดินเข้ามาทางพุทธะได้  ไม่ว่าต่อใคร ๆ  เราก็มีจิตใจที่ราบเรียบเสมอกัน   เช่นนั้นแล้วศิษย์จึงสามารถออกไปนำผู้อื่นเข้ามาสู่ทางธรรมะได้เช่นเดียวกัน  ไม่ใช่ว่าจิตใจของเราที่จะบำเพ็ญธรรมจะมีแต่ธรรมะ  แต่ในที่สุดแล้วธรรมะคืออะไรก็ไม่รู้  เพราะฉะนั้น ต่อนี้คือต่อทุกคน   ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น  ต่อทุกสรรพสิ่ง    ที่จะแนะนำเขาให้เขาเข้ามาทางเดียวกับเรา 
(พระอาจารย์เมตตาชี้แนะผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่ง
อาจารย์มักจะพูดเสมอ ๆ ว่า คนที่จะสำเร็จเป็นพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ จะต้องเจอความลำบาก ยิ่งลำบากมาก  เท่าไรยิ่งจะเห็นพุทธะที่แท้จริง  เพราะฉะนั้น  ทุก ๆ วันนี้ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ลำบากคือเจอเคราะห์กรรม  ไม่ใช่ว่าเราไม่บำเพ็ญธรรมะแล้วเคราะห์กรรมไม่มี   ทุก ๆ คนต้องเจอไม่ว่าจะบำเพ็ญหรือไม่บำเพ็ญ เพียงแต่ของศิษย์มาเร็วหน่อย  มาแรงหน่อย แล้วไปเร็วหน่อย  ถ้าเป็นคนปกติเขาใช้กันสามชาติ  ศิษย์ชดใช้ชาติเดียวหลุดพ้น  เพราะฉะนั้นอดทนให้ไหว  ในทุก ๆ วันนี้ภาวะแวดล้อมนี้คือความทุกข์  ศิษย์จะยอมอยู่ก็ไม่ได้  จะกลัวก็ไม่ได้  เพราะถ้ากลัวแล้วก็สู้ไม่ได้  แต่จะรอดอยู่คนเดียวก็ไม่ได้  เพราะฉะนั้นอะไรก็ไม่ได้หมด  การที่เราบำเพ็ญธรรมะจึงหนีบตัวให้เหลือเล็กเข้าไว้  อย่าได้เอาสองแขนนี้กางออกไป  ยิ่งกางออกไปเท่าไรยิ่งมีกิเลสตัณหา  เป็นการหาทุกข์ใส่ตัวเท่านั้น  จงดูภาวะการณ์ให้ดี  อยู่ไม่ได้ กลัวไม่ได้ รอดคนเดียวไม่ได้  เพราะฉะนั้นจงรอบคอบในการดำเนินชีวิตของตนเองให้ดี  เรารอบคอบผู้อื่นจึงสามารถมองเราเป็นแบบอย่าง  จึงสามารถเจริญรอยตามได้ 
ตั้งแต่โบราณกาลมา  พระอริยะ พุทธะทุกองค์มีความทุกข์  แต่ความทุกข์อันนี้ ท่านทำให้เห็นแล้วว่าท่านรอดไปพร้อมกับผู้อื่น  ถ้าหากศิษย์ทำได้  ศิษย์ย่อมสามารถเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อื่นได้    เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่ารับเคราะห์ไว้  เพื่อที่จะเป็นแบบอย่างให้ทุก ๆ  คนที่ตกอยู่ในภาวะตกยากอย่างนี้ 
หลาย ๆ  คนเคยคิดว่าเภทภัย ความทุกข์ยากมาด้วยเหตุใด  ตอนนี้รู้แล้วว่ามาอย่างไร  แค่เก็บเงินออกจากกระเป๋าทุก ๆ คน เท่านั้นเอง ก็ทุกข์กันไปหมด ไม่ต้องเอาภัยอย่างสมัยก่อนลงมา  อาจารย์เคยพูดไว้ว่าภัยพิบัติใกล้จะเผาขนคิ้วอยู่แล้ว  ทำไมศิษย์ของอาจารย์หลาย ๆ  คนยังไม่รู้สำนึกอีกว่าที่เจออยู่ทุกวันนี้เรียกว่าภัยพิบัติแล้ว  ลมมาแล้ว ไฟมาแล้ว น้ำมาแล้ว  ตอนนี้อยู่ในวงล้อมของ ภัยพิบัติแล้วศิษย์เอ๋ย  ภัยพิบัติไม่ได้หมายถึงความอดอยากปากแห้ง  ไม่ได้หมายถึงภัยสงครามอย่างเดียว  ในตอนนี้คนที่เป็นพุทธะก็ย่อมจะเปล่งประกายของพุทธะในยามนี้  ฟ้าดินยืมโอกาสนี้ในการคัดเลือก หากศิษย์มัวแต่เอาตัวรอดย่อมจะไม่ได้เป็นพุทธะ  ยิ่งคลื่นสูงเท่าใดคนที่สามารถยืนอยู่บนคลื่นยิ่งจะเด่นชัด    ยิ่งดูสูงส่งเท่านั้น  สูงส่งนี้ไม่ใช่ตัวสูง   แต่คือสูงส่งด้วยคุณธรรม   เหนือคลื่นแห่งความทุกข์นี้  แม้จะโดนซัดไปใต้น้ำ  ก็จะกระเสือกกระสนขึ้นมาเหนือน้ำอีก  เพื่อที่จะขึ้นมามองดูผู้อื่นได้ชัดยิ่งขึ้น  และยื่นมือไปช่วยผู้อื่นได้ชัดยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)    
ตอนนี้ทุกคนก็ลำบากหน่อย  ขอให้ศิษย์อดทนไว้ อย่ามัวคิดถึงแต่ตัวเราครอบครัวเราเอง คนในบ้านเราเองเท่านั้น  แล้วจะไปได้เรื่องอะไรจริงไหม (จริงดังนั้น ไม่ว่าตัวเราจะเจ็บป่วย  จะหิวโซ  ตัวเรานั้นจะนั่งร้องไห้  จะมีความทุกข์ยากที่คนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้  ก็ขอให้ตัวเรานั้นเป็นคนที่ฟ้าดินได้คัดเลือกแล้ว  จบชาตินี้ก็กลับไปเป็นพุทธะ  แต่อาจารย์กลัวอย่างเดียวว่า  จากหกคนเหลือสองคน  หรืออาจไม่เหลือเลย   เหตุการณ์ที่เกิดบนโลกปัจจุบัน  ทำไมศิษย์อาจารย์จึงมองไปไกลนักกับภัยพิบัติที่จะอยู่เบื้องหน้า  ที่อาจารย์พูดมาเมื่อคราวก่อนนั้นต้องการที่จะปลอบศิษย์ให้มีใจที่นิ่ง  นิ่งเสียจนเหมือนกับแผ่นดินที่นิ่งแล้ว เพื่อให้ศิษย์นั้นสามารถรับภาวะการณ์เบื้องหน้าที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ได้  เพราะฉะนั้นศิษย์หลาย ๆ  คนที่มีความฟุ้งซ่านต่างบอกว่าอาจารย์ทำไมพูดอย่างนี้  พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่เกิด  แค่ศิษย์มองไปข้างหน้า  เห็นมดที่โดนคนเขาเหยียบตายนั่นก็คือตัวศิษย์  แต่เราจะตายอย่างไรให้มีคุณค่า  ตายเหมือนกับทุก ๆ คนที่ตายไปแล้วก็จบกัน  ตายแล้วก็ไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่หรือจะขอจบชีวิตนี้อย่างมีคุณค่าดี
อันว่าชื่อเสียงเงินทอง  ไม่มีความจีรังยั่งยืนที่จะให้ศิษย์สามารถใช้สอยไปจนตลอดชีวิตหรือใช้ในโลกหน้า  ความผูกพันต่าง  ๆ  เหมือนกับสายลมที่พริ้วแผ่ว  เมื่อเราอยู่กลางสายลม  ก็รู้สึกเย็นสบายดี  ลมผ่านไปความผูกพันต่างๆ ทุกอย่างผ่านแล้วหมดไป  ไม่สามารถจีรังยั่งยืนได้  เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์ดำรงตนด้วยคุณธรรมที่สูงส่ง  แม้วันนี้จะเพิ่งหัดคุณธรรมเล็กๆ  แต่อาจารย์คิดว่าไม่นานศิษย์จะได้เข้าถึงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่  เข้าสู่ภาวะของฟ้าดินอันใหญ่ยิ่ง  วันนี้อาจารย์พูดมากไปสักนิดหนึ่ง   ถ้าเทียบกับนักเรียนที่ใหม่ ๆ  เหล่านี้  แต่อาจารย์ก็หวังว่า คำพูดของอาจารย์นี้  คงจะไม่ทำให้ศิษย์เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแล้วก็จบกันเหมือนสายลม 
 “ไว้ไว้นี้คือไว้ใจผู้อื่น ทุกๆ ผองชนที่อยู่รอบข้างเรา หากว่า  ไม่เกิดเหตุการณ์ใดๆ ทำให้เรารู้สึกขุ่นข้องหมองใจ  เราจงไว้ใจคนอื่นเขา แต่หากมีใครก็แล้วแต่เฝ้าใส่ไคล้คนอื่น ทำให้เราเกิดอคติต่อคนนั้น เราจงใช้ปัญญาอันเฉียบคมมาตัดเส้นที่จะทำให้อารมณ์ของเราระเบิด  ระเบิดมีสองเส้น  เส้นหนึ่งถ้าตัดแล้วจะไม่ระเบิด  แต่มีอีกเส้นหนึ่งที่ตัดแล้วจะระเบิดเลย  เพราะฉะนั้นจงตัดให้ถูกเส้น เข้าใจไหม
ใจ”  ใจหมายถึงหัวใจ  ครอบครัวมีหัวหน้าครอบครัวเป็นหัวใจ  วงการธรรมะมีศิษย์ผู้มั่นคงในศรัทธา ผู้จริงใจเดินหน้านำผู้อื่น  เสียสละอ่อนน้อมเป็นหัวใจ เพราะฉะนั้น ศิษย์จะให้เป็นหัวใจของพวกเขาได้หรือเปล่า หัวใจที่แท้จริงเปรียบไปแล้วเหมือนกับน้ำในมหาสมุทรที่อยู่ใต้ล่าง รอให้น้ำจากแม่น้ำไหลลงมา  มหาสมุทรแม้จะต่ำเตี้ยที่สุดแต่กว้างใหญ่ที่สุด ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นหัวใจของคนที่อ่อนน้อม ให้ผู้อื่นนั้นไหลลงมารวมกับเราได้อย่างสุขุมคัมภีรภาพ 
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีสุด ใช่หรือเปล่า (ใช่เปรียบประหนึ่งการลงแรง ถ้าศิษย์จะใช้มีดแห่งปัญญาของศิษย์  ตัดลงไปก็ควรจะตัดทีเดียวให้ขาด  เราจะตัดสองทีสามทีได้ไหม (ไม่ได้แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้การกระทำของศิษย์ไม่ดีอยู่เสมอก็คือการขาดประสบการณ์  เหมือนกับการร้องเพลง ต้องยิ่งร้องจึงยิ่งมีความชำนาญขึ้น เราไม่สามารถจะทำสิ่งใดแล้วชำนาญขึ้นมาได้ในครั้งเดียว  แต่อย่าได้กล่าวโทษตนเอง  การบำเพ็ญธรรมการปฏิบัติตน ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกสถานธรรมนั้น จำเป็นจะต้องคงเส้นคงวา จำเป็นจะต้องเหมือนกัน  คนในสถานธรรมเราก็ยิ้มให้เขา คนที่เขายังไม่ได้รับธรรมะไม่ได้เป็นพี่น้องกับเรา เราก็ต้องยิ้มให้เขาเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่จึงเป็นการกระทำที่คงเส้นคงวา  อย่าได้ดูถูกใคร เรานั้นอย่าได้เหยียดหยามใคร และอย่าได้ดูเบาตนเอง จึงนับว่าเราเป็นผู้ที่บำเพ็ญด้วยการอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างแท้จริง อันว่าความชำนาญนั้นยิ่งลงแรงยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเกิด 
ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน  ฟังธรรมะมาตั้งสามวัน  เรายังไม่ค่อยรู้เรื่องไม่ค่อยเข้าใจ   แต่ถ้าหากว่าหลังจากสามวันนี้ไป ศิษย์ยังเจียดเวลามาก็จะเกิดความเข้าใจ  เกิดความชำนาญยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่อย่าได้มานั่งที่นี่เพราะว่าคนอื่นเขาบีบบังคับให้มา อย่าได้มานั่งที่นี่เพราะว่าจำเป็นจะต้องมา  แต่ขอให้มาด้วยใจ ถ้าหากในวันนี้ยังมาด้วยเหตุสองเหตุที่อาจารย์พูด แต่ตั้งแต่บ่ายนี้เป็นต้นไป ขอให้อยู่ด้วยใจดีหรือเปล่า (ดี)  เพราะถ้าหากศิษย์อยู่ด้วยใจก็จะเข้าใจธรรมะอีกมากมาย  ใช่หรือไม่ (ใช่
แม้ว่าเหลืออีกครึ่งวันก็จะจบแล้ว  แต่อาจารย์บอกว่ายังไม่สายสำหรับศิษย์ที่จะเริ่มบำเพ็ญ ถ้าล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่  ถ้าหากว่าเดินแล้วสะดุดก็ทำแผลแล้วเดินต่อ  ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับคนที่จะทำความดี  มีแต่คนชั่วเท่านั้นที่ทำความผิดไปแล้ว จึงบอกว่าสายไปแล้วที่จะกลับตัว  ต้องโดนตำรวจจับ ต้องโดนกรรมตามทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากศิษย์เป็นผู้ตั้งใจจะทำความดี จะกลัวกับคำว่าสายเกินไปหรือ
อาจารย์หวังว่า ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะอยู่ที่ไหน  ไม่ว่าจะมีความสามารถมากน้อยแต่ก็พร้อมที่จะพัฒนาความสามารถตนเองให้มีมากขึ้น  แต่ผู้ที่ไม่รู้จักพัฒนาตนเองมีกิเลสเท่านี้ก็เท่านี้  ไม่รู้จักตัดไม่รู้จักลด ความสามารถมีเท่านี้ ก็ไม่หาความสามารถใส่ตัวก็มีแต่ถอยหลังลงคลอง ทะเลทุกข์ยังไม่อยากเจอ  เพราะฉะนั้น ดังนั้นก็อย่าถอยหลังลงคลอง
ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
ทั่งอันใหญ่ เข็มอันเล็ก เราจะทำทั่งให้เป็นเข็มเราต้องฝน ใช่ไหม (ใช่ในยุคนี้ใครขี้เกียจบำเพ็ญ ขี้เกียจขัดเกลาตนเองก็ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้  ใครขี้เกียจเดินหน้ารุดหน้าก็เดินไม่ทันคนอื่น  ตอนนี้ฟ้าดินให้ศิษย์เดินหน้า เปรียบประหนึ่งให้วิ่งแข่งกัน แต่แข่งนี้คือแข่งคุณงามความดี ใครวิ่งไปถึงก่อนก็บรรลุก่อน ศิษย์อย่ามัวแต่คิดว่าขึ้นไปก็ต้องมีส่วนของเราอยู่แล้ว อันนั้นเป็นความคิดที่ไม่ค่อยถูก เพราะไม่ใช่ว่าจะมีมรรคผลอยู่ข้างบนเสียทุกคน  บางคนมี บางคนไม่มี  คนไม่มีก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิ์  แต่จะสมควรอย่างยิ่งต้องพัฒนาตนเอง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า  ศิษย์ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครมีใครไม่มี  ฉะนั้น จงขยันไว้  เพราะฉะนั้น เมื่อฝนทั่งของตัวเราก็คือจิตใจของเราที่มืดมัวสลัวดำอยู่นี้ให้เป็นเข็ม  เข็มที่คมที่สุด เงาที่สุด ดีที่สุดด้วย เข็มนี้ห้ามเอาไปทิ่มแทงใคร เข็มอันนี้มีไว้ปะชุนใจของคนให้สนิทแนบแน่นเป็นผ้าผืนเดียว ใช่หรือเปล่า (ใช่ศิษย์เคยออกไปซื้อเข็มเย็บผ้าไหม (เคยเข็มบางเล่มยาว บางเล่มสั้น บางเล่มหนา บางเล่มเงาประกาย ใช่หรือไม่ (ใช่เข็มก็ยังแตกต่างกัน เกิดเป็นคนก็ยังแตกต่างกัน มีอย่างเดียวคือความเป็นคนที่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นพุทธะ เชื่อหรือไม่ว่าตนเองสามารถเป็นพุทธะได้ (เชื่อ) อย่าตอบแต่เพียงตรงนี้ ต้องตอบออกมาจากปาก  จากใจของตัวเราเอง  เพราะถึงแม้ศิษย์จะพูดออกมาว่าเชื่อ แต่ถ้าใจของศิษย์ไม่เชื่อ  ก็ไม่สามารถจะบำเพ็ญเป็นพุทธะได้ 
มีสิ่งเดียวที่เคียงข้างกับเราตลอดของการเดินทางคือเท้า ใช่หรือเปล่า (ใช่เท้าเมื่อยเป็น ปวดเป็น แต่ว่าถ้าหากขาดเท้าย่อมไม่สามารถจะไปถึงได้ ถูกไหม (ถูกเท้าเปรียบเสมือนอะไร (ผู้นำ,การเริ่มต้นก้าวเดิน,พาหนะที่นำไปสู่ความสำเร็จหลายคนคิดดีแต่ไม่พูด เตรียมการกระทำไว้ดีแล้วแต่ไม่ยอมทำ  คุณงามความดีก็จะไม่บังเกิด ก็เป็นอย่างไร แล้วก็กลืนหายไปกับกาลเวลา ร่างกายแก่ชราแล้วไม่ได้บำเพ็ญ เมื่อชีวิตดับวูบลงเหมือนแสงเทียนก็จบกัน ไม่มีทางที่เราจะได้บรรลุเป็นพุทธะ การที่อาจารย์ให้ศิษย์กล้าพูด ก็เพื่อให้ศิษย์กล้าไปพูดธรรมะกับผู้อื่นได้
เท้านั้นเปรียบไปแล้วก็คือความมั่นคงทางธรรม เท้าข้างหนึ่งก้าวอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เท้าอีกข้างหนึ่งคือความเชื่อมั่น เมื่อเราเจอความยากลำบากก็ไม่ขาพับขาอ่อนล้มไปเสียก่อน เพราะฉะนั้นกำลังไม่ได้อยู่ที่ขา กำลังอยู่ที่ใจ  เพราะฉะนั้นเราเป็นพี่เป็นน้องกันจึงควรให้กำลังใจซึ่งกันและกันไว้เสมอ ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่คำพูดใดทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจ  ทำให้ผิดใจกันก็พูดน้อยๆ
คำพูดใดส่งเสริมให้เขาไปไกลยิ่งกว่าเดิมไว้ พูดให้มากไว้  ความผิดอันใดของผู้อื่นขอให้เรารู้จักเก็บไว้ อันใดเป็นความชอบของเขาให้เรารู้จักพูดออกไป เมื่อเราทำเช่นนี้ ผู้อื่นก็จะทำเช่นนี้กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่อีกทั้งบำเพ็ญธรรม อย่าเป็นคนหูเบาเชื่อง่าย หลงง่าย  ทุกคนนั้นไม่ใช่บำเพ็ญได้ในระดับที่ดี  เพราะฉะนั้น จึงฟังแล้วต้องคิดด้วย  อาจารย์เห็นพระโอวาทของท่านแปดเซียนท่านบอกว่า ตรองเสียสามครั้ง หมายความว่า ไม่ว่าจะฟังสิ่งใดมา ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดไป     ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องหนักเรื่องเบา เรื่องนิดเรื่องหน่อย ก็ต้องตรองถึงสามครั้งเป็นอย่างน้อย   บางคนพอคิดก็พูดทันที สิ่งที่ไม่ดีก็ออกไปด้วย สู้เราคิดสามครั้งเป็นอย่างน้อย ทำสิ่งใดไปก็จะผิดพลาดน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่ก็คือสิ่งที่ดีก็ควรจะทำไว้ สิ่งไม่ดีนั้นก็ควรจะหลีกเลี่ยงให้มาก 
หวานเป็นลมขมเป็นยาทางข้างหน้า
ทางข้างหน้านี้ที่จะเดินนับจากนี้ไป  เมื่อเจอความหวานจิตใจจงประหวั่นไว้ ประวิงไว้
ถ้าหากว่าเรายิ่งลำบากเท่าไร ความขมอันนี้จะเป็นยาขนานเอก ยานี้รักษาชื่อเสียงเงินทองไม่ได้  แต่รักษาจิตใจของเราที่เป็นพุทธะเอาไว้ได้  จงตรองอันนี้นะ
ใครจะผิดใครจะถูกประดุจคลื่น
เค้าผิดหรือถูกก็เหมือนคลื่นนี้ที่กลืนหายไปกับเวลา  ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน เอาอารมณ์ไปใส่ เอาใจเราไปกองเสร็จแล้วก็ไม่คุ้มเลย
ขอให้หมื่นปัญญาชนเดินตามเรา
จะให้หมื่นคนที่มีปัญญามาเดินตามเราแสดงว่าเราต้องมีปัญญาเหนือคนทั้งหมื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แท้จริงดูเหมือนเหนือแต่แท้เที่ยงยิ่ง กว่าคนอ่อนน้อมยอมให้ผู้อื่นนั้นได้เหยียบใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่ให้ปัญญาชนยืนเหยียบได้ คือถนนหรือ สะพานใช่หรือไม่(ใช่) เราจะมีปัญญาอะไรไปเหนือกว่าคนหมื่นคนนอกเสียจากว่า เรารู้จักที่จะเสียสละตนเองเท่านั้น เราจึงจะมีปัญญาเหนือยิ่งกว่าคนหมื่นคน  เพราะว่าทางแก้เราให้ทางเขา  อย่าคิดว่าเรานั้นดีพอ เก่งพอที่จะให้ผู้อื่นได้ ให้เรายิ่งเก็บปากเก็บคำ เก็บจิตเก็บใจของเรามากเท่าไหร่เรายิ่งจะเป็นสะพานที่ดี สะพานอันนี้สร้างให้มั่นคงเท่าไรก็จะทำให้ผู้อื่นเดินได้อย่างราบรื่นเท่านั้นใช่หรือไม่(ใช่) ถ้าหากเราสร้างสะพานของตัวเราเป็นสะพานไม้สะพานแขวน เขาเดินไปก็โยกไป  ในที่สุดเราก็พาคน ๆ หนึ่งหล่นลงไป   กุศลมากมายทดแทนคน ๆ เดียวที่ตกลงไปไม่ได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราต้องระวังมาก ๆ  รับธรรมแล้วสิ่งที่ส้ำค่าที่สุดอยู่สิ่งที่อาจารย์มอบให้ก็คือไตรรัตน์  จำไม่ได้ จำไม่ดีจะมาร้องเรียกอาจารย์หลังจากที่ไม่มีร่างกายนี้ก็ไร้ค่า การไหว้พระสร้างกุศล ถ้าไม่มีร่างกายนี้ก็ไม่มีให้สร้าง ไม่ใช่ศิษย์สร้างไม่ได้ เพราะฉะนั้น จงสำคัญให้ดี รู้สิ่งใดหนักรู้สิ่งใดเบา รู้สิ่งไดสำคัญ สิ่งไดไม่สำคัญ เหมือนกับการแบ่งแยกเวลามาบำเพ็ญธรรม หากวุ่นวายมากไม่อยากมาก็ไม่เป็นไรแต่อย่าได้พักนาน ถ้าหากว่าหยุดพักโดยที่ไม่รู้จักแบ่งเวลาให้กับตนเอง     ก็จะไม่มีเวลามาบำเพ็ญเลย เหมือนกับสามวันก่อนหน้านี้ เขาไปตามเรา เรายังบอกว่าไม่ว่างใช่ไหม 
แม่ครัวเหนื่อยยากกันทุกคน คนที่นี่ก็เป็นคนจิตใจดี พวกศิษย์ก็จิตใจดี เพราะฉะนั้นอยู่กันอย่างพี่ อย่างน้อง มีอะไรก็พึ่งพาอาศัยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ปริญญา ฝนทั่งให้เป็นเข็มไม่ทราบว่าศิษย์คนไหนจะเอากลับไปทำบ้าง  อาจารย์อยากจะให้กลอนไว้อีกหนึ่งบททิ้งท้ายไว้ก่อนที่เราจะจากกัน เพราะว่า การจากกันนั้น ย่อมไม่รู้ว่าศิษย์คนไหนจะเดินจนสุดทางบ้าง
ในวิญญามีศิษย์ข้าอยู่ทุกเมื่อ       ศิษย์อย่าเบื่อการบำเพ็ญต้องรักษา
อาจารย์นี้จะคอยศิษย์ชั่วดินฟ้า     ศิษย์เอ๋ยอย่าแชเชือนคำของข้าเลย
 (พระอาจารย์เมตตาคุยกับนักเรียนในชั้นที่มาแค่สองวันศิษย์มาแค่สองวัน  แต่จิตใจเราต้องกว้างกว่าสองวัน  อย่าปิดใจจนสนิท จนไม่สามารถสื่อสัมผัสถึงตัวของอาจารย์ได้   แม้ว่ามีความสงสัยมากมาย  แต่อย่าให้ความสงสัยอันนั้นล้างใจของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์ ไม่หลอกไม่ลวงไม่โกหก ศิษย์ทำได้ก็เป็นผลดีต่อศิษย์นะ  
ร่างกายที่อาจารย์ใช้ไม่ใช่ของอาจารย์ ร่างกายที่ศิษย์ใช้อยู่ก็ไม่ใช่ของศิษย์ สักวันหนึ่งพอแก่แล้ว ตายแล้ว  เราก็จากกันห่วงอะไรกับความสวยงามของเรา ห่วงอะไรกับลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง  ห่วงอะไรกับอารมณ์อันหาแก่นสาร   ไม่ได้ ขอให้ศิษย์พิจารณาตรึกตรองด้วยปัญญาด้วยสติ  ผู้หญิงแต่งหน้าตอนเช้า พอเย็นเครื่องสำอางจางแล้ว ก็ไม่สวย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ผู้ชายร่างกายกำยำ    แข็งแรงพอแก่แล้วก็ดูงก ๆ เงิ่น ๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ชีวิตนี้ได้สิ่งใดมาสิ่งนั้นก็จะจากเราไป นี่คือความไม่เที่ยงไม่แน่นอน อาจารย์อยากให้ศิษย์หาสิ่งที่แน่นอนที่สุด จีรังที่สุด นั่นคือการบำเพ็ญธรรมเพื่อการหลุดพ้น ดีหรือไม่ (ดีมนุษย์ก้าวออกไปด้วยจุดหมาย  อาจารย์หวังว่าศิษย์ในชั้นนี้จะมีจุดหมายอันเดียวกัน       นั่นก็คือการบรรลุ
อาจารย์อยากจะให้มือของอาจารย์ที่ยื่นไปสัมผัสศิษย์ได้ชั่วครู่นี้ วิ่งเข้าไปถึงใจศิษย์ เอาความมุ่งมั่นของอาจารย์วิ่งเข้าไปในใจของศิษย์ สถิตอยู่ในใจของศิษย์ แล้วให้ศิษย์เอาความมุ่งมั่นเหล่านี้ไปใช้บ้าง อย่าเห็นอาจารย์เป็นเจ้า เป็นเทพที่ศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยอะไรก็ได้ อาจารย์อยากจะช่วยอยู่สิ่งเดียวอันเป็นปณิธานอันเป็นความตั้งใจของอาจารย์ คือช่วยศิษย์ทุกคนให้หลุดพ้น  ให้เจริญธรรมไปตลอดรอดฝั่ง ให้มีขวากหนามให้น้อยที่สุด
เป็นเวลานานในโลกมนุษย์ ที่อาจารย์ได้ตั้งใจมาช่วยคน เวลาชั่วชีวิตของศิษย์ยังสั้นกว่าเวลาที่อาจารย์เสียสละลงมา  อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุก ๆ คนจะบำเพ็ญตนให้ดี ๆ และดีๆ 
ศิษย์ทั้งสองคนนี้แท้จริงเป็นผู้มีปัญญามาก  แต่อาจารย์บอกแล้วว่าคนมีปัญญามักจะโง่กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  ศิษย์หัวหน้าชั้นก็อย่านำคนเดินลงทางลาด  อย่าเห็นว่าสบายแล้วไปก่อน แล้วไปลำบากทีหลังไม่ได้  ต้องลำบากตั้งแต่ตอนนี้เริ่มบำเพ็ญตั้งแต่ตอนนี้
            เงาะมีขนอันเหมือนขวากหนาม  เดินยากเดินลำบาก แต่ข้างในเป็นสิ่งที่ดี อาจารย์ก็หวังว่าขวากหนามอันนี้ จะเป็นเครื่องที่ทำให้เรานั้นยิ่งต่อสู้ เข้าใจไหม กลับบ้านเราให้ได้นะ สักวันหนึ่ง ๆ ศิษย์กลับบ้านเรานะ

มีโอกาสวันหน้า เจอศิษย์ที่น่ารักว่าง่าย บำเพ็ญกาย บำเพ็ญใจสมบูรณ์กว่านี้ อย่าลืมนะ




พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม”



ความลำบากย่อมมีวันสิ้นสุดได้ แต่อย่าได้หมดอดทนไปเสียก่อน

ตะวันกล้าไม่อาจเผาให้รุมร้อน ยามใจซ่อนนิ่งสุขุมไว้ภายใน

พยายามความสำเร็จไปไหนเสีย ภัยลามเลียเราแก้เหตุปัญญาใส

ฝนทั่งมาเป็นเข็มยังได้ใช้ ความชอบให้สาธารณะจะนิรันดร์

มีศรัทธาเชื่อมั่นต่อกันไว้ ใจกว้างใหญ่มือจูงมือจิตประสาน

ก่อนสุดทางไม่ไหวหวั่นเลิกกลางคัน สิ่งสำคัญถึงนานวันมีใจเดียว

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา