วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2537

2537-04-17 พุทธสถาน จินจง จ.พิจิตร




                วันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๗   พุทธสถาน จินจง จ.พิจิตร
                สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

อเสขะสำเร็จได้เริ่มจากปราชญ์          วิปลาสไร้อัตตารู้ว่างเที่ยง
อนุเคราะห์เคียงเมตตามิเอนเอียง     ชาวโลกร่วมบ่มเลี้ยงพุทธญาณตน
                เราคือ
                อเสขะวิปลาสอนุเคราะห์ชาวโลก    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถาน         เคียมคัล
องค์มารดา           ถามศิษย์รักทุกคนเกษมฤๅ
                ขอทุกคนจิตสงบรอฟังโอวาท              ฮา  ฮา
                เป็นมนุษย์ต้องรู้เลิกหลับฝัน                ทุกทุกวันพริบตาพลันเลือนห่างหาย
พุทธญาณถูกกิเลสเข้าย่ำกราย          จิตพราวพรายต่างหม่นลงทุกนาที
ศิษย์รักเอ๋ยจงรู้โลกแสนทุกข์                กลับวิมุตจิตเดิมเถิดศิษย์หนา
อย่ามัวหลงโลภอยากได้ต่างต่างนานา              ขอรู้ว่านั่นคือมารทดสอบใจ
อารมณ์เจ็ดเร่งตัดให้ลดน้อย                เริ่มแต่คอยตรวจมนัสว่าเที่ยงไหม
กามคุณหกเป็นเหตุให้หลงไป              คืนกลับได้ทันท่วงทีก่อนหมดกาล
จริมยุคเร่งรู้บำเพ็ญเพียร      ญาณกลมเกลี้ยงไร้ธุลีปรมัตถ์ได้
มรรคผลปทุมหยุดรอคนที่จริงใจ          หากผู้ใดศรัทธาแล้วเร่งเจริญ
เสริมปัญญาเปิดจิตให้กว้างกว้าง       หนึ่งวันห่างนรกานต์นะศิษย์หนา
ต่อแต่นี้เลือกดูบนล่างนา     ปรารถนาจิตสงบหรือทุกข์ทน
ทรมานด้วยมละกว่าบรเพ็ด รสหวานเผ็ดลิ้มลองสนุกสนาน
หากศิษย์ว่าอยู่ในโลกไม้แย้มบาน       ขอรู้ว่าแท้ที่จริงเป็นไม้ไฟ
ทะนุถนอมตนเองรักษาจิต   จงพินิจมารดาคอยมานานแสน
หนี้กรรมยังรุมเร้าทอนเรี่ยวแรง            อารมณ์แล้งจิตกิเลสหมดสิ้นเร็ว
ขอวันนี้และวันต่อต่อไป        เร่งตื่นในอนุตตรอันผุดผ่อง
เร่งเรียนรู้สงบจิตละจิตสอง  เร่งรู้ครองตามครรลองแห่งธรรมจริง
                กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดา  แล้วจากลาศิษย์รักขอทุกคนขยันหมั่นเพียร
ฮา  ฮา  ถอย



วันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
            ชมดอกไม้น้อยเช่นพลอยประดับไม้  แมลงอาจยอมให้ชีวีเพื่อได้ชิม  แท้จริงเกสรฤๅลวงหลอกลิ้ม  เพราะแมลงลวงตนให้ระเริงเอง  หลงจนลืมตนได้  อันตรายไม่ห่าง  หลงจนลืมตนได้  อันตรายไม่ห่าง  ในแดนโลกนี้มากมายชวนให้หลง  ขอปราชญ์ทุกทุกคนสำรวมจิตให้มั่นเทอญ
เราคือ 
เสี่ยวผีเซียนถง          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาลงสู่พุทธสถานแฝงกายกตัญชลี
องค์มารดาแล้วถามทุกทุกท่านสบายดีมั๊ย
อันความสุขที่คนมี  ดังของวิเศษเกรียงไกร  เรายิ่งอยากให้ใครใคร  ความสุขยิ่งกลับมาหาเรา
ความซึมเศร้าที่โรมรัน ยิ่งเข็นดันให้ใครไป สนองกลับยิ่งเร็วไว  ซึมเศร้าใจกว่าครั้งเก่า
คนบนโลกที่เวียนวน  มิพ้นคนชอบคนดี  ใจฟ้าแผ่สร้างสรรค์ศรี  ใจไป่มีเรียกผลกลับ
ธรรมะอาจดูไกลไกล  ความแท้จริงใกล้เพียงตา  แสวงใฝ่เฝ้าฝันหา  มองกลับคืนได้เห็นจริง
มีกระท่อมห้าทวาร  ลิงทะยานวิ่งวนไว  หยุดนะอย่าวิ่ง
เหลวไหล  โดนจับไม่วิ่งเหมือนเก่า
ทำนองเพลง : เป็ด


พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถงเมตตา


เห็นโอวาทแล้วงงไหม  (กลอนนำพระโอวาท)  ให้เป็นพิเศษเลย  ให้เป็นเพลงไม่รู้ใครจะร้องกับเราได้หรือเปล่า
ดอกไม้เป็นสิ่งที่สดชื่น  ดูแล้วก็เหมือนกับเป็นพลอยประดับไม้ทำให้ไม้เขียว ๆ นั้นมีสีสันมีชีวิตชีวา  พอแมลงเห็นก็หลงไปในความงามและความหวานของเกสรดอกไม้จนอาจจะยอมตาย  เพราะว่าอยากจะทานเกสรจนอิ่มหนำสำราญ  ที่จริงแล้วเกสรเขาล่อแมลงให้มาหรือว่าแมลงหลงเอง (แมลงหลงเอง) ทำไมแมลงถึงหลง  ที่จริงเกสรผิดหรือเปล่าที่เขาสวยงามแล้วก็หวานหอมน่าทาน (ไม่ผิด) แล้วแมลงผิดหรือเปล่าที่หลงไปเอง (ผิด)  ดอกไม้กับแมลงนี้เปรียบได้กับอะไรในเพลงก็เฉลยอยู่แล้ว  เป็นธรรมะว่าอย่างไร  (เหมือนกับคนหลงอยู่ในโลก)  โลกผิดหรือเปล่าหรือคนผิด (คนผิดที่ไปหลงโลก) เพราะว่าที่จริงแล้ว  โลกเขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าให้เราไปหลงเขา  เราผิดเองที่ไปหลงเขาแล้วก็ไปโทษว่าเขามายั่วยวนเรา
"มีกระท่อมห้าทวาร" มีใครอธิบายได้บ้างว่าหมายความว่าอย่างไร  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เมตตาวาดรูปกระท่อมให้ดู)  (ตอบ : กระท่อมห้าทวารหมายถึง คนเรามีสิ่งที่รับรู้  ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย) คืออายตนะทั้ง ๕ ใช่ไหม  แล้วลิงคืออะไร  ทำไมไปอยู่ในกระท่อมได้  แล้วทำไมลิงต้องวิ่งออกด้วย (เหมือนกับจิตใจคนเราที่ได้รับคำสั่งจากทวารทั้ง ๕ แล้วไม่สงบ) แล้วลิงโดนจับได้อย่างไร  ทำไมลิงมันถึงไม่วิ่งเหมือนเก่า  ลิงโดนอะไรจับ  ที่จริงแล้วลิงก็คืออายตนะที่ ๖ คือจิตของเรา  แต่ว่าสิ่งที่จะจับลิงได้สิ่งนั้นก็มาจากจิตใจของลิงเองก็คือปัญญา  เพราะมีปัญญาจึงจะสามารถจับลิงได้  ทำให้ลิงอยู่กับที่ไม่วิ่งไปไหนมาไหน 
ก็คือทำให้จิตอยู่กับที่แล้วก็มีความสงบ
กระท่อมมี ๕ ทวาร ก็คือ  อายตนะทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย  กระท่อมนี้มีลิงอาศัยอยู่ชอบวิ่งเข้าวิ่งออกกระท่อม  ลิงเปรียบเหมือนกับจิตเราคืออายตนะที่ ๖ เราไม่อยากให้ลิงวิ่งไปวิ่งมา  เพื่อที่ว่าจิตของเราจะได้มีความสงบ  เราก็ต้องใช้ปัญญาจับลิงเอาไว้ให้ได้  แล้วปัญญาจะเกิดจากอะไร (สติ) มีสติแล้วจะจับลิงได้อย่างไร (มีศีลสมาธิ) มีศีล สมาธิ  แล้วก็มีสติถึงจะเกิดปัญญาได้  เมื่อมีปัญญาลิงคือจิตของเราก็จะไม่วิ่ง
ความสุขที่คนมีทำไมถึงเป็นของวิเศษล่ะ  (เพราะทำให้จิตใจคนเราสบาย) เพราะเมื่อเรายิ่งมอบความสุขให้กับผู้อื่น  ตัวเราเองก็ยิ่งมีความสุขเพิ่มมากขึ้นถูกไหม  ในขณะเดียวกัน เมื่อเรามีความทุกข์มีความเศร้าแล้วเราอยากให้คนอื่นเขาได้มารับรู้หรืออยากให้คนอื่นเขามีความทุกข์เหมือนกับเราบ้าง  เราจะเป็นอย่างไร  (ถ้าทำให้คนอื่นเศร้า  คนที่เศร้ามากกว่าก็คือตัวเราเอง)
คนบนโลกที่เวียนวนอยู่นี้  ทุก ๆ คนก็ชอบคนดีทั้งนั้นใช่ไหม  มีใครบ้างที่ไม่ชอบคนดี  ชอบคนดีทุกคน  ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นคนดีหรือเปล่า  ถ้าคนไหนที่คิดว่าตัวเองยังดีบ้าง ไม่ดีบ้างหรือว่ายังดีไม่มาก  เรามัวแต่คิดว่าทำไมคนนั้นไม่เป็นคนดี ทำไมคนนี้ไม่ดีกับเรา  แต่ว่าเราไม่ทำดีกับคนอื่นเขาก่อน  คนอื่นเขาจะทำดีกับเราหรือไม่ (ไม่ทำ) คนที่ทำดีที่สุดก็คือทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน  ก็มีน้ำใจที่เหมือนฟ้า  เพราะฟ้าให้อากาศพวกเราทุก ๆ คนมาหายใจ  หรือมีแสงแดดโดยที่ฟ้าไม่ได้รับสิ่งตอบแทนจากทุก ๆ คนเลย  ฟ้าไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย  เพราะฉะนั้นคนที่ทำดีก็เหมือนกับฟ้าคือสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดี ๆ แล้วจิตใจไม่ได้เรียกผลดีกลับ
ธรรมะอาจจะดูเหมือนไกล ๆ ที่จริงแล้วใกล้เพียงแค่ตาของเราเท่านั้น  ถ้าหากว่าเราไม่หาภายในใจของเรา  เราไปแสวงหาที่อื่นก็จะไม่พบ  แต่เมื่อใดที่เราย้อนกลับมามองที่ตัวเอง  เราก็จะพบจิตของตัวเอง
"มีกระท่อม ๕ ทวาร  ลิงทะยานวิ่งวนไป" หมายความอย่างไร  (ร่างกายเรามี ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย ใช้ปัญญาจับลิงให้อยู่ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เราก็อยู่ในโอวาทของท่าน  เราฟังแล้วก็นำไปปฏิบัติก็จะเห็นผล)  คำตอบนี้ดีมาก
(ท่านเมตตาเล่านิทานให้ฟังดังนี้)  มีปลาวาฬตัวหนึ่งว่ายน้ำอยู่ในทะเล  วันหนึ่งทะเลก็มีคลื่น  ทำให้ปลาวาฬเวียนหัว  ปลาวาฬก็โทษทะเลจึงดำลงไปต่อว่าทะเลว่า "ทะเลเธอไม่สำนึกบุญคุณฉันเลย  ฉันอุตส่าห์พ่นน้ำให้เธอ เธอถึงได้เป็นทะเล  แล้วเธอมาทำให้ฉันเวียนหัวได้อย่างไร"  ทะเลก็ไม่ว่าอะไร  แต่ทำคลื่นลูกใหญ่พัดปลาวาฬขึ้นไปเกยตื้นพ่นน้ำไม่ได้  แล้วทะเลก็บอกว่า "ไหนเธอลองพ่นน้ำออกมาอีกซิ" ปลาวาฬก็พ่นน้ำไม่ได้จึงสำนึกผิด  ทะเลจึงบอกว่า "ให้รู้และให้คิดบ้างว่าน้ำที่ปลาวาฬพ่นออกมาได้นั้น  แท้จริงก็มาจากทะเล" นิทานเรื่องนี้เป็นธรรมะได้ว่าอย่างไร
นิทานเรื่องนี้อาจตีความได้ว่า  มีผู้อาวุโสหรือนักธรรมรุ่นก่อน ๆ ได้ส่งเสริมเราให้เราได้เป็นอาจารย์บรรยายธรรม  หรือว่าให้เราได้เข้าใจธรรมะ  ตอนหลังเรามีตำแหน่งสูงกว่าเขาแล้วเราคอยแต่ว่าเขา  ลืมบุญคุณที่เขาเคยส่งเสริมเราให้เราได้เข้าใจธรรมะ
เราได้ให้เพลงสองเพลงขอให้ทุกคนนำไปร้อง  เมื่อศึกษาเข้าใจเนื้อหาของเพลงแล้วก็ต้องนำไปปฏิบัติด้วย  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์พูดทุกครั้งว่า  เมื่อเข้าใจธรรมะแล้วก็ต้องนำไปปฏิบัติ  ถ้าเข้าใจอย่างเดียวไม่ปฏิบัติไม่นานก็ลืม  ไม่ได้สร้างความดีอีก  เราหวังว่าทุก ๆ คนจะเข้าใจแล้วก็นำไปปฏิบัติ
ในวันนี้เราก็ให้ธรรมะกับทุก ๆ คน  ส่วนจะรับได้ได้มากบ้างน้อยบ้างแค่ไหนแล้วแต่ความตั้งใจของแต่ละคน  ในเมื่อเราเรียกทุก ๆ ท่านว่าเป็นปราชญ์  เพราะฉะนั้นเราก็ขอให้ทุก ๆ ท่านปฏิบัติตนให้ดี ๆ  และสำรวมจิตของตนให้ดี ๆ  เพราะว่าองค์มารดาที่รออยู่เบื้องบนท่านก็รอพวกเราทุก ๆ คนมาตั้งนานแล้วแต่ก็ยังไม่กลับกันสักที กลับกันน้อยมาก  ไม่มีใครคิดถึงองค์มารดาเลยใช่ไหม  คิดถึงหรือเปล่า  ถ้าคิดถึงแล้วก็ต้องตั้งใจปฏิบัติดี ๆ ชวนคนมารับธรรมะ  เดี๋ยวนี้คนที่บำเพ็ญธรรมมานาน ๆ ไม่ยอมชวนคนมารับธรรมะ  ติดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้กี่คน  ไปทำให้ดี ๆ รู้ไหม
ทุก ๆ คนถ้าวันหลังเรามาแล้วไม่เจอจะให้เราลงโทษอย่างไรดี  ลงโทษอย่างไรถ้าเผื่อว่าไม่เข้าใจ  เราก็คงจะทำอะไรไม่ได้ถูกไหม  เราก็หวังว่าคราวหน้าถ้าเราลงมาดู ๆ แถวนี้อีก  ก็จะได้เจอทุก ๆ คนอีกนะ


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา