วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2537

2537-07-30 พุทธสถานเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์



PDF 2537-07-30-เซิ่งเต๋อ #7.pdf

วันเสาร์ที่ ๓๐ กรกฏาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗    พุทธสถานเซิ่งเต๋อ อ.ปราณบุรี

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

องค์ประธานกลางเที่ยงแฝงในตน     คุมสอบชนผู้บำเพ็ญจิตจริงใส

สามปัจจัยก้าวเดินหน้าระวังใจ           ภูมิภพเก็บรวมหนึ่งได้ยุคสามเดียว

                เราคือ

                องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ            รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา  ลงสู่พุทธสถาน      เคียมคัล

องค์มารดา        ถามศิษย์น้องทุกท่านเกษมฤๅ

                ขอทุกคนจิตสงบรอฟังคำ     ฮวา   ฮวา

สะเทือนทั้งฟ้าดินแลมนุษย์  ช่วยกันฉุดเหล่าเวไนยสู่สว่าง

คุณธรรมตามครรลองจิตคล้องงาม     เร่งปราบปรามเหล่ามิจฉากระเจิงไป

จิตมนุษย์เร่งใคร่ครวญให้ดีดี                ในชาตินี้จะต้องทุกข์อีกเท่าไหร่

ทุกภพชาติก่อเกิดกำเนิดไป จะมีใครเข้าใจแท้สัจธรรม

พุทธจิตประภัสสรด้วยกลางเที่ยง        จงบ่มเลี้ยงพุทธรรมในตนหนา

หากพลาดพลั้งศิษย์น้องเร่งพิจารณา จะรู้ว่าแก้ไขตนมิสายเกิน

ขอวันนี้เปลี่ยนตนเป็นคนใหม่              สมตั้งใจปรารถนาเมธีผอง

เหล่ากิเลสที่ยังคงสุมก่ายกอง             ขอจงตรองปัดธุลีให้สิ้นลง

มนุษย์นี้ดีชั่วทางก้าวเดิน      ต้องเผชิญเหล่ามลทินที่ขุ่นข้อง

ต้องพิชิตเหล่าอารมณ์ให้จิตผ่อง         ฐานบัวรองส่องกลางน้ำบริสุทธิ์จริง

ประชุมธรรมสองวันค่าล้ำเลิศ              ขอจิตประเสริฐรู้ศึกษาทางสดใส

อย่าได้มีกังขาทิ่มแทงใจ        อย่าได้ให้เหล่ามารร้ายมาล่อลวง

ต่อแต่นี้สำนึกตนให้ดีดี          ว่าชาตินี้ผิดพลั้งไปเท่าไรหนอ

จะบำเพ็ญใช้หนี้กรรมให้เพียงพอ        แลจะรอถึงวันนั้นได้กลับคืน

เรามิขอกล่าวความให้มากไป              ขอศิษย์น้องรักษาระเบียบไว้ให้จงดี

หยุดพู่กันยืนคุมชั้นจดบัญชี

ฮวา  ฮวา  หยุด


                วันเสาร์ที่  ๓๐  กรกฏาคม  พุทธศักราช  ๒๕๓๗

                พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่เมตตา               

จิตรารจิสโพลงแจ้งกลางฤทัย              ธีระใจรสพระธรรมแยบยลซึ้ง

เปิดใจออกพบพุทธะประทับตรึง         ทึ่งตนพึงเสริมธิติมุ่งงานธรรม

                เราคือ

                หนึ่งในแปดเซียน  หลี่เถียไกว่          รับบัญชาจาก

องค์ชคัตตรยาพดงส์ผู้เมตตา            แฝงกายกตัญชลี

องค์มารดาแล้ว    ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ

หญ้าลู่ลมอ่อนน้อมตามประสงค์         เพื่อดำรงตนนานยืนกล้าหาญ

ฟ้าประทานด้วยอสุนีเสียงได้รอนราญ               เหล่าเล่ห์พฤติการณ์เพียงเชื่อมกำแพงลวง

ความยึดมั่นกลางใจอยู่สถิต                ปิดกั้นจิตสว่างต่างหลงบ่วง

กรรมก่อเกิดสร้างตนถลำลวง              วัฏฏะห้วงหากมิหลุดทุกข์ทรมาน

ประจักษ์ตาสิ่งไร้ทั่วภาพสมมติ            นลินบัวหลวงผุดยุคขาวปรก

คุมอายตนะปลุกพลังถอนหญ้ารก      สงบสุขแปรโลกเปี่ยมแก่นธรรม

ฮา  ฮา  หยุด







*           คนเดินดินทุกคน  พบพานหลากหลายเรื่องราว  เศร้าแลสุขผสานมากมายปะปน  หากเจอเพียงเรื่องราว  สมดังใจปองทุกคน  มนุษย์คง
ยังหลงไม่มีวันตื่น

**          เป็นคนแม้ต้องเผชิญ  สบทุกข์นานาให้หวั่น  แม้คร้ามครันแต่หลง 
ไม่ยอมตื่นพ้น  ว่าสิ่งเหล่านี้ดั่งเครื่องเตือน  จุดประกายใจหวนคืนตน 
พบความจริงคือว่างเปล่า

            หากมีใจมั่นคง  ไม่เกรงลมพายุปวง  โลกแลธรรมระสานร่วมกัน
ก้าวไป  เผชิญการณ์ร้ายฤๅ  พบความรุ่งเรืองเท่าใด  โลกแลธรรมประสานร่วมกันดังเก่า  (ซ้ำ  *,**)

            จิตตนได้ฟูฟื้นเห็นจริงว่างเปล่า  จิตตนได้ฟูฟื้นเห็นจริงว่าเปล่า 
จิตดวงเก่าที่แท้สว่างไม่สูญ

เพลง : แสงสว่างแห่งสัจธรรม

ทำนองเพลง : หมดคำถาม


พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่เมตตา

            จิตรารจิสแปลว่าอะไร (พระอาทิตย์)  พระอาทิตย์โพลงแจ้งกลาง
จิตใจ  ธีระใจก็คือจิตของเมธีทุก ๆ ท่าน  แล้วคำว่าธิติแปลว่าอะไร
(ความทรงจำ ความมั่นคง ปัญญา)  กลอนนำบทนี้มีใครอธิบายได้
บ้างไหม หรือเห็นว่าเราไม่ใช่พระอาจารย์จึงไม่เต็มใจรอบเสียแล้ว

            จิตรารจิสแปลว่าพระอาทิตย์  เรากล่าวว่าพระอาทิตย์นั้นสว่างอยู่ภายในจิตใจ เพราะว่าจิตใจของเมธีทุก ๆ ท่านซาบซึ้งเข้าใจในธรรม  เมื่อเปิดใจออกแล้วพบพุทธะก็ได้มีการประทับจิตซึ่งกันและกัน  การประทับจิตเป็นอย่างไร ทราบไหม  หากเมธีผู้ใดเปิดใจแล้วก็สามารถจะประทับจิตกับเราหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ พระองค์ได้  โดยการที่สามารถเข้าใจในธรรมะ  ตื่นขึ้นมาจากกิเลสใช่ไหม  เมื่อตื่นขึ้นมาจากกิเลสแล้วเข้าใจธรรมะแล้ว ก็พึ่งตนเองและเสริมธิติมุ่งในงานธรรม

            หัวข้อที่ฟังไปเมื่อสักครู่นี้คือหัวข้ออะไร (สัจธรรมชีวิต)  ฟังแล้ว
เข้าใจไหม (เข้าใจบ้าง)  การที่ฟังธรรมะแล้วเข้าใจ  กับการที่ตนเองได้ประสบเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แล้วทำให้เข้าใจสัจธรรมแตกต่าง
กันไหม หัวข้อสัจธรรมชีวิตคนใดฟังแล้วเข้าใจหรือไม่เข้าใจเพียงใดก็ขึ้นอยู่
กับจิตที่เปิดแล่วหรือไม่ของผู้นั้นใช่ไหม

            เมธีทุกท่านเห็นน้ำแก้วนี้ไหม  แก้วน้ำนี้มีประโยชน์อย่างไร  ใส่น้ำได้ใช่ไหม  เพราะเหตุใดจึงใส่น้ำได้ และถ้าแก้วน้ำทึบจะใส่น้ำได้อีกไหม

            เมธีทุกท่านจะเห็นได้ว่า สมมติว่ามีห้อง ๆ หนึ่งได้เจาะประตูและหน้าต่างไว้แล้ว  ห้องนั้นจึงได้มีประโยชน์  คนจึงเข้ามาอาศัยอยู่ได้ใช่ไหม  แก้วน้ำก็เช่นกันเมื่อมีที่ว่างจึงสามารถรินน้ำเติมลงไปได้ ถูกไหม (ถูก) 
เช่นนี้แล้วจึงกล่าวได้ว่าประโยชน์ที่แท้จริงอยู่ที่ความว่าง แต่สิ่งที่ทึบนั้น
เป็นตัวนำทำให้ความว่างนั้นมีประโยชน์ได้ใช่ไหม

            ขอให้เมธีทุก ๆ ท่านช่วยกันคิดหน่อยว่าอยากจะให้เพลงที่เราให้ชื่อว่าอะไร (แสงสว่าง, จิตตนได้ฟูฟื้นเห็นตนจริงว่างเปล่า, ความจริงคือความว่าเปล่า, สัจธรรม, ใจหวนคืนตน, ความว่างเปล่าคือแสงสว่าง, คนเดินดิน, ธรรมะคือความว่าง, แสงสว่างแห่งสัจธรรม)  ตั้งมา ๙ ชื่อแล้ว ช่วยกันเลือกว่าชอบชื่อไหน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ให้นักเรียนในชั้นยกมือโหวตเสียงชื่อเพลงว่าชอบชื่อเพลงไหนบ้าง)  ตกลงได้ชื่อเพลง “แสงสว่างแห่งสัจธรรม”

            ร้องเพลงแล้วเข้าใจไหม จิตเปิดหรือยัง  เพลงที่เราให้วันนี้ก็นำมาศึกษาและยังกลอนโอวาทที่ให้ไว้ในตอนแรกอีก การพบกันบนโลกมีการพบและก็ต้องมีการจาก ไม่ว่าจะเป็นการที่คนเราจากกันไปแดนไกลหรือว่าจะเป็นการที่ถึงอายุขัยของร่างกาย  ทุก ๆ คนก็คงจะเคยพบกันการพรากจากกันมาแล้ว  ถ้าหากไปยึดติดก็คงจะเป็นความเศร้า  แต่หากไม่ยึดติดก็คงจะไม่พบความเศร้า  เพราะแท้ที่จริงทุกสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่า  วันนี้เรามาพบทุก ๆ ท่าน  เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องจาก เราหวังว่าเมธีทุก ๆ ท่านจิตใจจะเปิด แล้วสามารถเข้าใจคำที่เราได้กล่าวไว้ ถึงแม้ไม่เข้าใจแต่หากให้โอกาสตนเองไปศึกษาก็สามารถเข้าใจได้

            วันนี้ยังมีอีกหลายหัวข้อที่ต้องศึกษากันอีก ร้องเพลงกันแล้ว เราก็หวังว่าทุก ๆ ท่านจะไปทำความเข้าใจกับบทเพลงบทนี้นะ  มีหลายท่านในที่นี้ที่ได้เคยศึกษาธรรมะมามากมาย  เราก็หวังว่าท่านจะนำธรรมะที่ตนได้เคยศึกษาไว้ไปฉุดช่วยผู้อื่นให้เขาเข้าใจต่อ ๆ ไปดีไหม (ดี)  วันนี้เวลาก็
ไม่มากแล้ว  เราก็หวังว่าเมื่อถึงคราวหน้าเราคงได้มีโอกาสพบกับเมธีทุก ๆ ท่านอีก  ลาก่อนเมธีทุก ๆ ท่าน












                วันอาทิตย์ที่  ๓๑  กรกฏาคม  พุทธศักราช  ๒๕๓๗

                พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา               

ยังกังขาเมฆบังพุทธญาณ    เปิดใจพานพบธรรมะสงบใส

สัจธรรมเที่ยงแท้ปฏิบัติไป    มัชฌิมาปฏิปทาได้บรรลุเร็ว

                เราคือ

                อรหันต์จี้กงวิปลาส             รับบัญชาจาก

องค์อนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่อริยสถาน   กตัญชลี

องค์มารดาแล้ว    ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า

เกิดสันติพร้อมสมบูรณ์เรื่องแห่งธรรม ไป่ถึงธรรมด้วยร้ายคุณธรรมข้าม

เร่งกำจัดวัชพืชสิ้นมิพ้นพยายาม         วัชพืชงามที่อยู่กลายไพรวันฤทัย

สันติสุขแท้ร่วมสามัคคีธรรมกระจ่าง   ธราดั่งสวรรค์แห่งยุคปลายสุกใส

ฝนทิพย์โปรยชุ่มชื่นพื้นไผท  กลางฤทัยน้อมรำลึกเมตตาฟ้าดิน

จิตแท้เพื่อนผู้ต่อสานอนุตตร                สละดั่งให้ตนเองพลีสิ้น

อาทรเวไนยฉุดขึ้นเรือเป็นอาจิณ         เพื่อขัดหินฤดีเป็นหยกงาม

ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา

            “เกิดสันติพร้อมสมบูรณ์เรื่องแห่งธรรม  ไป่ถึงธรรมด้วยร้ายคุณธรรมข้าม”  (สันติธรรมจะเกิดได้เพราะธรรมะ  ไม่ถึงธรรมเพราะมองข้ามคุณธรรมไป)

            “เร่งกำจัดวัชพืชสิ้นมิพ้นพยายาม”  หมายความว่าอย่างไร  ใครจะอธิบายได้บ้าง  (วัชพืชหมายถึงกิเลส  ถ้าจะศึกษาธรรมจะต้องรู้จักกำจัดกิเลสในใจของเราให้หมดไป  คุณธรรมในจิตใจของเราจึงจะปรากฏขึ้นได้)

            “วัชพืชงามที่อยู่กลายไพรวันฤทัย”  วัชพืชถ้ามีมาก ๆ ต้นไม้ก็อาจตายได้  แม้ว่าบางต้นไม่ตายแต่ก็อ่อนแอ  ทำให้แข็งแรงไม่เต็มที่  ถ้าวัชพืชเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมาแทนต้นไม้ที่เราจะปลูกก็กลายเป็นว่า ใจของเราก็มีป่าเต็มไปหมด แทนที่จะว่าง ๆ โล่ง ๆ สบาย ๆ กลายเป็นใจที่มีอะไรรกเต็มไปหมด  อย่างนี้ใจก็ไม่เบาใส

            “สันติสุขแท้ร่วมสามัคคีธรรมกระจ่าง”  สันติสุขในโลกจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราร่วมกันปฏิบัติธรรม  ช่วยกันเผยแผ่ออกไป  เพราะเวไนยในโลกนี้ยังมีทุกข์อีกมากมาย ถ้าเราเผยแผ่ธรรมให้กว้างก็จะเกิดสันติสุขออกมาได้)

            “ธราดั่งสวรรค์แห่งยุคปลายสุกใส”  (พระอาจารย์ได้ชี้ทางสว่างให้พวกเราได้พ้นจากความมืดมน)

