วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2539

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2539

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2539

2539-05-04 พุทธสถานอิ๋งเซียน กรุงเทพฯ


PDF 2539-05-04-อิ๋งเซียน #3.pdf

#ใจฟ้า #แจ้ง  

วันเสาร์ที่  ๔  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๓๙  พุทธสถานอิ๋งเซียน  ดอนเมือง
  สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
  มโนธรรมจิตมนุษย์เริ่มเสื่อมสูญ  โลกเพิ่มพูนภัยร้ายแรงกำราบหนา
ทั้งบุญกรรมชั่วชีวิตมินำพา  ยากรักษาจิตแห่งฟ้าให้กลับคืน
  เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  เคียมคัล
องค์มารดา  ถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ
    ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา  ฮวา
  ดิถีฤกษ์แห่งมนุษย์วันนี้เริ่ม  ฟื้นญาณเดิมให้จรัสสว่างใส
ให้น้องท่านจงใคร่ครวญแลเปิดใจ  ฟังธรรมไปด้วยรู้ในพิจารณา
หากจิตใจมีเพียงรักโลภโกรธหลง  มิมั่นคงจะดำรงอย่างไรหนา
ชีพคลอนแคลนทางขรุขระยากคืนฟ้า  หลงลวงตาจัณฑวาตาทำร้ายตน
มีความคิดสติปัญญาอันล้ำเลิศ  ขอจงเกิดความเข้าใจในเบื้องต้น
เพื่อปฏิบัติให้สมบูรณ์ทางแห่งคน  ต่อไปพ้นรู้บำเพ็ญทางฟ้างาม
ทุกวันนี้โลกที่อยู่เจริญรุ่ง  ใจจึงมุ่งหาทรัพย์สินให้มากหนา
แต่ตรองดูใจของตนอับแสงกล้า  ใช้ปัญญาสามวันนี้พินิจตรอง
ลองปล่อยวางเรื่องทางบ้านลงเสียก่อน  รู้หยุดผ่อนจิตสงสัยที่มาเสริม
จึงเข้าใจสู่สภาวะแห่งญาณเดิม  จงส่งเสริมตนเองก่อนนะน้องเอย
นาวาธรรมเคลื่อนสู่กลางทะเลทุกข์  เพื่อจักปลุกเวไนยที่ลุ่มหลง
ศึกษาธรรมแลเข้าใจทางสายตรง  มิพะวงเกิดลังเลย่อมประจักษ์จริง
ในสามวันศิษย์พี่นั้นรับบัญชา  ยืนคุมชั้นจดบัญชีฟ้ามิผิดเพี้ยน
จงอย่าให้ความง่วงนอนเข้าเบียดเบียน  จงพากเพียรตั้งใจฟังมิเสียแรง
ขอจงให้กำลังใจบรรพชนตน  ที่กังวลรอคอยดูท่านทั้งหลาย
อนุตตรธรรมใช่ว่าจะเป็นสิ่งงมงาย  หากรู้ใจในกายจึงรู้บำเพ็ญ
ในสามวันเวลานั้นเปี่ยมคุณค่า  หากสงสัยถามอาวุโสอย่าเก็บไว้
จงฟังธรรมนำปฏิบัติตลอดไป  ออกจากชั้นมิลืมไซร้การบำเพ็ญ
ต่างอายุต่างฐานะจงสามัคคี  ศิษย์น้องพี่จงพายเรือกลับบ้านเดิม
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป  ยังยืนเคียงคุมชั้นมิห่างไป
  ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่  ๔  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๓๙
พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน
  วิถีชีวิตค่อยเริ่มทุกยามเช้า  แสงสกาวลมโชยอ่อนแผ่ไปทั่ว
เสียงพระธรรมขับขานปลุกผู้เมามัว  ดังระรัวฆ้องกลองธรรมก้องกังวาน
  เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียน จงหลีเฉวียน  รับบัญชาจาก
องค์มารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถาน  แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาแล้ว  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  มุ่งแสวงเพียงภายนอกสิ่งมายา  สูงราคาก็นำมาเพียงประโยชน์
ใครคำนึงต้องงดงามมักเกิดโทษ  เสมือนกฎดอกไม้งามมีหนามคม
แต่ถึงแม้อับจนมิฉ้อฉล  ค่าของคนมโนธรรมปรากฏโฉม
คือพุทธจิตญาณเดิมที่มิจม  นิยมในการพนมนำคุณงาม
ทะเลทุกข์ไร้คลื่นที่เรียบตาม  เปลี่ยนมิคร้ามแรงมรสุมทิศาน้ำ
สติสู่จิตแลชีวิตครองประจำ  ง่ายสัจธรรมดั่งลมเย็นประพรมกาย
ฝืนชีวินรับผิดชอบอริยาหัด  รู้เหมาะสมปฏิบัติธรรมะเฉกฟ้าใส
หากครองจิตแห่งปุถุชนหรูหราใฝ่  มิงามการย์ คือพ่ายสิ่งมายา
ตามองรูปหูฟังประสาเสียง  ยึดติดเพียงรูปลักษณ์ที่มองหา
สงบใจรู้ปลดปลงเพลิดเพลินนา  หนึ่งปล่อยวางสองพัฒนากลับฤทัย
เมื่อชีวิตเจริญถึงที่สุดแล้ว  ก็มิแคล้วจบสิ้นเสื่อมสลาย
ปัจจุบันผู้ตรองก่อนค่อยปลงได้  สูงสุดคลายคืนสู่ความสามัญ
  ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน
การมาศึกษาธรรมนั้นเพื่อนำไปปฏิบัติในชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของผู้ชราหรือผู้ที่ตัดจากทางโลกหรือเปล่า (ไม่ใช่) การปฏิบัติธรรมเป็นการปฏิบัติในการดำรงชีวิต ถ้าทุกขณะจิตกระทำสิ่งต่างๆอย่างมีสติ และใช้ปัญญาพิจารณาด้วยความรอบคอบระมัดระวัง นั่นก็คือการปฏิบัติธรรมแล้วใช่ไหม (ใช่)  ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เราเจริญก้าวหน้าพบแต่สิ่งที่ดีงาม ให้พุทธจิตมีแต่ความสดใสสว่าง การจะทำได้นั้นต้องถามที่จิตใจ
ท่านก่อนว่าพร้อมที่จะปฏิบัติไหม หากเราปิดกั้นจิตใจ การจะทำสิ่งใดเราก็ทำได้ไม่เต็มที่ เพราะว่าใจยังกังวล แต่ถ้าจิตทุกคนหมั่นพัฒนาการกระทำ พัฒนาการดำรงชีวิต  นั่นก็คือการปฏิบัติธรรมที่ดีแล้ว ทำยากไหม (ไม่) 
เช่นนี้แล้วยังคิดว่าต้องรอให้ตัวเองว่างก่อนถึงจะปฏิบัติธรรมไหม (ไม่) มา
ที่นี่ตอนแรกก็ได้รู้ถึงพุทธจิต ครั้งต่อมาก็ได้รู้ว่าต้องศึกษาปฏิบัติธรรม ท่านเชื่อไหมว่าตัวท่านเองก็มีพุทธจิตเฉกเช่นพุทธอริยะ
การทำงานของเครื่องจักรกลและการทำงานของทุกๆสิ่งนั้นจะต้องมีหัวใจของการเคลื่อนไหว และมีแก่นในการทำงานใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่ง
ต้องมีหัวใจต้องมีแก่นในการกระทำ ฉะนั้นจะทำอะไรต้องรู้แก่นรู้หลักของ
ตัวเราก่อน ถ้าเราไม่รู้แก่นและหลักก็ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตได้อย่าง
ถูกต้อง เพราะเราไม่รู้ว่าแก่นนี้เคลื่อนไหวและทำงานอย่างไร  ถ้าเราปล่อย-ปละละเลยก็ยิ่งเกิดปัญหาได้ เหมือนจิตใจถ้าพลั้งเผลอไปก็อาจจะตกหลุมได้รับบาดเจ็บ เกิดการทะเลาะวิวาทใช่หรือเปล่า (ใช่)  อายตนะทั้งภายในและภายนอกเป็นสิ่งชักนำจิตใจให้ทำในสิ่งที่ผิด สิ่งที่อยากและชอบ เมื่อเรามองเห็น ก็คิดว่าสิ่งนี้สวยงาม สิ่งนี้อยากได้ ใจเราเกิดความรู้สึก เมื่อหูเรา
ได้ยิน จมูกเราได้สัมผัสกลิ่น ใจเราจึงสั่งการใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้น
ภายนอกต้องควบคุมเพื่อไม่ให้ใจนั้นสะเปะสะปะใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกคนมักต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ชีวิต สิ่งที่ดีที่สุดนั้นภายนอก
เราหาได้ แต่มีใครเคยคิดหาสิ่งที่ดีสำหรับจิตใจบ้าง รู้ไหมว่าสิ่งดีๆที่หา
ให้กับภายในคืออะไร สิ่งที่สำคัญก็คือการทำนุบำรุงร่างกายนี้ให้แข็งแรง
ใช่ไหม (ใช่)  ร่างกายนี้ยังต้องพึ่งพาจิตใจ กายกับใจต้องสัมพันธ์กัน เพราะหากเราอยากทำความดี แต่ถ้าร่างกายเราเจ็บป่วย การใฝ่ดีนี้ก็ไม่สมบูรณ์
ใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งในโลกที่ถูกที่ผิดเพราะคนกำหนด ใช้ใจของตนเป็นมาตราวัดใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอาจดูว่าผู้อื่นทำผิด แต่จริงๆภายในใจเขา
อาจคิดว่าตัวเขาทำถูกแล้ว ทุกคนต่างมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
ท่านจะต้องค้นหาพุทธจิตด้วยตัวของท่านเอง วันนี้มาก็เพื่อฟื้นฟูพุทธจิต ต้องศึกษาให้เข้าใจว่าพุทธจิตอยู่ตรงไหนและนำไปใช้อย่างไร เพราะพุทธจิตเป็นหัวใจของร่างกาย เป็นแก่นของร่างกายในการดำรงชีวิต
บางคนก็อยากไปพักผ่อนกับธรรมชาติ การพักผ่อนกับธรรมชาติเพื่อหาภาวะสุขสงบให้กับชีวิต จริงๆแล้วธรรมชาติก็แฝงย้ำเตือนให้ท่านรู้ว่า ท่านหาธรรมชาติภายนอก แต่ท่านลืมหวนหาธรรมชาติภายในใช่ไหม (ใช่)  ตัวท่านมีธรรมชาติภายในคือสิ่งใด (ความสงบ)  แต่ทำไมเมื่อเหนื่อยล้า
จึงชอบไปหาความสงบที่เป็นธรรมชาติภายนอก เพราะใจยังสงบไม่ลง
ใช่ไหม (ใช่)  รู้ไหมว่าธรรมชาติเดิมแท้ของใจคือลักษณะใด คือความเฉย
ไม่มีทั้งอารมณ์ ไม่มีทั้งความอยาก และก็ไม่มีสิ่งใดอยู่ในใจ นั่นคือธรรมชาติของใจใช่ไหม (ใช่)  เมื่อใจไม่มีอารมณ์นั่นคือใจที่สงบ เมื่อใจไม่มีความอยากนั่นคือใจที่ว่าง เมื่อใจไม่มีทั้งความอยาก ไม่มีทั้งอารมณ์ นั่นก็คือความสงบแห่งใจ ฉะนั้นจะหาความสงบแห่งใจ สิ่งแรกที่เราต้องเริ่มก็คือ
เห็นชอบ เราต้องมองให้เห็นก่อนว่าเรามีพุทธจิตอยู่ภายใน มีความสงบอยู่ภายใน ถ้าทุกท่านได้แค่เห็น แต่ไม่มีความใฝ่ชอบแล้ว เห็นนั้นก็สูญเปล่า
ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนผ่านมาแล้วก็ผ่านไปจากสายตา แต่ถ้าเห็นแล้วเรามีความชอบ เราก็จะมีใจที่อยากศึกษาและค้นคว้าเพื่อหาความสงบที่แท้จริง ดับความวุ่นวายที่เราต้องผจญอยู่ภายนอกให้อย่างไรใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นเมื่อมีความเห็นชอบ จิตใจที่กังวลสงสัยก็ต้องวางลงก่อน เพราะใจเราเริ่มมีความเห็นชอบในการศึกษา เมื่อศึกษาแล้วก็ต้องใช้ความเพียร เมื่อมีความเพียรแล้ว การพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ย่อมจะตามมา เมื่อเราพัฒนาให้ดีขึ้นจากภายใน จากแก่นแท้ของจิตใจและร่างกายแล้ว ก็จะออกมาสู่การปฏิบัติทางกายได้ใช่ไหม (ใช่)  ลงมือกระทำ ลงมือเห็นชอบ ลงมือเพียร
ลงมือพัฒนาพุทธจิต พัฒนากายใจนั้นอาจจะไม่ยาก อาจจะต้องฟันฝ่าความเคยชิน ความเคยชินนั้นน่ากลัวกว่ากิเลส เพราะเวลาเราเผลอ เราก็หลุดออกมา แล้วพูดว่าฉันเคยชิน ฉันชอบทำแบบนี้ เพราะติดแล้ว
เพราะชินแล้วใช่ไหม (ใช่)  จะละความเคยชิน ความชอบได้ ก็ต้องมีใจที่
ตั้งมั่นและมั่นคง ถ้าใจไม่ตั้งมั่น มีความอยากเป็นพักๆ อย่างนั้นเป็นการเห็นชอบที่ยังไม่ถึงแก่นแท้
การจะประคับประคองพุทธจิตธรรมญาณที่อยู่ภายในใจให้กระทำแต่สิ่งที่ดีงามไม่ผิดพลาดนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ยาก เพราะเราไม่สามารถมองเห็นจิตใจได้ แต่สิ่งใดก็ตามถ้าเกิดสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา การประคับประคองก็ย่อมเกิดปัญหาได้ แต่หากเราทำจิตใจของเราให้สงบอยู่ตลอดเวลา การจะรักษาจิตใจให้งดงามก็เป็นสิ่งที่ไม่ยากใช่ไหม (ใช่)  การกระทำสิ่งใดก็ตาม
ถึงแม้จะมีคนบอกแนะนำเรา แต่ถ้าเราไม่เดิน เราไม่กระทำ รู้ไว้ก็หนักเปล่าๆ ฉะนั้นเมื่อมีของดีอยู่กับตัว ต้องค้นหาให้พบ และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์  นั่นคือรู้จักคุณค่าสิ่งที่อยู่ภายในใช่ไหม (ใช่)  แสวงหาภายนอกก็ไม่เท่ากับแสวงหาภายใน ภายในนั้นเป็นพุทธจิตเฉกเช่นพุทธอริยะ การจะคืนกลับได้ก็ต้องเบาใส ไม่ใช่หนักไปด้วยพันธะ เต็มไปด้วยอารมณ์และความอยาก อย่างนี้แม้เป็นพุทธจิตแห่งพุทธะก็หมองหม่น และอับแสงได้เหมือนกัน
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตราบใดที่เมฆบดบังพระอาทิตย์ได้ ตราบนั้นธุลีแห่งกิเลสโลกก็ยังสามารถบดบังพุทธจิตธรรมญาณของทุกท่านได้ การจะเอาชนะใจนั้นไม่ยากเลย อยู่ที่ว่าพร้อมจะลงมือกระทำมากแค่ไหน  ถ้าลงมือกระทำแล้วเดินไปแค่นิดหนึ่งเจอปัญหา แล้วไม่คิดเอาชนะ เราก็จะจมอยู่กับปัญหานั้นร่ำไป ถ้าจมอยู่ในทุกข์ก็ยากที่จะหลุดพ้นทุกข์ แต่ถ้าเกิดทุกข์เกิดปัญหาแล้วเราคิดแก้ไข เราก็ย่อมพ้นจากปัญหา พ้นจากความทุกข์ได้ใช่ไหม (ใช่)  กระทำสิ่งใดขอให้คิดตรองให้รอบคอบก่อน ว่าจิตใจเรานั้นเที่ยงตรงในการ
กระทำหรือเปล่า  ความผิดพลาดก็ย่อมไม่เกิดขึ้นใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “แจ้ง”)
คำสั้นๆคำนี้ผู้บำเพ็ญธรรมทุกคนต้องทำให้ถึงและทำให้ได้ การบำเพ็ญนั้นจะต้องพัฒนาให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ พุทธจิตจะงดงามได้ต้องงามอย่างเต็มที่และสมบูรณ์เต็มเปี่ยมใช่ไหม (ใช่)  การกระทำสิ่งใดก็ตามต้องมีการเห็นชอบก่อนเมื่อเห็นชอบแล้วก็เพียรพยายาม เมื่อพยายามแล้วก็พัฒนาให้ดีขึ้น จนกระทั่งถึงคำว่า “แจ้ง” พุทธจิตอันเป็นธรรมชาติเดิมแท้ของตัวท่านเอง เป็นแก่นของร่างกาย เป็นกลไกในการเคลื่อนไหวทั้งกายและใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  ศึกษาธรรมวันนี้เรามีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับ
ทุกท่านก็เพราะทุกท่านมีรากบุญอันดีงาม ถึงแม้ว่าวันนี้เรียนรู้เข้าใจบ้าง
ไม่เข้าใจบ้าง แต่อีก ๒ วันยังมีโอกาสเอาชนะจิตใจต่อสู้กับร่างกายที่คอยหาวนอนตอนฟังธรรมะเพื่อฟื้นฟูพุทธจิตให้งดงามให้สุกใสแล้วคืนสู่เบื้องบนดีไหม (ดี)  ทุกท่านอยากขึ้นสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ทั้งสวรรค์และนรกานต์ต่างก็อยู่ในใจของท่าน ท่านจะดับนรกานต์ที่ไปเผาผลาญใจได้
ก็อยู่ที่ว่าท่านจะนำคุณงามความดี นำพุทธจิตธรรมญาณเดิมแท้นี้ต่อสู้กับใจที่คอยฝักใฝ่กิเลสให้ชนะได้หรือไม่ แล้วทำให้แจ้งดีไหม (ดี) เมื่อถึงแจ้งแล้วก็อย่าติดคำว่าแจ้ง จึงจะแจ้งอย่างแท้จริง เมื่อสุขแล้วก็อย่ายึดติดคำว่าสุข นั่นจึงเป็นสุขที่แท้จริงเข้าใจไหม (เข้าใจ)  วันนี้ใครไม่เข้าใจ หรือยังสงสัย ขอให้มาศึกษาและปฏิบัติบำเพ็ญ เมื่อกระทำแล้วตัวท่านก็จะเป็นผู้ได้รับ
ผลนั้นเอง ดังสัจธรรมที่ว่าใครดีคนก็ยกย่องสรรเสริญ ใครไม่ดีคนก็
เหยียบย่ำดูแคลนใช่ไหม (ใช่)  แต่ที่สำคัญจำไว้ว่าอย่าพ่ายแพ้จิตใจที่คอยฝักใฝ่กิเลส โลกนี้มีฝุ่นธุลีแห่งกิเลสมากมาย แต่ถ้าเราต่อสู้เอาชนะได้ โลกนี้ก็คือแดนสวรรค์  ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี  มีโอกาสค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่


วันอาทิตย์ที่  ๕  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๕๓๙
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ศาสนาคือคำสอนเหลือปรากฏ  สัจธรรมพจน์คือหัวใจอยู่แต่แฝง
อนุตตรธรรมใช่ศาสนาอย่าเคลือบแคลง  อวิชชาแกร่งอิทธิฤทธิ์ใช่สิ่งจริง
  ข้าคือ
  อรหันต์จี้กง  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน  แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์ทุกคนดีไหม
  สงบจิตวุ่นวายเถิด  ผิดที่เกิดอย่าสับสน
นับหนึ่งใหม่ให้กลับตน  ดีกว่าคนไม่ยอมเดิน
เรียกร้องตนจนสูงล้ำ  หวังจะนำมาซึ่งผล
ที่ดีงามให้แก่ตน  แต่ในผลมิเคยดี
เพราะเร่งรีบจนเกินไป  ก้าวใหญ่เกินชีวิตนี้
จึงล้มก่อนถึงนาที  ความสำเร็จที่รอคอย
ยามเมื่อถอยเจ้าถอยกรูด  ยากยั้งหยุดเรียกให้คอย
ในที่สุดข้าเฝ้าคอย  จากเป็นร้อยเป็นล้านคน
กว่าจะได้สัจธรรม  มีค่าล้ำอันสูงส่ง
ดุจดั่งเรืออันมั่นคง  ที่ยืนยงชั่วฟ้าดิน
วันนี้เราดีใจที่ได้มา  ร่วมศึกษาอนุตตรธรรมจิตวิถี
ให้ได้ย้อนจิตตนทุกนาที  เร่งเร็วรี่ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจริง
  ฮา  ฮา  หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
นั่งฟังธรรมะตั้งใจฟังหรือเปล่า (ตั้งใจ)  ใช้หูหรือใช้ใจฟัง (ใจ)  ใช้หูฟัง แต่เอาใจใส่ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลามีคนพูดธรรมะให้ฟัง ถ้าเขาบอกว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้  เราต้องทำอย่างไร  (ต้องพิจารณาทบทวน)  เพราะถ้า
ต่อไปเขาบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็บอกว่าไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้
ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เพราะฉะนั้นเมื่อเขาบอกว่าดีหรือไม่ดีเราก็ต้องพิจารณาใคร่ครวญ แล้วพิจารณากันหรือยัง
ศิษย์คนไหนจะสละเก้าอี้ให้อาจารย์นั่ง จะให้เก้าอี้อาจารย์นั่งต้องทำให้เป็นเก้าอี้เซียนก่อน เพราะเก้าอี้ปุถุชนนั้นนั่งแล้วก็จะมีแต่อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง  เพราะว่าพุทธะที่อยู่ในโลกก็คือพวกศิษย์ทั้งหลายยังหลงแสง สี เสียง  หลงทุกๆอย่างที่อยู่ในโลก ทำให้พุทธะที่นั่งอยู่จึงกลายเป็นปุถุชน ปุถุชนนั้นถ้าไม่รู้จักบำเพ็ญก็ไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ แล้วอย่างนี้เก้าอี้ที่ศิษย์จะสละให้อาจารย์นั่ง ศิษย์ต้องทำเก้าอี้ของศิษย์ให้เป็นเก้าอี้เซียนเสียก่อน แล้ววันหน้าอาจารย์จะมาลองนั่งดูว่าสบายหรือเปล่า
ได้ไหม (ได้)
การพิจารณาต้องพิจารณาให้จบ ไม่ใช่พิจารณาอยู่เรื่อยๆ แล้วก็มีคำถามค้างอยู่ในใจซึ่งเป็นคำถามที่ทำให้ตัวเองสงสัย เช่นนี้สมควรที่จะ
ขจัดทิ้ง เมื่อพิจารณาจบแล้วก็ควรที่จะปฏิบัติ เราควรพิจารณาใจตัวเอง การที่อาจารย์มายืมร่างนั้นจะเป็นจริงหรือเท็จขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ ถ้าหากใจของศิษย์เป็นใจที่ลังเลสงสัย พิจารณาไม่รู้จบ เช่นนี้อาจารย์มาก็ยังเป็นเท็จอยู่นั่นเอง เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)
สิ่งสำคัญในการฟังธรรมะคืออะไร ตอนนี้ฟังธรรมะมา ๒ วันแล้ว เกิดคุณค่าอะไรให้กับตนเองบ้าง ปฏิบัติธรรมให้เป็นพุทธะนั้นไม่ง่าย คนที่มีจิตใจและวาจาที่ไม่ดี จะเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากเป็นพุทธะก็ต้องทำตัวเองให้เหมือนพุทธะ เพราะหากตัวเองไม่รู้จักกำราบจิตใจของตัวเอง วันนี้เผลอไปหนึ่งครั้ง พรุ่งนี้เผลออีกหนึ่งครั้ง เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราจะสำเร็จเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้)
อาจารย์ให้กลอนนำว่า “ศาสนาคือคำสอนเหลือปรากฏ” เพราะว่ามนุษย์นั้นเมื่อลงมาเกิดก็มีจิตใจตกต่ำลง ฟ้าดินพระอนุตตรธรรมมารดาส่งศาสดาลงมาสั่งสอน แพร่ออกตามที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้นเราควรที่จะศึกษาคำสอนอันดีงามต่างๆ หากว่าเราไม่ได้ศึกษาแล้ว เราจะเป็นคนที่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  ดังนั้นอนุตตรธรรมไม่ใช่การลบหลู่หรือการดูถูกศาสนา ศิษย์เข้าใจตรงนี้หรือเปล่า  เมื่อวานนี้อาจารย์ที่บรรยายหัวข้อ“ความแตกต่างระหว่างอนุตตรธรรมและศาสนา” ก็ได้พูดชัดเจนแล้ว ก่อนจะจบยังตั้งคำถามถึง ๓ ข้อ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะ-ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์นั้นควรจะรู้ว่าเราเกิดเป็นคนชีวิตหนึ่งต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสดาให้ดี อนุตตรธรรมเป็นเพียงวิถีจิต ชี้หนึ่งประตูก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ แต่การปฏิบัติตัวของเราทุกๆวันเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าหากมิได้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้ใช่หรือเปล่า  ศิษย์เห็นอย่างนี้แล้วยังอยากทำดีหรือเปล่า (อยากทำ)  คนที่อาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯนั้น ยากยิ่งที่จะปฏิบัติตัว มีคำพูดที่ว่า “อยู่ตรงข้ามบ้านกัน ยังไม่รู้จักกันเลย” จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นเราเองควรเป็นผู้ที่ผูกบุญสัมพันธ์ให้กว้าง ให้มองผู้อื่นในด้านดี ถ้าหากว่าเห็นผู้อื่นไม่ดี ก็คือจิตเราเป็นอย่างไร (ไม่ดี)
นั่งฟังธรรมะ ๒ วันผ่านไป  ศิษย์คิดว่าตัวเองนั้นสามารถกลับมา
สถานธรรมบ่อยๆ ได้หรือเปล่า (ได้)  คนเราทุกขณะจิตต้องมีสติอยู่กับตัว
ใช่ไหม (ใช่)  คนที่รับปากอาจารย์แล้ว ต่อไปมาสถานธรรมบ่อยๆ ดีไหม (ดี)  อาจารย์ไม่ได้บอกว่าให้มาทุกๆวัน และไม่ใช่ว่าปีหนึ่งมาหนึ่งครั้ง แต่ว่าต้องมาศึกษาธรรมะให้รู้แจ้งดีหรือเปล่า (ดี)  เพราะว่าชีวิตคนชีวิตหนึ่งนั้นเกิดมาหาทรัพย์สินเงินทอง หาสิ่งของนอกกายมากมาย หาเสร็จแล้วทุกๆสิ่งเป็นอย่างไร (เอาไปไม่ได้)  ทุกชีวิตเกิดมานั้น เมื่อตายไปก็กลับลงสู่ดินใช่ไหม เพราะฉะนั้นชีวิตคนชีวิตหนึ่งนั้นสูงที่สุดก็แค่กลับคืนสู่ดิน ทรัพย์สินเงินทองแม้แต่บาทเดียวก็นำไปไม่ได้ แล้วศิษย์ที่ยังหลงอยู่ทุกวันนี้ ถ้าหากว่ารู้จักมองให้เป็น แล้วหาแค่เพียงพอโดยไม่หวังอะไรมากเกินไป ไม่เพ้อฝัน
ดีหรือเปล่า (ดี)
การที่คนกว่าร้อยคนจะว่างและมีโอกาสมาศึกษาธรรมะร่วมกันนี้ยากหรือเปล่า (ยาก)  ฉะนั้นโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดี ควรจะรักษาไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่คนๆหนึ่งเกิดมามีโอกาสรับรู้วิถีธรรมนั้น จริงๆแล้วไม่ใช่ง่าย
แต่เป็นเพราะว่าฟ้าดินเร่งรีบ เวลาไม่คอยท่า คนๆหนึ่งนั้นกระทำความไม่ดีขึ้นมาหนึ่งสิ่ง คนสองคนกระทำความไม่ดีสองสิ่ง ทุกคนมีความไม่ดี ทั่วโลกจึงเกิดภัยพิบัติใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็เริ่มจากศิษย์
คนเดียว ศิษย์คนเดียวถ้ารู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี การปฏิบัติตัวดีเป็นสิ่งที่ดี
ก็ช่วยคนอื่นได้ ทำได้หรือเปล่า (ได้)  ฟังธรรมะนั้นไม่ใช่เอาจิตสงสัยมาฟัง มองอาจารย์ก็ไม่ใช่เอาจิตสงสัยมองใช่หรือเปล่า
ถ้าหากว่าคนๆ หนึ่งรู้จักที่จะปฏิบัติตัวดี ทำสิ่งที่ดีๆ โลกนี้ก็จะเกิดความสงบสุข ทำให้ตัวเองก็สุขด้วย เพราะฉะนั้นการที่เราจะให้ผู้อื่นได้รับ
สิ่งที่ดี ตัวเราก็ต้องดีก่อน ส่งสิ่งดีของเราออกไปให้กับผู้อื่น แล้วผู้อื่นก็จะดีตามเรา ถ้าตัวเรายังไม่ดี แล้วจะเรียกร้องให้คนอื่นดีได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)
คนเรานั้นชอบหาสิ่งที่สวยๆงามๆ บ้านที่สวยๆใช่ไหม (ใช่)  จิตมนุษย์นั้นต้องการสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า (ต้องการ)  ซึ่งถ้าหนึ่งชีวิตที่เกิดมาหาแต่สิ่งเหล่านี้ ท้ายที่สุดนั้น เราอยู่บ้าน เราก็ได้แค่กินอยู่หลับนอน ใช่ไหม  แล้วบ้านสวยๆนั้น ในที่สุดก็เสื่อมโทรมไม่สวยงาม ศิษย์เองยังพอใจใน
สิ่งนั้นไหม (ไม่พอใจ) เสื้อผ้านั้นเราก็จะต้องใส่สวยที่สุด กางเกงกระโปรงนั้นก็ต้องดีที่สุด เวลาออกไปซื้อของ ประโยชน์ของสิ่งที่ศิษย์เลือกอยู่คืออะไร(เลือกสิ่งที่มีคุณภาพดี)  แล้วคุณภาพอยู่ตรงไหน ผู้หญิงชอบเพชรเม็ดงาม ผู้ชายชอบนาฬิกาเรือนโก้ จริงๆแล้วประโยชน์ของมันอยู่ตรงไหน (พอใจ
ที่สุด)  ความพอใจคืออะไร (กิเลส)  เพราะว่ามนุษย์ทำตามสิ่งที่ตัวเองพอใจตลอดเวลา พอใจที่จะโกรธก็โกรธ พอใจที่จะเกลียดก็เกลียด ความพอใจนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นการที่เราฝืนตัวเองบ้าง ดึงตัวเองบ้างเพื่อกลับสู่หน้าตาดั้งเดิม รู้จักขัดเกลาบ้าง เหมือนกับโต๊ะตัวหนึ่งมีฝุ่นมากมาย  เราจะต้องปัดต้องถูต้องเช็ดใช่ไหม (ใช่)  แล้วเช็ดครั้งเดียวจะสะอาดหรือเปล่า (ไม่สะอาด)  เพราะว่าฝุ่นมันเกาะประจำใช่ไหม(ใช่)  ถ้าฝุ่นเกาะประจำแล้วศิษย์ต้องรู้จักทำอย่างไร อย่าเห็นว่าธรรมะที่อาจารย์ให้นั้นง่ายนิดเดียว ถ้าจิตใจคิดอย่างนี้ ก็จะฟังไม่เข้าใจลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าศิษย์จะคิดว่าตัวเองมีความรู้สูงส่งมากมาย แต่ผู้มีความรู้สูงมากมายนั้นมักจะลืมสิ่งที่สามัญและธรรมดา คนที่ยิ่งมีความรู้สูง อาจารย์ยิ่งพูดก็ยิ่งง่าย เพราะว่าอะไร จะดูว่าศิษย์จะเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมาจากความง่ายที่อาจารย์พูดวันนี้หรือเปล่า เข้าใจไหม
ศิษย์ของอาจารย์ในวันนี้ล้วนเป็นผู้มีความรู้ดี เป็นผู้มีฐานะ เป็นผู้มีปัญญา อายุไม่มากนัก อาจารย์เชิญศิษย์มาร่วมแต่งกลอนกับอาจารย์ดีไหม ผู้ชายปรึกษากัน ผู้หญิงก็ปรึกษากัน เพราะการที่มาอยู่ร่วมกัน ก็คืออยู่บ้านเดียวกัน เหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ฉะนั้นตอนนี้อาจารย์มาอยู่ด้วย ศิษย์ของอาจารย์ต้องร่วมมือกันใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่งกลอนพระโอวาท)
ในชั้นนี้บุคลากรมากมาย การที่มาช่วยงานธรรมะนั้น ต้องหา
หน้าที่ให้กับตัวเอง ไม่ใช่เดินไปเดินมา ขออย่าได้กังวลความลำบาก
บางคนนั้นเขามีโรคภัยติดตัว เขาก็ไม่ได้กลัว และก็ยังสามารถที่จะทำงานธรรมะ และไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ควรจะหาหน้าที่ที่เหมาะสมให้กับตัวเอง
จริงๆแล้ว ทุกวันศิษย์ของอาจารย์ล้วนทำสิ่งผิดมากมาย แต่มิใช่ว่าเมื่อทำไปแล้ว ก็ไม่กล้าสู้หน้าอาจารย์ แต่ขอให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะแก้ไขเสมอ โลกพัฒนาไปแล้ว จิตใจของคนกลับตกต่ำ เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ต้องเอาใจนั้นไปฝ่าสิ่งที่เป็นมายาทั้งหลาย ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจกิเลสต่างๆ ถ้าหากว่ารู้จักย้อนมองตัวเองเช่นนี้ทุกวัน ก็อย่ากลัวอาจารย์จะต่อว่า ดีหรือเปล่า (ดี)
คนนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ การที่ศิษย์จะตีกรอบให้คนอื่นๆนั้นเหมือนเราก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนต่างก็มีวิธีของตัวเอง แต่ว่าทุกวิธีจะต้องมีคุณภาพ สามัญสำนึก มโนธรรมอันดีงาม ถ้าหากว่าขาดสิ่งนี้ไปแล้ว จะเรียกว่า การบำเพ็ญนั้นคงเป็นไปไม่ได้  ศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ คิดว่าตัวเอง
กลับไปบำเพ็ญให้ดี ดีไหม (ดี)  “ใครบำเพ็ญ ใครบรรลุ ใครสร้างกรรม
ใครก็รับ” คำนี้ไม่ใช่ว่าอาจารย์พูดขึ้นมาเอง แต่ว่าได้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตานำพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ใจฟ้าช่วยไม่หวังผล”  จากชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมฉือฮุ่ย ต.จันดี  และคำว่า “ใจดินรองรับไม่รังเกียจ”  จากชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมจินจง  จ. พิจิตร  มาซ้อนเป็นพระโอวาทคำว่า “เลียนแบบใจฟ้าดิน” ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นเป็นเพลงทำนอง “รอสัญญา”)
ศิษย์สามารถเลียนแบบใจฟ้าดินได้หรือเปล่า  (ได้)  ถ้าศิษย์ทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวศิษย์เอง กลัวแต่ว่าเมื่อศิษย์ออกไปจากสถานธรรมแล้ว จะไม่กลับมาศึกษาอีก  ศาสนาเหมือนใบ อนุตตรธรรมเหมือนราก
ถ้าไม่มีรากก็จะไม่มีใบ ถึงแม้ธรรมอันแยบยลไม่สามารถจะมองเห็นและ
เข้าใจได้ แต่ขอให้หมั่นมาศึกษา ซึ่งกว่าที่ผู้แนะนำรับรองจะส่งเสริม
แต่ละคนขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตลอดชีวิตก็ขอให้ตั้งใจกระทำดี  ศึกษา-ธรรมให้เข้าใจ และนำไปช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเหมือนกับเรา สิ่งที่อาจารย์สอนมานั้นเป็นอวิชชาหรือเปล่า (ไม่เป็น)  ดังนั้นอาจารย์หวังให้ศิษย์รักตัวเอง แต่ไม่ใช่เพียงแต่งตัวให้สวยงาม แต่เป็นการให้เวลากับตัวเองที่จะบำเพ็ญ
ดีไหม (ดี)
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนร้อยคนได้มาอยู่ร่วมกัน แต่การที่จะช่วยใคร
สักคนให้สำเร็จธรรมยิ่งยากกว่า ฉะนั้นศิษย์ควรที่จะส่งเสริมตัวเอง
ในการประชุมธรรมนี้มีคนมากมายที่เหนื่อยเพื่อศิษย์ ศิษย์คิดว่าพวกเขาได้รับประโยชน์อะไรจากการเหนื่อยยาก การลงทุนลงแรงครั้งนี้ไม่ได้กำไร แต่อาจารย์หวังเพียงให้ศิษย์ฟังธรรมให้เข้าใจ และปฏิบัติบำเพ็ญ
วันเวลาผ่านไป ๓๖๕ วัน อายุก็มากขึ้นหนึ่งปี และเมื่อเวลาผ่านไป ๑๐ ปี ศิษย์อาจจะมีความสุขในการหาเงินให้ลูกหลาน อาจารย์ก็หวังให้ศิษย์มีความสุขเช่นนั้น  ถ้าโลกนี้มิได้คับขันดังเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นอาจารย์
จึงหวังจะช่วยศิษย์ให้ดีและบรรลุธรรม ความผูกพันของอาจารย์กับศิษย์เปรียบเสมือนพ่อกับลูก เมื่อศิษย์มีทุกข์ อาจารย์ก็ทุกข์ยิ่งกว่า หากสามารถรองรับทุกๆอย่างแทนศิษย์ได้ ลำบากเท่าไหร่อาจารย์ไม่กลัว กลัวแต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่คิดบำเพ็ญจริง ตั้งใจบำเพ็ญกันดีไหม (ดี)  การบำเพ็ญของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนี้ศิษย์บอกว่าศิษย์พร้อมแล้วที่จะบำเพ็ญอย่างจริงจัง เพื่อให้บรรลุกลับคืนขึ้นไป แต่ศิษย์ลองตรองดูว่าในหนึ่งปีที่
ผ่านมามีสิ่งใดก้าวหน้าขึ้นบ้าง
หากสามารถใช้สิ่งใดมัดใจศิษย์ได้ อาจารย์จะทำ เพราะอาจารย์เกรงว่าหากศิษย์กลับบ้านไปจะไม่กลับมาศึกษาธรรมอีก ส่งเสริมไปปีแล้ว
ปีเล่าจะเหลือสักกี่คนที่ตั้งใจจริง หวังว่าวันหน้าศิษย์ของอาจารย์จะกลับมา
สถานธรรม ไม่เดินตามหลังกิเลส อยากเป็นพุทธะเดินดินก็ขอให้เริ่มบำเพ็ญตั้งแต่วันนี้ การที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้นั้น ต้องทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะคุณงามความดีนั้นจะประจักษ์ตอนที่ศิษย์อยู่ในโลก คนที่ไม่มีเยื่อใยกับอาจารย์ อาจารย์ก็รู้สึกเสียใจ วันนี้รบกวนเวลาของศิษย์มากแล้ว ขอให้ศิษย์ตั้งใจศึกษาธรรมะดีไหม (ดี)  มีโอกาสคงได้พบกันอีก



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “แจ้ง”
ปุถุชนชอบชีวิตที่หรูหรา
อริยาครองเรียบง่ายงามเหมาะสม
สัจธรรมมิเปลี่ยนตามค่านิยม
ในแรงลมธรรมะคือการปฏิบัติ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา