วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537
วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537
วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537
2537-11-15 พุทธสถานบ้านสกุลกล้าอาษา 1 วัน
วันอังคารที่ ๑๕ พฤศจิกายน
พุทธศักราช ๒๕๓๗ พุทธสถานบ้านสกุลกล้าอาษา
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ธารไหลหลากเรือแล่นทวนชลธาร บริบาลเวไนยด้วยเรือทองนี้
ด้วยบากบั่นวิริยะดั่งเมธี ศิษย์รักมีเรือทองเป็นรางวัล
เราคือ
พระอรหันต์จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดาถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง
ฮา ฮา
ปฏิบัติตามปณิธานที่ตั้งใจ น่าสรรเสริญเหลือเอ่ยเมธีศิษย์
เร่งบำเพ็ญพายนาวาด้วยพินิจ ปัญญาพิชิตมารร้ายที่แฝงกาย
ศิษย์ สมบุญ สมคิดมาพร้อมเพรียง โซ่เกี่ยวเนื่องกันมาแต่หนหลัง
มาบัดนี้กุศลพร้อมตั้งนาวาธรรม เร่งชำระหนี้กรรมรุดหน้าไป
อาจารย์นี้ยินดีเป็นหนักหนา ศิษย์ทั้งสองปณิธานมาก่อนเก่า
อย่าได้ดูแคลนตนเป็นดั่งเสา ศรัทธาเฝ้าจงอย่าโลเลรู้ไหม
อีกประสิทธิ์ ปราณีก้าวออกมา หกหมื่นปีเวียนกายาเจ้าทราบไหม
มีเคราะห์กรรมหนี้ตามเร่งระไว ขอร่วมมือร่วมใจเป็นสี่แรง
อาจารย์เตือนศิษย์รักจงละลด รู้เหมาะสมเรียนรู้กฎแห่งสถาน
บรรพชนล้วนรอด้วยชื่นบาน จงอย่าทำให้บรรพชนได้ผิดหวัง
กาลคับขันยุคสามในครานี้ อาจารย์ชี้นำทางใสสว่าง
มีอีกมากเวไนยตาเลือนลาง ศิษย์จงนำมัชฌิมาทางสืบทอดไป
ในวันนี้ด้วยแรงศรัทธามั่น อีกขยันอาจารย์ล้วนเห็นชัดได้
แรงกุศลขอจงอย่าติดยึดไป สำคัญในใจแท้นิพพานจริง
ต่างผู้คนมาร่วมกราบอาจารย์ชี้ ในวันนี้จงกลับไปเจริญกุศล
แลจดจำตรัยรัตน์มิหมองหม่น มิต้องวนหากเร่งเดินตามอริยา
หากเข้าใจสัจธรรมอันแท้จริง มิประวิงเสาะหากิเลสขัง
เร่งเสริมสร้างคุณธรรมซ่อมแซมระวัง จิตตนยั้งหยุดสิ้นความโศกตรม
รู้บอกกล่าวญาติพี่น้องรู้จุดสถิต แห่งชีวิตเกิดมาเพื่ออันใด
จะไม่ต้องเคว้งคว้างอีกต่อไป แล้วกลับได้สู่บ้านเดิมวิสุทธิ์แดน
เร่งชำระหนี้กรรมแห่งตนหนา พายนาวามิลอยล่องรู้จุดหมาย
รู้เส้นทางเผยแพร่ธรรมาไป จงตั้งใจแม้ลำบากจงอดทน
อาจารย์ขอขอบคุณศิษย์อีกมาก ที่ลำบากเหนื่อยร้อนในวันนี้
มาช่วยงานขอใจบรรเจิดฤดี แล้วเร่งรี่อาจารย์อวยพรเป็นกำลัง
มีหญิงชายมากมายล้วนต่างวัย เด็กชราจงไปสำรวจหนา
แล้วรู้แท้ชีวิตสุญตา รู้สำรวมรู้ว่าไร้จีรัง
อาจารย์กล่าวถ้อยคำยากจบสิ้น ย้อนมองถิ่นแห่งใจจึงพบเห็น
รู้นิพพานไร้ผู้มิบำเพ็ญ แม้ทุกข์เข็ญอาจารย์ย้ำให้อดทน
แม้ลังเลคิดว่าลวงหมั่นศึกษา จึงรู้ว่าเท็จจริงเป็นไฉน
รู้ก้าวเดินให้มุ่งสู่นิพพานใน จิตตนใกล้เพียรกลางศูนย์พิจารณา
ในวันนี้อาจารย์เวลาจำกัด ขอยินดีศิษย์รักเจริญรอยหนา
อีกมากมายฝากฝังไว้ให้ศิษย์นา อาจารย์นั้นไร้กายาไร้เรี่ยวแรง
จะจากจรขอศิษย์เร่งตนเถิด ขอมั่นคงขอสามัคคีให้มากมาก
ข้าอาลัยเหลือแสนมิอยากจาก ขอศิษย์รักทุกคนถนอมตน
กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แล้วจากลาศิษย์รัก จงหมั่นเพียร
ฮา ฮา ถอย
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537
วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537
2537-11-05 พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
PDF 2537-11-05-เจิ้งซิน #11.pdf
วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗ พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
วันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗ พุทธสถานเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ผู้บำเพ็ญมิกลัวการทดสอบ อุปสรรคลอบตรวจตราผู้เผลอไผล
ปฏิทินหมุนเวียนกังขาใจ เมธีท่านประโยชน์ไรในชีพคง
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน เคียมคัล
องค์มารดาถามเมธีน้องพี่เกษมฤๅ
ขอทุนคนจิตสงบตั้งใจฟัง
ฮวา ฮวา
นิศาชลเหือดแห้งยามเหน็บหนาว ประกายพราวสะท้อนแดดท่านหลงใหล
ปัจจุบันในโลกที่วุ่นวาย ดั่งฝันร้ายเนิ่นนานไม่รู้เลย
ต้องบำเพ็ญท้ายนอนหลับในปฐพี แต่จากนี้จะต่อไปยังทางไหน
ต้องบากบั่นเพื่อมรรคผลที่อำไพ ด้วยล้างใจชำระกิเลสมิเนื่องไป
ในสองวันจงรวมใจให้เป็นหนึ่ง ศึกษาถึงแก่นธรรมเร่งศึกษา
เก้าอี้พุทธาใช่ง่ายด้วยเกณฑ์ฟ้า โปรดสามภูมิเกี่ยวข้องโปรดพุทธญาณ
ในสามกาลปัญญาได้ตัดสิน ใดคือถิ่นฐานทองกลางจิตแก้ว
หากสัมฤทธิ์ศรัทธามิคลาดแคล้ว พี่บอกน้องจงแน่แน่วหมั่นเพียรเทอญ
ในสองวันจงงดเว้นบาปกระทำ ด้วยหนี้กรรมจดจ้องน้องมิเห็น
อย่าปล่อยมารมาดึงเดินยากเย็น ให้เร่งเว้นมุทินขาดหายกัน
จงหมั่นเพียรอดทนอีกขยัน ในใจนั้นอย่าเกิดจิตสงสัย
ในใจนั้นแกร่งด้วยศรัทธาไว้ แม้ยังใหม่แต่เสมอด้วยพุทธญาณ
ศิษย์พี่คอยควบคุมจงระวัง พุทธระเบียบการนั่งเดินอย่าประมาท
ด้วยเพื่อตนบรรพชนมารอคอย จงอย่าพลาดได้ตกลงด้วยมิสงบใจ
ฮวา ฮวา
หยุด
วันเสาร์ที่
๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
พระโอวาทท่านแปดเซียน หันเซียงจื่อเมตตา
ขัดเกลาจิตใช้วาจารื่นไพเราะ รู้พอเหมาะผู้รับได้ล้วนยินดี
ความเคยชินเร่งขจัดมิรอรี ฝึกเมธีวาจาล้วนพิจารณา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบกตัญชลี
องค์มารดาถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
รู้ชีวิตควรดำเนินหนึ่งจุดหมาย หนึ่งจิตคล้ายนภาส่องประภัสสร
ครองกรัชกายบำเพ็ญอย่างชโลทร หวนจิตย้อนส่องตนในประตู
บำเพ็ญตนดั่งอุบลแม้อยู่ในคู อวเคราะห์รู้คือบทเรียนสอนใจตน
กิเลสมากล้นที่รูปลักษณ์ให้สับสน ยึดมั่นตนผู้สร้างใช่ทำลาย
หนึ่งจิตหมายบำเพ็ญคืนต้นธาร อย่ารอนราญรุ่มร้อนในห้วงทุกข์
ตื่นจากฝันให้ตนในตนปลุก แล้วเร่งรุดคืนสมบัติแท้ในตน
ฮา ฮา
หยุด
เวลาผ่านไป ล้วนต้องเจอหลากรอยเปื้อนตน
บนดวงจิตใสเพิ่มพูนมาบดบังแท้จริง
ครั้นเผชิญทุกข์สุข
กลับดำเนินยากเย็น ไร้แนว
* จิตไม่เคยขุ่น ขุ่นหมองใคร่ครวญ สิ่งใดร้ายบ่มเพาะเป็นเพียง
ชั่วคราว หมั่นล้างความขุ่นแห่งภาพมายา เพื่อคืนหน้าสดใสความทุกข์ใดใดจางไป หากแต่เพียงมิท้อไป พ้นไกลจากหมองมัว
ชั่วคราว หมั่นล้างความขุ่นแห่งภาพมายา เพื่อคืนหน้าสดใสความทุกข์ใดใดจางไป หากแต่เพียงมิท้อไป พ้นไกลจากหมองมัว
เพียงมีจุดหมาย ยั้งใคร่ครวญเปิดใจสำคัญ ทางมุ่งหลุดพ้น หวังทุ่มเทช่วยชนหวนใจ หนทางดูกว้างใหญ่ หากเริ่มเพียงน้อมก้าวเดิน(ซ้ำ*)
รู้ทางแท้ขอมิอ่อนล้า ก้าวไปสว่าง
แม้ชีวิตสรรหาไขว่คว้าพาสับสนใจ
มั่นในหลักธรรมพิทักษ์สติไว้
เผยดวงจิตพร้อมจะประคอง
หลีกเร้นพลั้งหมู่มารวกวนทุกข์ร้าวราญ (ซ้ำ *,*)
เพลง
: ไม่เผลอใจ
ทำนองเพลง
: ฟ้า ดอกไม้และเธอ
พระโอวาทท่านแปดเซียน
หันเซียงจื่อเมตตา
การเป็นผู้บำเพ็ญธรรมะนั้น
สิ่งแรกที่ทุกคนต้องเรียนรู้ก็คือการกล่าววาจา
ถ้าเราขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมจะต้องสำรวมวาจา ไม่ใช่นึกจะพูดอะไรก็พูด โดยไม่ได้พินิจพิจารณาไตร่ตรองก่อน
ไม่ได้ใคร่ครวญว่าผู้รับฟังจะรู้สึกอย่างไร คำพูดนั้นมีทั้งไพเราะรื่นหูและก็มีติฉินนินทา
คำไพเราะหรือคำติฉินนินทาอะไรล่ะที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งไหนที่เป็นสิ่งที่เท็จจริง เราจะต้องพิจารณาว่าขณะที่เขาพูดนั้นจิตใจของเขามีความหวังดีที่จะพูดเพื่อจะให้เรารับรู้สิ่งที่ดีหรือว่าเขาต้องการพูดเพื่อให้เรารู้ว่าเราควรจะปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง การฟังคำพูดของแต่ละคน ขอให้มองเขาในแง่ดีเสียก่อน อย่าเพิ่งคิดหรือมองเขาในแง่ร้าย
ตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าชีวิตที่เราดำเนินอยู่นั้น สิ่งใดที่ต้องรับรู้ รับผิดชอบ จุดหมายของทุก ๆ คนนั้นอาจจะแตกต่างกันไป ตอนนี้ได้รับรู้จุดหมายของตัวเอง
ขอให้นึกดูว่าจุดหมายนั้นไม่มีใครสามารถกำหนดให้เราได้ อยู่ที่จิตใจของตัวเราว่าเรามีความตั้งใจ มีจุดมุ่งหมายที่จะทำสิ่งใด ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างไม่มีลู่ทาง
ไม่มีจุดมุ่งหมาย
ชีวิตดำเนินไปเราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นทำไปเพื่ออะไร
มุ่งหวังสิ่งใด
ตอนนี้ได้มีโอกาสมารับฟังธรรมะต้องรู้ว่าจุดมุ่งหมายที่เราฟังธรรมะเพื่ออะไร เมื่อรู้จุดมุ่งหมายแล้ว
ดวงจิตที่เคยมีอยู่หนึ่งเดียวก็จะเป็นได้ดั่งท้องฟ้าเบื้องบนที่ไร้พันธนาการ ถ้าจิตเราประคองได้เป็นหนึ่งเดียวไร้พันธนาการแล้ว ก็จะรู้สึกสบายไม่มีทุกข์กังวล และถ้าเมื่อไหร่ที่เมธีทุกท่านเกิดความรู้สึกวิตกกังวล จิตใจของเมธีจะเปรียบได้กับฟ้าที่สดใสไหม
(ไม่ได้) จิตใจตอนนั้นก็คงเปรียบได้กับฟ้าที่มีเมฆครึ้มมาบดบังนั่นเองใช่ไหม (ใช่)
"ครองกรัชกายบำเพ็ญอย่างชโลทร" ชโลทรนี้ก็เปรียบได้กับน้ำ ถ้าทุกคนปฏิบัติบำเพ็ญได้อย่างน้ำซึ่งมีคุณประโยชน์กับทุก
ๆ คนและสรรพสิ่ง
น้ำนั้นอุทิศตนเพื่อหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง
ถ้าทุกคนสามารถประคองจิตหนึ่งเดียวได้และยึดร่างกายนี้บำเพ็ญอย่างน้ำ อุทิศตนยินดีสละตนช่วยเหลือสรรพสิ่ง
สรรพสิ่งในที่นี้ที่เราสามารถช่วยได้ก็คือเพื่อนมนุษย์ทุกคน เรายินดีสละตัวช่วยเขาโดยไม่หวังผลตอบแทน
และการที่จะช่วยผู้อื่นนั้นต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน
เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนของน้ำจึงทำให้สามารถไหลไปได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าที่นั้นจะคดเคี้ยว มีหินหรือมีสิ่งต่าง ๆ
มากมาย น้ำนั้นก็ยังสามารถไหลไปได้ แต่ถ้าน้ำนั้นกลายเป็นน้ำแข็งจะยังสามารถไหลไปยังที่ต่าง
ๆ ได้ไหม (ไม่ได้)
ถ้าน้ำกลายเป็นน้ำแข็งเมื่อเจอของแข็งเหมือนกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นคืออะไร ถ้ากระทบแรงก็เกิดการแตกหักได้ใช่ไหม
(ใช่) ไม่ว่าแรงหรือเบาก็เกิดการกระทบกระทั่งได้ แต่ถ้าเราเป็นดั่งน้ำที่อ่อนโยน การกระทบกระทั่งก็จะไม่รุนแรง เพราะเรารู้จักยอมรู้จักอ่อนน้อม ในที่ ๆ
ต่ำเราสามารถยินดียินยอมพร้อมกันไป ที่ ๆ
ไม่มีใครคนไหนอยากไปแล้วเราตั้งใจไปก็เป็นการช่วยเหลือผู้คนโดยไม่คิดเกี่ยงงอนโดยไม่ยึดติดกับสิ่งใดใช่ไหม
(ใช่)
"หวนจิตย้อนส่องตนในประตู" จริง ๆ แล้วพระอาทิตย์มีความร้อนมหาศาล
แต่เวลาที่ส่องลงมายังโลกมนุษย์นั้นเกิดความร้อนเพียงเล็กน้อยเพราะว่าต้องผ่านชั้นบรรยากาศต่าง
ๆ
ถ้าหากเรานำแสงอาทิตย์นี้มารวมกันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แสงนั้นจะทำให้เกิดประกายไฟอันลุกโชนได้ เปรียบเหมือนกับจิตใจของทุก ๆ
คนถ้าฟุ้งซ่านกระจัดกระจาย
ขณะนั่งฟังธรรมะแต่จิตใจคิดไปโน่นคิดไปนี่ไม่ได้รวมอยู่ที่ประตูแห่งจิตญาณ จิตของทุก ๆ คนก็ไม่สามารถที่จะแรงกล้าได้ ไม่สามารถที่รับฟังธรรมะได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
ฉะนั้นเมื่อพอเข้าใจบ้างแล้วจะต้องมีจิตใจที่มีลักษณะอย่างไร
(เปรียบเป็นเช่นน้ำ) เปรียบเป็นเช่นน้ำแล้วรวมจิตเป็นหนึ่งใช่ไหม (ใช่)
ฟังแล้วต้องคิดตาม คิดแล้วไตร่ตรอง ไตร่ตรองแล้วปฏิบัติ
"บำเพ็ญตนดั่งอุบลแม้อยู่ในคู"
คูน้ำนั้นต้องมีคราบสกปรกใช่ไหม
แต่ทำไมดอกบัวที่เติบโตในคูจึงไม่มีคราบสกปรกเกาะอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าดอกบัวไม่หมกมุ่นอยู่ในโคลนตม
ถึงแม้ว่าโคลนตมนั้นจะสกปรกสกเพียงไรก็ไม่สามารถทำให้ดอกบัวเปรอะเปื้อนไปได้
เปรียบเหมือนกับคนที่ได้ตื่นในสัจธรรมแล้วรู้จักบำเพ็ญให้หลุดพ้นจากกองกิเลสนั่นเอง
"อวเคราะห์รู้คือบทเรียนสอนใจตน กิเลสมากล้นที่รูปลักษณ์ให้สับสน" อวเคราะห์นี้ก็คือความทุกข์ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เกิดจากเรายึดรูปลักษณ์ใช่ไหม (ใช่)
รูปลักษณ์เกิดขึ้นมาได้จากไหน (ประสาทสัมผัสทั้ง ๕) เกิดจากอายตนะใช่ไหม
อายตนะคือหน้าต่างแห่งการรับรู้โดยมีจิตใจเป็นตัวควบคุม จริง ๆ แล้วอุปสรรคนั้นเกิดจากการมองนอก พอเข้าใจไหมว่าการมองนอกมองอย่างไร
การมองนอกก็คือมองออกทุก ๆ ครั้งที่มีเรื่องก็มองออก แต่ไม่ได้ย้อนกลับมองภายในจิตตน เรามองออกในที่นี้ก็คือมองออกไปในโลกภายนอก
ในมายา ที่ทุกคนคิดว่าสามารถจะแก้ปัญหาได้
สามารถจะดับเคราะห์ได้ ดับอุปสรรคได้
แต่จริง ๆ แล้วอุปสรรคและเคราะห์ต่าง ๆ เกิดจากไหน (เกิดจากจิตใจของเรา
ทำให้เกิดอุปสรรค)
"ยึดมั่นตนผู้สร้างใช่ทำลาย"
ตัวเรานั้นกระทำได้อยู่สองอย่างคือ
เป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย
การจะเป็นผู้สร้างได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับจิตใจอีกเช่นกัน
จิตใจของทุกคนถ้าใสบริสุทธิ์ความคิดก็โลดแล่น แต่ถ้าวุ่นวายสับสนความคิดก็หมองมัว ฉะนั้นทุกคนอยากเป็นผู้สร้างสรรค์หรือเป็นผู้ทำลายสิ่งดีงาม
เป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งดีงามจะต้องประคองจิตให้เป็นอย่างไร
(มั่นคงในคุณความดีมีธรรมะในจิตใจ)
ถ้ามั่นคงในคุณธรรมความดีก็จะมีธรรมะอยู่ในจิตใจ
แต่มั่นคงแล้วต้องรู้ด้วยว่าจะต้องไม่ยึดติด มั่นคงก็คือเที่ยงตรงในจิตใจไม่ใช่ยึดมั่น
"หนึ่งจิตหมายบำเพ็ญคืนต้นธาร อย่ารอนราญรุ่มร้อนในห้วงทุกข์" บำเพ็ญคืนต้นธารก็คือกลับคืนบ้านเดิมนั่นเอง
"ตื่นจากฝันให้ตนในตนปลุก"
ทุกคนเวลาหลับนอนบางทีตั้งนาฬิกาปลุกหรือเรียกให้คนอื่นปลุก ถ้าจิตใจเราไม่อยากลุกไม่ว่าอะไรจะมาเรียกกายเราก็ลุกขึ้นไม่ได้
การมาศึกษาธรรมก็เพียงให้รู้ว่ามีวิถีทางที่จะปลุกตนเอง
แต่วิถีทางนั้นก็อยู่ที่ว่าเมธีทุกท่านพร้อมที่จะลุกขึ้นหรือเปล่าด้วย ที่นี่เป็นเหมือนเรือธรรมที่คอยฉุดช่วยคน
เรือจะแล่นได้ต้องประกอบไปด้วยผู้ที่คอยควบคุมดูแลเรือและผู้ที่คอยช่วยเหลือในการพายเรือใช่ไหม
(ใช่)
แล้วเราอยากเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ที่อยู่ในเรือด้วยหรือเปล่า (อยาก)
เมื่ออยากเป็นก็เรียกว่าเริ่มมีจิตใจที่รู้สึกปลุกตัวเองขึ้นมาแล้ว
ตอนนี้เราก็เพียงบอกให้ทุกท่านรู้จักปลุกตนเอง แต่จะลุกขึ้นหรือเปล่าก็อยู่ที่ทุก ๆ คนแล้วนะ
"แล้วเร่งรุดคืนสมบัติแท้ในตน"
กายนี้ให้ยึดเพื่อใช้บำเพ็ญแต่จริง ๆ
แล้วสมบัติที่เที่ยงแท้ที่ให้เราใช้บำเพ็ญนั่นคือส่วนไหน (จิตใจ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้นักเรียนผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมตั้งชื่อเพลงซึ่งได้ชื่อว่า
"ไม่เผลอใจ") การที่เรายืมทำนองเพลงในโลกมนุษย์ก็เพื่อให้ทุกคนได้กลับไปฝึกหัดและศึกษาเพลงธรรมได้ เรามีเวลาสอนไม่มาก อยู่ที่ท่านจะนำไปศึกษาหรือไม่
วันนี้ศึกษาอะไรไปก็ขอให้ทบทวนให้ดี ๆ
หลักธรรมมีมากมายก็ไม่สามารถสู้หนึ่งคำที่ว่า "รู้แจ้งหลุดพ้น" หรอกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๖
พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
ชะเง้อมองจับต้องมิใช่ของเรา อย่ามัวเมางมงายให้โศกศัลย์
พิจารณาไตร่ตรองแล้วเร่งหมั่น สิ่งอนันต์จะไม่ยากเกินพยายาม
เราคือ
พระอรหันต์จี้กงวิปลาสรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาแฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาผู้เมตตาถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า
อย่าดูถูกตนเองให้ลำเค็ญ ศิษย์น้อยเป็นหยดน้ำเปี่ยมพลัง
ศิษย์บำเพ็ญเทียมเท่าคู่ควรกำลัง น้อยไม่ต่างคือน้ำสภาวะเดียว
อ่อนน้อมลงปฏิบัติออกจากใจ ท้นอัตตารินไหลจึงอยากช่วย
เฉกจมน้ำมหาสมุทรท่วมตนด้วย เสื่อมไม่ซายิ่งพวยพุ่งพิจารณา
ศิษย์ต่อสู้ฤดีด้วยบากบั่นสำเร็จ คล้ายเร่งสลัดเมล็ดแห่งมุทินแพร่
เวลานานแรมสมานมิหลงแน่ แน่วโพ้นเคลื่อนเสมือนปลงเมื่อมนสิการ
ทางเส้นหนึ่งสร้างแน่สราญมุ่ง หมายหลุดปมพร้อมผดุงธรรมเอื้อเฟื้อ
คลายเชือกออกทิ้งผิดถลำเมื่อ พรัดเพื่อรู้ตรีสัตย์เจริญไกล
ในแววตาขังจิตธรรมไม่ส่อง แก้วจิตครองด้วยทรมานอาจารย์ไข
กระจ่างธรรมวันนี้ไม่หวั่นประกาย แฝงม่านทึบภายในมั่นพุทธญาณ
ทุกช่วงจิตกระทำตนดีเจิดจ้า สิงขรกลางคือทิพากรอันเรืองไสว
อรุโณทัยศิษย์รักเริ่มลงมือไว ลงแรงใจสำเร็จได้นานับประการ
ฮา ฮา
หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา
หลาย ๆ คนในที่นี้ยังมีพ่อแม่อยู่
ความกตัญญูที่พูดถึงนั้นแม้ว่าจะพูดจบไปแล้ว แต่ว่าเราจะต้องกระทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเป็นเรื่องไม่รู้จบใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น เราเองมีลูกถ้าลูกไม่กตัญญูต่อเรา เราจะมีความสุขหรือเปล่า (ไม่มี) ฉะนั้นตอนนี้ใครที่ยังมีพ่อแม่อยู่ก็ต้องรู้จักกตัญญูเข้าใจไหม
(เข้าใจ) ถ้ามีเพียงแต่ความเสียใจในวันนี้ไม่มีประโยชน์หรอกนะ
คนที่มีอายุมากอยู่บ้าน อยากจะให้ลูกหลานกตัญญูต้องทำอย่างไร สมมติว่าเราอยู่บ้านเอาแต่บ่นว่าเขา เขาจะเชื่อฟังเราไหม แต่ถ้าเราตามใจเขาหมดแล้วเขาเสียคนไป
เขาก็จะว่าเราได้เช่นกัน อย่างนี้ต้องรู้จักพอเหมาะพอควรในการตักเตือนใช่ไหม
"ศิษย์น้อยเป็นหยดน้ำเปี่ยมพลัง"
หยดน้ำก็เป็นเพียงน้ำที่มีขนาดเล็กมาก
หยดน้ำที่เปี่ยมพลังเป็นอย่างไร
น้ำในมหาสมุทรประกอบด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นแล้วถ้าที่นี่สามัคคีกันที่นี่ก็สำเร็จได้
แล้วความสำเร็จนั้นจะยิ่งใหญ่กว่านี้ได้หรือเปล่า (ได้)
คนที่ตอบว่าได้และเป็นคนที่อยู่ที่นี่ต่อไปก็ต้องทำให้ได้จริง ๆ พระพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่มีสัจจะ ศิษย์รักของอาจารย์ก็ต้องมีสัจจะ ถ้ามีสัจจะแล้วทุก ๆ อย่างก็สัมฤทธิ์ผล
"ศิษย์บำเพ็ญเทียมเท่าคู่ควรกำลัง
น้อยไม่ต่างคือน้ำสภาวะเดียว"
ศิษย์รักบางคนบอกว่าตัวเองไม่มีความรู้และมีฐานะต่ำต้อย แต่ที่จริงแล้วน้ำหยดเล็กหรือหยดใหญ่
น้ำในแก้วหรือน้ำอะไรก็เป็นน้ำที่มีพลังได้ใช่ไหม
เพียงแต่ว่าขอให้ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนบำเพ็ญเท่ากับกำลังของตัวเองที่มีอยู่
คนที่มีกำลังมากก็ต้องจุนเจือคนที่มีกำลังน้อย
คนที่มีกำลังน้อยก็ทำเท่ากับความสามารถของตนเอง แต่ถ้าหากเรากลัว ไม่ลงมือเลยสักนิดเดียวก็จะไม่มีอะไรเลยใช่ไหม
(ใช่) ไม่มีอะไรในที่นี้คือไม่มีมรรคผลเลยนะ
ถึงแม้ว่าศิษย์จะไม่หวังว่าชาตินี้จะเกิดอะไรขึ้น ชาตินี้จะมีมรรคผลอย่างไร
หรือว่าชาตินี้จะชำระหนี้กรรมได้มากเท่าไหร่ แต่ศิษย์รักทุกคนก็ควรที่จะออกแรงบ้างเข้าใจไหม
ทำไมอาจารย์จึงต้องบอกว่า ให้อ่อนน้อมลง
เพราะว่าการที่เราจะบำเพ็ญธรรมหรือทำงานธรรมะสักอย่างหนึ่งแต่อัตตาตัวตนอยู่เต็มไปหมด
คำว่าอัตตานั้นถ้าเกิดเรายึดติดกับมันเราก็คงเหมือนกับคนที่จมอยู่ในมหาสมุทร ช่วยตนเองและคนอื่นไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถที่จะให้ความอ่อนน้อมอย่างจริงใจแล้วเราก็จะไม่มีความสุข สมมติว่าเราอยู่บ้านเป็นคนที่
ยิ่งใหญ่ มาถึงนี่เขาให้เราไปขัดห้องน้ำ ถ้าเราตัดอัตตาตัวตนนี้ทิ้ง เราก็คงไม่ใช่คนที่จมอยู่ในมหาสมุทรใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเราอยู่บ้านเป็นคนที่ต้องขัดห้องน้ำมาถึงที่นี่เขาให้ขึ้นมาบรรยายธรรม เราก็ต้องรู้ว่าห้ามหยิ่ง ห้ามผยองเข้าใจไหม ถึงแม้ว่าเราจะต่างชนชั้น ต่างหน้าที่ แต่ศิษย์ทุกคนก็เป็นหยดน้ำของอาจารย์ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอาจารย์ไม่มีหยดน้ำหยดนี้หล่อเลี้ยงจิตใจ อาจารย์ก็อยู่ไม่ได้ ภาระของอาจารย์ก็คงไม่สำเร็จ
ยิ่งใหญ่ มาถึงนี่เขาให้เราไปขัดห้องน้ำ ถ้าเราตัดอัตตาตัวตนนี้ทิ้ง เราก็คงไม่ใช่คนที่จมอยู่ในมหาสมุทรใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเราอยู่บ้านเป็นคนที่ต้องขัดห้องน้ำมาถึงที่นี่เขาให้ขึ้นมาบรรยายธรรม เราก็ต้องรู้ว่าห้ามหยิ่ง ห้ามผยองเข้าใจไหม ถึงแม้ว่าเราจะต่างชนชั้น ต่างหน้าที่ แต่ศิษย์ทุกคนก็เป็นหยดน้ำของอาจารย์ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอาจารย์ไม่มีหยดน้ำหยดนี้หล่อเลี้ยงจิตใจ อาจารย์ก็อยู่ไม่ได้ ภาระของอาจารย์ก็คงไม่สำเร็จ
จงพิจารณาว่าสองวันที่เรามามีประโยชน์อย่างไรไหม
สองวันนี้เห็นความจริงใจของคนที่มาช่วยงานหรือเปล่า ศิษย์รักของอาจารย์ลองตรองดูว่า การที่เขาเสียสละมามากมายขนาดนี้เพื่ออะไรรู้หรือเปล่า
เห็นความจริงใจของเขาที่เสียสละตัวเองมาเพื่อให้เราเข้าใจ
แล้วคิดว่าเป็นความจริงใจที่เพียงพอหรือเปล่า ถ้าเพียงพอแล้วต่อไปเราควรจะทำอย่างไร
อาจารย์จะบอกให้นะ
สิ่งที่เราควรจะทำก่อนก็คือตั้งใจศึกษา พิจารณาดูว่าที่เราจะยึดถือต่อไปนี้นั้นเราพอใจหรือเปล่า และช่วยเราได้จริง ๆ หรือเปล่า อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์งมงาย
แต่อาจารย์กล้าบอกว่าให้ศิษย์ทุกคนลองตั้งใจศึกษาดูนะ
อาจารย์อาวุโสที่มาที่นี่ก็ไม่ได้มาหลอกเอาเงินทองของเรา เมื่อรู้อย่างนี้แล้วควรตั้งใจศึกษา ถ้าคิดว่าดีขอให้ศิษย์พยายามเวลาไม่รอศิษย์นะเข้าใจหรือเปล่า
(เข้าใจ)
"คล้ายเร่งสลัดเมล็ดแห่งมุทินแพร่"
ถ้าหากศิษย์บากบั่นให้สำเร็จแล้ว
เมล็ดแห่งมุทินก็คือเมล็ดแห่งตัณหากิเลสต่าง ๆ
ก็คงไม่แพร่ไปทำให้ศิษย์หลงใช่ไหม
แล้วศิษย์ลองพิจารณาดูว่าตอนนี้เมล็ดมุทินชนิดไหนบ้างที่อยู่ในตัวศิษย์ก็ขอให้เร่งสลัดทิ้ง ถึงแม้มันจะออกต้น ออกดอกและออกผลแล้ว เราก็ต้องขุดมันทิ้ง ยิ่งนานวันเมล็ดพันธุ์แห่งมุทินก็ยิ่งแพร่ไป ขอเพียงความตั้งใจจริงก็จะสามารถขจัดมันทิ้งได้
บนนิพพานจะว่าสุขก็ไม่สุข จะว่าทุกข์ก็ไม่ทุกข์ เพียงแต่ว่าไม่ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิด มารับเคราะห์กรรม อยากไปไหม (อยาก)
อยากไปแต่ไม่อยากตาย
ถ้ายังไม่อยากตายอีกร้อยปีถ้าไม่ตาย อยากไปแต่ไปไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร ตอนนั้นจะกลัวไหม
ตอนนี้ยังไม่ตายก็ต้องบำเพ็ญสะสมบุญกุศลใช่ไหม ถ้าหากอยากไปแล้วไปไม่ได้
อยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้ ตอนนั้นศิษย์จะทุกข์ทรมานแค่ไหน
วันนี้นักเรียนน้อยอาจารย์จะแจกผลไม้ให้ครบทุกคน
ผลไม้นี้เปรียบเสมือนมรรคผลที่ศิษย์จะได้รับ
แต่ว่าศิษย์จะได้รับหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวของศิษย์เองว่าได้พยายามบากบั่นมากแค่ไหน
ถ้าทุกคนเข้าใจธรรมะแล้วต่อไปนี้ก็ต้องลงมือลงแรงปฏิบัติ แล้วมรรคผลก็จะเป็นของเรา การที่จะพายเรือธรรมลำนี้ ก็ต้องอาศัยความสามัคคี ความบากบั่น การที่จะให้สัมฤทธิ์ผลก็ต้องสามัคคีกัน คนที่ลงแรงก็ลงแรงไปมากมาย คนที่ไม่ลงแรงก็เพราะกลัวลำบาก
ถ้าเราลงแรงเราก็จะเข้าใจในธรรมะ
ถ้าต่อแต่นี้ตั้งใจในการฉุดช่วยคนและส่งเสริมคน งานประชุมธรรมก็จะมีความหมายเข้าใจไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ดูแลสถานธรรมออกมา)
คนที่ดูแลที่นี่อาจารย์เองไม่ได้ตำหนิศิษย์ที่ทำแล้วเป็นอย่างนี้
ถึงแม้ว่าจะลงแรงเพียงคนกลุ่มเดียวและขึ้นมาได้เท่านี้ แต่ถ้าเรานำพาคนไปเรื่อย ๆ
ก็จะขึ้นมาได้มากกว่านี้ จะต้องตามอาจารย์ผู้เป็นผู้นำ เชื่อฟังเขา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
ส่งเสริมคนให้ดี
คนที่อยู่ที่นี่สำคัญยิ่งกว่าอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม เพราะว่าคนที่อยู่ที่นี่เท่านั้นจึงจะสามารถลงแรงได้เต็มที่
นักเรียนที่นี่ทุกคนเห็นความจริงใจของเขาหรือเปล่า แล้วต่อไปนี้จะเต็มใจช่วยเขาหรือเปล่า (ช่วย)
ถึงแม้ว่าตอนนี้ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะออกมาช่วยได้หรือเปล่า ขอเพียงแต่ค่อย ๆ ที่จะช่วยเขา ตอนนี้ไม่เข้าใจไม่เป็นไรค่อย ๆ ศึกษา
พวกเขานั้นล้วนเต็มใจที่จะลงแรงให้ศิษย์รักทุกคนเข้าใจแน่นอน แต่ถ้าหากว่าการลงแรงหลังจากวันนี้ไปแล้ว ไม่มีผลคืบหน้าแล้วล่ะก็ถือว่าแรงที่เขาลงไปสูญเปล่านะ และเขาจะเสียใจยิ่งกว่านี้แน่นอน เข้าใจไหม
(เข้าใจ) ผู้ชายถึงแม้มีน้อยก็ต้องร่วมมือสามัคคีกัน เข้าใจหรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
"ลงมือ" "สำเร็จ") วันนี้ที่อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์รักออกมาวงพระโอวาทเพราะเห็นว่าศิษย์รักอายุมากแล้วออกมาไม่สะดวก ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญ
เวลาผ่านไปร่างกายของเราย่อมล้าลงก็เป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญเหมือนกัน
ถ้าศิษย์ลงมือเมื่อไหร่ก็จะสำเร็จ
เมื่ออาจารย์ไปแล้วก็อธิบายโอวาทให้นักเรียนฟังด้วย อาจารย์มีเวลาน้อยที่มาพบศิษย์รัก กายเนื้อนี้ไม่ใช่ของอาจารย์ อาจารย์ไม่สามารถอยู่นานได้ พูดอะไรก็พูดไม่ออกทุก ๆ อย่างล้วนอยู่ในใจ คนที่เข้าใจก็มีน้อย
หลังจากวันนี้ไปแล้วขอให้หมั่นมาที่สถานธรรม คนที่รับผิดชอบก็รับผิดชอบให้ดี ๆ คนที่ไม่เข้าใจขอให้เร่งศึกษา
คนที่ลังเลก็ให้ตัดความลังเลทิ้งไปจะได้บำเพ็ญธรรมอย่างมีความสุข
อายุแม้จะต่างกันแต่การบำเพ็ญธรรมไม่สำคัญเรื่องอายุ
อาจารย์ขอบคุณศิษย์รักทุกคนที่ได้เสียสละเวลามาในวันนี้ อาจารย์ลาก่อนนะ
อธิบายศัพท์
กรัชกายร่างกาย
ชโลทรแม่น้ำ , ทะเล , ห้วงน้ำ , ท้องน้ำ
อวเคราะห์ อุปสรรค , เครื่องกีดขวาง , ความเหนี่ยวรั้ง
มนสิการการกำหนดไว้ในใจ
พรัดพรากออกจากกัน
ตรีสัตย์ความจริง ๓ ประการ คือ
คิดจริง พูดจริง ทำจริง
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.