            “ฝนทิพย์โปรยชุ่มชื้นพื้นไผท”  ทำไมอาจารย์จึงบอกว่าน้ำนี้เปรียบดั่งสวรรค์แห่งยุคปลาย  (น้ำในที่นี้อาจหมายถึงน้ำใจต  พวกเราจะต้องมีความสามัคคี ธรรมะที่อาจารย์ให้จึงจะกระจายไปสู่ผู้อื่นได้  เปรียบเหมือนกับฝนทิพย์ที่โปรยปรายให้ความชุ่มชื้น)  น้ำนอกจากหมายถึงน้ำใจแล้วยังหมายถึงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่  เพราะว่าความสามัคคีก็เปรียบเสมือนน้ำ  สมมติว่ามีน้ำสองแก้ว เมื่อเราเทรวมกันแล้วก็ไม่สามารถแยกหรือแบ่งว่าน้ำส่วนไหนเป็นของแก้วใด  ถ้าจะแยกได้น้ำสองแก้วนั้นจะต้องมีสิ่งที่ไม่เหมือนกัน แต่ถึงมีสีที่ไม่เหมือนกัน เมื่อนำมาเทรวมกันก็จะกลายเป็นสีเดียวกัน  เช่นนี้จึงบอกว่าน้ำเปรียบเหมือนคุณธรรม  ใครรู้จัก “ไป๋สุ่ย
เหล่าเหยิน” ไหม  ท่านเหล่าเฉียนเหยินจำได้ไหม  รู้จักหรือเปล่า

            ฝนทิพย์คือฝนที่มาจากเบื้องบนที่ทำให้ศิษย์ทุกคนได้รับความชุ่มชื่นเต็มจิตใจไปหมด  ชุ่มชื่นเต็มพื้นดินที่นี่  อาจารย์อยากรู้ว่าฝนนี้ได้ตกลงบนจิตใจของศิษย์บ้างหรือเปล่า  ศิษย์ได้น้อมรำลึกถึงความเมตตาของฟ้าดินบ้างหรือไม่  ถ้าไม่มีฟ้าดินก็ไม่มีมนุษย์  ฉะนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะตอบแทนฟ้าดินได้  จะตอบแทนได้โดยเป็นคนดี  ถ้าเป็นคนไม่ดีแล้วก็จะตอบแทนในสิ่งที่ไม่ดีออกไป  ผลทีสุดฟ้าดินก็จะลงโทษ

            บางคนในที่นี้มีความรู้สูง  บางคนจบปริญญาโท ปริญญาเอกมา ก็รู้สึกว่าธรรมะที่เชื่อกันอยู่เป็นธรรมะที่งมงาย  เพราะไม่ได้มาศึกษาอย่างถ่องแท้

            การที่ศิษย์แต่ละคนจะพูดอะไรออกไปต้องรู้ให้แน่ชัด  ถ้าไม่รู้แล้วพูดจะเป็นการทำร้ายตนเอง  การที่เชื่อแบบงมงายไม่มีปัญญาวิเคราะห์จะถือเป็นการหลง  การที่อาจารย์มาที่นี่ก็เพื่อปลุกให้ศิษย์ตื่น  จะทำตัวอย่างไรจึงจะเหมือนคนตื่น

            “จิตแท้เพื่อนผู้ต่อสานอนุตตร”  (พวกเราล้วนเป็นผู้ที่จะเผยแผ่สืบทอดอนุตตรธรรมนี้ออกไปด้วยจิตใจอันแท้จริง)

            “สละดั่งให้ตนเองพลีสิ้น”  (อย่างเช่นอาวุโสทั้งหลาย เพื่อเผยแผ่ธรรมออกไปโดยไม่ห่วงตนเอง)

            “อาทรเวไนยฉุดขึ้นเรือเป็นอาจิณ”  (พยายามโปรดฉุดช่วยคนให้ได้รับวิถีธรรม ให้ได้ขึ้นเรือธรรม)

            “เพื่อขัดหินฤดีเป็นหยกงาม”  (เมื่อจิตเราทำความดีอยู่เสมอ ช่วยเหลือผู้อื่น ก็เหมือนเป็นการฝึกฝนขัดเกลาจิตที่ไม่สดใสให้งดงาม เหมือนขัดหินให้เป็นหยก)

            พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “สันติสุข”  ซึ่งถอดออกมาเป็นโคลงสี่สุภาพดังนี้

ดำรงตนด้วยเล่ห์ พฤติการณ์

            เพียงชื่อเสียงยืนนาน       อยู่ได้

            กำแพงต่างตนสร้าง         เกิดก่อ

            หากสิ่งลวงตาไร้  ทั่วพร้อม  สันติสุข

แปรโลกเปี่ยมเรื่องร้าย      ด้วยธรรม

            ถึงแก่นแห่งคุณงาม         ที่แท้

            ดั่งสวรรค์แห่งยุคสาม      กลายอยู่  พื้นธรา

            เมตตาต่อผู้อื่นแท้            ดั่งให้  ตนเอง

            (พระอาจารย์เมตตาให้อ่านทบทวนพระโอวาทที่เป็นโคลงสี่สุภาพ)  ยังมีผิดนิดหน่อยนะ  ผิดตรงไหนรู้ไหม  ตรวจดูให้ดี ๆ นะ  แก้ไขไปจนกว่าจะหมดที่ผิด  การบำเพ็ญธรรมต้องมีความรอบคอบ  ถ้าไม่ละเอียด ไม่รอบคอบ ไม่ระมัดระวังทุกฝีก้าวแล้ว  ถ้าอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาแวบเดียวเราก็หลงไปแล้วใช่หรือเปล่า

            คนที่เป็นมนุษย์ถ้าจะอยู่รอดได้ในโลก ก็ต้องมีเล่ห์นิดหน่ย  ถ้าไม่มีเล่ห์ก็ถูกเขาหลอก  บางคนก็ไม่มีเล่ห์แต่ว่าต้องรู้เล่ห์ของคนอื่น  มิฉะนั้นเราก็อยู่ในโลกนี้ไม่ได้  พฤติการณ์ต่าง ๆ ที่แสดงออกมารวมถึงหน้าตาท่าทางต่าง ๆ ศิษย์ต้องดูว่าศิษย์จริงใจกับผู้อื่นหรือเปล่า  เพียงเพราะชื่อเสียงที่ต้องการให้ยืนนาน  เพียงเพราะต้องการมีเงินทองมียศถาบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ ทำให้เราต้องสร้างกำแพงหนาสูงใหญ่ขึ้นมาปิดกั้นจิตใจของเราไว้  ถ้าศิษย์เอากำแพงนี้ออก  สิ่งลวงตาต่าง ๆ ก็จะไม่มี  ดลกที่ศิษย์อาศัยอยู่เต็มไปด้วยสิ่งที่ร้ายมากมาย  จิตใจของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกับสมัยโบราณที่ซื่อบริสุทธิ์  อาจารย์อยากให้ศิษย์ขัดเกลาจิตใจของตน
ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์  เหมือนกับเด็กทารกน้อย ๆ ด้วยคุณธรรมที่ทุกคนมีในจิตใจ

            “ถึงแก่นแห่งคุณงาม  ที่แท้”  คนที่จะบำเพ็ญให้ดี จะต้องบำเพ็ญให้ถึงแก่น  ถ้าบำเพ็ญครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำไปก็ถือว่าไม่มีประโยชน์  ถ้าบำเพ็ญบ้างไม่บำเพ็ญบ้าง  ท้ายที่สุดก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ดี

            “ดั่งสวรรค์แห่งยุคสาม  กลายอยู่พื้นธรา”  ถ้าศิษย์เปลี่ยนโลกที่ร้ายให้เป็นโลกแห่งคุณธรรมและมีคุณงามความดีในใจจนถึงแก่นแล้ว  จิตใจของศิษย์ก็เหมือนกับมีสวรรค์อยู่ในจิตใจ

            “เมตตาต่อผู้อื่นแท้  ดั่งให้ตนเอง”  ขอให้ศิษย์มีความเมตตาต่อผู้อื่นเหมือนกับที่ให้กับตนเอง  บางคนมีภรรยาและลูก  เวลาจะทำอะไรก็นึกถึงแต่ภรรยา ลูกและตนเอง  ไม่นึกถึงพ่อแม่  ฉะนั้นทุกคนจะต้องปลุกจิตใจเดิมแท้ของตนออกมา  เพราะจิตใจตนนั้นไม่เหลือคุณธรรมแล้ว  ถ้าไม่ปลุกจิตใจตอนนี้แล้ว  อีกหน่อยมีคนมาเตือนเท่าไรก็ไม่เข้าใจว่าเขาเตือนว่าอะไร

            การทำงานทุกวันนี้ก็เหมือนกับไม่ใช่การทำงาน  แต่กลายเป็นว่างานมาใช้เรา  อยู่ในโลกเราจะต้องเป็นนายของร่างกายนี้  ไม่ใช่ให้ร่างกายมาเป็นนายของเรา  ถ้าจิตใจของเราเป็นหนึ่งแล้ว  แม้ว่าร่างกายของเราจะเป็นอย่างไร ก็ต้องบำเพ็ญให้ได้ถึงแม้ว่ามีคนมาต่อว่าเรามากมายอย่างไร  นั่นก็เป็นการขัดเกลาจิตใจของเรา

            คนทางโลกเมื่อมีคนมาต่อว่า เขาก็จะต่อว่ากลับ  สำหรับคนบำเพ็ญธรรม เมื่อมีคนมาต่อว่าเขาก็จะยิ้มรับและอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง และถ้าเขายังไม่เข้าใจก็ต้องใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งจะดีกว่าคำพูด  คนบำเพ็ญธรรมไม่กลัวคนอื่นตำหนิต่อว่า  พระศรีอาริย์แต่ก่อนถูกคนถ่มน้ำลายใส่หน้า ท่านก็ยังไม่เช็ด  เพราะท่านกลัวว่าคนนั้นจะมีอารมณ์โกรธขึ้นมาอีก  ถ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์จะเช็ดไหม

            ตัวของศิษย์มีอะไรผิดบ้าง  ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน ก็จะไม่รู้ว่าจะแก้ตรงไหน  คนเรามักจะรู้สึกว่าตัวเองดี  นี่ก็เป็นนิสัยของมนุษย์
ทั่ว ๆ ไป  และถ้าคนเรารู้ตัวว่าผิดตรงไหน  แสดงว่ามีจิตใจของพุทธะอริยะขึ้นมาบ้างแล้ว  การเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก

            ตอนนี้มีพ่อแม่ มีญาติคอยดูแลศิษย์ และมีอาจารย์ที่เป็นเหมือนพ่ออีกคนที่คอยดูแลศิษย์  ถ้าวันไหนที่ทุกคนไม่อยู่แล้ว  คนรอบข้างไม่สนใจศิษย์แล้ว  ศิษย์จะทำอย่างไร  เมื่อเรารักใครมาก ๆ แล้วเขาไม่รักเรา
เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเราโกรธเขามากก ๆ แล้วเขาไม่โกรธเรา  เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์พูดศิษย์ต้องตั้งใจฟัง  ไม่ใช่ว่าอาจารย์ถามอะไรก็ตอบว่าใช่  แต่ไม่คิดตาม  จะต้องมีสติตลอดเวลา  ไม่ใช่ฟังหูซ้ายออกหูขวา  ถ้าศิษย์ฟังธรรมะแล้วเข้าใจจริง  อาจารย์ก็ดีใจ

            ทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี่เหมือนกับทุกคน คือต่างก็มีพุทธจิต  แต่จะเข้าใจธรรมะมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า  ศิษย์ตั้งใจฟังแค่ไหน  บางคนฟังแล้วไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร  ค่อย ๆ นำไปปฏิบัติ  บางคนพูดธรรมะไม่เก่งก็บอกว่าธรรมนี้ดี  สอนให้คนเป็นคนดี  หากเราเป็นคุณยายที่ดี  หลาน ๆ ก็รู้ว่าคุณยายเป็นคนดี เขาก็จะบำเพ็ญธรรมตาม  ศิษย์ทุกคนไม่ว่าอายุมากหรือน้อย  แต่ในสายตาของอาจารย์แล้ว ศิษย์ทุกคนก็เหมือนเป็นเด็ก
น้อย ๆ  ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในวัยกลางคนแต่อาจารย์ก็ยังดูเหมือนว่าเขาเป็นเด็ก  เพราะบางครั้งเขาทำอะไรก็ทำตามอารมณ์เป็นเด็กดื้อ เพราะทำอะไรตามใจตนเอง  เด็กที่ดื้อก็จะถูกทำโทษบ่อย ๆ  ถ้าเด็กคนไหมไม่ดื้อก็จะได้รับความดีตอบแทน  ถ้าศิษย์อยู่ในโลกแล้วไม่ตั้งใจบำเพ็ญ อีกหน่อยก็จะไม่ได้พบกับอาจารย์อีก  บางคนรู้สึกว่าเมื่อมาที่สถานธรรม ศิษย์ก็ได้เจออาจารย์ที่มายืมกายเนื้อนี้  แต่ถ้าศิษย์ละจากกายเนื้อนี้แล้วศิษย์รู้ไหมว่าจะมีใครมารับศิษย์ไป  อาจารย์พูดแบบนี้เพราะอยากให้ศิษย์สำนึกและ
รู้ตัวบ้างว่าเราควรจะทำอย่างไร  และตอนนี้เราทำอะไรอยู่  ศิษย์ต้องรู้จักกำหนดว่าในวินาทีนี้ศิษย์อาจจะหมดลมหายใจไปก็ได้  เพราะถ้าไม่คิดแบบนี้ศิษย์ก็จะไม่กระตือรือร้นในการบำเพ็ญธรรม  แต่การบำเพ็ญธรรมก็อย่าบำเพ็ญเพื่อตัวเองเพียงคนเดียว จะต้องบำเพ็ญเพื่อผู้อื่นด้วย  อาจารย์หวังว่าธรรมะที่อาจารย์พูดมาทั้งหมดศิษย์จะนำไปศึกษาบ้าง  อาจารย์ขอให้ศิษย์ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีและถ้าวันหน้าต้องการพบอาจารย์อีกก็คงจะไม่พบกันแบบนี้  แต่จะขึ้นไปพบกันที่เบื้องบน และศิษย์คนไหนจะได้รับเลือกขึ้นไปอยู่กับอาจารย์ ณ เบื้องบนนั้น  ศิษย์ต่างหากที่เป็นผู้เลือกเอง  การกระทำของศิษย์จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าศิษย์จะได้ขึ้นไปอยู่เบื้องบนหรือไม่  อยู่ในโลชกนี้แม้จะมีเงินทองมากมาย เมื่อตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย

            ขอให้ทุกคนร้องเพลงส่งอาจารย์  ถ้าจิตใจตอนนี้อยากจะบำเพ็ญ ก็ขอให้ศิษย์ทุกคนถนอมรักษาจิตใจอันนี้ไว้ให้ดี  เพราะเป็นจิตที่บริสุทธิ์เหมือนเด็กทารก จิตบริสุทธิ์แบบนี้จึงจะกลับคืนสู่เบื้องบนได้  เมื่อก้าวออกจากสถานธรรมนี้  ศิษย์จะทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะ  จะต้องทำตัวเป็นคนใหม่ที่ดี  คนที่คิดว่าดีแล้วก็พยายามหาข้อบกพร่องของตัวเองให้พบ  ถ้าหาพบแล้วก็จะได้เป็นศิษย์รักของอาจารย์  ขอให้ทุกคนโชคดี  ลาก่อน


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2537

2537-07-16 พุทธสถานเฉิงอี้ จ.ราชบุรี


PDF 2537-07-16-เฉิงอี้ #6.pdf
วันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗ พุทธสถาน เฉิงอี้ อ.บัวงาม

สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

รากบัวงามบริสุทธิ์ศรัทธาใจ ดั่งทองคำหลอมไว้บริสุทธิ์ยิ่ง

แม้นมากมายทดสอบจิตสงบนิ่ง แล้วละทิ้งมุทินเกาะดั่งโคลนตม

เราคือ

องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แล้วเคียมคัล

องค์มารดา ถามเมธีน้องพี่เกษมฤๅ

ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา



ร่วมประชุม ณ กลางสถานที่นี้ ต้องตั้งใจธรรมมีทุกทุกนาที

อย่าประมาทรวดเร็วคว้าธรรมดี ต้องยอมพลีเวลาเพียงสองวัน

ถึงกระนั้นจงอย่าได้เผลอไผล นั่งเก้าอี้พุทธาได้เพราะกุศล

แต่ก่อนเก่าบำเพ็ญมาผองสุชน ในชาตินี้หลุดพ้นได้บำเพ็ญใจ

จงรักษาสำรวมให้เคร่งครัด วาจาจัดทำร้ายกันไม่เลือกหนา

สถิตพระอริยะกลางวาจา อ่อนโยนกล้าเผชิญซึ่งความจริง

ปลูกต้นโพธิ์ใช่จะขึ้นในสองวัน หลังจากนี้ศึกษากันให้ถ่องแท้

คุณธรรมดำรงจึงกลับแก้ มรรคแน่คงศรัทธาอย่าสั่นคลอน

ภาระกิจส่งเสริมชนในที่นี้ อาจารย์บรรยายทุกท่านจงสมาน

สามัคคีทุกท้องที่มิแบ่งกัน ทั้งเธอฉันจิตหนึ่งเราพุทธา

ย้อนมองตนเห็นไหมพิจารณาดู วันนี้อยู่บุญสัมพันธ์ใกล้ไกลหนา

เดินทางมาสารทิศโปรดทั่วฟ้า มิแบ่งซึ่งห้าศาสนาใจแก่นธรรม

ฉุดช่วยไปทั่วพิภพในยุคขาว ส่องสกาวยิ่งยวดคุณงามสร้าง

บรรพชนเฝ้ามองจงอย่าขว้าง อาจพเนจรเกิดบางสิ่งให้พลิกฝัน

ปัดอารมณ์แลจิตใจกระจกใส ฟังธรรมไปอย่าง่วงเหงาให้สัปหงก

แล้วระเบียบถี่ถ้วนรู้พบ สติบรรจุอยู่เต็มห้วงจิตใจ

รักษาธรรมรักษาจิตคู่พร้อมเพรียง อย่าหลบเลี่ยงปลงแล้วจึงเห็นได้

กุศลสร้างก็ของตนมิใช่ใคร รู้ทางไปที่พี่นำน้องจงดู

ในสองวันจงอดทนศึกษาธรรม และได้นำปฏิบัติตนเข้าใจไหม

มิข้องเกี่ยวในวัฏฏะรูปลักษณ์ใด ฉันทาใจฤๅคิดเพลินในมายา

ในวันนี้ขอศิษย์น้องตั้งใจยิ่ง ศิษย์พี่นิ่งยืนคุมข้างสถาน

ยิ่งชัดเจนในคะแนนถูกจัดวาง ในท่ามกลางธรรมาขออวยชัย

ฮวา ฮวา หยุด




วันเสาร์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่ และ ท่านเหอเซียนกู เมตตา

พุทธจิตหนึ่งคลุมครอบจักรวาล เมื่อวันวานเมธีท่านยังสงสัย

ตราบวันนี้มีความสุขพ้นเมามาย ศึกษารู้พ้นกายอันจอมปลอม

เราทั้งสองคือ

แปดเซียน หลี่เถียไกว่ พร้อมด้วย เหอเซียนกู รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบอภิวาท

องค์ชคัตตรยาพดงส์ผู้เมตตา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

ล่องกิเลสเพื่อตัดกลับยิ่งสร้าง ตื่นหลับต่างเจ็บตรึงหายไหม

เฝ้าแต่หมองเหม่อมัดยิ่งไว คะเนเงียบข่าวคราวใจลวงเจ็บช้ำ

อย่าปล่อยให้กรรมกระชากฉุดไป มีแต่เพลิงสุมใจสุดหยั่ง

อย่างนี้แล้วอาจารย์ท่านยังช่วยบัง ท่านยังหวังกลั้นน้ำตาเพื่อใคร

นิโรธดับกลายหวานชุ่มฉ่ำใจ เรื่องซับซ้อนมากกลับสนองย่ำแย่

ทั้งเช้าค่ำน้ำตาเปลี่ยนสามารถแผ่ ปกป้องหนาวทุเลาอุ่นเผื่อประทังร่าง

ธรรมทดสอบคู่เคลื่อนไหวเหนี่ยวรั้งดึง อุทธัจถึงคอยรอบจะธรกรัชกาย

กมลแจ้งชั่วดีมิแหนงหน่าย เยี่ยงฟ้าดินไม่หวั่นต่อภัยพาล

ฐิติหวนดินแดนนิพพานเบื้องฟ้า พรหมวิหารสลายค่าอวิชชาเดิมแปรกลับ

กตญาณผลักทุกข์ทะเลเคลื่อนเลื่อนขษัย ด้วยดั้นด้นชีวิตวนไหลคืนกลับต้นธาร




มายาหลากเผลอใจปล่อยล่วงล้ำ เป็นแรงน้ำต้านรับไร้ปราการ

โหมทลายหยุดพักไม่ทันกาล คอยรักษาคอยหมั่นไหวสติคง

ฮา ฮา หยุด




สักวัน หมอกคงจะเลยแล้วผ่าน เปี่ยมด้วยใจแห่งธรรม สมตั้งใจ

ขัดตน ไม่ขัดขวางเคลือบแคลงปกป้องตนเองเพื่อตน แม้แค่ใยบอบบาง

เป็นเช่นกรรมฉุดดึง

* ศรัทธาหลอมรากฐาน บำเพ็ญธรรมเปิดใจ อภัยคือกุศล ช่วยตน

ใช่ใคร สิ้นสูญหนี้กรรมหลุดพ้น

** โปรดทุกหนทุกแห่ง ฉับพลันเห็นด้วยจิต สู่กลียุคช่วยเวไนย

พี่น้องตน

*** เปรียบเทียบจงตัดแล้ว เปรียบเทียบพาทิฐิยากใส นอกใน

ท่ามกลางควันหมอกพิษโลกีย์

ผ่านมา กี่ครากี่คราวทดสอบ ศรัทธายังส่งเสริม มิท้อด้วยใจอดทน ปัจจุบันฝ่าฟันอวิชชาแดนให้ได้ สะพานดั่งจิตใจ มิกลัวคำเหยียดหยาม

(ซ้ำ *,**,***)

ทำนองเพลง : เพราะเธอ




พระโอวาทท่านแปดเซียน หลี่เถียไกว่ และ ท่านเหอเซียนกู เมตตา

ท่านเหอเซียนกู : ในโลกนี้ประกอบไปด้วยฟ้า ดิน มนุษย์ สรรพสัตว์

ทั้งหลาย ฟ้าเป็นสภาวะที่ว่างเปล่า บริสุทธิ์ ดินเป็นสภาวะที่ขุ่นหนัก

แต่มนุษย์ล่ะ เมธีทุกท่านเป็นสภาวะใด เบาหรือเปล่า

ถ้าทุกคนตั้งใจบำเพ็ญก็จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสภาวะที่เบาใสใช่ไหม ตอนนี้เบาใสหรือยัง ฟ้าประทานคุณธรรมให้ทุกคนตั้งแต่ลงมาเกิด คุณธรรมที่ฟ้ามอบมาให้คืออะไร ถ่ายทอดอยู่ที่ไหน (ตรัยรัตน์)

หลักธรรมอยู่ที่ไหน (ในจิต) มโนจิตอันเดิมแท้เหมือนขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ จิตตัวนี้ทำให้เรามีทรัพย์สิน เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาจากความอยากของทุกคน ตอนนี้เราทุกคนมีมโนจิตที่ยิ่งใหญ่ เราจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไร (ช่วยเหลือคน) การจะช่วยคนต้องมีอะไรในมโนจิต (เมตตา) ทำอย่างไรถึงเรียกว่าเมตตา (อยากให้คนอื่นพ้นทุกข์และมีความสุข) การอยากให้คนอื่นพ้นทุกข์คือการแสดงออกมาด้วยความเมตตา ขึ้นอยู่กับว่าจะปรุงแต่งออกมาในรูปลักษณ์ใด

การศึกษาธรรมมิใช่มานั่งฟังสองวันก็เพียงพอ เราต้องศึกษาตลอดชีวิตจำเป็นไหมว่าจะต้องอ่านจากหนังสือ เราจะทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าศึกษาธรรมบำเพ็ญตน (มีจิตใจที่ดีงาม มีความจริงใจ)

คนเราทำดี ถึงแม้มรรคผลที่จะได้รับยังไม่ได้รับในทันทีก็กลับเป็นความทุกข์ ความดีที่ทำแม้จะยังไม่ได้รับผลทันที แต่ก็อยู่ที่ทุกคน การที่

จะทำให้มีใจอย่างทารกน้อย ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วจะทำอย่งไรให้จิตเป็นทารก (บำเพ็ญจิต) อย่างไรจึงจะเรียกว่าบำเพ็ญจิต (ฉุดช่วยคนอื่นให้

พ้นทุกข์) ถูกไหม

ทุกคนที่อยู่ในโลก บางครั้งก็เจ็บป่วย บางครั้งก็สุขสบาย เจ็บป่วยเพราะอะไร (กรรมเก่า) กรรมเก่าอย่างเดียวหรือเปล่า ถ้ามีคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมนี้ไม่ใช่ของจริง เขามาหลอกเงินทอง เราจะคล้อยตามเขาไหม (ไม่) เพราะว่าตอนนี้มีเราบอกใช่ไหม บางครั้งบาปกรรมที่ทำให้เราต้องทุกข์ไม่ได้เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรอย่างเดียว แต่บางทีตัวเราเองก็เป็นผู้ก่อ ทำไมภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเราจึงรู้ได้ แต่ภัยที่เราก่อเราไม่รู้กลับต้องรับผล ถ้าทำดีได้รับผลดี เราอยากจะทำ ถ้าทำดีมีผลประโยชน์

แล้วเราไขว่คว้าที่จะทำดีเพื่อหวังผลของความดี ก็เป็นความอยาก ใจเราต้องไม่ทะยานอยากไม่ไขว่คว้า แต่ทำดีโดยเอาความเมตตาของเราออกมา

มีความสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่น

ในวันนี้เมธีทุกท่านได้แสดงอะไรบ้างที่เป็นความเมตตาต่อผู้อื่น (ช่วยแม่ครัวทำกับข้าว) ทานข้าวแล้วขอบคุณแม่ครัวหรือเปล่า (ขอบคุณแม่ครัว ขอบคุณอาจารย์ที่มาให้ความรู้) และขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมตตามาประทานพระโอวาท) ความต้องการความอยาก ถ้าเปลี่ยนจากความอยากด้วยการสร้างกุศลไม่รู้จักพอจะดีไหม (ดี)

ท่านหลี่เถียไกว่ : หัวหน้าชั้นมองลูกเรือของตนเองซิ มีลูกเรือตั้เยอะแยะ ทุกท่านรู้จักกันหมดหรือเปล่า (ยังไม่รู้จักกันทุกคน) บางคนแม้จะมาประชุมธรรมผ่านไปสองวันก็ยังไม่รู้จักกันเลย ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วต่อไปจะกล้ามาสถานธรรมไหม สถานธรรมอยู่ไกลจะมาหรือ (มา) การสัญญา

กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าพูดไปแล้วทำได้หรือเปล่า ถ้าหากมาที่นี่ด้วยจิตแต่ตัวยังอยู่บ้านหมายความว่าอย่างไร (ตายแล้ว) แล้วจะรอถึงวันนั้นหรือ

"พุทธจิตหนึ่งคลุมครอบจักรวาล" จิตของเรามีเพียงหนึ่งเดียวแต่ครอบคลุมจักรวาลได้ไหม เราอยู่ที่นี่เราไปนิพพานได้ไหม (ได้) ถ้าคิดว่าจิตยังไปไม่ถึงนิพพานก็ไปไม่ถึง ถ้าคิดว่าจิตถึงนิพพานก็ถึงได้ คนที่ตอบว่าจิตถึงนิพพานได้เพราะอะไร (เพราะเขาบำเพ็ญธรรม) การที่เราอยู่ในโลกมนุษย์ เราอยู่ในแดนนิพพานได้ โดยเราทำจิตใจของเราให้มีความสุข มีความเมตตา ให้การส่งเสริมผู้อื่นด้วยความจริงใจ

ตรัยรัตน์ที่เรารับไปนั้นลืมหมดแล้วใช่ไหม จากวันนี้ไปต้องกลับมาศึกษาและทบทวนให้เข้าใจ นักเรียนในชั้นมีจำนวนมาก ถ้ารู้จักกันไม่หมด ต้องพยายามรู้จักกันให้หมด บางครั้งบอกว่าส่งภาษากันไม่รู้เรื่อง ถ้าหากมีความจริงใจ มีมิตรไมตรี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เราก็สามารถที่จะรู้จักกันได้

ท่านรู้ไหมว่าการที่ทุกคนมาในที่นี้เพราะมีบุญสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ ถ้ารู้แล้วต้องรักษาบุญสัมพันธ์ของท่านให้ดี ผูกมิตรต่อกัน ไม่ใช่ว่าอยู่ในสายธรรมเดียวกันแล้วมีความรู้สึกว่าแบ่งแยกว่าอยู่กรุงเทพฯ กับดำเนิน

ในกลอนนำพระโอวาททำไมจึงบอกว่า กายนี้เป็นกายปลอม (ตายไปแล้วเอาไปไม่ได้) เวลาฝนไม่ตกก็บ่นว่าร้อน ฝนตกก็รู้สึกอึดอัด การที่เรารู้สึกเช่นนี้เป็นเพราะจิตของเราใช่ไหม จิตของมนุษย์สามารถปรุงแต่งได้ด้วยอะไรบ้าง (กายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม, อารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง วัตถุเงินทอง) เราควรจะทำอย่างไร (เราต้องยึดมั่นในจุด ๆ นั้น) จิตของมนุษย์มีทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อจิตของเราเป็นกลางคืนก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นกลางวันได้ใช่ไหม เมื่อจิตของเราเปรียบเหมือนตะวันก็สามารถส่องสว่าง เมื่อเรามีจิตที่สว่างไสวแล้ว เราก็สามารถจะฉุดช่วยผู้อื่นได้ การมีอายุมาก อายุน้อยไม่ใช่ปัญหา เราจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา มีทั้งที่หลบและออกมาให้เห็นชัด ๆ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง

เมื่อศึกษาธรรมต้องรู้ว่าธรรมเป็นสุญญตา รูปลักษณ์นี้เรายึดไว้เพื่อบำเพ็ญ ไม่ใช่ยึดไว้ตลอด

“ล่องกิเลสเพื่อตัดกลับยิ่งสร้าง” ทำไมจึงยิ่งตัดกลับยิ่งสร้าง (เพราะเกิดความต้องการ) ถ้าหากเราคิดว่าเราจะตัดกิเลสแล้วก็คิดหาวิธีต่าง ๆ นานา เพื่อตัดมันทิ้งไป แต่เมื่อไหร่ที่เราคิดว่ากิเลสคือกิเลส เราจะต้อง

ตัดมัน อย่างนี้แล้วจิตเราก็ยิ่งเพิ่มบางสิ่งบางอย่างที่จะเป็นส่วนเกินให้เกิดขึ้นมา เปรียบเหมือนความร่ำรวย ลาภ ยศ เงินทองเป็นสิ่งที่ทำให้เราหลง ความอยากถ้าเราคิดว่าเราจะขจัดความอยากทิ้งไป พอเราตัดไปเรื่อย ๆ พอถึงจุดสุดขีดเราก็กู้ยืมเงินให้ได้มา

ท่านเหอเซียนกู : ความศรัทธาที่มีอยู่ก็จะทำให้เราทำอะไรได้สำเร็จ ถ้าหากเจอปัญหาก็ท้อแล้วจะทำอะไรได้สำเร็จไหม รออะไรก็รอได้ รอนิพพานดีไหม การจะไปนิพพานได้ทุกคนต้องบรรลุจากอะไร (จากการปฏิบัติธรรม) การบรรลุแปลว่าอะไร บรรลุคือการหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารเวียนว่าย

ตายเกิด ในเมื่อรู้ว่าต้องทำให้ได้ การจะทำให้ได้ต้องทำจิตใจให้อิสระปราศจากสิ่งห้อมล้อม ถ้าจะเปรียบจิตใจของคนก็เหมือนกับกษัตริย์

ร่างกายก็เหมือนกับเมือง ปัญญาก็เหมือนกับอาวุธ สติก็เหมือนกับปราการ ทุกคนควบคุมได้ไหม (ได้) แล้วจะควบคุมอะไร (ควบคุมอุปกิเลส อวิชชาที่จะทำร้ายเรา) ทุกสิ่งทุกอย่างใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ต้องเริ่มจากการฝึกฝน

ท่านหลี่เถียไกว่ : บำเพ็ญธรรมใช่ว่าจะเริ่มได้ง่าย ๆ ถ้าทุกคนไม่ฝึกฝน ทุกคนจะรู้ว่าต้องบำเพ็ญธรรมหรือไม่ เมื่อรู้แล้วก็อยู่ที่ให้ทุกคนฝึกปฏิบัติ การให้เพลงธรรมไม่ใช่ให้ร้องเพื่อคลายเครียด แต่ให้เพลงธรรมเพื่อเป็นกำลังใจ เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้นมาเราต้องฟันฝ่าอุปสรรคนั้น ถ้าเมธีทุกท่านต่อ ๆ ไปมาที่นี่ก็จะได้พบกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่มาแล้วแม้แต่จะช่วยตนเองก็คงจะช่วยไม่ได้

ท่านเหอเซียนกู : อย่าลืมบำเพ็ญ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยความอดทนและก็จะได้กลับคืนไปพร้อมกับเรา







วันอาทิตย์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง และ พระนาจา เมตตา

ศรัทธาแกร่งเมตตาพร้อมปุถุชน ยากจะพ้นแต่หากพยายามย่อมสัมฤทธิ์

ประตูเปิดญาณได้สำนึกผิด จากวันนี้ถ้าคิดคือเริ่มต้น

เราคือ

พระอรหันต์จี้กงวิปลาส พร้อมด้วย ราชบุตรที่สามนาจาองค์น้อยน้อย

รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดา แฝงกายก้มกราบ

องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะเข้าใจหรือเปล่า

สายทองธรรมโบราณแปรสู่ปัจจุบัน ผ่องรากไว้สำคัญผันกิเลสไหว

กาลคับขันคงไม่นานเท่าเภทภัย แข่งจิตใจหนึ่งนี่วิถีธรรม

ลืมเลยที่สัญญาคือเชือกหน่วย สะบั้นด้วยลุ่มดอนร้างสิ้นธรรม

ห่างสุทธาทอดทิ้งใจจนกลับเพลี่ยงพล้ำ ระส่ำระสายตลอดกาลฝังใจร้อนระอุ

รักหลงโลภชั่วนิรันดร์ขจัดไกล ศิษย์ฝักใฝ่หวนนิจศีลสัจธรรม

คลายรนเร้าในใจคอยคุกคาม บริสุทธิ์ตามตื่นพ้น ณ กลางใจ

ได้ติดตามพระอาจารย์คืนสู่เบื้องบน

ฮา ฮา หยุด

หมายเหตุ : กลอนที่ขีดเส้นใต้พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นแต่ง

บทเพลงพระโอวาทพระนาจาเมตตา

กระดิ่งโดนลมพัดลู่ดัง กริงกรังกริงกรังกล่อมภมรระบำ ชวนบรรเลงบนนาวาธรรม ชักใบเรือนำทิศทางไป

อร่ามเรืองรองแดนนิพพาน จูงมือกันบำเพ็ญชีวี สะบัดธงปลิวล้อเล่นตาม พริ้วเบายามมองผ่องจิตคอยครื้นเครง

ญาณกลมโตเติมธรรมบำรุง ขาดซ่อมแซมมานานน้อมใจ สบตาก่อนลากันและกัน คืนปัญญาเร็วไวบำเพ็ญ

ฮิ ฮิ หยุด

ทำนองเพลง : A B C




พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและพระนาจา เมตตา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกย่องบุคคลอยู่สองประเภท รู้ไหมว่าเป็นคน

ประเภทใดบ้าง ผู้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกย่องก็คือผู้ที่มีความกตัญญูต่อบุพการี และต่อผู้ที่เคยให้ความอุปการะเรา เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มอบสิ่งที่ดีให้เราโดยไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน

ถ้าให้ทุกคนเลือกเป็นต้นไม้ อยากเป็นต้นไม้ประเภทใด มีคนบอกว่าขอเลือกเป็นต้นหญ้าดีกว่า เพราะสามารถอ่อนลู่ไปตามลม ไม่แข็งไม่อวดตนใช่ไหม แต่ถ้าเมื่อใดมีผู้ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการอาศัยร่มเงา

เราก็ต้องกล้าที่จะเป็นต้นหญ้าใหญ่ ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรเป็นต้นหญ้าเล็กและเมื่อใดควรเป็นต้นหญ้าใหญ่ เมื่ออยู่กับผู้ใหญ่เราต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและเมื่ออยู่กับผู้อ่อนอาวุโสกว่าเราต้องให้ความคุ้มครอบดูแล

การพายเรือทวนน้ำรู้สึกว่าพายยาก ถ้าหากไม่พยายามเรือก็อาจถอยหลังไป แต่การพายเรือตามกระแสน้ำง่ายดีใช่ไหม การพายเรือทวนกระแสน้ำก็คือทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเอง การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกับการพายเรือทวนกระแสน้ำ เมื่อเรารู้ว่าต้องเผชิญกับความลำบากก็ต้องอดทนใช่หรือเปล่า

(พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์อาวุโสไต้หวันออกมาหน้าห้อง)

รู้ไหมว่าอาจารย์ไต้หวันที่มาที่นี่ต้องเผชิญความลำบากมากมาย แต่ไม่เป็นไรนะ เมื่อมาที่นี่แล้วตั้งใจมาช่วยงานก็ขอให้ช่วยเต็มที่ รักษาโอกาสที่ดีนี่เอาไว้ ไม่ต้องกลัวนะไม่ว่าจะมีอะไรทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี

ต้นไม้มีลักษณะอย่างไร (มีลำต้น มีเมล็ด มีราก) รากมาจากไหน (รากมาจากเมล็ด) แล้วตัวเรามาจากไหน (มาจากพ่อแม่) (ปู่ย่าตายาย)

(มาจากบรรพบุรุษ) แล้วบรรพบุรุษมาจากไหน (มาจากจิตวิญญาณที่มาจากเบื้องบน)

ต้นไม้มีลำต้นที่กลม ไม่มีเหลี่ยม ไม่มีมุม แต่คนทุกคนมีเหลี่ยมมีมุม เหลี่ยมมุมคือทิฐิใช่ไหม เมื่อทุกคนมีเหลี่ยมมีมุมของตัวเองอยู่ร่วมกันก็ต้องมีปัญหา ถ้าเรายอมลบเหลี่ยมมุมของตนเองไปบ้าง เขาก็จะยอมลบเหลี่ยมของเขาไปเช่นกัน ขอให้ทุกคนทำเพื่อคนอื่นบ้าง อย่ามองแต่คนอื่นขอให้ย้อนมองตนเอง บางครั้งที่เรารู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของคนบางคน เพราะเราเอาใจไปอยู่กับคำพูดของคน ๆ นั้น เราต้องหันมามองตัวเองว่าเราเคยทำให้คนอื่นเขาเจ็บปวดหรือเปล่า ถ้าใจเราเย็นแล้วอะไรก็เย็น

ใช่ไหม

การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป บางคนเมื่อถูกผู้อื่นแกล้งก็จะเจ็บปวด ถ้าเราไม่ปล่อยใจให้ลอยไปกับความเจ็บปวด เราก็จะไม่เจ็บปวดใช่ไหม

ความเมตตากับความโหดเหี้ยมเราก็ต้องแยกให้ถูก เมื่อเห็นสัตว์ถูกฆ่าเรารู้สึกสงสาร แต่เมื่อเห็นสัตว์ที่ตายแล้วเรากลับรู้สึกเฉย ๆ ใช่ไหม

"สายทองธรรมโบราณแปรสู่ปัจจุบัน" สายทองนี้มีการถ่ายทอดมาแต่โบราณ มีประจักษ์พยานให้เห็นมากมาย จนบัดนี้จึงถ่ายทอดสู่ปุถุชน

ถ้าเกิดว่าในยุคสามนี้มีลัญจกรที่เปรียบประหนึ่งรากบัว รากบัวที่ขาวบริสุทธิ์เหมือนกับจิตใจของเด็กทารก เมื่อศิษย์ใช้ลัญจกรจิตของศิษย์ก็จะเหมือนเด็กซึ่งใสเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสใช่ไหม

"กาลคับขันคงไม่นานเท่าเภทภัย" เภทภัยที่มีนั้นไม่เท่ากับเภทภัยในใจของมนุษย์ ซึ่งมีอารมณ์ มีการแบ่งแยก มีความตึงเครียดและมีอะไร

ต่าง ๆ อีกมากมายโดยที่ศิษย์ไม่คิดจะขจัดมันออกไป เภทภัยที่เห็นว่าร้ายแรงเมื่อคร่าชีวิตคนแล้วก็ผ่านไป แต่เภทภัยในใจนั้นมีอยู่นาน อย่างนี้เราต้องขจัดมันออกไปใช่ไหม

สัญญาก็เหมือนเชือกเส้นหนึ่งที่สองฝ่ายผูกกันไว้ ถ้าเชือกขาด

เมื่อไหร่ก็เหมือนเราขาดจากธรรม เมื่อห่างธรรมก็ห่างบ้าน ห่างใจ เมื่อลืมใจก็เพลี่ยงพล้ำ เมื่อพลาดแล้วจะไปไหนแม้ว่าเราจะรู้ตัว แต่จิตใจก็ระส่ำระสายมีจิตใจที่ร้อนระอุเพราะจิตเราโศกตรม เมื่อเราตกอยู่ในกองกิเลสเราก็ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาได้ ถ้าศิษย์รักพลาดเข้าสู่อบายภูมิแล้วก็จะมีจิตใจที่ร้อนระอุ อาจารย์อยากให้ศิษย์ขจัดความรัก โลภ หลง มีใจที่สะอาดดังรากบัว

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ดูแลสถานธรรมออกมา) เป็นผู้ดูแลสถานธรรมจะต้องรู้จักส่งเสริมคน ถ้าหากชวนคนมาประชุมธรรมมากมาย แต่ไม่รู้จักส่งเสริมให้เขาเข้าใจธรรมะก็จะไม่มีประโยชน์อะไร

ทุกคนต้องเปิดใจให้กว้างเข้ามาศึกษา ถ้าทุกคนรู้จักความพอดีก็จะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ท่านเหอเซียนกูท่านให้ทุกคนมีความเมตตากรุณาใช่ไหม แต่ทุกคนต้องรู้จักกรุณาต่อตนเอง ต้องรักษาร่างกายเอาไว้เพื่อบำเพ็ญ ต้องกรุณาต่อผู้อื่น อย่างเช่นกรุณาต่อผู้ที่ดูแลรักษาความสะอาดด้วยการไม่ทำสกปรกใช่ไหม

คนที่เฉิงอี้ฐันจะเป็นความหวังของอาจารย์ได้ไหม ขอให้เพลงที่อาจารย์ให้สามารถปลุกจิตของศิษย์ให้ตื่นขึ้นมาได้ (พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท "ตื่นพ้น ณ.กลางใจ" ซึ่งถอดออกมาเป็นทำนองเพลง : มณีร้าว) อยู่ที่นี่ต้องรู้จักสามัคคีกัน (พระอาจารย์เมตตาพูดกับหัวหน้าชั้น) นักเรียนในชั้นนี้อาจารย์ฝากไว้ได้หรือเปล่า นักเรียนในชั้นก็อย่าให้หัวหน้าเป็นผู้เรียกฝ่ายเดียว ตัวเองก็ต้องรู้จักเรียก

ตัวเองด้วย ศิษย์รักของอาจารย์รู้ไหมว่าผู้ดูแลที่นี่เขามีความศรัทธาเพียงใด ทุ่มเทแรงกายแรงใจทุกอย่างเพื่อศิษย์รักของอาจารย์ ปณิธานไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแต่เมื่อศิษย์มีปณิธานแล้วศิษย์ทำได้หรือเปล่า ถ้าศิษย์กลัวปณิธานก็จะไม่สามารถกลับคืนไปได้

อาจารย์ขอศิษย์อย่างหนึ่ง จงอย่าทิ้งธรรมะ ถ้าทิ้งแล้วศิษย์จะหวังอะไรได้อีก เราต้องฉุดช่วยตนเอง อย่ารอให้คนอื่นมาฉุดช่วยเรา

อย่าทำให้อาจารย์ต้องเสียน้ำตาเปล่า รับปากอาจารย์แล้วต้องทำให้ได้

พวกเราร้องเพลงคำสัญญา และเพลงแลกได้แต่น้ำตาเป็นการส่งพระอาจารย์ และพระนาจา

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา