วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2538
วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2538
วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2538
2538-06-03 พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
PDF 2538-06-03-เมี่ยวเต๋อ #7.pdf
#อุปกิเลส #กิเลส
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ ประจวบฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
องค์ประธานบริสุทธิ์สว่างว่าง คุมสอบกลางจริมยุคอันคับขัน
สามประการปริญญากิเลสพลัน ภูมิภพชั้นรวมหนึ่งนิรพาณ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่ธรรมสถาน แล้วกชกร
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านสราญฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ค่าอนันต์รู้ธรรมอันยิ่งใหญ่ กุศลจิตพ้นภัยอันตรายผอง
บำเพ็ญรุดก้าวหน้าพิจารณ์ตรอง หยุดนิ่งครองคีรีอันมั่นคง
ขอชำระล้างใจแต่บัดนี้ อย่าได้มีอารมณ์ที่ขุ่นข้อง
อย่าได้ให้เหล่าธุลีเปื้อนจิตตรอง เจริญธรรมละสองจิตเหลือเที่ยงกลาง
ปธานนั้นมั่นแล้วรุดก้าวไกล สำเร็จในวิถีธรรมด้วยว่างใส
ทั้งกุศลนอกในบำเพ็ญไป คุณธรรมได้ชิดใกล้อริยา
สามกาลละอย่าข้องแวะให้จิตหม่น ทรชนผิดแล้วพลั้งมิแก้ไข
เมธีต่างน้อมย้อนมองตรวจแจ้งได้ บำเพ็ญใจสติคงถูกวิธี
ประชุมธรรมสองวันช่างล้ำค่า ขึ้นนาวาแห่งธรรมเร่งพายหนา
ศึกษาในคำชี้แนะถนอมค่า หมดเวลาเที่ยวเพลินเล่นในโลกีย์
เพียรสำนึกผลกรรมตนชำระหนี้ จะทวีฉัพพรรณรังสี
โปรดเมตตาสู่เวไนยศรัทธาพลี อย่าได้หนีโชคชะตาเดินผิดทาง
ผู้บำเพ็ญกำหนดชะตาชีวีตน เวไนยชนไหลเรื่อยตามน้ำหนา
ขอใคร่ครวญเลือกบำเพ็ญดั่งอริยา ปรารถนามุ่งสู่ฟ้าสุขนิรันดร์
เรามิขอกล่าวความให้มากไป หยุดพู่กันจรดไว้คุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทท่านเซียนน้อยต้าเซี่ยว และ ท่านเสี่ยวเซี่ยว
อากาศร้อนร้อนที่ใจหรือภายนอก จิตเท่าตรอกหรือแผ่กว้างใหญ่ไพศาล
บำเพ็ญธรรมทารกน้อยละใจพาล ทั้งสามกาลคือว่างไร้อารมณ์
(พลอยเบิกบาน)
เราสองคือ
เซียนน้อยต้าเซี่ยว และ เสี่ยวเซี่ยว ร่วมรับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามปราชญ์เมธีทุกท่านเกษมฤๅ
ระอุร้อนกิเลสที่เผาใจอยู่ แจ้งรุดรู้ทันอารมณ์อยู่เสมอ
ตนในตนรวมหนึ่งเพื่อนเกลอ ชี้แนะเสนอร่วมอรรถาธรรมด้วยตั้งใจ
ใช่ต้นสนเกรียงไกรเพียงหญ้าน้อย อ่อนน้อมคล้อยตามพายุจึงตั้งรับ
จะบำเพ็ญฤทัยแม้ศิลาใหญ่ทับ ถามปรับตามรูปการณ์แข็งอ่อนบรรเทา
สรทะไม้ผลัดใบเก่าแห้งเฉา ตรมเมื่อคราวอายุขัยไม้ใกล้ฝั่ง
แปรจำนงกายาทุกข์มิสร่างหวัง เพียงมีพลังจุดหมายบรรลุปณิธานพลัน
ฮา ฮา หยุด
หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันแต่ง
หยั่งดูใจมนุษย์โศก แสนเศร้าจากเหตุผลใด กักขังตนใส่กลอนใจ สะสมร้อยธุลีไม่ล้างบรรเทา ป่าวนเวียนรกร้างกว้าง พยายามเดินเข้าไป กลับหลงทางอยู่ภายใน โดดเดี่ยวเพียงไร ยิ่งเดินเคว้งคว้าง
กับสิ่งเท็จนั้น ทุกวันงมงายไขว่คว้า หลงใหลในมายา หนทางธรรมนำพา มิเดินยากฉุดรั้ง รู้สิ่งเท็จนั้น หลุมพรางเต็มใจถลำ เลิศร้ายเลือกทางใด เท็จแท้จงเข้าใจ กลับใจตรองดู (ซ้ำ )
เพลง : เลือกทางตนเดิน
ทำนองเพลง : ขอบใจจริงๆ
พระโอวาทท่านเซียนน้อยต้าเซี่ยว และ ท่านเสี่ยวเซี่ยว
ท่านต้าเซี่ยว : วันนี้ตั้งใจฟังธรรมะทุกหัวข้อหรือเปล่า (ตั้งใจ) แต่มีบางคนพอฟังไปก็ง่วง คิดว่าทำไมวันนี้เวลาผ่านไปช้าจริงๆ กว่าจะจบแต่ละหัวข้อใช่ไหม
“อากาศร้อนร้อนที่ใจหรือภายนอก” (คือคำถามว่าเราร้อนอะไรระหว่างภายในกับภายนอก ถ้าร้อนภายนอกยังพอแก้ไขกันได้ แต่ถ้าร้อนภายในนั้นแก้ไขไม่ได้)
“จิตเท่าตรอกหรือแผ่กว้างใหญ่ไพศาล” (คือจิตเราจะคับแคบไหม จะมืดมนหรือเปล่า ให้เราทำจิตให้แผ่กว้างขยายออกไป ไม่ให้คับแคบหรือคิดมากเกี่ยวกับเรื่องการง่วงนอน หรือว่าการร้อน)
“บำเพ็ญธรรมทารกน้อยละใจพาล (พลอยเบิกบาน)” (หมายความว่าบำเพ็ญธรรมให้เหมือนกับจิตเดิมแท้ ละอารมณ์ที่เป็นนิวรณ์ คือการง่วง และการฟุ้งซ่านออกไป)
“ทั้งสามกาลคือว่างไร้อารมณ์” (คือทำจิตให้ว่างไร้อารมณ์ไม่ให้นิวรณ์ต่างๆ มาแทรกแซงใจ ทำให้เราเบิกบาน สบายใจในการฟังธรรม)
ท่านต้าเซี่ยว : “ใช่ต้นสนเกรียงไกรเพียงหญ้าน้อย” ต้นสนใหญ่ๆ ที่ขึ้นตรงดูสูงสง่ามันจะแข็ง เมื่อโดนพายุพัดแรงๆ ถ้าหากไม่โอนเอนตามลมพายุจะเป็นอย่างไร (หักโค่น) ส่วนต้นหญ้าจะลู่ตามลมใช่ไหม (ใช่) ในนี้แฝงปริศนาธรรมคือความอ่อนน้อม ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพียงต้นหญ้าต้นเล็กๆ แต่ขอให้มีความอ่อนน้อม
“จะบำเพ็ญฤทัยแม้ศิลาใหญ่ทับ ถามปรับตามรูปการณ์แข็งอ่อนบรรเทา” คนเราในโลกนี้ บางครั้งก็ถูกแรงกดดันจากภายนอกใช่ไหม (ใช่) เช่นคนที่คิดจะบำเพ็ญ ก็อาจถูกคนภายนอกว่าเรานี้งมงาย ไร้สาระ หรือถูกคนว่าถากถางต่างๆ นานา ซึ่งเราต้องทำอย่างไร (อดทน) การบำเพ็ญธรรมนั้นสามารถปรับยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่แข็งจนเกินไป หรือว่าอ่อนจนเกินไป
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : ที่นี่ใครเป็นเจ้าของสถานธรรมบ้าง คนที่เป็นเจ้าของ-สถานธรรมออกมาให้หมด บ้านใครเคยให้ที่เป็นที่รับธรรมะบ้าง ออกมาให้หมด ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว ที่ L.A. ฟลอริดา รวมทั้งเมืองไทยด้วย
ท่านต้าเซี่ยว : สถานธรรมเปรียบเหมือนอะไร (เรือธรรม) ในเมื่อเราเป็นเจ้าของสถานธรรม เราก็ต้องพายเรือได้ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เจ้าของสถานธรรม และผู้ที่เคยใช้สถานที่ที่บ้านเป็นที่รับธรรมะ ออกมาสอนและแสดงท่าประกอบเพลงพายเรือธรรม)
ท่านต้าเซี่ยว : เรือบางลำก็พายไปได้ไกล แต่ทำไมเรือบางลำพายแล้วอยู่กับที่
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : นั่นสินะ (เรือรั่ว)
ท่านต้าเซี่ยว : รู้ว่ารั่วแล้วต้องทำอย่างไร ถ้าเรือของเรารั่ว น้ำก็เข้าเรือ เรือก็ล่ม แล้วจะพาคนอื่นไปถึงฝั่งธรรมได้อย่างไร (ต้องแล้วแต่จิตใจ)
สรทะแปลว่าฤดูอะไร (ฤดูใบไม้ร่วง) “สรทะไม้ผลัดใบเก่าแห้งเฉา” การที่ใบไม้ร่วงโรยไปนั้น เป็นเพราะใบนั้นแห้งเฉาแล้วใช่ไหม (ใช่) เมื่อใบนั้นเหี่ยวแล้วผลัดใบใหม่ขึ้นมา เป็นใบที่ใหม่และสดใสขึ้น ถ้าเปรียบเทียบแล้วแสดงว่าจิตใจเป็นอย่างไร จิตใจเราก็เหมือนใบไม้ เมื่อวันนี้จิตใจของเราอับเฉา ร่วงโรยไปแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นจิตใจของเราก็สามารถที่จะสดชื่นขึ้นมาได้อีก แสดงว่าจิตใจของมนุษย์เปลี่ยนแปลงอยู่กับความทุกข์ความสุขใช่หรือเปล่า (ใช่) ทำอย่างไรที่เราไม่ต้องมีจิตใจที่เปลี่ยนแปลงอย่างนี้ แก้ไขที่ข้างนอกให้ดี หรือว่าแก้ไขที่จิตใจของเรา (แก้ไขที่จิตใจของเรา)
“ตรมเมื่อคราวอายุขัยไม้ใกล้ฝั่ง แปรจำนงกายาทุกข์มิสร่างหวัง เพียงมีพลังจุดหมายบรรลุปณิธานพลัน” เมื่อเรามีชีวิต อายุเหมือนไม้ใกล้ฝั่งเข้าไป ตอนที่แก่ เราก็อาจจะมีความทุกข์ เพราะเรารู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย จะบำเพ็ญ จะไปทางไหน ร่างกายเราก็ไม่สะดวก มีโรคต่างๆ มากมาย คนที่อายุมากๆ บำเพ็ญอย่างไร พออายุมากๆ แล้ว การบำเพ็ญภายนอกที่ออกมาให้เห็นชัดก็คงจะลำบาก เพราะฉะนั้นต้องบำเพ็ญภายในให้จิตเที่ยง เมื่อจิตเที่ยงแล้ว แม้ว่าจะมีโรคภัย มีความกังวลอะไรก็จะหายไปหมด ถูกไหม (ถูก) ถ้าเราเป็นปู่ ย่า ตา ยาย เราก็สอนให้ลูกหลานนั้นรู้จักธรรมะ รู้จักปฏิบัติธรรม ลูกหลานเราเป็นคนดี เราก็จะมีความสุขใช่ไหม (ใช่) แล้วคนที่อายุน้อยๆ บำเพ็ญจิตให้เที่ยงได้ไหม (ได้) บำเพ็ญอย่างไร ควบคุมให้ความอยากน้อยลง ควบคุมอารมณ์ไม่ให้โลดเต้นมากมาย ถ้าเกิดมีความโกรธ แล้วต่อว่าเขาไปแล้ว ใครที่เป็นคนที่ทุกข์ก่อน (ตัวเราเอง) ทุกคนตอบได้แต่ทำไมทำไม่ได้ แสดงว่าเราต้องฝึกสติให้มั่น เมื่อมีสติมั่นแล้ว มั่นอยู่ที่จุดๆนั้นใช่ไหม (ใช่) ถ้ารับไตรรัตน์ไปแล้วไม่รู้จักใช้ ก็เหมือนกับคนในโลกที่ทุกข์บ้างสุขบ้างปะปนกันไป จะไม่รู้ว่าอันไหนคือสุขที่แท้จริง สุขในจิตที่ว่างเป็นสิ่งที่แท้จริง แต่ไม่รู้ว่ามีกี่คนทำได้ ว่างนี้ว่างอย่างไร บางคนบอกว่าฝึกสมาธิให้มีจิตที่สงบว่าง ไม่คิดอะไรเลย จิตที่ว่างนี้ก็คือจิตที่ว่างจากกิเลสและอารมณ์ ถ้าจะเรียกว่าคนไหนจิตว่างได้ก็หมายความว่าว่างทุกๆก้าวที่เดินไป นั่นคือจิตว่าง ไม่ใช่ว่างแค่ตอนนั่งสมาธิ ใช่ไหม (ใช่)
ให้เปลี่ยนแปลงความคิดที่คิดว่าร่างกายของเรานี้มีความทุกข์มาก ทุกข์จนเรารู้สึกทุกข์ ให้เราแค่รู้ว่าทุกข์ พอรู้ว่าทุกข์แล้วให้เราขจัดทุกข์ตรงนั้นออก แล้วทำอย่างไร ตรงนี้เป็นปัญหาที่ทุกๆคนต้องขบคิดในชีวิตประจำวันของตนเอง ทุกๆคนได้ประสบความทุกข์มาแล้ว ทุกข์มากทุกข์น้อย มีความทุกข์เพราะเราไม่สมหวัง มีความทุกข์เพราะคนอื่นขัดใจเรา ทุกข์แล้วให้เราดูว่าทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาจากไหน ให้เราตัดตรงนั้น แล้วให้เพิ่มความหวังเข้าไปให้เป็นพลังนำเราไปสู่จุดหมาย เพื่อบรรลุปณิธาน เพราะความทุกข์นี้ก็เป็นความทุกข์ที่เป็นมายา ความสุขก็เป็นความสุขที่เป็นมายาในโลก จะให้สุขจริง สุขอย่างไม่มีทุกข์ ให้เราอยู่ที่ว่าง เราต้องเปิดจิตใจศึกษาธรรมะ ทำจิตใจให้เหมือนกับอริยะ เจริญตามปณิธานของตัวเองที่มีไว้แต่เบื้องบน
“แจ้งรุดรู้ทันอารมณ์อยู่เสมอ” (หลักธรรมทั้งหลายที่นักเรียนและญาติธรรมทั้งหมดรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ใจเรา รู้อารมณ์ว่าตัวเองบางครั้งก็รุนแรงไปในคำพูดบางอย่าง ก็ขอให้เปลี่ยนจากอารมณ์นั้น คิดในสิ่งที่ดีอยู่เสมอ)
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : ร่วมกันศึกษาธรรมะด้วยความตั้งใจชี้แนะเสนอ หมายความว่ามีหลายคนที่รู้สึกอยากศึกษาธรรมะ เมื่อรู้สึกอยากศึกษาธรรมะแล้ว เรื่องที่เราพูดกันก็เป็นเรื่องการบำเพ็ญของแต่ละคน เราจะบำเพ็ญอย่างไรให้ดีขึ้น ถ้าคนอื่นที่มีความรู้ทางธรรมมากกว่าเรา เขาชี้แนะให้เราเป็นคนดีที่เก่งขึ้น ก็จะมีประโยชน์กับเราใช่ไหม (ใช่) คนไหนบำเพ็ญตัวคนเดียว บำเพ็ญแต่จิตใจของตัวเอง แล้วไม่มีการเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น อย่างนี้แสดงว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวไหม (เห็นแก่ตัว) เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าสิ่งไหนที่เป็นสิ่งที่ดี เราก็ต้องชี้แนะให้ผู้อื่นเป็นคนดีเหมือนกับเราด้วย
“ตนในตนรวมหนึ่งเพื่อนเกลอ” ตนกายภายนอกกับตนภายในรวมอยู่เป็นหนึ่ง เราเป็นเพื่อนกัน แต่เพื่อนเราสองคนชอบทะเลาะกัน เราต้องทำให้เพื่อนนั้นรวมเป็นหนึ่ง และมีจิตใจที่เป็นหนึ่ง ถ้ามีจิตใจที่เป็นหนึ่งแล้วทำอะไรมีความตั้งมั่น เราก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ถูกไหม เพราะฉะนั้นบางคนที่เป็นคนไม่ดี แต่ว่าเขาสามารถทำสิ่งที่ไม่ดีอันยิ่งใหญ่ได้นั้น เพราะตนข้างในถูกย้อม ตนอารมณ์ข้างนอกเป็นตนที่ชักนำ จึงทำให้โลกนี้วุ่นวาย แต่เราจะให้ใครเป็นคนที่ชักนำเลือกเอาจากสองคนให้เหลือคนเดียว เลือกใครดี (เลือกตนข้างใน) ในเมื่อทุกท่านเลือกตนข้างในก็ขอให้ทำให้ตนข้างในหนึ่งคน แล้วช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด
ท่านต้าเซี่ยว : กลอนธรรมดาอันหนึ่ง หากเราใส่กลอนจากข้างนอก เราสามารถจะขังคนข้างในได้ไหม (ได้) เช่นเดียวกัน ถ้าเราใส่กลอนจากข้างใน กลอนนั้นก็สามารถปิดกั้นคนข้างนอกได้ใช่ไหม เช่นเดียวกับธรรมะ ซึ่งดูผิวเผินอาจจะดูธรรมดา ถ้าศึกษาอย่างเข้าใจแท้จริง รู้หนทางแท้จริงแล้ว ก็สามารถจะปิดกั้นตัวเองจากกิเลสภายนอกได้ใช่ไหม (ใช่) เช่นเดียวกัน สิ่งภายนอกทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่าง ดูๆไปแล้วก็เหมือนไม่มีอะไร แต่ว่าสามารถดึงดูดกักขังคนเราให้ติดอยู่ในห้วงเวียนว่ายตายเกิดได้ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานชื่อเพลงพระโอวาท “เลือกทางตนเดิน”)
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรามีแค่สองทาง ทางหนึ่งคือกลับเบื้องบน อีกทางหนึ่งคือลงไปข้างล่าง เลือกได้สองทาง เราจะเลือกทางไหน
ท่านต้าเซี่ยว : เราให้เพลงโอวาทแฝงธรรมะไว้ อยากให้ทุกท่านลองศึกษาและทำความเข้าใจดู ในสองวันที่ท่านมานั่งฟังธรรมะ ท่านสามารถเก็บความรู้อะไรได้มากเท่าไหร่ หรือว่าปล่อยเวลาที่มานั่งอยู่ที่นี่ให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เราบอกแล้วว่าเลือกได้สองทาง ทางหนึ่งคือทางขึ้นเบื้องบน อีกทางหนึ่งคือทางลงข้างล่าง ถ้าชาตินี้ยังเลือกไม่ได้ก็ทุกข์กับสุขไปก่อน ชาติหน้าเลือกไม่ได้ก็ทุกข์กับสุขอีก จนวันหนึ่งเลือกได้แล้วก็ต้องเลือกข้างบนและจูงมือกันไป
ท่านต้าเซี่ยว : ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ต่างล้วนแต่เป็นผู้ที่เริ่มเข้ามาศึกษาธรรมใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นจะต้องสามัคคีกัน ร่วมศึกษาไปพร้อมๆกัน ให้กำลังใจกันและกัน เมื่อเห็นคนไหนห่างสถานธรรมไปก็ชักชวนเขากลับเข้ามา แล้วบำเพ็ญกลับคืนไปข้างบนด้วยกัน
วันนี้เราสองคนก็มารบกวนเวลาพวกท่านนานแล้ว เดี๋ยวตั้งใจฟังหัวข้อธรรมะต่อดีไหม (ดี) ตั้งใจหรือเปล่า (ตั้งใจ) มีโอกาสเข้ามาร่วมชั้นประชุมธรรมไม่ใช่ง่ายๆ บางคนพอคิดจะมาเข้าชั้นประชุมธรรมก็ต้องมีเหตุให้ไม่ว่าง หรือว่ามีธุระด่วน นั่นหมายถึงถ้าเขาไม่แสดงศรัทธาตั้งใจจริงออกมา ปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างบ้าง เท่ากับว่าเขาปิดโอกาสไม่ให้ตัวเองเข้ามาศึกษาธรรม
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรารู้ว่าบางคนกลัวว่ามานั่งฟังธรรมะแล้วจะเบื่อและไม่เข้าใจ
ท่านต้าเซี่ยว : ไม่ใช่หรอก ทุกคนตั้งใจฟังธรรมะได้ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ก็เห็น เลือกทางเดินเอง ทางมีให้เลือกก็จงเลือกสิ่งที่ดี มนุษย์ในโลกนี้เปรียบเทียบได้กับเนื้อเพลงที่ว่า “ป่าวนเวียนรกร้างกว้าง พยายามเดินเข้าไป” รู้ก็รู้ว่าเป็นป่า ข้างในแฝงไว้ด้วยอันตรายมากมายและสิ่งต่างๆ ที่เราไม่รู้ ก็ยังจะเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง ก็เหมือนกับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ทั้งๆที่เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นมายาจะฉุดรั้งเราไว้ ยิ่งถ้าเรายึดติดมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งไม่สนใจศึกษาธรรมะมากเท่านั้น เหมือนกัน ตอนที่เราตั้งใจฟังธรรมะก็จะมีอีกจิตหนึ่งคอยดึงเราไว้ให้ฟุ้งซ่าน ทุกท่านจะทำให้จิตสงบได้เพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนเอง
ที่เราทั้งสองพูดมาทั้งหมดเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ) แล้วพรุ่งนี้จะตั้งใจฟังธรรมะไหม อาจารย์ของพวกท่านคือใคร (อาจารย์จี้กง) เราก็เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงเหมือนกัน ถ้าพวกท่านมีความศรัทธา ไม่แน่พรุ่งนี้อาจารย์ของพวกท่านอาจจะมาพูดคุยกับพวกท่าน
ท่านเสี่ยวเซี่ยว : เรารอวันหนึ่ง วันที่เมธีทุกๆท่านขึ้นไปอยู่ข้างบนกับเรา
วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์ กล้า
วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา เจริญเมตตาเพ่งมองกรรมบำเพ็ญเจริญ
เราคือ
อรหันต์จี้กงวิปลาส รับบัญชาจาก
องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่ธรรมสถาน แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
พุทธจิตรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างขุมพลังอันไพศาล
ก่อกำเนิดใบใหม่พ้นหินพลัน หากมีใจเพียรหมั่นผลอนันต์
อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งเร่งถอนรากโคนบั่น
อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น มิอาจผันพ้นวิโมกข์ จากปฏิปทา
อดีตเคยยอมให้กิเลสบงการชีวัน ใจผจัญก้าวสูงส่งชนะหาญกล้า
ซ่อมบ้านก่อนลมฝนกระหน่ำมา สุขอุราวิมานในโลกสมบูรณ์ธรรม
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์อยากให้ศิษย์ตั้งใจฟังโอวาท เพื่อศิษย์จะได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับจิตญาณของตัวเองบ้าง
“ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์กล้า วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา เจริญเมตตาเพ่งมองกรรมบำเพ็ญเจริญ” การมีเมตตาอย่างสมบูรณ์แล้วก็หมายถึงการบำเพ็ญ แต่ถ้าคนไหนเจริญเมตตาเพียงแค่ขอบข่ายแคบๆ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการเจริญบำเพ็ญเท่าที่ควร มีใครอยากอธิบายไหม (“ศิษย์ชดใช้หนี้กรรมด้วยสิ่งใด” หมายความว่าศิษย์จะชดใช้หนี้กรรมด้วยอะไร “ด้วยกี่ชาติหรือด้วยใจพิสุทธิ์กล้า” จะใช้หนี้กรรมกี่ชาติด้วยใจ) ให้เลือกสองทางจะชดใช้หนี้กรรม ด้วยการที่ชดใช้ในการเจ็บป่วยทางร่างกายหรือในการที่ทนทุกข์ทรมานในโลกไม่รู้กี่ชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้น หรือว่าจะชดใช้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์และกล้าหาญ
“วัฏฏะสลับเจ้าหนี้ลูกหนี้พิจารณา” ในการเวียนว่ายตายเกิดที่เป็นวัฏสงสารนี้มีการผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ วันนี้ศิษย์เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ เจ้าหนี้อะไร ลูกที่ไม่ดีต่อพ่อแม่ ไม่กตัญญู มาทวงเอาที่พ่อแม่ ส่วนผู้ที่อยู่ในโลกนี้แล้วได้รับความทุกข์ต่างๆนานาจากเหตุการณ์รอบข้างมากมาย แสดงให้เห็นว่าศิษย์ก็เป็นลูกหนี้ด้วย และเจ้าหนี้ลูกหนี้ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ให้ศิษย์ค่อยๆคิดกันเอง แต่ทุกๆวันที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปนี้ มีการสลับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆคนพิจารณาว่าสมควรแล้วหรือยังที่จะหยุดตรงนี้ สมควรหรือยังที่จะเริ่มบำเพ็ญ เปิดเมตตาออกมาฉุดช่วยผู้อื่น บำเพ็ญทั้งภายในภายนอก ถึงเวลาแล้วหรือยัง (ถึงแล้ว) ทุกคนรู้แล้วว่าถึงเวลา แต่ไม่รู้ว่าจะบำเพ็ญอย่างไรใช่ไหม (ใช่)
“พุทธจิตรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างขุมพลังอันไพศาล” ถ้าพุทธจิตภายในใจของศิษย์มีรากฐานแห่งจิตใจที่มั่นคงและมีคุณธรรมแล้ว ขอให้ยึดเหนี่ยวเอาไว้ให้แน่น ไม่ให้สั่นคลอน ศิษย์ก็จะพบกับพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลสุดประมาณ
“ก่อกำเนิดใบใหม่พ้นหินพลัน” ตรงนี้อาจารย์จะอธิบายตอนให้กลอนข้างใน แล้วศิษย์จะรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
“หากมีใจเพียรหมั่นผลอนันต์” การที่พุทธจิตของศิษย์ทุกคนจะสามารถมีรากฐานที่มั่นคงและไม่สั่นคลอนได้นั้นต้องมีอะไร (ความเพียร) ความหมั่นเพียรและอดทน หมั่นเพียรทุกๆวันก็จะได้รับผลอันยิ่งใหญ่
“อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งเร่งถอนรากโคนบั่น
อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น มิอาจผันพ้นวิโมกข์จากปฏิปทา” อุปกิเลสคืออะไร (ลักษณะความเคยชินที่ไม่ดีทั้งหลาย) คือสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง เป็นสิ่งที่หมักหมมอยู่ในใจนี้ ขอให้ศิษย์ถอนรากถอนโคนขึ้นมา อย่าให้มีรากติดอยู่แม้แต่นิดเดียว เพราะว่ามันอาจจะขึ้นลุกลามได้
“อวิชชาหมายครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น” ถ้าจิตใจของศิษย์มีรากฐานที่เหนี่ยวรั้งมั่นคงแล้ว อวิชชาต่างๆ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วเราก็ไม่หวั่นกลัวถึงอวิชชานั้นด้วย
“มิอาจผันพ้นวิโมกข์จากปฏิปทา” เราทุกคนนั้นสามารถจะหลุดพ้นได้ถ้าหากมีความมุ่งมั่น
อาจารย์อธิบายจบตรงนี้แล้ว อุปกิเลสคืออะไร (อุปกิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก มี ๑๖ อย่างคือ ๑.อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบ จ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร ๒.โทสะ คิดประทุษร้าย ๓.โกธะ โกรธ ๔.อุปนาหะ ผูกโกรธไว้ ๕.มักขะ ลบหลู่คุณท่าน ๖.ปลาสะ ตีเสมอ ๗.อิสสา ริษยา ๘.มัจฉริยะ ตระหนี่ ๙.มายา เจ้าเล่ห์ ๑๐.สาเถยยะ โอ้อวด ๑๑.ถัมภะ หัวดื้อ ๑๒.สารัมภะ แข่งดี ๑๓.มานะ ถือตัว ๑๔.อติมานะ ดูหมิ่นท่าน ๑๕.มทะ มัวเมา ๑๖.ปมาทะ เลินเล่อหรือละเลย) ทุกคนมีบ้างใช่ไหม อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง ถ้าถอนไม่ดีมีรากเหลือแม้นิดเดียว ต้นหญ้าก็ขึ้นมาอีกใช่ไหม (ใช่) ต้องถอนให้หมด หมั่นถอนบ่อยๆ เพราะบางครั้งคิดว่าถอนหมดแล้ว เวลาผ่านไปฝนตกมาใหม่หญ้าก็ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นต้องมีความไม่ประมาทเป็นที่ตั้ง อยู่ที่ตนของตนเองข้างในนั้น แล้วก็สามารถจะบำเพ็ญได้
“อดีตเคยยอมให้กิเลสบงการชีวัน” เมื่อก่อนนี้กิเลสหรือว่าจิตญาณที่เป็นพุทธจิตของเราเป็นคนสั่งการให้ทำอะไร อะไรเป็นเครื่องสั่งการ เมื่อก่อนนี้หรือกระทั่งเดี๋ยวนี้ (จิต) แน่ใจหรือ บางครั้งทำในสิ่งที่ดีก็เป็นจิต แต่ส่วนมากเราไม่ทันได้รู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นกิเลส เพราะว่าเราไม่มีสติที่จะเตือนยั้งเลยใช่ไหม
“ใจผจัญก้าวสูงส่งชนะหาญกล้า” ถ้ามีใจกล้าหาญที่จะสู้ไปข้างหน้า ก็แสดงว่าจิตใจนี้สูงส่งแล้ว และสามารถจะชนะด้วยความกล้าหาญของตนเอง
“ซ่อมบ้านก่อนลมฝนกระหน่ำมา” เทียบกับจิตใจว่าอย่างไร (ให้เราตั้งใจปฏิบัติก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติ, ซ่อมจิตใจเราก่อนที่จะมีหนี้กรรมมาทวง เราก็จะอยู่ในโลกมนุษย์มีธรรมะที่สมบูรณ์ในจิตใจ)
“สุขอุราวิมานในโลกสมบูรณ์ธรรม” ถ้าสามารถจะมีคุณธรรมในจิตใจและไม่ให้กิเลสเข้ามาได้ จิตใจนี้ก็จะมีความสุขเหมือนกับว่าโลกที่อยู่ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีแต่ความทุกข์และสุขปะปนกันไปเรื่อยๆ แต่โลกนี้เป็นโลกที่มีความสุขสงบและสมบูรณ์ในธรรมในจิตใจของทุกๆคน
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาท) เมื่อสักครู่เวลาวงกลม หลายๆคนพยายามวงให้กลม แล้วใช้อะไรเป็นจุดศูนย์กลาง จุดจิตญาณตรงนั้นใช่หรือเปล่า เมื่อรู้ที่ตั้งแล้ว สติอยู่ตรงนั้นแล้ว ปัญญาก็ออกมาได้ รู้แล้วใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นรูปก้อนหินทับต้นหญ้า) ถ้าหินนั้นทับหญ้าเอาไว้ หญ้าข้างใต้ก็เหี่ยวไป แต่หญ้านั้นยังมีรากอยู่ ถ้าหญ้านั้นได้รับแสง มันก็ต้องพยายามสร้างรากเพิ่มจนสามารถผ่านหินออกมาได้ และเมื่อแตกใบออกมาได้รับแสงสว่าง ก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ถูกไหม (ถูก) อาจารย์ให้ศิษย์ดูต้นหญ้า ลองดูซิว่าหญ้าที่อาจารย์บอกมีความหมายอะไรบ้าง โดยดูจากกลอนบทต่อไป
“อุปกิเลสเป็นเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง” หญ้านี้เปรียบเหมือนอุปกิเลสที่เข้มแข็งมากและเราจำเป็นต้องพยายามถอนรากถอนโคนออกให้หมด นี่คืออย่างแรก อย่างที่สองคืออะไร
“หญ้าน้อยแม้ศิลาใหญ่ทับถม ใบเก่าแห้งเฉาตรมทุกข์มิสร่าง
หวังเพียงมีรากซึ่งยึดเหนี่ยวรั้ง จะสรรค์สร้างใบใหม่พ้นหินพลัน
หากมีใจเช่นหญ้าอันเข้มแข็ง อาสวะแกร่งครอบคลุมฤๅหวาดหวั่น
มิอาจให้กิเลสบงการชีวัน ใจผจัญก้าวพ้นสู่วิโมกข์”
อย่างที่สองคือความเข้มแข็ง และจากโอวาทของเมื่อวาน ก็มีอีกหนึ่งความหมายคือต้นหญ้านี้เมื่อลมพัดก็เอนอ่อนลงไปใช่ไหม การเป็นคนก็เหมือนกันถ้าเกิดแข็งก็หักได้ง่าย ถ้าเป็นหญ้าที่โอนอ่อนผ่อนตามไปเรื่อยๆ เช่นอ่อนน้อมคล้อยตามพายุจึงตั้งรับ ตรงนี้หมายความว่า เมื่อมีพายุมาต้นหญ้าก็พริ้วลู่ตามไปและสามารถคงอยู่ได้ แต่ต้นสนที่สูงใหญ่ เมื่อมีลมพายุพัดมาหักได้ไหม (ได้) เพราะฉะนั้นขอให้ศิษย์ทุกคนดูแล้วเข้าใจให้ดีๆ โอวาทซ้อนโอวาทนี้ อาจารย์ให้อ่านหลายๆครั้ง มีใครรู้สึกไหมว่าพออ่านหลายๆครั้งแล้วจะทำให้เข้าใจมากขึ้น (เข้าใจ) โอวาทนี้อาจารย์ไม่ได้อธิบายทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่เหลือเอาไว้ให้ศิษย์ค่อยๆไปศึกษาให้รู้แจ้งเอาเอง ทุกๆอย่างต้องอาศัยที่แรงลงมือปฏิบัติ การบำเพ็ญนั้นถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติ จะได้ผลไหม (ไม่ได้)
ถ้าไม่มีการทดสอบเสียบ้าง ทุกคนก็จะนึกว่าตัวเองเก่ง เพราะฉะนั้นทุกๆวันต้องมีจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เข้าใจหรือว่าไม่รู้อะไรก็ถามจากคนข้างหน้า เมื่อรู้แล้วก็ไปบอกคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราแพร่กระจายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนทั้งโลกนี้มีความสุขไหม (มี) และเมื่อคนไม่รบราฆ่าฟันกันแล้ว โลกก็จะสันติสุข ตอนนี้มีเภทภัยต่างๆมากมาย เป็นเพราะว่าศิษย์ไม่ได้ชดใช้หนี้กรรมของตนเองเลย เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่มีจิตสำนึกว่าตัวเองได้ทำผิดอะไรไปบ้าง เมื่อไม่สำนึกแล้วก็ทำผิดไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร เมื่อกรรมนั้นตามมาถึงตัวแล้ว สำนึกตอนนั้นสายไปไหม (สาย) เร่งตื่นเสียตั้งแต่ตอนนี้ เร่งชดใช้เจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป ถึงเวลานั้นแม้แต่อาจารย์เองก็ช่วยศิษย์ไม่ได้
วันนี้แม้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันจะสั้นนัก แต่ความผูกพันที่เรามีต่อกันนั้นหยั่งลึกถึงรากที่เหนียวแน่นและมั่นคงยิ่งกว่ารากของต้นหญ้า ทุกคนจะเป็นต้นธรรมใหม่ เป็นต้นธรรมที่อาจารย์ได้ปลูกขึ้น แต่ทุกคนต้องช่วยกันรดน้ำพรวนดิน แรงของอาจารย์เพียงคนเดียวไม่สามารถที่จะฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งโลกนี้ได้ ศิษย์ช่วยเป็นมือ เป็นเท้า เป็นแรง เป็นกำลังให้อาจารย์ มุ่งไปด้วยความตั้งใจยิ่งๆขึ้น ทุกๆวันแม้อาจารย์จะเจ็บแค่ไหน หรือแม้จะมีความทุกข์ขนาดไหน อาจารย์ก็ยอมรับได้ รับด้วยความเข้มแข็ง ศิษย์ก็เหมือนกัน รับแค่หนี้กรรมของตัวเองเพียงน้อยนิด จะต้องรับให้ได้ ชดใช้ให้ได้ บำเพ็ญทั้งนอกทั้งในก็กลับขึ้นไปได้แล้ว ลาก่อนศิษย์รักทุกคน ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.