PDF 2538-07-29-เจิ้งซิน #8.pdf
วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานเจิ้งซิน อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
กตัญญูเกิดจากใจฟ้าเที่ยง จิตลำเลียงให้ตรงบำเพ็ญเสมอ
ทั้งเกิดแก่เจ็บตายลวงบ่วงละเมอ ท่านพบเจอคิดจะพ้นหรือไม่กัน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสำรวมตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในโลกนี้มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้ ชะตานั้นขึ้นลงแก้เพื่อวาสนา
ใดจีรังลองตรึกตรองด้วยปัญญา ทรัพย์หามาเหนื่อยยากนี้เพื่อใครกัน
อันวันนี้น้องท่านรากบุญหนัก จิตจงพักทางโลกที่สับสน
แล้วฟังธรรมสองวันนี้มิอับจน ใช่ผองชนอาจหาญเล่นละครลวง
ประชุมธรรมสะเทือนทั่วทั้งสามฟ้า ในใต้หล้าขอจงเร่งสนอง
รู้ชีวิตจิตนี้ที่หมายปอง ฟื้นญาณทองที่มีอยู่ทุกผู้คน
อันกังขาเกิดลังเลแลสงสัย น้องลองไปพินิจดูให้รู้หนา
ยุคขาวนี้ถูกกำหนดแต่ก่อนมา ลงมาเพราะใจพุทธาจะลืมจริง
พินิจดูรู้อายุมิเดินกลับ น้องท่านจับสิ่งใดเป็นแก่นสาร
แลสิ่งใดคู่กายปลอมน้องดูแล วาระแท้โอกาสแท้ดูให้ดี
ทุกทุกท่านต่างมีบรรพชน รอทุกคนดูว่าใครขมันขมี
นำพระธรรมโปรดเวไนยทุกชีวี กุศลมีบำเพ็ญให้พร้อมนอกใน
ในวันนี้ศิษย์พี่กล่าวบอกน้อง ใจจงครองดั่งวีรชนผู้ยิ่งใหญ่
สำคัญตนตั้งใจฟังซาบซึ้งใจ ให้เข้าใจถึงแก่นแท้อย่าลังเล
อย่าลืมอันที่กว้างมักขาดระเบียบ แลอย่าเปรียบดั่งผู้ที่ลืมหลง
รักษากฎมิใช่ง่ายจิตดำรง ประภัสสรคงส่องไสวทั่วทั่วกัน
ในวันนี้มิกล่าวความให้มากไป จงตั้งใจศิษย์พี่คุมข้างชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน
ชีพดั่งเรือลำน้อยขาดมุ่งหมาย บ้างดั่งเรือลำใหญ่ขาดคุณค่า
ครานี้พบแสงธรรมเรือพุทธา เรือใหญ่น้อยหมายเมตตาโปรดเวไนย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน จงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานชั่วคราว แฝงกายกตัญชลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกทุกท่านล้วนเกษมฤๅ
ศึกษาธรรมน้อมดวงใจไร้ทิฐิ พุทธะหากยึดวุฒิยากกระจ่างได้
น้ำเต็มแก้วไร้ประโยชน์พินิจใน เมื่อจิตเกิดความเข้าใจก้าวหน้าเอง
จิตเวไนยดั่งทะเลอันไพศาล ยากประมาณหยั่งลึกต่ออารมณ์ไหว
พลันสงบพลันถาโถมพลิกฉับไว ประคองใจหนึ่งจิตธรรมวิสุทธิ์เดิม
สรรพสิ่งล้วนเกิดดับที่ตรงหน้า กลับแสวงหาอย่างโดดเดี่ยวสถานไหน
เปรียบเมฆดำฟ้าค่ำตัณหาใจ จันทร์เต็มให้เดินย่ำรอยอริยา
เคารพตนประพฤติตนตามคลองธรรม บำเพ็ญปราชญ์กำใจนั้นไม่หวั่นไหว
รูปลักษณ์ก่อกิเลสเกิดพิชิตไว ชนะใจพลังแกร่งแล้วปล่อยวาง
อุปสรรคช่วยหล่อหลอมใจกายคู่ นำสู่เชิดชูภวังค์ไกลชีวีท่าน
พบสุขและทุกข์ราวีสองมัคคญาณ เพียงหวังท่านผ่านทรมานม่านโลกีย์
ชีวิตมีทางหนึ่งมีแสงชัย อยู่ไม่ไกลเกินเมื่อพบวิถี
มรรคตรงอยู่นิรันดร์หนึ่งประตูที่ จิตปรานีสว่างไสวแต่โบราณมา
วาระนี้คาบเกี่ยวปวงท่านหาก ในควรคิดสักนิดเตือนภัยใหญ่
จะดูแคลนไปไยบากบั่นใจ มรสุมก็จางไปยามพร้อมสมบูรณ์
เสียงกังวานหาญเรียกเพียรแจ้งชีวี บรรเลงเพลงล่องขับร้องนี้เยือนสถาน
เพื่อทันให้ไปชีวีตามรูปการณ์ ฟังนานย้อนเห็นแนวทางพิจารณา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านแปดเซียน จงหลีเฉวียน
เมื่อมีแขกมาเยือน ผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องต้อนรับ ตอนนี้นักเรียนทุกท่านเหมือนเป็นเจ้าของชั้นเรียนนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาเยือนก็ต้องต้อนรับ เชิญเรานั่งใช่ไหม วันนี้มาทำอะไร (ประชุมธรรม) เมื่อมาประชุมธรรมต้องตั้งใจ กล้าตอบกล้ารับ
เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรลุหรือตรัสรู้แล้ว เหตุใดจึงมีใจอยากจะโปรดเวไนยสัตว์ (เพราะอยากให้ปุถุชนรู้จักธรรมได้ดีขึ้น) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรลุไป แล้วมีใจอยากช่วยเวไนยเพราะท่านรู้ว่าการเข้าถึงความสุขอันแท้จริง เข้าถึงรสพระธรรมมีความสุขยิ่งกว่าสุขในโลกหลายเท่า เมื่อท่านเข้าถึงแล้วก็มีใจเมตตา อยากให้เวไนยได้มีโอกาสลองสัมผัส ซึ่งแต่ละคนมีระดับจิตใจไม่เท่ากัน จะแจกแจงตามภาวะจิตของทุกคน ตอนนี้เพียงสรุปใจความให้ฟัง มาศึกษาถึงสิ่งที่มีอยู่ในจิตของทุกท่านอยู่แล้ว ธรรมอยู่ตรงไหน อยู่ในคัมภีร์หรือเปล่า คัมภีร์ที่ถูกกำหนดตราขึ้นมาจากความเข้าใจแล้วถึงถ่ายทอดเป็นคัมภีร์ การเรียนรู้สามารถศึกษาจากตัวอักษร เมื่อศึกษาแล้วเหมือนกับการขุดบ่อ หากไร้จุดมุ่งหมายแม้ขุดให้ถึงที่สุดก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่หากมีจุดมุ่งหมายว่าขุดเพื่ออะไร ทำประโยชน์อะไร เมื่อมีความพยายามหรือมีความมุมานะ ก็สามารถก่อประโยชน์ได้ โดยไม่เสียแรงและเหนื่อยเปล่า ดังนั้นสิ่งที่เราตั้งใจขุด ตั้งใจศึกษาจึงไม่เสียเปล่า อายุนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญในการศึกษาธรรม แต่สำคัญตรงที่จะต้องตั้งใจและไม่ปิดกั้นตนเอง เปิดใจมาศึกษา ธรรมะอยู่ที่พุทธจิตของทุกท่าน เหตุใดจึงกล่าวว่าพุทธจิตมีหลักธรรม ถ้ายกเหตุการณ์ขึ้นมาว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังจะไปเล่นในบริเวณใกล้น้ำ เมื่อเราเห็นก็รีบเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมา เพราะกลัวเด็กจะตกน้ำ คุณธรรมในจิตใจหาได้ไม่ยากเลย เราอยู่ในครอบครัว รักบิดามารดาและพี่น้อง มีบุตรรักบุตร มีสามีรักสามี ทำหน้าที่ตนได้อย่างถูกต้อง นั่นคือคุณธรรมสัมพันธ์ที่ให้กับครอบครัวและให้คนรอบข้าง คุณธรรมนั้นมีอยู่ในจิตใจของทุกท่านอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะนำออกมาใช้และใช้ได้ถูกสถานการณ์หรือไม่
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชอบมาคุกคามจิตใจอยู่เสมอ สิ่งนั้นคืออะไร (กิเลส) สิ่งที่ชอบมาคุกคามจิตใจคือกิเลส อารมณ์และทิฐิ สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตใจหลงไปตามสิ่งภายนอก หลงไปตามอารมณ์ความรู้สึก รูปขันธ์ อายตนะ เมื่อเห็นแล้วพึงพอใจก็ชอบ เมื่อมองแล้วไม่พึงพอใจก็เห็นว่าน่ารังเกียจ จิตใจนั้นเร็วกว่าอายตนะเพราะเมื่อมอง จิตใจก็ทำงานทันที
ในชีวิตที่ผ่านมาทุกท่านได้พบเห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่เป็นประจำ พระพุทธองค์เห็นแล้วมีใจอยากจะหลุดพ้น แต่ทุกท่านมองว่าเป็นเพียงวัฏสงสาร บางครั้งอยากจะหลีกหนีจากสิ่งนี้ อยากจะหาที่สงบดับความวุ่นวายในใจ แต่ทุกท่านเคยคิดหรือไม่ว่ายิ่งหลีกหนีก็เหมือนยิ่งวิ่งเข้าหา ยิ่งปิดบังก็ยิ่งเปิดเผย เมื่อคิดที่จะศึกษาบำเพ็ญ ก็ต้องกล้าที่จะยอมรับความเป็นจริงในทุกเรื่องที่เรากระทำ และเมื่อผลออกมาเราต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น แต่ทำไมเมื่อกระทำแล้วมีปัญหาเกิดขึ้นเราจึงรับไม่ได้ เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ เมื่อผูกก็ต้องแก้ ทุกสิ่งไม่ยาก เมื่อเราพบปัญหาเราพร้อมที่จะยอมรับสภาพทุกอย่างไหม เมื่อเราเลือกที่จะเดินเอง เลือกที่จะกระทำเอง เราก็ต้องระมัดระวังตั้งตนให้อยู่ในความไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทก็สามารถควบคุมทั้งกาย วาจาและใจในการกระทำสิ่งต่างๆ การผิดพลาดก็ย่อมไม่เกิดหรือเกิดน้อยลง แต่อาจเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมาย นั่นก็คือกรรมเวรหรือชะตาที่ต้องรับ การดำรงชีวิตนั้นบางคนฟังดูแล้วอาจว่ายาก แต่บางคนอาจพูดว่าชีวิตนี้เกิดมาโชคดี การทำชีวิตให้มีความสุขก็คือการรู้จักพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนให้อุทาหรณ์ เป็นการหล่อหลอมสิ่งที่ดีให้เรา สิ่งที่เกิดข้างหน้าถ้าเรายอมรับและต่อสู้ด้วยความเบิกบานก็จะไม่มีความทุกข์ ลองยิ้มแล้ววางเรื่องทางบ้านลง ถ้าใครยังฟุ้งซ่าน คิดมาก ก็หยุดสักพักหนึ่ง บางทีถ้าทุกท่านยิ้ม ทุกท่านก็มีความสุขได้ แต่ความสุขนั้นจะยาวนานหรือไม่อยู่ที่ท่านจะยิ้มจนจบชั้นนี้ หรือจนตลอดชีวิตหรือเปล่า ไม่ใช่ยิ้มออกไปแล้ว พอโดนคนหาว่าเราบ้า แล้วเราก็เลิกยิ้ม นั่นถูกหรือเปล่า การปฏิบัติสิ่งที่ดี หากถูกคนต่อว่าแล้วเลิกทำ เช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ใช่หรือไม่ ถ้าตัดสินใจที่จะบำเพ็ญอย่างสดชื่นเบิกบาน เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้
ในสมัยก่อน ถ้าใครยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำก็จะมีแต่ผู้ยกย่อง เพราะฉะนั้นจะว่าตัวเองผิดบ้างก็ไม่เสียหายใช่ไหม ถ้าตนเองไม่เคารพตนเอง หาแต่สิ่งที่ไม่ดีมาใส่ตนเอง ต้องการแต่สิ่งที่ไม่ดี ก็เท่ากับเราไม่เคารพตนเอง เมื่อใดที่เราไม่เคารพตนเอง คนอื่นก็ไม่เคารพเราด้วย
ในสมัยก่อน ถ้าใครยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำก็จะมีแต่รู้ยกย่อง เพราะฉะนั้นจะว่าตัวเองผิดบ้างก็ไม่เสียหายใช่ไหม ถ้าตนเองไม่เคารพตนเอง หาแต่สิ่งที่ไม่ดีมาใส่ตนเอง หรือต้องการแต่สิ่งที่ไม่ดีก็เท่ากับเราไม่เคารพตนเอง เมื่อใดที่เราไม่เคารพตนเอง คนอื่นก็ไม่เคารพเราด้วย ถ้าเราพูดว่าตัวเราร้าย ตัวเราไม่ดี ชอบว่าคน ชอบขโมยของ เพียงเรากล่าวเช่นนี้ก็ทำให้คนที่เพิ่งจะคบกับเรา เขาเกิดความระแวงได้ เมื่อระแวงแล้วถึงแม้สิ่งดีๆ ที่เราเคยสร้างให้เขาก็ทลายลงได้ เพราะเราสร้างสิ่งที่ไม่ดีไปด้วย ดอกไม้นั้นหอมได้เพียงตามลม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมธีทุกท่านล้วนหอมไปทั่วสารทิศ เข้าใจคำว่าหอมทั่วสารทิศไหม (ความดีที่เราทำ ทำให้คนสรรเสริญไปทั่วทุกสารทิศ) การทำความดีไม่ว่าจะอยู่แห่งไหน ผลของการกระทำก็มีแต่ผู้ยกย่องสรรเสริญ
พลังจิตใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถึงแม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย แต่ถ้ามีกำลังในจิตใจ ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ สิ่งนั้นก็สามารถส่งเสริมให้เราต่อสู้ต่อไปได้ ธรรมะสำคัญอยู่ที่จิตใจของทุกท่าน เมื่อมีจิตใจมั่นคงแล้วก็ต้องมีใจที่เข้มแข็ง วันนี้เหมือนเป็นวันเริ่มต้นวางรากฐาน ถ้าวางรากฐานสั่นคลอน ไม่มั่นคงแล้ว การศึกษาเรียนรู้ต่อไป หากมีปัญหาก็จะยิ่งสั่นคลอนได้ง่ายขึ้น เปรียบเช่นต้นไม้ ถ้ารากยึดไม่มั่นคง เมื่อพบลมพัดรุนแรงก็อาจหักล้มลงได้ ฉะนั้นวันนี้เริ่มต้นศึกษาต้องวางรากฐานให้มั่นคง เมื่อไม่เข้าใจต้องรีบถาม
ทุกท่านเคยศึกษาประวัติของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือประวัติของพระพุทธองค์ไหม สิ่งที่ท่านละทิ้งคือละทิ้งจากความสุขและลาภยศชื่อเสียง แล้วเดินไปสู่สิ่งที่เป็นความทุกข์ (ทุกขกริยา) ความทุกข์ที่แสวงหานั้นทำให้เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต เมื่อเข้าใจก็ทำให้หลุดพ้น เหตุใดพระพุทธองค์และพระโพธิสัตว์กวนอินท่านจึงหลีกหนีจากลาภยศชื่อเสียงเพื่อแสวงหาธรรมและสิ่งที่เป็นนิรันดร์ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้อาจารย์อธิบาย : สิ่งศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งลาภยศชื่อเสียงซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งจอมปลอม ต้องการเข้าไปรู้จักความทุกข์ เพื่อที่จะหาทางให้ตนเองพ้นจากความทุกข์ แต่มิใช่เพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์เพียงผู้เดียวเท่านั้น เมื่อท่านรู้ถึงทางพ้นทุกข์แล้วก็ยังโปรดเวไนยด้วยการชี้นำทางให้แก่เวไนยที่ยังไม่รู้ทางแห่งการพ้นทุกข์ ทุกท่านไม่ได้แสวงหาแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแสวงหาหนทางที่ทำให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์และสุข ฉะนั้นเมื่อพบกับสิ่งที่เป็นทุกข์หรือเกิดปัญหาก็อย่าท้อแท้ ตรงกันข้ามจะต้องมองกลับคิดที่จะสู้ สู้ให้ชนะใจของตนเองด้วยพลังแห่งจิตใจ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเลือกที่จะยึดหลักธรรมเป็นแกน
“วาระนี้คาบเกี่ยวปวงท่านหาก ในควรคิดสักนิดเตือนภัยใหญ่” (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม : ในยุคนี้เป็นวาระสาม วาระปลาย เภทภัยใหญ่ทั้งหลายกำลังอยู่เบื้องหน้าเรา ซึ่งคาบเกี่ยวกับการที่จิตญาณเราได้มีโอกาสรับรู้ว่ารากญาณของเรามาจากไหน ถ้าเราได้รับธรรมะ เราปฏิบัติบำเพ็ญ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้น) เกี่ยวกับยุคและวาระ วาระนี้เป็นวาระสาม แต่ยังไม่ใช่วาระสามเต็มที่ (เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างธรรมะกาลยุคแดงเข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว เป็นช่วงก่อนที่จะเข้าสู่ยุคขาวหรือยุคปลายจริงๆ โดยพระศรีอาริย์ฯได้จุติลงมาเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์และเพื่อแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นโลกใหม่ เป็นโลกแห่งความสุข ตอนนี้เบื้องบน พระอนุตตรธรรมมารดาทรงบัญชาให้สามพุทธะลงมาฉุดช่วยเวไนย ถ่ายทอดไตรรัตน์ หรือมาชี้ทางสว่างนี้ให้ทุกคนได้รู้ ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ และฉุดช่วยเวไนยให้ทั่วก่อน แล้วในที่สุดเภทภัยต่างๆ ก็ลงมาเก็บล้างคนชั่วคนเลวทั้งหลาย ถึงตอนนั้นจึงจะเกิดเป็นโลกยุคใหม่ขึ้น)
เมื่อเช้าท่านองค์ประธานคุมสอบสามภูมิได้กล่าวว่า ยุคนี้เป็นยุคขาว แต่เป็นยุคขาวที่ยังไม่เต็มที่หรือพร้อมสมบูรณ์ เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุคแดงกับยุคขาวอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะถ้าเป็นยุคขาวเต็มที่ ไตรรัตน์ก็ต้องเปิดเผยได้ และจะต้องมีผู้นำแห่งยุคขาวที่ปรากฏให้เห็นก่อน พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่ายุคขาวจะเข้ามา แต่ตอนนี้ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมยังต้องแบ่งแยกยุคแดง ยุคขาว เพราะว่าเภทภัยที่เกิดขึ้นนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์หรือพระแม่องค์ธรรมไม่ต้องการที่จะให้เกิด แต่เป็นเพราะว่าพุทธจิตของทุกท่านนั้นเกิดความขุ่นมัวหรือรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ถ้าตราบใดพุทธจิตของทุกๆ ท่านยังฟื้นความใสบริสุทธิ์ขึ้นมาไม่ได้ พลังที่คอยแอบแฝง คอยเข้าคุกคามก็พร้อมที่จะมาอย่างเต็มที่ การศึกษาธรรมะนั้นก็เพื่อขจัดพลังที่คอยแอบแฝง ฉุดช่วยคนที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ แล้วทำให้พลังนี้เบาบางลงไป ให้เภทภัยนี้น้อยลงไป เภทภัยจะมากหรือน้อย จะเกิดหรือยังไม่เกิดก็อยู่ที่ทุกๆ ท่านร่วมมือร่วมใจ เป็นแรงเป็นกำลังใจช่วยเหลือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนข้างหน้าก็คือความหวังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ คนข้างหลังก็คือแรงบันดาลใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ บันดาลใจว่าธรรมะนี้ พุทธจิตนี้จะฟื้นได้หรือเปล่า นิพพานนี้จะเต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายๆ พระองค์หรือเปล่า ฟังดูแล้วช่างยากเย็น แต่จริงๆ แล้วไม่ยากเลย อยู่ที่ทุกๆ ท่านพร้อมที่จะปฏิบัติ พร้อมที่จะบำเพ็ญหรือไม่ ตอนนี้พร้อมไหม (พร้อม) เมื่อพูดแล้วต้องกล้าที่จะทำ เมื่อทำแล้วก็ต้องพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
การศึกษาธรรมะก็คือการศึกษาจิตใจของทุกท่านว่าพร้อมที่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ การบำเพ็ญธรรมะเป็นการควบคุมจิตใจ เพราะเมื่ออยู่ในสภาวะเหตุการณ์ใดต้องสามารถประคับประคองจิตใจให้อยู่เหนือเหตุการณ์ต่างๆ ได้ คำว่า “อยู่ในแต่ให้อยู่เหนือ” ฟังดูอาจจะยาก แต่ถ้าเรามองเห็นน้ำที่หยดลงบนใบบัวยังสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาเป็นอิสระได้ เปรียบกับชีวิตเราเมื่ออยู่ในโลก จิตใจก็ต้องมีสุขมีทุกข์ มีขึ้นมีลง ถ้าเราประคับประคองจิตใจให้อยู่เหนือความสุข เหนือความทุกข์ ไม่คล้อยไปตามกับอารมณ์ ไม่คล้อยไปตามรูปการณ์ ประคับประคองจิตใจให้ดีและมั่นคง นั่นก็คือเราอยู่เหนือและเรามีสติ เมื่อมีสติ ปัญญาก็เริ่มเกิด ฟังดูแล้วเหมือนไม่ยาก แต่ปฏิบัติได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเมื่อมีความสุข จิตใจก็ตื่นเต้นดีใจ เมื่อมีความทุกข์ จิตใจก็เศร้าหมองขุ่นมัว อย่างนี้ไม่เรียกว่าอยู่ในและสามารถอยู่เหนือได้ใช่ไหม (ใช่) เมื่อสุขก็ต้องระวังว่าอะไรจะเกิด เมื่อทุกข์ก็พร้อมที่จะยินดีรับสิ่งต่อไป หากทำได้เช่นนี้แล้ว การบำเพ็ญธรรมะก็ไม่ยาก และเมื่อเราดีแล้วเราคิดจะไปช่วยเหลือคนอื่นไหม ความเมตตานั้นทุกท่านมีอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าพร้อมที่จะส่งมอบให้คนอื่นหรือเปล่า เมตตาจะเป็นเมตตาจริงแท้ก็ต่อเมื่อเราส่งมอบ เราถ่ายทอดให้กับคนอื่นใช่ไหม (ใช่) เป็นข้อสรุปที่ให้ทุกท่านบำเพ็ญธรรมะ ถ้าใครพอเข้าใจ พรุ่งนี้ก็ต้องมาศึกษาต่อให้เข้าใจยิ่งขึ้นดีไหม (ดี) แต่ถ้ายังไม่เข้าใจพรุ่งนี้ต้องตั้งใจให้มากขึ้น มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ตั้งใจฟังธรรมะให้ดีๆ
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บ้านจี้กงเรือลำนี้มีแต่สุข เพื่อมาปลุกศิษย์ที่ยังงัวเงียหนา
จ้ำเร็วเข้าเอ้าหนึ่งสองเร่งเข้านา มิแบ่งว่าวุฒิหรือวัยต้อนรับทุกคน
เราคือ
พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนล้วนสบายดีหรือไร
มีสิ่งหนึ่งในปราการอันวิไล สมัครใจฉับพลันจะเดินปลอดภัยยิ่ง
ห่างปลอมและจริงแยกมิประวิง คือญาณจริงอิงธาตุเจ้าของกาย
ลองตรวจวิธีบำเพ็ญกันทุกคน ปุถุชนดึงแน่นไซร้เร่งคลายทันที
อริยามิขุ่นข้องในชีวี ผู้หย่อนเกิดที่แปรความภาคภูมิใจ
ดูสิ่งปลอมวุ่นวายแต่รักชอบ ใจไร้ขอบตนผันปานเผลอไผล
ดั่งศิษย์ขาดครวญใคร่ทบทวนใจ ในแหล่งพำนักแห่งใหม่ยากคะเน
อยากบอกศิษย์เข้าใจมาร่วมศึกษา วาระฟ้าถึงเวลาต้องหันเห
เมื่อร้ายกลายดีว่างมิโลเล ส่งสันติสุขข้ามทะเลทุกข์สู่นิพพาน
เพียงเข้าใจแลรู้ตนสว่างประเสริฐ จิตเกิดความเบิกบานมิเป็นสอง
มีแต่ใจขัดเกลาล่วงเลยจับจอง ศรัทธาทองนี้คืออาวุธฝ่าภยัน
แต่ทำไมยังไม่เคยจิตละ เดินสะเปะสะปะศิษย์จะสูญจิตรจเลข
คำพูดศิษย์ปณิธานครรลองดั่งจัณฑเวค แพ้อารมณ์โดยปัจเจกวิสัยหลงอุบาย
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เมื่ออยู่ในกายเนื้อของปุถุชนตอนนี้อาจจะยังไม่สว่าง แต่ต่อไปภายหน้าศิษย์อาจจะสว่างที่สุดก็ได้ใช่ไหม อยากสว่างหรือเปล่า อะไรสว่าง (จิตสว่าง) จะทำได้หรือเปล่า (จะพยายาม) พยายามไม่ใช่ทำง่ายๆ ต้องพยายามไปชั่วชีวิต สิ้นชีวิตก็ไม่สิ้นพยายาม ถ้าหากคนเขาบอกว่าศิษย์ของอาจารย์งมงาย เช่นนี้ศิษย์จะหยุดพยายามไหม (ไม่หยุด) แต่ต้องดูว่าจะพยายามไปทางไหน ไม่ใช่มีคนบอกว่างมงายแล้วก็พยายามเหมือนกัน แต่พยายามไปให้ไกลๆ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
มีคนบอกว่าติดธุระมาได้วันเดียว ถ้าวันนี้อาจารย์ติดธุระบ้าง อาจารย์ไม่มาได้หรือเปล่า (อาจารย์ไม่ติดธุระ เพราะอาจารย์มีจิตเมตตา) แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์มีจิตเมตตามาสถานธรรมบ่อยๆ ดีไหม (ดี) ถ้ามาประชุมธรรมไปแล้ว กลับไปบอกว่าติดธุระ แล้วถ้าติดธุระยังจะมาได้ไหม (ได้) คนที่ตอบว่ามาได้ก็ต้องทำให้ได้จริงๆ เพราะสำคัญที่ศิษย์รู้จักแบ่งเวลาแค่ไหน การชวนคนมารับธรรมะก็ไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์รักของอาจารย์ชวนคนให้ได้มากๆ เช่นเดียวกัน การมาสถานธรรมก็ไม่ใช่จะต้องมาทั้งวัน เพียงแต่สละเวลาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ชีวิตหนึ่งมีอายุ ๖๐-๘๐ ปี เท่านี้ก็ถือว่ามากแล้ว มีอายุยืนถึง ๘๐ ปี ประชุมธรรมแค่ ๒ วัน รับธรรมะก็แค่ครั้งเดียว ใช้เวลาเพียง ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้น แต่กลับบอกว่าไม่มีเวลา รู้สึกว่าเวลาที่สละมาน้อยนิดไหม ถ้าน้อยอย่างนี้แล้วทีหลังมีคนไปตามอย่าบอกว่าพระอาจารย์จี้กงให้ไปตาม จึงจำใจต้องมา ขอให้มาด้วยความเต็มใจและมาบ่อยๆ ศึกษาธรรมะต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่ศึกษาแค่เปลือกนอก เข้าใจไหม (เข้าใจ)
เสียงที่เพราะที่สุดคือเสียงอะไร (เสียงศิษย์ร้องเพลงพร้อมกัน) เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนร่วมมือกันร้องเพลง เสียงก็จะเพราะที่สุด การอยู่ในสถานธรรมจะมีความสุขได้ก็ขึ้นอยู่กับศิษย์ของอาจารย์ที่จะหาความสุขด้วยตัวเอง ความสุขนี้ถึงแม้จะไม่จีรังแต่ก็ทำให้ศิษย์ของอาจารย์หายเครียดและรู้สึกโล่งโปร่งสบายขึ้น อยู่กับอาจารย์ต้องมีใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะไม่ใช่ว่าจะอยู่ด้วยกันทุกวันหรืออยู่ได้ตลอดไป ถ้าศิษย์จะอยู่กับอาจารย์ตลอดไปต้องขึ้นไปอยู่ข้างบน
การที่ศิษย์มานั่งฟังธรรมคิดไหมว่าได้อะไรกลับไป ตอนนี้คิดบ้างหรือยังว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งจริงหรือเท็จ แล้วคิดว่าจะบำเพ็ญอย่างไร ไม่มีใครตอบอาจารย์เลย ถ้าอาจารย์พูดอยู่คนเดียวก็เหมือนกับขว้างหินลงน้ำ การที่เราสนทนาธรรมะกันเพื่อให้จิตของศิษย์รักทุกคนเปิดออก ถ้าหากว่านั่งฟังเฉยๆ คิดว่าตัวเองอายุมากแล้วไม่ต้องตอบ อย่างนี้ก็เหมือนกับเป็นน้ำ เหมือนกับการเปิดประตูก็ต้องมีกุญแจไข เมื่อไขออกแล้วอาจารย์เอากุญแจไป ไม่มีรูกุญแจให้ไขจะทำอย่างไร ผลักเข้าไปก็ไม่ได้ กลัวศิษย์เจ็บ เพราะฉะนั้นการพูดธรรมะก็ต้องตอบ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าตอนนี้ศิษย์รักไม่มานั่งอยู่ที่นี่ ศิษย์รักจะรู้ไหมว่ามานั่งทำอะไร แล้วจะรู้ไหมว่าธรรมะเป็นอย่างไร (ไม่รู้) เช่นนี้จิตของเราก็ไม่สามารถที่จะปรุโปร่งในเรื่องของธรรมะได้ การประชุมธรรมก็เพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้แล้วก็ตื่น ถ้าหลับๆ ตื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อเข้ามานั่งฟังธรรมะแล้วต่อไปก็ต้องกลับมาศึกษา ถ้าหากไม่กลับมาศึกษา การมานั่งฟัง ๒ วันก็ไม่มีประโยชน์
ถ้าหากวันนี้อาจารย์ไม่พาไปในทางที่ดีศิษย์จะตามใคร (ตามอาจารย์) คิดได้ ๒ แง่คือ ๑.มีความมั่นคงดี ๒.การบำเพ็ญธรรมะไม่ให้ยึดตัวบุคคล ถ้าหากว่าคนที่พาศิษย์มา คนที่แนะนำรับรองเขาเกิดเปลี่ยนใจไป ศิษย์จะตามใครดี (ตามอาจารย์) ปกติเห็นอาจารย์หรือเปล่า (ไม่เห็น) แล้วจะตามใครดี แล้วตัวเองจะทำอย่างไร (มีจิตใจที่มั่นคง) นอกจากคำว่ามั่นคงแล้ว ต้องเชื่อมั่นอะไร (เชื่อมั่นในจิตใจตัวเอง) ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่ควบคู่กับความเชื่อมั่นนี้คือการอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อมีคนต่อว่าเรา เราก็ต้องพินิจพิจารณาอยู่เสมอ นอกจากพินิจพิจารณาว่าถูกหรือผิดแล้ว ยังต้องพิจารณาอะไรอีก (พิจารณาตัวเองว่าควรแก้ไข) เมื่อวานท่านแปดเซียนได้สอนไว้แล้วใช่ไหม หรือว่าฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อย่าคิดว่าอาจารย์มาต่อว่า แต่โอกาสพบกันมีน้อย ถ้าหากไม่สอนศิษย์ ไม่บอกศิษย์ ไม่เตือนศิษย์ตอนนี้แล้วก็คงไม่มีโอกาสเตือน บางคนเผลอไผล บางคนลืมตัวเองไปจนไกล กลับมาสอนก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้เป็นยุคสาม เป็นวาระท้าย ศิษย์ต้องค่อยๆ ที่จะเดินหน้าไป เดินช้าเดินเร็วก็ขอให้เดินตรงๆ หากศิษย์รักของอาจารย์วันนี้พรุ่งนี้ไม่เริ่ม มัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง รับรองว่าเมื่อไหร่ก็ไม่ได้เริ่มใช่ไหม (ใช่) และถ้าอยากจะเริ่มก็ต้องเริ่มด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เริ่มไปอย่างนั้นเอง เริ่มโดยที่ตัวเองไม่พร้อมและไม่เข้าใจธรรมะ เช่นนี้ก็หลุดพ้นไม่ได้
คนบำเพ็ญธรรมะต้องมีความเบิกบานอยู่ตลอดเวลา ต้องมีจิตที่สำรวม เวลาเล่นก็อย่าเล่นจนเกินไป เวลาไม่เล่นก็ขอให้สำรวมไว้ โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานธรรม ใครที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้เล่นจนเกินไปและมากเกินไป ก็ขอให้ลดลงบ้าง เพราะว่าคนภายนอกเมื่อมองธรรมะก็จะมองที่ตัวคนข้างหน้า ถ้าเราไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเขา เขาเข้ามาก็จะรู้สึกว่าไม่ได้อะไรกลับไป คนที่ตั้งปณิธานแล้ว ก็ควรที่จะพิจารณาตัวเอง พัฒนาตัวเอง ไม่หยุดอยู่กับที่ ควรที่จะสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ตอนนี้ใครเกิดความลังเลสงสัยก็ขอให้วางจิตนั้นลงไปก่อน ถ้าหากว่าเวลาฟังอาจารย์พูดไม่วางจิตลังเลสงสัยลงไป และใจไม่เปิดก็เหมือนกับว่าไม่ได้ฟังอะไรเลย ทุกสิ่งจะจริงหรือเท็จก็อยู่ที่ตัวของศิษย์เอง ถ้าหากศิษย์เห็นว่าเป็นสิ่งปลอม ก็เหมือนกับฟังเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูด เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
สองวันนี้ฟังธรรมะไปแล้วชอบหัวข้อไหนมากที่สุด (ทุกหัวข้อ) คนไหนที่สามารถนำธรรมะกลับไปใช้ได้ก็เก็บไปใช้ ถ้านำกลับไปใช้ไม่ได้ก็เก็บรักษาไว้ มีคนดีๆ ก็ต้องแนะนำเขา เวลามีอารมณ์ก็ต้องเก็บเอาไว้เหมือนกัน เข้าใจไหม
มีใครเข้าใจคำว่า “ในปราการอันวิไล” ไหม ถ้าหากว่าร่างกายเราแยกปลอมและจริง ไม่มัวไปประวิงกับกายปลอม ญาณจริงนี้ก็อาศัยอยู่ในธาตุ คนเราประกอบไปด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อเกิด แก่ เจ็บ และตายแล้ว ก็กลายเป็นธาตุ เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนถาวร อยู่ที่ว่าศิษย์ของอาจารย์จะปลงตกหรือเปล่า และจะให้ความสำคัญกับร่างกายนี้มากแค่ไหน อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าร่างกายนี้ไม่มีความสำคัญ เพราะหากไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายนี้ เขาก็จะอยู่กับเราไม่ได้นานเพราะขาดการเอาใจใส่ แต่หมายถึงผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีการตกแต่งเสริมอยู่เสมอ ไม่มีใครที่จะตัดเรื่องนี้ได้ขาดจริงๆ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็จะบอกว่าในปราการด่านนี้ หากศิษย์สามารถที่จะห่างออกไปได้ทั้งปลอมและจริง ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวแล้ว ก็จะเดินได้อย่างปลอดภัย เพราะว่าไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าเช่นนั้นมีใครพอจะอธิบายให้ฟังได้บ้างไหม (สิ่งที่เราปลงตกพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าและปฏิบัติ สละแล้วซึ่งกายเนื้อ) แล้วพร้อมที่จะตัดกันหรือยัง (พร้อมแล้ว) พร้อมที่จะเริ่มวันนี้หรือเปล่า ถ้าพร้อมก็ควรจะต้องมีจิตใจศรัทธาที่ตั้งมั่น ถ้าจะปีนเขาก็ปีนให้ถึงยอด จะดำลงสู่ทะเลลึกก็ต้องดำให้ลึกถึงที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ก็ต้องการใจชนิดนี้ ศิษย์รักของอาจารย์มีใจชนิดนี้หรือเปล่า ใจชนิดนี้ไม่ใช่ว่าทำได้ทุกคน แต่ว่าวันหนึ่งเมื่อได้ทบทวนตัวเองแล้วก็ต้องพยายามทำให้ถึง เข้าใจหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง “หม่าโถว”) ร้องเพลงแล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับสู่อ้อมแขนของอาจารย์ กลัวหรือเปล่าที่จะกลับสู่อ้อมแขนของอาจารย์ ถ้าหากว่าวันนี้ศิษย์รักของอาจารย์ไม่มาที่สถานธรรมนี้ ก็คงไม่เข้าใจธรรมะ ชีวิตหนึ่งชีวิตนี้ของศิษย์รักจะสละเพื่อการบำเพ็ญดีไหม การบำเพ็ญกับการปฏิบัติต่างกันอย่างไร (การปฏิบัติหมายถึงลงมือกระทำ) การบำเพ็ญคือบำเพ็ญที่จิตใจ การบำเพ็ญคือการซ่อมแซมภายใน ซ่อมแซมอะไรบ้าง (ซ่อมแซมใจ คิดดี พูดในสิ่งที่ดี) แล้วการปฏิบัติคืออะไร (คือการลงมือกระทำในสิ่งที่ดี, ชวนคนมารับธรรมะ) ถ้ามารับธรรมะ เข้าใจธรรมะก็สามารถพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ อย่างนี้น่าชื่นชมยิ่งนัก แต่การบำเพ็ญกับปฏิบัติถึงแม้จะอยู่คู่กัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน ความแตกต่างนั้นศิษย์ต้องไปพินิจพิจารณาระหว่างภายในและภายนอก บางทีภายนอกกระทำดีให้เข้าถึงภายใน บางทีออกจากจิตใจสู่ภายนอก ในและนอกประสานกันจึงนับว่าเป็นการบำเพ็ญธรรมะอย่างแท้จริง แต่วิธีบำเพ็ญและปฏิบัติก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ ถ้าหากบำเพ็ญภายในด้วยการซ่อมแซม บำเพ็ญภายนอกด้วยการปฏิบัติแล้ว ศิษย์รักของอาจารย์เกิดความเข้าใจในทางธรรมะก็จะไม่เกิดความสับสนอีกต่อไป เข้าใจไหม (เข้าใจ) ถ้าหากศิษย์ของอาจารย์เข้าใจกันทุกคนแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกดีไหม คนที่บำเพ็ญอย่างโง่ๆ บำเพ็ญไปเรื่อยๆ มักจะสำเร็จเร็วกว่าคนที่ฉลาด บางคนเห็นว่าเราโง่จริงๆ มีโอกาสว่าเขาแล้วไม่รู้จักว่า อย่างนี้เราฉลาดทันเขาหรือเปล่า เพราะว่าเราไม่ว่าเขาเลย แล้วศิษย์อยากจะเป็นคนฉลาดหรือคนโง่ (คนฉลาด) บางคนเขามาว่าเรา เขามาตีเรา แทนที่เราจะตีเขาตอบ แต่เราก็ไม่ตี อย่างนี้เราก็ฉลาด ถ้าเรื่องใหญ่กว่านั้นเราจะทำอย่างไร ถ้าเราหยุดได้หาหนทางแก้ไขได้ เราก็จะเป็นผู้ฉลาด แล้วศิษย์รักของอาจารย์ฉลาดทุกคนหรือเปล่า พอถึงเวลาโดนเข้าจริงๆ ฉลาดหรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกรณีลบใช่ไหม (ใช่) ทำไมถึงเป็นกรณีลบ (จิตใจยังมัวหมอง) เริ่มทำจากวันนี้ดีไหม (ดี) คนที่พูดได้แล้วทำได้เป็นคนจริง พูดได้ ทำได้ คิดได้ ก็รู้แจ้งได้ เมื่อถึงเวลานั้นเราเองเป็นผู้ฉลาดแล้วก็ฉลาดจริงๆ คนโดยมากเมื่อพูดไปแล้วทำไม่ได้ อย่างนี้ไม่นับว่าเป็นคนจริง คนจริงพูดได้ทำได้ ธรรมะจริงพูดได้ทำได้ เพราะฉะนั้นทุกคนอยากจะเป็นคนจริงหรือคนปลอม แล้วจะถือธรรมะที่จริงหรือปลอม ถ้าจริงก็ต้องทำได้ พูดได้ เวลาโดนคนเขาตีหนึ่งที เราตีกลับ ๓ ทีหรือเปล่า มีคนเขาว่านิดหน่อย ในใจก็บ่นงึมงำ ไม่ยอมแพ้ ตอนนี้จะเริ่มยอมแพ้กันหรือยัง ผู้บำเพ็ญธรรมะต้องมีความเมตตากรุณาอยู่ในใจ ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ ความเมตตานั้นก็จะส่งออกสู่คนภายนอก ถึงเราไม่พูด เราไม่กระทำ พวกเขาก็รับรู้ได้เอง จิตสำนึกของเราต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเราสมควรกระทำสิ่งใด ธรรมะมีให้ศึกษาแต่หากศิษย์ไม่เป็นฝ่ายก้าวเดินออกมา ศิษย์ก็จะไม่ได้รับอะไรเลย เหมือนมีคนส่งของให้แต่ว่าไม่รู้จักแบมือรับ เขาจะมายัดเยียดให้ศิษย์ได้ไหม เราจะต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาและเปิดโอกาสให้ตัวเองสักนิดหนึ่ง เดินเข้ามาหาอีกหน่อยหนึ่ง พวกเขาก็จะสัมผัสเราได้ และพาเราไปในทางที่ดี เปิดโอกาสให้กับตัวเองหรือยัง (เปิดแล้ว) เปิดนี้ต้องเปิดตลอดไป ไม่ใช่บำเพ็ญไปสามปี พอโดนคนต่อว่า เราไม่ชอบก็เดินออกไป คนที่เดินออกไปก็คือตัวศิษย์เองใช่ไหม ธรรมะมีให้ศึกษามากมาย แต่มากมายที่สุดก็อยู่แค่จิตใจ ไม่ได้มากไปกว่านี้ ถ้าหากว่าวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ถดถอย ไม่ท้อแท้ ศิษย์รักของอาจารย์ก็จะสามารถนำบรรพชน นำพี่น้องและคนรอบข้างขึ้นไปได้ วันนี้เริ่มบำเพ็ญจากในครอบครัว ถึงแม้ศิษย์จะไม่เชื่อที่อาจารย์พูด ขอเพียงครอบครัวของศิษย์สงบสุข นั่นก็เป็นผลดีต่อศิษย์แล้วใช่ไหม แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับชีวิตปุถุชน แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมาก ชีวิตนี้เมื่อตายไป สิ้นกายเนื้อไปแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหนและพบเจอกับอะไร นั่นเป็นเรื่องน่าสงสารที่สุด ถ้าหากว่าวันหนึ่งสิ้นลมหายใจไปแล้ว อาจารย์ไม่ได้บอกว่าตอนนี้ศิษย์เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว อาจารย์จะสามารถช่วยได้ทุกคน รอดูว่าเมื่อไหร่ศิษย์รักของอาจารย์เข้าใจธรรมะ ศึกษาธรรมะ เมื่อนั้นศิษย์ก็จะไม่แพ้ จะสามารถสำเร็จเป็นพระพุทธะได้ ทำได้หรือเปล่า
ทุกคนมีวิธีบำเพ็ญของตัวเอง บางคนบำเพ็ญในพระพุทธศาสนา นั่นก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญ บำเพ็ญในศาสนาใดก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ว่าลองตรวจสอบดูวิธีบำเพ็ญของแต่ละคนนั้นว่าเป็นเช่นไร (อาจารย์บรรยายธรรม : พระอาจารย์เมตตาให้ลองตรวจสอบวิธีการบำเพ็ญธรรมของแต่ละคน เมื่อสักครู่พระอาจารย์ก็พูดถึงแนวทางของพุทธศาสนาว่ามีแนวทางบำเพ็ญแตกต่างกันไป บางคนอาจจะถือศีลแปด ปฏิบัติตามแนวพุทธศาสนา หรืออาจจะปฏิบัติตามแนวของอิสลาม พิจารณาว่าเราบำเพ็ญกันอย่างไร ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่กำลังบำเพ็ญอยู่นั้นยังยึดติดกับสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์มากเกินไปหรือเปล่า ตึงอยู่กับด้านใดด้านหนึ่งหรือเปล่า ลองนึกย้อนถึงสมัยที่พระพุทธองค์ออกบำเพ็ญธรรมแสวงหาแนวทางปฏิบัติในยุคแรกๆ กว่าจะได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ได้พบแนวทางปฏิบัติ ทรงบำเพ็ญทุกขกริยาก่อนคือตึงไปข้างหนึ่ง ยึดในแนวทางใดแนวทางหนึ่งอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันเราอาจปล่อยปละละเลยชีวิตมากเกินไป สำหรับบางท่านถ้าตึงเกินไปก็ต้องเร่งคลายออกมาให้อยู่ในทางสายกลาง เราต้องพยายามตรวจสอบว่าเราจะเดินไปทางสายกลางได้อย่างไร) คนที่พูดได้และทำได้เป็นคนจริง เพราะฉะนั้นคนที่พูดได้ ทำได้ ก็บรรลุได้ แต่ว่าความหมายของอาจารย์นั้น ปุถุชนคือศิษย์รักทุกคน คนไหนรู้ตัวว่าตึงแน่นเกินไป บำเพ็ญธรรมมีกรอบมีระเบียบ บางคนกรอบสี่เหลี่ยมนิดเดียวแต่ก็ดึงเสียจนโย้ไปหมด ดึงแบบไหนลองไปพิจารณาดู แต่บางคนก็หย่อน พุทธระเบียบก็ไม่สนใจ คนบำเพ็ญธรรมทุกคนโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานธรรมมีวิธีการบำเพ็ญของตนเอง ไม่มีคนไหนผิดและไม่มีคนไหนถูก ทุกคนถูกด้วยตัวเองเสมอ บอกว่าตนเองถูกนั่นก็ใช่ แต่ว่าถูกนี้เข้าข้างตนเองหรือเปล่า ถ้าเกิดว่าคนที่หย่อน แสดงว่าความภาคภูมิใจหายไป ความภาคภูมิใจที่อาจารย์พูดถึงนี้ วันหนึ่งมีศิษย์ของอาจารย์เกิดความภาคภูมิใจในธรรมะ ธรรมะที่อาจารย์พูดถึงนี้เป็นสัจธรรมแท้ ถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดความลังเลสงสัย กังขาไม่เข้าใจ บอกว่าศิษย์รักของอาจารย์ขาดความภาคภูมิใจไปเสียแล้ว ถ้าความภาคภูมิใจสิ้นไป รู้ตัวไหมว่าหย่อนอย่างไร นำความเสียหายให้กับตนเอง ความคิดพิจารณาไม่ตั้งอยู่ตรงกลาง เมื่อยามนั้นศิษย์รักของอาจารย์ก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งหมดความภาคภูมิใจ ลองดูว่าตนเองเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า อาจจะไม่อยู่ที่ความภาคภูมิใจอย่างเดียว ความมั่นใจ ความมั่นคง ทุกอย่างให้กลับไปทบทวนดู เป็นหนทางซึ่งแนวทางบำเพ็ญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่ารอให้ผู้อื่นมาว่าเรา ให้เราว่าตนเองเสียก่อน ดูตนเองเสียก่อนว่าทำได้หรือเปล่า ต่อไปก็จะเป็นผู้บำเพ็ญเหมือนกัน ลองดูว่าวิธีบำเพ็ญของตนบริสุทธิ์และถูกต้องหรือเปล่า
“ดูสิ่งปลอมวุ่นวายแต่รักชอบ” มีใครอธิบายได้บ้าง บำเพ็ญธรรมต้องมีความกล้าหาญ ถ้ารอให้จบชั้นเรียนก่อนจึงตอบ ตอนนั้นมีอาจารย์ได้ยินคนเดียว ตอนนี้ตอบได้ ได้ยินทั้งห้องเป็นวิทยาทานใช่ไหม (ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราชอบ เรารู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่เราก็ยังชอบ) สิ่งปลอมตรงนี้อาจารย์หมายถึงสิ่งนอกกาย คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิด ชาติก่อนเคยเกิดเป็นวัว เป็นสัตว์ต่างๆ เป็นมนุษย์ แต่ว่าเมื่อมาชาตินี้ ตอนนี้ถ้าไม่ทบทวน อีกทั้งยังปล่อยตามใจตนเอง ใจของคนไร้ขอบเขต ไร้ขอบเขตในที่นี้หาที่สิ้นสุดไม่ได้ เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม ถ้าไม่รู้จักทบทวน หากว่าไม่บำเพ็ญ ไม่ศึกษา ก็ต้องมีการเวียนว่ายอีก สำหรับตัวศิษย์เอง ชาติหน้าเกิดเป็นอะไรก็รับรองไม่ได้ ถ้าชาตินี้ลดละตัดไม่ได้ ชาติหน้าศิษย์ของอาจารย์ก็อาจจะอยู่อีกสภาพหนึ่งซึ่งศิษย์อาจคาดไม่ถึงก็ได้ อยากรู้ว่าชาติหน้าจะเป็นเช่นไร ให้ดูจากการกระทำปฏิบัติในชาตินี้ เข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)
อาจารย์อยากบอกศิษย์ทุกคนให้เข้าใจถึงความล้ำค่าของธรรมะและเร่งมาศึกษากัน ถึงเวลาที่จะหันเหออกมา มิหลงเวียนว่ายตายเกิด หากพ้นจากวาระนี้ไปแล้วต้องรออีกนาน หากเข้าใจธรรมะแล้วก็จะแปรจากจิตที่ร้ายกลายเป็นดี ศิษย์รักของอาจารยืก็จะไม่เกิดความโลเล บำเพ็ญสู่สังคม สู่โลก เมื่อนั้นสันติสุขก็ส่งถึงนิพพานได้ เข้าใจไหม
ศิษย์มีสมาธิดีขนาดนี้แล้ว อย่างนี้อาจารย์ก็กลับได้แล้ว (ขอให้พระอาจารย์อยู่ต่อเพื่อสอนศิษย์ที่ยังเขลาอยู่) คนโง่ที่สุดก็คือคนที่ฉลาดที่สุด จิตของทุกคนเป็นสิ่งประเสริฐ ทุกคนเข้าใจด้วยปัญญาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ใด สิ่งที่ศิษย์ขาดไม่ได้คือความเบิกบานและจิตที่แจ่มใส หากการขัดเกลาเป็นประธานในใจแล้ว จิตศรัทธาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็หมายถึงตัวศิษย์เองใช้ศรัทธาเป็นอาวุธ แม้เป็นอาวุธที่มองไม่เห็น แต่ก็เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุด
“เดินสะเปะสะปะศิษย์จะสูญจิตรจเลข” เดินสะเปะสะปะแม้เดินไม่ตรงก็เดินอยู่ในทาง แต่ก็เดินช้าไม่ทันใจ เดินตามคนอื่นไม่ทัน อยู่รั้งคนอื่น ต้องให้คนอื่นชวนและจูง เหมือนดั่งสูญเสียจิตรจเลขหรือจิตที่งดงาม ถ้าจิตดวงนี้ขาดหายไป ต้องซ่อมแซม ก้าวไปแล้วก็กลับถอยหลังจะถึงจุดหมายไหม จะเดินกลับบ้านเดิมที่เป็นเบื้องบนก็ไม่ทันแล้ว
จัณฑเวคคือทะเลที่ไม่เคยสงบ ปณิธานมีมาแต่เดิม แต่ถ้าไม่นำมาลงมือลงแรง ปณิธานก็จะเหมือนกับทะเลที่ไม่มีวันจบ
ปัจเจกวิสัยคือนิสัยที่มีอยู่แล้วเฉพาะตัว การพ่ายแพ้อารมณ์และไม่สามารถชนะมารในจิตตนได้นั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือเปล่า ตัวเราน่ากลัวที่สุด คนอื่นไม่ได้น่ากลัวเหมือนตัวเรา อาจารย์หวังอย่างยิ่งว่าให้ศิษย์ห่วงตน รักตน นำตัวเองให้ถูกทาง หากพรุ่งนี้ไม่พบอาจารย์อีก ก็ขอให้เตือนตนเองอยู่เสมอ ทำได้หรือเปล่า ถ้าเข้าใจธรรมะแล้ว ถึงแม้ไม่มีอาจารย์อยู่ด้วยก็คงเดินต่อไปได้ใช่ไหม ขอให้เชื่อตนเองและนำทางตนเองให้ดี
(พระอาจารย์ให้หัวหน้าชั้นพูดคำว่า “อิ๊” แปลว่าหนึ่ง หมายความว่าให้ลุกขึ้นยืน) การเป็นหัวหน้าชั้นเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่เพียงแต่พูด “อิ๊” ให้ผู้อื่นลุกขึ้นยืนเท่านั้น แต่เสียงเราต้องนำผู้อื่นได้ เพราะถูกเลือกมาเป็นหัวหน้าชึ้นแล้ว เพราะในการเลือกแต่ละครั้ง ทั้งชั้นจะเลือกเพียงคนเดียว ถ้าพูดได้แต่คำว่าหนึ่ง ก็เป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้ เพราะคนอื่นจะตามเราไม่ได้เหมือนกัน เข้าใจไหม อย่าคิดว่าอาจารย์ต่อว่าเลย (หัวหน้าชั้นบอกว่าจะปฏิบัติ)
อาจารย์ขอขอบคุณศิษย์ทุกคนที่มาช่วยงานในครั้งนี้ แม้ความสัมพันธ์ยังไม่สามารถเข้าถึงใจของศิษย์ได้ การพบกันในวันนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของทุกคน วันนี้แม้ศิษย์จะไม่เข้าใจ แต่อาจารย์ก็จะรอ ขอให้ทุกคนบำเพ็ญให้ดี